中国文化与遗产 老师宋
รายวิชามรดกและวฒั นธรรมจีน เรียบเรียงโดย คณุ ครู เข็มอปั สร สายปะละ ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลายชน้ั ปี ที่ 6
ก คำนำ การเรียนการสอนในรายวิชา มรดกและวัฒนธรรมจีน โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในวิชามรดกและวัฒนธรรมจีน และมีเน้ือหาเกี่ยวกับ ตัวอักษรจีนโบราณ 4 สิ่งประดิษฐ์ของจีน เทศกาลจีน วัฒนธรรมการชงชา และแหล่งมรดกโลกของจีน เน่ืองจากประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับหลายพันปี วฒั นธรรมจีนนอกจากแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าทง้ั ทางด้านวัตถุและพัฒนาการทางสังคมของประเทศจนี แล้ว ยงั สะทอ้ นถงึ วิถชี วี ติ และแนวความคิดของประชาชนจีนดว้ ย และครอบคลุมถงึ สง่ิ ต่างๆ ความเช่ือ จรยิ ธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณีและกฎระเบียบของสังคม วัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ดังน้ันจงึ มีมรดกและวฒั นธรรม และแหลง่ เรียนรู้ทีน่ า่ สนใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือรายวิชามรดกและวัฒนธรรมจีนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนแล ะเป็นสง่ิ ท่ผี ู้เรียนให้ความสนใจไมม่ ากก็นอ้ ย จดั ทำโดย คุณครู เขม็ อปั สร สำยปะละ
สารบญั ขเรือ่ ง หน้ำคานา กสารบัญ ข第一课 :汉字 1บทท่ี 1 ตัวอกั ษรจนี โบราณ 14第二课 :中国节日 22บทท่ี 2 เทศกาลของจีน 30第三课 :四大发明 44บทท่ี 3 4 ส่ิงประดิษฐ์อนั ยง่ิ ใหญ่ของจนี 55第四课 :茶与食物บทท่ี 4 วฒั นธรรมการดม่ื ชาและอาหารของจีน第五课 :中国遗产บทท่ี 5 แหล่งมรดกโลกของจีนบรรณานุกรม
ค จุดประสงคก์ ารเรียนรู้1.เพอ่ื ให้นักเรยี นเข้าใจถงึ มรดกและวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษาอยา่ งลึกซึ้ง2.เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้รับความรูเ้ บ้ืองตน้ เกยี่ วกับประเทศจนี3.เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้คาศัพท์ตา่ งๆทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ประเทศมากยิ่งข้ึน4.เพอ่ื ให้ผ้เู รียนเรียนรู้การทางานเปน็ กลุ่ม
1 บทที่ 1ตวั อกั ษรจีนโบราณ (汉字) ความเป็ นมาของอกั ษรจีน 汉字的起源 hàn zì de qǐ yuán ตัวอักษรจีนเป็นตัวอักษรที่มีการใช้มาเป็นเวลานานท่ีสุด ใช้กันในพื้นท่ีกว้างขวางที่สุดและมีจานวนคนที่ใช้ก็มากที่สุดในโลก การสร้างและการใช้ตัวอักษรจีนไม่เพียงแต่ได้ทาให้วัฒนธรรมจีนพัฒนาไปเท่านน้ั หากยังได้ส่งอิทธิพลอย่างลึกซง้ึ ตอ่ การพัฒนาวัฒนธรรมโลกด้วย ตวั อกั ษรจีนเรม่ิ กลายเป็นตัวอกั ษรทมี่ ีระบบในสมยั ราชวงศ์ซาง ศตวรรษท่ี 16 ก่อนคริสตก์ าล นกัโบราณคดีได้พิสูจน์ว่า ระยะต้นของราชวงศ์ซาง อารยธรรมจีนได้พัฒนาไปถึงระดับท่ีค่อนข้างสูงแล้วลกั ษณะพเิ ศษทสี่ าคญั ประการหนง่ึ ก็คือการปรากฏตัวอกั ษร “เจย่ี ก่เู หวิน” 甲骨文(jiǎ gǔ wén)ตัวอักษรแบบเจี่ยกู่เหวินเป็นตัวอักษรโบราณชนิดหน่ึงท่ีแกะสลักบนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์ ในสมัยราชวงศ์ซาง กษัตริย์ต้องทาพิธีเส่ียงทายก่อนจะทรงทาพระราชภารกิจใดๆ กระดองเต่าและกระดูกสัตว์ก็คืออุปกรณก์ ารเส่ียงทายในสมัยนนั้1.1 ตวั อกั ษรจีนโบราณ
2วิวฒั นาการอกั ษรจีน 汉字的演变hàn zì de yǎn biàn อักษรจำรบนกระดูกสัตว์(甲骨文 jiǎ gǔ wén)เป็นอักขระโบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของจนี โดยมากอยูใ่ นรูปของบนั ทึกการทานายท่ีใชม้ ีดแกะสลกั หรือจารลงบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์ ลักษณะของตัวอักขระบางส่วน ยังคงมีลักษณะของความเป็นอักษรภาพอยู่ เน่ืองจากส่วนใหญก่ ารจารกึ อกั ษรโบราณของจีนเป็นววิ ฒั นาการจากรูปภาพ ตวั อักษรมกี ารพฒั นาการในแตล่ ะชว่ งเวลาลักษณะพเิ ศษ กลา่ วคอื ยคุ ตน้ ตวั อกั ษรมีขนาดใหญ่ ยุคกลาง มีขนาดเล็กและลายเส้นท่เี รียบงา่ ยกวา่ เมอื่ถงึ ยคุ ปลายจะมีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั อักษรจินเหวนิ หรืออักษรโลหะที่มีความเป็นระเบยี บสารวม1.2 อกั ษร“เจยี่ กูเ่ หวิน” 甲骨文 (jiǎ gǔ wén)
3 อักษรโลหะ (金文 Jīn wén) มีช่ือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘จงติ่งเหวิน’ (钟鼎文)หมายถึงอักษรท่ีหลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสาริด เน่ืองจากตัวแทนภาชนะสาริดในยุคน้ันได้แก่ ‘ติ่ง’ซ่ึงเป็นภาชนะคล้ายกระถางมีสามขา ใช้แสดงสถานะทางสังคมของคนในสมัยนั้นและตัวแทนจากเคร่ืองดนตรีท่ีทาจากโลหะ คือ ‘จง’ หรือระฆัง ดังนั้นอักษรท่ีสลักหรือหลอมลงบนเครื่องใช้โลหะดงั กล่าวจงึ เรียกวา่ ‘จงติ่งเหวิน’ มลี กั ษณะพิเศษ คือ มีลายเส้นทีห่ นาหนกั รอ่ งลายเส้นราบเรียบที่ได้จากการหลอม ไมใ่ ชก่ ารสลักลงบนเนือ้ โลหะ อกั ษรโลหะในสมัยหลงั รชั สมยั เฉิงหวังและคงั หวังแหง่ ราชวงศ์โจวจะมคี วามสง่างาม สะท้อนภาพลกั ษณ์ทสี่ ขุ มุ เยอื กเยน็1.3 อักษรโลหะ 1.4 อกั ษรจงติ่งเหวิน
4 อักษรต้ำจ้วน (大篆 Dàzhuàn) มีลักษณะคล้ายอักษรภาพ ลักษณะเส้นจะใหญ่หรือหนากว่าอักษร เจี๋ยก่เู หวิน พบช่ือเรียกแตกต่างกันตามยุคสมัย ดงั นี้สมัยราชวงศโ์ จว (周朝) ผ้ปู ระดษิ ฐช์ ื่อวา่โจ้ว (籀) อักษรชนิดนี้จึงเรยี กว่า อักษรโจ้ว (籀文) สมยั ฉินส่อื หวง ( 秦始皇) หลงั จากทาการรวมประเทศเป็นปึกแผ่น ทรงสั่งให้หล่ีซือ ชาระอักษรจีนประกาศใช้อักษรระบบเดียวกันท่ัวประเทศเรียกว่าจ้วนซู (篆书/ 大篆) สมัยราชวงศ์ซังและราชวงศ์โจว ชอ่ื เรียกตามวัตถจุ ารกึ จนิ เหวิน (金文) และจงติ่งเหวิน (钟鼎文) ยุคน้ีเป็นยุคสัมฤทธ์ิและโลหะ มักมีการจารึกอักษรลงบนระฆังหรือ ภาชนะปรุงอาหารและใส่อาหารเครื่องดม่ื รวมทั้งเหรยี ญเงินต่าง ๆ 1.4 อกั ษรต้าจ้วน
5 อักษรจ้วนเล็ก ( 小篆 Xiǎozhuàn ) โครงสร้างของตัวอักษรจีนโดยมากยังคงรักษารูปแบบเดิมจากราชวงศ์โจวตะวันตก ซ่ึงนอกจากอักษรโลหะแล้วยังมีอักษรรูปแบบต่างๆที่เหมาะกับการบันทึกลงในวัสดุแต่ละชนิด ก่อนการรวมประเทศจีนบรรดาเจ้านครรัฐหรือแว่นแคว้นต่างก็มีตัวอักษรที่ใช้แตกตา่ งกนั ไป ซงึ่ ส่วนหนึ่งได้แก่อกั ษรจ้วนใหญ่หรอื ต้าจว้ น (大篆) ซึง่ เป็นตน้ แบบของเสี่ยวจ้วนในเวลาต่อมาภายหลังจากจ๋ินซีฮ่องเต้ได้รวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกันในปีค.ศ. 221 แล้ว ก็ทาการปฏิรูประบบตัวอักษรครั้งใหญ่ โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตัวอักษรที่เป็นหนึ่งเดียวกันท่ัวประเทศกล่าวกันว่าภายใต้การผลักดันของมหาเสนาบดีหลี่ซือ ได้มีการนาเอาตัวอักษรด้ังเดิมของรัฐฉิน (อักษรจ้วน) มาปรับให้เรียบง่ายข้ึน จากน้ันเผยแพร่ออกไปท่ัวประเทศขณะเดียวกันก็ยกเลิกอักษรที่มีลักษณะเฉพาะจากแวน่แคว้นอ่ืนๆในยุคสมัยเดียวกันอักษรท่ีผ่านการปฏิรูปน้ีรวมเรียกว่า อักษรเสี่ยวจ้วนหรือจ้วนเล็ก (小篆)ถอื เป็นอกั ษรท่ใี ช้ทั่วประเทศจนี เปน็ ครง้ั แรก 1.5 อักษรจว้ นเล็ก
6อกั ษรล่ซี ู ( 隶书 Lìshū ) อักษรล่ีซู ( 隶书 )ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ( 汉朝 ) พบว่าอักษรเส่ียวจ้วนมีความซับซ้อนยากในการเขียน จึงดัดแปลงเป็นอักษรล่ีซู มีลักษณะเร่ิมเป็นอักษรส่ีเหลี่ยม มีเส้นขีดเขียนที่สวยงาม บางคร้ังเรียกว่า อักษรฮ่ันล่ี ( 汉隶 ) ต่อมาอักษรลี่ซูนิยมใช้เป็นตราประทับ เนื่องจากเป็นอักษรท่ีซับซ้อนจึงยากแกก่ ารปลอมแปลงอักษรขำ่ ยซู ( 楷书 Kǎishū ) อักษรข่ายซูหรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “อักษรจริง” เป็นอักษรจีท่ีใช้กันอย่างแพร่หลาย อักษรข่ายซูเป็นเส้นสัญลักษณ์ท่ีประกอบกันขึ้น ภายใต้กรอบส่ีเหล่ียม เป็นการหลุดพ้นจากรูปแบบอักษรภาพของตวั อกั ขระยคุ โบราณอย่างส้ินเชิง ก้าวเข้าสขู่ อบเขตข้นั ใหม่ของอักษรล่ซี ู พัฒนาตามมาด้วย อักษรข่ายซู เฉ่าซู และ สิงซู ก้าวพ้นจากข้อจากัดของลายเส้นท่ีมาจากการแกะสลัก เม่ือถึงยุคถัง จึงก้าวสู่ยุคทองของอักษรขา่ ยซูอยา่ งแทจ้ ริง จวบจนปัจจบุ นั อกั ษรข่ายซูยังเป็นอักษรมาตรฐานของจนีอกั ษรเฉำ่ ซู (草书 Cǎoshū ) ตั้งแต่กาเนิดมีตัวอักษรจีนเป็นต้นมา อักษรแต่ละรูปแบบล้วนมีวิธีการเขียนแบบตัวหวัดทั้งสิ้นจวบจนถึงราชวงศ์ฮั่น อักษรหวัดจึงได้รับการเรียกขานว่า ‘อักษรเฉ่าซู’ (草书 ) อย่างเป็นทางการ (คาว่า ‘เฉ่า’ ในภาษาจีนหมายถึง อย่างลวกๆหรืออย่างหยาบ) อักษรเฉ่าซู เกิดจากการนาเอาลายเส้นท่ีมีแต่เดิมมาย่นย่อเหลือเพียงขีดเส้นเดียว โดยฉีกออกจากรูปแบบอันจาเจของกรอบสี่เหล่ียมในอักษรจีน หลุดพน้ จากข้อจากัดของข้ันตอนวธิ กี ารขีดเขียนอักษรในแบบมาตรฐานตัวคัดหรือ ขา่ ยซู ในขณะทอ่ี ักษรข่ายซูอาจประกอบขึ้นจากลายเส้นสิบกว่าสาย แต่อักษรเฉ่าซูเพียงใช้ 2 – 3 ขีดก็สามารถประกอบเป็นสญั ลกั ษณ์เช่นเดยี วกนั ได้
7อักษรสงิ ซู ( 行书 Xíngshū) อักษรสิงซู ( 行书 ) เปน็ รปู แบบตัวอักษรที่อยู่กึ่งกลางระหว่างอักษรข่ายซแู ละอักษรเฉ่าซู เกิดจากการเขียนอักษรตัวบรรจงที่เขียนอย่างหวัดหรืออักษรตัวหวัดท่ีเขียนอย่างบรรจง อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวอักษรกึ่งตัวหวัดและกึ่งบรรจง อักษรสิงซูกาเนิดขึ้นในราวปลายราชวงศ์ฮ่ันตะวันออก รวบรวมเอาปมเด่นของอักษรข่ายซูและเฉ่าซูเข้าด้วยกัน และยังเป็นอักษรท่ีเฟื่องฟูในหมู่กวีนักปราชญ์แห่งราชวงศ์ซ่ง( 宋朝 ) วิธีประดิษฐต์ วั อกั ษรจีน 汉字的造字方法 hàn zì de zào zì fang fǎวิธีประดิษฐ์ตวั หนงั สือจนี มอี ยู่ 4 วิธดี ว้ ยกนั ดังน้ี 1. อักษรภำพ (象形字 xiàngxíngzì) เป็นการวาดภาพจากของจริงอยา่ งชัดเจน เกือบ ท้งั หมดเป็นตวั หนงั สือเดี่ยว เชน่ 1.6 อักษรภาพ
8 ตัวหนังสือประเภทน้ีเป็นตัวหนังสือทเ่ี กา่ แก่ท่ีสุด ถึงแม้ว่ามีจานวนแค่ประมาณ 5 เปอร์เซน็ ตข์ องตัวหนังสอื ที่ใช้บ่อยในปจั จุบันนี้ แตถ่ ือว่าสาคัญที่สุด เพราะเกือบท้ังหมดถูกนาไปใช้เปน็ ส่วนประกอบของตัวหนังสือผสมที่ประดิษฐ์ข้ึนในภายหลัง ตัวหนังสือประเภทน้ีเป็นตัวหนังสือที่เข้าใจง่ายและสนุกสนานคนทีเ่ พง่ิ เรยี นภาษาจีนใหม่ ๆ ควรจะเรียนร้ตู ัวหนังสอื จนี จากสว่ นนก้ี อ่ นเพราะเปน็ พืน้ ฐานทีจ่ ะนาไปสู่การเขา้ ในระบบการเขียนของภาษาจีนอยา่ งถูกตอ้ งและถ่องแท้2. เครื่องหมำยท่ีเป็นนำมธรรม (指事字 zhǐshìzì) ใช้เคร่ืองหมายท่ีเป็นนามธรรมแสดงความหมาย เกือบทั้งหมดเป็นตัวหนังสือเด่ียว และบางส่วนเกิดจากการผสมผสานระหว่างเคร่ืองหมายที่เปน็ นามธรรมกับตัวอักษรภาพ เชน่ 1.7 เครอื่ งหมายทเี่ ปน็ นามธรรม
9ตัวหนังสือประเภทนี้มีไม่มาก ส่วนใหญ่ใช้ในการแสดงความหมายท่ีเป็นนามธรรมหรือไม่มีตัวตน ถึงแม้ว่ามตี ัวตน แตก่ ็ยากที่จะใชภ้ าพทว่ี าดจากจินตนาการของจรงิ มา แสดงความหมายได้ 3. ตัวผสมแสดงควำมหมำย (会意字 huìyìzì) ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวหนังสือเด่ียว (หรือส่วนประกอบของตัวหนังสือ) สองตัว หรือสองตัวข้ึนไป ให้เป็นตัวหนังสือใหม่อีกตัวหนึ่งเพื่อแสดงความหมายใหม่ ซึ่งทงั้ หมดต้องอาศยั การเชอ่ื มโยงความหมายระหว่างตัวหนังสือเดี่ยว (หรอื สว่ นประกอบของตวั หนงั สือ) แต่ละตวั แต่ ส่วนใหญ่จะเข้าใจไม่ยาก เช่น 1.8 เคร่อื งหมายท่เี ปน็4. ส่วนหน่ึงบอกควำมหมำย อีกส่วนหน่ึงบอกกำรออกเสียง (形声字 xíngshēngzì) ท้ังหมดเป็นตัวหนังสอื ผสม ใช้ตัวหนังสือเดี่ยว (หรือส่วนประกอบของตวั หนังสือ) สองตัวข้ีนไป เป็นส่วนประกอบของตัวหนังสือใหม่ โดยมีสว่ นหน่งึ ทาหน้าทบี่ อกความหมาย และอกี ส่วนหนึ่งทาหนา้ ท่บี อกเสียง เช่น 1.9 ส่วนหน่งึ บอกความหมาย อีกส่วนหน่ึงบอกการออกเสียง
10 รปู แบบอกั ษรจีนตวั เต็ม 繁体字 fán tǐ zì อักษรจีนตัวเต็ม เป็นหนึ่งในสองรูปแบบอักษรจีนมาตรฐานที่ใชก้ ันท่ัวโลกในปจั จุบัน ปรากฏคร้ังแรกในสมัยราชวงศ์ฮ่ัน (พ.ศ. 337 - 763) และไดใ้ ช้มาตั้งแต่ครสิ ต์ศตวรรษที่ 5 ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ ที่ต้องเรียกว่าอักษรจีนตัวเต็ม หรืออักษรจีนด้ังเดิม ก็เพื่อให้แตกต่างจากอักษรจีนมาตรฐานอีกรูปแบบหน่งึท่ีใช้ในปัจจุบัน น่ันคือ อักษรจีนตัวย่อ ซ่ึงประดิษฐ์และเริม่ ใชโ้ ดยรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) ใน พ.ศ. 2492 อักษรจีนตัวเต็มได้ใช้ใน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนท่ีเร่ิมตั้งชุมชนก่อนการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย ส่วน อักษรจีนตัวย่อ ใช้กันใน สาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนท่ีเร่ิมต้ังชุมชนหลังการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ชาวไทยเช้ือสายจีนส่วนมากยังคงใช้อักษรจีนตัวเต็มเป็นหลัก แต่สาหรบั การสอนภาษาจนี ตามสถานศึกษาในประเทศไทยส่วนมากจะใช้อักษรจีนตัวย่อ เพอ่ื ให้เป็นแบบแผนเดยี วกนั กับสาธารณรัฐประชาชนจีน 1.10 อกั ษรจีนตัว เต็ม
11 รปู แบบอกั ษรจีนตวั ย่อ 简体文字阶段 jiǎn tǐ wén zì jiē duàn อกั ษรจนี ยอ่ คือ อักษรจีนตัวเตม็ ท่ีถูกลดจานวนขีดใหน้ ้อยลง เพอ่ื ประโยชน์และความสะดวกในการเขียนและงา่ ยแกก่ ารจา ววิ ัฒนำกำรอักษรย่อมีการพบลกั ษณะตวั อกั ษรยอ่ ในวรรณกรรมเรอื่ ง “ซองกง๋ั ” ( 水许传 ) เช่น 劉 > 刘หรือในสมัยไท่ผิงเทียนก๋ัว (太平天国 ) มีการใช้ในเอกสารหรือตราประทับสมัยต่อมาลู่เฟ่ยขุย(陆费逵 ) ไดป้ ลุกกระแสการใช้อักษรย่อ จนกระทัง้ ปี 1934 มกี ารตีพิมพ์หนังสือและพจนานกุ รมจีนย่อหลากรูปแบบ หลังจากสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เหมาเจ๋อตุงออกนโยบายรณรงค์ใช้อักษรย่ออย่างจริงจัง โดยกาหนดให้ใช้ในหนว่ ยงานทง้ั ภาครฐั และเอกชนต่าง ๆ และได้ประกาศใช้รปู แบบอักษรย่อเป็นทางการเมื่อ วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1956 และสาหรับการสอนภาษาจีนตามสถานศึกษาในประเทศไทยส่วนมากจะใช้อกั ษรจีนตวั ย่อ เพื่อให้เป็นแบบแผนเดยี วกันกับสาธารณรัฐประชาชนจนี 1.11 อักษรจีนตัวยอ่
กจิ กรรมบทท่ี 1 12 แบ่งกลุ่มนาเสนอในชั้นเรียน เกี่ยวกับเร่ือง ตัวอักษรจีน ช้ีแจงให้ผู้เรียนจัดกลุ่มตามความ ·เหมาะสม โดยจะต้องมีกลุ่มอยู่ 4 กลุ่ม กลุ่มละหัวข้อ ทาเป็นผังความคิด แล้วออกมาอภิปรายหน้าชั้น 2เรยี นวธิ ีดำเนนิ งำน1. ใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกลุม่ กลมุ่ ละ 4-6 คน2. ใหจ้ บั ฉลากวา่ ได้หวั ข้ออะไร3. ใหผ้ ู้เรยี นแสดงความคดิ เห็นภายในกลุ่มในหวั ข้อทีไ่ ดร้ ับแลว้ ทาเปน็ ผงั ความคดิ4. ให้ผเู้ รียนออกมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียนวตั ถุประสงค์1. เพอ่ื ให้ผู้เรยี นฝกึ ภาวะการเป็นผู้นา2. สามารถทางานรว่ มกบั ผ้อู ่ืนได้3. ผ้เู รียนสามารถเข้าใจในเร่ืองนี้อย่างถ่องแท้
13 บทท่ี 2เทศกาลของจีน (中国节日)1.เทศกำลวันตรุษจีน (春节 Chūnjíe) เทศกาลตรษุ จีน หรือ เทศกาลฤดใู บไมผ้ ลิ เทศกาลทีส่ าคญั มากของชาวจีนทง้ั ที่แผ่นดนิ ใหญ่และผู้ท่ีมีเชื้อสายจีนทั่วโลก โดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนจีนในประเทศต่างๆ นับเป็นวันพิเศษและมีความสาคัญย่ิงสาหรับคนจีน จะมีการเฉลิมฉลองกันไปท่ัวโลกจะจัดงานฉลองปีใหม่โดยเริ่มขึ้นในวันท่ี1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน โดยจะไปสิ้นสุดในวนั ท่ี 15 ซึ่งตรงกับเทศกาลหยวนเซียว ซ่ึงในวันตรุษจีนนี้ชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจนี ถือว่าเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะไปประกอบธุรกิจการงานที่ไหน หากอยู่ในจังหวัดหรือในประเทศเดียวกัน บรรดาสมาชิกในครอบครัวชาวจีนเหล่านั้น จะกลับบา้ นมาพบปะกนั อยา่ งพรอ้ มเพรียงกนั คล้ายกบั วนั สงกรานตท์ ี่ถอื เปน็ วนั ขึ้นปใี หม่ของชาวไทย 2.1 วันตรษุ จีน
142. เทศกำลหยวนเซยี ว (โคมไฟ) (元宵节 Yuánxiāo jié) · 4 เทศกาลหยวนเซียวซ่ึงเป็นหน่ึงในเทศกาลสาคัญของจีนน้ี ได้มีมากกว่า 2,000 ปี โดยตามปฏิทินทางจันทรคตขิ องจีน จะนับเอาวันท่ีพระอาทติ ย์ โลกและพระจันทร์มาอยู่ในระนาบเดียวกันเป็นวัน ภแรกของปี หรือข้ึนหน่ึง 1 ค่าเดือนอ้าย ซึ่งในสมัยโบราณจะเรียกเดอื นอ้ายวา่ “หยวน” (元) ส่วนคาวา่ ”เซยี ว” (宵) หมายถึงกลางคืน เทศกาล เทศกาลนี้จงึ หมายถึงคนื ที่พระจนั ทร์เตม็ ดวงเป็นครั้งแรกของปี (วนั ตรษุ จนี คอื วันปใี หมข่ องจีน)วันขึ้น 15 ค่าเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีนเป็นเทศกาลหยวนเซียว ซ่ึงเป็นเทศกาลเก่าแก่อีกเทศกาลหน่งึ ของจนี และเปน็ เทศกาลทต่ี อ่ จากเทศกาลตรุษจีน คืนของเทศกาลหยวนเซียวเป็นคืนแรกของปีใหม่ท่ีเห็นพระจันทร์เต็มดวง คืนนั้น มีประเพณีแขวนโคมไฟ ดังนั้น เทศกาลหยวนเซียวจึงมีอกี ชอื่ หนง่ึ ว่า“เทศกาลโคมไฟ” การชมโคมไฟและการกินขนมหยวนเซียวเป็นกิจกรรมสาคัญของเทศกาลหยวนเซียว เหตุใดจึงต้องแขวนโคมไฟในเทศกาลหยวนเซียวกิจกรรมทน่ี ิยมทากนั ในวนั นค้ี อื ทานบวั ลอย หรอื ภาษาจนี เรียก ทังหยวน (汤圆) หรือจะเรยี กว่า หยวนเซยี ว (元宵) บางคนกม็ คี วามเชื่อว่าการกิน \"หยวนเซยี ว\" ในวนั นจี้ ะทาใหค้ รอบครวั พร้อมหนา้ พร้อมตาครบถ้วน เพราะคาว่า หยวน ก็มีคาพ้องเสียงที่มีความหมายว่า พร้อมหน้าพร้อมตา (团圆 ถวนหยวน)อกี ด้วย นอกจากนกี้ ็ยังมกี ารชมโคมไฟ การเชิดมังกรและสงิ โต เปน็ ต้น2.2 เทศกาลหยวนเซียว
15 2.2 บวั ลอย หรอื ภาษาจนี เรยี ก ทังหยวน (汤圆)3.เทศกำลเชง็ เม้ง (清明节 Qīngmíngjié) เทศกาลเช็งเม้งหรือเทศกาลชิงหมิงเจ๋ีย เรียกอีกช่ือว่า ท่าชิงเจี๋ย เทศกาลเช็งเม้งน้ันเป็นช่วง 108วันก่อนจะหมดฤดูหนาวหรอื วนั ที่ 1 ของ 24 ฤดูการตามจันทรคตขิ องจีน ส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาต้นเดือนเมษายนตามปฏิทินสมัยปัจจุบัน เทศกาลเช็งเม้ง นอกจากจะเป็นวันที่แสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ แสดงถึงคุณธรรมอันดีงามแล้ว ก็ยังเป็นวันครอบครัวด้วย ท้ังน้ีเพื่อให้ลูกหลานท่ีอยู่ห่างไกลสามารถเดินทางกลับมาไหว้บรรพบุรุษท่ีสุสานหรือวัดที่มีบัวบรรจุกระดูกบรรพบุรุษ ซ่ึงการกราบไหว้บรรพบุรุษที่สุสานก่อนวันไหว้ต้องมีการไปทาความสะอาดบริเวณฮวงซุย้ ทาสีฮวงซุ้ยใหม่ เขียนตัวหนังสือให้ชัดเจน ซ่ึงเราสามารถสั่งให้ทางสุสานทาการปัดกวาดทาความสะอาด ดายหญ้า และกางเต็นท์ไว้ให้ได้โดยเสยี คา่ บริการให้กบั เจ้าหนา้ ทีป่ ระจาสุสาน สว่ นลูกหลานตอ้ งมกี ารเตรียมเครื่องสาหรบั เซ่นไหวช้ าวจีนได้ทาเช่นน้ีมานานนับพันปี ประเพณีที่สาคัญมากท่ีสุดของของชาวจีน คือ ไหว้บรรพบุรุษท่ีสุสาน ฮวงซุ้ย(แต้จว๋ิ ) แต่คนฮกเกีย้ นเรียกวา่ บอ่ งป้าย เปน็ การแสดงความกตญั ญตู อ่ บรรพบุรษุ โดยมีอทิ ธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นเรื่องความกตัญญูเป็นสาคัญ ช่วงเทศกาลเช็งเม้ง ชาวจีนนิยมการเล่นว่าว เล่นชักเย่อและเล่นชิงช้า ชิงหมิง (Qīng míng) หรือเช็งเม้ง, เชงเมง้ (ตามสาเนียงแต้จ๋ิว) \"เช็ง\" หมายถึงสะอาด บริสุทธิ์ และ \"เมง้ \" หมายถงึ สว่าง รวมแลว้หมายความถึง ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใสรืน่ รมย์ 2.3 เทศกาลเชง็ เม้ง
164. เทศกำลไหว้บ๊ะจำ่ ง(端午节 Duānwǔjié) เทศกาล วันไหว้ขนมจ่าง ( บะจ่าง )หรือ เทศกาลตวนอู่เจี๋ย หรือ เทศกาลตวงโหงวเป็นเทศกาลท่ีสืบทอดกันมาแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เป็นการระลึกถึงวันท่ี คุกง้วน หรือ ชีหยวน (屈原Qūyuán ) หรือ จูหยวน กวีผู้รักชาติแห่งรัฐฉู่นอกจากนี้ในประเทศจีน บริเวณแม่น้าฉางเจียง( แยงซีเกียง ) ,ฮ่องกง, ไต้หวัน, มาเก๊า ยังมี 2.5 ขนมบ๊ะจา่ งการละเล่น แข่งเรือมังกร จัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ด้วย ทางรัฐบาลจีนยังกาหนดให้วันขึ้น 5 ค่า เดือน 5 นี้เป็น วันกวีจีน อีกด้วย เน่ืองจากชีหยวนนบั เป็นอกี ผหู้ นง่ึ ที่เปน็ กวคี นสาคัญของจีนบ๊ะจ่าง เป็นช่ือเรียกในภาษาไทยตามคาเรียกในภาษาจีนฮกเก๊ียน 肉粽 ( ròuzòng )หมายถงึ ขนมขา้ วเหนียวไสห้ มหู ่อด้วยใบไผร่ ปู สามเหลย่ี มมุมเหลยี มทรงพรี ะมดิ เป็นอาหารประจาเทศกาลไหวบ้ ะ๊ จา่ ง มีชอื่ เรยี กอกี ว่า “เจีย่ วซู่” (แปลว่า ข้าวฟ่างรปู ทรงเขาสตั ว)์ “ถง่ จง้ ”2.6 แขง่ เรอื มังกร 2.7 ขนมบะ๊ จา่ ง
175. เทศกำลฉงหยำง(重阳节 Chóngyáng jié ) วันท่ี 9 เดือน 9 ตามปฏิทินทางจันทรคติ ตรงกับเทศกาลฉงหยางตามประเพณีของจีน เทศกาลฉงหยางเรียกได้อีกว่า “เทศกาลเก้าคู่” “เทศกาลผู้สูงอายุ” คนโบราณคิดว่าวันนี้เป็นวันมงคลที่ควรค่าน่ายินดี อีกท้ังฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นฤดูทองของการเก็บเกี่ยวพืชผลในแต่ละปี ดังน้ันจึงได้เริ่มมีการฉลองเทศกาลนี้มานานมากแล้ว เสียงอ่าน “九九重阳 –จิ่วจิ่วฉงหยวน – เทศกาลฉงหยวนวันท่ีเก้าเดือนเก้า” พ้องกับคาว่า “久久- จิ่วจ่ิว – ยืนยาว” ในบรรดาตัวเลข, เลขเก้า 2.7 เทศกาลฉงหยางเป็นเลขท่ีใหญ่ที่สุด มีความหมายว่าอายุยืนนาน ดังน้ัน ในปี1989 ประเทศจีนได้กาหนดให้วันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินทางจันทรคติเป็นเทศกาลผู้สูงอายุ เพ่ือปลุกกระแสสงั คมให้เคารพรักและดูแลผสู้ ูงอายุ กิจกรรมการเฉลมิ ฉลองเทศกาลผู้สูงอายมุ ีมากมายหลายอย่างอันดับแรกเทศกาลผู้สูงอายุมีประเพณีการปีนเขา “金秋九月,秋高气爽 – เดือนเก้าในฤดูทองแห่งใบไม้ร่วง อากาศปลอดโปร่งแสนสบาย” การปีนเขาในเทศกาลน้ีมุ่งหวังให้เกิดความปลอดโปร่งโล่งใจ มีเป้าหมายให้ออกกาลังกายห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ และมีธรรมเนียมที่เก่ียวข้องกับการปีนเขาคอื การกนิ ขนมฉงหยาง คาวา่ “糕 – เกา – ขนม” เสียงพ้องกับ “高– เกา – สูง” เพราะฉะนั้นการกินขนมฉงหยางจึงมีความหมายที่เป็นมงคลหมายถึงย่างก้าวที่สูง ขึ้น เทศกาลฉงหยางยังมีธรรมเนยี มการชมดอกเบญจมาศ ดังน้ันเทศกาลฉงหยางจึงเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลดอกเบญจมาศ สมัยโบราณยังมีธรรมเนียมนิยมทัดใบจูอวี๋ ดังน้ันเรียกได้อีกว่าเทศกาลจูอวี๋ ใบจูอว๋ีใช้ปรุงยา ใช้ดองเหล้าเพื่อบารุงรา่ งกายให้ห่างไกลโรคภยั ไขเ้ จ็บ 2.8 ขนมฉงหยำง
186. เทศกำลไหว้พระจันทร์ (中秋节 zhōngqiū jié)เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ เทศกาลกลางฤ ดูใ บ ไ ม้ร่ว ง 中秋节 ( zhōng-qiū-jié)เป็นเทศกาลตามวัฒนธรรมจีนที่มีขึ้นในกลาง ฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว จะมีขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติ ในเทศกาลนี้ ชาวจีนจะเฉลิมฉลองด้วยการไหว้ดวงจันทร์ในเวลากลางคืน ในบางประเทศเช่น สิงคโปร์ หรือเวียดนาม จะจัดเป็นประเพณีใหญ่ มีการเฉลิมฉลองด้วยโคมไฟสีแดง เป็นสีสันยามค่าคืน หรือบางแห่ง 2.9 เทศกาลไหว้พระจนั ทร์อาจมีการเชิดมังกร ทั้งนี้จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามแต่ท้องถิ่นวันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่พระจันทร์ส่องแสงงดงามที่สุด และเต็มดวงท่ีสุด ชาวจีนจึงให้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม เป็นสื่อกลางของการคิดถึงซึ่งกันและกัน เมื่อคนในครอบครัวจากบ้านเกิดไปไกล เม่ือคิดถึงครอบครัวก็ให้แหงนมองดวงจันทร์ ส่งความรู้สึกท่ีดีและความคิดถึงให้กันผ่านดวงจันทร์ นอกจากนี้ ยังถือได้ว่า วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่คนในครอบครัวจะได้แสดงความสามัคคีกัน และได้ชมดวงจันทร์พร้อมหน้ากัน จึงกล่าวได้ว่าวันไหว้พระจันทร์ เป็นวันแห่งการอยู่พร้อมหน้าของครอบครัวและสิ่งที่ขาดไม่ได้สาหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็คือ ขนมไหว้พระจันทร์ ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าดวงจันทร์ โดยคนจีนจะเรียกว่า ขนมเอี้ยปิ่ง ซึ่งหมายถึงความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ และความสมหวัง ขนมไหว้พระจันทร์ของจีนแบบด้ังเดิมน้ันมีส่วนประกอบ เช่น ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด และเม็ดบัว จะต้องมีไส้หวานห รือ ส อ ด ไ ส้ด้ว ย ธัญ พืช ที่มีร ส ห ว า น เ ท่า นั้น ต่อ ม าประเพณีได้แพร่หลายออกไปอย่างมาก จึงได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรสชาติและรูปแบบมากขึ้น จนกลายเป็นเอกลักษณ์สาหรับเทศกาลน้ี 2.10 ขนมไหว้พระจนั ทร์
19 กจิ กรรมบทท่ี 2กจิ กรรมเสริมควำมรู้ ขนมเอีย้ ป่ิงใหผ้ ู้เรยี นโยงเสน้ จบั คู่ให้ถกู ต้อง เทศกาลผู้สูงอายุ1.เทศกาลวันตรษุ จนี 春节 屈原2.เทศกาลหยวนเซยี ว 元宵节3.เทศกาลเชง็ เม้ง 清明节 ท่าชงิ เจย๋ี4.เทศกาลไหว้บะ๊ จา่ ง 端午节 เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ5.เทศกาลฉงหยาง 重阳节6.เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ 中秋节 汤圆7.เทศกาลวันตรษุ จีน 春节 ธรรมเนียมการชมดอก8.เทศกาลหยวนเซียว 元宵节 เบญจมาศ9.เทศกาลเช็งเม้ง 清明节 เฉลิมฉลองการเก็บเก่ยี ว10.เทศกาลไหวบ้ ๊ะจา่ ง 端午节 คล้ายกบั วันสงกรานต์ของไทย การชมโคมไฟ การเชิดมงั กร11.เทศกาลฉงหยาง 重阳节 และสิงโต12.เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ 中秋节 ความสะอาดบรเิ วณฮวงซยุ้ กวีคนสาคญั ของจนี
20กิจกรรมบทที่ 2 ให้ผู้เรียนจับฉลากเร่ืองเทศกาลของจีน แล้วนาเรื่องมที่จับได้มาหาคาศัพท์จานวน 15 คา พร้อมทั้งเขยี นจีน พินอนิ และแปลเป็นไทยวธิ ดี ำเนนิ งำน1. ใหผ้ ู้เรยี นจบั ฉลาก2. หาคาศัพทจ์ ากเทศกาลทีผ่ ้เู รยี นจบั ได้3. ให้ผู้เรียนเขียนเปน็ ตัวจนี พินอนิ พรอ้ มทงั้ แปลเป็นภาษาไทยวัตถุประสงค์ 1. ผเู้ รยี นสามารถเขา้ ใจในเรอ่ื งนี้อยา่ งถ่องแท้ 2. ผู้เรยี นสามารถเขียนตวั จีน พินอนิ และบอกถงึ คาแปลของคาศัพทน์ ้ันได้
21 บทที่ 34 ส่ิงประดิษฐอ์ นั ยิ่งใหญ่ของจีน (四大发明) 3.1 จตุรประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 4 ของจีน หรือท่ีเรียกว่า “จตุรประดิษฐ์” (四大发明) ปรากฏข้ึนจริงในประวัติศาสตร์ แสดงถึงความก้าวหน้าและความสาเร็จด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในอดีตได้ดีท่ีสุด อันประกอบไปด้วยเข็มทิศ (指南针 zhǐ nán zhēn) ในยุคจ้านกั๋ว (战国 zhànguó) ชาวจีนได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นหินแม่เหล็ก นามาประยุกต์ใช้กับเครื่องมือในการบอกทิศทางที่เรียกว่า “ซือหนาน (司南sīnán)” มีลักษณะเป็นช้อนแม่เหล็กตั้งอยู่บนฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทาง ซึ่งคันช้อนชี้ไปท า ง ทิศ ใ ต้แ ล ะ ป ล า ย อีก ด้า น ห นึ่ง ชี้ไ ป ท า ง ทิศ เ ห นือ ค รั้น ถึง ส มัย ร า ช ว ง ศ์ซ่ง ( 宋朝sòngcháo) มีการนาแผ่นเหล็กและฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทางมารวมกัน เรียกว่า“หลัวผาน (罗盘 luópán)”
22ป ร ะ เ ท ศ จีน จึง เ ป็น ช า ติแ ร ก ข อ ง โ ล ก ที่ป ร ะ ดิษ ฐ์เ ข็ม ทิศ ขึ้น เ ข็ ม ทิศ นี้ถูก นา ไ ป ใ ช้ใ น ก า ร เ ดิน เ รื อในช่วงปลายศตวรรษที่ 11 ภายหลังจากการใช้เข็มทิศอย่างแพร่หลายจึงมีการพัฒนาปรับปรุงรู ป ลั กษณ์ของ เ ข็ ม ทิ ศ ใ ห้ ส ะด ว กต่ อ กา ร ใ ช้ ง า น ม า กย่ิ ง ข้ึ น 3.2 เขม็ ทิศโบราณหรอื หลัวผานดินปืน (火药 huǒ yào) ส่วนประกอบสาคัญของดินปืน ได้แก่ ดินประสิวหรือโพแทสเซียมไนเตรต กามะถันและผงถ่านรว มเข้าด้ว ยกัน เบื้องต้นการคิดค้นดินปืนมีคว ามเกี่ยว ข้องกับการ กลั่น ย าอายุวัฒนะในสมัยโบราณ กล่าวคือนักปรุงยาได้นาแร่ธาตุและพันธุ์พืชมากมายมาผสมและใส่ลงไปในเตาต้มรวมกัน ทว่าการปรุงยาอายุวัฒนะนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในขณะกลั่นยาเตาเกิดระเบิดขึ้น นักปรุงยาจึงพบธาตุที่เป็นชนวนระเบิดได้จากการเผาไหม้นั้นโดยบังเอิญ เป็นเหตุให้ดินปืนถูกประดิษฐ์ขึ้นและนาไปใช้ในงานด้านการทหาร โดยดินปืนนี้คิดค้นได้สาเร็จในสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย
233.3 ดินปืนกระดำษ (造纸术 zào zhǐ shù) ชาจีนสมัยโบราณใช้วิธีเขียนหนังสือลงบนแผ่นไม้ไผ่ กระดองเต่า และกระดูกสัตว์ แต่ทั้งหมดน้ีมีน้าหนักมาก พกพาไม่สะดวก สมัยราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮ่ันเริ่มมีความเห็นว่าการเขียนลงบนผ้าไหมดีกว่าการเขียนลงบนแผ่นไม้มาก แต่ผ้าไหมก็เป็นสินค้าท่ีมีราคาแพงเกินไป กระท่ังสมัยราชวงศ์ฮ่ันตะวนั ออก ขุนนางผู้หนึง่ นามวา่ ไช่หลนุ (蔡伦 càilún) เปน็ ผคู้ น้ พบวธิ ีผลิตกระดาษ โดยนาเปลือกไม้ เศษผ้า และตาข่ายดกั ปลามาบดผสมกันจนปน่ จากนนั้ กน็ ามาตากแห้งจนกลายเปน็ แผ่น กระดาษชนิดน้จี งึ มีชอื่ ว่า “กระดาษไชห่ ลนุ ” นบั เป็นการประดิษฐข์ องชาวจนี ที่นาความภาคภูมิใจนส้ี ่งตอ่ ไปยงั ท่วั โลก 3.4 กระดาษ
24แท่นพิมพ์ (印刷术 yìn shuā shù) ก่อนการคิดค้นแท่นพิมพ์สาเร็จมักใช้วธิ ีคัดลอกตาม ดังนั้นกว่าจะได้หนังสือสกั เล่มย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ตอ่ มาผคู้ นเริ่มใชว้ ธิ ีพมิ พโ์ ดยวางกระดาษทาบลงบนศิลาจารึก สมัยราชวงศถ์ งั ( 唐 ) และราชวงศ์สยุ่( 随 ) มีการคิดค้นแม่พิมพ์สลักข้ึน โดยการแกะตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ ใช้หมึกทาแล้วเอากระดาษทาบสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 běisòng) ปี้เซิง (毕昇 Bì Shēng ) คือผู้ท่ีคิดค้นตัวเรียงพิมพ์ขึ้นเขาใช้วิธีแกะสลักตัวอักษรแต่ละตัวลงบนดินเหนียวทีละก้อนก่อนนาไปเผาไฟให้แข็ง ตอนพิมพ์ให้เรียงตัวอักษรที่ต้องการ ทาหมึกลงไปแล้ววางกระดาษทาบลง ตัวอักษรที่แกะสลักเหล่าน้ียังนาไปใช้ซ้าได้อีกดว้ ย วิธกี ารพิมพข์ องป้ีเซิงเป็นต้นแบบของการพิมพ์ทีใ่ ชต้ ะกั่วในยุคหลัง 3.5 แทน่ พิมพ์
25ทงั้ น้ียังมีสงิ่ ประดษิ ฐ์ทช่ี ำวจนี คิดค้นอกี เชน่ เครอื่ งมอื วดั แผน่ ดนิ ไหว ลูกคดิ ·เครื่องวดั แผ่นดนิ ไหว (地震动议 dì zhèn dòng yì) 4 ประเทศจีน เป็นพื้นท่ีท่ีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวบอ่ ยถึงราว ค.ศ. 132 (ยุคฮ่ันตะวันออก) มีนักดาราศาสตร์ชาวจีนชอ่ื \"จางเหงิ (张衡 zhāng héng)\" ไดค้ ิดค้นเครอื่ งมือวัดแรงสะเทือนแผ่นดินไหวขึ้น เรียกว่า “โฮ่วเฟิงต้ีต้งอ๋ี ( 候风地动仪 hòu fēng dì dòng yí )” ปัจจุบันเคร่อื งดงั กลา่ วได้หายสาปสญู ไป แต่ไดม้ ีการสรา้ งแบบจาลอง ตามที่มีการบันทึกไว้จากบนั ทกึ กลา่ ววา่ “โฮ่วเฟงิ ตี้ต้งอี๋” ได้ถูกสร้างข้ึนจ า ก ท อ ง แ ด ง ทั้ ง ห ม ด ค ล้ า ย ไ ห เ ห ล้ า ข น า ด ใ ห ญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.70 เมตร ภายในประกอบด้วยกลไก อันมีเสาทองแดงเป็นแกนกลาง สามารถเคลื่อนไหวได้หากเกิดการ 3.7 จางเหงิสะเทือน เชื่อมโยงกับปากมังกร 8 ทิศรอบเคร่ืองวัด สัมพันธ์ไปสู่รอบฐานนอก อันมีคางคกป้าปาก 8 ทิศในแนวรับตรงกับปากมังกรหากเกิดแผ่นดินสะเทือน เสาทองแดงจะแกว่ง ขับเคล่ือนให้เม็ดทองแดงไหลไปตามทิศทางท่ีสะเทือน ไปสะกิดปากมังกรให้อ้าออก ส่งเม็ดทองแดงลงสู่ปากคางคก หากปากคางคกทิศใดเป็นผู้รับเม็ดทองแดง แสดงว่าเกิดแผ่นดินไหวในทิศนนั้ อาจกลา่ วไดว้ ่า \"จางเหงิ \" คอื บดิ าของเครอื่ งวัดแผ่นดนิ ไหวของโลก3.6 เคร่ืองวดั แผน่ ดินไหว หรอื โฮ่วเฟิงตีต้ ้งอี๋
26 ในค.ศ.138 เกิดแผ่นดนิ ไหวท่ีกรงุ ลัว่ หยาง เกิดไหวข้ึนอย่างฉบั พลนั ทองแดงลูกหนงึ่ หลน่ จากปากมังกรทอี่ ยูท่ างทติ ะวันออก ตกลงไปในปากคางคก แตเ่ วลานั้นคนในเมอื งหลวงหารู้ไมว่ า่ ไดเ้ กิดแผ่นดินไหวข้ึนแม้แต่น้อย จึงเกิดความสงสัยในเครื่องอุปกรณ์เคร่ืองน้ี แต่หลังจากน้ันไม่กี่วัน หลงซี (ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลกานซู่ในปัจจุบัน) ก็ส่งม้าเร็วมารายงานว่าเม่ือสองสามวันก่อนได้เกิดแผ่นดินไหวข้ึนที่นน่ั ทาให้ผคู้ นหมดความสงสัยและมคี วามเล่ือมใสในเคร่ืองวัดแผ่นดนิ ไหวนี้อย่างแท้จริง และอาจกล่าวได้ว่า \"จางเหงิ \" คอื บิดาของเคร่อื งวัดแผ่นดนิ ไหวของโลกลูกคิด (算盘 suàn pán)ลูกคิดมีชื่อเรียกว่า“ซว่ำนโฉว (算筹suànchóu)” เป็นส่ิงประดิษฐ์ของจีนเมื่อกว่า700 ปีก่อน เป็นเคร่ืองคานวณยุคแรกๆของโลกลูกคิดวิวัฒนาการมาจากกระดานไม้สาหรับนับเบ้ียโบราณเม่ือกว่า 2,000 ปีก่อน วิธีการคานวณลกู คดิเรียกว่า “จูซว่าน” เร่ิมต้นมีแต่เพียงการบวกและลบเท่าน้ัน ต่อมาปลายยุคถังจึงพัฒนามาเป็นการคูณและการหาร เม่ือแพร่หลายมากๆ ก็มีคนคิด 3.7 ลกู คิดสูตรออกมาให้ท่อง คงคล้ายกับการท่องสูตรคูณกระดานคิดเลขพัฒนาต่อไปเร่อื ยๆ พร้อมกับธุรกิจการค้าการขาย จนถึงยุคหมิง จึงมีชื่อเรียกเป็นครั้งแรกว่า “กระดานลูกคิด” หรอื “ซวา่ นผาน” แลว้ จากนั้น บนั ทกึ เรือ่ งราว หรือภาพโบราณทมี่ ีลกู คิดปรากฏให้เห็นก็มีมากขึ้นเร่ือยๆจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครระบุได้แนช่ ัด แต่ในประวัตศิ าสตรพ์ บวา่ มีการใช้ลูกคิดเป็นเครื่องคานวณมานานแล้ว มีนักคณติ ศาสตรส์ ว่ นหน่ึงเชือ่ ว่า มกี ารใชล้ กู คิดตั้งแตส่ มัยราชวงศ์ฮน่ั ตะวนั ออก
27 กิจกรรมบทท่ี 3วิธดี ำเนนิ งำน 1. ใหผ้ เู้ รยี นตอบคาถามท้ายบทให้สมบรู ณ์ทสี่ ุด มีท้ังหมด 10 ขอ้วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้ผู้เรยี นไดร้ ้ถู ึงความเปน็ มาของสง่ิ ประดิษฐ์ของจนี 2. ผเู้ รยี นเกิดความเข้าใจของสิ่งประดษิ ฐ์ทง้ั 4แบบฝกึ หดั ทำ้ ยบท1.สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 4 ของจีน มีอีกช่อื คืออะไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………..2.ชำวจนี ไดป้ ระดิษฐค์ ิดค้นเครื่องมือที่มีลักษณะเปน็ หนิ แม่เหลก็ นำมำประยกุ ต์ใชก้ บั เครอื่ งมือในกำรบอกทิศทำงทเ่ี รยี กว่ำอะไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………..3.สมัย 宋朝 มกี ำรนำแผน่ เหล็กและฐำนสลกั ตัวอักษรบอกทศิ ทำงมำรวมกนั เรยี กวำ่ อะไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………….
284. สว่ นประกอบสำคัญของ 火药 ไดแ้ ก่…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……5. ใครเปน็ ผู้ค้นพบวิธีผลติ กระดำษ…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………6. “毕昇”เปน็ ผู้คิดคน้ ประดษิ ฐ์ส่ิงใด…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………7. มสี ิ่งประดิษฐ์ทชี่ ำวจนี คิดค้นอกี สงิ่ นนั้ คืออะไร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………….8. ผ้คู ดิ ค้นเครือ่ งมือวัดแรงสะเทือนแผ่นดนิ ไหว (地震动议) คอื ใคร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………….9. เคร่อื งมือวัดแรงสะเทือนแผ่นดนิ ไหวเรยี กวำ่…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………10.ลกู คดิ มชี ่อื เรยี กวำ่ อะไร………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
29 บทที่ 4วฒั นธรรมการด่ืมชาและอาหารของจีน (茶与食物) วฒั นธรรมการด่ืมชา 中国茶文化 Zhōng guó chá wén huà ชาวจีนด่ืมชาโดยมีประวัติการด่ืมชามากว่า 4000 ปีแล้ว ชาเ ป็ น เ ค ร่ื อ ง ด่ื ม ที่ ข า ด ไ ม่ ไ ด้ ใ นชีวิตประจาวันของชาวจีน สิ่งของ 7อย่างในชีวิตประจาวันของคนจีนคือไม้ ข้าว น้ามัน เกลือ ซีอิ๊วน้าส้มและชา การเล้ียงน้าชาเป็นประเพณีของชาวจีน พอมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านเจ้าของบ้านก็จะรีบชงชาที่มีกล่ิน 4.1 แขกมาเยยี่ มที่บ้าน เจ้าของบ้านกจ็ ะรบี ชงชาหอมทันที เห็นได้ว่าชามีความสาคัญมากสาหรบั ชาวจนี ประเพณีดื่มชาในจีนมีประวัติยาวนาน เล่ากันว่า ปี 280 ก่อนคริสต์ศักราช ทางภาคใต้ของจีนมีก๊กเล็กชื่อ หวูก๋ัว กษัตริย์ของก๊กน้ีโปรดจัดงานเล้ียงขุนนาง และดื่มเหล้ากันจนเมาไปหมด แต่มีขุนนางคนหนึ่งชื่อเหว่ยจาวด่ืมเหล้าไม่เก่ง กษัตริย์ก็เลยโปรดให้เขาดื่มชาแทนเหล้า ปีค.ศ 780 ลู่อว่ี (陆羽Lùyì ) ผู้เช่ียวชาญด้านใบชาของราชวงศ์ถังได้รวบรวมประสบการณ์การปลกู ชา ผลิตใบและด่ืมชา และได้เขียนตาราชาซ่ึงเป็นหนังสือเก่ียวกับชาเล่มแรกของจีน เรียกว่า 茶经 chájīng ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋朝) ฮ่องเต้ ซ่งฮุยจง ชอบจัดงานเลี้ยงน้าชาขุนนางผู้ใหญ่ และทรงต้มน้าชาเอง ในพระราชวังหลวงของสมัยราชวงศ์ถัง ยังจัดงานน้าชาเลย้ี งทตู ต่างประเทศ
30 สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 - 906) ถือเป็นยุคทองของชา ชาไม่ได้ด่ืม เพื่อเป็นยาบารุงกาลังอย่างเดยี ว แตม่ กี ารดมื่ เป็นประจาทุกวนั เปน็ เครื่องมือเพ่ือสุขภาพ ในจนี ชา ไดก้ ลายเป็นวัฒนธรรมพเิ ศษชนิดหน่ึงแล้ว ผู้คนถือการต้มน้าชาและการชิมชาเป็นศิลปะอย่างหน่งึ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ท้องถ่ินต่าง ๆ ของจีนมโี รงนา้ ชาหรอื รา้ นนา้ ชามากมาย ศิลปะการด่ืมชา ชาวจนี เรยี กศลิ ปะการดม่ื ชาว่า 品茶 (Pǐn chá) ข้นั ตอนมีดังนี้เมื่อชงชาเสรจ็ แลว้ ให้นาชาที่ชงรินใส่แก้วชาท่ีเตรียมไว้ ก่อนที่จะชิมชาให้ สูดกลิ่นชาก่อน จะเรียกว่า 闻香 (Wén xiāng)จากนัน้ พนิ ิจสขี องชาในแกว้ นั้น จะเรยี กวา่ 观色 (Guān sè) ต่อด้วยการจบิ ชาแล้วอมหรือกลัว้ ภายในปากสกั พัก แล้วค่อยกลนื หลังจากนน้ั ค่อยๆชิมชาจนหมด ข้นั ตอนสุดทายเรยี กว่า 赏味 (Shăngwèi) 4.2 ศลิ ปะการดื่มชา
31ชนิดของชาชาท่เี ปน็ ทีน่ ิยมของชาวจีน ดงั น้ีชำเขียว (绿茶 lǜchá)ชาเขียวเก็บมาจากยอดอ่อนของชา โดยการนาไปอบแห้งทันที ไม่ผ่านการหมัก เป็นเคร่ืองดื่มท่ีชาวจีนนิยมมากกว่า 4 พันปีมาแล้ว ในตาราแพทย์แผนโบราณของจีน ชามีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ช่วยย่อยอาหาร ล้างสารพิษ และเชอื่ กนั ว่ามฤี ทธิเ์ ป็นยาอายวุ ัฒนะชำแดง (红茶 Hóngchá)ชาแดง (红茶) ใบชาผ่านกระบวนการหมัก มีรสชาติเข้มขน้ ระดบั กลาง กลิน่ นา้ ชาไม่รนุ แรง 4.3 ชาเขยี วชำอู่หลง (乌龙茶 Wūlóngchá)ชาอู่หลง (乌龙茶) เป็นชาท่ีทาจากชาเขียวผลมกลมกลืนกับชาแดง ให้กล่ินหอมและรสชาติกลมกล่อม เพราะได้ความเข้มข้นหอมจากชาแดงสด แต่มีรสชาติบางเบาชื่นใจแบบชาเขียว แถมมีสรรพคณุ สูงเรือ่ งลดไขมัน ลดนา้ หนกั เป็นชาเพ่อื สุขภาพและความงามชำขำว (白茶 Báichá)ชาขาว (白茶) เป็นชาที่ผ่านกรรมวิธีธรรมชาติอีก 4.4 ชาขาวชนิดหน่ึง ตากให้แห้งไว แล้วเสร็จเลย น้าชาที่ชงออกมาเป็นสีขาว มีต้นกาเนิดอยู่มณฑลฮกเก้ียน ( 福建 ฝูเจี้ยน )รสชาตไิ ม่เข้มขน้
32ชำดอกไม้ (花茶 Huāchá) ชาประเภทดอกไม้ หลกั ๆจะมีสว่ นประกอบของ ชาแดง ชาเขยี ว ชาอหู่ ลง และดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมชนิดต่างๆ อบหรือรมเข้าด้วยกันเพื่อให้มีกลิ่นหอมทั้งของชาและกลิ่นดอกไม้สว่ นมากดอกไม้ทน่ี ยิ มนามาทาชา ได้แก่ ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกเบญจมาศ ดอกหอมหม่ืนล้ี เปน็ ตน้ชาผู่เอ่อร์ ( 普洱茶 pǔ ěr chá )การแบ่งชนิดของ ชาผูเ่ อ่อร์ ตามวิธีการหมกั 1. ชาผู่เอ่อร์สด คือใบชาใหญ่ของมณฑลยูนนานท่ีเม่ือเด็ดจากต้นแล้วจะทิ้งไว้ให้เกิดกระบวนการหมักใบชาตามธรรมชาติ ส่งผลให้ใบชามีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย แต่เมื่อเก็บไว้นานหลายปี ใบชาจะลดสภาพของความเป็นกรดลง ชาผู่เอ่อร์สดหลังจากท่ีชง ด้วยน้า ร้อนแล้วจะให้สีน้าชาเป็นสีเขียวอ่อน คล้ายชาเขียว มีกล่ินหอมเจือจาง แต่ถ้าแช่ใบชาไว้นาน น้าชาจะมีรสชาติขมฝาดเล็กน้อย ชมุ่ คอ ชาผ่เู ออ่ ร์สดมีสรรพคุณชว่ ยกระต้นุ การทางานของระบบประสาท เมอ่ื ดืม่ แล้วจะทาใหร้ สู้ ึกกระปรก้ี ระเปรา่ มีชีวติ ชวี ามากยิ่งข้ึน 4.5 ชาผ่เู อ่อร์สด
333. ชาผู่เอ่อร์หมัก คือใบชาใหญ่ของมณฑล ยูนนานที่เม่ือเด็ดจากต้นแล้ว จะนามาผ่าน กระบวนการหมักด้วยเทคนิคและวิธีการเฉพาะที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ ทาให้ได้ใบ ชาผู่เอ่อร์หมักที่มีกล่ิน และรสชาติดีเยี่ยม ย่ิงเมื่อเก็บใบชาไว้เป็นระยะเวลายาวนาน ใบชาจะมีการทาปฏิกิริยาด้วยตัวเองอย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้ได้รสชาติ และมีสรรพคุณ ด้านตัวยาทีเ่ ปน็ เอกลักษณข์ องใบชาผ่เู อ่อร์ 4.6 ชาผเู่ ออ่ ร์หมัก
34วฒั นธรรมอาหารจีน 中国饮食文化Zhōng guó yǐn shí wén huà 4.7 อาหารจนี จีนมีประวัติศาสตร์กว่า 5 พันปี วัฒนธรรมอาหารการกินก็มีความเป็นมากว่า 5 พันปีเช่นกัน ความมีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตนน้ี โดยหลักๆ มี 5 ประเด็น หนึ่งคือมีรสชาติหลากหลาย จีนมีคาพูดท่ีว่า “ภาคใต้นิยมหม่ีภาคเหนือนิยมเมี่ยน” ก็คือคนในภาคใต้ชอบทานข้าว และคนในภาคเหนือชอบทานพวกเส้น นอกจากน้ีแล้ว ยังมีคาพูดที่ว่า “ภาคใต้นิยมรสหวาน ภาคเหนือนิยมรสเค็ม ภาคตะวันออกนิยมรสเปร้ียว ภาคตะวันตกนิยมรสเผด็ ” ซ่ึงชาวจีนที่อาศัยอยู่ทุกมณฑลจะมีรสนิยมที่แตกต่างกันตามภมู ปิ ระเทศ เอกลักษณ์พิเศษอย่างท่ี 2 ของอาหารจีนคือ มีความแตกต่างกันตามแต่ฤดูในรอบปีของจีน ชาวจีนจะทากบั ข้าวตามการเปลย่ี นแปลงของฤดูกาล ฤดูร้อนมกั จะเป็นอาหารจืด ฤดูหนาวมกั จะเป็นอาหารที่มีรสจัดเข้มข้น อันน้ีก็เพราะว่าชาวจีนได้รวบรวมประสบการณ์จากสมัยโบราณพบว่า คนในอากาศท่ีหนาว ต้องการพลังไปต่อสู้กับความหนาว รสชาติเข้มข้นจะชวนให้เกิดความอยากอาหารทาให้สามารถทานได้มากยิ่งขึ้น จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ อาหารจีน มีอุปกรณ์การทาอยู่หลักๆ 4 อย่าง คือ มีด เขียงกระทะก้นกลม และตะหลวิ
35 ซ่ึงคนจีนส่วนใหญ่ใช้วิธีการปรุงด้วยการผัดในกระทะโดยใช้ไฟแรง เพราะเป็นวิธีการช่วยทาให้อาหารคงคุณค่า และความสดกรอบไว้ นอกจากนี้ยังนิยมการทอด เคี่ยว นึ่ง ตุ๋น ย่าง และอบ เมื่อคนจีนพดู ถงึ เร่ืองอาหารการกนิ ไม่ไดเ้ ป็นเพยี งอาหารที่เอาไว้คลายหวิ ดบั กระหายวันละ 3 มอ้ื เท่านน้ั ยงั ต้องการความประณีต สวยงาม มีศิลปะ และต้องถูกต้องตามธรรมเนียมอีกด้วย อาหารจีนที่มีช่ือเสียงและเป็นที่รู้จกั ของคนทัว่ ไป ในปจั จุบันอาหารจีนจาแนกออกเป็น 8 กลมุ่ ใหญ่ๆอันได้แก่ อาหารซานตง อาหารเสฉวน อาหารซูโจว อาหารกวางตุ้ง อาหารเจ้อเจยี ง อาหารฮกเกี้ยน อาหารหูหนาน และอาหารอานฮยุ โดยอาหารเสฉวนจะมีรสเผ็ด อาหารกวางตุ้งจะมีรสหวาน อาหารซานตงจะมีรสเค็ม อาหารเจียงซูจะมีรสเปรี้ยว แต่ละประเภทจะเนน้ รสชาติทตี่ ่างกันถือเปน็ ลักษณะพเิ ศษของตน 8 กลุ่มอาหารข้ึนชื่อของจีน 中国 八大菜系 Zhōng guó bā dà cài xì1. อำหำรซำนตง หรือ หลู่ไช่ 魯菜 (Lǔ cài) มีถิ่นกาเนิดในแถบมณฑลซานตง (山東省) มีประวัตคิ วามเปน็ มายาวนานตัง้ แตป่ ลายสมัยราชวงศ์ซาง จดุ เดน่ ของอาหารซานตงคือการแฝงสรรพคุณในการรักษาโรค มักใช้เกลือปรุงรสเพ่ือชูรสชาติเดิมของวัตถุดิบ ทาให้มีรสชาติเค็ม นอกจากนี้ยังใส่ต้นหอมขิง และกระเทียมเพ่ือเพ่ิมความหอม ตัวอย่างอาหารซานตงขึน้ ชื่อไดแ้ ก่ ปลาหลีฮอื้ เปรีย้ วหวาน จดุ เดน่ คือตวั ของปลาจะงอ สว่ นหางกระดกขึน้ , ปลิงทะเลเคยี่ วต้นหอม: เนือ้ นุม่ กลิน่ หอม ชว่ ยบารุงรา่ งกาย 4.7 อาหารซานตง
362. อำหำรเสฉวน หรือ ซวนไช่ 川菜 (Chuāncài) มีถิ่นกาเนิดในแถบมณฑลเสฉวน (四川省)อาหารเสฉวนโดดเด่นข้ึนมาในสมัยราชวงศฉ์ ินและราชวงศ์ฮ่นั ตะวนั ตก มรี สชาติที่เขม้ ขน้ ดว้ ยเครื่องปรุงรสใสน่ า้ มันปริมาณมาก นยิ มทาให้มีกลน่ิ หอมของปลา เผ็ดรอ้ น เผด็ ชา และเปรี้ยว ตัวอยา่ งอาหารเสฉวนขึ้นชื่อได้แก่ เนอ้ื เสน้ หอมกลนิ่ ปลา: เน้ือหมูผดั เปรี้ยวเผด็ จะมีกล่นิ หอมของปลา, ไกอ่ งครักษ:์ ไกผ่ ัดซอสใส่ถั่วลสิ ง 4.8 อาหารเสฉวน3. อำหำรซูโจว หรือ ซูไช่ 苏菜 (Sū cài) มีถิ่นกาเนิดในแถบมณฑลเจียงซู (江苏省) พ้ืนท่ีในแถบน้ีค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ วัตถุดิบประกอบอาหารจึงมีความหลากหลายโดยเฉพาะอาหารทะเล รสชาติอาหารเน้นไปทางหวาน ตัวอย่างอาหารเจียงซูขึ้นชื่อได้แก่ หมูเหลี่ยมอบ: หมูสามชั้นปรุงรสอบ เนื้อนุ่มหอมอรอ่ ย, ขา้ วผัดหยางโจว : ขา้ วผดั ใส่ ไข่ไก่ เนอ้ื กุง้ แฮมห่นั เตา๋ ถว่ั ลนั เตา แครอท 4.9 อาหารซูโจว
374. อำหำรกวำงตุ้ง หรือ เยว่ไช่ 粤菜 (Yuè cài) มีถ่ินกาเนิดในแถบมณฑลกวางตุ้ง (广东省)อาหารกวางตงุ้ ใช้วัตถุดบิ และเครอ่ื งปรุงรสหลากหลายตามฤดกู าล เนน้ รปู รส กลน่ิ และสี อาหารบางชนดิคล้ายกับอาหารจีนในไทย เนื่องจากได้รับอิทธิพลโดยตรง ตัวอย่างอาหารกวางตุ้งข้ึนชื่อได้แก่ ไก่ต้มสับ:ไก่ต้มใสข่ ิง ตน้ หอม ผักชี เกลือ และน้ามนั พืช, นกพิราบย่าง: หนงั กรอบ เนือ้ นมุ่ ช่มุ ฉา่ 4.10 อาหารกวางตุ้ง5. อำหำรเจ้อเจียง หรือ เจ๋อเจียง 浙菜 (Zhè cài) มีถ่ินกาเนิดในแถบมณฑลเจ้อเจียง (浙江省) มักใช้วัตถุดิบท่ีสดใหม่โดยเฉพาะอาหารทะเล ปรุงรสเพียงเล็กน้อยเพื่อคงรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบเอาไว้ บางชนิดมีรสชาตเิ ข้มข้น ตัวอย่างอาหารเจ้อเจียงทขี่ ึ้นชอ่ื ได้แก่ ปลาเปร้ียวซีหู: ปลาต้มราดซอสข้นรสเปรี้ยว, กงุ้ ผดั ชาหลงจิ่ง: รสชาติอ่อน หอมกล่ินใบชา 4.11 อาหารเจ้อเจยี ง
386. อำหำรฮกเกี้ยน หรือ หม่ินไช่ 闽菜 (Mǐn cài) มีถิ่นกาเนิดจากอาเภอหม่ินโหว (闽侯)มณฑลฝูเจี้ยน เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตรข์ องฝูโจวตอนเหนือเป็นภเู ขา ตอนใต้ติดทะเล จึงมีวัตถุดิบจาพวกของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ และอาหารทะเลจานวนมาก ตัวอย่างอาหารฮกเกี้ยนขึ้นชื่อได้แก่ พระกระโดดกาแพง: รวมเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ตุ๋นในหม้อ เช่น เน้ือไก่ เน้ือเป็ด ปลิงทะเล ปลาหมึก ฯลฯ, กุ้งนา้ เกลอื : กงุ้ ต้มพอสุกในน้าท่ีปรุงรสด้วยขงิ ต้นหอม เหล้า และเกลอื 4.12 อาหารฮกเกีย้ น7. อำหำรหูหนำน หรือ เซียงไช่ 湘菜 (Xiāngcài) มีถ่ินกาเนิดในแถบมณฑลหูหนาน(湖南省) ใช้วัตถุดิบค่อนข้างหลากหลาย ส่วนใหญ่รสชาติเผ็ดร้อน เค็ม และมีปริมาณน้ามันมากตัวอย่างอาหารหูหนานข้ึนช่ือได้แก่ หูฉลามตุ๋น: หูฉลามตุ๋นในน้าซุปไก่ด้วยไฟอ่อน ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว, หัวปลานง่ึ พริกสบั : หวั ปลาน่งึ ราดพริกสับ ต้นหอม ขิง กระเทียม 4.13 อาหารหูหนาน
398. อำหำรอำนฮุย หรือ ฮยุ ไช่ 徽菜 (Huī cài) มถี น่ิ กาเนิดในแถบเมืองฮยุ โจว (徽州) ต้งั แต่สมยัราชวงศ์ซ่งเหนือ อาหารอานฮุยจะใช้วัตถุดิบท่ีสดใหม่ โดยมากจะใช้อาหารป่าและอาหารทะเล เน้นเทคนิคเรื่อง ความแรงของไฟและกรรมวธิ ที ่ีหลากหลาย ตัวอย่างอาหารอานฮุยข้ึนชื่อได้แก่ ปลาหมัก: นาปลาที่หมักแลว้ มาผดั ปรุงรสด้วยเกลือ ขงิ พรกิ กระเทยี ม ฯลฯ, หน่อไมเ้ วิ่นเจงิ้ ซาน: หนอ่ ไมต้ นุ๋ หมูรมควัน, ตะพาบตุ๋นแฮม: เช่ือวา่ จะชว่ ยบารงุ รา่ งกาย 4.14 อาหารอานฮยุ
40 กจิ กรรมบทที่ 4วิธดี ำเนนิ งำน 1. ใหผ้ ้เู รยี นตอบคาถามท้ายบทเรียนวตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นอธิบายถงึ วัฒนธรรมการดื่มชาและอาหารจนี ได้ 2. ผู้เรียนได้รู้ถงึ ท่ีมาของวัฒนธรรมการดมื่ ชาและอาหารจีน 3. เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนทบทวนบทเรยี นและเขา้ ใจในบทเรยี นยง่ิ ขึน้4.1 แบบฝึกหัดท้ำยบท 1. ชำที่เป็นทน่ี ิยมของชำวจนี มีชำก่ชี นดิ อะไรบ้ำง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………..………………………..…………………..………………………..…………………..……………………………………… 2. 陆羽 ผูเ้ ชีย่ วชำญด้ำนใดและมีหนงั สอื ท่ีเรียกว่ำอะไร………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………
41 3. ศิลปะกำรด่ืมชำมกี ีข่ ัน้ ตอน และในแต่ละขนั้ ตอนเรยี กว่ำอย่ำงไร………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… 4. สงิ่ ของ 7 อย่ำงในชวี ติ ประจำวนั ของคนจนี มีอะไรบำ้ ง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………… 5. อำหำรจีน มอี ุปกรณก์ ำรทำอยหู่ ลกั ๆ 4 อยำ่ ง คือ……………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………… 6. กลมุ่ อำหำรที่ข้นึ ชื่อของจนี มีอะไรบ้ำงและมลี ักษณะอย่ำงไร………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
424.2 ใหผ้ ู้เรียนแบง่ กลมุ่ กลุ่มละ 8-10 คน แล้วเลือกทำอำหำรจนี อะไรก็ได้ กลุ่มละ 1 อย่ำงวิธีดำเนินงำน 1. ใหผ้ ู้เรยี นแบง่ กลุ่ม 2. ให้ผเู้ รยี นรว่ มกันคิดแลว้ ไปเสนอคณุ ครวู ่า อาหารท่ีเราจะทายากเกินไปไหม ใหค้ รชู ่วยแนะนา ใหก้ บั ผู้เรียน 3. คาบหน้าใหเ้ ตรียมอปุ กรณม์ าทาอาหาร
43 บทท่ี 5แหล่งมรดกโลกของจีน (中国遗产) มรดกโลก คือ สถานท่ี อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ ส่ิงก่อสร้างต่างๆรวมไปถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกตัง้ แต่ ปี พ.ศ. 2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างข้ึนมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่าน้ันได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึงอนาคต มรดกโลกทางวฒั นธรรม 文化遗产 Wénhuà yíchǎnพระรำชวงั ตอ้ งหำ้ ม (故宫:Gùgōng) 5.1 พระราชวังต้องหา้ ม พ ร ะ ร า ช วั ง ต้ อ ง ห้ า ม เ ป็ น ท่ี รู้ จั ก ใ นหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนน้ัน ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (故宫:Gùgōng)ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า ประเทศจีนด้วยส่วนคาที่เรารู้จักกันดีว่า \"พระราชวังต้องห้าม\" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จ่ือจิน้ เฉิง ( 紫禁城:ZǐjìnChéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า \"เมืองต้องห้ามสเี ลือดหมู\"
44 ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป ภายในครอบคลุมพ้ืนท่ี 720,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคาร 800 หลัง ห้อง9,999 ห้อง ทั้งยังประกอบด้วยพระท่ีนั่ง, ลานกว้าง, สวนดอกไม้ พระราชวังแห่งน้ีพบว่าก่อสร้างในช่วงสมัยราชวงศ์หมงิ ( 明朝 ) ถึง ราชวงศช์ งิ ( 清朝 ) สนั นฐิ านวา่ เปน็ ทป่ี ระทบั ของจักรพรรดใิ นราชวงศ์จีนในยุคนั้น ปัจจุบันพระราชวังต้องห้ามกลายเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวและเป็นรปู แบบของการก่อสร้างท่นี า่ทึ้งของมนุษย์ในสมัยนั้นและพระราชวังต้องห้าม เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่และงดงาม ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พระราชวังเก่าแก่และมรดกโลกทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่ง ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ กรงุ ปกั กิง่ (北京) ประเทศจีนกำแพงเมืองจนี (长城 chángchéng )กาแพงเมืองจีน หรือ กาแพงหม่ืนล้ี万里长城(Wànlǐ chángchéng) เป็นกาแพงท่ีมีป้อมค่ันเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณกาแพงส่วนใหญ่ท่ีปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (秦朝) ทั้งน้ีเพื่อป้องกันการรุกรานจาก ชาวฮ่ัน หรือ ซฺยงหนู ต้ังแต่สมัยราชวงศโ์ จว เนื่องจากจะเขา้ มารุกรานจนี ตามแนวชายแดนทางเหนือ ในสมัยราชวงค์ฉิน ได้ส่ังให้สร้างกาแพงหมื่นล้ีตามชายแดน เพ่ือป้องกันพวกซยงหนูเข้ามารุกรานและพวกเติร์กจากทางเหนือหลังจากนั้นยังมีการสร้างกาแพงต่ออีกหลายครั้ง 5.2 กาแพงเมืองจนีด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากาแพงเมืองจีนได้สาเร็จและปัจจุบัน กาแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหศั จรรยท์ ่ีสุดแห่งหน่ึงของโลกเท่าทเ่ี คยมมี า
45สสุ ำนจ๋ินซีฮ่องเต้ (秦始皇兵马俑 Qínshǐhuáng bīngmǎyǒng ) สุสานจ๋ินซีฮ่องเต้ ต้ังอยู่ที่เมืองซีอาน (西安) ประเทศจีน ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ.1974 โดยผ้ทู ี่ค้นพบโดยบังเอิญนนั้ เป็นชาวนาที่ชือ่ หยางจื้อฟา แห่งหมู่บา้ นซหี ยาง โดยเขาและพรรคพวกได้ไปขุดดินเพื่อหวังจะทาบ่อน้าและบังเอิญพบกับแจกันและรูปป้ันทหารดินเผาจงึ ได้แจ้งทางการ จากนั้นมาทางรัฐบาลจีนก็ได้ส่งทีมไปขุดค้นและสารวจจนพบว่าสิ่งของที่ค้นพบน้ันมีอายุมากถึงราว 2,000 ปี จึงได้ดาเนินการขุดค้นต่อไป จึงได้พบว่าท่ีแห่งน้ีเป็นมหาสุสานอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ฉนิ โดยมกี ารค้นพบกองทพั ทหารดินเผาทีจ่ ดั ตาแหน่งตามการออกศกึ จริง ๆ 11 แถว โดยถอื อาวุธจริงอยู่ในมือ และหน้าตาท่าทางรวมถึงเคร่ืองแต่งกายน้ันไม่เหมือนกันเลยแม้แต่ตัวเดียว ส่วนความสูงน้ันมีขนาดเท่าของจริง นอกจากนั้นยังมีสรรพาวุธ รถเทียมม้า ม้าศึก รวมแล้วเป็นจานวนกว่า 7,400 ชิ้นเลยทีเดียว นอกจากน้ันยังมีการสร้างพระราชวังท่ีเหมือนจริงทุกประการท้ังพระราชฐานชนั้ ในชั้นนอก ทรัพย์สมบัติ นางกานัล นางสนม ข้าราชบริพารอีกจานวนมาก ส่วนสาคัญท่ีสดุ ของสสุ านนก้ี ็คือห้องที่บรรจุพระบรมศพของจ๋ินซีฮ่องเต้ท่ีต้ังอยู่บริเวณกึ่งกลางของสุสานท่ีขนาดพ้ืนที่ใหญ่โตและมีความสูงถึง 15 เมตรองคก์ ารยเู นสโก้ได้บันทกึ ใหส้ ุสานแห่งน้เี ปน็ มรดกโลกทางวฒั นธรรมเม่อื ค.ศ.1987 5.3 สสุ านจ๋นิ ซฮี ่องเต้
Search