10 ผลทีไ่ ดร้ บั ด้านชมุ ชนและผปู้ ระกอบการ นอกจากน้ียังมีจานวน 1 กลุ่ม ที่สามารถพัฒนาธุรกิจได้ในระดับน่าพึงพอใจมาก คือ กลุ่มผลิต กระเป๋า BULAWA ของนายบุญเพ็ง ละว้า ผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจชุมชน ในจังหวัดสระแก้ว ท่ีนักศึกษา เข้าไปช่วยพัฒนาธุรกิจจนในปัจจุบันขายดีมาก ยอดสั่งซ้ือเยอะจนผลิตสินค้าไม่ทัน จากเดิมที่ ผู้ประกอบการคิดจะล้มเลิกกิจการ กลับมาฮึดสู้ในการทาธุรกิจอีกคร้ัง ส่วนหนึ่งก็ด้วยแรงใจและแรงกาย ของนักศึกษาท่ีทุ่มเท ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแผ่นพับโฆษณาสินค้า ออกแบบสินค้า จัดทาตู้จัดแสดง สินค้า สร้างช่องทางจัดจาหน่ายสินค้าออนไลน์ (เฟสบุ้คแฟนเพจ และ ไลน์แอด) ติดต่อหาช่องทางในการจัด แสดงสินคา้ ตามหน่วยงานราชการต่างๆ เป็นต้น สรปุ ปจั จัยแหง่ ความสาเรจ็ ปัจจัยที่ส่งผลให้การบูรณาการองค์ความรู้ท่ีได้จากการให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และการ เรยี นรใู้ นรายวิชาการบริหารการตลาด ซึ่งเป็นรายวิชาท่ีจัดการเรียนการสอนในลักษณะ WIL น้ัน สามารถ ดาเนนิ การไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และประสบผลสาเรจ็ นั้น มาจาก 4 ปจั จัยหลกั ดว้ ยกัน คือ 1. ชุมชน การเลอื กชุมชนเพอ่ื ใหก้ ารใหบ้ ริการทางวิชาการมีความสาคัญมาก เนื่องจากต้องมีความ สอดคล้องต้องกันระหว่างความต้องการของชุมชนและองค์ความรู้ที่ทางสาขามี การถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ ชุมชนจงึ จะสามารถดาเนนิ ไปไดอ้ ย่างราบรืน่ และมีประสิทธผิ ล ซึ่งชุมชนบึงกาสามถือว่าเป็นชุมชนที่มีความ เหมาะสม เน่ืองจากมีวิสาหกิจชุมชนที่พึ่งเริ่มก่อต้ังและยังไม่แข็งแรงเป็นจานวนมาก สินค้าส่วนใหญ่เป็น สินค้าเกษตรแปรรูปที่พึ่งเริ่มทาการพัฒนา และที่สาคัญคนในชุมชนมีความพร้อมและความต้องการที่จะ พัฒนาตนเอง ซึ่งทาให้ทางสาขาการตลาดมีกรณีศึกษาที่สามารถนามาสกัดองค์ความรู้ และถ่ายทอดให้ นกั ศึกษาได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดได้อีกมาก เพอื่ เตรยี มความพร้อมก่อนลงพนื้ ท่ปี ฏิบตั ิงานจริง 2. ผสู้ อน เนื่องจากการเรยี นการสอนในลกั ษณะ WIL ผู้สอนถือว่ามคี วามสาคัญมาก เนื่องจากต้อง มคี วามพร้อมท่ีจะสามารถลงพื้นที่ร่วมกับนักศึกษา และพร้อมในการให้คาปรึกษาแก่นักศึกษาซ่ึงจะเกิดข้ึน ตลอดเวลาเม่ือนักศึกษาลงพ้ืนที่ อีกท้ังปัญหาท่ีนักศึกษาเผชิญจะมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับหน้างานที่ นกั ศึกษาไปพบในขณะนั้น นอกจากนี้อาจารย์ผู้สอนยังต้องสามารถกระตุ้นให้นักศึกษานาศักยภาพของตน ออกมาใช้ให้ได้อย่างเต็มที่ บ่อยครั้งท่ีผู้สอนพบว่านักศึกษาท่ีเรียนดีภายในห้องเรียน แต่เม่ือออกสู่ภาคปฏิบัติ แล้ว ไม่สามารถบูรณาการองค์ความรู้ออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ ในขณะท่ีนักศึกษาบางคน กลับสามารถทาได้ดีในสถานการณ์จริง ท้ังๆ ที่ในห้องเรียนไม่เคยได้แสดงศักยภาพเหล่านั้นออกมาให้เห็นเลย ผู้สอนต้องคอยสังเกตและแนะนานักศึกษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้การปฏิบัติงานประสบ ความสาเร็จตามเปาา หมาย 3. ผ้เู รยี น ในการเรียนการสอนในลักษณะ WIL ผู้เรียนจะต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้พร้อม ต้องเป็นผู้ใฝ่รูท้ ้ังในและนอกห้องเรยี น และรู้จกั บรู ณาองค์ความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 4. ช่องทางในการติดต่อส่ือสาร การเรียนการสอนในลักษณะ WIL ช่องทางการติดต่อสื่อสารถือว่ามี ความสาคัญมาก อาจารยผ์ ้สู อนควรเปิดช่องทางการส่อื สารให้นกั ศึกษาสามารถตดิ ต่อกบั ผ้สู อนไดต้ ลอดเวลา เพื่อ
11 นักศึกษาจะได้มีความอุ่นใจ ซึ่งในกรณีน้ีผู้สอนเลือกเปิดเป็น “กลุ่มไลน์” เน่ืองจากเม่ือเจอปัญหานักศึกษาจะ สามารถปรกึ ษาได้ทนั ที และเพื่อนๆ ในกล่มุ จะสามารถมองเห็นข้อมูลได้ ในกรณที ีเ่ จอปญั หาในลักษณะเดยี วกัน ประโยชนข์ อง Best Practice ต่อการบรรลุเป้าหมาย ตามพนั ธกจิ ของหน่วยงาน เน่ืองจากพันธกิจของคณะบริหารธุรกิจข้อที่มุ่งให้ความสาคัญต่อการให้บริการทางวิชาการแก่ ชมุ ชนและสังคม เน่ืองจากเห็นว่าการปฏิบัติการบริการทางวิชาการแก่สังคมท่ีดีน้ัน มีประโยชน์และคุณค่า ต่อสถาบัน ในการนาความรู้และประสบการณ์จากการบริการทางวิชาการมาพัฒนาการเรียนการสอน อาจารย์มีการพัฒนาความเช่ียวชาญมากขึ้น และนักศึกษาได้เรียนรู้ในการให้บริการทางวิชาการแก่สังคม สอดคล้องกบั ภารกจิ ของหนว่ ยงานในการใหบ้ รกิ าร สง่ ผลตอ่ การผลติ บัณฑิตท่ีมคี ณุ ภาพ การนาองคค์ วามรู้ท่ไี ด้จากการให้บริการทางวิชาการแก่สงั คมมาบูรณาการกับการเรียนการสอนใน รายวิชาการบริหารการตลาด ซ่ึงเป็นการเรียนการสอนในลักษณะ WIl ก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนา นักศึกษาดังต่อไปนี้ 1. นักศึกษามีความพร้อมมากขึ้น เนื่องจากเกิดความคิดรวบยอดจากการเรียนในช้ันเรียนก่อน ออกไปเรียนรู้เชิงประสบการณ์จรงิ และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างเหมาะสมมากข้ึน 2. ช่วยพฒั นาชว่ ยใหเ้ กิดทักษะการคิด วเิ คราะห์ วิจารณญาณ การแก้ปญั หา และการตดั สินใจ 3. ช่วยพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ทักษะการทางานเป็นทีม ทักษะการส่ือสาร ทักษะการแก้ไขปัญหาความขดั แยง้ และอ่นื ๆ 4. ช่วยให้นักศึกษามีโอกาสในการประยุกต์ความรู้ ทักษะการทางาน และทักษะเฉพาะท่ีสัมพันธ์ กับวชิ าชพี ได้รู้จักชีวติ ท่ีแท้จรงิ ของการทางานซึ่งทักษะดังกล่าวจะเปน็ ประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเป็นบัณฑิต ทม่ี ที ักษะและความเชี่ยวชาญ สามารถปฏิบัติงานได้จริง สอดคล้องกับแนวทางการผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติท่ี มหาวทิ ยาลยั ไดก้ าหนดแนวทางไว้ บรรณานุกรม 1. Gourlay, Stephen (2003), \"The SECI model of knowledge creation: some empirical shortcomings\", 4th European Conference on Knowledge Management, Oxford, England, 18-19 Sep 2003 2. Nonaka, Ikujiro (1991), \"The knowledge creating company\", Harvard Business Review, 69 (6 Nov-Dec): 96–104, archived from the original on 2009-11-25. 3. Nonaka, Ikujiro; Takeuchi, Hirotaka (1995), The knowledge creating company: how Japanese companies create the dynamics of innovation, New York: Oxford University Press, p. 284, ISBN 978-0-19-509269-1 4. Website:SECI model of knowledge dimension, https://en.wikipedia.org/wiki/SECI_model_of_knowledge_dimensions 5. Website : http://welcome2km.blogspot.com/p/seci-model-nonaka-takeuchi 1995- tacit.html?m=1
การหมนุ เกลยี วความรแู้ บบหลายมติ ิ สาหรบั การจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการสะเต็มศกึ ษา The Multidimensional Knowledge Spiral for Learning Management base on STEM Education จุฬาลกั ษณ์ วฒั นานนท์ (Julaluk Watthananon) อาจารย์ สาขาวชิ าวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี E-mail: [email protected], [email protected] บทคัดยอ่ การวิจัยในครง้ั นี้มวี ัตถุประสงคเ์ พอื่ 1) ปรบั ปรุงเทคนคิ กระบวนการของการจดั การเรยี นรู้แบบ บูรณาการสะเต็มศึกษาด้วยการหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ 2) ประเมินประสิทธิผลการปรับปรุง เทคนิค กระบวนการ ของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วยการหมุนเกลยี วความรู้แบบ หลายมิติ ผลการวิจัย พบว่า ผลการปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สะเต็มศึกษาด้วยการหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยกระตุ้นการเรียนรู้ แบบแอกทีฟ (Active Learning) และสามารถสร้างความรู้จากการปฏิบัติร่วมกันอย่างมีวิจารณญาน ส่วนผลการทดลองใชก้ ารจัดการเรียนรูแ้ บบบูรณาการสะเตม็ ศึกษา พบวา่ 1. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน และมีกระบวนการคดิ วิเคราะห์หลังเรยี น สงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั .01 2. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 2 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี น และมกี ระบวนการคดิ วิเคราะห์หลังเรียน สูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .01 3. การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และมี กระบวนการคิดวเิ คราะหห์ ลังเรียน สงู กว่าผเู้ รียนทีเ่ รียนด้วย Model 2 มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คาสาคญั : สะเตม็ ศกึ ษา การจดั การเรยี นรู้ การหมุนเกลียวความร้แู บบหลายมติ ิ Abstract The objectives of the research are to: 1) to improved process techniques for learning management base on STEM education using process of multidimensional knowledge spiral; 2) to evaluate the effectiveness of the improved process techniques for learning management base on STEM education. The research result found that: the improved process techniques learning management base on STEM education by multidimensional knowledge spiral, focusing on the students’ practice with stimulating
active learning and emphasized on the students’ knowledge construction from cooperative practice by critical thinking. In the evaluation of achievement found that: 1. The value of the posttest learning achievement and critical thinking of the instructional model 3 is higher than the value of the pretest equal 0.01 significant level. 2. The value of the posttest learning achievement and critical thinking of the instructional model 2 is higher than the value of the pretest equal 0.01 significant level. 3. The value of the posttest learning achievement and analytical thinking process of the instructional model 3 in subject of Software Engineering is higher than model 2 equal 0.01 significant level. Keywords: STEM Education, Knowledge Management, Multidimensional Knowledge Spiral บทนา สถาบันอุดมศึกษา ถือเป็นองค์กรท่ีมีความสาคัญในการขับเคลื่อนสังคมฐานความรู้และสังคม แหง่ การเรยี นรู้ ตามประกาศกระทรวงศกึ ษาธิการ เรอ่ื ง มาตรฐานการอุดมศกึ ษา (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2546) เนื่องจากภายในมหาวิทยาลัยประกอบด้วยองค์ความรู้มากมาย และก่อให้เกิดกระบวนการหมุน เกลียวของความรู้อยู่เสมอ ซ่ึงมีได้ทั้งความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ท่ีอยู่ในรูปเอกสาร ตารา และความรู้ที่ฝงั ลกึ (Tacit Knowledge) ท่ีอย่ใู นตัวบุคคลทง้ั ทเี่ ปน็ ความเชอ่ื ค่านยิ ม เหตุผล หรอื ทักษะ ในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้เกิดกระบวนการถ่ายทอด เรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดความรู้จากตัวบุคคลท้ัง จากอาจารย์ นักศึกษา หรือบุคลากรท่ีเกี่ยวข้อง สามารถแลกเปล่ียนความรู้ได้โดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรได้ศึกษาและเรียนรู้ถึงแนวปฏิบัติท่ีดี (Best-Practice) จาก “บุคลากร” ที่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ซ่ึงเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสาหรับองค์กร ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัย เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางปัญญาที่มีค่ามหาศาลด้วยเช่นกัน หากองค์กรมีการจัดการความรู้ เพื่อ รวบรวมองค์ความรู้จากบุคลากรผู้เช่ียวชาญที่มีอยู่ มาจัดทาเป็นความรู้คู่องค์กร ทาให้บุคลากรอื่น สามารถสบื ทอดความรู้ไปใช้ตอ่ ไดโ้ ดยไมป่ ลอ่ ยใหส้ ูญหาย เมอ่ื บุคลากรน้นั ออกจากมหาวทิ ยาลยั จากแนวนโยบาย การพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์วาระเร่งด่วนเกี่ยวกับการพัฒนาของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในช่วงปี 2557 – 2560 มุ่งเน้นการพัฒนามหาวิทยาลัยสู่ “มหาวิทยาลัย แห่งการสร้างนักปฏิบัติมืออาชีพ (Hands-on) ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ซึ่ง หมายถึง มหาวิทยาลัยท่ีมุ่งเน้นการผลิตบุคลากรด้านวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ท่ีมีความ เป็นมืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญ ชานาญการ มีทักษะขั้นสูง มีความสามารถในการ “คิดเป็น ทาเป็น สร้างเป็น แก้ปัญหาเป็น ส่ือสารเป็น” น่ันคือ มหาวิทยาลัยต้องเตรียมนักเรียนทุกคนให้มีความรู้ ความ เช่ียวชาญ และทักษะการดาเนินชีวิตท่ีจาเป็นต่อการเจริญก้าวหน้า และการประสบความสาเร็จบนยุค เศรษฐกิจฐานความรทู้ ไ่ี ม่มีวันสิ้นสุด อกี ทง้ั ยงั สง่ เสรมิ ให้นกั เรียนทกุ คนได้รบั โอกาสการเรยี นรู้ท่ีเท่าเทียม
กัน ประกอบกับการมีความรู้พ้ืนฐานที่ลึกซึ้งเพียงพออันจะเป็นรากฐานสาคัญต่อการเรียนรู้ และทักษะ การดาเนินชีวิตแห่งศตวรรษที่ 21 (Partnership 21, 2002; วิจารณ์ พาณิช, 2555) จะเห็นได้ว่า การ จัดการเรยี นรูแ้ บบบรู ณาสะเต็มศกึ ษา มีความสอดคล้องตรงกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลยั ท่ีมุ่งพฒั นาให้ นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ทักษะ และประสบการณ์แก้ไข สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพ เน่ืองจาก STEM เป็นรูปแบบหนึ่งที่ใช้ใน การพัฒนา และยกระดับการจัดการเรียนการสอน มีการเช่ือมโยงและแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) กระตุ้นการเรียนรู้แบบแอกทีฟ (Active Learning) และเกดิ ทักษะท่สี อดคล้องกับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ซง่ึ เป็นความทา้ ทายของผวู้ ิจัยต่อการเผยแพร่และ ปรับปรุงเทคนิค กระบวนการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาความรู้ และนาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิด ประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอนสาหรับผ้ทู สี่ นใจ จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะทาการวิจัยเรื่อง การหมุนเกลียวความรู้ แบบหลายมิติ สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา เนื่องจากการนากรอบแนวคิด พื้นฐานของ STEM เข้ามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทน้ันไม่สามารถทาได้ ครอบคลุม สาเหตุจากข้อจากัด และความหลากหลาย อาทิเช่น กรอบนโยบาย วิสัยทัศน์ พันธ์กิจ วัฒนธรรมองค์กร หลักสูตร สาระการเรียนรู้ รวมถึงของพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ดังน้ัน รูปแบบ การจัดการเรียนการสอนแบบ STEM จึงจาเป็นต้องประยุกต์ใช้กระบวนการจัดการความรู้เพื่อหมุน เกลียวความรู้หลายหลายมิติ (Multidimensional Knowledge Spiral) ให้เหมาะสมกับหลักสูตร และ รายวิชา ท่ีว่าด้วยการพัฒนาองค์ความร้ใู นด้านมิติทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และ เทคโนโลยี ซึ่งต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อสร้างตัวแบบ STEM ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ วสิ ัยทัศน์ของมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อกี ทงั้ การแขง่ ขนั ในการจดั การศกึ ษาเพอื่ ยกระดับ คุณภาพน้ัน มีการประยุกต์ใช้เทคนิคการสอนท่ีหลากหลายเพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ให้กับองค์กร ซ่ึงล้วนแล้วแต่มีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกัน การประสานจุดแข็งและขจัดจุดอ่อนเพ่ือ สร้างตัวแบบในการจัดการศึกษาแบบสะเต็มศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพและเหมาะสม จึงจาเป็นต้องอาศัย กระบวนการจัดการความรู้ท่ีเหมาะสมมาขับเคลอ่ื นหมุนเกลียว ดังคาปราชญ์โบราณได้กลา่ วไว้ “หากรู้ เขา รู้เรา รบร้อยคร้ัง ชนะร้อยคร้ัง” การบูรณาการสะเต็มศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวแบบ (Model) ทางการศึกษาที่ต้องการการอยู่รอดควรดาเนินการให้เกิดการหมุนเกลียว และถูกขับเคล่ือนอย่างไม่ ส้ินสุดในการจัดการศึกษา เพื่อให้มหาวิทยาลัยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันและเกิดการพัฒนา อยา่ งยงั่ ยืน (Sustainable Development) ต่อไป วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั การวจิ ยั ครง้ั น้ีผวู้ ิจยั กาหนดวัตถุประสงค์ ดังน้ี 1. เพ่ือปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย การหมนุ เกลียวความรแู้ บบหลายมติ ิ
2. เพื่อประเมินประสิทธิผลการปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบ บูรณาการสะเต็มศึกษา รายวิชาเทคโนโลยีส่ือประสม และรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มีวัตถุประสงค์ เฉพาะ ดงั น้ี 2.1 เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาด้วย Model 3 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษาดว้ ย Model 2 2.3 เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และกระบวนการคิดวิเคราะห์ก่อนและ หลงั เรียนดว้ ยการจดั การเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาดว้ ย Model 3 และ Model 2 วิธีการดาเนนิ การวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยในรูปแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Design) โดยมีแบบ แผนการวิจยั แบบสองกลุ่มเปรยี บเทยี บก่อนและหลงั การประยุกตใ์ ช้ Model ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1. ประชากร ได้แก่ นกั ศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ชั้นปีที่ 2 ทล่ี งทะเบยี นเรยี นรายวิชา วศิ วกรรมซอฟต์แวร์ ของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี 2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ช้ันปีท่ี 2 ที่ลงทะเบียนเรียน รายวิชาวิศกวรรมซอฟต์แวร์ ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 ของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยทาการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และสุ่มเลือก ห้องเรยี นโดยการจบั ฉลาก จานวน 2 ห้องเรียน รวมทงั้ สน้ิ จานวน 80 คน เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย 1. การจดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการสะเตม็ ศึกษาด้วย Model 3 และแผนการสอน 2. การจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษาด้วย Model 2 และแผนการสอน 3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนสาหรบั รายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ 4. แบบทดสอบกระบวนการคิดวิเคราะห์ สาหรบั รายวิชาวศิ วกรรมซอฟต์แวร์ 5. แบบประเมนิ ดา้ นความสามารถ (พฤตกิ รรม กระบวนการ คณุ ภาพของงาน) ผลการวจิ ยั การวิจัยเรื่อง การหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา พบว่า 1. การปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย การหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ โดยนิยามการหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ หมายถึง การใช้ เทคนคิ ทางการบริหารเข้ามาชว่ ยเพอ่ื ทาการปรบั ปรุงประสิทธภิ าพของการจดั การกระบวนการ และองค์
ความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวบุคคลใหม้ ีประสิทธิภาพ แล้วสามารถถ่ายทอดและกระจายองค์ความรู้น้ันไปสู่บุคคล ท่ีเก่ียวข้องกันหลายสถานการณ์ หรือบุลคลท่ีทางานใกล้เคียงกันได้อย่างมีนัยสาคัญและเกิดการเรียนรู้ บนพื้นฐานการประยุกต์ใช้โมเดลเซกิ (SECI Model) ที่ถูกเสนอโดย โนนากะ กับทาเคอูชิ (Nonaka และ Takeuchi, 1995) แบบหลายมติ ิ แสดงดงั ภาพท่ี 1 บทบาท: อาจารยผ์ สู้ อน Input: แผนการสอน, จุดประสงคร์ ายวชิ า, ตัวช้วี ดั Output: แผนการสอน, Model1 ต้ังต้น, บันทกึ การสอน, กิจกรรม CoP: อาจารย์ในสาขา หรืออาจารย์ที่นา STEM มาใช้, เพื่อน, อาจารย์ ท่จี ัดการเรียนการสอนในรายวชิ าทใี่ กล้เคียงกัน บทบาท: การศึกษาดูงานตา่ งประเทศ, การแลกเปลยี่ น บทบาท: วทิ ยากร, STEM Ambassador เรียนรู้บคุ ลากรไปต่างประเทศ Input: กจิ กรรมการสอน, จุดประสงค,์ ตวั ชวี้ ัด, องคค์ วามรู้ Output: Model2, เอกสารประกอบการบรรยาย, Input: Finland, CDID, STEM, Hokkaido, Brunei, Taiwan Output: Model3, การ Discussions, บนั ทึกแลกเปล่ยี น การ Discussions, ผลการฝึกอบรม, Portfolio CoP: ผู้เข้าอบรม, คร,ู บรษิ ัท, อาจารยศ์ าสตร์อื่น, ชมุ ชน เรียนรู้, รายงาน, คาแนะนา CoP: คณาจารย์ และบคุ ลากร, Professor บทบาท: ผู้นาเสนอบทความวิจยั , วชิ าการ Input: Model3, บทความ, รปู แบบ, วิธีการ Output: คาแนะนา, การ Discussions, ข้อเสนอแนะ CoP: Reviewer, ผู้ทรงคณุ วุฒิ, Professor ท่สี นใจเรื่องใกลเ้ คียงกัน ภาพที่ 1: การหมุนเกลยี วความรแู้ บบหลายมติ ิ สาหรับการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการสะเต็มศึกษา จากภาพท่ี 1 อธิบายวัฎจักรการหมุนเกลียวความรู้ท่ีฝังลึก (Tacit Knowledge) ที่อยู่ภายใน ตัวผวู้ จิ ยั ซง่ึ เป็นความรู้ ทกั ษะในการปฏบิ ัติ และประสบการณ์ สคู่ วามรูท้ ่ชี ัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ท่ีอยู่ในรูปของตัวหนังสือ ตารา เอกสาร และบทความวิจัย สาหรับการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็ม ศึกษาที่เรียกว่า “การหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ” มีองค์ประกอบของการยกระดับและนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ท่ีสาคัญ 5 ส่วน ที่เช่ือมโยงซึ่งกันและกัน โดยเร่ิมจาก 1) เกลียวความรู้ระดับบุคคล ซ่ึง เกดิ จากการเรียนรู้ด้วยตัวของผู้วิจยั เอง ตัง้ สมมตฐิ าน ทาการทดลองและบนั ทึกผล 2) เกลียวบรบิ ทการ เรียนการสอน เป็นการประยุกต์เข้ากับรายวิชาแล้วแลกเปล่ียนประสบการณ์กับผู้ท่ีมาปฏิสัมพันธ์ เกิด การยกระดบั ความรชู้ ัดแจ้งท่กี ว้างขวางและลึกซ้ืงขึ้น ขณะเดียวกนั 3) เกลยี วบรบิ ทการจัดฝึกอบรม คอื การถูกรับเชิญเป็นผู้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติ (Practice) ของการนาสะเต็มศึกษาเข้า มาประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนการสอน การพัฒนากระบวนการทางาน ซึ่งจะเกิดชุมนุมนักปฏิบัติ (Community of Practice: CoP) ของกลุ่มจากการถาม-ตอบระหว่างการบรรยาย เกิดการยกระดับ เกลยี วความรู้ข้ึนไปอีกระดบั สู่ 4) เกลียวบรบิ ทการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างองค์กร เกิดจากการเรียนรู้ วิธีการสอนแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งการแลกเปล่ียนประสบการณ์ด้านการสอนกับต่างประเทศ เกิดเป็น ความรใู้ หมห่ รือเพิ่มเติมเข้ามา แลว้ นามาปรับปรุงกระบวนการ เทคนคิ วิธีให้มีความชดั เจน และยืนหยุ่น
มากข้ึน และ 5) เกลียวบริบทการเผยแพร่ตีพิมพ์บทความ ทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อเป็น การนาเสนอแนวปฏบิ ตั ทิ ดี่ ี (Best Practice) ทผี่ ู้อ่ืนสามารถนาไปใชง้ านได้ ซ่ึงจะเป็นการยกระดบั เกลียว ความรู้ที่ใหญ่ข้ึนไปอีก โดยท่ีการหมุนเกลียวความรู้จะดาเนินการต่อเนื่องเรื่อยไปไม่มีที่ส้ินสุด อันจะ ข้ึนอยกู่ ับปัจจัยต่าง ๆ ทส่ี ่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภาพท่ี 2: รูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบบรู ณาการสะเต็มศึกษาดว้ ย Model 3 จากภาพท่ี 2 แสดงรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 (Julaluk, 2018) แบ่งกระบวนการออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลนาเข้า ได้แก่ คาอธิบายรายวิชา แผนการสอนรายสัปดาห์ จุดประสงค์การเรียนรู้ และคุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียน (ความรู้ ทักษะ และสมรรถนะ) 2) กระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ โดยการจัดกิจกรรมสอดแทรกไปตามเน้ือหาท่ี เก่ียวขอ้ งซง่ึ ตอ้ งคานึงถึงตัวชว้ี ดั และจดุ ประสงคข์ องกิจกรรมน้ัน ๆ เป็นเกณฑ์ ซึง่ จะเห็นได้ว่าการทางาน ไม่จาเป็นต้องมีลาดับท่ีแน่นอน โดยข้ันตอนทั้งหมดสามารถสลับไปมา หรือย้อนกลับข้ันตอนได้ตาม ความเหมาะสมของสถานการณ์ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา และความสอดคล้องที่เป็นจริงใน หอ้ งเรียน โดยสิง่ ทีค่ วรคานึงจากการจัดการเรยี นรู้แบบบรู ณาการสะเต็มศึกษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดต่อผู้เรียน คือ การจัดการเรียนสอนโดยเน้นประสบการณ์ตรงให้ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันแก่ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ และการจดั บรรยากาศในช้นั เรียนที่ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ทักษะ และความเช่ยี วชาญใน การกลา้ แสดงออก กลา้ ลงมือปฏิบัติ และกลา้ แสดงความคดิ เหน็ เพื่อแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ในช้นั เรยี น ซึ่งจะ ส่งผลให้เกิดการสร้างและถ่ายเทความรู้กันภายในห้องเรียนที่เรียกว่า CoP ระดับอนุภาคของผู้เรียน ภายใต้กิจกรรมและสาระสาคัญบนพนื้ ฐานของการเรยี นรู้อย่างมคี วามสุข (Happiness Learning) และ 3) ผลลัพธ์ของกระบวนการ ซ่ึงจะใช้ประเมินผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน โดยแบ่งเป็นการทดสอบ การ ประเมินจากสภาพจริง และการวัดและประเมินผลด้านความสามารถ ซึ่งต้องทาการประเมินอย่าง ต่อเนื่อง ซ่ึงสามารถนามาเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพ่ือปรับกระบวนการ กิจกรรมและตัวแปร อ่ืน ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งใหเ้ หมาะสมในการเรียนการสอนต่อไปได้ 2. ประสิทธิผลการปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็ม ศกึ ษา สาหรับรายวิชาวศิ วกรรมซอฟต์แวร์ ดงั นี้
2.1 ผู้เรียนท่ีเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model V.3 สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ มีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ หลังเรียน สูงกวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 แสดงดงั ตารางท่ี 1 และ 2 ตารางท่ี 1: ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรยี นของผู้เรียนแบบบรู ณาการสะ เต็มศึกษาดว้ ย Model 3 ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ กอ่ นเรียน 6.50 2.148 7.68 15.067** 39 0.000 หลงั เรียน 14.18 2.263 **p<.01 จากตารางท่ี 1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศกึ ษาดว้ ย Model 3 สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หลงั เรียน (������̅= 14.18, S.D. = 2.263) สูงกวา่ กอ่ นเรยี น (������̅= 6.50, S.D. = 2.148) อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .01 ตารางท่ี 2: ผลการเปรียบเทียบกระบวนการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของผู้เรียน แบบบูรณาการสะเต็มศกึ ษาด้วย Model 3 ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ ก่อนเรียน 7.10 2.437 7.58 29.091** 39 0.000 หลงั เรยี น 14.68 2.515 **p<.01 จากตารางที่ 2 พบว่า กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณของผู้เรียนท่ีเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หลังเรียน (������̅= 14.68, S.D. = 2.515) สูงกว่าก่อนเรียน (������̅= 7.10, S.D. = 2.437) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.2 ผู้เรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 2 สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอตฟ์แวร์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ หลังเรียน สงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 แสดงดงั ตารางที่ 3 และ 4 ตารางที่ 3: ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรยี นของผู้เรียนแบบบรู ณาการสะ เต็มศกึ ษาดว้ ย Model 2 ก่อนเรียน ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ หลังเรยี น 5.98 1.954 12.98 2.130 7.00 17.213** 39 0.000 **p<.01
จากตารางท่ี 3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศึกษาด้วย Model 2 สาหรับรายวชิ าวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หลงั เรยี น (������̅= 12.98, S.D. = 2.130) สงู กว่า ก่อนเรียน (������̅= 5.98, S.D. = 1.954) อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01 ตารางท่ี 4: ผลการเปรียบเทียบกระบวนการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของผู้เรียน แบบบรู ณาการสะเตม็ ศกึ ษาดว้ ย Model 2 ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ กอ่ นเรียน 6.80 2.244 6.15 19.258** 39 0.000 หลงั เรียน 12.95 2.230 **p<.01 จากตารางที่ 4 พบว่า กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณของผู้เรียนท่ีเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาด้วย Model 2 สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หลังเรียน (������̅= 12.95, S.D. = 2.230) สูงกว่าก่อนเรียน (������̅= 6.80, S.D. = 2.244) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 2.3 ผู้เรียนท่ีเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน และมีกระบวนการคิดวิเคราะหห์ ลังเรียน (������̅= 14.68, S.D. = 2.52) สงู กวา่ ผู้เรยี นที่เรียน ด้วย Model V.2 (������̅= 12.95, S.D. = 2.23) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงดังตารางท่ี 5 และ 6 ตารางที่ 5: ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นของผู้เรียนระหว่างการแบบบูรณาการ สะเตม็ ศกึ ษาดว้ ย Model 3 และ Model 2 n ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ กลุ่มทดลอง 3 40 14.18 2.26 1.20 2.442** 78 0.008 กลมุ่ ควบคุม 2 40 12.98 2.13 **p<.01 จากตารางที่ 5 พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนของผู้เรียนกลุ่มทดลองด้วยการบูรณา การสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 สูงกว่าผู้เรียนที่ควบคุมการเรียนด้วยการบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 2 อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01 ตารางที่ 6: ผลการเปรียบเทียบกระบวนการคิดวิเคราะห์หลังเรียนของผู้เรียนระหว่างการแบบบูรณา การสะเตม็ ศึกษาด้วย Model 3 และ Model 2 n ������̅ ������. ������. ������ ������ ������������ ������ กลมุ่ ทดลอง 3 40 14.68 2.52 1.73 3.246** 78 0.001 กล่มุ ควบคุม 2 40 12.95 2.23 **p<.01
จากตารางท่ี 6 พบว่า กระบวนการคิดวิเคราะห์หลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนโดยใช้การบูรณา การสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 สูงกว่าผู้เรียนที่เรียนโดยใช้การบูรณาการสะเต็มศึกษาด้วย Model 2 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากผลการตอบคาถามจะแบบทดสอบ กระบวนการคิดวิเคราะห์ และแบบประเมินด้านความสามารถ ท่ีมีการเชื่อมโยงมิติความสัมพันธ์ของ ศาสตรค์ วามรู้ รว่ มกับประสบการณ์ไดอ้ ยา่ งมีวิจารณญาณ อภปิ รายผลการวิจยั 1. การปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการสะเต็มศึกษาดว้ ยการ หมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติ พบว่า การหมุนเกลียวความรู้มีองค์ประกอบของการยกระดับและนา ความรไู้ ปใช้ประโยชน์สาคญั 5 ส่วน คอื 1) เกลียวความรรู้ ะดบั บคุ คล 2) เกลียวบรบิ ทการเรยี นการสอน 3) เกลียวบริบทการจัดฝึกอบรม 4) เกลียวบริบทการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างองค์กร และ 5) เกลียว บริบทการเผยแพรต่ พี ิมพบ์ ทความ ซง่ึ เป็นการกระตุ้นการแลกเปล่ียนความรู้ เพื่อยกระดับและทาให้เกิด ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น จึงเป็นแนวทางในการพัฒนาสู่แนวปฏิบัติท่ีดีที่สุด (Best Practice) สาหรับการ เรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษา ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีพ้ืนฐานการคิดวิเคราะห์ด้วยหลักการทาง วิทยาศาสตร์ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจัยของริวาร์ด และสตรอ (Rivard & Straw, 2000) เกี่ยวกับผล การเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ท่ีสามารถสร้างความชัดเจนให้กับกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างเป็น ระบบได้ 2. ประสิทธิผลการปรับปรุงเทคนิค กระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็ม ศึกษา สาหรับรายวิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ พบว่า การนาแนวปฏิบัติที่ดีของ Model 3 มาประยุกต์ใช้ กับการเรียนการสอน ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนสูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เน่ืองจากลักษณะสาคัญของสะเตม็ ศึกษาประกอบด้วย 5 ประการ ได้แก่ 1) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ บูรณาการความรู้ และทักษะของวิชาที่เกี่ยวข้องในสะเต็มศึกษาในระหว่างการเรียนรู้ 2) มีการท้าทาย ผู้เรียนให้ได้แก้ปัญหาหรือสถานการณ์ท่ีผู้สอนกาหนด 3) มีกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้แบบแอกทีฟ (Active Learning) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของจุฬาลักษณ์ (Julaluk, 2015) 4) ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนา ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านการทากิจกรรมหรือสถานการณ์ท่ีผ้สู อนกาหนดให้ และ 5) สถานการณห์ รือ ปัญหาท่ีใช้ในกิจกรรมมีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจาวันของผู้เรียนหรือการประกอบอาชีพในอ นาคต (สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2557) กล่าวโดยสรุป ถึงแม้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาด้วย Model 3 ถูกเรียกว่า Best Practice หรือแนวปฏิบัติที่ดีในปัจจุบันก็ตาม ผู้วิจัยยังคงต้องมีการปรับปรุงกระบวนการ เพ่ือหมุน เกลียวและยกระดับความรู้ต่อไปอย่างสม่าเสมอ เนื่องจากความรู้ไม่ได้หยุดน่ิง ยังคงเกิดเทคนิค วิธีการ หรือองค์ความรู้ใหม่มากมาย ตลอดจนพฤติกรรมผู้เรียน สังคม นโยบายถูกปรับเปล่ียนไป โมเดลหรือ แนวปฏิบัติท่ีนามาใช้กับการเรียนรู้ย่อมต้องปรับเปล่ียนด้วยเช่นกัน ดังนั้น การบูรณาการสะเต็มศึกษา
จึงเป็นส่วนหน่ึงของตัวแบบ (Model) ทางการศึกษาท่ีต้องถูกพัฒนาอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างตัวแบบ STEM Education ใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกับวิสัยทศั น์ของมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งตอ่ ไป 1. การศึกษาครั้งน้ี เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาของผู้วิจัย เท่านั้น เพ่ือให้ผลการศึกษาสามารถต่อยอด และเกิดการหมุนเกลียวความรู้แบบหลายมิติท่ีเป็น มาตรฐาน อาจขยายขอบเขตการศึกษาสู่รายวิชาที่มีความหลายหลายเพิ่มมากขึ้น เพื่อนาผลการวิจัยที่ ไดไ้ ปพฒั นากระบวนการหมุนเกลยี วความรไู้ ด้ดยี ง่ิ ข้นึ 2. หน่วยงานควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice : CoP) เพ่ือเช่อื มโยงความรู้ระหวา่ งรปู แบบการจดั การเรียนการสอนตา่ ง ๆ เพ่อื ใหเ้ กดิ การแลกเปลย่ี นความรู้ และประสบการณ์ซง่ึ กนั และกัน บรรณานุกรม Julaluk Watthananon. (2015). A Comparison of the Effectiveness of STEM Learning and Imagineering Learning by Undergraduate Student in Computer Science. International Journal of the Computer, the Internet and Management. Vol 23, No. 1 (January – April 2015) pp. 45 – 52. Julaluk Watthananon. (2018). A framework of learning achievement by STEAM education for system analysis and design in case study RMUTT. Asia-Pacific Journal of Sciences and Technology. Vol. 23, Issue. 02. Partnership 21. (2002). Our vision and mission. Retrieved from www.P21.org Rivard, L. P. & Straw, S. B. (2000). The Effect to Talk and Writing on Learning Science: An Exploratory Study. Science Education. 84: 566 – 593. กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). มาตรฐานการอดุ มศึกษา. สืบคน้ เม่อื 1 กมุ ภาพันธ์ 2562, จาก http://www.mua.go.th/users/bhes/catalog_h/StdEdu/LawBse/01.pdf ทิพวรรณ หล่อสวุ รรณรตั น์. (2549). องคก์ รแห่งความรู้: จากแนวคิดสกู่ ารปฏิบัติ (พิมพ์คร้งั ท่ี 3). กรุงเทพฯ : รตั นไตร. แผนพัฒนาเชิงยุทธศาสตรว์ าระเร่งดว่ น มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. 2557 – 2560. วจิ ารณ์ พาณิช. (2555). วิถีสรา้ งการเรียนรคู้ รูเพอ่ื ศกิ ษใ์ นศตวรรษที่ 21. สืบคน้ จาก www.noppawat.sskru.ac.th/data/learn_c21.pdf สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา. (2557). คมู่ อื ประกนั คุณภาพการศึกษา. นนทบรุ ี: ภาพพมิ พ.์
อาพร ปินตาแกว้ และธรรมนูญ พอ่ ค้าทอง. (2558). การจัดการความรขู้ องกองทนุ สวสั ดิการชุมชนใน ตาบลสารภี อาเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่. วารสารวิชาการการตลาดและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี, 2(1), 86 – 95. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.). กระทรวงศึกษาธิการ. (2557). หลกั สูตร อบรมศกึ ษานิเทศก์. กรุงเทพมหานคร. Nonaka, I. and Takeuchi, H. (1995). The knowledge-creating company. How Japanese companies create the dynamics of innovation, Oxford University Press, Oxford.
โครงการประชุมสมั มนาเครอื ขายการจดั การความรฯู คร้งั ท่ี 12 “การจัดการความรูสูมหาวิทยาลัยนวตั กรรม” (Knowledge Management : Innovative University) นวตั กรรมการเรียนการสอนรปู แบบโครงงานเปนฐาน PBL (Project-based Learning) คณะสถาปตยกรรมศาสตร Innovative Learning of Project-based Learning for Faculty of Architecture นายกติ ตกิ ุล บญุ เปลีย่ น (Gittigul Boonplien)1 นางสาวศตี ลา กลนิ่ รอด (Sritala Klinrod)2 นายขจร สที าแก (Khajorn Seetakae)3 นางสาวชษิ ณุชา ขัมภรัตน (Chidsanucha Khamparat)4 1อาจารยป ระจําคณะสถาปต ยกรรมศาสตร มทร.ธญั บรุ ี [email protected] 2อาจารยประจําคณะสถาปต ยกรรมศาสตร มทร.ธญั บุรี [email protected] 3อาจารยป ระจําคณะสถาปต ยกรรมศาสตร มทร.ธัญบรุ ี [email protected] 4อาจารยป ระจําคณะสถาปต ยกรรมศาสตร มทร.ธัญบุรี [email protected] ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. บทสรปุ การสรางนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบโครงงานเปนฐาน PBL (Project-based Learning) ดวยกระบวนการจัดการความรูสูมหาวิทยาลัยนวัตกรรม เปนสิ่งที่องคกรตองให ความสําคัญตั้งแตระดับผูบริหาร ผูรับผิดชอบหลักสูตร และผูสอนรวมกันจัดกิจกรรมการ แลกเปล่ียนเรียนรู เพ่ือคนหาแนวทางการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ใหมีความชัดเจนและ ทันสมัย เปนเทคนิคใหมที่ทําใหผูสอนจัดการเรียนการสอนใหกับผูเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ เปนไปตามทิศทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยและวัตถุประสงคของหลักสูตร ทําใหผูเรียน สามารถเรียนรูไดดีมากยิ่งข้ึน ผูสอนใชเทคนิคการเรียนการสอนไดเช่ียวชาญ นําไปสูบัณฑิตนัก ปฏิบัติผูเช่ียวชาญนวัตกรรมและเทคโนโลยีดานสถาปตยกรรม เกิดมุมมองรวมกันท่ีเห็นถึง ความสําคัญของชุมชนแหงการเรียนรู เกิดเปนแนวทางปฏิบัติที่ดีสามารถนําไปพัฒนาตนเอง ทีม และกระบวนการทํางานภายในคณะฯที่เปนระบบข้ันตอนมากยิ่งขึ้น สูการสรางนวัตกรรมการ เรยี นการสอน จําเปนตอ งพัฒนาเพ่อื ทําใหชมุ ชนแหง การเรยี นรูมปี ระสิทธิภาพและย่ังยนื ตอ ไป คําสําคัญ : นวัตกรรมการเรียนการสอน, การเรียนการสอนรูปแบบโครงงานเปนฐาน, ชุมชนแหง การเรยี นรู
Summary The creation of innovative teaching and learning projects in the form of PBL (Project-based Learning) with (KM) knowledge management process to the innovative university ; Is something that the organization must focus on at the executive level, course director and instructors together organize activities to exchange knowledge. To find ways to develop teaching and learning styles to be clear and modern ; Is a new technique that allows instructors to use teaching to students effectively. Accordance with the direction of the university's drive and course objectives. Enabling learners to learn more better and Instructors use expert teaching techniques. Leading to graduates - practitioners to experts innovations and architectural technologies. A common view that sees the importance of the learning community. Is a good practice that can lead to self- improvement, teamwork and work processes within the faculty that are more systematic steps. The create innovative teaching and learning need to develop in order to make the learning community more efficient and sustainable. Keywords : Innovative teaching and learning, PBL (Project-based Learning), CoP (Community of Practice)
บทนํา วิธีการเรียนการสอนของคณะสถาปตยกรรมศาสตร มทร.ธัญบุรี เปนการจัดการเรียน การสอนรูปแบบโครงงานเปนฐานผานกระบวนการคิดวิเคราะหและนําเสนอผลงาน หรือที่ เรียกวา PBL (Project-based Learning) การจัดการเรียนรูแบบใชโครงงานเปนฐาน เปนการ จดั การเรียนรูท่ีมีผูสอนเปนผูกระตุนเพ่ือนําความสนใจที่เกิดจากตัวผูเรียนมาใชในการทํากิจกรรม คนควาหาความรูดวยตัวผูเรียนเอง นําไปสูการเพ่ิมความรูท่ีไดจากการลงมือปฏิบัติ การฟงและ การสังเกตุจากผูเช่ียวชาญโดยผูเรียนมีการเรียนรูผานกระบวนการทํางานเปนกลุม ที่จะนํามาสู การสรุปความรูใหม มีการเขียนกระบวนการจัดทําโครงงานและไดผลการจัดกิจกรรมเปนผลงาน แบบรูปธรรม (ดุษฎี โยเหลา และคณะ, 2557) ซ่ึงใชกับรายวิชาสวนใหญในหลักสูตรท้ัง 2 หลักสูตร คอื เทคโนโลยีสถาปตยกรรมและสถาปตยกรรมภายใน โดยกระบวนการของ PBL (Project-based Learning) เปนกิจกรรมท่ีตอเนื่องที่ยังพบ ปญหาและอุปสรรคในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจนไปถึงการประเมินผล เนื่องจากการ จัดการเรียนรูแบบใชโครงงานเปนฐานมีสวนประกอบขององคความรูและความชํานาญทางดาน ทักษะ จะมีความแตกตางกันระหวางโครงงานท่ีเปนโจทยจากผูสอนกับโครงงานที่เปนโจทยจาก สถานประกอบการจริง ซึ่งโจทยใ นรายวชิ าจะถูกประเมินโดยผสู อนและผูเรียนเปนหลกั เทานั้น ใน บางครั้งผูส อนมีการปรับเปลย่ี นโจทยใหท นั ตามยุคสมัย เนนความคิดสรา งสรรคและอาจจะไมตรง กับการวัดและประเมินผลตามหลักสูตร จนไปถึงความเขา ใจของผสู อนและผูเรยี นในเรื่องดงั กลาว ทแี่ ตกตางกนั สูรูปแบบการเรยี นการสอนท่มี ีความเปน เอกลักษณของผูส อนในรายวชิ า ซ่ึงกระบวนการของ PBL (Project-based Learning) ท่ีผูสอนไดใชอยูภายในคณะฯ มี เทคนิคที่นาสนใจมากมาย มีผลสัมฤทธ์ิของการเรียนการสอนรูปแบบน้ีท่ีชัดเจน และหลายทานมี ความต้ังใจที่ถายทอดเทคนิคตางๆออกมา จึงเปนแนวคิดในการใชกระบวนการจัดการความรู KM มาเปนเคร่ืองมือในการเขาถึงความรูและเผยแพรเทคนิคการเรียนการสอนรูปแบบโครงงานเปน ฐาน ผา นถายทอดจุดเดน จุดดอย ปญ หาทเ่ี กิดขน้ึ และแนวทางการแกไข ดว ยการแลกเปลี่ยนการ เรียนรูรูปแบบการเรียนการสอนของผูสอนภายในคณะฯ ไปสูนวัตกรรมการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพมากขนึ้ ตอไป วธิ กี ารดําเนนิ งาน การดําเนินงานสูการสรางนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ไดประยุกตใชหลักการ PDCA ของ W. Edwards Deming มากําหนดเปนวิธีการ ดาํ เนนิ งานดังน้ี
1.การวางแผน (Plan) ผสู อนทบทวนผลการเรยี นการสอนทใ่ี ชร ปู แบบโครงงานเปนฐาน ของปท ่ีแลวในรายวชิ าตาง ๆ เพื่อเปนแนวทางการพัฒนาการเรยี นการสอนใหมีประสทิ ธภิ าพและ ชัดเจนยิ่งข้ึน โดยการทบทวนวัตถุประสงคของหลักสูตรหรือ มคอ.2 เพื่อเขาใจจุดมุงหมายของ การเรียนการสอน ทบทวนคําอธิบายรายวิชาเพื่อกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือขั้นตอน ตาง ๆท่ีนําไปสูวัตถุประสงคของรายวิชา ทบทวนวิธีการมีสวนรวมระหวางผูสอนและผูเรียนเพื่อ กําหนดคุณสมบัติผูเรียนและเน้ือหาของการเรียนรูที่เหมาะสม เชน ทบทวนวิธีการประเมินความ พรอมผูเรียน ทบทวนวิธีการกําหนดจํานวนและเน้ือหาของโครงงาน และกําหนดกิจกรรมการ เรยี นการสอนและการประเมินผล เพอ่ื วางแผนการเรียนการสอนของกลุมผูสอนที่จะนํานวตั กรรม การเรยี นการสอนรปู แบบ PBL (Project-based Learning) ไปใชใ นรายวิชา 2.การปฏิบัติ (Do) กลุมผูสอนนํานวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project- based Learning) ไปใชในรายวิชาดวยเทคนิคการเรียนการสอนที่ชัดเจน มาแลกเปลี่ยนเรียนรู ถายทอดกิจกรรมตาง ๆ และผลตาง ๆใหกับอาจารยภายในคณะ ต้ังแตเทคนิคการวางแผน รายวิชา เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน และเทคนิคการประเมินผลการเรยี นการสอน 3.การตรวจสอบ (Check) หลังจากกลุมผูสอนนํานวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ไปใชในรายวิชาดวยเทคนิคการเรียนการสอนท่ีไดจากการ แลกเปลี่ยนเปนระยะ แบงปนขอมูลจากเครื่องมือท่ีสรุปรว มกัน มารวบรวมขอมูลและประเมินผล ของกระบวนการที่นาํ ไปใช วาเปนไปตามหลักการหรือเทคนิคท่ีนาํ ไปใชหรอื ไม 4.ปรับปรุง (Act) นําผลการดําเนินงานการจัดการเรียนการสอนมาแลกเปล่ียนเพ่ือ ปรับเปล่ียนวิธีการวางแผน หรือปรับเปลี่ยนวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สรางหัวขอหรือ โจทยที่นาสนใจ ปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินผลใหชัดเจนเหมาะสมยิ่งข้ึน ซ่ึงจะนําผลการ ดําเนนิ งานทั้งหมดในการใชและเทคนคิ ตาง ๆรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ในแตละ ปการศึกษา มาเก็บรวบรวมเอาไวเปนฐานขอมูล เพ่ือพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในป การศกึ ษาตอไป โดยใชการดําเนินงานท้ังหมดไดนํากระบวนการจัดการความรู KM มาเปนเครื่องมือใน การเขาถึงความรูและเผยแพรเทคนิคการเรียนการสอนรูปแบบโครงงานเปนฐาน ออกเปน 7 ข้ันตอนดังนี้ 1.การบงช้ีความรู (Knowledge Identification) คณะสถาปตยกรรมศาสตร มทร. ธัญบุรี มีวิสัยทัศนที่วาดวย “สรางสรรคนวัตกรรมความรูดานสถาปตยกรรม สูการปฏิบัติและ พัฒนา” มียุทธศาสตรทั้ง 6 ดานตามการขับเคลื่อนของมทร.ธัญบุรี และเปาหมายของคณะฯ คือ การผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติผูเชี่ยวชาญนวัตกรรมและเทคโนโลยีดานสถาปตยกรรม ประกอบไป ดวย 2 หลักสูตร คือ เทคโนโลยีสถาปตยกรรมและสถาปตยกรรมภายใน ซ่ึงเร่ิมตนจากการ
ประชุมผูบริหารและกําหนดวิธีการรวมกันไปสูผูรับผิดชอบกิจกรรมในสวนตาง ๆ ในการ พัฒนาการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) เพื่อเปนเทคนิคในการเพ่ิม ประสทิ ธภิ าพการเรียนการสอน 2.การสรางและแสวงหาความรู (Knowledge Creation and Acquisition) การ พัฒนาการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ดวยการสรางความรูหรือ เทคนิคการเรียนการสอนท่ีชัดเจนขึ้นเปนแบบใหม โดยการจัดกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติ แลกเปล่ียนเรียนรูถึงการเรียนการสอนที่ใช PBL (Project-based Learning) ทบทวนในส่ิงที่ ชัดเจนมีประสิทธิภาพ ทบทวนในสิ่งที่กอใหเกิดปญหาตามมา และทําการเชิญวิทยากรภายนอก มาแลกเปลย่ี นเรยี นรกู ับผูสอนทกุ ทา นในคณะฯ 3.การจัดการความรูใหเปนระบบ (Knowledge Organization) เปนการวาง โครงสรางความรู เปนการเตรียมพรอมการจัดการความรูอยางเปนระบบดวยทีมทํางานเฉพาะ สําหรับอํานวยความสะดวก จัดพื้นที่สําหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู เก็บรวบรวมเอกสารและความรู ตาง ๆ เพื่อสรา งบรรยากาศใหก บั ชุมชนการเรียนรูของคณะฯ 4 .ก า ร ป ร ะ ม ว ล แ ล ะ ก ล่ั น ก ร อ ง ค ว า ม รู (Knowledge Codification and Refinement) ปรบั ปรุงรูปแบบเอกสารความรใู หเ ปน รูปแบบเดยี วกัน สรา งเคร่ืองมือท่ีใชรว มกัน ใหชัดเจนย่ิงข้ึน ปรับปรุงรูปแบบเนื้อหาใหสมบูรณเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) แสดงถงึ เทคนคิ ที่มีประสิทธภิ าพและเขา ใจงาย 5.การเขาถึงความรู (Knowledge Access) ทําใหผูใชความรูเขาถึงความรูที่ตองการ ไดงายและสะดวก จึงจัดตั้งกลุม Facebook เพื่อการเผยแพรความรูผานระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ และกลุม E-mail เพ่ือการเก็บรวบรวมเอกสารหรือการปรับเปลี่ยนเอกสารตาง ๆ ได สะดวกขึน้ ของกลุม ทีมงานอาํ นวยการ 6.การแบงปนแลกเปล่ียนความรู (Knowledge Sharing) จัดกิจกรรมแลกเปล่ียน เรียนรูเปนระยะ เพื่อสรางบรรยากาศของชุมชนการเรียนรู ผานการอภปิ รายกลมุ ประชุมสัมมนา เชิงปฏิบัติการ ในรูปแบบที่เปนระบบข้ันตอนท่ีชัดเจนและจัดเก็บขอมูลในการแลกเปลี่ยนเรียนรู ในแตละคร้งั ในระบบฐานขอมูลกลางของคณะฯ 7.การเรียนรู (Learning by Doing) จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อติดตามและ ประเมินผล จากการนําเทคนิคหรือความรูการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ไปใช เพื่อหาแนวทางการพฒั นาความรูใหมตอไป
ผลการดาํ เนนิ งาน ผลที่เกิดข้ึนหลังจากการดําเนินงานสรางนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ดวยกระบวนการจัดการความรู KM มาเปนเครื่องมือในการเขาถึง ความรแู ละเผยแพรเทคนคิ ตา ง ๆ ผลทไ่ี ดร บั มดี งั น้ี 1. ผลการจัดกจิ กรรมการจัดการเรียนรู คณะสถาปตยกรรมศาสตร มทร.ธัญบุรี มีการแตงตั้งคณะกรรมการดําเนินการจัดการ ความรู เพื่อทบทวนวิสัยทัศนและยุทธศาสตรท้ัง 6 ดาน ดวยการประชุมผูบริหารและกําหนด วิธกี ารรวมกนั ไปสูผูรบั ผิดชอบกจิ กรรมในสวนตาง ๆ ในการพัฒนาการเรยี นการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) เพ่ือเปนทีมสําหรับการจัดกิจกรรมชุมชนนักปฏิบัติแลกเปลี่ยน เรียนรู ทบทวนในส่ิงท่ีชัดเจนมีประสิทธิภาพ ทบทวนในสิ่งที่กอใหเกิดปญหาตามมา และทําการ เชิญวิทยากรภายนอกมาแลกเปลย่ี นเรยี นรูกับผสู อนทุกทา นในคณะฯ ซงึ่ ไดรบั เกียรตจิ ากวทิ ยากร ภายนอก คือ ผูชวยศาสตราจารย ดร.ธีระวัฒ น เหมือนศรีชัย อาจารยประจําคณ ะ วศิ วกรรมศาสตร มทร.ธัญบุรี มาใหความรูและแลกเปลี่ยนเกีย่ วกับการจัดการความรจู ากทฤษฎีสู ปฏิบัติวาดวย การเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) เพื่อจัดการความรูให เปนระบบเปนฐานขอมูลและคูมือเทคนิคฉบับราง และระดับกลุมยอย และรวบรวมขอมูลที่ แลกเปลี่ยนเรียนรูไปจัดเก็บความรูตามประเด็นที่กําหนดไว เขาไปในระบบและเปนลายลักษณ อักษรเผยแพรผานฐานขอมูลเว็บไซด Facebook Group : KM Arch RMUTT และ Dropbox KM Arch RMUTT ตลอดจนเผยแพรผานเว็บไซตของคณะฯ และ Facebook Group : น้ําไม ทวมคณะสถาปต ย เพอื่ ใหบุคลากรหรือบุคคลทว่ั ไปไดนําไปใชประโยชนไ ด ประเด็นการใชเทคนิคการเรียนการสอนมุงเนน Active Learning : Project-Based Learning กลุมเปาหมายคือ ผูสอนท่ีมีประสบการณสอนมามากกวา 3 ปและเปนผูรับผิดชอบ รายวชิ า ท่สี นใจประเดน็ นแ้ี ละมีความรใู นประเดน็ น้จี ํานวน 5 คน ดวยการจดั กจิ กรรมแลกเปลย่ี น แนวปฏิบัติที่ดีประเด็นการใชเทคนิคการเรียนการสอนทั้งในรายวิชาหลักและรายวิชาเทคโนโลยี ซ่ึงดําเนินการจัดการเรียนการสอนที่ผานมาโดย ผศ.ดร.วรากร สงวนทรัพย ในรายวิชาการ ออกแบบสถาปตยกรรม 4, อาจารยภูริวัฒน ไชยมีสุข ในรายวิชาการออกแบบสถาปตยกรรม 3, อาจารยณ ัฐวุฒิ เท่ียงตรง ในรายวิชาการออกแบบสถาปต ยกรรม 7 และอาจารยชวาน พรรณดวง เนตร ในรายวิชาโครงสรางและการกอสรางอาคาร ไดใชเทคนิคการเรียนการสอนมุงเนน Active Learning : Project-Based Learning ทั้งหมดนําเสนอการวางแผนการเรียนการสอน รูปแบบ การสอนท่ีใช และวิธีการประเมินผลการเรยี นตาง ๆ มาแลกเปลีย่ นเทคนิคซงึ่ กันและกนั
พบวา มีเทคนคิ การวางแผนการเรียนการสอนจากทกั ษะผเู รียนเปนหลกั หรือส่ิงที่ผูเ รยี น ตองมีการเรียนรูและทักษะไดตามเกณฑของรายวิชา รูปแบบการเรียนการสอนที่ทําใหผูเรียน สนใจผานกิจกรรมเด่ียวหรือกลุม วิธีการกระตุนตาง ๆ การประยุกตใชการจัดกิจกรรมอ่ืน ๆ รวมกับโครงงานดวย ท้ังรูปแบบระยะส้ันและระยะยาว และวิธีการประเมินผลการเรียนจาก รูปแบบระบบเอกสาร โครงงานเสริม และการใชเทคโนโลยีส่ือสารมามีสวนรวมดวย ผลท่ีผานมา ปรากฏวา ทักษะการเรียนรูของผูเรียนท้ังแบบเดี่ยวหรือกลุมมีความหลากหลายตามแตละรุน มี ความหลากหลายของโครงงานท่ีสอดคลองกับสถานการณในชวงเวลาหรือปน้ัน ๆ เปนไปตาม โจทย ซ่ึงผลของโครงงานผูเรียนเปนช้ินงานที่ดีและมีคุณภาพ สงผลใหผูเรียนมีทักษะในการคิด สรางสรรคแ ละทาํ ผลงานไดเปน ไปตามเปาหมายของรายวิชา หลังจากนัน้ จึงรวมกันสรา งเคร่อื งมือท่ีชัดเจนเปนกลางไวสําหรับการนําไปใชจัดการเรียน การสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ในรูปแบบใหมท่ีแสดงถึงเทคนิคที่มี ประสิทธิภาพและเขาใจงาย เขาไปไวในระบบฐานขอมูลท่ีผูใชความรูเขาถึงความรูที่ตองการได งายและสะดวก Facebook Group : KM Arch RMUTT และ Dropbox KM Arch RMUTT ตลอดจนเผยแพรผ านเว็บไซตข องคณะฯ และ Facebook Group : นํ้าไมทวมคณะสถาปตย เพื่อ การเผยแพรความรูผานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเกบ็ รวบรวมเอาไว ซึ่งมีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรูเปนระยะ เพื่อสรางบรรยากาศของชุมชนการ เรียนรูระหวางกลุมผูสอนที่ถายทอดเทคนิคการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project- based Learning) และกลุมผูสอนท่ีนําเทคนิคผานเคร่อื งมือดังกลาวไปใชในเทอมถัดมา ดวยการ อภิปรายและแลกเปล่ียนเรยี นรู ประชุมสัมมนาเชิงปฏิบตั ิการเพือ่ ตดิ ตามและประเมนิ ผล จากการ นําเทคนิคหรือความรูการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ไปใช เพ่ือหา แนวทางการพฒั นาความรูใหมตอไป 2. ผลที่ไดรบั หลังจากการจัดกิจกรรมการจัดการเรยี นรู การสรางนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ดวย กระบวนการจัดการความรู KM เปนประโยชนตอการพัฒนาหลักสูตรตามวัตถุประสงคและทิศ ทางการพัฒนาคณะฯ ทําใหผูสอนที่มีความรูไดฝกฝนการถายทอดและแลกเปล่ียนเรียนรูเทคนิค ตาง ๆ ใหกับผูสอนทุกทานในคณะฯ นําไปสูการฝกฝนเทคนิคการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ชวยเพ่ิมพูนความรูและความชํานาญในการสอนมากย่ิงขึ้น ได ทั้งเทคนิคการวางแผนการสอน ไดเทคนิครปู แบบการสอน ไดเ ทคนคิ การจดั กจิ กรรมการเรียนการ สอน และเทคนิคการประเมินผลการเรียนการสอน รวมไปถึงผูเรียนท่ีจะไดรับการจัดการเรียน การสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ที่มีประสิทธิภาพ มีกระบวนการท่ีชัดเจน นําไปสูผ ลสมั ฤทธิแ์ ละการวัดผลของโครงงานในรูปแบบใหม
กระบวนการจัดการความรู KM น้ันชวยสรางภาพลักษณใหกับคณะฯ เปนชุมชนแหง การเรียนรู สรางคานิยมในการมีสวนรวม แลกเปลี่ยนเรียนรูผานกิจกรรมตาง ๆ การทํางานเปน ทีมและการยอมรับความคิดเห็นตาง ๆ ในแงมุมท่ีเปดกวางและใหความสนใจ ซ่ึงสะทอนการ ทํางานทีเ่ ปนระบบและสง เสรมิ ใหคณะฯ มภี าพลกั ษณทดี่ ี 3. ปจจัยความสําเร็จและการพฒั นา การเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ของคณะสถาปตยกรรม ศาสตร มทร.ธัญบุรี มีการพัฒนาองคความรูดังกลาวจากโครงการอบรมตาง ๆ ที่มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีจัดให รวมถึงการแลกเปลี่ยนรูกับเครือขายความรวมมือตาง ๆ ตลอดเวลาทั้งผูประกอบการและองคกรการศึกษา ผูสอนภายในคณะฯ ใหความรวมมือในการ ถายทอดแลกเปล่ียนเรยี นรู และมีความพรอ มและใหค วามสนใจในการเรยี นรูส ิ่งใหมๆ ปญ หาและอุปสรรค สว นใหญเปน ความเขาใจและการรับรูของผูสอนที่มีความแตกตางใน แตละรายวิชา แตละกลุมวิชา จึงนําไปสูการใชการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ท่ีมีความแตกตางกัน สงผลใหจําเปนตองแลกเปล่ียนเรียนรูกัน เพื่อความเขาใจและ การรบั รใู นทิศทางเดยี วกนั ตามความเหมาะสม แนวทางการแกไข เพื่อใหเกิดนวัตกรรมการสอนและพัฒนาการเรียนการสอนของคณะ สถาปตยกรรมศาสตร มทร.ธัญบุรี จะตองมีการดําเนินการพัฒนาศักยภาพสวนบุคคลของผูสอน ในแตละรายวิชา พัฒนาองคความรู พัฒนารูปแบบเคร่ืองมือ เพิ่มการแลกเปลี่ยนเรียนรูจาก ผูเชย่ี วชาญนอกองคก รใหม ากขน้ึ มีสวนรวมในกระบวนการทีค่ รบถว นและชัดเจนมากย่งิ ขึ้น สรปุ ผลสําเร็จของการดําเนินกิจกรรมดวยกระบวนการจัดการความรู KM สูการสราง นวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ PBL (Project-based Learning) ต้ังแตกระบวนการมีสวน รวมของผูบริหารคณะ ผูรับผิดชอบหลักสูตร และผูสอนรวมกันจัดกิจกรรม การมองเห็น ความสําคัญของชุมชนแหงการเรียนรู เกิดเปนแนวทางปฏิบัติที่ดีสามารถนําไปพัฒนาตนเอง ทีม และกระบวนการทาํ งานภายในคณะฯที่เปนระบบขั้นตอนมากยงิ่ ขึ้น รวมไปถึงการปฏิบัติงานดาน การผลติ บณั ฑติ นกั ปฏิบัติ ที่สงผลใหผ เู รียนมีประสทิ ธิภาพและมคี ุณภาพตอไป อยางไรก็ตาม การดําเนินกิจกรรมดวยกระบวนการจัดการความรู KM สูการสราง นวัตกรรมการเรียนการสอน มีความสําคัญอยางมากและยังคงตองมีการพัฒนาตอไป ทั้ง กระบวนการ ขั้นตอน เครื่องมือ วิธีการ และการสรุปผล เพ่ือทําใหชุมชนแหงการเรียนรูยังคง ประสทิ ธภิ าพและย่งั ยืนตอ ไป จนเกดิ เปน แนวทางการปฏิบัติท่ดี เี ทคนิคใหมๆ สูนวตั กรรม
บรรณานุกรม ดุษฎี โยเหลา และคณะ. (2557). การศึกษาการจัดการเรียนรู แบบ PBL ท่ีไดจาก โครงการสรางชุดความรูเพ่ือสรางเสริม ทักษะแหงศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน: จาก ประสบการณค วามสาํ เรจ็ ของโรงเรยี นไทย. กรุงเทพมหานคร: หา งหนุ สวนจาํ กัด ทิพยวสิ ุทธ.์ิ พัชรา เดชโฮม. 2561. “แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนแบบ ใชโครงงานเปนฐานในรายวิชาการบริหารและประกันคุณภาพการศึกษา.” วารสารวิจัยรําไพ พรรณี ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 เดอื นมกราคม - เมษายน 2561. 68 – 78.
1 การบูรณาการออกแบบ-ผลิต-ชดุ ประกอบถอดตลับลกู ปนื เขา้ เพลาและตัวเรือน มแี หวนลอ็ กพร้อมภาพเคลอื่ นไหว 3 มติ ิ (Integrated Design-Produce-and Assemble of Ball Bearing with Retaining Ring in Shaft & Bore and 3-D Animation) มานพ ตันตระบณั ฑติ ย์ (Manop Tantrabandit) Associate Professor, Faculty of Technical Education, Rajamangala University Technology Thanyaburi, Thailand บทสรปุ ในการเรียนการสอนวิชา ภาคปฏบิ ตั ิชนิ้ สว่ นเครื่องจกั รกล สาขาครศุ าสตร์วศิ วกรรมเคร่ืองกล หลักสตู ร 5 ปี มักจะพบปญั หาการเตรยี มชดุ ฝึกทีส่ ามารถปฏบิ ัติการประกอบและถอดได้ แต่ ชุดประกอบชิน้ ส่วนเคร่อื งจกั รกลสาเรจ็ รปู ทมี่ ขี นาดพอเหมาะ (ไม่ใหญแ่ ละหนักเกินไป) ไม่มี ผู้ผลติ จาหนา่ ย มกั จะอยู่ตามจุดต่างๆ ของเคร่อื งจกั รกล จงึ ทาใหก้ ารเรยี นการสอนภาคปฏบิ ัติ ชิ้นส่วนเครือ่ งจักรกลระดับพื้นฐานไมม่ ปี ระสิทธภิ าพเพราะนักศึกษาไม่สามารถฝกึ ทักษะการ วัดช้ินสว่ นก่อนประกอบและฝึกปฏบิ ตั ิการประกอบและถอดด้วยเคร่ืองมอื ทีถ่ กู ต้องได้ การออกแบบพัฒนา-ผลิต-ชุดประกอบถอดตลับลูกปืนเข้าเพลาและตัวเรือนมีแหวนล็อกท่ี เป็นนวตกรรมสือ่ การสอนภาคปฏิบัติจึงมคี วามจาเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะต้องให้นกั ศึกษาชนั้ ปี ที่ 4 สาขาครุศาสตร์วิศวกรรมอุตสาหการ ได้มีโอกาสฝึกการออกแบบพัฒนาเขียนแบบด้วย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชุดประกอบฯนี ้ เขียนแบบงานสง่ั ผลิต ตามมาตรฐาน ญี่ป่ นุ หรือ ยุโรป(ชุดประกอบน้ีประกอบด้วยตลับลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก ปลายเพลาและตัวเรือนมี แหวนล็อกอยู่) จากน้ันนาไปผลิตชิ้นส่วนตามแบบงานสั่งผลิต ฝึกปฏิบัติการวัดช้ินส่วนก่อน ประกอบและสาธิตการประกอบและถอดด้วยเคร่ืองมือท่ีเหมาะสมถูกต้อง แบบงานสั่งผลิต ช้ินส่วนฯจะถูกนามาทาเป็นภาพเคล่ือนไหว 3 มิติด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เปิดให้ ผู้เรียนได้ดูข้ันตอนการประกอบและถอดก่อนไปสาธิตภาคปฏิบัติให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติตาม ชุดฝึกสาเร็จรูปน้ีเป็นส่วนหนึ่งของโครงงานฯนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จะถูกออกแบบให้ผู้เรียน สามารถเข้าใจและมีทักษะในประกอบงานสวมช้ินส่วนเคร่ืองจักรกล ได้ถูกต้องตามหลักการ
2 มีน้าหนักเบา ถือด้วยมือเปล่าได้สะดวก สามารถนาไปใช้สอนนักศึกษาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ Summary By the practical learning session of Machine Element in the field of Mechanical Technical Education 5 year program, It is often found that the preparation of teaching aids to use for mounting and dismounting activities of the whole semester were difficult to execute, due to the lack of proper training kits. Training kits in form of assembly, which are handheld and light weight not available in the market. In this reason, the basic of practical learning session was in the reality not effective, since the students had no opportunity to practice measurement of machine parts before mounting as well as procedure on mounting and dismounting with the proper tools. As a result, the a project work as innovative training kits of fourth-year student was essentially created in order to meet the practical design by using the application of CAD- software to build up manufacture part drawings and assembly drawing conformed to JIS or ISO- E standard ( this assembly consists of a deep ball bearing, a shaft’ s end, and retaining rings for shaft and housing which will be assembled together as an end product of hard ware). Hence the parts were machined, all dimension rechecked before mounting its to an assembly. From the designed parts would be assembled and mated together by using animation program and then converted to 3- D Animation, that is use to presence to the students prior to the practical demonstration. This assembly was one part of the project work,that was handheld and light weight in design to meet the principle of machine parts fitting also an effective practical learning session of Machine Element. คาสาคญั Integrated Design -Produce-and Assemble
3 บทนา การเรียนรู้ภาคปฏิบัติเกี่ยวกับช้ินส่วนเคร่ืองจักรกลท่ีสามารถสวมประกอบเข้าด้วยกันตาม หลักการประกอบชิ้นส่วนเคร่ืองจักรเข้าด้วยกันในสถานการณ์จริงน้ัน ผู้เรียนควรจะต้องฝึก ทักษะปฏบิ ัติการวดั ช้นิ ส่วนก่อนประกอบและฝึกปฏิบตั ิการประกอบและถอดข้ันพื้นฐานด้วย เครือ่ งมอื อย่างถกู วิธกี ่อนทีจ่ ะไปฝกึ ถอดประกอบช้ินสว่ นเครื่องจกั รกลในสถานการณจ์ รงิ ทั้งนี้เพ่ือป้องกันความบอบช้าหรือเสียหายต่อเครื่องจักรกลได้โดยตรง (เน่ืองจากทาการถอด ประกอบช้ินส่วนเคร่ืองจักรกลตามเครื่องจักรกลอย่างไม่ถูกวิธี) ด้วยเหตุนี้การเรียนรู้การ ออกแบบพัฒนา-ผลิต-ชดุ ประกอบถอดตลับลกู ปนื เข้าเพลาและเสื้อมแี หวนล็อกให้เป็น นวตกรรมส่ือการสอนสาหรับภาคปฏิบัติชิ้นส่วนเคร่ืองจักรกลจึงมีความสาคัญอย่างย่ิงด้วย เหตุผลที่ผู้เรียนที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติพ้ืนฐานตามชุดฝึกสาเร็จรูปน้ี เม่ือไปฝึกสอนในสถานศึกษา ระดับ ปวช.หรือระดับ ปวส.จะไม่สามารถสอนภาคปฏิบัติไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ หรือไปเม่ือ หลังจากจบการศึกษาแล้วไปทาหน้าที่ครูสอนวิชา ภาคปฏิบัติช้ินส่วนเครื่องจักรกล ก็จะไม่ สามารถบูรณาการออกแบบ-ผลิตใบงาน (Work sheets) สาหรับการเรียนช้ินส่วน เคร่ืองจักรกลท่ีประกอบเป็นชุดประกอบช้ินส่วนเครื่องจักรกลพร้อมภาพเคล่ือนไหว 3 มิติน้ี จะเป็นองค์ประกอบเสริมทช่ี ่วยให้การเรียนการสอนมอี ย่างมีประสทิ ธภิ าพไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง วธิ ีการดาเนนิ งาน ข้นั ตอนการบูรณาการออกแบบพฒั นา-ผลติ -ชุดประกอบฯนม้ี ีองคป์ ระกอบที่ชว่ ยให้การ ทางานสาเรจ็ ไดด้ ังน้ี 1. ศึ ก ษ า รู ป แ บ บ ชุ ด ป ร ะ ก อ บ ถ อ ด ต ลั บ ลู ก ปื น เ ข้ า เ พ ล า แ ล ะ ตั ว เ รื อ น มี แ ห ว น ล็ อ ก จ า ก เครื่องจักรกลโดยตรงหรือรูปแบบการออกแบบจากตาราการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล (Design of Machine Elements) ตา่ งๆ 2.นามาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบช้ินส่วนฯ นามาช่วยประกอบในการออกแบบ ชิน้ ส่วนฯ ได้แก่ - JIS B 2804 หรอื DIN 471, DIN 472 เกยี่ วกบั ขนาดร่องแหวนลอ็ กเพลาและเส้อื - ตารางขนาดความโตชิน้ งานสัมพันธ์กับผิวความหยาบและ ISO-Tolerance Grade -พกิ ัดงานสวมตลับลกู ปืนเม็ดกลมร่องลกึ เขา้ เพลาและเสื้อจากคูม่ ือตลับลูกปนื -ตารางพิกัดงานสวม DIN ISO 286-2 (1990-11)
4 3.เลือกขนาดตลับลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก เบอร์ 6204 เพื่อใช้ในการออกแบบขนาดความโต เพลา ขนาดรเู สื้อและขนาดร่องแหวนลอ็ กเพลาและเสอ้ื 4.เขยี นแบบงานสัง่ ผลติ แบบชุดประกอบตามมาตรฐานญ่ีปุน่ ดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ 5.ผลิตช้ินส่วนตามแบบงานส่ังผลิตด้วยเคร่ืองกลึงและเครื่องเจียระไนผิวเพลาอย่างน้อย 4 ชดุ เพ่อื ใช้สาธติ และให้ผู้เรยี นฝึกปฏิบัติได้ 6.วัดชนิ้ สว่ นก่อนประกอบด้วยเวอร์เนียรค์ ารล์ เิ ปอร์ ไมโครมิเตอร์ Roughness tester 7.ประกอบช้ินส่วนเข้าด้วยกันเป็นชุดประกอบสาเร็จรูปและฝึกประกอบ-ถอดชุดประกอบ สาเรจ็ รูป 8.จัดทาใบงานการเตรยี มเคร่ืองมือ ข้ันตอนการการประกอบ-ถอดชุดประกอบสาเรจ็ รปู 9. ทา 3D-Animation ประกอบ-ถอดชุดประกอบสาเร็จรูป ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พร้อมคาบรรยายภาษาไทยพรอ้ มเสยี งบรรยาย ตัวอย่างการเตรียมเคร่ืองมือและข้ันตอนการประกอบ-ถอดชุดประกอบสาเร็จรูปตามข้อ 8 เพือ่ จดั การเรียนรดู้ งั ต่อไปน้ี หลักการประกอบ-ถอดตลบั ลูกปืนเม็ดกลมเข้าเพลาและตวั เรือน จะมีช้ินส่วนแหวนลอ็ ก ตัวเรือนและแหวนล็อกเพลา สาหรับกรณีเพลาและตัวเรือนเป็นช้ินส่วนใหม่ ก่อนการ ประกอบควรจะทดลองสวมแหวนล็อกตัวเรือนและแหวนล็อกเพลาว่าเข้าไปอยู่ในร่องแหวน พอดีหรือไม่มีข้ันตอนการประกอบมาก เพ่ือป้องกันความเสียหายท่ีจะเกิดขึ้น ผู้ที่ทางาน จะตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั ดังต่อไปนคี้ อื 1. กอ่ นการประกอบตลับลกู ปืนทกุ ครงั้ จะต้องทาความสะอาดชิ้นสว่ นที่จะประกอบเข้า ด้วยกันให้ปราศจากฝุ่นและส่งิ สกปรก 2. ก่อนการประกอบตลับลูกปืนจะต้องใช้น้ามันหรือจาระบีชะโลมหรือทาเพลาและ ชน้ิ ส่วนต่างๆ เพือ่ ชว่ ยการหล่อล่นื และป้องกันสนมิ
ช่ือ 5 ชน้ิ สว่ น เลขที่ ชื่อชนิ้ สว่ น ชดุ 1 เพลา ประกอบ 2 ตัวเรือน 3 ตลับลกู ปนื รายชื่อ 4 แหวนล็อกตัวเรือน ช้นิ ส่วน 5 แหวนลอ็ กเพลา - เพลา - ตัวเรอื น รายชือ่ ชนิ้ ส่วน - ตลับลูกปนื - แหวนลอ็ ก ตัวเรอื น รายชอื่ ช้ินสว่ น เครอื่ งมือ - แหวน ที่ใช้ ล็อกเพลา -ปลอก รองตอก -คอ้ นยาง -ค้อนเหลก็
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ 6 -คีมถา่ งแหวน -คีมกด แหวน ขน้ั ตอนที่ 1 : ยึดปลายเพลาดา้ นหนงึ่ กับ ปากกาใหแ้ น่นทาความสะอาดและหล่อลืน่ ดว้ ยน้ามนั และจารบีบนผวิ เพลา ทรงกระบอก ข้ันตอนท่ี 2 นาตลบั ลูกปนื สวมเข้า เพลา โดยใชท้ ่อรองตอกวางครอบ แหวนในและคอ้ นตอก ขัน้ ตอนที่ 3 : นาแหวนล็อกเพลาด้วยคีม ถา่ งแหวนสเ่ ข้ารอ่ งเพลา
7 ขน้ั ตอนที่ 4 : นาตลับลูกปนื ทีป่ ระกอบ เพลาและใชท้ อรองตอกบนแหวนนอก ตลบั ลูกปนื แลว้ ใชค้ อ้ นตอกเขา้ ตัวเรือน ขั้นตอนท่ี 5 : ประกอบ แหวนล็อกรตู วั เรอื น ดว้ ยคมี กดแหวน ภาพประกอบเสรจ็ วิธถี อดตลับเม็ดกลมออกจากตัวเรือนและเพลา ข้นั ตอนท่ี 1 ยดึ ปลายเพลากับปากกา ใหแ้ น่น ข้ันตอนท่ี 2 ถอดแหวนล็อกรดู ว้ ยคมี กดแหวน
8 ขั้นตอนที่ 3 ถอดแหวนลอ็ กหัวเพลา ดว้ ยคมี ถา่ งแหวน ขน้ั ตอนท่ี 4 ใชป้ ลอกรองตอกวางบน ผิวรเู ส้ือใช้ค้อนตอกบนปลอกรอง ตอกให้ตวั เรอื นเลอ่ื นลงดา้ นล่าง ขั้นตอนที่ 5 นาชดุ เพลาและตลบั ลูกปนื ออกมา ขนั้ ตอนท่ี 6 นาเพลาตลบั ลกู ปืนวาง ลงช่องระหว่างปากกา ขนั้ ตอนที่ 7 ใช้แท่นทองเหลอื งวาง บนปลายเพลา
9 ขัน้ ตอนท่ี 8 ใชค้ อ้ นตอกบนแท่ง ทองเหลืองดนั เพลาออกจากตลบั ลกู ปืน ผลและอภปิ รายผลการดาเนินงาน จากผลการดาเนินงานที่ไดม้ ีการบรู ณาการออกแบบ-ผลติ -ชุดประกอบถอดตลบั ลกู ปนื เขา้ เพลาและตัวเรอื นท่ีมีแหวนล็อกพรอ้ มภาพเคล่อื นไหว 3 มิติ (ต้องมกี ารบูรณาการความรู้ 5 วิชา คอื วชิ า ออกแบบชน้ิ สว่ นเคร่ืองจักรกล วิชาเขียนแบบด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ วิชา ปฏบิ ตั เิ ครือ่ งมอื กล วชิ าการวัดละเอยี ด วชิ าปฏิบัตชิ นิ้ สว่ นเคร่ืองจกั รกล เพือ่ ให้การสรา้ ง ชุดนวตกรรมสอ่ื การสอนภาคปฏิบัตสิ มั ฤทธ์ิผล จงึ ไดม้ ีการทดลองใช้ในการเรียนการสอน ภาคปฏบิ ัตมิ าแล้ว 1 ภาคการศกึ ษา ในการเรียนการสอนวชิ าชนิ้ ส่วนเครื่องจกั รกล ชนั้ ปที ี่ 2 สาขาครศุ าสตร์วศิ วกรรมเครอ่ื งกล หลกั สูตร 5 ปี นกั ศึกษาสามารถฝึกปฏบิ ัตไิ ดต้ ามขัน้ ตอน และมอบหมายให้ทารายงานขนั้ ตอนการปฏบิ ตั งิ านส่งเพ่ือตรวจประเมิน ผลการประเมินอยู่ ในระดับดีมาก 24.5 % ระดบั ดี 70.7 % ระดับพอใช้ 4.8 % (เนือ่ งจากนกั ศกึ ษาให้ความสนใจ การฝึกปฏบิ ตั มิ ากกวา่ การเรียนทฤษฎเี ป็นอยา่ งมาก) ในการฝกึ ภาคปฏบิ ัตจิ ะตอ้ งมชี ดุ ประกอบอน่ื ๆอกี หลายแบบเพ่อื ให้นกั ศึกษาสามารถหมุนเวียน (Rotation) ไปฝึกไดค้ รบทกุ สถานไี ด้ ชดุ นวตกรรมส่ือการสอนภาคปฏบิ ัตนิ ้จี ะต้องออกแบบใหส้ ามารถประกอบ-ถอดได้ ง่ายและยงั สามารถนาไปใช้จัดฝึกอบรมใหก้ บั สถานประกอบการทีม่ ีการใช้งานเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมไดอ้ กี ดว้ ย กรณเี ครอ่ื งมอื ชว่ ยประกอบและถอดไมเ่ พียงพออาจจะทาใหฝ้ ึก ปฏบิ ัตลิ ่าช้าได้ สรุป ความสาเร็จจากการดาเนินการบูรณาการออกแบบ-ผลิต-ชุดประกอบถอดตลับลูกปืนเข้า เพลาและตัวเรือนมีแหวนลอ็ กพร้อมภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ จะต้องมีการวางแผนการทางานที่ รอบคอบและมีประสิทธิภาพกล่าวคือ มีขั้นตอนในการออกแบบ-เขียนแบบ (ท่ีมีข้อมูล มาตรฐานฯประกอบพร้อม)-การผลิต (จะต้องเตรียมวสั ดุ เครื่องกลึง อปุ กรณ์ เครื่องมือวัด) –
10 การประกอบชุดประกอบฯ (จะต้องเตรยี มเคร่ืองมือช่วยในการประกอบ) การเตรียมโปรแกรม คอมพิวเตอรเ์ พ่อื ช่วยงานผลิตภาพเคล่ือนไหว 3 มิตทิ ่ีเปน็ ขน้ั ตอนการปฏิบตั งิ านไดจ้ ริง การบูรณาการออกแบบ-ผลิต-ชุดประกอบชิ้นส่วนเคร่ืองจักรกลรูปแบบ (Design) อื่นๆ ก็ สามารถสร้างเป็นชุดนวตกรรมส่ือการสอนภาคปฏิบัติได้ด้วยหลักการคล้ายคลึงกัน โดย สามารถออกแบบสร้างชุดประกอบช้ินส่วนเคร่ืองจักรกลได้ตั้งแต่ 3-8 ชิ้นได้ ตามแต่นัก ออกแบบนวตกรรมต้องการ แต่จะต้องกระทาให้ถูกต้องตามหลักการออกแบบชุดประกอบ ช้นิ สว่ นเคร่อื งจักรกลที่สามารถทางานได้จรงิ และมใี ชง้ านในเคร่อื งจักรกลในโรงงานดว้ ย บรรณานกุ รม [1] Manop Tantrabandit, Integrated Learning in Practical Machine Element Design Course: A Case Study of V-Pulley Design, ICEM2013 & ACEM-12th The International Conference on Experimental Mechanics 2013 & the 12th Asian Conference on Experimental Mechanics, Nov 25-27, 2013. [2] JIS B 2804 หรือ DIN 471, DIN 472, JIS B 0601-1994, JIS B 0401-1996 [3] DIN ISO 286-2 (1990-11), DIN 7154 T1 (8.66) [4] SKF. ค่มู ือตลบั ลกู ปืน, บรษิ ทั เอส เค เอฟ (ประเทศไทย) จากดั 2013. [5] G. Wuertemberger, Tabellenbuch Metall, VERLAG EUROPA- LEHRMITTEL.Nourney, Vollmer GmbH & Co. 2014. [6] H.Roloff, W. Matek, Anhang zu Maschinenelemente, Friedr, Vieweg & Sohn Verlagsgesellschaft mbH, Braunschweig 2015.
11
โครงการพฒั นาธรรมมคั คุเทศก์เพอ่ื รองรับนักทอ่ งเท่ยี วตา่ งชาติ The English Development Project for Monks, Novices, and Locals to Serve Foreign Tourists นางสาวสอุ าสาฬห สวุ รรณเทพ (Miss Suarsaraha Suwannathep) อาจารย์ประจาสาขาภาษาตะวันตก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี [email protected] ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… บทสรุป การเปดิ เสรแี ห่งอาเซยี นสง่ ผลใหภ้ าษาอังกฤษเปน็ ภาษาราชการท่ีมคี วามจาเปน็ ต่อการ ทางานและการส่ือสาร ภาษาอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลายในสถานศึกษา สถานที่ทางาน สถานที่ ท่องเท่ียว รวมท้ังวัดต่างๆ ในส่วนของสถานศึกษา นักเรียน นักศึกษา ต้องลงเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาบังคับ ในสถานที่ทางาน พนักงานต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อส่ือสารทางธุรกิจ ใน สถานท่ี ท่องเที่ยว นักท่องเท่ียวใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร รวมทั้งในวัดวา อาราม ต่างๆ ด้วยเช่นกัน นักท่องเที่ยวปัจจุบันนิยมเที่ยวชมวัดซึ่งเป็นสถานที่น่าสนใจ จากที่กล่าวมาข้างต้น ภาษาอังกฤษเกี่ยวข้องกับคนเราทุกด้าน จากความสาคัญของภาษาอังกฤษดังกล่าว จึงได้มีการจัดทา โครงการพัฒนาธรรมมัคคุเทศก์เพ่ือรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติข้ึน โครงการน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษและความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษให้แก่พระภิกษุ สามเณร และคนใน ชุมชนในเร่ืองของการนาชมศาสนสถาน นอกจากน้ันยังให้ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษในเรื่องการ ทกั ทาย การบอกวนั เวลา การขอรอ้ ง การบรรยายสง่ิ ของและการบอกทางแด่พระภิกษุ สามเณรและ คนในชุมชน กลุ่มเป้าหมายในโครงการแบ่งออกเป็น 2 รุ่น รุ่นท่ี 1 คือ พระภิกษุและสามเณรที่บวช เณรภาคฤดูร้อนและพระภิกษุ ณ วัดปัญญา จานวน 150 รูป เข้าร่วมโครงการในเดือนเมษายน กลุ่ม รุ่นท่ี 2 คือ สามเณรราหุล (สามเณรที่จาพรรษา ณ วัดปัญญา) จานวน 30 รูป และประชาชนที่สนใจ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จานวน 10 คน เข้าร่วมโครงการในเดือนพฤษภาคม ในส่วนของวิธีการ ดาเนินงาน ผู้เข้าร่วมอบรมในแต่ละรุ่นแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มเรียนภาษาอังกฤษเป็นฐาน
หมุนเวียนกันไปกับอาจารย์ท้ังชาวไทยและอาจารย์ชาวต่างชาติ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม ผลของการดาเนินงานแสดงให้ทราบว่าผ้เู ข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่เป็นสามเณร อายุ 11- 15 ปี และโครงการน้ีมีประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมอบรม ผู้เข้าร่วมอบรมกิดทัศนคติท่ีดีต่อภาษาอังฏษ เพม่ิ ข้ึน ร้อยละ 80 และผเู้ ขา้ อบรมมีความรู้ทางดา้ นภาษาองั กฤษเพ่ิมขนึ้ รอ้ ยละ 89.12 นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมอบรมยังสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวันได้จริง มีความมั่นใจในการพูด ภาษาอังกฤษและสามารถถา่ ยทอดความร้ดู า้ นภาษาอังกฤษให้กับผู้อืน่ ได้ Summary English is an official language that is used as a working language for Association of Southeast Asian Nations or ASEAN. Since Thailand has participated in ASEAN, English is more important both for work and communication in Thais’ daily life. It is widely used, for example, in schools, workplaces, tourist attractions, and including temples. In schools, students are required to study English as compulsory courses. In workplaces, people use English to conduct business transactions. In tourist attractions, tourists mainly communicate in English. In temples, tourists nowadays regard temples as their tourist attractions. As shown above, English involves us in all aspects of life. Because of the importance of English, this project was proposed to foster monks, novices, and locals to improve their English so that they can use effective English for communication with foreign tourists. There were two main objectives, including 1) to create good English attitude among participants and train participants comprising monks, novices, and locals to use English effectively; and 2) to contribute to participants’ English skills in terms of greeting, telling dates and time, making requests, describing things, and telling directions. The participants were comprised of 150 monks and novices joining the project in April. Moreover, 30 novices and 10 locals were also trained in May. For the procedures, participants were divided into five groups. Every group studied with both Thai and foreign teachers when they rotated from topic to topic. The instrument for data collection used in this project was a questionnaire. The results showed that most of the participants were novices aged between 11 and 15 years old. In addition, the results also revealed that this project was useful to the participants. The percentage of good English attitude increased to 80, whereas the percentage of English improvement increased to 89.12 In addition, the participants
were able to use English in their daily lives. They felt confident in speaking English, and were able to transfer the English knowledge to other people. คาสาคญั พฒั นา ธรรม มคั คุเทศก์ นกั ท่องเทยี่ วต่างชาติ คานยิ ามคาสาคญั 1 พฒั นา หมายถึง พัฒนาความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษของผูเ้ ขา้ รว่ มอบรม 2 ธรรม หมายถึง ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ซ่ึงมีเนื้อหาเก่ียวกับการทักทายภาษาอังกฤษ การ บอกวันเวลาภาษาอังกฤษ การขอร้อง การบรรยายส่ิงของและการบอกทิศทางเป็น ภาษาอังกฤษ 3 มัคคุเทศก์ หมายถึง ผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการพัฒนาธรรมมัคคุเทศก์เพ่ืองรองรับ นักท่องเท่ียวต่างชาติซึ่งก็คือพระภิกษุ สามเณรและประชาชนผู้สนใจที่สามารถใช้ ภาษาอังกฤษได้หลังจบโครงการเปรียบเหมือนมคั คุเทศกใ์ นวดั 4 นักท่องเที่ยวต่างชาติ หมายถึง นักท่องเท่ียวชาวต่างประเทศที่มาชมส่ิงที่น่าสนใจในวัด ปญั ญานนั ทาราม บทนา การเปิดเสรีอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบของรัฐบาล และข้อตกลงตามกฎบัตรว่าด้วยภาษาอังกฤษซึ่งถูก ใชเ้ ป็นภาษาราชการของอาเซยี น สง่ ผลใหภ้ าษาองั กฤษมีความจาเปน็ ตอ่ การทางานและการส่อื สารมากข้นึ ไม่ ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา สถานประกอบการทางธุรกิจ สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงสถานท่ีสาคัญทางศาสนา ทั้งนี้เน่ืองจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและการติดต่อระหว่างประเทศ ภาษาอังกฤษจึงมีบทบาทมากขึ้น เปน็ ลาดับ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี เป็นมหาวิทยาลยั นักปฏิบัติมืออาชีพชั้นนา ผลิตบณั ฑิตที่เป็น นักปฏิบัติเป็นท่ียอมรับ คุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้มาตรฐาน คุณภาพอาจารย์ที่มีความเช่ียวชาญ เฉพาะทางคุณภาพงานบริการวิชาการ สามารถเพ่ิมศักยภาพและความเข้มแข็งให้แก่ชุ มชนและสถาน ประกอบการ และเป็นแหล่งบรกิ ารทางวิชาการแก่ชุมชน วัดปัญญานันทาราม ต้ังอยู่ที่ ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงและเป็นท่ีรู้จัก ว่าเป็นวัดที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เป็นผู้ก่อต้ังและสร้างขึ้น โดย มุ่งหวังให้เป็นมรดกธรรมวัดปัญญานันทารามเป็นวัดที่จัดสร้างเจริญรอยตามพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า และเพ่ือสนองงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อปัญญานันทะ เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาปฏิบัติและเผยแผ่พุทธธรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดหลายรูปแบบ ทั้งด้าน ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและงานพุทธศิลป์ ปัจจุบันนี้ วัดปัญญานันทารามเป็นท่ีรู้จักกันดีทั้งในชุมชน
และสาธารณะ เป็นสถานท่ีที่ใช้ในการปฏิบัติธรรม แหล่งเรียนรู้และเป็นสถานท่ีเยี่ยมชมทั้งของผู้คนในชุมชน และจากท่ัวทกุ สารทิศ คณะศิลปศาสตร์ เป็นคณะหน่ึงของมหาวิทยาลัยฯ มีบุคลากรท่ีมีความรู้ความเช่ียวชาญหลากหลาย สาขา และสาขาภาษาตะวันตก เป็นสาขาหน่ึงที่มีความเช่ียวชาญในการสร้างนักปฏิบัติให้เป็นนักปฏิบัติมือ อาชพี ทางดา้ นภาษาอังกฤษ มคี วามพรอ้ มในการให้การบริการวชิ าการแกส่ งั คมและชุมชนโดยรอบตามพันธกิจ ของมหาวิทยาลัย จึงเสนอโครงการฝึกอบรมภาษาอังกฤษตามความต้องการและความจาเป็นของชุมชน เพ่ือ สอดรับกับนโยบายของมหาวิทยาลัยในการร่วมสร้างชุมชนที่เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ มีความเข้มแข็ง และ ย่งั ยืน วธิ ีดาเนินงาน โครงการพัฒนาธรรมมัคคุเทศก์เพื่อรองรับนักท่องเท่ียวต่างชาติ เป็นการดาเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) และใช้ KM TOOLS ซ่ึงมีข้ันตอนปฏิบัติการ 3 ข้ัน ดังน้ี 1) การวางแผนการ ดาเนินการ (P_Plan) เป็นขั้นของการแต่งต้ังคณะกรรมการ ขออนุมัติโครงการ ประชุมคณะกรรมการ โครงการ ผู้เกย่ี วข้องเพอ่ื วางแผนดาเนนิ การ เตรียมสถานท่ีและประชาสัมพันธ์โครงการ 2) การดาเนินงานตาม แผน (D_Do) เป็นขนั้ ตอนปฏบิ ัติงาน ผู้เข้ารว่ มอบรมในแตล่ ะรนุ่ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มในหวั ขอ้ การทกั ทาย การ บอกวัน เวลา การขอรอ้ ง การบรรยายสิ่งของและการบอกทางภาษาอังกฤษ แตล่ ะกลุ่มเรียนภาษาอังกฤษเป็น ฐานหมุนเวียนกันไปกับอาจารย์ท้ังชาวไทยและอาจารย์ชาวต่างชาติ 3) การติดตามและประเมินผลการ ดาเนินงาน (C_Check) เครื่องมือที่ใช้ในการติดตามและประเมินผลการดาเนินงานคือ แบบสอบถาม และ สถานท่ีดาเนินงาน คือ วัดปัญญานันทาราม เลขท่ี 1 หมู่ท่ี 10 ตาบลคลองหก อาเภอคลองหลวง จังหวัด ปทมุ ธานี ผลและอภิปรายผลการดาเนินงาน ผลของการดาเนินงาน คอื ประโยชน์ทเี่ กิดขน้ึ กับผูเ้ ข้ารว่ มโครงการ ไดแ้ ก่ 1) ผเู้ ข้าร่วมโครงการมีเจต คติทด่ี คี อ่ ภาษาอังกฤษเพ่ิมขน้ึ รอ้ ยละ 80 2) ผ้เู ขา้ ร่วมโครงการมีความรูท้ างด้านภาษาองั กฤษเพ่ิมข้ึน รอ้ ยละ 89.12 วธิ ีการประเมิน สงั เกตไดจ้ ากพฤติกรรมของผ้เู ข้ารว่ มโครงการและ จากแบบประเมนิ ในส่วนของการอภิปรายผลการดาเนินงาน ผู้เข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่เป็นสามเณร อายุ 11-15 ปี และ โครงการน้ีมีประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมอบรม ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิต ประจาวันได้ นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมอบรมยังมีความม่ันใจในการพูดภาษาอังกฤษและสามารถถ่ายทอดความรู้ด้าน ภาษาองั กฤษใหก้ บั ผู้อื่นได้ สรปุ
พระภิกษุ สามเณรและบคุ คลผสู้ นใจในเขตพน้ื ท่ีจังหวดั ปทุมธานี จานวน 190 รปู /คน ไดร้ บั การอบรมภาษาอังกฤษในเรื่องการทักทาย การบอกวนั เวลา การขอร้อง การบรรยายสง่ิ ของ และ การบอกทางภาษาอังกฤษ โดยอาจารย์ทง้ั ชาวไทยและชาวต่างชาติในฐานะผเู้ ข้าอบรมโครงการพฒั นา ธรรมมัคคุเทศกเ์ พ่ือรองรบั นักทอ่ งเท่ยี วชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ผลของการดาเนินงานยังสอดคลอ้ ง กบั วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการคือ ผ้เู ข้าร่วมอบรมมีทัศนคติทด่ี ตี อ่ ภาษาอังกฤษเพิ่มขน้ึ ร้อยละ 80 และ ผู้เข้าร่วมอบรมมีความรู้ทางภาษาองั กฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.12 และในอนาคต โครงการพฒั นาธรรม มคั คเุ ทศก์เพื่อรองรบั นักท่องเทย่ี วตา่ งชาติ อาจเพ่มิ จานวนวัดและพน้ื ที่ในการจัดกจิ กรรมเพื่อ ประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ดังท่ีเปน็ โครงการบริการวิชาการของมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี บรรณานกุ รม พระปลดั วฒั นา อภิวฑโฒ. 2560. “การศึกษาปัญหาในการเรยี นการสอนวชิ าภาษาอังกฤษที่ โรงเรียนพระปริยตั ธิ รรมพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา กรงุ เทพมหานคร” วารสาร มจร มนุษยสา สตร์ปรทิ รรศน์. 3, 1: 37-48. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวิทยาลยั พระมหารกิ เปมโิ ก เปรินทร์. 2558. “ภาษาองั กฤษในสไตล์พระสงฆ์ไทย” วารสาร ศึกษาศาสตร์ มมร. 1, 3: 8-15. มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. อุไร มากคณา. 2556. “การพัฒนาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษในชวี ิตประจาวนั ของนักศึกษาสาขาวิชา การอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ พื้นที่วังไกลกังวล” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลรตั นโกสนิ ทร์
CoP 1 การเรยี นการสอนเพือ่ พัฒนาบณั ฑิต : การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เพ่ือพฒั นาบัณฑติ นกั นวตั กรรม แนวปฏิบตั ิทด่ี ี ภายใตป้ ระเด็น การกระตุ้นความสนใจในการเรยี น รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานชุ ติ ร คณะเทคโนโลยสี ือ่ สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี วิวัฒนาการของเทคโนโลยี ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยความ เปล่ียนแปลงที่ชัดเจนเริ่มข้ึนต้ังยุคกาเนิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พัฒนาเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นโลกของการติดต่อส่ือสารในระบบดิจิทัล จนมาถึงในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ เสมือน เป็นปัจจัยหน่ึงที่มีสาคัญและมีความจาเป็นต่อการดาเนินชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซ่ึงนับวัน จะยงิ่ มบี ทบาทตอ่ ชีวติ ประจาวนั มากขน้ึ ทั้งในกลมุ่ คนรุ่นใหม่ และคนรนุ่ ก่อน อย่างมีนัยสาคญั วิถีชีวิตของมนุษย์ช่วงหนึ่งที่สาคัญคือการอยู่ในระบบการศึกษา ทั้งนี้เพื่อการได้มาซ่ึง ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตที่ถูกต้อง เหมาะสม และสามมารถช่วยพัฒนา ประเทศชาติ ให้เจริญก้าวหน้าตามยุคสมัย ซึ่ง สิ่งหลักสาคัญของการศึกษา ประกอบไปด้วย นักศึกษา ผู้สอน และความรู้ในด้านวิชาการ โดยมีการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา เพื่อ อานวยให้การส่งผ่านความรู้จากผู้สอนไปยังนักศึกษา เกิดประสิทธิผลสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม ใน การดาเนินการสอนจริง ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด คือ ผู้สอน ท่ีจะต้องใช้ความสามารถ รวมถึง เทคนิควิธีท่จี ะสามารถสรา้ งความสนใจในการเรียน ให้เหน็ ความสาคัญของความรวู้ ิชาการ ซง่ึ ตอ้ ง ปรับตัวอย่างมาก เน่ืองจากผู้เรียน ในปัจจุบัน มีวิถีชีวิตท่ีตอบสนองต่อส่ิงเร้าจากสื่อต่าง ๆ ผ่าน เทคโนโลยีท่ีสามารถเขา้ ถงึ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ Smart Phone ซ่งึ มีกันอยู่ทุกคน การตอบสนองต่อส่ิงเร้าของกลุ่มนักศึกษาท่ีสังเกตเห็นได้ชัดคือ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ Facebook โดยนักศึกษามากกว่าร้อยละ 90 เม่ือเข้าห้องเรียน ต้องเข้าสู่ระบบ ท้ังผ่านเคร่ือง คอมพิวเตอร์ ในหอ้ งเรยี น หรือผ่าน Smart Phone ซ่ึงการควบคมุ ดูแลเปน็ ไปได้ยาก ดังน้ัน การ การจัดการเรียนการสอนจึงจาเป็นต้องใช้เทคนิควิธีท่ีหลากหลาย ในการดาเนินการสอนให้มี ประสทิ ธิภาพ สามารถกระตุ้นความสนใจการเรยี นในหอ้ งเรียน การเรียนการสอนของคณะเทคโนโลยีส่ือสารมวลชน มีทั้งรายวิชาที่เป็นภาคทฤษฎีและ ปฏิบัติ โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ จะให้ความสนใจในการเรียนภาคปฏิบตั ิเป็นอย่างมาก แตกตา่ งกับ ภาคทฤษฎี ซึ่งจาเป็นต้องใช้การจัดการความรู้เพ่ือให้แนวปฏิบัติที่ดี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษาให้ดียิ่งข้ึน โดยยึดกระบวนการจัดการความรู้เพื่อดึงความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวบุคคล มาพัฒนา เป็นแนวปฏิบัติที่ดี โดยในท่ีน้ี จะขอกล่าวถึง แนวปฏิบัติท่ีดี ในประเด็นด้านการผลิตบัณฑิต ภายใตห้ ัวขอ้ การกระต้นุ ความสนใจในการเรียน โดยมรี ายละเอยี ดแนวปฏบิ ัติ ดังน้ิ หนา้ 1 / 9 รายงานโดย นายชริ พงษ์ ญานชุ ิตร คณะเทคโนโลยสี อื่ สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
CoP 1 การเรยี นการสอนเพื่อพัฒนาบณั ฑิต : การจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning เพ่อื พฒั นาบัณฑิตนกั นวัตกรรม แนวปฏิบัตทิ ด่ี ี ภายใตป้ ระเด็น การกระต้นุ ความสนใจในการเรียน รายงานโดย นายชริ พงษ์ ญานุชติ ร คณะเทคโนโลยสี ื่อสารมวลชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี จากการผลการจัดการความรู้ประจาปีการศึกษา 2561 ซึ่งมีการแลกปเลี่ยนเรียนรู้ด้านการ ผลติ บัณฑิต ภายใตป้ ระเดน็ การกระตุ้นความสนใจในการเรียน เปน็ จานวนทง้ั ส้ิน 4 ครัง้ สามารถ รวบรวมเทคนิควิธีการในการสอนได้หลายวิธี และพัฒนาเป็นแนวปฏิบัติท่ีดี ซ่ึงสามารถจาแนก เป็นหมวดหมู่ได้ท้ังสิ้น 4 หมวด กล่าวคือ การใช้สื่อการสอน การใช้กิจกรรมการสอน การดึงดูด ความสนใจโดยผสู้ อน และการจัดการการสอน โดยมีรายละเอียดดังน้ี 1. การใชส้ ่อื การสอนเพื่อกระตุน้ ความสนใจ 1.1 วธิ ีการ 1.1.1 ใช้ส่อื การสอนท่ีเป็น Clip VDO จาก Social media ซง่ึ เป็นขา่ วสารทีอ่ ย่ใู นกระแส สังคมปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจ และสามารถวิเคราะห์เร่ืองท่ีสนใจ โดยใช้ทฤษฏี วิชาการในชน้ั เรียน 1.1.2 นาเคร่ืองมือหรือวัสดุอุปกรณ์จริงที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ร่วมกับการจาลอง สถานการณจ์ ริง เพือ่ ให้นักศกึ ษาได้เห็นภาพจรงิ กบั การใช้งานอุปกรณ์จริง 1.1.3 ใหน้ ักศึกษาได้ลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริงในสถานการณ์ตา่ งๆ และสามารถใชใ้ บงานประกอบ 1.1.4 การแทรกสื่อท่ีมคี วามตลก ขบขนั เช่น ในการทา PowerPoint ประกอบการสอน จะต้องน่าสนใจ สวยงาม มีเนื้อหากระชับและมีการแทรกมุขตลก หรือภาพตลก ระหว่างเน้ือหา เพื่อให้นกั ศกึ ษารูส้ ึกผอ่ นคลาย มีอารมณข์ ัน ทาให้การเรยี นสนุกยิ่งข้ึน 1.2 ปจั จัยสูค่ วามสาเร็จ 1.2.1 การเล่ือส่ือประกอบท่ีเป็นปัจจุบันทันสมัย ถูกต้อง สมบูรณ์ และตรงกับรสนิยม ของผู้เรียน เน่ืองจากผู้เรียนในยุคปัจจุบันมีช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ข่าวสารสามารถ แพร่กระจายไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 1.2.2 การเตรียมเครื่องมือที่พร้อมต่อกระบวนการสอน ที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน จริง และผสู้ อน ต้องสามารถใชง้ านเครอ่ื งมอื เหล่านั้นได้เปน็ อย่างดี 1.2.3 การมีใบงานและห้องปฏบิ ัติการท่พี ร้อมต่อการปฏบิ ตั ิการน้นั ๆ 1.2.4 ผ้สู อนตอ้ งมีความใส่ใจในการทาสือ่ การสอน หน้า 2 / 9 รายงานโดย นายชริ พงษ์ ญานุชิตร คณะเทคโนโลยสี ่ือสารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพ่อื พัฒนาบณั ฑติ : การจดั การเรยี นรแู้ บบ Active Learning เพื่อพฒั นาบัณฑิตนักนวัตกรรม 2. การใช้กิจกรรมการสอนเพ่ือควบคุมการสอน 2.1 วธิ กี าร 2.1.1 การถาม-ตอบ โดยการสุ่มเรียกช่ือ ร่วมกับการแจกรางวัลผู้ตอบถูก เพื่อเสริมแรง ใหเ้ กิดความสนใจในการเรียนรู้ 2.1.2 การใช้เกมต่างๆ ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียน เช่นการใช้ Kahoot ร่วม ตอบคาถามเปน็ กล่มุ 2.1.3 การถกแถลง (Discussion) ในประเด็นท่ีกาหนด เพื่อให้ผู้เรียน ได้เกิดการแสดง ความคิดเห็นที่แตกต่าง และร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ให้เกิดการยอมรับความ คดิ เหน็ ของผู้อื่น 2.1.4 การหมุนวนความรู้ ด้วยวิธีการ จัดกลุ่มย่อย แล้ว ให้เขียนความคิดเห็น เป็นข้อ ๆ แล้วให้หมุนวนไปกลุ่มอื่น เพื่อ แสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม และสามารถให้คะแนน ถูกผิด กับ ความคิดเห็นของกลุ่มต่าง ๆ ได้ จากนั้น ผู้สอน จะทาการสรุป และอธิบาย ว่า ส่ิงท่ีเข้าใจ และท่ี ให้คะแนนนน้ั ถูกต้องหรอื ไม่ อย่างไร 2.1.5 การสร้างทานองและเนือ้ รอ้ งเพื่อส่งเสริมให้นกั ศึกษาเกิดการทบทวนซ้าๆ ในหัวข้อ หรอื เนื้อหาทย่ี ากหรอื ไกลตวั นักศกึ ษา โดยอาจใช้ร่วมกับการตอบคาถาม หรือการเชคช่อื เช้าเรยี น 2.1.6 การใช้บทบาทสมมุติ ร่วมกับการกาหนดโจทย์จาลองสภาพความเป็นจริง โดยมี ผู้สอน เป็นเจา้ ของผลิตภัณฑ์ และให้นักศึกษา วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน วิเคราะห์คู่แข่ง วิเคราะห์ ส่ิงต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง ผลท่ีได้คือ นักศึกษามีความต้ังใจทางานแทบไม่อยากรับประทานข้าวปลา อาหารกลางวัน 2.1.7 การมอบหมายงานท่ีสามารถส่งประกวดได้ โดยให้นักศึกษาได้สืบค้นข้อมูลจาก แหล่งที่อาจารย์ผู้สอนกาหนด แล้วสร้างผลงานเข้าประกวด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักศึกษาตั้งใจ ทางานเพื่อส่งประกวดจรงิ 2.2 ปจั จัยสู่ความสาเร็จ 2.2.1 การใหผู้เรยี น เปน็ จุดศูนย์กลางในการเรียน 2.2.2 ความใสใ่ จในการทาสอ่ื การสอน 2.2.3 การมีแลปหรอื ห้องปฏบิ ตั กิ ารและอปุ กรณท์ พี่ ร้อมและเพียงพอ 2.2.4 การเปิดใจเข้าถงึ วิถชี วี ติ ตามแบบของผู้เรียน 2.2.5 การจดจาผู้เรยี นใหไ้ ด้ทกุ คน หน้า 3 / 9 รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานุชิตร คณะเทคโนโลยีสอ่ื สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพ่ือพฒั นาบณั ฑติ : การจดั การเรยี นรูแ้ บบ Active Learning เพ่ือพฒั นาบัณฑติ นกั นวัตกรรม 3. การดึงดดู ความสนใจโดยผสู้ อน 3.1 วธิ กี าร 3.1.1 การสอดแทรกมุขตลก ตามสถานการณ์ เพื่อปลุกเร้าให้บรรยากาสในการเรียนมี ความสนุก ไม่น่าเบื่อ เป็นการสอนด้วยการยกตัวอย่างสอดแทรกความสนุกและมุกตลกท่ี สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา โดยต้องยกตัวอยา่ งตามสถานการณ์ปัจจบุ นั 3.1.2 การเชิญอาจารย์พิเศษผู้ที่มีความเช่ียวชาญหรือผู้ที่อยู่ในวงการ/วิชาชีพ มา บรรยายเพื่อถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์จริง 3.1.3 การใหค้ วามเป็นกันเองกับนกั ศกึ ษา โดยการเปดิ เผยตวั ตนของอาจารย์ให้นักศกึ ษา สามารถสอบถามได้ทุกเรื่อง เพ่ือให้นักศึกษาสามารถเปิดใจกับผู้สอนได้ทุกเร่ือง เป็นการ เสริมสร้างความสัมพันธ์อนั ดีระหวา่ งผ้สู อนและผู้เรยี น 3.2 ปจั จัยสูค่ วามสาเรจ็ 3.2.1 ชื่อเสียงผู้สอน-ผู้เช่ยี วชาญทไ่ี ดร้ ับการยอมรับจากผู้เรยี น 3.2.2 การเปลย่ี นแนวคดิ เรอ่ื งระยะห่างระหว่างผสู้ อนกบั ผเู้ รียน 3.2.3 การมีสมั พันธท์ ดี่ กี ับผู้เรยี น 3.2.4 การเรียนรู้และจดจาบคุ ลิกภาพของผเู้ รียนเป็นรายบุคคล 4. การจดั การการสอน 4.1 วธิ ีการ 4.1.1 การสอนด้วยการนาผู้เรียนเป็นจดุ เชื่อมโยง โดยการเลือกผู้เรียนที่เปน็ จุดศนู ย์รวม ของห้องมาทากิจกรรม เพ่ือดึงดูดความสนใจเนื้อหาท่ีสอน ด้วยการยกตัวอย่างสอดแทรกความ สนกุ และมุกตลกทส่ี อดคลอ้ งกนั กับเน้ือหา ซึ่งผู้เรียนนั้นควรเป็นที่รักของคนหมู่มาก และผู้เรียน นัน้ ควรมีสมั พนั ธ์ท่ีดีกับอาจารยผ์ ูส้ อน 4.1.2 การสอนด้วยการยกตัวอย่างสถานการณ์ ข่าวสารที่อยู่ในกระแสสังคม เช่น เหตุการณ์สาคัญ เช่นพายุปาบึก ข่าวสังคม ดารากับข่าวบันเทิง เหตุการณ์ที่เป็นวาระแห่งชาติ เช่น การเลือกตัง้ เพ่อื นาเขา้ สเู่ นื้อหาหรือเป็นการนาเสนอเป็นตวั อย่าง 4.1.3 การสอบท้ายช่ัวโมง โดยผู้สอนเตรียมข้อสอบเพ่ือทาการเก็บคะแนนท้ายช่ัวโมง ใน ท่นี อ้ี าจบอกก่อนหรอื ไมก่ ็ไดเ้ พราะทาใหผ้ ้เู รยี นต้องพยายามมาเรียนทุกครง้ั 4.1.4 การจัดการห้องเรียนเม่ือนักศึกษาออกจากห้องเรียนบ่อย โดยใช้ไม้ผลัด 3 ไม้ใน การผลดั กันออกไปทาธุระส่วนตัว โดยคนใหม่จะออกไปได้ จะตอ้ งใหค้ นเกา่ กลับเขา้ มาก่อน ทาให้ เพ่อื นทไี่ ปกอ่ น ไม่ไปนานจนเกินไป และทาให้การลุกออกจากหอ้ งเป็นระเบียบ และเปน็ การไปทา ธรุ ะส่วนตัวจริงๆ ซ่ึงส่งผลใหเ้ กดิ ความร่วมมือ และเห็นอกเห็นใจผู้อืน่ ของนกั ศกึ ษาในช้ันเรยี น หนา้ 4 / 9 รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานชุ ติ ร คณะเทคโนโลยสี ื่อสารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพอ่ื พฒั นาบณั ฑติ : การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เพอื่ พัฒนาบณั ฑติ นกั นวัตกรรม 4.1.5 การใช้ Flight Mode เม่ืออยู่ในห้องเรียน ในขณะทาการสอน จะให้นักศึกษางดใช้ โทรศัพท์มือถือ โดยอาจารย์จะเปิดไฟไม่ครบทุกดวงเพ่ือให้ห้องดูสลัว และเห็น PowerPoint ชัดเจน ซึ่งถ้านักศึกษาเล่นโทรศัพท์ ก็จะมีแสงไฟจากหน้าจอส่องสะท้อนออกมาท่ีใบหน้า ก็จะ ทราบว่าใครเล่นโทรศัพท์ ซ่ึงนักศึกษาก็จะไม่กล้าเล่นโทรศัพท์ และคุ้นชินกับการไม่ใช้โทรศัพท์ ในขณะเรียน 4.1.6 การเอาจรงิ กับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ เชน่ การ Lock ห้องเรยี น เมอ่ื ถงึ เวลาเชคช่ือ 4.1.7 การให้รายละเอียดเร่ืองเกณฑ์การให้คะแนนท่ีชัดเจน เพ่ือให้นักศึกษาได้เข้าใจว่า ตอ้ งเรียนอยา่ งไร จงึ จะไดค้ ะแนนตามที่ต้องการ 4.1.8 การประยกุ ต์ใช้ Google Application และ Social Network กบั การจัดการเรยี น การสอน โดยในคาบแรกผู้สอนจะสรา้ งกลุ่มใน Facebook เพ่ือเป็นช่องทางการสื่อสารท่ีสามารถ เข้าถึงนักศึกษาได้ทุกท่ีทุกเวลา ผ่าน Smart Phone และจากน้ัน จะสร้าง แหล่งจัดเก็บข้อมูล คะแนนเก็บ ท่ีนักศึกษา สามารถเข้าถึงเพื่อตรวจสอบคะแนนในส่วนต่าง ๆ ได้ อีกท้ังยังสามารถ ทราบผลการพยากรณเ์ กรดได้ เพอ่ื ให้นักศึกษาเกิดความตอ้ งการเขา้ เรยี น เมือ่ เห็นวา่ คะแนนท่ีได้ อยู่ในระดับใด ผลท่ีได้คือ นักศึกษาจะไม่เข้าเรียนสายหรือขาดเรียนเกินโควตาท่ีกาหนด ในส่วน ของการดาเนนิ การการสอนได้นา Google Form ชว่ ยในการทาแบบประเมนิ ความรู้ ซึ่ง นักศกึ ษา เขา้ ถงึ ได้ผา่ น Smart Phone โดยแสกน QR Code และสามารถเห็นคะแนนที่ได้ ทันทเี ม่ือส่งงาน ซึ่งผู้สอน จะเปิดผลการส่งงาน ของท้ังห้องไว้ท่ีหน้าช้ันเรียน ให้เกิดความ ฮือฮา ซึ่งผลท่ีได้รับคือ นกั ศึกษา สนใจในการเรียนมากขึ้น และสามารถลดเวลาการตรวจงานของอาจารย์ลงได้จริง และ สามารถใช้เป็นช่องทางให้อาจารย์ท่ีปรึกษาได้ติดตามผลคะแนน ติดตามการเข้าเรียน ของ นกั ศึกษาในท่ีปรึกษาได้ เพ่ือประโยชน์ต่อการวางแผนแก้ปัญหาผลการเรียนของนักศึกษาที่อยู่ใน สถานะใกล้พ้นสภาพได้ 4.2 ปัจจยั สู่ความสาเร็จ 4.2.1 การคดั เลือกตวั แทนของห้องเรียนทีเ่ หมาะสม 4.2.2 การรู้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบัน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศใหเ้ ปน็ ประโยชน์ สรปุ จากการได้ทดลองใช้งานแนวปฏิบัติข้างต้น ในปีการศึกษา 2561 พบว่า สามารถชว่ ยกระตุ้น การเรียนรู้ได้จริง และในการนาไปปรับใช้ ผู้สอน อาจะนาไปใชใ้ นเฉพาะวิธีที่เหมาะกับบริบทการ สอน ไม่จาเป็นตอ้ งใชท้ ้ังหมด ในคราวเดียว หนา้ 5 / 9 รายงานโดย นายชริ พงษ์ ญานชุ ติ ร คณะเทคโนโลยีสอ่ื สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพอ่ื พัฒนาบณั ฑิต : การจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning เพ่อื พฒั นาบณั ฑิตนักนวตั กรรม การประยกุ ตใ์ ช้ Google Application และ Social Network กับการจดั การเรยี นการสอน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของกลุ่มนักศึกษาท่ี สังเกตเห็นได้ชัดคอื การใช้สือ่ สังคมออนไลน์ Facebook โดยนักศึกษามากกว่าร้อยละ 90 เม่ือเข้าห้องเรียน ต้องเข้าสู่ระบบ ท้ังผ่านเครื่อง คอมพิวเตอร์ ในห้องเรียน หรือผ่าน Smart Phone ซึ่งการควบคุมดูแล เป็นไปได้ยากมาก ผู้เล่า เรอ่ื ง ซง่ึ เปน็ ผสู้ อน จงึ ตอ้ งหาวธิ กี ารปรบั ตวั ให้สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากสงิ่ นี้ โดยมขี ้ันตอนดงั น้ี การประยกุ ตใ์ ช้ Facebook เพอ่ื เป็นชอ่ งทางการสือ่ สารระหวา่ งผู้เรยี นกบั ผ้สู อน เรม่ิ ตน้ ชัน้ เรียน ในสัปดาหแ์ รก ผสู้ อนจะสรา้ งกลุ่ม ในส่อื สังคมออนไลน์ Facebook และ ให้นักศึกษาทุกคน เข้ามารายงานตัว โดยการนา URL ไปสร้างเป็น QR Code ซึ่งใช้บริการผ่าน www.qrstuff.com แล้วนา ภาพ QR Code ที่ได้ ขึ้นจอ Projector เพ่ือให้นักศึกษาได้ Scan และขอเขา้ รว่ มกลุม่ ผลที่เกินความคาดหมายคือ นักศึกษา บางท่าน ได้เชิญเพ่ือนเข้ามาด้วยตัวเอง และ เมื่อนักศึกษาเข้าร่วม กลุ่มแลว้ ผู้สอนยงั ไดช้ ่องทางการส่ือสารนอกห้องเรียน เพื่อเปน็ ทางเลือกในการส่อื สารเพ่มิ เติม เม่ือนักศึกษาเริ่มเข้ากลุ่ม จะเห็นได้ว่า นักศึกษาส่วน ใหญ่ ต้ังชื่อ Facebook ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ผู้สอนจึงใช้ วิธีการ สร้างโพสต์ ให้นกั ศกึ ษาเข้ามารายงานตัว ซง่ึ นับเป็นการ เชคช่ือเข้าเรียนในคาบแรก และเรียกชื่อซ้าตามรายช่ือ เพ่ือ แก้ปัญหานักศึกษาบางคน ไม่ได้มาเข้าเรียน แต่มารายงานตัว จากที่เพ่อื นเชิญเข้ามา ผลที่เกินความคาดหมาย คือ นักศึกษา บางท่าน พูดกับผู้สอนว่า ไฮโซ นะจารย์ เชคชือ่ ทางเฟสบุค ทงั้ นี้ เมื่อนักศึกษา เข้ามาพร้อมแล้ว ผู้สอนจึงใช้ช่องทางน้ี เป็น สื่อกลางในการส่งผ่านส่ือการสอน การนัดหมาย ต่างๆ และ ได้ผลอยู่ในระดับดี แต่ เน่ืองจาก มีนักศึกษาบางท่าน ไม่ได้ใช้ Facebook (ท่ีผา่ นมา มี 1 คน) จึงต้องใช้วิธกี ารบอกต่อ หนา้ 6 / 9 รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานุชติ ร คณะเทคโนโลยสี ื่อสารมวลชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพือ่ พัฒนาบณั ฑติ : การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning เพอื่ พฒั นาบณั ฑติ นักนวตั กรรม การประยุกตใ์ ช้ Google Application กบั การจดั การเรยี นการสอน จากการดาเนินการสอนในห้องเรียนกับกลุ่มนักศึกษาท่ีได้ทดลองใช้ Google Application กับการจัดการเรียนการสอน และได้เผยแพร่วิธีการให้กลุ่มเพื่อนอาจารย์ในคณะได้ นาไปทดลองใช้ พบว่า มปี ระสิทธิภาพในการช่วยอานวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้เล่า ได้นา Google Application ไปประยุกต์กับการจัดการเรียนการสอนใน ด้านตา่ งๆดงั นี้ 1. ใช้ Google Sheet เปน็ แหล่งเกบ็ รวบรวมคะแนนเกบ็ ตา่ งๆ และ แชร์ ให้ผูเ้ รยี น สามารถเข้า มาตรวจสอบตดิ ตามผลคะแนนงานต่าง ๆ ไดด้ ้วยตนเอง ผา่ น Facebook กล่มุ ที่ได้สรา้ งไว้ ในหน้ารวมคะแนน จะมฟี ังก์ช่ัน การพยากรณเ์ กรด ใหน้ ักศึกษาได้เห็นถงึ ผลการเรียน ท่ี อาจได้รับในอนาคต ตามคะแนนเกบ็ ที่มีในปัจจุบัน ผลท่ี ได้รับคือ นักศึกษา สนใจในคะแนนที่ได้ มีการเข้ามา สอบถาม ถึงคะแนนที่ได้จากงาน ว่าทาไมได้เท่านั้น เท่าน้ี จึงเปิดโอกาสให้ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจท่ี ตรงกัน และ ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง ไม่มีการร้องเรียน การให้คะแนน และนักศึกษายอมรับในผลการเรียนท่ี เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เน่ืองด้วยการตัดเกรดที่แท้จริง จะเป็นลักษณะของการจัดให้ลงใน Normal Curve ซ่ึง ผู้สอนต้องอธิบายเพิ่มเติมให้เข้าใจ และโดยปกติแล้ว เกรดทไี่ ด้ มกั จะไมต่ า่ งจากพยากรณม์ ากนกั ในการเชคชื่อการเข้าเรียน ผู้สอน ได้เชคช่ือให้เห็นโดยการนาข้ึนจอ Projector เพื่อให้ นักศึกษาได้เห็นสถานะการเข้าเรียน และเปิดให้เห็นคะแนนเก็บ ต่างๆ รวมถึงคะแนนงานท่ีส่ง หนา้ 7 / 9 รายงานโดย นายชริ พงษ์ ญานชุ ิตร คณะเทคโนโลยสี ่ือสารมวลชน มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี
CoP 1 การเรียนการสอนเพื่อพฒั นาบณั ฑิต : การจดั การเรยี นรูแ้ บบ Active Learning เพอ่ื พัฒนาบณั ฑติ นกั นวตั กรรม และ เห็นว่า ขาดเรียนกี่คร้ังและจะอยู่ในสถานะไม่มีสิทธิ์สอบหรือไม่ โดยผลที่ได้คือ นักศึกษา มี ความกระตอื รือรน้ มาก ในการทวงสทิ ธิ์ กรณที ี่อาจารยเ์ ชคชื่อพลาด ผลท่ีเกินความคาดหมาย คือ สามารถใช้เป็นช่องทางให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ติดตามผลคะแนน ติดตามการ เขา้ เรียน ของนักศกึ ษาในทปี่ รกึ ษาได้ เพอื่ ประโยชน์ต่อการวางแผนแก้ปัญหาผลการเรียนของนักศึกษาที่อยู่ ในสถานะใกล้พ้นสภาพได้ 2. ใช้ Google Form เป็นช่องทางในการวัดผลความรู้ระหว่างเรียน ในการดาเนินการสอน ผสู้ อน ได้ประยุกตใ์ ช้ Google Form เป็นแบบประเมนิ ความรู้ 3 ช่วง คอื กอ่ นเรียน จะทาการวัดผลความรู้ 5 ข้อ โดยวัดความเข้าใจจากเน้ือหาท่ีผา่ นมา ระหว่างเรียน ได้นามาใช้ร่วมกับเทคนิค one minute paper และวัดความรู้ระหว่าง เรยี นในรปู แบบการตอบคาถาม โดยให้เวลาตอบ และแสดงผลคะแนนทไ่ี ด้ ในขณะนั้น ผลท่ีได้คือ นักศึกษา มีความจดจ่อกับเนื้อหาท่ีเรียน เนื่องจากเห็นผลคะแนนที่ได้ และผลต่อตัวผู้สอนคือ ช่วยลดเวลาการตรวจงาน ได้เป็นอย่างดี และ นักศึกษาไม่ออกไปนอกห้องเลย ในระหว่างการ สอน ซึ่ง ผ้สู อน จะบอกเวลาเบรค ทีส่ ามารถไปเข้าห้องน้าได้ หลังเรียน คือ ผู้สอน สามารถนามาใช้ในการออกข้อสอบออนไลน์ เพื่อลดเวลาในการ ตรวจขอ้ สอบ และ การรวมคะแนน การให้นักศึกษาเข้าถึงแบบทดสอบจะใช้วิธีการทา QR Code ไว้ท่ีส่วนหัวของ แบบทดสอบ แลว้ เปิดใหน้ ักศกึ ษา Scan ด้วย Smart Phone หน้า 8 / 9 รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานชุ ติ ร คณะเทคโนโลยีสือ่ สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี
CoP 1 การเรยี นการสอนเพ่ือพัฒนาบณั ฑติ : การจัดการเรยี นร้แู บบ Active Learning เพอื่ พฒั นาบณั ฑิตนักนวตั กรรม ปัญหาท่ีพบคือ นักศึกษาบางท่าน สามารถส่ง Link ให้เพ่ือนท่ีไม่ได้เข้าเรียน ทา แบบทดสอบ ซ่ึง ผู้สอน ต้องตรวจสอบผลคะแนน กับผลการเข้าเรียนให้สอดคล้องกัน ถ้าพบ ความผดิ ปกติ ให้เรยี กมาพดู คยุ ผลท่ีเกินความคาดหมาย คือ นักศึกษามีความสนใจในการตอบคาถาม และสนใจในผลคะแนนมาก มีเสียง หยอกล้อ พูดคุย สนุกสนาน และ ผู้สอน ได้เห็นถึงขอ้ ท่ีนักศึกษาตอบผิดเป็นจานวนมากน้อย เพ่ือวัดความ เข้าใจในแตล่ ะหัวขอ้ ได้ บทสรปุ ผู้เล่า ไดเ้ ลือกแนวปฏิบัตทิ ี่ดีในการปรับปรงุ การจัดการเรยี นการสอน ใหส้ อดคล้องกบั วิถี ชีวิตของผเู้ รยี น ซึง่ เป็นคนรุ่นใหม่ทม่ี กี ารเขา้ ถงึ ส่ือสังคมออนไลน์ และมีการใช้งาน Smart Phone เป็นเครื่องมอื ในการติดต่อ ส่ือสาร โดย ส่ือสังคมออนไลน์ที่นิยมใช้ คือ Facebook ซ่งึ ผู้สอน ใช้ เป็นสื่อกลางในการส่งผ่านความรู้ ส่งผ่านผลการเรียนรู้ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ติดตามผล คะแนน เพ่ือสร้างแรงกระตุ้นความสนใจในการเรียน โดยใช้ Google Application เปน็ เครอื่ งมือ ในระหว่างการจัดการเรียนการสอน โดยผลที่ได้คือ นักศึกษา มีอัตราการขาดเรียน ลดลง และมี ความสนใจในการเรยี น มากข้ึน ปจั จยั ความสาเรจ็ 1. ความรู้ความเข้าใจในการใช้ Google Application ท้ังในส่วนของ Google Sheet ซึ่งมี พนื้ ฐานจากการใช้ Microsoft Excel และการใช้ Google Form ในการทาเปน็ แบบสอบถาม 2. การให้ความเปน็ กันเองกับผ้เู รยี น เพอ่ื ลดช่องวา่ ง ระหว่างผเู้ รยี น กับ ผสู้ อน ใหค้ วามรู้ สามารถ เส่งผ่านได้ง่ายขึน้ 3. การเปิดใจยอมรบั ในสงิ่ ใหม่ การยอมรบั ในวิถีชวี ิตท่เี ปลีย่ นไปตามเทคโนโลยี 4. การไมย่ ดึ ตดิ การเรยี นการสอนแบบ ผสู้ อนเปน็ ใหญ่ คะแนนเป็นสิ่งลกึ ลบั ยากต่อการคน้ หา หน้า 9 / 9 รายงานโดย นายชิรพงษ์ ญานุชติ ร คณะเทคโนโลยีส่อื สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รปู แบบการนาเสนอแนวปฏิบตั ิทด่ี ี โครงการประชมุ สมั มนาเครอื ข่ายการจดั การความรู้ฯ ครง้ั ที่ 12 “การจดั การความรู้สู่มหาวิทยาลยั นวัตกรรม” (Knowledge Management: Innovative University) สาหรับอาจารย/์ บุคลากรสายสนับสนนุ / นักศกึ ษา ชอ่ื เรือ่ ง/แนวปฏบิ ัตทิ ดี่ ี การจดั การเรียนการสอนตามกรอบซีดไี อโอเพ่ือสรา้ งบัณฑิตนักสรา้ งสรรคน์ วัตกรรม กรณีศึกษาวิทยาลยั การแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี.............. ชื่อ-นามสกุล ผู้นาเสนอ……ดร.รุ่งนภา ศรานชุ ิต……….........................……..........................…...…................................. ช่ือสถาบันการศกึ ษา………..มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี………………………………………………........................ หน่วยงาน………………………วิทยาลยั การแพทยแ์ ผนไทย..………………………………………………….............……..….........…… เบอรโ์ ทรศพั ท์มือถือ............0875196298.................................................................................................................... เบอรโ์ ทรสาร.......................02 5921900..................................................................................................................... E-Mail [email protected]............................................................................................. ผ้สู ่งแนวปฏบิ ัติทดี่ ีต้องนาเสนอเน้อื หาและเอกสารต่างๆ ที่แสดงถงึ แนวปฏบิ ตั ิทีด่ โี ดยต้องครอบคลุมเนอ้ื หา ดงั น้ี • บทสรปุ (ภาษาไทยให้มีขอความเหมือนภาษาองั กฤษ ความยาวไม่ควรเกนิ 300 คาํ ) • Summary (บทสรุปเป็นภาษาอังกฤษ) • คาํ สําคัญ (โปรดระบุคาํ สาํ คัญ ไม่เกนิ 5 คํา) • บทนํา (ช้ีให้เห็นความสําคัญ ประเด็นของเร่ือง ปัญหาของกระบวนการ หรือวิธีการดําเนินงานท่ีผ่านมา ก่อนทีจ่ ะมีการจดั การความรู้) • วิธีการดําเนินงาน (วิธีการ กระบวนการ และแนวทางการดําเนินงาน โดยระบุและอธิบายการใช้เครื่องมือ การจัดการความรู้ (KM TOOLS) • ผลและอภิปรายผลการดําเนินงาน (เกิดผลกระทบที่เป็นประโยชน์หรือสร้างคุณค่า เกิดนวัตกรรมใหม่/ สามารถแก้ปัญหาหรอื พฒั นาระบบงานเดิมอยา่ งไร/ปัจจัยท่ที ําให้เกดิ ผลสําเร็จ ปัญหา อปุ สรรคและแนวทางแก้ไข) • สรปุ (สรปุ อธบิ ายให้เหน็ ความสําเร็จ และเสนอแนะแนวทางการทํางานในขั้นต่อไปหรือความท้าทายในการ ดาํ เนนิ กิจกรรมอนาคตไดอ้ ย่างไร • บรรณานกุ รม (เอกสารทง้ั หมดทีผ่ ู้เขยี นไดใ้ ช้อา้ งอิง) หมายเหตุ การจดั ทาเอกสารนาเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ีด่ ี 1. ขนาดกระดาษ A4 ไมเ่ กิน 10 หนา้ 2. กน้ั หน้าซา้ ย 1.5” กน้ั หลงั ขวา 1.25” ขอบกระดาษบน และล่าง 1.25” 3. การพิมพ์ใช้ตัวอักษร “TH SarabunPSK” Font Size 16 ตัวอักษรปกติ หัวข้อใหญ่ Font Size 18 ตวั อกั ษรหนา หลกั เกณฑ์การส่งผลงานเข้าร่วมประกวด 1. เป็นบทความนําเสนอแนวปฏิบัติที่ดีท่ีเกิดจากการจัดกจิ กรรมการจัดการความรู้ในองค์กรที่ดาํ เนินการเพ่ือ พัฒนาตนเองและพัฒนาการปฏบิ ตั งิ านในองค์กร 2. สามารถเป็นกจิ กรรมที่ใช้เครอื่ งมือการจัดการความรู้ (KM TOOLS) มาใช้ในกจิ กรรม 3. สามารถอธิบายถึงการนําผลของกิจกรรมไปปรับใช้หรือสามารถอธิบายแนวทางการนําผลการดําเนินงาน ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนางานและพัฒนาทักษะของตนเอง
องค์ประกอบประเดน็ การเขียนบทความแนวปฏบิ ัตทิ ่ีดี โครงการประชมุ สัมมนาเครือข่ายการจดั การความรู้ฯ ครัง้ ท่ี 12 “การจัดการความรู้สู่มหาวิทยาลัยนวตั กรรม” (Knowledge Management: Innovative University) สาหรับอาจารย/์ บุคลากรสายสนบั สนนุ / นกั ศกึ ษา การจดั การเรียนการสอนตามกรอบซีดีไอโอเพ่ือสร้างบัณฑิตนกั สรา้ งสรรคน์ วตั กรรม กรณีศึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี Producing of Inventive Graduate Based on CDIO Framework Pedagogy: A Case Study of Thai Traditional Medicine College, Rajamangala University of Technology Thanyaburi รงุ่ นภา ศรานชุ ิต (Rungnapa Sranujit) 1* สุรัติวดี ท่งั ม่งั มี (Suradwadee Thungmungmee) 1 ไฉน น้อยแสง (Chanai Noysang) 1 เขมจริ า จามกม (Khemjira Jarmkom) 1 กัญญธ์ ศยา อัครศิริฐรตั นา (Kunthasaya Akkarasiritharattana) 1 ณฐา คุปตัษเฐยี ร (Natha Kuptasthien) 2 1อาจารย์ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี 2 อาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี * ผู้รบั ผดิ ชอบบทความ E-mail address: [email protected] .............................................................................................. ............................................................ บทสรปุ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ตอบสนองเป้าหมายในการก้าวสู่การ เป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรม โดยดําเนินการจัดการความรู้เรื่องวิธีจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือ สร้างบัณฑิตของวิทยาลัย ฯ ให้เป็นนักสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยคัดเลือกกรอบซีดีไอโอ (CDIO framework) เป็นรปู แบบหนึ่งในการจัดการเรยี นการสอน CDIO framework มุง่ เน้นให้นักศกึ ษาเขา้ ใจปญั หา จากนั้น ออกแบบและสร้างวิธีแก้ปัญหาน้ัน ๆ ในรูปแบบนวัตกรรมต้นแบบหรือกระบวนการต้นแบบได้ กระบวนการน้ีจะ สง่ เสริมคณุ ลกั ษณะบณั ฑิตใหม้ ีความสามารถในการสรา้ งสรรค์นวัตกรรมซ่งึ สอดคล้องกับเป้าหมายของมหาวิทยาลัย ฯ การดําเนนิ การเร่ิมจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การใช้ CDIO framework ของ CDIO master trainer กับ อาจารย์ท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมายซึ่งต้องนํา CDIO framework ไปประยุกต์ใช้ โดยมีเป้าหมายของการจัดการความรู้คือ ต้องมีการนํา CDIO framework ไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน 2 รายวิชา และมีหลักสูตร ใหมท่ พ่ี ัฒนาขน้ึ ตามกรอบ CDIO framework จํานวน 1 หลกั สูตร ผลการดําเนินงานพบว่ามีการนํา CDIO framework ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน 3 รายวิชา มีผลงาน นวัตกรรมเพ่ือสุขภาพและความงามท่ีสร้างสรรค์โดยนักศึกษามากกว่า 25 ผลงาน ในจํานวนน้ีมีผลงานท่ี ผู้ประกอบการจากภายนอกและอาจารย์ของวิทยาลัย ฯ ส่ังซื้อ ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่นักศึกษา สําหรับการ พัฒนาหลักสูตรใหม่ตาม CDIO framework น้ัน ผู้รับผิดชอบหลักสูตรได้ใช้ CDIO framework เป็นกรอบในการ พฒั นาหลกั สตู รวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ านวตั กรรมผลติ ภัณฑ์สุขภาพ ซง่ึ เป็นหลักสูตรที่สถานประกอบการมีส่วน ร่วมในการจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตบัณฑิตนักสร้างสรรค์นวัตกรรมเพ่ือสุขภาพ ข้ันตอนการประยุกต์ใช้ CDIO framework ในการจดั การเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือสร้างบัณฑิตผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ถูกสรุปและ จัดทําเปน็ คมู่ อื ชอ่ื การจดั การศกึ ษาเพ่ือสรา้ งบัณฑติ นักปฏิบัติและสรา้ งสรรคน์ วัตกรรม วทิ ยาลัยการแพทย์แผนไทย
Summary Thai Traditional Medicine College (TMC), Rajamangala University of Technology Thanyaburi supports the policy of Innovative University by identifying appropriate methods for pedagogy design in order to produce inventive graduate in health product innovation. CDIO framework is a learning process that focus on building student’s empathy and capacity to design and build creative and innovative prototype or process as a solution. This CDIO process will enhance innovative thinking attribute of RMUTT graduate. The knowledge management was conducted by experience sharing of CDIO implementation among CDIO master trainer and the target group. The objectives of TMC KM were set; 2 subjects and 1 curriculum needed to adopt CDIO framework as a guideline for pedagogy design. As a result, CDIO framework was integrated in teaching and learning process for 3 subjects. There are more than 25 innovative prototypes for health and aesthetic products were created by enrolled students. Of these, some were bought by company and lecturers which made student’s self-esteem. For new curriculum development, the program committees had used CDIO framework as a guideline for developing a bachelor degree in innovation of health products. This program allowed stakeholders from the industry to be involved in teaching and learning process throughout the program. Finally, a guideline book of producing of TMC inventive graduate based on CDIO framework pedagogy was established. คาสาคัญ นวัตกรรม กรอบซดี ไี อโอ ผลติ ภณั ฑ์ต้นแบบ บณั ฑิตนกั ปฏิบัติ นักสร้างสรรค์นวัตกรรม บทนา เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์คือการพัฒนาคนไทย ให้เป็นนวัตกรที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพ่ือเพ่ิมศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจกับนานาประเทศ (1) เพื่อ ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ. 2561- 2580) (2) เพื่อยกระดับสู่การเป็นมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์นวตั กรรม (Innovative University) โดยมุ่งผลิตบัณฑิตนกั ปฏิบัติมืออาชีพ (Hands-on professional graduates) ที่นอกจากจะมีความสามารถตามสมรรถนะอาชีพแล้ว ยัง ต้องเป็นนักคิด นักสร้างสรรค์นวัตกรรม (Inventor) เพ่ือแก้ปัญหาในศาสตร์ของตนเองได้ การผลิตบัณฑิตให้มี เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ดังกล่าวนี้ จําเป็นต้องพัฒนาผู้สอนให้เข้าใจหลักการจัดการศึกษา และกระบวนการจัดการ เรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (deep understanding) มีสมรรถนะตามวัตถุประสงค์ ของหลักสูตร มที ักษะทางปัญญา สามารถประยกุ ต์ใช้ความรู้เพื่อสรา้ งสรรคน์ วัตกรรมสําหรับแก้ปญั หาในวชิ าชพี ได้ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนากําลังคนรองรับยุทธศาสตร์ชาติ และเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามประเด็นยุทธศาสตร์ท่ี 1 การผลิตและพัฒนากําลังคนด้านวิชาชีพและ เทคโนโลยีช้ันสูงรองรับยุทธศาสตร์ชาติ และประเด็นยุทธศาสตร์ท่ี 2 การพัฒนางานวิจัย และนวัตกรรม เพ่ือรองรับ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ดังน้ันวิทยาลัย ฯ จึงมีวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรนักปฏิบัติมืออาชีพด้าน วิทยาศาสตร์สุขภาพและนวัตกรรมชั้นนําในระดับประเทศและมุ่งสู่สากล (3) มีพันธกิจสําคัญในการจัดการศึกษา วิ ช าชี พบ น พื้ น ฐ าน วิ ทย าศาส ต ร์ สุ ขภ าพแล ะน วั ต กร ร ม อย่ าง มีคุ ณภ าพ เ พ่ื อผ ลิ ต บั ณ ฑิต นั กป ฏิ บั ติ มือ อาชี พ ด้ า น วิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ บัณฑิตสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และสาขาสุขภาพและความงาม ที่มีสมรรถนะ ตามมาตรฐานวิชาชีพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตและความต้องการกําลังคนตามยุทธศาสตร์ชาติ สามารถสร้างสรรค์นวตั กรรมจากภมู ิปัญญาไทยเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนและตอบสนองตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อผลิตบัณฑิตให้มีเอกลักษณ์และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ มีทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 วิทยาลัย ฯ จึงมีกลยุทธ์หลักสองประการคือ 1) การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนเพื่อ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116