Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำขวัญประจำจังหวัด

คำขวัญประจำจังหวัด

Published by สุชานรี ปานมณี, 2020-02-24 15:20:26

Description: คำขวัญประจำจังหวัด

Search

Read the Text Version

คำขวญั ประจำจงั หวดั

ประวตั คิ วามเป็นมาของจงั หวดั จนั ทบุรีเป็นเมืองที่มีประวตั ิควำมเป็นมำท่ียำวนำน ก่อต้งั โดยชนชำติชอง จงั หวดั จนั ทบุรีเป็น เมืองท่ีมีควำมสำคญั ต่อประวตั ิศำสตร์ไทยอยู่ 3 คร้ัง คือ คร้ังที่ 1 สมเดจ็ พระเจำ้ กรุงธนบุรีใช้ จงั หวดั จนั ทบุรีในกำรรวบรวมไพร่พลและเสบียงอำหำร คร้ังที่ 2 เกิดสงครำมอำนมั สยำมยทุ ธ ในรัชสมยั ของพระบำทสมเดจ็ พระนง่ั เกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั และคร้ังท่ี 3 ฝร่ังเศสยดึ เมืองจนั ทบุรีเป็น เมืองประกนั หลงั จำกเกิดวกิ ฤตกำรณ์ปำกน้ำในรัชสมยั ของพระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั ดว้ ยควำมท่ีจงั หวดั จนั ทบุรีมีควำมสำคญั ต่อเหตุกำรณ์ทำงประวตั ิศำสตร์หลำย เหตุกำรณ์และมีควำมหลำกหลำยทำงภูมิประเทศ ส่งผลใหจ้ งั หวดั จนั ทบุรีเป็นจงั หวดั ท่ีมี แหล่งท่องเท่ียวท้งั ทำงธรรมชำติและทำงวฒั นธรรมนคือ พระเจำ้ พรหมทตั (พ.ศ. 1349-1399) คร้ันถึงปี พ.ศ. 1800 ไดม้ ีกำรยำ้ ยถ่ินฐำนมำสร้ำงเมืองใหม่ที่บำ้ นหวั วงั ตำบลพงุ ทลำย ซ่ึงอยู่ ใกลก้ บั แม่น้ำจนั ทบุรีในปัจจุบนั

ต่อมำปี พ.ศ. 2200 ไดย้ ำ้ ยมำสร้ำงเมืองใหม่ที่บำ้ นลุ่ม อยทู่ ำงฝั่งตะวนั ตกของแม่น้ำจนั ทบุรี ใน ปี พ.ศ. 2310 หลงั จำกกรุงศรีอยธุ ยำ สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินมหำรำชไดเ้ ขำ้ ยดึ เมืองจนั ทบุรีเพือ่ ใช้ เป็นแหล่งสะสมเสบียงอำหำรและรวบรวมกำลงั พลในกำรกอบกกู้ รุงศรีอยธุ ยำคืนจำกพม่ำ ใน ครำวน้นั เจำ้ เมืองจนั ทบุรีนำมวำ่ เจำ้ ขรัวหลำน(ยศเจำ้ เมืองจนั ทบรุ ีเดิม) ช่ึงรำษฎรเลือกข้ึนเม่ือเสีย กรุงศรีอยธุ ยำ โดยหวงั วำ่ พระยำจนั ทบูร จะช่วยปกป้องรักษำเมืองจนั ทบุรีใหอ้ ยรู่ อดสืบต่อไป ไดต้ ่อตำ้ นกองทพั ของสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินมหำรำช โดยไดพ้ ยำยำมทำทุกวถิ ีทำงเพื่อใหเ้ มือง จนั ทบุรีอยรู่ อดเป็นอิสระ รักษำแผน่ ดินไวใ้ หช้ นชำติบูรพำ แต่สุดทำ้ ยกต็ อ้ งปรำชยั พำ่ ยแพแ้ ก่ กองทพั ของสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินมหำรำช โดยพระองคท์ รงใชพ้ ญำชำ้ งศึกบุกชนกำแพงเมืองจน สำมำรถเขำ้ ตีเมืองเอำไวไ้ ดส้ ำเร็จ เจำ้ เมืองจนั ทบุรีไดห้ ลบภยั ไปอำณำจกั รกมั พชู ำจนถึงแก่ อสญั กรรม เมืองจนั ทบุรีจึงตกเป็นของสยำมนบั แต่น้นั เป็นตน้ มำ

ต่อมำในปี พ.ศ. 2436 ฝร่ังเศสไดเ้ ขำ้ ยดึ เมืองจนั ทบุรีไวน้ ำนถึง 11 ปี เนื่องจำกสยำมมีขอ้ พิพำทเร่ือง ดินแดนฝ่ังขวำของแม่น้ำโขง โดยฝรั่งเศสกล่ำวหำวำ่ สยำมล่วงล้ำดินแดนอำณำนิคมของฝรั่งเศส ส่วนสยำมไดอ้ ำ้ งวำ่ ดินแดนดงั กล่ำวเป็นของสยำม ฝ่ำยสยำมเห็นวำ่ จะต่อสู้ทำงทหำรฝร่ังเศสไม่ไดจ้ ึง ขอเปิ ดกำรเจรจำ ทำงฝรั่งเศสยนื่ คำขำด โดยฝ่ำยสยำมตอ้ งยอมยกดินแดนท่ีเป็นขอ้ พิพำทรวมท้งั เกำะ ท้งั หมดในลำน้ำโขง พร้อมเงินอีกหน่ึงลำ้ นฟรังกแ์ ละสำมลำ้ นบำท โดยจนกวำ่ จะดำเนินกำรเสร็จ ฝร่ังเศสจะยดึ เมืองจนั ทบุรีไวก้ ่อน แต่เมื่อทำงสยำมดำเนินกำรเสร็จ ฝร่ังเศสไม่ไดถ้ อนกำลงั ออก ฝ่ำยสยำมจึงตอ้ งยอมยกเมืองตรำดและเมืองประจนั ตคีรีเขตร์ (เกำะกง) เพือ่ แลกกบั เมืองจนั ทบุรี

และอีกหน่ึงปี ต่อมำสยำมยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมรำฐ และศรีโสภณ เพอ่ื แลกเมืองตรำด คืนมำ แต่ฝร่ังเศสไม่ไดค้ ืนเมืองประจนั ตคีรีเขตร์แต่อยำ่ งใด ปัจจุบนั เมืองประจนั ตคีรีเขตร์จึง อยใู่ นอำณำเขตประเทศกมั พชู ำ ต่อมำมีกำรจดั ระเบียบบริหำรรำชกำรส่วนภูมิภำคเป็นแบบ มณฑลเทศำภิบำล จดั ต้งั มณฑลจนั ทบุรี โดยมีเมืองจนั ทบุรี ระยอง และตรำดอยใู่ นเขตกำร ปกครองจนถึงปี พ.ศ. 2476 ภำยหลงั กำรเปลี่ยนแปลงกำรปกครองเป็นระบอบประชำธิปไตย จึงยกเลิกมณฑลเทศำภิบำลและไดจ้ ดั ระเบียบบริหำรรำชกำรแผน่ ดินใหม่ โดยแบ่งออกเป็น จงั หวดั และอำเภอ ดงั น้นั เมืองจนั ทบุรีจึงมีฐำนะเป็นจงั หวดั จนถึงปัจจบุ นั น้ี



著名瀑布,水果之城 好品种辣椒,丰富的宝石, Chantaboon垫子,达信大帝, 在尖竹汶使国家重获自由。 น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยพนั ธุ์ดี อญั มณีมำกเหลือ เส่ือจนั ทบูร สมบูรณ์ธรรมชำติ สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินมหำรำช รวมญำติกชู้ ำติท่ีจนั ทบุรี Magnificent Waterfalls, Fruit City, Good Breeding Peppercorns Loads of Gems, Chanthabun Mat, Fertile Nature, Gathering Place of King Taksin the Great’s Liberation Army

น้ำตก เป็ นแหล่งสถำนท่ีท่องเท่ียวท่ี ผมู้ ำเที่ยวจะตอ้ งไปน้นั ไปดูกนั เลยจำ้ !



















ผลไมเ้ มืองจนั ทบุรี

พนั ธ์ทุ เุ รียนที่นิยม 1. พนั ธุ์ชะนี ลกั ษณะเด่น เน้ือละเอียดเหนียว สีสวย มีสีเหลืองเขม้ กำรสุกของเน้ือในผลเดียวกนั สม่ำเสมอ ทนทำนต่อโรครำกเน่ำโคนเน่ำพอสมควร ลกั ษณะดอ้ ย ออกดอกติดผลไม่ดี มกั พบอำกำรแกน เต่ำเผำ ไส้ซึม งอมแลว้ เน้ือแฉะ กลิ่นฉุน คุณภำพเน้ือ ไม่เหมำะสำหรับแปรรูป 2. พนั ธุห์ มอนทอง ลกั ษณะเด่น เน้ือหนำ เมลด็ ลีบ กลิ่นไม่แรง ติดผลดี ผลสุกเกบ็ ไดน้ ำนกวำ่ พนั ธุ์อ่ืน (เมื่อสุกงอมเน้ือไม่แฉะ) ไม่ค่อยพบอำกำรแกน เต่ำเผำหรือไสซ้ ึม คุณภำพเน้ือ เหมำะสำหรับกำรแปรรูป ในรูปแบบของกำรแช่แขง็ กวน และทอดกรอบ ลกั ษณะดอ้ ย ไม่ทนทำนต่อรำกเน่ำ โคนเน่ำ เน้ือหยำบ สีเน้ือเหลืองอ่อน (ไม่เขม้ ) มกั พบกำรสุกไม่สม่ำเสมอ อำจสุกท้งั ผล สุกบำงพู หรือสุกบำงส่วนในพเู ดียวกนั

3. พนั ธุก์ ำ้ นยำว ลกั ษณะเด่น เน้ือละเอียดเหนียว สีเน้ือสม่ำเสมอ เม่ือสุกงอมแลว้ เน้ือไม่แฉะ ติดผลดี พบอำกำรแกนเลก็ นอ้ ย ติดผลง่ำย ผลมีขนำดปำนกลำงถึงใหญ่ ลกั ษณะดอ้ ย เปลือกหนำ เน้ือไม่ค่อยหนำ เมลด็ มีขนำดใหญ่และมีจำนวนมำกเป็น ไส้ซึมง่ำย มีอำกำรเต่ำเผำปำนกลำง ไม่ทนทำนต่อโรครำกเน่ำโคนเน่ำ ถำ้ หำกมี จำนวนผลมำกคุณภำพผลจะไม่ดีและจะทำใหก้ ่ิงแหง้ ตำยในภำยหลงั อำยกุ ำรใหผ้ ล หลงั ปลูกชำ้ ผลสุกเกบ็ ไดน้ ำน กน้ ผลจะแตกง่ำย 4. พนั ธุก์ ระดุม ลกั ษณะเด่น ออกดอกเร็ว ผลแก่เร็วจึงขำยไดร้ ำคำดีและไม่มีปัญหำไสซ้ ึม อำยกุ ำร ใหผ้ ลหลงั ปลูกเร็ว ติดผลดี ผลดก ลกั ษณะดอ้ ย ไม่ทนทำนต่อโรครำกเน่ำโคนเน่ำ ผลมีขนำดเลก็ เน้ือบำง ถำ้ ออกผล ล่ำชำ้ ไปตรงกบั กำรออกผลของพนั ธุอ์ ่ืนจะมีปัญหำเรื่องตลำด (กรมวิชำกำรเกษตร)

ทุเรียน เป็นไมผ้ ลยนื ตน้ ขนำดใหญ่ สำมำรถเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลิต ไดด้ ีในเขตท่ีมีสภำพอำกำศร้อนช้ืน อุณหภูมิท่ีเหมำะสม ประมำณ 10 ถึง 46 องศำ เซลเซียล มีจำนวนปริมำณน้ำฝนไม่นอ้ ยกวำ่ 2,000 มิลลิเมตรต่อปี มีกำรกระจำยตวั ของฝนดี ควำมช้ืนสัมพทั ธ์ของอำกำศสูงประมำณ 75 ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ดินมีค่ำ ควำมเป็นกรดเป็นด่ำง (pH) ประมำณ 5.5 ถึง 6.5 (กรมวิชำกำรเกษตร) ผลของทุเรียนมีเปลือกหนำ มีหนำมแหลมแขง็ เป็นรูปปิ รำมิดตลอดผล ทรงของผล ทุเรียนมีหลำยรูปแบบแลว้ แต่ชนิดพนั ธุข์ องทุเรียน เช่นพนั ธุ์กลม (กำ้ นยำว กระดุม) พนั ธุ์กน้ ป้ำน (หมอนทอง ทองยอ้ ย) ฯลฯ ผลมีเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงประมำณ 10-20 เซนติเมตรควำมยำวอยทู่ ี่ลกั ษณะของทุเรียน เน้ือของทุเรียนมีสีจำปำหรือเน้ือสี เหลืองอ่อน ข้ึนอยกู่ บั สภำพของดินและพนั ธุ์ของทุเรียน

เงำะ (องั กฤษ: Rambutan; ชื่อวิทยำศำสตร์: Nephelium lappaceum Linn.) เป็น ไมผ้ ลเมืองร้อน มีถ่ิน กำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย และมำเลเซีย โดยทวั่ ไปเงำะ เป็นไมผ้ ลท่ี เจริญเติบโตไดด้ ี ในบริเวณท่ีมีควำมช้ืนคอ่ นขำ้ งสูง เงำะในประเทศไทย จึงนิยมปลูกในบริเวณภำค ตะวนั ออกและภำคใต้ อำทิ พนั ธุส์ ีทอง พนั ธุ์น้ำตำลกรวด พนั ธุ์สีชมพู พนั ธุ์โรงเรียน และพนั ธุ์ เจะ๊ มง เป็นตน้ แต่ พนั ธุ์เงำะที่นิยมปลูกเป็นกำรคำ้ มีแค่ 3 พนั ธุ์ คือ พนั ธุ์โรงเรียน พนั ธุ์สีทอง และ พนั ธุ์สีชมพู ส่วนพนั ธุ์อ่ืนๆ จะมีปลูก กนั บำ้ งประปรำยและโดยมำกมกั ใชเ้ พ่ือบริโภคในครัวเรือน หรือใชป้ ระโยชน์ เพ่ือกำรศึกษำทำงวิชำกำร ในอดีตประ เทศที่ผลิตและส่งออกรำยใหญ่ไดแ้ ก่ ไทย มำเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ปัจจุบนั พบวำ่ ประเทศผผู้ ลิตใหม่ เช่น ออสเตรเลีย และฮอนดูรัส ไดเ้ ขำ้ มำมีส่วนแบ่งในตลำดเพิ่มมำกข้ึน เงำะมีสำรท่ีมีชื่อวำ่ แทนนิน ซึงแทนนินน้ีสำมำรถใชฟ้ อกหนงั ยอ้ มผำ้ บำบดั น้ำเสีย ยบั ย้งั กำรเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ป้องกนั แมลง ทำเป็นป๋ ุย ทำเป็นกำว และทำยำรักษำโรค แต่มี โทษคือ แทนนินมีฤทธ์ิในกำรยบั ย้งั กำรทำงำนของเอนไซมใ์ นกระเพำะอำหำร หำกกินเขำ้ ไปมำก จะทำใหร้ ู้สึกทอ้ งอืด หรือทอ้ งผกู มีอำกำรเหมือนกบั กำรดื่มน้ำชำ เปลือกผลของเงำะมีฤทธ์ิตำ้ น อนุมูลอิสระ เงำะเป็นผลไมอ้ ีกชนิดที่มีขำยกนั อยทู่ วั่ ไป เป็นผลไมร้ สหวำนและ อมเปร้ียว รับประทำนเงำะสดสำมำรถแกอ้ ำกำรทอ้ งร่วงชนิดรุนแรง ไดผ้ ลดี นอกจำกน้ีผลเงำะนำมำตม้ นำน้ำ ท่ีไดม้ ำเป็นยำแกอ้ กั เสบ ฆ่ำเช้ือแบคทีเรีย รักษำอำกำรอกั เสบในช่องปำก และโรคบิดทอ้ งร่วง มีขอ้ ควรระวงั คือเมด็ ในของเงำะมีพษิ แมว้ ำ่ จะเอำไปควั่ จนสุกแลว้ แต่ถำ้ รับประทำนมำกเกินไปจะมี อำกำรปวดทอ้ ง เวียนศีรษะ มีไข้ คล่ืนไส้ อำเจียน ดงั น้นั ไม่ควรจะรับประทำนเมด็

เงำะเป็นไมผ้ ลยนื ตน้ ขนำดกลำงถึงขนำดใหญ่ ชอบอำกำศร้อนช้ืน อุณหภูมิท่ี เหมำะสม อยใู่ นช่วง 25 – 30° C ควำมช้ืนสมั พทั ธส์ ูงประมำณ 75 – 85 % ดินปลูกท่ี เหมำะสมควรมีค่ำควำมเป็นกรดเป็นด่ำง (คำ่ pH) ของดินประมำณ 5.5 – 6.5 และที่สำคญั ควรเลือกแหล่งปลูกที่มีน้ำเพียงพอตลอดปี เงำะเป็นไมผ้ ลที่มีระบบรำกหำอำหำรลึกประมำณ 60 – 90 เซนติเมตรจำกผวิ ดินจึงตอ้ งกำรสภำพแลง้ ก่อนออกดอกติดต่อกนั ประมำณ 21 – 30 วนั เมื่อตน้ เงำะผำ่ นสภำพแลง้ และมีกำรจดั กำรน้ำอยำ่ งเหมำะสมเงำะจะออกดอก ช่วง พฒั นำกำรของดอก (ผลิตดอก – ดอกแรกเร่ิมบำน) ประมำณ 10 – 12 วนั ดอกเงำะจะทยอย บำนจำกโคนช่อไปหำปลำยช่อ ใชเ้ วลำประมำณ 25 – 30 วนั จึงจะบำนหมดช่อ อกเงำะมี 2 ชนิด คือ ดอกตวั ผแู้ ละดอกสมบูรณเ์ พศ ตน้ ท่ีมีดอกตวั ผจู้ ะไม่ติดผล ส่วนตน้ ท่ีมีดอกสมบูรณ์ เพศน้นั เกสรตวั ผไู้ ม่คอ่ ยแขง็ แรง ตอ้ งปลูกตน้ ตวั ผแู้ ซมในสวนเพื่อเพ่ิมละอองเกสรหรือฉีดพน่ ฮอร์โมนพืชเพื่อช่วยใหเ้ กสรตวั ผแู้ ขง็ แรงข้ึน/ ต่อมำพ.ศ. 2497 นำยเค วอง เลิกกิจกำรเหมืองแร่และขำยที่ดินพร้อมบำ้ นใหแ้ ก่ กระทรวงธรรมกำรในขณะน้นั (กระทรวงศึกษำธิกำร) และปรับปรุงใชเ้ ป็นสถำนที่เรียน เรียกวำ่ โรงเรียนนำสำร ส่วนเงำะที่นำยเค วอง ปลูกไวก้ ไ็ ดข้ ยำยพนั ธุ์ออกไปสู่ประชำชนทว่ั ไป โดยใชต้ น้ พนั ธุ์เดิม จึงเรียกกนั วำ่ เงำะโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2512 พระบำทสมเดจ็ พระปรมินทรมหำภูมิพลอดุลยเดช ไดเ้ สดจ็ ไปยงั จงั หวดั สุรำษฎร์ธำนี และนำยชชั อุตตมำงกรู ไดท้ ูลเกลำ้ ฯ ถวำยผลเงำะโรงเรียนและขอ พระรำชทำน ช่ือพนั ธุ์เงำะใหม่ พระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยหู่ วั ฯ มีพระรำชดำรัสวำ่ \"เงำะ โรงเรียนดีอยแู่ ลว้ \" นบั แต่น้นั มำเงำะพนั ธุน์ ้ีจึงไดเ้ รียกวำ่ \"เงำะโรงเรียน\" อยำ่ งเป็นทำงกำร

มงั คุด รำชินีแห่งผลไม้ สรรพคุณและประโยชนข์ องมงั คุด มงั คุด (Mangosteen) ผลไมร้ ูปร่ำงกลมๆ เปลี่ยนจำกสีเขียวเมื่อ ผลยงั อ่อนมำเป็นสีม่วงเขม้ เม่ือสุกเตม็ ที่ เน้ือขำ้ งในสีขำวแบ่งเป็กลีบๆ เท่ำกบั กลีบ เล้ียงท่ีอยใู่ ตผ้ ล ส่วนกลีบเล้ียงดำ้ นบนท่ีหวั ข้วั ของผลดูคลำ้ ยมงกฎุ ของรำชินี บวก กบั รสชำติที่แสนชุ่มฉ่ำ อร่อย จึงไดร้ ับกำรยกยอ่ งใหเ้ ป็น รำชินีของผลไม้ อีกท้งั ยงั มี ประโยชน์มำกมำยมำยท่ีซุกซ่อนเอำไวใ้ นทุกส่วนของตน้ อีกท้งั ผลสุก ผลดิบ ตน้ รำก ใบ เปลือกยงั อุดมไปดว้ ยสรรพคุณทำงยำ ที่ทำงแพทยโ์ บรณและกำรแพทย์ สมยั ใหม่ใหก้ ำรยอมรับ

มงั คุดเป็นพืชเศรษฐกิจสำคญั ของ ประเทศไทยไดช้ ื่อวำ่ เป็นผสู้ ่งออกมงั คุดมำกเป็น อนั ดบั หน่ึงของโลก ปี 2558 ส่งออกมำกถึง 178,000 กิโลกรัม มูลค่ำ 4,300 ลำ้ นบำท มีกำร ส่งออกไปมำกท่ีสุดคือประเทศจีน และกระจำยไปทว่ั โลกท้งั เอเชีย ยโุ รป หรือแมแ้ ต่อเมริกำ มงั คุดที่ปลูกอยทู่ วั่ เมืองไทยเป็นสำยพนั ธุพ์ ้ืนเมือง ตน้ มงั คุดเจริญเติบโตจำกตน้ แม่ ท่ีไม่ไดร้ ับ กำรผสมเกสร เพรำะเกสรของมงั คุดตวั ผจู้ ะเป็นหมนั ทำใหม้ งั คุดในแต่ละทอ้ งท่ีกค็ ือสำยพนั ธุ์ เดียวกนั ถ่ินกำเนิดของมงั คุดอยทู่ ี่หมู่เกำะซุนดำและโมลุกกะ ประเทศอินโดนีเซีย หลงั จำก ไดร้ ับสำยพนั ธุ์มำกม็ ีกำรเพำะปลูกกระจำยออกไปหลำยทอ้ งที่ จงั หวดั ท่ีนิยมปลูกมงั คุดทำง ภำคใต้ ไดแ้ ก่ ชุมพร สุรำษฎร์ธำนี นครศรีธรรมรำช ระนอง พงั งำ และนรำธิวำส แต่ที่สำยพนั ธุ์ ด้งั เดิมท่ีไดช้ ื่อวำ่ รสชำติดี ช่ือเสียงโด่งดงั ไปทว่ั โลกและมีรำคำสูงท่ีสุดในประเทศไทยคือ อำเภอคีรีวง จงั หวดั นครศรีธรรมรำช เนื่องจำกเป็นท่ีรำบอยใู่ นหุบเขำ มีลำธำรน้ำไหลผำ่ น ทำ ใหม้ ีสภำพอำกำศเหมำะสมแก่กำรเพำะปลูกมงั คุด ซ่ึงจะมีท้งั ท้งั มงั คุดสวนและมงั คุดเขำ ที่มีลูก ใหญ่ หูเขียว ผวิ สวย

พริกไทย

จงั หวดั จนั ทบุรี เป็นแหลง่ ปลกู พริกไทยพืชเศรษฐกิจที่สำคญั ที่สำคญั โดยมี พ้ืนท่ีปลกู ประมำณร้อยละ 95 ของพ้ืนท่ีปลกู ทวั่ ประเทศ สำมำรถสร้ำงรำยไดจ้ ำกกำร ส่งออกใหก้ บั ประเทศปี ละจำนวนมำก และเป็นสินคำ้ ข้ึนช่ือของจงั หวดั พริกไทย เป็นพชื มีผลเป็นพวงเมด็ ขนำดเลก็ และเป็นเคร่ืองเทศที่ใหร้ สเผด็ ร้อน สำมำรถนำมำทำพริกไทยแหง้ เป็นเคร่ืองปรุงสำหรับอำหำร ซ่ึงถำ้ ทำแหง้ ท้งั เปลือก จะไดพ้ ริกไทยดำเนื่องจำกผงของเปลือกเป็นสีดำปนอยู่ ส่วนพริกไทยขำวไดจ้ ำกกำร ลอกเปลือกออกก่อนทำเป็ นผง พริกไทย เป็นตน้ ไมป้ ระเภทไมเ้ ล้ือย มีควำมสูงประมำณ 5 เมตร ลกั ษณะของลำตน้ เป็น ขอ้ ๆ เป็นตน้ ไมท้ ่ีมีอำยยุ นื ระบบรำกของตน้ พริกไทยจะมีเกิดบริเวณขอ้ ตำมลำตน้ เป็นรำกเลก็ ๆจะ เป็นรำกที่ช่วยยดึ เกำะ และมีรำกที่อยใู่ นดินขนำดใหญ่ประมำณ 3-6 รำก แต่ละรำกจะมีรำกฝอย ลกั ษณะใบจะมีสีเขียวสด ใบใหญ่คลำ้ ยใบโพ ดอกของพริกไทยจะมีขนำดเลก็ จะออกช่อตำมขอ้ เป็น พวง เมลด็ จะมีลกั ษณะกลมติดกนั เป็นพวง กำรขยำยพนั ธุ์สำมำรถจะปลกู ได้2 วธิ ี คือ กำรเพำะเมลด็ หรือ กำรปักชำ โดยอำศยั ลำตน้ ส่วนยอด หรือส่วนอื่นๆ ท่ีไม่แก่มำก

อญั มณี

จงั หวดั จนั ทบุรีไดร้ ับฉำยำวำ่ เป็นเมืองหลวงทำงดำ้ นอญั มณีแห่งหน่ึงของโลก โดยกิจกำรเหมืองอญั มณีของจงั หวดั จนั ทบุรีเร่ิมเม่ือใดไม่มีหลกั ฐำนปรำกฏแน่ชดั แต่พบ หลกั ฐำนในจดหมำยเหตุครำวพระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั พ.ศ. 2419 ควำมวำ่ \"ไดม้ ีรำษฎรนำเอำผลไมแ้ ละพลอยหลำกสีมำถวำย\" อญั มณีที่มีชื่อเสียงมำกของจงั หวดั จนั ทบุรีมีหลำยชนิด เช่น ไพลิน สตำร์ บุษรำคมั แต่ท่ีมีชื่อเสียงมำกที่สุดคือ ทบั ทิมสยำม ใน บริเวณจงั หวดั จนั ทบุรีและตรำด ที่บำ้ นหนองบอน บ่อไร่ นำวง ฯลฯ ซ่ึงมีช่ือเสียงมำกใน ระดบั โลก อญั มณีดงั กล่ำวเหล่ำน้ีมกั ขดุ หำจำกเหมืองในบริเวณเขำรอบ ๆ ตวั เมืองจนั ทบุรี โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ ในบริเวณเขำพลอยแหวนและเขตตำบลบำงกะจะ ซ่ึงคน้ พบอญั มณีเป็น จำนวนมำก อยำ่ งไรกต็ ำมในปัจจุบนั ปริมำณอญั มณีที่คน้ พบในเขตจงั หวดั จนั ทบุรีลดลงไป มำก ส่งผลใหต้ อ้ งนำเขำ้ อญั มณีจำกต่ำงประเทศ โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ จำกประเทศมำดำกสั กำร์ ในทวปี แอฟริกำ เพ่ือนำมำเป็นวตั ถุดิบใหช้ ่ำงเจียระไนพลอยในจงั หวดั จนั ทบุรีเป็นผู้ เจียระไน กำรซ้ือขำยอญั มณีในจงั หวดั จนั ทบุรีจะทำกำรซ้ือขำยในตลำดพลอย ซ่ึงต้งั อยใู่ น เขตเมืองเก่ำจนั ทบุรี โดยมีผซู้ ้ือท้งั ชำวไทยและชำวต่ำงประเทศ มีกำรคำดกำรณ์กนั วำ่ ใน 1 สัปดำห์มีเงินสะพดั อยใู่ นตลำดพลอยประมำณ 200 - 500 ลำ้ นบำท

เส่ือจนั ทบูร

ดว้ ยลกั ษณะภูมิประเทศอนั เป็นที่รำบ จึงทำใหพ้ ้นื ที่ของจงั หวดั จนั ทบุรีมีตน้ กกเกิดข้ึนอยู่ เป็นจำนวนมำก ซ่ึงคุณสมบตั ิเด่นของกกคือมีควำมเหนียวและทนทำนสูง ชำวบำ้ นจึง นิยมนำมำใชท้ อเส่ือเป็นลวดลำยต่ำงๆ จนกลำยเป็นสินคำ้ หตั ถกรรม ‘เสื่อจนั ทบูร’ อนั เล่ืองชื่อประจำจงั หวดั จนั ทบุรี โดยเฉพำะอยำ่ งยง่ิ ที่ศูนยห์ ตั ถกรรมพ้ืนบำ้ นกำรทอเส่ือ จนั ทบูรแห่งน้ี เป็นหน่ึงในแหล่งผลิตสินคำ้ หตั ถกรรมจำกตน้ กก ท่ีไดร้ ับ กำรพฒั นำและ ออกแบบใหก้ ลำยเป็นผลิตภณั ฑเ์ คร่ืองใชต้ ่ำงๆ ท่ีดูมีคุณค่ำและมีเอกลกั ษณ์เป็นอยำ่ งยงิ่ ไดช้ มเสื่อท้งั ลำยโบรำณอยำ่ งลำยคู่ ลำยตำแขก ลำยตำขำ รวมถึงลวดลำยเขำ้ ยคุ เขำ้ สมยั อยำ่ งลำยไทยและลำยน้ำไหลซ่ึงมีควำมสวยงำมเป็นเอกลกั ษณ์ของเส่ือจนั ทบูร

พระเจำ้ ตำกสินมหำรำช

พระบรมรำชำนุสำวรีย”์ หมำยควำมวำ่ อนุสำวรียข์ องพระมหำกษตั ริยซ์ ่ึงได้ ทรงประกอบพระรำชกรณียกิจเป็นคุณอยำ่ งยง่ิ ใหญ่แก่ชำติไทยยคุ สมยั ต่ำงๆ ตำมท่ีมี เร่ืองหรือพระนำมปรำกฏในเอกสำร หรือหลกั ฐำนทำงประวตั ิศำสตร์และโบรำณคดี พระบรมรำชำนุสำวรียน์ ้นั จะไดป้ ระดิษฐำนไวใ้ นที่สำธำรณะ หรือ ณ ที่ซ่ึงเปิ ดให้ มหำชนสกั กำรบูชำและชมได้ ชำวจงั หวดั จนั ทบุรีมีควำมสำนึกในพระมหำกรุณำธิคุณของสมเด็จพระเจำ้ ตำกสินมหำรำชท่ีทรงรวบรวมคนไทยกอบกอู้ ิสรภำพจำกพม่ำไดเ้ ป็นผลสำเร็จ ทรง ฟ้ื นฟูประเทศชำติใหเ้ ขำ้ สู่ควำมสงบโดยเร็ว เน่ืองจำกในระหวำ่ งที่พระองคท์ รง รวบรวมกำลงั คนและอำวธุ ยทุ โธปกรณ์เพ่ือกอบกบู้ ำ้ นเมืองน้นั ทรงใชเ้ มืองจนั ทบุรีเป็น ฐำนท่ีมน่ั สำคญั ชำวจงั หวดั จนั ทบุรีไดร้ ่วมก่อสร้ำงพระบรมรำชำนุสำวรียไ์ วเ้ ป็น อนุสรณ์ 1พระบรมรำชำนุสำวรีย์ ณ สวนสำธำรณะทุ่งนำเชย อำเภอเมืองจนั ทบุรี มี รูปลกั ษณะพระบรมรูปทรงมำ้ พระท่ีนงั่ ออกศึก ทรงเคร่ืองกษตั ริยน์ กั รบ ขนำดสองเท่ำ คร่ึงพระองคจ์ ริง รอบพระบรมรูปเป็นทหำรคนสนิท 4 คน คอยอำรักขำท้งั สี่ดำ้ น

จดั ทาโดย น.ส.สชุ านรี ปานมณี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook