Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บันทึกการเรียนรู้ 16-12-2563 รหัส 61101208127

บันทึกการเรียนรู้ 16-12-2563 รหัส 61101208127

Published by Wichida Soonjan, 2020-12-17 11:16:20

Description: บันทึกการเรียนรู้ 16-12-2563 รหัส 61101208127

Search

Read the Text Version

สรุปองคความรู (ตอ ) 34 กรณแี บบองิ เกณฑ จากการอา นศกึ ษาอํานาจจาํ แนกรายขอในกรณที ่เี ปน แบบทดสอบอิงเกณฑ ผูเขยี นสามารถสรปุ ไดว า การหาคา R หรอื D ของแบบทดสอบองิ เกณฑ ทคี่ ะแนนของแตล ะขอ เปน 0 กับ 1 ในกรณีผสู อนนีจ้ ะตอ งกาํ หนดเกณฑผาน เรียกวา จดุ แบงหรือจดุ ตดั คะแนนจะอยทู ร่ี อ ยละ 50 - 60 ของคะแนนเตม็ จะนยิ มใชวธิ ขี อง Brennan ซงึ่ เรียกวา \"B-indx\" แลว นําขอ มลู ของแบบทดสอบทไี่ ดม าแยกผูสอบออกเปน 2 กลุม คอื กลุม รอบรู และกลมุ ไมร อบรู โดยใชส ตู ร B = U/N1 - L/N2 โดยกรณนี ้ีตอ งมีคา r หรือ d ทีย่ อมรบั ได คอื ต้ังแต 0.20 ข้นึ ไป ความเชอื่ มัน่ ของแบบทดสอบ จากการอานศกึ ษาความเช่ือมั่นของแบบทดสอบ ผเู ขยี นสามารถสรปุ ไดวา เปน เครือ่ งมอื ทีใ่ ชในการวัดผลทม่ี ี ความคงเสน คงวา ไมว าจะวดั กค่ี รัง้ ก็ไดผลเทา เดมิ หรือใกลเ คยี งกับแบบเดมิ ซึ่งการหาความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบ จําแนกไดเ ปน 2 กรณี ดงั น้ี กรณแี บบอิงกลุม 1. กรณีใหคะแนนเปน 0 กบั 1 ในกรณนี ี้คะแนนของขอสอบจะตอ งมคี าความเชื่อมั่นไมต ่ํากวา 0.70 จงึ เปนท่ี ยอมรับได ซึง่ ถาแบบทดสอบมคี า เขาใกล 1 จะมีคาความเช่ือม่ันสูงมาก แตถ าเขาใกล 0 จะถอื วาขาดความเช่ือมนั่ ซึง่ สูตรในการหาตามวธิ ีของ Kuder-Richardson จะมี 2 สูตร คอื KR 20 (นยิ มใชสตู รน้ีเนื่องจากใชไดใ นทุกกรณี) กับ KR 21 2. กรณีใหค ะแนนไมใช 0 กบั 1 กรณนี ีจ้ ะมีสตู รหาเฉพาะที่แตกตางจาก กรณีท่คี ะแนนเปน 0 กับ 1 ซึง่ นยิ มใช สูตรสมั ประสทิ ธ์แิ อลฟาตามวิธขี อง Cronbach ซงึ่ เปนสูตรทพ่ี ัฒนามาจากสตู ร KR 20 ของ Kuder-Richardson เกณฑ คะแนนคดั เลอื กกรณที ค่ี ะแนนไมใช 0 กบั 1 ของขอสอบจะเหมอื นกนั กบั กรณีใหคะแนนเปน 0 กับ 1 กรณีแบบอิงเกณฑ ในกรณีน้ีจะมีการใหคะแนนท้ังทเ่ี ปน 0 กับ 1 และไมเปน 0 กับ 1 สามารถหาไดโดยการนาํ แบบทดสอบทง้ั ฉบับ ไปทดลองใชก บั กลุมตัวอยางเพียงคร้ังเดียวแลวนาํ มาวเิ คราะหห าคา ความเช่ือมัน่ โดยวธิ ีของ Lovett ซ่ึงความเชอื่ มัน่ แบบอิงเกณฑจะมกี ารแปลความหมายระดับความเชอ่ื ม่นั เหมอื นกันกบั แบบอิงกลมุ

35 WEEK 9 16 กนั ยายน 2563 ใบความรูที่ 10 การวิเคราะหตัวชีว้ ดั สกู ารออกแบบหนวยการเรยี นรู ขอบขา ยเน้อื หา 1. ความหมายของมาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวชว้ี ัด 2. ประเภทของตัวช้ีวดั 3. การกําหนดหลกั ฐานการเรียนรู 4. วิธกี ารวเิ คราะหต ัวช้ีวัดเพื่อการออกแบบหนวยการ เรียนรู

ขน้ั ท่ี 1 คน้ หา “คาสาคญั (Key Word)” คาเหล่าน้ ีจะบ่งบอกว่าตวั ช้ ีวดั น้ันเป็ น เป้าหมายการเรยี นรปู้ ระเภทใด ข้นั ท่ี 2 กาหนดหลกั ฐานการเรียนรู้ เชน่ ผลผลิต และ ผลการปฏบิ ตั ิ ขน้ั ที่ 3 กาหนดวธิ ีการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ โดยพิจารณาจากคา สาคญั และสาระการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 4 กาหนดเคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ให้ สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานการเรยี นรู้ ข้นั ที่ 5 กาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นไดล้ งมอื ทาหลกั ฐาน การเรยี นรตู้ ่าง ๆ การวเิ คราะหต์ วั ช้ วี ดั เพอ่ื การ การวิเคราะห ออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ ออกแบบหน่ว การกาหนดหลกั ฐานการ ประเภ เรยี นรู้ 3 1. ผลผลิต เช่น สิ่งประดิษฐ์ แบบจาลอง แผนภูมิ รายงาน โครงงาน 2. ผลการปฏิบตั ิ เช่น การสาธติ การนาเสนอ การอภิปราย การแสดง เป็ นตน้ โดยหลกั ฐานการเรียนรทู้ ง้ั หมดจะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ตวั ช้ วี ดั และผลการเรยี นรู้

มาตราฐานการเรยี นรู้ เป็ นเป้าหมายสาคญั ของการพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น จะ ตวั ช้ วี ดั ระบุส่ิงทผี่ เู้ รยี นพงึ รู้ ปฏบิ ตั ไิ ด้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ คา่ นิยมทีพ่ งึ ประสงค์ รวมท้งั ยงั เป็ นเคร่ืองมอื ในการ ตรวจสอบเพือ่ ประกนั คุณภาพการศึกษา เป็ นตวั ระบสุ ิ่งทน่ี ักเรียนพึงรแู้ ละปฏิบตั ิได้ มคี วาม เฉพาะเจาะจงเป็ นรปู ธรรม นาไปใชใ้ นการกาหนด เน้ ือหา จดั ทาหน่วยการเรยี นรู้ จดั การเรียนการสอน และเป็ นเกณฑส์ าคญั สาหรบั การวดั ประเมินผลเพ่ือ ตรวจสอบคุณภาพผเู้ รยี น หต์ วั ช้ วี ดั สู่การ ตามแนวคดิ ของ Stiggins แบ่งออกเป็ น 5 ประเภท ดงั น้ ี วยการเรียนรู้ 1. ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ เช่น หลกั การ กรอบความคดิ ความรกู้ ระบวนการ ภทตวั ช้ วี ดั 2. ดา้ นการคิดอย่างมีเหตผุ ล เป็ นตวั ช้ วี ดั เกีย่ วกบั 36 ความสามารถในการคดิ โดยการนาความรูม้ าแกป้ ัญหา 3. ดา้ นทกั ษะการปฏิบตั ิ เช่น การสงั เกต ทดลอง สาธติ 4. ดา้ นผลผลติ เป็ นในการใชค้ วามรู้ การคดิ เพอ่ื สรา้ งผลงาน ใหม้ คี ุณภาพ เช่น งานเขยี น ช้ นิ งาน แบบจาลอง 5. ดา้ นจติ นิสยั เป็ นตวั ช้ วี ดั ที่ไม่ใช่ผลสมั ฤทธ์ิทางวิชาการ แต่ เป็ นความสามารถทางดา้ นอารมณ์ ความรูส้ กึ ตามแนวคดิ ของ Bloom ประเภทตวั ช้ วี ดั มีอยู่ 3 ดา้ น ใหญ่ ๆ คอื ดา้ นพุทธพิ สิ ยั ดา้ นทกั ษะพิสยั และดา้ น จิตพิสยั

สรุปองคค วามรู 37 จากการศกึ ษา ใบความรทู ี่ 10 การวิเคราะหตัวชี้วัดสูการออกแบบหนวยการเรียนรู ในหัวขอท้ังหมด 4 หัวขอ ไดแก ความหมายของมาตรฐานการเรียนรูแ ละตวั ช้ีวดั ประเภทของตัวช้วี ดั การกําหนดหลกั ฐานการเรียนรู วธิ กี าร วิเคราะหตวั ช้วี ัดเพอ่ื การออกแบบหนวยการเรยี นรู จากท้ังหมดผูเ ขียนสามารถสรปุ ไดวา การวเิ คราะหต วั ช้วี ดั ในการ ออกแบบหนวยการเรยี นรูม ีความสําคญั เปน อยางมาก เพราะเปน สวนประกอบสําคัญในการออกแบบหนวยการ เรียนรู ซง่ึ การท่ผี ูสอนจะออกแบบหนว ยการเรยี นรไู ดน ้นั ผูสอนจะตอ งมีการวเิ คราะหตวั ชว้ี ัดในหนวยการเรยี นรู ๆ น้นั ดว ยวามีความสอดคลอ งกันกับหนว ยการเรยี นรูน้ันหรอื ไม อันจะนําไปสูแผนการวางการจัดกจิ กรรมการเรยี นการ สอนใหบ รรลตุ ามตวั ชี้วัดและเปาหมาทก่ี าํ หนดไว จากท่ีกลาวมาท้งั หมดผูเขียนขอสรุปเปน หัวขอ ตาง ๆ ดงั้ นี้ ความหมายของมาตรฐานการเรียนรแู ละตัวชวี้ ดั ในการท่ีผสู อนจะตองออกแบบหนวยการเรยี นรูนั้นผูส อนจะตองรคู วามหมายของมาตรฐานการเรยี นรูแ ละตวั ชี้วัดกอน ซึ่งจากการศกึ ษาผเู ขยี นสามารถสรุปไดว า มาตรฐานการเรียนรู เปน เปาหมายสําคญั ของการพัฒนา คณุ ภาพผเู รยี น โดยจะระบุสง่ิ ท่ผี ูเรยี นพึงรู ปฏิบตั ิได มีคุณธรรมจรยิ ธรรม และคานิยมทพ่ี งึ ประสงคร วมทง้ั ยังเปน เครอื่ งมือในการตรวจสอบเพื่อประกนั คุณภาพการศึกษาอีกดว ย สวนตวั ช้วี ดั จะเปนตวั ระบุสง่ิ ท่ีนักเรียนพงึ รูและ ปฏิบัติไดมคี วามเฉพาะเจาะจงเปนรูปธรรม นาํ ไปใชในการกาํ หนดเนอื้ หา จัดทาํ หนว ยการเรยี นรู จดั การเรียนการ สอนและเปนเกณฑส ําคญั สําหรบั การวัดประเมินผลเพอ่ื ตรวจสอบคณุ ภาพของผเู รียน ประเภทของตวั ชี้วัด จากทีผ่ เู ขยี นอา นและศึกษาจะเห็นไดว าประเภทของตัวชว้ี ัดจะมีความเกี่ยวของกับแนวคดิ ของ Bloom และ Stiggins ในการทีจ่ ะออกแบบหนว ยการเรียนรูไดน ้ันผสู อนจะตอ งศกึ ษาประเภทของตวั ที่วดั ที่ประกอบไปดวย ตวั ช้วี ดั ดา นความรูความเขาใจ เปนความเขาใจ ความจํา พรรณนา ระลึกไดเ กีย่ วกบั เนือ้ หาทีเ่ กยี่ วขอ งกับกรอบความ คิด กระบวนการ หลักการและเหตกุ ารณตาง ๆและตัวชว้ี ดั ดา นการคดิ อยางเปน เหตผุ ล เปนความสามารถในการคดิ วิเคราะห สังเคราะหหาแนวทางเพอื่ แกป ญ หาทีเ่ กิดขน้ึ สว นตัวชี้วัดทกั ษะการปฏบิ ตั ิ เปนความสามารถในการใชเท คนดิ การปฏิบตั ิ การทดลอง สังเกต ปฏิบัตแิ ละสาธิต ผา นความสามารถดา นการคิดอยางสมเหตสุ มผล และตวั ช้ีวดั ดานผลผลติ เปน ความสามารถในการใชค วามรู ความเขา ใจ ความคิดอยา งมเี หตุผล ทกั ษะการปฏบิ ตั มิ าประยกุ ตใ ช ในการออกแบบชิ้นงานและผลงานตา ง ๆ ใหม ีคณุ ภาพและเปน รปู ธรรม สวนตวั ชีว้ ดั ดานจติ นสิ ยั เปนการแสดงออก ทางดานอารมณแ ละความรสู ึก แสดงออกใหเ ห็นถึงความมนั่ ใจและลักษณะนสิ ยั ของผเู รียนท่ีผูสอนตอ งการวดั

สรุปองคความรู (ตอ) 38 การกําหนดหลักฐานการเรียนรูตัวชีว้ ดั การท่จี ะออกแบบหนวยการเรียนรไู ดน น้ั ผสู อนจะตองมกี ารกาํ หนดหลกั ฐานการเรยี นรขู ้ึนมาดว ย ซึ่งหลักฐาน การเรยี นรกู ็จะตอ งสอดคลองกับตัวชว้ี ดั ของหนวยการเรียนรนู น้ั ๆ ดวย โดยหลกั ฐานการเรยี นรูจะเปน ส่ิงทแ่ี สดงให เห็นถึงผลงานการเรยี นรขู องผูเรยี น จําแนกไดเ ปน ผลงงานดานผลผลิต เชน แบบจาํ ลอง ส่งิ ประดษิ ฐ รูปเลม รายงาน และผลงงานดา นการปฏิบตั ิ เชน การนําเสนอผลงานแบบจาํ ลอง การรองเพลง การแสดงละคร เปน ตน วิธกี ารวิเคราะหตวั ชี้วดั เพ่อื การออกแบบหนวยการเรยี นรู ในการทจี่ ะออกแบบหนว ยการเรียนรูไดนนั้ ผสู อนจะตองมีวิธีการวิเคราะหตวั ช้ีวัดเพอ่ื จะไปไปสกู ารออกแบบ หนวยการเรียนรู โดยอันดับแรกผสู อนจะตองคนหาคาํ สาํ คัญซึง่ เปน คําที่แสดงใหเห็นถงึ พฤตกิ รรมของผูเ รียน ยก ตัวอยา งเชน เขาใจ อธบิ าย ปฏิบตั ิ ระบุ ตอ มาผสู อนจะตองทําการกาํ หนดหลักฐานการเรียนรูทจ่ี ะเปน ตวั บง บอกถงึ พฤติกรรมการเรียนรขู องผเู รียนไมว า จะเปนผลงานดานผลผลติ หรอื ผลงงานดานการปฏบิ ัติ รวมถึงกาํ หนดวิธกี ารวดั และประเมินผลการเรียนรู โดยใหพิจราณาคาํ สําคัญของตวั ชีว้ ัด วา จะเนนความรูความสามารถของนักเรียนไปทาง ดา นใด ไมวา จะเปน ความรู ความเขา ใจ ทักษะกระบวนการตา ง ๆ โดยในการออกแบบน้นั จะตองมีเครอื่ งมือท่ีใชว ดั ใน การวดั และประเมนิ ผลดว ย โดยผสู อนจะตองออกแบบใหส อดคลอ งกบั หลักฐานการเรียนรใู นหนว ยการเรยี นรนู ้นั ดว ย และสดุ ทา ยกจ็ ะเปน การกาํ หนดกิจกรรมการเรยี นรู เพอื่ ใหผูเรยี นไดแ สดงความรู ความเขาใจ และทักษะ กระบวนการตา ง ๆ ผานหลักฐานการเรียนรู

39 WEEK 10 23 กนั ยายน 2563 ใบความรูที่ 11 การออกแบบหนว ยการเรียนรอู งิ มาตรฐาน โดยใชก ระบวนการยอ นกลับ ขอบขายเน้ือหา 1. ความหมายของการออกแบบหนว ยการเรียนรอู งิ มาตรฐาน 2. การออกแบบหนวยการเรยี นรอู งิ มาตราฐาน โดยใชก ระบวนการยอ นกลบั 3. ขน้ั ตอนการออกแบบหนวยการเรยี นรูอิงมาตราฐาน โดยใชก ระบวนการยอนกลับ

ขน้ั ตอนที่ 1 ระบผุ ลลพั ธท์ ต่ี อ้ งการหรอื ข้นั กาหนดเป้าหมายทคี่ รอบคลมุ 3 ดา้ น คอื 1. มคี วามเขา้ ใจท่ีคงทน 2. มคี ุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงคแ์ 3. มที กั ษะการคิด และกระบวนการคิดต่าง ๆ ขน้ั ตอนที่ 2 กาหนดหลกั ฐานการเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รียนไดบ้ รรลุเป้าหมายทีก่ าหนดไว้ เช่น ช้ นิ งานหรือภาระงานตา่ ง ๆ ข้นั ตอนที่ 3 วางแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ เพอ่ื ท่จี ะใหผ้ เู้ รียนไดป้ ฏบิ ตั ิ ในขณะจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ขน้ั ตอนการออกแบบ การออกแบบ หน่วยการเรยี นรู้ เรียนรอู้ งิ ม แนวคิดกระบวนการ ออกแบบยอ้ นกลบั Grant Wiggins และ Jay McTighe ไดเ้ สนอการออกแบบ ออ ยอ้ นกลบั ไวว้ า่ “การออกแบบหลกั สูตรจะตอ้ งเริ่มจากการ ระบุผลลพั ธ์ เพื่อเป็ นเป้าหมายทางการเรยี นรู้ และ 4 กาหนดหลกั ฐานการเรียนรู้ รวมทง้ั สือ่ และกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพื่อใหผ้ เู้ รียนปฏิบตั ิ ซง่ึ ในทุกข้นั ตอนตอ้ งเช่ือมโยงและ สมั พนั ธก์ นั ”

เป็ นการวางแผนและจดั ทาหน่วยการเรยี นรู้ ซงึ่ เป็ นสาระการเรยี นรยู้ อ่ ยของรายวิชา โดยมี มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้ วี ดั เป็ น เป้าหมายสาคญั ของการเรยี นรู้ ดงั น้ันทกุ องคป์ ระกอบของหน่วยการเรยี นรตู้ อ้ ง เช่ือมโยงกบั มาตราฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ช้ วี ดั ความหมาย บหน่วยการ 1. ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ มาตราฐาน 2. มาตราฐานและตวั ช้ วี ดั กระบวนการ 3. สาระสาคญั ประจาหน่วยการเรยี นรู้ อกแบบยอ้ นกลบั 4. สาระการเรียนรู้ (องคค์ วามรู้ ทกั ษะ และคา่ นิยมท่ีผเู้ รยี น ควรเรียนร)ู้ 40 5. ช้ นิ งานหรือภาระงานทใ่ี หผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั ิ (สอดคลอ้ งกบั มาตราฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ช้ วี ดั ) 6. วิธกี ารวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เนน้ การประเมนิ ที่ ช้ นิ งานหรอื ภาระงานท่ใี หผ้ เู้ รียนปฏิบตั ิ 7. กจิ กรรมการเรียนรหู้ รือวธิ ีการจดั การเรียนการสอน 8. เวลาเรยี น และน้าหนักคะแนนประจาหน่วยการเรยี นรู้

สรปุ องคค วามรู 41 จากการศึกษา ใบความรทู ่ี 11 การออกแบบหนว ยการเรียนรูอิงมาตรฐานโดยใชก ระบวนการแบบยอ นกลบั ใน หวั ขอท้งั หมด 3 หวั ขอ ไดแ ก ความหมายของการออกแบบหนว ยการเรยี นรอู ิงมาตรฐาน การออกแบบหนวยการเรียน รูองิ มาตรฐานโดยใชกระบวนการยอนกลบั ข้ันตอนการออกแบบหนวยการเรียนรอู ิงมาตรฐานโดยใชกระบวนการยอน กลับ จากทกี่ ลา วมาทัง้ หมดผเู ขยี นขอสรุปเปน หวั ขอ ตาง ๆ ดัง้ นี้ ความหมายของการออกแบบหนว ยการเรยี นรอู งิ มาตรฐาน จากการทผ่ี ูเขียนอา นศกึ ษามาการออกแบบหนว ยการเรยี นรูอิงมาตรฐานเปนภาระงานทสี่ าํ คญั มากเพราะ เปน สว นทจี่ ะนํามาสรางองคค วามรใู หกบั ผูเ รียนสูการปฏิบตั จิ ริงในหองเรียน ซึง่ ในการทีผ่ สู อนจะออกแบบหนวย การเรียนรไู ดน ้นั ผูสอนจะตอ งมกี ารวางแผนและจดั ทาํ หนวยการเรยี นรู รวมทง้ั อา นวเิ คราะหม าตรฐานการเรยี นรู เพื่อเชื่อมโยงกับตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน วิธกี ารวัดและประเมินผลใหสอดคลอง กบั หนว ยการเรียนรูน นั้ ดว ย เพ่ือมุง ใหผ ูเรียนมีความรแู ละพัฒนาการบรรลตุ ามเปาหมายการเรยี นรทู ่ผี ูสอนได กาํ หนดไวใ นหนว ยการเรยี นรูนัน้ ๆ การออกแบบหนวยการเรียนรูอ ิงมาตรฐานโดยใชกระบวนการยอนกลบั การออกแบบหนวยการเรยี นรไู มใ ชเพยี งแคอ งิ ตามมาตรฐานการเรียนรทู ก่ี าํ หนดไวแตผ สู อนตอ งใชขอ มูล ท้งั หมดใหข อ มลู ยอ นกลบั แกผ ูเรยี นดวย โดยการนําเอาแนวคดิ ท่ีนักการศกึ ษาหลายทานไดเสนอไวมาใชประกอบ ดาํ เนนิ การควบคกู บั การออกแบบหนว ยการเรยี นรอู ิงมาตราฐานไปดว ย ซงึ่ ผเู ขยี นสามารถสรปุ องคป ระกอบของ การออกแบบหนว ยการเรยี นรอู งิ มาตรฐานโดยใชกระบวนการยอนกลบั ไดว า ในการท่จี ะออกแบบหนวยการเรยี น รอู งิ มาตรฐานไดน นั้ ผสู อนจะเรม่ิ ตน ท่ีการระบชุ ่ือหนว ยการเรยี นรู ท่ีจะดําเนินการออกแบบหนวยการเรียนรูโดยใน เลมออกแบบหนวยการเรียนรอู ิงมาตรฐานผสู อนจะตองนาํ มาตราฐานการเรยี นรแู ละตวั ช้วี ดั สาระสําคญั ประจาํ หนวยการเรยี นรู สาระการเรียนรู ชนิ้ งานหรือภาระงานที่ใหผเู รียนปฏิบัติ วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผลการเรียนรแู ละ เคร่อื งมือท่ีใชว ัดผล กิจกรรมการเรียนการสอนในชว่ั โมงของหนว ยการเรียนรูหรอื บทเรยี นน้นั ๆ ซึง่ ในสว น ประกอบในการออกแบบบหนว ยการเรียนรูทผ่ี ูเขียนกลาวมาทงั้ หมดผสู อนจะตองนํามาวเิ คราะห วางแผนให สอดคลองกันกับหนว ยการเรยี นรูนน้ั ดว ย รวมทั้งผสู อนจะตอ งระบเุ วลาทีจ่ ะใชใ นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และนํา้หนักคะแนนทีใ่ ชเ ก็บในหนวยการเรยี นรนู ั้นดว ย เพอ่ื ใชเปน เกณฑในการตัดสินพฒั นาการเรยี นรขู องผูเรยี น และเปนคะแนนเก็บเพื่อพิจราณาในการตัดสนิ ผลการเรียน

สรุปองคค วามรู (ตอ ) 42 ขน้ั ตอนการออกแบบหนวยการเรยี นรอู งิ มาตรฐานโดยใชก ระบวนการยอนกลบั จากการอานศึกษาขนั้ ตอนในการออกแบบหนวยการเรียนรูองิ มาตรฐานโดยใชก ระบวนการยอนกลับ ผู เขียนสามารถสรปุ ไดว า ในการทจ่ี ะออกแบบหนวยการเรียนรูอ งิ มาตรฐานไดน ้นั ผสู อนจะตอ งมวี ิธแี ละขนั้ ตอนใน การออกแบบหนว ยโดยการใหข อ มลู ยอนกลบั โดยข้ันแรกผูสอนจะตองกําหนดหรอื ระบผุ ลลัพธท ต่ี องการ เชน ความรู ความสามารถและคุณลักษณะอันพึงประสงค ทัศนคติ ทีต่ องการใหเ กดิ ข้ึนในผูเรยี นเมื่อเรยี นจบหนว ยการ เรียนรู ตอมาผสู อนจะตอ งวางแผนกจิ กรรมการจัดการเรียนการสอนในระหวา งชัว่ โมงเรยี นและกําหนดหลักฐาน การเรียนรทู จี่ ะใชว ัดความรู ความเขาใจ ทกั ษะกาปฏบิ ตั ิ และความสามรถดา นตาง ๆ ผา นการวดั และประเมินผล งานดานชิน้ งานหริอการปฏิบัติ เพ่ือใหผเู รยี นไดบรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นรูทผ่ี สู อนตอ งการ

43 WEEK 11 30 กันยายน 2563 ใบความรทู ี่ 12 การประเมินจากการสอื่ สารระหวา งบุคคล ขอบขายเน้ือหา 1. ความรเู บื้องตน เก่ียวกบั การสือ่ สารระหวางบุคคล 2. ความหมายของการวัดและประเมินผลการเรยี นรู จากการส่อื สารระหวา งบคุ คล 3. วธิ กี ารหลากหลายของการวดั และประเมนิ ผล การเรยี นรจู ากการส่อื สารระหวา งบคุ คล

เป็ นการส่อื สารในรปู แบบของการเขียนของผเู้ รยี น โดยให้ เป็ นงานชนิดใดชนิดหนึ่งทีส่ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รียนบนั ทกึ เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ท้งั ในและนอกหอ้ งเรยี น การสอน ซงึ่ ผสู้ อนเป็ นผมู้ อบหมายให และผสู้ อนสามารถสะทอ้ นความคิดเห็นเพือ่ เป็ นขอ้ มูล เวลาเรียน มีจดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ฝึกปฏิบตั ป้อนกลบั ใหก้ บั ผเู้ รยี นได้ เรยี นรนู้ อกชน้ั เรยี นใหแ้ กผ้ เู้ รยี น การตรวจการบา้ น การบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ของผเู้ รยี น การสอบปากเปลา่ การประเม ส่ือสารระห เป็ นกระบวนการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ ตคี วาม และ ก บนั ทกึ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสอบท่ีใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชว้ าจาในการ เก โตต้ อบคาถามต่าง ๆ กบั ผสู้ อบโดยตรง โดยทวั่ ไปมกั ใช้ สอบเป็ นรายบคุ คล เชน่ การสอบสมั ภาษณ์เก่ียวกบั ความรใู้ นบทเรียน การอภปิ รายในชน้ั เรยี น เป็ นการจดั กิจกรรมการเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นไดแ้ ลกเปล่ียน เป็ นกระบวนการเก็บร ความคดิ เหน็ ความรแู้ ละประสบการณ์ผ่านระบบความคิด ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ผเู้ รียน แ และทกั ษะทางดา้ นอารมณ์ เน้นใหผ้ เู้ รียนไดม้ สี ่วนรว่ มใน ประเดน็ ท่ตี อ้ งการทรา การแสดงทุกคน โดยเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนทเี่ ก่งและไมเ่ กง่ สรปุ ผลการเรยี นรู้ เช่น เทา่ เทียมกนั ในการนาเสนอความรแู้ ละความสามารถ ครูประจาชน้ั 4

ความรเู้ บ้ อื งตน้ เก่ียวกบั เป็ นการส่ือสารระหวา่ ง 2 คนหรอื มากกวา่ 2 คนข้ นึ การสอื่ สารระหวา่ งบคุ คล ไปโดยการใชภ้ าษา ทา่ ทาง กิริยาอาการ บกิจกรรมการเรียน ตดิ ตอ่ สือ่ สารผ่านการพูดคุยกนั จนเกิดความเขา้ ใจ หผ้ เู้ รียนไปปฏิบตั นิ อก ระหวา่ ง 2 บุคคลน้ันซง่ึ องคป์ ระกอบสาคญั ของการ ตแิ ละพฒั นาการ ส่อื สารกจ็ ะมีผูส้ ง่ สาร สาร สื่อหรอื ชอ่ งทางระหว่าง สารและผรู้ บั สาร ความหมาย กระบวนการเกบ็ รวบรวม วิเคราะห์ ตคี วาม บนั ทึก ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการติดตอ่ ส่ือสารของครูและนักเรยี น ตลอดระยะเวลาของการจดั กิจกรรมการเรียนการ สอน โดยใชเ้ ครือ่ งมือทหี่ ลากหลาย แลว้ นาขอ้ มูลที่ ไดป้ ้อนกลบั เกีย่ วกบั ความกา้ วหน้าใหก้ ลบั ผเู้ รียน มินจากการ การถามตอบในช้นั เรยี น หว่างบคุ คล เป็ นการต้งั คาถามของผสู้ อน เพอื่ ใชถ้ ามผเู้ รยี นใน การพูดคุยกบั ผทู้ ี่ ระหว่างการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ทาใหผ้ ูเ้ รยี น ก่ียวขอ้ งกบั ผเู้ รียน เกิดการคดิ ไตร่ตรองและการเรียนรู้ โดยท่ผี สู้ อน จะตอ้ งรบั ฟัง เพือ่ นาขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าสรุปผลแลว้ ใหข้ อ้ มูล ป้อนกลบั ที่มปี ระโยชน์ตอ่ ผเู้ รียนเพอ่ื การพฒั นา การพบปะพดู คุยกบั ผเู้ รยี น รวบรวมขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการสนทนากบั ผู้ เป็ นการสือ่ สารระหวา่ งครแู ละนักเรยี น มกั ใชเ้ พ่ือ และสามารถใหข้ อ้ มูลต่าง ๆ เกีย่ วกบั ตดิ ตามตรวจสอบผเู้ รยี นว่าเกดิ การเรียนรมู้ ากน้อย าบไดเ้ ป็ นอยา่ งดี เพื่อเป็ นขอ้ มูลในการ เพยี งใด ซึ่งวิธนี ้ ีมปี ระโยชน์ต่อการคน้ หาและวนิ ิจฉัย น เพอ่ื นท่สี นิท เพอื่ นบา้ น ผปู้ กครอง อปุ สรรคทีม่ ีในการเรียนรู้ 44

สรปุ องคค วามรู 45 จากการศึกษา ใบความรทู ่ี 12 การประเมนิ จากการสื่อสารระหวา งบคุ คล ในหวั ขอทั้งหมด 3 หัวขอ ไดแ ก ความ รูเ บอ้ื งตนเก่ียวกับการสือ่ สารระหวางบคุ คล ความหมายของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรจู ากการสอ่ื สารระหวา ง บคุ คล วธิ ีการหลากหลายของการวดั และประเมินผลการเรยี นรจู ากการสอ่ื สารระหวา งบคุ คล จากทก่ี ลาวมาทัง้ หมดผู เขยี นขอสรปุ เปน หัวขอตาง ๆ ดั้งน้ี ความรเู บือ้ งตน เก่ยี วกับการสอ่ื สารระหวางบคุ คล จากการอา นศกึ ษาการสอ่ื สารระหวางบุคคลเปน กิจกรรมระหวา ง 2 คนหรอื มากกวา 2 คนขึ้นไป ใชภ าษา ทา ทาง กริ ิยาอาการ ติดตอ ส่อื สารผา นการพูดคุยกันจนเกิดความเขา ใจระหวาง 2 บุคคลนั้นซ่งึ องคป ระกอบสําคัญของ การสื่อสารก็จะมี ผูสงสาร เปน ผทู ําหนาทใ่ี นการสง สารผา นภาษาพดู และกิรยิ าอาการตา ง ๆ สว นสาร กจ็ ะเปนเร่อื ง ราว ความคิดหรอื เหตกุ ารณท่ีผูสงสารส่อื ไปยงั ผรู บั สารผา นคําพดู สหี นา และทา ทาง และผรู บั สาร คอื บุคคลท่รี ับ ขอ มลู จากผูส ง สารและแสดงปฏิกิรยิ าตอบกลบั ตอผูสงสารทบี่ ง บอกถึงความเขาใจแลว นาํ สารที่ไดไปเลาใหผูรับสาร คนอืน่ ๆ ฟง ความหมายของการวดั และประเมินผลการเรียนรูจากการส่อื สารระหวางบคุ คล จากการอานศึกษาการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรูจากการส่อื สารระหวา งบคุ คล (Interpersonal communication assessment) ผเู ขยี นสามารถสรุปไดวา เปน เครอื่ งมอื ของการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรทู ่ี สามารถเก็บรวบรวมขอ มลู มาวิเคราะห วางแผน และออกแบบหนว ยการจดั การเรยี นการสอนของครผู สู อน ผานการ บันทกึ ขอมลู ของผเู รยี นตลอดระยะเวลา 1 ภาคเรียนหรือ 1 ปการศึกษา เพอ่ื ใชเ ปนขอมูลในการพฒั นาจดุ เดน และจดุ ออนของเรียนใหส อดคลอ งกบั เกณฑพฤติกรรมท่ีตองการวัด พรอ มใหขอมูลปอนกลบั แกผ ูเรยี นเพ่ือใหผ ูเ รยี นพัฒนา ตอไป วธิ กี ารหลากหลายของการวดั และประเมินผลการเรียนรูจ ากการสือ่ สารระหวา งบุคคล จากการอา นศึกษาวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรูจากการส่ือสารระหวางบุคคลกจ็ ะประกอบไปดวยวิธกี าร วัดและประเมินผลทห่ี ลากหลาย เชน การถามตอบในชนั้ เรยี น การพบปะพูดคุยกับผเู รยี น การพดู คุยกบั ผทู ่เี ก่ยี วของ กับผเู รียน การอภิปรายในชน้ั เรยี น การสอบปากเปลา การบันทกึ เหตุการณข องผูเ รียน การตรวจการบา นหรอื แบบ ฝกหดั ประจาํ วัน ซง่ึ ผเู ขียนสามารถสรุปวา ในการท่ีวัดและประเมนิ ผลจากการถามตอบในชัน้ เรียนไดน ้นั ผูสอนจะ ตองมเี ทคนคิ ในการต้งั คําถาม เพือ่ ใชถามผูเ รียนในระหวา งการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ทําใหผูเรียนเกดิ การคิด ไตรต รองและการเรยี นรู โดยที่ผสู อนจะตอ งรับฟง ความคิดเหน็ ของผเู รยี นเพอื่ ท่จี ะนาํ ขอ มลู ท่ไี ดมาบนั ทกึ ลงในเค่ืองมอื ทผ่ี สู อนสรา งข้นึ แลวนําขอมลู ที่ไดมาวเิ คราะห ตคี วามหมาย และใหขอ มูลปอ นกลบั ท่มี ีประโยชนต อ ผเู รียนเพ่อื การ พัฒนาตอไป จากนัน้ ก็มกี ารพบปะพูดคยุ กบั ผเู รียน ในระหวา งการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน

สรปุ องคความรู 46 เพ่อื สรางความสนุกสนานในหอ งเรยี นและใชตดิ ตามตรวจสอบผเู รยี นวาเกิดการเรียนรมู ากนอ ยเพยี งใด ซึ่งวิธนี ีม้ ี ประโยชนต อการคน หาและวินิจฉัยอปุ สรรคทมี่ ีในการเรียนรู และเปนประโยชนก บั ครูผสู อนในการนําขอ มูลที่ไดมา พัฒนาสงเสรมิ ใหผ ูเรียนเกิดการเรยี นรูมากขึน้ ตอ มาก็จะเปน จากการพูดคุยกับผทู เ่ี กยี่ วของ ซึ่งวิธีการน้ีผูสอนจะตอง เกบ็ รวบรวมขอ มลู ที่ไดจากการสนทนากับผทู ีเ่ กย่ี วขอ งกบั ผูเรียนและสามารถใหขอ มูลตาง ๆ เกย่ี วกับประเด็นที่ ตองการทราบไดเปนอยางดี เพ่อื นาํ มาเปนขอมลู ในการสรปุ ผลการเรียนรู เชน เพอ่ื นทส่ี นิท เพ่ือนบา น ผูป กครอง ครู ประจาํ ชน้ั และการอภปิ รายในช้ันเรยี น วิธีการนี้ผูส อนจะตอ งจดั กจิ กรรมการเรยี นรูใหผูเรยี นไดแลกเปลี่ยนความคิด เห็น ความรูแ ละประสบการณผ า นระบบความคิด และทักษะทางดานอารมณ เนน ใหผ เู รยี นไดมีสวนรว มในการแสดง ทกุ คนโดยเปดโอกาสใหผ เู รียนทเ่ี กง และไมเ กง เทาเทียมกันในการนาํ เสนอความรูแ ละความสามารถ และผูส อนจะ ตอ งเปน ผชู ว ยเหลือ คอยเสรมิ ความรตู าง ๆ ใหก บั ผเู รยี น จากนน้ั กจ็ ะเปนวธิ กี ารสอบปากเปลา วิธกี ารน้ีผสู อนจะตอ ง สรางคําถามขึ้นมาเองและเก็บรวบรวม วเิ คราะห ตคี วาม และบันทึกขอมูลทไี่ ดจ ากการสอบทใี่ หผ ูเรียนไดใชว าจาใน การโตตอบคาํ ถามตา ง ๆ กบั ผสู อบโดยตรง โดยทวั่ ไปมักใชสอบเปนรายบคุ คล เชน การสอบสัมภาษณเ กี่ยวกบั ความรู ในบทเรยี น เปนตน ตอ มาเปน วิธีการบนั ทึกเหตกุ ารณของผเู รียน วิธีการนี้ผูสอนจะตองใชวธิ ีการส่อื สารในรปู แบบของ การเขยี นของผูเรียน โดยใหผูเ รยี นบันทกึ เหตกุ ารณตาง ๆ ทงั้ ในและนอกหอ งเรียน เชน การสะทอ นบันทกึ ความรู และความรสู กึ ทมี่ ีตอรายวชิ า ซ่งึ จะทําใหค รผู ูส อนสามารถนําขอมลู ทีไ่ ดมาวเิ คราะหและพจิ ารณาเพ่อื พัฒนาการ จัดการเรียนการสอนของผสู อนเองตอ ไป และวธิ ีการตรวจการบานหรือแบบฝกหดั ประจําวัน เปนชิน้ งานทผ่ี สู อนจดั ทํา ข้ึนใหส อดคลองกบั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ซึ่งผูสอนเปน ผูม อบหมายใหผ ูเรยี นไปปฏิบัตทิ ้ังในเวลาเรยี นและนอก เวลาเรยี น มีจดุ มุงหมายเพ่อื ฝกปฏบิ ัติและพฒั นาการเรียนรูใหแกผ ูเรียน จากท่ผี เู ขยี นสรุปมาทง้ั หมดท่เี ก่ยี วกบั การวดั และและประเมนิ ผลการเรียนรูจ ากการส่อื สารระหวา งบคุ คลทัง้ การถามตอบในชน้ั เรยี น การพบปะพูดคุยกับผเู รยี น การพูดคยุ กบั ผทู เ่ี ก่ียวของกบั ผเู รียน การอภปิ รายในชั้นเรยี น การสอบปากเปลา การบนั ทกึ เหตุการณของผเู รียน การตรวจการบา นหรือแบบฝกหดั ประจาํ วนั ทุกวิธีเม่ือสิน้ สดุ การ จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนผสู อนจะตอ งนาํ ขอมูลท้ังหมดท่ีเก็บรวมรวมไดโ ดยวธิ กี ารจดบนั ทึกลงในเครือ่ งมอื แบบ บันทึกขอ มลู ท่ีผูส อนสรางขึ้น มาวเิ คราะห พจิ ราณา วางแผน เพอ่ื พฒั นาการจัดการเรยี นการสอนของผูสอนเองใหเ ขา กับพฒั นาการเรยี นรขู องผเู รียน โดยการสงเสริมใหผ ูเรียนแสดงความสามารถและชว ยเหลอื ใหผ ูเ รยี นเกิดการเรยี นรู และเขาใจมากข้นึ พรอ มใหขอมูลยอ นกลบั แกผ ูเ รียนตลอดเลาเพ่ือใหผ เู รยี นนําจดุ ออนของตนเองไปพฒั นาตอ ไป

47 WEEK 12 07 ตลุ าคม 2563 ใบความรทู ี่ 13 การประเมินการปฏบิ ตั ิ ขอบขา ยเนอ้ื หา 1. แนวคดิ และความหมายของการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ 2. ลกั ษณะสาํ คญั ของการประเมินการปฏบิ ัติ 3. ขัน้ ตอนการประเมนิ การปฏบิ ัติ 4. จดุ แข็งและจุดออนของการประเมินการปฏิบัติ

การประเมินปฏบิ ตั ิใชไ้ ดเ้ หมาะกบั ทฤษฎกี ารเรียน การประเมนิ ปฏบิ ตั ิมีความเชือ่ มนั่ ใ แบบรว่ มสมยั ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถนากระบวนการ คะแนนค่อนขา้ งน้อย ค่อนขา้ งใชเ้ วล ปฏิบตั ิท่ีซบั ซอ้ มมาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดจ้ ริงใน และมกั มีขอ้ จากดั เกย่ี วกบั ปัจจยั ต่าง ชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งหลากหลายและสามารถใชว้ ดั การเลือกเน้ ือหาเพอ่ื ใชใ้ นการพฒั นา ความสามารถทไ่ี ม่อาจวดั โดยวิธอี น่ื ได้ ปฏบิ ตั งิ านใหส้ มบรู ณ์ จดุ อ่อน จดุ แข็ง การประเมิน ขน้ั ตอนการ ประเมินการปฏิบตั ิ ขน้ั ที่ 1 กาหนดจุดมงุ่ หมายเพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ โดยการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในระหวา่ งการ เรียนอย่างตอ่ เน่ือง เพอื่ นาไปเป็นสว่ นหน่ึงในการตดั สินผลการเรียน ขน้ั ที่ 2 กาหนดรายการทักษะและความสามารถของผูเ้ รยี น ใหส้ อดคลอ้ งกบั เป้าหมายการ เรยี นรใู้ นหลกั สตู รรายวชิ า ข้นั ที่ 3 ออกแบบงานหรือภาระงานใหผ้ เู้ รยี นไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ ผา่ นทกั ษะ ความสามารถ ความรู้ และการประยุกตใ์ ช้ ข้นั ท่ี 4 พฒั นาเกณฑก์ ารประเมินหรอื แนวทางการใหค้ ะแนนแตล่ ะผลงานใหช้ ดั เจน ข้นั ท่ี 5 เลอื กเครื่องมือและวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่ือนามาวเิ คราะหแ์ ละพฒั นาเกณฑก์ ขน้ั ท่ี 6 จดั ทาใบงานและระบสุ ง่ิ ที่ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั งิ านไวอ้ ยา่ งชดั เจนและถูกตอ้ ง ข้นั ที่ 7 วางแผนและดาเนินการลดคาวมคลาดเคล่อื นในการใหค้ ะแนนอนั เน่ืองมาจากมาตราฐาน 4

ในการให้ แนวคิดการ นักการศึกษาหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของ ลานาน ประเมินการปฏิบตั ิ ประเมินการปฏิบตั ไิ วว้ า่ เป็ นการวดั การ ง ๆ ใน ปฏิบตั งิ านท่คี รอบคลุมทุกทกั ษะ โดยเร่มิ จาก าการ ครผู สู้ อนเป็ นผกู้ าหนดงานใหผ้ เู้ รยี นลงมอื ปฏิบตั ิ เพอื่ ตดั สินความรู้ ความสามารถ และ ทกั ษะทเี่ ฉพาะเจาะจงของนักเรยี น ภายใต้ เวลาที่ครกู าหนดให้ และนักเรยี นสามารถนา ทกั ษะท่ีไดจ้ ากการปฏบิ ตั มิ าประยกุ ตใ์ ช้ ร่วมกบั ทกั ษะต่าง ๆ ได้ ความหมายการ เป็ นกระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ประเมินการปฏบิ ตั ิ ท่เี กี่ยวกบั ทกั ษะการปฏิบตั ิและพฤติกรรม การเรยี นรขู้ องผเู้ รียน ผ่านการลงมือปฏิบตั ิ นการปฏิบตั ิ จรงิ ตามภาระงานท่คี รูสอนไดก้ าหนดไว้ แลว้ นาผลที่ไดม้ าวิเคราะหเ์ พื่อตดั สิน คุณภาพการเรียนรขู้ องผเู้ รียน ลกั ษณะสาคญั ของ 1. ตอ้ งมภี าระงานทไี่ มใ่ ชก่ ารทาขอ้ สอบอาจตอ้ งเป็นงานท่ี ประเมนิ การปฏิบตั ิ สอดคลอ้ งตามชวี ติ จริง และทักษะความสามารถของนักเรยี น การประเมนิ 2. สามารถประเมินพฤตกิ รรมและกระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน นของผปู้ ระเมินไมเ่ ท่ากนั ผา่ นผลงานท่ีเกดิ จากการปฏบิ ตั ิไดท้ ัง้ ท่เี ป็นทักษะพสิ ยั ทักษะ ทางสมอง และเจตคติที่ดใี นการทางาน 48 3. สามารถประเมินตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาไดท้ งั้ ที่ เป็นการประเมนิ ผลเพ่อื พฒั นาการเรียนรแู้ ละการตดั สินผลการ เรยี น ผา่ นการเก็บรวมรวบขอ้ มลู และการทดสอบการปฏิบตั ิ 4. เคร่อื งมอื ทใ่ี ชต้ อ้ งมคี วามเป็นอตั นัย และผสู้ อนตอ้ งเฝ้าสงั เกต ผเู้ รยี นดวู า่ ผเู้ รยี นมีกระบวนการทักษะความสามารถในดา้ นใด ผ่านการสงั เกต สมั ภาษณ์ สอบถามและตรวจช้ นิ งาน

สรุปองคความรู 49 จากการศึกษา ใบความรูท ี่ 13 การประเมนิ การปฏบิ ตั ิ ในหวั ขอท้งั หมด 4 หัวขอ ไดแก แนวคดิ และความหมาย ของการประเมนิ การปฏิบตั ิ ลกั ษณะสาํ คญั ของการประเมนิ ปฏบิ ัติ ข้นั ตอนการประเมนิ ปฏิบัติและจดุ แข็งและจุดออ น ของการประเมนิ การปฏิบตั ิ ซง่ึ การประเมินการปฏิบัตกิ เ็ ปนอกี หนึง่ เครอื่ งมือที่ใชใ นการประเมินทักษะและควาสามารถ ดานตาง ๆ ของผเู รยี นในระหวางการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ซ่งึ การประเมินการปฏิบตั ิสามารถประเมนิ ได ครอบคลมุ ในจุดประสงคการเรียนรทู ่ซี บั ซอน ดงั น้นั จากทก่ี ลาวมาทง้ั หมดผูเ ขยี นขอสรปุ เปน หัวขอตา ง ๆ ดัง้ นี้ แนวคิดและความหมายของการประเมนิ การปฏิบัติ จากผูเขียนอา นศึกษาพบวามนี กั การศึกษาหลายทา นไดเขียนใหค วามหมายของประเมนิ การปฏบิ ตั ไิ วเยอะมาก ซง่ึ ผเู ขียนสามารถสรปุ ตามแนวคดิ ของนักการศึกษาไดว า การประเมินการปฏบิ ัตเิ ปน การวัดการปฏบิ ัตงิ านที่ ครอบคลุมทุกทกั ษะโดยเรม่ิ จากครผู ูสอนเปน ผูกําหนดงานใหผูเ รยี นลงมือปฏบิ ัติ เพอื่ ตัดสินความรู ความสามารถ และทักษะท่เี ฉพาะเจาะจงของนักเรียน ภายใตเ วลาทค่ี รูกําหนดใหและนกั เรียนสามารถนาํ ทักษะที่ไดจากการปฏิบัติ มาประยุกตใชร วมกับทกั ษะตาง ๆ ได และครผู สู อนจะเปน ผูเ กบ็ รวมรวมขอมูลเก่ยี วกับพฤติกรรมตาง ๆ มาวเิ คราะห ตีความ ขยายความ ใหไดขอมลู ทจ่ี ะนําไปใชใ นการพฒั นาหรอื ตดั สินคุณภาพการเรยี นรูของผเู รียนตอ ไป ลกั ษณะสาํ คัญของการประเมินการปฏบิ ตั ิ จากผเู ขียนอานศึกษาลกั ษณะสําคญั ของการประเมนิ ปฏบิ ตั ิในใบความรทู ่ี 13 สามารถสรปุ ไดวา ลักษณะสาํ คัญ ของการประเมินปฏิบิติจะมีสว นสําคัญตาง ๆ ประกอบไปดวยภาระงานทผ่ี สู อนออกแบบขึ้นใหสอดคลอ งกบั วตั ถปุ ระสงคก ารเรยี นรู และมีความเปน อตั นัยตรงกับทกั ษะการปฏิบตั ิและความสามารถดา นตาง ๆ ของผูเ รียน ซึง่ ผู สอนจะตอ งออกแบบไมใชเพยี งแคใหผเู รยี นไดค วามรูเ ทา น้นั แตต องไดป ฏบิ ติ จิ รงิ ควบคไู ปดว ย โดยภาระงานทใี่ ชนัน้ อาจเปน งานประเภทท่ที ําใหผูเรยี นไดปฏบิ ัติแลว ไดผ ลงานจริง ๆ ขึน้ มาดวย งานทผ่ี เู รยี นไดปฏบิ ตั ิน้ันก็จะทาํ ใหผสู อน สามารถสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดานตา ง ๆ ของผูเรยี นได ทง้ั ที่เปน ความสามารถดานความรู และการประยุกต ใชค วามรูร วมถึงลกั ษณะนิสยั ท่ผี เู รยี นแสดงออกมาใหเหน็ ในขณะที่ปฏิบัติงาน โดยในการเกบ็ รวบรวมขอมูลผสู อนจะ ตอ งสรา งเครอ่ื งมอื และแนวทางในการใหค ะแนนข้นึ มาเพื่อใหงายตอการเกบ็ ขอมลู และใหคะแนนแกผ ูเรยี นโดยใช เกณฑหรอื แนวทางการใหคะแนนทีผ่ ูส อนสรา งขึน้ มาเปนตัวชว ยในการตัดสินการวัดและประเมินผลการเรียนรูผาน การปฏบิ ัตงิ านของผเู รียนในชน้ั เรียน

สรปุ องคค วามรู (ตอ) 50 ขนั้ ตอนการประเมินการปฏบิ ัติ จากการอา นศึกษามีนักการศึกษาหลายทานไดเ ขียนเสนอข้ันตอนการประเมินการปฏิบตั ิทีแ่ ตกตา งกนั ไปตาม แนวคดิ ของแตล ะคน จากท่ีกลา วมาผูเขียนสามารถสรปุ ขน้ั ตอนการประเมินการปฏบิ ตั ิไดว า ในการทผี่ สู อนจะทําการ ประเมนิ การปฏบิ ตั ขิ องผเู รยี นไดนัน้ ขน้ั ตอนแรกผสู อนจะตอ งกาํ หนดจุดมงุ หมายของการประเมินการปฏิบตั วิ า มีจดุ มงุ หมายในการพัฒนาการเรียนรูของผเู รียนหรอื เพ่ือสรปุ ผลการเรยี นรูของผเู รียน ถาเปน การพฒั นาการเรียนรขู องผู เรียนผูสอนจะตอ งมีการเกบ็ รวบรวมขอ มลู ของผูเ รยี นในระหวางการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนอยา งตอเน่ือง และ นําขอ มลู ทไี่ ดมาวิเคราะหเพ่ือพัฒนาและหขอมลู ยอ นกบั แกผูเรียนเพือ่ ใหผูเรยี นไดพ ฒั นาตนเองตอ ไป แตถา เปน การ สรปุ ผลการเรยี นรู ผสู อนจะไมส ามารถใหขอมลู ยอ นกลับแกผ ูเรยี นไดเ นื่องจากเปน การประเมินปฏบิ ัติเพอื่ สรุปผลการ เรียนรซู งึ่ นําไปเปนสวนหนึง่ การตัดสนิ ผลการเรียน ตอ มาผสู อนจะตองกาํ หนดทกั ษะดา นความรูแ ละความสามารถ ดา นตาง ๆ ขึ้นมาใหส อดคลอ งกับเปาหมายการเรยี นรใู นหลกั สูตรรายวชิ านนั้ และออกแบบภาระงานใหผ เู รยี นได ปฏบิ ตั ิจรงิ ผา นการประยกุ ตใชทักษะความรู ความสามารถในการสรา งสรรคผลงาน ซง่ึ ภาระงานทีผ่ ูเรียนไดร ับมอบ หมายนน้ั อาจเปนงานทีส่ อดคลองกบั ชีวติ จรงิ หรอื ไมก ็ได จากนนั้ ผูส อนกจ็ ะตอ งจัดทําใบงานขึ้นและเลอื กเครอ่ื งมือที่ จะใชในการเกบ็ รวมรวมขอ มูลของผเู รยี นผานการสงั เกตกระบวนการปฏิติบตั งิ านและออกแบบเกณฑหรือแนวทาง การใหคะแนนของใบงานหรอื ภาระงานไวอยางชัดเจน เพอ่ื ลดความคลาดเคลอ่ื นของการใหคะแนนเนอ่ื งมาจากความ ลาํ เอียงสว นตัวของผูส อน และเพือ่ ใหการใหค ะแนนใบงานหรือภาระงานมคี วามคงเสน คงวาและนา เชอ่ื ถือ จดุ แข็งและจดุ ออนของการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ จดุ แข็ง การประเมินปฏบิ ตั ใิ ชไดเ หมาะกับทฤษฎกี ารเรยี นแบบรว มสมัยทําใหผ เู รียนสามารถนาํ กระบวนการปฏิบัติ ท่ีซบั ซอ มมาประยุกตใชไดจ ริงในชีวติ ประจําวนั ไดอ ยา งหลากหลายและสามารถใชว ัดความสามารถท่ไี มอ าจวดั โดย วธิ ีอ่นื ได จดุ ออ น การประเมินปฏิบตั มิ คี วามเชื่อมั่นในการใหคะแนนคอ นขา งนอ ย เน่อื งคอ นขา งใชเวลานานในการประเมนิ และมักมีขอ จํากดั เกยี่ วกบั ปจจัยตา ง ๆ ในการเลือกเนื้อหาเพ่อื ใชใ นการพฒั นาการปฏบิ ัตงิ านใหส มบูรณ

51 WEEK 12 07 ตุลาคม 2563 ใบความรทู ี่ 14 การประเมินตามสภาพจริงในช้ันเรียน ขอบขา ยเน้ือหา 1. แนวคิดและความหมายของการประเมินตามสภาพจริง 2. ลกั ษณะสาํ คัญของการประเมนิ ตามสภาพจริง 3. ขอแตกตา งระหวา งการประเมินการปฏิบตั ิกับการประเมินตามสภาพจริง 4. แนวทางการประเมนิ ตามสภาพจริงในการจัดการเรียนการสอน 5. ขั้นตอนการประเมนิ ตามสภาพจริงในการจดั การเรียนการสอน

1. กาหนดงานหรอื ภาระงาน 6. กาหนดเกณฑใ์ นการประเมินการปฏิบตั งิ าน 2. กาหนดขอบเขตของสิ่งทีจ่ ะ และผลงาน ประเมนิ ใหช้ ดั เจน 7. ระบวุ ิธีการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 3. กาหนดวตั ถุประสงคแ์ ละ 8. ดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามภาระงานทไี่ ดร้ บั เป้าหมายของการประเมนิ มอบหมาย 9. กากบั ตดิ ตาม ตรวจสอบ และใหค้ าแนะนา 4. กาหนดผปู้ ระเมิน เชน่ 10. ประเมินสรปุ รวบยอดเก่ียวกบั การปฏบิ ตั ิ ผเู้ รียนประเมนิ ตนเอง ผสู้ อน ภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย แ5ล. ะเลผือปู้ กกวคิธรกี อางรและเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวดั และประเมินผล ข้นั ตอนการประเมินตามสภาพจรงิ การเรียนรู้ “การประเมินการปฏิบตั ิ” จะมุ่ง ขอ้ แตกต่างการประเมิน การประเมิน ตรวจสอบพฤตกิ รรมท่ีผเู้ รียนแสดง ปฏบิ ตั ิกบั การประเมนิ จรงิ ในช ออกมาใหเ้ หน็ ในขณะจดั กจิ กรรมการ เรยี นรูท้ ี่ผสู้ อนต้งั ไว้ ส่วน “การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ลกั ตามสภาพจริง” จะมุ่งใหค้ วามสนใจใน ประเม สภาพแวดลอ้ มทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ชีวิตจริงท่ี แนวทางการประเมิน ผเู้ รยี นแสดงพฤติกรรมน้ันออกมาให้ ตามสภาพจริง ผสู้ อนสงั เกตเหน็ ผสู้ อนตอ้ งออกแบบหน่วยการเรียนรทู้ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเป็ นสาคญั ให้ วิธกี ารประเมนิ ท่ีหลากหลาย โดยผเู้ รยี นจะตอ้ งรบั รแู้ ละเหน็ ดว้ ยกบั เกณฑก์ ารประเมนิ และผสู้ อนจะตอ้ งใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั และเปิ ดโอกาศใหผ้ เู้ รียนไดม้ ที างเลือกในการสรา้ งผลงานและ เหน็ ขอ้ บกพรอ่ งในผลงานของตนเองเพื่อนาไปพฒั นาตอ่ ไป 5

แนวคิดการประเมนิ นักการศึกษาไดใ้ หค้ วามหมายของประเมินตาม ตามสภาพจรงิ สภาพจริงในชน้ั เรียนไวว้ ่าเป็ นการประเมิน ความสามารถแบบองคร์ วม เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั ผ่านการลงมือปฏิบตั ิงานที่สอดคลอ้ งกบั ชีวติ จรงิ ส่งเสรมิ และสนับสนุนใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงออกถงึ ความสามารถทีห่ ลากหลาย รวมไปถึงการใชเ้ ครอ่ื งมือ สาหรบั การวดั และการปฏบิ ตั ิงานท่หี ลากหลาย ความหมายการ การประเมินศกั ยภาพของผเู้ รยี นแบบองคร์ วมทง้ั ประเมนิ ตามสภาพจริง ดา้ นพทุ ธิพิสยั ทกั ษะพิสยั และจติ พิสยั และเน้น ผเู้ รียนเป็ นสาคญั ผ่านการปฏิบตั งิ านที่สอดคลอ้ ง กบั ชวี ิตจริงรวมไปถึงการสง่ เสรมิ และสนับสนุนให้ เป็ นสว่ นหน่ึงในการจดั การเรียนการสอน นตามสภาพ 1. มุง่ ประเมินความสามารถของผเู้ รียนแบบองคร์ วมผา่ นการลง ช้นั เรยี น มอื ปฏิบตั ิงานในชวี ิตจรงิ โดยผเู้ รยี นจะตอ้ งไดใ้ ชท้ ักษะการคดิ ขน้ั สูงรวมไปถงึ การแสดงออกถงึ ความสามารถท่ีหลากหลายและการ ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ กษณะสาคญั การ 2. ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงความคิดเหน็ และไดป้ ระเมินผลงานของ มนิ ตามสภาพจรงิ ตนเอง เพอื่ ทจี่ ะเห็นจุดบกพร่องและนาไปพฒั นาตนเองใหด้ ีย่ิงข้ นึ 52 3. ใชเ้ ครือ่ งมือในการประเมนิ และวธิ ีการท่ีหลากหลาย และทา การประเมินอย่างตอ่ เนื่อง เพื่อใหเ้ ห็นพฒั นาการเรยี นรขู้ อง ผเู้ รยี น และนาขอ้ มูลท่ไี ดไ้ ปพฒั นาคุณภาพของผเู้ รยี น 4. การประเมินตามสภาพจริงจะใชก้ ารประเมนิ แบบองิ เกณฑแ์ ละ สามารถดาเนินการควบคูไ่ ปกบั กจิ กรรมการเรยี นการสอนไดท้ ้งั ในและนอกหอ้ งเรียนทาใหผ้ ูส้ อนไดผ้ ลสมั ฤทธ์ิตรงตามสภาพการ เรยี นรทู้ ่แี ทจ้ รงิ ของผเู้ รยี น

สรุปองคความรู 53 จากการศึกษา ใบความรูท่ี 14 การประเมินตามสภาพจรงิ ในชั้นเรยี น ในหัวขอทัง้ หมด 5 หวั ขอ ไดแก แนวคดิ และความหมายของการประเมินตามสภาพจริง ลักษณะสาํ คญั ของการประเมนิ ตามสภาพจริง ขอ แตกตา งระหวา ง การประเมินการปฏิบัติกบั การประเมินตามสภาพจริง แนวทางการประเมนิ ตามสภาพจริงในการจดั การเรยี นการสอน และข้ันตอนการประเมนิ ตามสภาพจริงในการจดั การเรยี นการสอน ซึง่ ในปจจบุ นั การเรยี นการสอนมกี ารเปล่ียนแปลง ไปมาก เน่อื งจากมเี ทคโนโลยีท่ที นั กาวหนาไปอยางมาก ดังนน้ั ในการจะจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรอื ออกแบบ การจดั การเรียนการสอน ผูสอนจะตองมกี ารปรบั รูปแบบการเรียนการสอนใหท ันตอเทคโนโลยี ซึ่งไมใ ชเ พียงแคใ ห นกั เรยี นทําแบบทดสอบอยางเดยี ว แตตอ งใหน กั เรยี นไดเรียนรูจากสภาวะจรงิ ดว ย ดังนนั้ จากทีก่ ลา วมาทั้งหมดผู เขียนขอสรปุ เปนหัวขอ ตาง ๆ ดงั้ นี้ แนวคิดและความหมายของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ จากผเู ขยี นอานศกึ ษาพบวา มนี ักการศึกษาหลายทา นไดเ ขยี นใหค วามหมายของประเมนิ การประเมนิ ตาม สภาพจรงิ ในชั้นเรยี นไวเ ยอะมากซ่ึงผูเขยี นสามารถสรุปตามแนวคดิ ของนักการศึกษาไดว า การประเมินตามสภาพจรงิ ในช้นั เรยี น เปน การประเมินความสามารถแบบองครวม เนน ผเู รยี นเปนสาํ คญั และใหผ เู รยี นไดใ ชค วามรู ความคิด ผานการลงมอื ปฏิบตั ิงานท่สี อดคลองกับชีวิตจรงิ โดยผสู อนจะเปน ผูคอยสงเสริมและสนบั สนุนใหผเู รียนไดแ สดงออก ถงึ ความสามารถท่หี ลากหลาย รวมไปถงึ การใชเคร่ืองมอื สาํ หรบั การวัดและการปฏิบตั ิงานท่หี ลากหลาย จากทผ่ี ูเขียนกลา วมาท้ังหมดสามารถสรปุ ตามความเขา ใจไดว า การประเมินตามสภาพจริงในชั้นเรยี น หมาย ถึง กระบวนการสงั เกต บันทึกและการรวบรวมขอมูลจากผลงาน ทผ่ี ูเรยี นไดปฏบิ ตั ิจริงท้งั ในชั้นเรียนและนอกช้นั เรียน โดยการประเมนิ ผลตามสภาพจริงจะไมเนนการประเมินเฉพาะทักษะพ้ืนฐานแตจ ะเนนประเมนิ ทักษะการคิดที่ ซับซอนในการทาํ งาน คณุ ลกั ษณะตาง ๆ ความสามารถในการแกปญ หาและการแสดงออกท่ีเกิดจากการปฏิบตั ใิ น สภาพจรงิ หรือในสถานการณจ ริง ในการเรยี นการสอนการสอนน้จี ะเนน ผเู รียนเปน สาํ คญั ดว ย ลกั ษณะสําคัญของการประเมนิ ตามสภาพจริง จากผูเขยี นอา นศึกษาลักษณะสําคัญของการประเมินตามสภาพจรงิ ในชน้ั เรียน สามารถสรุปไดวา ลกั ษณะสาํ คญั ของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ เปน การประเมนิ ทเ่ี ฉพาะเจาะจง จะมุง ไปทีก่ ารประเมินตามสภาพจรงิ ของผูเรียน โดย ประเมนิ จากความสามารถของผเู รยี นแบบองคร วมผา นการลงมอื ปฏบิ ตั สิ รา งผลงานหรอื ชน้ิ งานของตนเองในชวี ติ จรงิ และผเู รียนจะตอ งไดใชทกั ษะการคิดข้นั สูงรวมไปถงึ การแสดงออกถึงความสามารถทหี่ ลากหลายและการประยกุ ตใช ความรู รวมท้ังใหผ ูเรียนไดแ สดงความคดิ เหน็ และไดป ระเมนิ ผลงานของตนเองเพ่ือท่จี ะเหน็ จุดบกพรองและนาํ ไปพฒั นา ตนเองใหดยี งิ่ ขึน้ โดยครูผสู อนจะตองใชเครอ่ื งมือในการประเมนิ แบบอิงเกณฑแ ละทาํ การประเมนิ อยา งตอเนอื่ งท้งั ใน ระหวา งการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนในหองเรยี นและนอกหองเรยี น เพอ่ื ใหเ ห็นพัฒนาการเรยี นรขู องผูเ รยี นแลว นาํ ขอมูลทไ่ี ดไปพัฒนาคุณภาพของผูเรยี นตอ ไป

สรปุ องคค วามรู (ตอ ) 54 ขอ แตกตา งระหวางการประเมนิ ปฏบิ ตั ิกบั การประเมินตามสภาพจรงิ จากการอา นศึกษาผูเขียนสามารถสรุปขอ แตกตางระหวางการประเมินปฏบิ ัตกิ บั การประเมินตามสภาพจรงิ ได วา “การประเมินการปฏิบัต”ิ จะมงุ ตรวจสอบพฤตกิ รรมทเ่ี ฉพาะเจาะจงของผเู รยี น โดยผูสอนจะเปน ผูกําหนด กจิ กรรมการเรยี นการสอนข้ึนมาเพ่ือวัดเฉพาะพฤตกิ รรมดา นใดดานหนึง่ ของนักเรียนหรอื หลาย ๆ ดา นก็ไดข้ึนอยกู ับ สิ่งทผ่ี สู อนตอ งการวดั ภายใตเวลาและกิจกรรมทีผ่ ูสอนกําหนดขึ้น สวน “การประเมนิ ตามสภาพจริง” จะมงุ ใหความ สนใจผูเรียนแบบองครวม ทง้ั ดานความรู ความสามารถ ทกั ษะกระบวนการปฏิบตั แิ ละคุณลักษณะดานตา ง ๆ ซง่ึ ผู เรยี นไมเพียงแตไดแ สดงพฤติกรรมที่ผสู อนตองการวดั แตย ังแสดงพฤติกรรมหรือการกระทําแบบอสิ ระในสภาพ แวดลอมหรอื สถานการณจริงอกี ดว ย แนวทางการประเมินตามสภาพจริงในการจัดการเรียนการสอน จากทผี่ เู ขยี นไดอ า นศึกษาแนวทางในการประเมนิ ตามสภาพจริงในการจัดการเรยี นการสอน พอสรปุ ตามความ เขาใจของผเู ขยี นไดว า การประเมินตามสภาพจรงิ ผสู อนจะตองออกแบบหนว ยการเรียนรูใ หส อดคลองกับการประเมนิ สภาพจริงของผเู รียนแบบองครวม โดยใหผูเ รียนมสี วนรวมในการออกแบบผลงานหรือชนิ้ งานและกําหนดเกณฑก าร ประเมนิ ชน้ิ งานหรอื ผลงานตา ง ๆ ดวย และในระหวางการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนผูส อนจะตองดําเนนิ เกบ็ ขอมลู พฤติกรรมการเรียนรูของผเู รียนเปนรายบุคคลอยา งตอ เนือ่ งเพือ่ ใหทราบถึงพัฒนาการดานทกั ษะกระบวนการ ตาง ๆ ของผเู รยี นตลอดระยะเวลาการดาํ เนินกิจกรรมการจัดการเรยี นการสอน แลว นําขอ มูลทีไ่ ดม าวเิ คราะห พจิ ราณาและใหขอ มลู ยอ นกลับแกผ ูเ รียนเพื่อใหผ เู รียนทราบถงึ จุดบกพรอ งของตนเองแลวนาํ ไปแกไขและพัฒนาใหด ี ยงิ่ ขึน้ ขน้ั ตอนการประเมนิ ตามสภาพจริง จากการอา นศกึ ษาข้นั ตอนการประเมินตามสภาพจริง ผเู ขยี นสามารถสรุปไดวา ในการประเมินตามสภาพจรงิ นน้ั อันดบั แรกผสู อนจะตอ งกําหนดภาระงาน ขอบเขตของสงิ่ ทจี่ ะประเมนิ และกาํ หนดวัตถุประสงคข องการประเมนิ โดยใหต รงตามเปา หมายการเรียนรูและขอบเขตของสิง่ ทผี่ สู อนตองการประเมนิ กับผเู รียน รวมทง้ั กําหนดเกณฑการ ประเมินผลงานและใชเครื่องมือทหี่ ลากหลายในการวัดและประเมนิ ผูเ รยี น อาจจะเปน การสังเกตตามสภาพจรงิ ของผู เรยี น การสัมภาษณ สอบถาม การทดสอบ การใชแ ฟม สะสมผลงานและการตรวจภาระงาน เปนตน จากนน้ั ในขณะที่ ดําเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอนผูส อนจะตอ งคอยใหคาํ แนะนําในการทาํ ใบงานตางๆรวมทั้งกํากบั ตดิ ตาม ตรวจ สอบและเกบ็ รวบรวมขอมูลความกาวหนา ของนกั เรียนตลอดระยะเวลาการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแลว ผสู อน จะไดน าํ ขอ มลู และหลกั ฐานการเรียนรูที่ไดมาสรุปรวบยอดแลวนาํ ไปปรบั ปรุงในรายวชิ าของตนเอง รวมทง้ั ใหขอ มลู ยอ นกลับแกผูเรยี นเพอ่ื ใหผูเรียนทราบถึงจดุ บกพรอ งของตนเองแลวนาํ ไปพัฒนาตอ ไป

55 WEEK 13 04 พฤศจกิ ายน 2563 ใบความรูท่ี 15 การใชร ูบรกิ สในการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู ขอบขายเน้อื หา 1. ความหมายของรบู รกิ ส 2. องคประกอบของรูบรกิ ส 3. การแบงประเภทรบู รกิ ส 4. แนวทางและขัน้ ตอนการสรางรบู ริกส

ขน้ั ที่ 1 กาหนดงานทต่ี อ้ งการประเมิน ขน้ั ท่ี 2 กาหนดประเภทของ Rubricsที่ใชป้ ระเมนิ งาน ข้นั ที่ 3 กาหนดเกณฑห์ รือประเดน็ ทจี่ ะประเมิน ข้นั ที่ 4 กาหนดจานวนระดบั คุณภาพ ข้นั ท่ี 6 ทดลองและฝึกใช้ Rubrics ขน้ั ท่ี 7 จดั ทาเป็ นเคร่อื งมือการใหค้ ะแนนท่ีสมบูรณ์ แนวทางละข้นั ตอน การสรา้ งรูบริกส์ รูบรกิ สแ์ บบเฉพาะงาน (Task specific rubrics) ถกู สรา้ งข้ นึ เพ่ือประเมินเฉพาะงานใดงานหน่ึง ที่มอบหมาย การใชร้ ูบรกิ ใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ตั ิ โดยเกณฑท์ ี่จะประเมนิ สามารถกาหนดได้ และประเมินผ อยา่ งชดั เจนและตรงกบั งานท่ปี ฏบิ ตั ิ รูบรกิ สแ์ บบทวั่ ไป (General rubrics) ถกู สรา้ งข้ นึ โดยใชเ้ กณฑท์ จี่ ะประเมินแบบกวา้ ง ๆ เพอื่ ใหส้ ามารถใชป้ ระเมินการปฏิบตั ิงานไดห้ ลายงาน โดยงานเหลา่ น้ันอยู่ในกลมุ่ เดยี วกนั หรือเรือ่ งราว เดยี วกนั 5

ความหมาย Rubrics เป็นชดุ ของเกณฑห์ รอื มาตรฐานทอ่ี อกแบบ ใหส้ อดคลอ้ งกบั เป้าหมายการเรียนรู้ สาหรบั ใชเ้ ป็ น องคป์ ระกอบของ แนวทางในการใหค้ ะแนนคุณภาพการปฏบิ ตั งิ าน รูบรกิ ส์ ของผเู้ รยี น โดยมีการแยกแยะเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ไวอ้ ย่างชดั เจน จากระดบั ที่ตอ้ งปรบั ปรุงไปจนถึง กสใ์ นการวัด ระดบั ดเี ยีย่ ม ผลการเรียนรู้ องคป์ ระกอบท่ี 1 ส่ิงทผ่ี ูส้ อนและผเู้ รยี นร่วมกนั รูบรกิ สแ์ บบองคร์ วม กาหนดข้ นึ เพ่ือเป็ นแนวทางในการจดั ทาภาระงาน (Holistic rubrics) ท้งั ในดา้ นกระบวนการปฏิบตั ิ พฤติกรรม ผลงาน หรือช้ นิ งาน รบู รกิ สแ์ บบแยกส่วน องคป์ ระกอบท่ี 2 จานวนระดบั คุณภาพของการ (Analytic rubrics) ปฏบิ ตั งิ านตามประเดน็ ทจี่ ะประเมนิ ต้งั แต่ “ดี มาก” ไปจนถงึ “ปรบั ปรงุ ” 56 องคป์ ระกอบท่ี 3 การเขียนบรรยายหรือพรรณนา รายละเอียดเพม่ิ เตมิ ใหช้ ดั เจน เก่ียวกบั ระดบั คุณภาพของคะแนนทไ่ี ด้ ตง้ั แต่ “ดีมาก” ไปจนถงึ “ปรบั ปรุง” ถกู สรา้ งข้ นึ สาหรบั การประเมินการปฏบิ ตั ิงานของ ผเู้ รยี นในภาพรวม โดยจะนาเอาทุกประเดน็ ที่จะ ประเมินมาเขยี นไปพรอ้ ม ๆ กนั ในแตล่ ะระดบั คุณภาพ จากน้ันตดั สินคุณภาพออกมาคะแนนเดียว ตามระดบั คุณภาพท่ีกาหนด ถูกสรา้ งข้ นึ สาหรบั ใหค้ ะแนนการปฏบิ ตั งิ านของ ผเู้ รียนแยกแยะตามประเดน็ ท่จี ะประเมิน ในจานวน ระดบั คุณภาพ 3 ถึง 6 ระดบั ถา้ นอ้ ยไปก็ให้ รายละเอียดไมช่ ดั เจน มากไปกย็ ากตอ่ การเขยี น อธิบายในแตล่ ะระดบั

สรปุ องคค วามรู 57 จากการศกึ ษา ใบความรทู ี่ 15 การใชรูบริกสในการวดั และประเมินผลการเรยี นรู ในหัวขอ ทัง้ หมด 4 หัวขอ ไดแก ความหมายของรูบรกิ ส องคประกอบของรูบริกส การแบง ประเภทของรบู ริกส แนวทางและขน้ั ตอนการสราง รบู ริกส ในปจ จุบันการประเมินผลการเรียนรขู องผเู รียนจากผลการปฏิบัติและผลผลิตปญหาทีพ่ บบอ ยมากท่ีสดุ คอื การขาดความเปน ปรนัยในการใหคะแนน กลาวคอื การตรวจผลงานชนิดเดียวกันแตใ หคะแนนตางกัน ซ่ึงปญ หาดงั กลาวนสี้ ามารถแกไขไดโดยการใหผ สู อนเปนผกู ําหนดเกณฑก ารใหคะแนนและแนวทางการใหคะแนนขนึ้ มา โดยทุก ครงั้ ทีจ่ ะมกี ารวดั และประเมนิ ผลผูส อนควรแจงใหผ เู รียนทราบ เพราะการกําหนดเกณฑการใหค ะแนนนัน้ จะทาํ ให นกั เรยี นไดรูว าครูตอ งการอะไรและผูเรียนจะตอ งทําอยา งไรเพอื่ จะใหผ ลงานของตนเองไดค ะแนนในระดับทต่ี องการ จากทกี่ ลาวมาท้งั หมดผเู ขยี นขอสรุปเปน หวั ขอ ตาง ๆ ดง้ั นี้ ความหมายของรบู รกิ ส จากผเู ขียนอานศกึ ษา Rubrics เปน แนวทางการใหคะแนนผลการปฏบิ ตั แิ ละผลผลิตของผูเรียน ที่ผสู อน ออกแบบมาใหส อดคลอ งกบั เปาหมายและจุดประสงคการเรียนรู สําหรับใชเปนเกณฑการใหคะแนนคณุ ภาพการ ปฏิบัติงานและการสรางผลงานของผูเรียน โดยมีการแยกแยะและอธิบายเกณฑก ารใหคะแนนไวอ ยางชดั เจน มี ลกั ษณะเปน ระดบั คะแนนจากระดับที่ตอ งปรับปรงุ ไปจนถึงระดบั ดเี ยย่ี ม และทุกครั้งที่ผสู อนประเมินผลงานของผู เรียนเสรจ็ ผสู อนตอ งใหข อ มลู ยอนกลับแกผ ูเรียน เพ่อื ใหผ เู รียนนําไปพฒั นาในผลการปฏิบตั ิงานหรอื ในผลงานใน อนาคตตอ ไป องคประกอบของรูบรกิ ส จากผูเขยี นอานศึกษาองคป ระกอบของ Rubrics มี 3 องคป ระกอบ ไดแ ก องคป ระกอบที่ 1 เปน ประเดน็ ท่ีผู สอนและผเู รียนรว มกันกาํ หนดขึน้ เพอื่ เปนแนวทางในการจดั ทําภาระงาน ท้งั ในดานกระบวนการปฏบิ ัติ พฤติกรรม ผลงานหรือชนิ้ งานตาง ๆ องคป ระกอบท่ี 2 เปน จาํ นวนระดบั คุณภาพของการปฏิบัติงานตามประเดน็ ทีผ่ สู อนจะใช ประเมนิ กับผลงานหรือผลการปฏบิ ตั ิงานของผเู รยี น โดยมรี ะดบั คะแนนตงั้ แต “ดีมาก” ไปจนถึง“ปรบั ปรงุ ” และองค ประกอบที่ 3 เปน การเขยี นบรรยายหรือพรรณนารายละเอยี ดเกย่ี วกับเกณฑการใหคะแนนในระดบั คุณภาพของ คะแนนท่ไี ด ต้ังแต “ดมี าก” ไปจนถงึ “ปรบั ปรุง” โดยใชภาษาทเ่ี ขาใจงาย ไมค ลุมเครือ ซ่งึ จากทกี่ ลา วมาท้งั 3 องค ประกอบถา ครูผูสอนนาํ ไปใชใ นสรางแนวทางการประเมนิ ผลงานจะเปนการดีมากเพราะจะทาํ ใหการตรวจใหค ะแนน ผลงานของนกั เรียนมคี ะแนนทค่ี งท่ี ตรงกนั และนา เชอื่ ถือมากย่งิ ขึ้น การแบง ประเภทของรูบรกิ ส จากผูเขยี นอานศกึ ษาการแบง ประเภทของ Rubrics สามารถสรปุ ตามความเขาใจของผูเขยี นไดวา Rubrics แบงออกเปน 2 ลกั ษณะ ซ่ึงแตละลักษณะกจ็ ะแบงออกมาเปน 2 ประเภท โดยมีรายละเอียดดังน้ี ดังนี้

สรุปองคความรู (ตอ ) 58 1. Holistic rubrics และ Analytic rubrics Holistic rubrics ถูกสรา งข้ึนสําหรบั ใชใ นการประเมินการปฏบิ ัตงิ านของผเู รียนในภาพรวม โดยจะนําเอาทุก ประเดน็ ท่ีจะประเมนิ มาเขยี นไปพรอ ม ๆ กัน ในแตล ะระดับคณุ ภาพ จากน้ันตดั สนิ คณุ ภาพออกมาเปนคะแนนเดียว ตามระดับของเกณฑคุณภาพท่ีกําหนด ซึ่งการประเมนิ แบบ Holistic rubrics เหมาะที่จะใชใ นการประเมินผลงานใน กรณเี พื่อสรปุ รวบยอด แตไมไดม ุง เพอ่ื ใหขอ มลู ยอ นกลับแกนกั เรียน จึงทําใหยากตอ การปรบั ปรุงและพฒั นาใหด ีขน้ึ Analytic rubrics ถกู สรา งขึน้ สําหรบั ใหค ะแนนการปฏบิ ัตงิ านของผูเรียนแยกแยะตามประเดน็ ที่จะประเมิน ในจาํ นวนระดับคุณภาพ 3 ถงึ 6 ระดบั ถานอ ยไปกใ็ หรายละเอยี ดไมช ดั เจน มากไปกย็ ากตอ การเขียนอธบิ ายใน แตละระดับ ซงึ่ การประเมนิ แบบ Analytic rubrics เหมาะท่จี ะใชใ นกรณีทเี่ ปนการปฏิบัติงานทีม่ ีความซับซอ นและ ผูส อนตอ งการใหขอ มูลยอ นกลับแกผูเ รียนเพอ่ื การพัฒนา แตก ารประเมนิ ประเภทน้ีใชเวลาคอนขางนานในการ สรา งเพราะตอ งพจิ ารณาใหละเอียดตามประเดน็ ทจ่ี ะประเมนิ ใหรอบคอบ 2. General rubrics และ Task specific rubrics General rubrics ถกู สรา งข้นึ โดยใชเ กณฑท ่จี ะประเมินแบบกวา ง ๆ เพอื่ ใหสามารถใชป ระเมนิ การปฏิบัติ งานไดหลายงาน โดยงานเหลานนั้ จะตองอยูในกลุม เดยี วกันหรือมลี ักษณะงานคลา ย ๆ กัน ซ่ึงการประเมินแบบ ท่วั ไปจะสรา งยากกวา เกณฑก ารใหค ะแนนแบบอนื่ ๆ เนอื่ งจากใชประเมนิ ในหลาย ๆ งานจงึ ทาํ ใหม ีความคงเสน คง วาและความเชื่อมัน่ ในการประเมินคอนขา งนอ ย กวา เกณฑท ป่ี ระเมินเฉพาะเจาะจงแบบ Task specific rubrics Task specific rubrics ถกู สรางขึ้นเพอื่ ประเมินเฉพาะเจาะจงในงานใดงานหนงึ่ ที่ผูส อนมอบหมายใหผ ูเรยี น ปฏบิ ตั ิ โดยเกณฑท ่ีจะใชป ระเมินสามารถกาํ หนดและอธิบายไดอยา งชดั เจนและตรงกับงานที่ผูเรียนปฏบิ ัติ ซ่งึ การ ประเมินแบบTask specific rubrics เหมาะท่ีจะใชในกรณีทเ่ี นนการประเมนิ ดานความรู เนอื่ งจากสามารถพิจารณา การใหคะแนนไดงา ย เพราะมีรายละเอยี ดทใี่ หคะแนนชดั เจนตรงกบั งานทป่ี ระเมิน แตไ มสามารถนาํ มาชีแ้ จงเพือ่ ทาํ ความเขา ใจรว มกบั ผเู รียนไดและคอ นขางยงุ ยาก เสียเวลาในการสรา ง แนวทางและขัน้ ตอนการสรา งรูบริกส ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนผสู อนจะเปนผดู ําเนินกจิ กรรมการเรยี นการสอนและมอบหมายภาระงาน ใหก บั ผูเรียนทํา ดังนนั้ ทกุ ภาระงานทีผ่ ูสอนมอบหมายใหจ ําเปน ตองสรา ง Rubrics เพือ่ ใชเ ปน แนวทางในการให คะแนนขึน้ มาโดยผูสอนจะตองเปดโอกาสใหผเู รียนมีสวนรวมในขัน้ ตอนตาง ๆ ดว ย ดงั นี้ ข้นั ตอนแรกผสู อนจะตอง กําหนดงานหรือภาระงานทตี่ อ งการประเมนิ ขนึ้ มา และกาํ หนดประเภทของ Rubrics ท่ีจะใชใ นการประเมินภาระงาน น้นั ๆ ซ่งึ ในการเลือกประเภทของ Rubrics ก็จะตองใหสอดคลอ งกบั ภาระงานท่ีกาํ หนดขึน้ ดว ย จากนน้ั กก็ ําหนด ประเด็นท่จี ะประเมินและจาํ นวนระดบั คุณภาพทีจ่ ะใหเ ปนคะแนนของผูเ รียนในการปฏบิ ัตงิ านและประเมนิ ภาระงาน นั้น ๆ ข้ึนมา โดยประเด็นท่กี ําหนดขน้ึ จะตองสอดคลองกับภาระงานและผลลพั ธของการเรยี นรทู ี่คาดหวงั ดวย

สรุปองคค วามรู (ตอ ) 59 และคะแนนทจ่ี ะใหในระดบั คณุ ภาพน้ันๆจะตอ งมีความเหมาะสมและเหมาะกับวัยของผเู รยี นดวย เชน ดีมาก ไป จนถึง ปรับปรงุ หรือ 0 1 2 3 4 เปน ตน จากนน้ั ผูสอนจะตอ งเขยี นอธบิ ายระดับคณุ ภาพของแตล ะประเดน็ ท่ีกําหนด โดยตอ งอธิบายใหเห็นถึงความแตกตา งของแตละระดบั ใหชดั เจน และเขา ใจงาย กอ นนําไปใชจ รงิ ผสู อนตอ งมี การนํามาทดลองใช กับงานทกี่ าํ หนดข้นึ ใหผ ูเรยี นกอนเพื่อหาจุดบกพรองและนําไปพัฒนาตอ ไป และเมื่อทําการ ทดลองใชผ านแลวผูสอนจะตอ งจดั ทาํ เปน เคร่อื งมือแนวทางการใหค ะแนนทีส่ มบรณู  สาํ หรับพรอมที่จะนําไปใชก ับ ผูเรยี นไดจ ริง ๆ ในการไปประเมนิ การปฏบิ ตั ิและผลงานมี่ผสู อนมอบหมายเปน ภาระงานรือผลผลติ ใหในระหวา งจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน

60 WEEK 13 04 พฤศจกิ ายน 2563 ใบความรทู ่ี 16 การประเมินโดยใชแ ฟม สะสมผลงาน ขอบขายเนื้อหา 1. ความหมายของการประเมนิ โดยใชแ ฟมสะสมผลงาน 2. หลกั การของการประเมนิ โดยใชแฟมสะสมผลงาน 3. ประเภทของแฟมสะสมผลงานของผเู รยี น 4. จุดมุงหมายของการประเมินแฟม สะสมผลงาน 5. ขนั้ ตอนของการประเมินโดยใชแ ฟม สะสมผลงาน

1. ขน้ั เตรียมการประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน ข้นั ตอนการประเมนิ โดยใช้ 2. ข้นั จดั ทาแฟ้มสะสมผลงาน แฟ้มสะสมผลงาน 3. ขน้ั ประเมินแฟ้มสะสมผลงานทส่ี มบูรณ์ 4. ขน้ั ประชาสมั พนั ธผ์ ลงาน จดุ มุ่งหมายของแฟ้มสะสม ผลงานของผเู้ รียน 1. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นา ปรบั ปรุง ใหผ้ ลงานบรรลุตาม การประเม เป้าหมายทีว่ างไว้ แฟ้มสะส 2. เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นาความสามารถในการสะทอ้ นและ ประเมนิ ผลงานตา่ ง ๆ ของตนเอง 3. เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดพ้ ฒั นาความสามารถในการคดั เลือกผลงาน และการเกบ็ รวบรวมผลงานอยา่ งเป็ นระบบ ประเภทของแฟ้มสะสม ผลงานของผเู้ รียน 1. Working portfolio จดั ทาข้ นึ เพอ่ื รวบรวบหลกั ฐานต่าง ๆ ในระหว่างการ 6 จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความกา้ วหนา้ ของงาน 2. Display or show portfolio เป็นการคดั เลือกผลงานท่ีดที ส่ี ุดเพ่อื เลือก นาไปจดั กิจกรรมแสดงผลงาน ตามเกณฑท์ ่ีผสู้ อนและผเู้ รียนรว่ มกนั กาหนด ข3้ นึ. Assessment portfolio เป็ นแฟ้มสะสมผลงงานทีผ่ เู้ รียนจดั ทาข้ นึ โดยมี จุดมงุ่ หมายเพ่ือประเมินคุณภาพการเรียนรขู้ องผเู้ รียน แลว้ คดั เลือกผลงานท่ี ดเี ด่นทสี่ ดุ ไปนาเสนอหรอื จดั แสดงผลงาน

ความหมาย เป็ นวธิ กี ารประเมนิ การเรียนรอู้ กี ประเภทหนึ่งโดยมีสิ่งท่ี จะประเมินคอื แฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งจดั ทาข้ นึ โดยมา มินโดยใช้ จุดมุง่ หมายและวางแผนอยา่ งเป็ นระบบใหผ้ เู้ รียนจดั ทา สมผลงาน ข้ นึ โดยการรวบรวมขอ้ มูลจากผลงานการปฏบิ ตั ิงานหรือ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ตลอดช่วงระยะเวลา 1 ภาคเรียนหรอื 1 หลกั การของการประเมิน การศกึ ษา โดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน 1. เป็ นการทางานร่วมกนั ระหว่างผเู้ รียนกบั ผสู้ อน 61 2. เป็ นการรวบรวมผลงานตลอดชว่ งระยะเวลาหนึ่ง ตามท่กี าหนด 3. ตอ้ งมีการเก็บรวบรวมผลงานอย่างมีจุดมุ่งหมายเพ่อื เป็ นหลกั ฐานแสดงใหเ้ ห็นถึงผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 4. ตอ้ งมีการวางแผนลว่ งหน้าอย่างเป็ นระบบและตอ้ ง ช้ แี จงเพือ่ ทาความเขา้ ใจกอ่ นการทางาน 5. ผเู้ รยี นตอ้ งเป็ นผเู้ กบ็ รวบรวมและคดั เลือกผลงานดว้ ย ตนเองภายใตค้ าแนะนาของผสู้ อนหรอื ผูท้ เ่ี กย่ี วขอ้ ง 6. ผเู้ รยี นตอ้ งมสี ว่ นร่วมในการเลือกรายการผลงานของ ตนเอง 7. ผเู้ รยี นตอ้ งมีการสะทอ้ นความคิดเห็นตอ่ ผลงานของ ตนเอง และประเมินตนเอง 8. การจดั ทาแฟ้มสะสมผลงาน เป็ นการแสดงใหผ้ ลคน อนื่ ไดเ้ ห็นถงึ การเรยี นรแู้ ละความกา้ วหนา้ ในการ ปฏิบตั ิงานของผเู้ รียน 9. ผเู้ รียนตอ้ งเป็ นผมู้ ีสว่ นรว่ มท้งั ในกระบวนการเรยี นรู้ และกระบวนการประเมนิ ผลการเรียนรู้

สรปุ องคความรู 62 จากการศกึ ษา ใบความรทู ี่ 16 การประเมนิ โดยใชแฟมสะสมผลงาน (Portfolio assessment) ในหัวขอทง้ั หมด 5 หัวขอ ไดแก ความหมายของการประเมนิ โดยใชแ ฟม สะสมผลงาน หลกั การของการประเมนิ โดยใชแ ฟม สะสมผล งาน ประเภทของแฟมสะสมผลงานของผเู รียน จุดมุงหมายของการประเมินแฟมสะสมผลงาน ขนั้ ตอนของการ ประเมินโดยใชแฟม สะสมผลงาน จากที่กลาวมาท้งั หมดผูเขยี นขอสรุปเปน หวั ขอ ตา ง ๆ ดัง้ นี้ ความหมายของการประเมนิ โดยใชแ ฟม สะสมผลงาน จากผเู ขียนอานศึกษา การประเมนิ โดยใชแฟม สะสมผลงาน เปนวธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี นรูอีกประเภทหน่งึ โดยมสี ่งิ ท่จี ะประเมนิ คอื แฟม สะสมผลงาน ซ่ึงจดั ทาํ ขนึ้ โดยมาจุดมุงหมายและวางแผนอยางเปนระบบใหผ ูเรียนจัดทาํ ข้ึนโดยการรวบรวมขอมลู จากผลงานการปฏบิ ตั ิงานหรอื กิจกรรมตาง ๆ ตลอดชวงระยะเวลา 1 ภาคเรยี นหรอื 1 การ ศึกษา การประเมนิ โดยการใชแ ฟม สะสมผลงานแสดงใหเห็นถงึ ความสามารถและทกั ษะดานการเขยี นรวมไปถึงความ กา วหนา ในการศกึ ษา ซึ่งเปนการประเมนิ เพอ่ื พฒั นาการเรยี นรูควบคไู ปกบั การเรียนการสอน และการประเมนิ เพื่อ สรุปรวบยอด ใหสอดคลอ งจุดประสงคแ ละบรรลุตามเปา หมายท่กี าํ หนดไว หลักการของการประเมินโดยใชแ ฟม สะสมผลงาน จากผเู ขียนอา นศกึ ษา หลักการของการประเมินโดยใชแฟมสะสมผลงาน เปนการเก็บรวบรวมผลงานหรือหลกั ฐานการเรียนรตู า ง ๆ ภายใตการใหค าํ ปรกึ ษาของผูส อน ตลอดชว งระยะเวลาที่ผสู อนกําหนดไว โดยเปนการดําเนนิ งานรว มกนั ระหวางผเู รียนกบั ผูสอนชวยกนั คิดและออกแบบกระบวนการเรียนรู กระบวนการประเมินผลการเรยี นรู และกาํ หนดเกณฑก ารตัดสินคุณภาพของผลงาน ในการดาํ เนินงานผูสอนจะตอ งวางแผนกาํ หนดหลักฐานการเรยี นรู ขึ้นมาอยา งมจี ุดมุงหมายและเปน ระบบเพ่ือใหเ หน็ ถงึ ผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาและความกาวหนาของผูเรียน ในการ ประเมนิ คัดเลอื กผลงานผสู อนตองเปด โอกาสใหผ ูเรียนมีสว นรว มในการคัดเลือกผลงานโดยใหผเู รยี นสะทอนความคดิ เห็นและประเมนิ ตดั สินคุณภาพผลงานของตนเอง ประเภทของแฟม สะสมผลงานของผเู รยี น ประเภทของแฟม สะสมผลงานของผูเ รียน สามารถแบง ไดหลายลักษณะตามจดุ มุงหมายของการใชแ ฟมสะสม ผลงาน ซง่ึ อาจเปนไปตามความสอดคลอ งกับสภาพจริงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและเพอ่ื ประเมินผลการ พฒั นาการเรียนรูข องผูเรียน จากผเู ขียนอานศกึ ษาสามารถสรุปไดวา ประเภทของแฟมสะสมผลงานมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. Working portfolio เปน แฟม สะสมผลงานท่ีผเู รยี นไดจ ดั ทําข้ึนโดยการเก็บรวบรวมขอมูลและหลกั ฐานการ เรียนรูจากการเขา รว มกิจกรรมการเรียนรูตาง ๆ อยางมีจดุ มุงหมาย เพ่ือพฒั นาผลงานตา ง ๆ ไปสูการจดั ทําแฟม สะสมผลงงานที่สมบรู ณ

สรปุ องคความรู 63 2. Display or show portfolio เปนแฟมสะสมผลงานท่ผี ูเรยี นจัดทําขึ้นภายใตการคําปรึกษาของผสู อน และ นําผลงานทไี่ ดจากการรวบรวมมาคัดเลอื กในการตัดสินคณุ ภาพของผลงานตา ง ๆ โดยครผู สู อนและนกั เรยี นมสี ว น รวมชวยกันในการคัดเลอื กผลงาน เพื่อเอาแฟมสะสมผลงานไปนาํ เสนอหรือจดั แสดงผงงานที่สมบรณู แ ลว 3. Assessment portfolio เปน แฟมสะสมผลงานที่ผูเรียนจัดทําขน้ึ โดยมจี ุดมงุ หมายเพอื่ ใหผ ูสอนทําการ ประเมนิ คณุ ภาพการเรยี นรดู านตา ง ๆ และพัฒนาการเรียนรขู องผูเรยี น ตามเกณฑห รอื รายการประเมนิ ทผ่ี ูเรียนและ ผูส อนรว มกนั กําหนดไวก อนแลว จุดมงุ หมายของการประเมินแฟมสะสมผลงาน จากการอานศึกษา จุดมงุ หมายของการประเมนิ โดยใชแฟมสะสมผลงาน ในการทจ่ี ะประเมินแฟม สะสมผลงาน ไดน น้ั ผูประเมนิ จะตอ งทราบถึงจุดมุงหมายของการประเมินแฟมสะสมผลงงานกอน ซง่ึ การประเมินจะตองสอดคลอง ตามจดุ มุงหมายของการทาํ แฟมสะสมผลงานและประเภทของแฟมสะสมผลงาน โดยมจี ุดมุงหมายเเพ่อื ใหผ ูเรียนได พฒั นาปรบั ปรงุ หรือวเิ คราะหผลงานดา นตา ง ๆ ตามภาระงานที่ไดร ับหมอบหมายในระหวางการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน และเพอ่ื ใหผูเรยี นไดมคี วามสามารถในการสะทอ นและประเมนิ ผลงานดานตาง ๆ ของตนเอง รวมไปถึงการ คดั เลือกผลงานท่ีดีทส่ี ุดและมีความสอดคลองตามเปาหมายการเรยี นรทู ่ีวางไว ซ่งึ การประเมนิ แฟมสะสมผลงานของ ผเู รียนจะสะทอ นใหเห็นความสําเร็จของผสู อนในการจดั ทําการเรยี นรขู องผเู รยี นทีเ่ ปนไปตามเปาหมายทก่ี าํ หนดไว ขัน้ ตอนของการประเมนิ โดยใชแ ฟม สะสมผลงาน ในการจัดทาํ แฟมสะสมผลงานจะตองมคี วามสอดคลอ งกับหลักการและข้ันตอนของการประเมนิ โดยใชแฟม สะสมผลงานแบงออกเปน 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ขน้ั ที่ 1 เตรียมการประเมนิ โดยใชแฟม สะสมผลงาน ในขั้นน้เี ปนขนั้ ที่ตอ งเลอื กวาผูสอนจะใหนักเรียนทาํ แฟม สะสมผลงงานประเภทใด โดยผสู อนจะตองวางแผนเตรียมอปุ กรณการเรยี นรูและเครื่องมือตาง ๆ ทใ่ี ชใ นการประเมนิ ผลกอ นเร่มิ ดาํ เนนิ การจัดทาํ แฟม สะสมผลงาน ซ่ึงในขัน้ น้หี ัวใจสําคัญอยูที่ การออกแบบหนว ยการเรยี นรู ทง้ั รายวชิ า เพอ่ื ระบุภาระงานหรอื หลกั ฐานการเรียนรู ขัน้ ที่ 2 จัดทําแฟม สะสมผลงาน ในข้นั นีจ้ ะประกอบไปดวย การสรางผลงานโดยการเก็บรวบรวมขอมลู ผลงาน ตาง ๆ ท่ไี ดในหวางการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนและจัดเก็บขอมลู ทีไ่ ดอ ยา งเปน ระบบโดยครผู ูจะสอนคอยใหค ํา แนะนาํ แกผ ูเ รียนตลอดระยะเวลาการจดั ทําจนกวา จะผา นเกณฑท ผี่ สู อนกาํ หนดและใหผ ูเรียนไดป ระเมินผลการเรยี น รูข องตนเองในภาพรวมแลว แลกเปลี่ยนความรแู ละประสบการณกบั เพื่อนคนอน่ื ๆ กอนการนาํ เสนอเพ่ือใหผ ูส อน ทําการประเมินตอไป

สรุปองคความรู 64 ขน้ั ที่ 3 ประเมินแฟม สะสมผลงานทสี่ มบรณู  ในข้นั น้เี ปนการนาํ ผลงานของผเู รยี นมาประเมินเพอ่ื สรุปรวบยอด หลงั สิ้นสดุ การเรียนหนว ยการเรยี นรนู น้ั ๆ หรอื เมอื่ สิ้นสุดภาคเรยี นเพอ่ื นําคะแนนทไ่ี ดไ ปประกอบพิจารณาในการ ตัดสินผลการเรียนหรือใหเ กรด ขนั้ ท่ี 4 ประชาสัมพันธผ ลงาน ในข้ันนจ้ี ะเปนการนําผลงานของนักเรยี นที่ผานการคดั เลือกจากครูสอนและผู เรยี นรวมกนั ประเมนิ แลววา ผาน มาจดั เปน นิทรรศการแสดงแฟมสะสมผลงาน มจี ดุ มงุ หมายเพือ่ แสดงใหผทู ่มี ารวม งานเห็นถึงความสําเรจ็ ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนของผูส อนและนักเรียนที่รว มมอื กันจัดทําขน้ึ มาจนประ สอบผลสาํ เร็จ และเกดิ เปน ความภาคภมู ิใจของทั้งผเู รยี น ผูสอน ผูปกครองและผูที่เกย่ี วของ

65 สะทอนความรูสกึ ความรสู ึกทม่ี ีตอ รายวิชาการวดั และประเมนิ ผลตลอดระยะเวลาภาคเรยี นท่ี 1 ปการศึกษา 2563 ความรูส กึ ท่ีมี ต้งั แตเรม่ิ แรกทไี่ ดเ รียนในรายวชิ าการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู เขามาเรียนครง้ั แรกในสปั ดาหที่ 1 เปน การพบปะ กับอาจารยค ร้งั แรก ความรูสึกแรกคดิ วา รายวชิ าน้ีจะตองยากมากแน ๆ เพราะฟง จากที่อาจารยแนะนาํ รายวชิ า วาจะ ตอ งทําท้ังงานกลมุ และงานเดยี่ วไมว าจะเปน เลม บันทึกการเรียนรู ออกแบบหนว ยการเรยี นรู ออกขอ สอบปรนัยและ อัตนยั การวเิ คราะหขอ สอบทีเ่ ราออกแบบขน้ึ รวมทัง้ เมื่อเรียนจบในแตละใบความรูจ ะมกี ารสอบทา ยใบความรดู วย และขอตกลงในชั้นเรยี นตาง ๆ ตอนนั้นที่ไดยนิ อาจารยพ ูดมาทงั้ หมดกเ็ รมิ่ รูส ึกถอดใจแลววาวิชาน้ยี ากมากงานกเ็ ยอะ ดว ยเราจะรอดไหม แตก็มคี วามคดิ หนงึ่ ที่ผดุ ขึ้นมาในหวั วา \"เอาวะลองดสู กั ตัง้ ไมมีอะไรยากเกนิ ความสามารถเรา หรอก^^\" ตง้ั แตผา นสัปดาหท่ี 1 มาจนเร่มิ สัปดาหที่ 2 3 4 เรอื่ ย ๆ จนถงึ ใบความรูท ่ี 16 จากท่ดี ฉิ นั เปนคนท่ขี เ้ี กียจ อานเนื้อหาบทเรยี นอะไรลว งหนาก็มีใจสูในการทจ่ี ะอานใบความรใู นแตล ะสัปดาหท ี่อาจารยสงให เพอ่ื นําความรทู อ่ี าน ไดมาแลกเปลย่ี นเรยี นรูก ับอาจารยและเพอ่ื นในชนั้ เรียนรวมถงึ สอบทา ยใบความรขู องแตละสปั ดาห ซง่ึ ในการสอบ แตละครง้ั กไ็ ดพสิ จู นใ หเห็นแลววา ไมม ีอะไรยากเกินกวา ความสามารถของเราจริง ๆ ซง่ึ ผลคะแนนสอบทายใบความรู ของแตล ะสัปดาหท่ีไดมันไมไดมากนกั แตมนั ก็เปนความสามารถของเราท่ที าํ ไดจรงิ ๆ และในการทาํ งานแตละครัง้ ไม วาจะเปนงานกลุม หรืองานเด่ียว ในเวลาการทาํ งานนั้นมนั อาจจะมีอุปสรรคอยูบ า งถอื วาเปนเรอ่ื งปกติ ไมวาจะ เปน การไมเขาใจแนชดั เกยี่ วกบั จดุ ประสงคในการออกขอ สอบปรนัยชนิดตา ง ๆ แตดฉิ ันก็สามารถผานมนั มาไดด วย ความตง้ั ใจและคาํ แนะนํา ชว ยเหลือจากอาจารยแ ละเพ่อื น ๆ ในบางครัง้ เวลาอาจารยมอบหมายใหทาํ งานกลุม เก่ยี ว กับการออกขอ สอบอัตนยั และการวิเคราะหขอสอบ อาจมเี รอื่ งทีไ่ มค อ ยลงตวั กันเทา ไหร ซึ่งมนั กข็ ้ึนอยูทค่ี วามคดิ ของ แตละคนทแี่ ตกตา งกนั ออกไป แตงานทัง้ หมดก็ผา นมาได จากการชวยกันเสนอความคดิ ชว ยเหลือซ่ึงกันและกนั ของ สมาชกิ ในกลมุ จนทําใหง านทอี่ อกมาประสบความสําเร็จตามทีส่ มาชิกแตละคนในกลมุ คาดหวังไว การเรียนกับอาจารยใ นรายวชิ าการวัดและการประเมินผลอาจารยไ ดใ หอะไรหลาย ๆ อยาง ใหท้งั ความรูใหม ๆ ใหทั้งประสบการณตา ง ๆ ท่ดี ฉิ นั ไมเคยไดมากอน และอกี ขอ หนงึ่ ทด่ี ฉิ ันชอบมาก ๆ คอื อาจารยจ ะสอนใหนกั ศกึ ษาคดิ นอกกรอบอยูเสมอ นอกกรอบในท่นี ้ีคือ รปู แบบการคิดทีแ่ ตกตา งไปจากความคิดแบบเดิม ๆ ไมใ ชการพูดหรอื การนํา เสนอตามใบความรทู อี่ าจารยใหแ ตต อ งคดิ ออกมาในรูปแบบของความคดิ ท่ีไมเหมอื นเดมิ และไมเหมือนใครขอแคเรา กลาคดิ สุดทายนีก้ อ็ ยากจะขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย ดร. สําราญ กาํ จัดภยั ทไ่ี ดใหความรูดฉิ นั ตลอดระยะ เวลาภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศึกษา 2563 ดฉิ ันเชอื่ วาจะสามารภนาํ ความรทู ีไ่ ดจ ากรายวิชาการวัดและการประเมนิ ผล ไปใชประโยชนและสามารถนาํ ไปพัฒนาตอยอดในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนไดในอนาคต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook