2
BCG Model เป็นการบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจ หมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) พร้อมกัน ๆ โดยนาองค์ความรู้มาต่อยอดฐาน ความเข้มแขง็ ภายในของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชวี ภาพและผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ปรบั เปลีย่ น ระบบการผลิตไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม BCG Model ตอบโจทย์การพัฒนาท่ีย่ังยืน (SDG) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ย่ังยืน การรับมือการเปล่ียนแปลงสภาพ ภมู อิ ากาศ การอนรุ กั ษ์ความหลากหลาย ความร่วมมอื เพ่อื การพฒั นาทย่ี ่ังยืน อีกท้งั ยังสอดรับกบั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ซ่งึ เป็นหลักสาคญั ในการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศไทย โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) จะเป็น ปจั จัยสาคัญท่ชี ่วยใหก้ ารดาเนินการดังกล่าวบรรลผุ ลเปน็ รปู ธรรม ข้อเสนอฉบบั นี้มุง่ เน้นการพฒั นาและการประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีเปน็ เครอ่ื งมือในการยกระดับการพฒั นาประเทศท้ัง ระบบไม่ท้ิงใครไว้ข้างหลัง กล่าวคือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสาหรับผู้ท่ีอยู่ในระดับฐานรากของระบบเศรษฐกิจ ใน ขณะเดียวกันกส็ ่งเสรมิ ให้ผูป้ ระกอบการทมี่ คี วามพร้อมในส่วนยอดของปิรามิดใหผ้ ลิตสินคา้ ที่มีนวัตกรรมสงู ข้ึนหรือเป็นผู้สรา้ ง นวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise) โดยให้ความสาคัญกับอุตสาหกรรมในเศรษฐกิจชีวภาพซึ่งครอบคลุม อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย (S-curve) 4 อตุ สาหกรรม ได้แก่ เกษตรและอาหาร พลงั งานและเคมชี ีวภาพ การแพทย์และสุขภาพ และการท่องเที่ยว กระบวนการขับเคลื่อนจะมุ่งเน้นการบริหารจัดการและนโยบายนวัตกรรม ผ่านความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน (PPP) ตลอดจนบรู ณาการความร่วมมือของหลายกระทรวง ท้ังน้ี ข้อเสนอมุ่งหวังใหเ้ กดิ ผล ลัพธ์ระยะส้ันและกลางหรือภายใน 5 ปี และจะมีการทบทวนข้อเสนอในทุกปี เพ่ือนาผลจากการปฏิบัติไปสู่วิสัยทัศน์ในระยะ ตอ่ ไป (Rolling Plan) คณะผู้จัดทา ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้สละเวลาเพ่ือให้ข้อมูลตลอดกระบวนการจัดทา หวังเป็นอย่างยงิ่ ว่า สมุดปกขาวฉบบั นจี้ ะนาไปสู่การลงทุนใน วทน. เพอื่ การพัฒนาทย่ี งั่ ยืน สร้างรายได้ใหก้ ับประเทศและรกั ษา สมดลุ สง่ิ แวดล้อมไดต้ ่อไป คณะผจู้ ัดทา พฤศจิกายน 2561 3
บทสรุปผ้บู รหิ าร 7 7 1. ท่มี าและความสาคัญ 8 โลกทีเ่ สยี สมดลุ 9 เศรษฐกจิ ชวี ภาพ-เศรษฐกจิ หมุนเวยี น-เศรษฐกิจสเี ขยี ว (BCG Model) 10 แนวคิดการใช้ วทน. เพือ่ ขับเคลอื่ น BCG Model ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับจากการพัฒนาตามกรอบ BCG Model 14 กรอบตวั อย่างทศิ ทางแตล่ ะสาขายทุ ธศาสตร์ 14 15 2. กลยทุ ธก์ ารพัฒนา วทน. กลุม่ เกษตรและอาหาร 15 2.1 ฐานปริ ามดิ : เกษตรอจั ฉรยิ ะ 16 ตลาดและการแข่งขนั ชอ่ งวา่ งการพฒั นาทส่ี าคัญ 18 กลยุทธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 18 แนวทางดาเนนิ การและผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั 18 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย 19 2.2 ยอดปริ ามิด : อาหารฟังก์ชนั 19 ตลาดและการแข่งขัน ช่องวา่ งการพฒั นาทีส่ าคญั 20 กลยุทธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 21 แนวทางดาเนินการและผลท่ีคาดวา่ จะได้รบั 21 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย 22 22 3. ขอ้ เสนอแนะการพฒั นา วทน. กลมุ่ พลงั งานและวสั ดุ 3.1 ฐานปิรามดิ : พลังงานชีวภาพ 23 ตลาดและการแข่งขนั 23 ชอ่ งวา่ งการพฒั นาทสี่ าคญั 24 กลยทุ ธ์การพัฒนาตามกรอบ BCG Model 24 แนวทางดาเนนิ การและผลท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ 25 ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย 3.2 ยอดปริ ามดิ : เคมีและวัสดุชวี ภาพ 4 ตลาดและการแขง่ ขนั ชอ่ งว่างการพฒั นาท่สี าคัญ กลยทุ ธ์การพัฒนาตามกรอบ BCG Model แนวทางดาเนนิ การและผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย
4. ข้อเสนอแนะการพฒั นา วทน. กล่มุ การแพทยแ์ ละสขุ ภาพ 27 4.1 ฐานปิรามดิ : สมนุ ไพร 27 ตลาดและการแขง่ ขัน 28 ชอ่ งว่างการพฒั นาทส่ี าคัญ 28 กลยทุ ธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 28 แนวทางดาเนนิ การและผลที่คาดวา่ จะได้รับ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 29 4.2 ยอดปริ ามิด : ชวี วัตถุ 30 ตลาดและการแขง่ ขนั 30 ชอ่ งวา่ งการพัฒนาท่สี าคัญ 31 กลยทุ ธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 32 แนวทางดาเนินการและผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 33 33 5. ข้อเสนอแนะการพัฒนา วทน. กลุม่ ทอ่ งเทีย่ ว 33 5.1 ฐานปริ ามดิ : ทอ่ งเท่ียวเชงิ ปรมิ าณอย่างยั่งยืน 34 ตลาดและการแขง่ ขัน 34 ชอ่ งว่างการพัฒนาที่สาคัญ กลยุทธ์การพัฒนาตามกรอบ BCG Model 36 แนวทางดาเนนิ การและผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั 36 ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย 37 5.2 ยอดปริ ามิด : ท่องเท่ียวสุขภาพ 37 ตลาดและการแข่งขัน 38 ช่องว่างการพฒั นาทส่ี าคญั กลยุทธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 39 แนวทางดาเนินการและผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 39 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 40 40 6. ข้อเสนอแนะการพฒั นา วทน. เศรษฐกจิ หมุนเวยี น 41 6.1 การจดั การขยะ ตลาดและการแข่งขัน 43 ช่องวา่ งการพฒั นาท่ีสาคญั 43 กลยทุ ธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model 43 แนวทางดาเนินการและผลทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั 44 ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย 44 6.2 การออกแบบผลิตภัณฑท์ เี่ ป็นมิตรกับสิง่ แวดล้อม ตลาดและการแข่งขัน 5 ชอ่ งว่างการพฒั นาทีส่ าคัญ กลยทุ ธ์การพฒั นาตามกรอบ BCG Model แนวทางดาเนินการและผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย
การเพ่ิมขึ้นของประชากรโลกนาไปสู่ความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีเพ่ิมมากขึ้น ในขณะเดียวกันระบบการ ผลิตแบบเดิมทาให้มนษุ ย์ปลดปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นจานวนมหาศาล ทาให้เสียสมดุลระหวา่ งความต้องการของ มนษุ ย์กับทรัพยากรที่มีอยู่ ระบบการผลติ ในปจั จบุ ันจึงเกินความสามารถที่โลกจะรองรับการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ได้อยา่ งย่ังยืน ตัวอย่างทิศทางเศรษฐกิจจึงมุ่งไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมดไป และปลดปล่อยของเสียให้ น้อยทสี่ ุด BCG Model เป็นการบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจ หมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) พร้อมกัน ๆ โดยนาองค์ความรู้มาต่อยอดฐาน ความเขม้ แข็งภายในของประเทศไทย คือ ความหลากหลายทางชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตรที่อดุ มสมบูรณ์ ปรบั เปล่ียน ระบบการผลิตไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อรักษาความม่ันคงทางวัตถุดิบและสมดุลของส่ิงแวดล้อม BCG Model คาดหวังให้ตอบโจทย์การพัฒนาที่ย่ังยืน (SDG) ของสหประชาชาติอย่างนอ้ ย 5 เปา้ หมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคท่ีย่ังยืน การรบั มือการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ การอนรุ กั ษ์ความหลากหลาย ความรว่ มมอื เพื่อการพฒั นาทย่ี งั่ ยนื อีกทงั้ ยงั สอดรบั กับปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งซ่ึงเป็นหลักสาคัญในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) จะเป็นปัจจัยสาคญั ที่ชว่ ยใหก้ ารดาเนินการดงั กลา่ วบรรลุผลอยา่ งเปน็ รปู ธรรม (ภาพที่ 1.1) กลยทุ ธก์ ารพัฒนาเศรษฐกิจชวี ภาพ (B) ครอบคลุมอตุ สาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) 4 อุตสาหกรรม ไดแ้ ก่ เกษตร และอาหาร พลังงานและเคมีชีวภาพ การแพทย์และสุขภาพ และการท่องเที่ยว แต่ละด้านจะมองการพัฒนาในลักษณะของปิ รามิด แต่ละปิรามดิ จะมสี ่วนท่เี ป็น “ยอดปิรามิด” หมายถงึ ผู้ประกอบการทมี่ ีความพรอ้ มสูง มีกาลังลงทุนในเทคโนโลยี พรอ้ ม รับความเสี่ยง แม้มีจานวนน้อยแต่สร้างมูลค่าเพ่ิมได้สูง และจะเป็นกาลังสาคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต “ฐานปิรามิด” หมายถงึ ผู้ประกอบการ เกษตรกร หรือภาคชมุ ชน ทใ่ี ชเ้ ทคโนโลยีไม่สงู แต่เกย่ี วข้องกับคนจานวนมากและเป็นรากฐานสาคัญ ของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หรือชุมชน หาก วทน. เข้าไปมีส่วนยกระดบั ผลติ ภาพและมาตรฐานได้ จะสง่ ผลกระทบสูงตอ่ ไป เกษตรและอาหาร “ยอดปิรามิด” ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอาหารแปรรูปและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม สนบั สนุนให้เป็นผูป้ ระกอบการนวตั กรรม (Innovation Driven Enterprise: IDE) ทสี่ ามารถผลิตอาหารฟังก์ชันมูลค่าสูง ด้วย การสนับสนุน การปรับปรุงสายพันธุ์หรือวิธีเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์ให้มีสารอาหารสูง พัฒนาศักยภาพการผลิตสารสกัด องค์ ความรู้ด้านโภชนพันธุศาสตร์ (nutrigenomics) ตลอดจนจัดให้มีแพลตฟอร์มสนับสนุนเคร่ืองมือและอุปกรณ์ท่ีจาเป็นตอ่ การ พัฒนานวัตกรรมสาหรบั SME ในอุตสาหกรรมอาหาร “ฐานปิรามิด” ส่งเสรมิ เกษตรกรรายย่อยให้เพ่ิมผลผลิตต่อไร่ ลดพ้ืนที่ ปลกู ลดปัจจัยการผลิต และผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อมดว้ ยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยา ส่งเสรมิ การทดลองประสิทธภิ าพเทคโนโลยี สมาร์ทฟาร์มในแปลงสาธติ เพ่อื หารูปแบบการลงทุนที่คุ้มคา่ ที่สดุ พลังงานและเคมีชีวภาพ “ยอดปิรามิด” มุ่งสู่การเป็น Biorefinery Hub ของเอเชีย สนับสนุนการฝึกอบรมช่าง เทคนิคและวิศวกรด้านไบโอรีไฟเนอรีสาหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพขนาดใหญ่เพ่ือรองรับการถ่ายทอด เทคโนโลยีจากต่างประเทศ การลงทุนโครงสร้างพ้ืนฐานระดับขยายขนาดเพ่ือการขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ตลอดจน ส่งเสริมการวจิ ยั คอมปาวดพ์ ลาสตกิ ชวี ภาพและผูป้ ระกอบการขน้ึ รปู พลาสตกิ ให้สามารถพัฒนาผลติ ภณั ฑ์พลาสตกิ ชวี ภาพชนิด ใหม่ ๆ สาหรับตลาดเฉพาะ (Niche Premium Market) พร้อมกับการสรา้ งตลาดพลาสติกชวี ภาพในประเทศ “ฐานปริ ามิด” เพิม่ ผลิตภาพเชอื้ เพลงิ ชวี ภาพจากวสั ดุเหลอื ทง้ิ และสามารถยกระดบั ไปสกู่ ารผลิตเคมชี ีวภาพทผ่ี ลติ ภณั ฑ์มีมลู ค่าเพ่มิ สงู ขึ้น 6
การแพทยแ์ ละสุขภาพ “ยอดปริ ามิด” สนับสนุนให้เกิดการผลติ ยาชวี วัตถุในระดับอตุ สาหกรรม ตลอดจนการวิจัย และพัฒนาชีววัตถุชนิดใหม่ในโรคสาคัญของไทย พร้อมท้ังสร้างศักยภาพด้านการตอบสนองต่อยาท่ีแตกต่างกันเฉพาะบุคคล เพ่ือรองรับแนวโน้มทางการแพทย์ท่จี ะมุ่งสู่การทานายอาการจากข้อมูลพันธุกรรมและการแพทยแ์ บบแม่นยา “ฐานปิรามิด” สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรสาคัญของไทยตามแผนแม่บทการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติ อย่างครบวงจรต้ังแต่การ เพาะปลูก มาตรฐานของสมุนไพร การวิจัยระดับคลินิกและข้อมูลวิทยาศาสตร์เพ่ือรองรับการข้ึนทะเบียนไปจนถึงการพัฒนา ผลติ ภณั ฑ์ใหม่ ๆ ในระดับอตุ สาหกรรม การท่องเท่ียว “ยอดปิรามิด” ยกระดับธุรกิจทอ่ งเท่ียวเพอ่ื สุขภาพ (wellness) เช่น ธุรกิจสปาและผลติ ภณั ฑ์สปา ให้มีการนาองค์ความรู้ เช่น วิทยาศาสตร์กายภาพและการแพทย์เข้ามาตอ่ ยอดภูมิปญั ญาดง้ั เดิม ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ ของสมุนไพรไทยด้วยผลงานวิจัยเก่ียวกับสรรพคุณสมุนไพรได้รับการยอมรับระดับโลก “ฐานปิรามิด” ดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่ เมืองรองด้วยการพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเทยี่ วอัจฉริยะ ท่ีมีใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนาอัตลักษณ์ท้องถน่ิ และความรู้เชิง นิเวศนข์ ึน้ มานาเสนออยา่ งนา่ สนใจและใหค้ วามรู้ และมขี ้อมลู อานวยความสะดวกทั้งการเดนิ ทาง ทพ่ี ัก ความปลอดภยั สาหรบั เศรษฐกิจหมนุ เวียน (C) จะเน้นเรอ่ื งการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าใน 3 เร่ืองหลกั คือ การใช้งานผลิตภณั ฑ์ เต็มวงจร (Reuse, Refurbish, Sharing) การแปรสภาพเพื่อกลับมาใชใ้ หม่ (Recycle, Upcycle) และการออกแบบผลิตภณั ฑ์ และกระบวนการผลิตเพ่ือให้เกดิ ของเสียน้อยท่ีสดุ (Zero-Waste) แนวคิดของทั้ง 3 เรื่องน้ี สามารถนาไปปรับใช้ได้กบั ปริ ามิด เศรษฐกิจทั้ง 4 ด้าน ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีการจัดการขยะที่เหมาะสมกับลักษณะของขยะชุมชน หาแนวทางการใช้ ประโยชน์จากขยะครบวงจร และสนบั สนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สงั คมขยะเป็นศูนย์ นอกจากน้ี ยังเสนอให้มีการสร้างแพลตฟอร์ม บ่มเพาะธุรกิจที่พัฒนานวัตกรรมสีเขียว ตลอดจนใช้เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์มาประเมินวิเคราะห์ระบบการผลิตและ ผลิตภัณฑ์ เพื่อนาไปส่กู ารปรับปรุงระบบการผลติ ไปสู่การผลิตหรือการออกแบบผลติ ภัณฑท์ ่ีเป็นมิตรกบั สิ่งแวดล้อม ตามหลัก เศรษฐกิจหมนุ เวยี น (ภาพท่ี 1.2) เม่ือบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวยี นเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ จะทาให้การพฒั นา เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจสเี ขียวที่สมบูรณ์ สามารถสร้างมูลค่าเพม่ิ ได้สูง มกี ารใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและรักษาทรัพยากร และสิ่งแวดลอ้ มไวไ้ ดใ้ นระยะยาว ตลอดจนบรรลุผลตามเปา้ หมายท่ยี ง่ั ยนื 7
การเพิ่มข้ึนของประชากรโลกนาไปสู่ความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทีเ่ พิ่มมากข้ึน ในขณะเดียวกันระบบการ ผลิตแบบเดิมทาให้มนุษย์ปลดปล่อยของเสียออกสู่ส่ิงแวดล้อมเป็นจานวนมหาศาล ทาให้เสียสมดุลระหวา่ งความต้องการของ มนษุ ยก์ ับทรัพยากรทม่ี ีอยู่ ระบบการผลิตในปัจจบุ ันจึงเกินความสามารถที่โลกจะรองรบั การดารงชวี ิตของมนุษย์ไดอ้ ย่างยงั่ ยืน ตัวอย่างทิศทางเศรษฐกิจจึงมุ่งไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นทรัพยากรท่ีใช้แล้วไม่หมดไป และปลดปล่อยของเสียให้ น้อยท่ีสดุ BCG Model เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจท่ีม่งุ เนน้ สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยัง่ ยืน ของฐานทรัพยากรธรรมชาติ โดยนาองค์ความรมู้ าต่อยอดฐานความเข้มแขง็ ภายในของประเทศไทย คอื ความหลากหลายทาง ชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมกับปรับเปล่ียนระบบการผลิตไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพ่ือ รกั ษาความม่นั คงทางวตั ถุดบิ สมดุลของสง่ิ แวดล้อม ควบคไู่ ปกบั การอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การพฒั นาเศรษฐกิจ แบบ BCG ประกอบไปดว้ ยแนวคิดหลกั 2 แนวคิด คือ เศรษฐกจิ ชีวภาพและเศรษฐกิจหมนุ เวียน รวมกนั เปน็ แนวคดิ ที่กวา้ งข้ึน และสอดรับกับแนวคดิ เศรษฐกิจสเี ขยี ว เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) คือ รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ชวี ภาพอย่างคุ้มค่าควบคู่ไปกบั การรกั ษาสมดุลทางสิ่งแวดลอ้ ม โดยอาศัยความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีในหลากหลายสาขามา ช่วยเพิม่ ประสิทธภิ าพหรือก่อใหเ้ กดิ นวัตกรรม1 ทรัพยากรท่ีนามาผลติ ในระบบเศรษฐกิจชวี ภาพต้องสามารถปลกู ทดแทนหรือ นากลับมาใชใ้ หม่ได้ (renewable) ลดการพึง่ พาเชื้อเพลงิ ฟอสซลิ และการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) หมายถึง ระบบเศรษฐกิจท่ีมกี ารวางแผนให้ทรพั ยากรในระบบการ ผลิตท้งั หมดสามารถกลบั คืนสู่สภาพเดิมและนากลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ เพอ่ื รับมอื กับปญั หาการขาดแคลนทรพั ยากรในอนาคต ทจี่ ะมี ความต้องการใช้ทรัพยากรเพ่ือการผลิตเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการสินค้าและบริการของ ผบู้ รโิ ภค ดงั นน้ั เศรษฐกจิ หมนุ เวียน จงึ มุ่งเน้นการคงคณุ ค่าผลติ ภัณฑ์ให้นานทส่ี ุด ส่งเสรมิ การใชซ้ ้า สร้างของเสียในปริมาณท่ี ตา่ ท่ีสุด และให้ความสาคัญกับการจัดการของเสยี จากการผลิตและบริโภค ด้วยการนาวัตถุดิบทีผ่ ่านการผลิตและบริโภคแล้ว เข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ ซ่ึงต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบด้ังเดิมที่เน้นการใช้ทรัพยากร การผลิต และการสร้างของเสีย ใน รปู แบบเศรษฐกจิ ทเ่ี ป็นเสน้ ตรง หรือ Linear Economy เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจท่ีมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาท่ีสมดุลท้ัง 3 ดา้ น คือ ด้านเศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกจิ ท่ีนาไปสู่ ความยง่ั ยืนและแขง่ ขันได้ในระดบั สากล 1 ยุทธศาสตรก์ ารใช้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพือ่ การพัฒนาเศรษฐกิจชวี ภาพ, สวทช., 2561 8
ภาพที่ 1.1 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกจิ หมุนเวยี นและเศรษฐกิจสีเขียว ทม่ี า : สวทช., 2561 การผลักดนั ใหเ้ ศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ให้เติบโตได้อยา่ งต่อเนื่อง ต้องเป็นการเตบิ โตทีใ่ ห้ความสาคัญกับ การกระจายโอกาสรายได้และความเจริญไปสู่ประชาชนของประเทศอย่างท่ัวถึง ภายใต้เงื่อนไขการดูแลทรัพยากรและ สง่ิ แวดล้อมอย่างจรงิ จัง ซ่ึงต้องอาศัยวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ร่วมกับนโยบายและการบริหารจัดการที่ เหมาะสมจงึ จะบรรลุผลไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ ข้อเสนอฉบบั นจ้ี ึงส่งเสรมิ การนา วทน. ไปยกระดับผลิตภาพของผผู้ ลติ ส่วนใหญ่ท่ีอย่ทู ี่ ฐานของปิรามดิ เป็นการยกระดับการพัฒนาประเทศท้ังระบบให้สงู ขึ้นไม่ทิง้ ใครไว้ขา้ งหลงั ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทีไ่ ม่ ซับซ้อนและนวัตกรรมการจัดการที่จะนาไปสู่การลดต้นทุนและเพ่ิมผลผลิต ในขณะเดียวกันกส็ ่งเสริมผู้ประกอบการท่ีมคี วาม พรอ้ มในส่วนยอดของปริ ามิดให้ผลิตสินคา้ ทมี่ ีนวตั กรรมสงู ข้ึนหรอื เป็นผ้สู ร้างนวตั กรรม (Innovation Driven Enterprise) มุ่ง เป้าสู่การเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรมในท้ายท่ีสุดแทนการนาเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ท้ังน้ี แนวคิดของ เศรษฐกิจหมนุ เวยี น (Circular Economy) จะต้องถกู นาไปใช้กับทุกกลุ่มอตุ สาหกรรม กลยุทธก์ ารพัฒนาเศรษฐกจิ ชีวภาพ (B) ครอบคลุมอตุ สาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) 4 อตุ สาหกรรม ได้แก่ เกษตร และอาหาร พลังงานและเคมีชีวภาพ การแพทย์และสุขภาพ และการท่องเที่ยว แต่ละด้านจะมองการพัฒนาในลักษณะของปิ รามดิ แต่ละปิรามดิ จะมีสว่ นทเ่ี ปน็ “ยอดปริ ามดิ ” หมายถงึ ผปู้ ระกอบการทม่ี ีความพร้อมสูง มกี าลังลงทนุ ในเทคโนโลยี พรอ้ ม รับความเส่ียง แม้มีจานวนน้อยแต่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง และจะเป็นกาลังสาคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต “ฐานปิรามิด” หมายถึง ผู้ประกอบการในระบบการผลิตเดิมซ่ึงใช้เทคโนโลยีไมส่ ูง แต่เกี่ยวข้องกับคนจานวนมากและเป็นรากฐานสาคัญของ เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงเกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หรือชุมชน หาก วทน. เข้าไปมีส่วนยกระดบั ผลิตภาพและมาตรฐานได้ จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อไป สาหรับเศรษฐกิจหมุนเวียน (C) จะเน้นเร่ืองการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าใน 3 เร่ืองหลัก คือ การใช้งานผลิตภัณฑ์ เตม็ วงจร (Reuse, Refurbish, Sharing) การแปรสภาพเพ่ือกลบั มาใชใ้ หม่ (Recycle, Upcycle) และการออกแบบผลติ ภัณฑ์ และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยท่ีสดุ (Zero-Waste) แนวคิดของทั้ง 3 เรื่องน้ี สามารถนาไปปรับใชไ้ ด้กบั ปิรามิด เศรษฐกิจท้ัง 4 ดา้ น (ภาพที่ 1.2) 9
ภาพท่ี 1.2 ตัวอย่างเทคโนโลยที ีพ่ ร้อมสาหรบั การยกระดับการสรา้ งมลู ค่าให้กับเศรษฐกิจชวี ภาพ ทม่ี า : ปรบั จาก สวทช., 2561 การดาเนินการตามแนวทาง BCG Model คาดว่าจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจชีวภาพจากมูลค่า 3 ล้านลา้ นบาท หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 21 ของผลติ ภณั ฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดพี ี) ในปี 2559 เพ่ิมเป็น 4.3 ล้านล้านบาทหรอื รอ้ ย ละ 25 ของจีดีพีในปี 2566 ภายในห้าปีแรกของการดาเนินการผู้ได้รับประโยชนส์ ่วนใหญ่คือผู้ท่อี ยู่ส่วนฐานของปิรามดิ แต่ใน ระยะยาวผลของการลงทุนวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยีจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวในส่วนยอดของปิรามิด นอกจาก ผลกระทบท่ีเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้ว การพัฒนาตาม BCG Model ยังส่งผลกระทบต่อการลดก๊าซเรือนกระจก และการ อนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพของพืชสมนุ ไพรอีกด้วย กรอบตัวอย่างทิศทางเศรษฐกิจชีวภาพและสาขาท่ีมีลาดับความสาคัญสูงของแต่ละปิรามิด สรุปในตารางที่ 1.1 - 1.4 และกรอบการพัฒนาเศรษฐกจิ หมุนเวยี น แสดงในตารางที่ 1.5 ดังนี้ 2 สวทช., 2561 10
ตารางที่ 1.1 ตวั อย่างทิศทางการพฒั นาด้านเกษตรและอาหาร เกษตรและอาหาร ศกั ยภาพทจ่ี าเปน็ กลุม่ เปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ช่องว่างการพฒั นา ข้อเสนอนโยบาย ยอดปริ ามดิ SME อาหารแปรรูป แพลตฟอร์มแชร์ SME ไม่สามารถ ปรบั ปรงุ กฎระเบยี บ การผลิตอาหาร ผปู้ ระกอบการ ฟังก์ชัน อุตสาหกรรม เครอ่ื งมือทดสอบ ลงทนุ เคร่ืองมือ การลงทนุ ภาครฐั สนบั สนุนเพ่ืออาหาร กบั อุตสาหกรรม เพอ่ื พัฒนา รว่ มกับอุตสาหกรรม ฟงั ก์ชนั ผลติ ภณั ฑ์ออกสู่ การลงทุนใน ตลาด โครงสร้างพื้นฐาน ผ้ปู ระการตาม เพือ่ การทดลอง เทคโนโลยผี ลิต เกีย่ วกบั เทคโนโลยี สมัยใหม่ เช่น การผลติ สมยั ใหม่ HPP ไม่ทัน ฐานปิรามดิ ธุรกจิ แปรรูปผลผลิต แปลงทดสอบ ตัวเลอื กเทคโนโลยี สนับสนุนธรุ กจิ เกษตรแมน่ ยา เกษตร ประสทิ ธภิ าพ มีมากไม่สามารถ เกษตรทที่ าแปลง เกษตรกรรายยอ่ ย เทคโนโลยี ลงทนุ ไดถ้ ูกตอ้ ง สาธิต การถ่ายทอด เกษตรกรรายยอ่ ย ปรับปรุงและเปิดเผย เทคโนโลยีผา่ น เข้าไม่ถึง ข้อมูลภาครฐั เกษตรพนั ธ เทคโนโลยี มาตรฐานอุปกรณ์ สัญญา IoTเกษตร การปรับปรงุ ให้ สาธารณูปโภคเกษตร เทคโนโลยี เหมาะสมกับ เกษตรกรราย ยอ่ ย 11
ตารางท่ี 1.2 ตัวอย่างทศิ ทางการพฒั นาด้านพลงั งาน เคมแี ละวสั ดุชวี ภาพ พลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ ศักยภาพทีจ่ าเป็น กล่มุ เปา้ หมาย แนวทางการพัฒนา ช่องว่างการพัฒนา ข้อเสนอนโยบาย ยอดปิรามิด กระบวนการไบ ผปู้ ระกอบการ กลไกพฒั นา อุตสาหกรรมเคมี สนับสนุนการพัฒนา โอรีไฟเนอรี เคมชี ีวภาพ กาลังคนแบบทวิ ชวี ภาพพงึ่ พาการ กาลงั คนเพ่ืออตุ สาหกรรม ยอดปิรามิด ขนาดใหญ่ ภาคหี รอื ศูนย์ นาเขา้ เทคโนโลยี การลงทนุ ในโรงงาน การพัฒนา ฝึกอบรมช่าง การผลิตขนั้ สงู ต้นแบบด้านไบโอรไี ฟเนอรี ผลติ ภณั ฑ์พลาสติก ผปู้ ระกอบการ เทคนคิ และ จากตา่ งประเทศ ชวี ภาพและการขนึ้ เคมีชวี ภาพ วิศวกรดา้ นไบโอรี สนับสนุนให้เกดิ คลสั เตอร์ รูป SME ไฟเนอรี อตุ สาหกรรมเคมชี วี ภาพ ฐานปริ ามดิ เจา้ ของแบรนด์ โปรแกรมพัฒนา ตลาดพลาสติก สนบั สนนุ การวิจัยดา้ นคอม การพฒั นา (Brand ผลิตภณั ฑแ์ บบ ชวี ภาพใน ปาวด์ เชือ้ เพลงิ ชีวภาพ รุ่นทส่ี อง owner) ความร่วมมอื ประเทศมขี นาด พฒั นาตลาดผลติ ภณั ฑท์ ี่ ผลิตภณั ฑ์ทใี่ ช้ ระหวา่ ง brand เลก็ เป็นมติ รกับสง่ิ แวดลอ้ ม บรรจภุ ัณฑ์ owner และผูข้ ึน้ พลาสติก รูปพลาสติก ผลติ ภณั ฑจ์ าก พลาสตกิ ชวี ภาพ SME คอนเวอร์ ยงั มนี อ้ ย เตอร์พลาสตกิ ผู้ประกอบการ พัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนา การลงทนุ สรา้ งโรงงาน ผลิตเชื้อเพลงิ การหมกั และ เช้ือเพลิงชวี ภาพ ต้นแบบเพื่อขยายขนาด ชวี ภาพ เอนไซมเ์ พอื่ เพ่ิม รนุ่ ท่ีสอง สาหรับผลติ ภณั ฑเ์ ชื้อเพลิง ประสิทธภิ าพ ชวี ภาพรนุ่ ท่สี อง การผลิตเอทา นอลจาก เช้ือเพลงิ ชวี ภาพ ร่นุ ทส่ี อง 12
ตารางที่ 1.3 ตวั อย่างทศิ ทางการพฒั นาดา้ นสุขภาพและการแพทย์ สุขภาพและการแพทย์ ศักยภาพทจี่ าเป็น กลุ่มเป้าหมาย แนวทางการพัฒนา ชอ่ งวา่ งการพัฒนา ขอ้ เสนอนโยบาย ยอดปิรามดิ ผู้ประกอบการ JV กับตา่ งชาติ การผลิตยาชีววตั ถุ สนับสนนุ การถ่ายทอด การผลติ ยาชีววัตถุ ท่ีเกย่ี วข้องกับ ระดบั อุตสาหกรรมยา เพอื่ ถ่ายทอด ลงทนุ สงู เทคโนโลยี ผา่ นการร่วมทุน อตุ สาหกรรม ผู้ประกอบการ เทคโนโลยี ผ่าน โดยใหเ้ งนิ สนบั สนุนการ การให้สิทธิการ การยืน่ ขอรับรอง ลงทนุ ซบั ซอ้ นและเป็น ผลติ ยา และมา ทใ่ี หบ้ ริการ ตง้ั โรงงานผลติ ใน ตน้ ทนุ เวลา สนบั สนนุ R&D ผา่ นทนุ ทางการแพทย์ ไทย นโยบายรฐั ควบคมุ วิจัยตา่ ง ๆ เพ่ือสร้างองค์ กระทรวง Open ราคาจดั ซ้อื ทีย่ ึด ความรูแ้ ละบุคลากร สาธารณสขุ ราคาต่าเปน็ หลัก เชีย่ วชาญ และครอบคลมุ innovation เชน่ และส่งเสรมิ การ ไปถึงการวจิ ัยกระบวนการ ดึงนักวิจยั ทมี่ ี นาเขา้ ยาราคาถกู ผลักดนั การออก พ.ร.บ. ศกั ยภาพเขา้ มา จากต่างประเทศ ยาชีววตั ถทุ ้งั มาตรฐานการ ทา R&D แล้ว จ้างทาวิจยั ดา้ น เกิดการแข่งขนั ผลติ การขนึ้ ทะเบยี น คลินิก รวมไปถึง กนั เองของยา มาตรฐานความปลอดภยั จา้ งผลิต สามัญมากกวา่ ทางชวี ภาพตาม ยาชวี วตั ถุท่มี ี Cartagena protocol M&A การควบ มลู ค่าสงู รวมไปถงึ การทดสอบในคน รวมกจิ การเพอื่ และลดขนั้ ตอน ระยะเวลา เพม่ิ ศักยภาพใน ท่ใี ชใ้ นการยืน่ เอกสาร ดา้ นการผลติ ฐานปริ ามิด ผปู้ ระกอบการ แพลตฟอรม์ การ ขาดแคลนวัตถดุ บิ บริหารจดั การงบประมาณ การนาสมนุ ไพร สมนุ ไพรกลมุ่ พัฒนารว่ มกนั ไทยไปใช้ ท่ีมคี ุณภาพ วจิ ัยดา้ นสมนุ ไพรเปา้ หมาย ประโยชนใ์ น เวชสาอางและ ระหวา่ งนกั วจิ ัย สาหรับ ใหค้ รบวงจรตง้ั แตต่ น้ นา้ ไป อาหาร ด้านสมุนไพร อุตสาหกรรมใน จนถึงปลายนา้ อุตสาหกรรม เกษตรกรผ้ปู ลกู เภสชั กร แพทย์ ประเทศ คลินกิ การพัฒนามาตรฐาน สมนุ ไพร วตั ถดุ ิบสมุนไพร เช่ือมโยง พัฒนาระบบปลูกพชื อุตสาหกรรมสาร สมนุ ไพรเพ่ือให้ได้สารออก สกดั สมนุ ไพรกบั ฤทธิส์ ูง เกษตรกรผปู้ ลูก สมุนไพรใน จดั ให้มีหอ้ งปฏิบัติการ ประเทศ ทดสอบกลาง 13
ตารางท่ี 1.4 ตัวอย่างทศิ ทางการพัฒนาด้านทอ่ งเท่ยี ว ทอ่ งเท่ียว ศักยภาพท่ีจาเปน็ กลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการพัฒนา ชอ่ งว่างการพฒั นา ขอ้ เสนอนโยบาย ยอดปริ ามิด ธุรกจิ สปาและนวด เชือ่ มโยงธรุ กจิ สปา ภาพลกั ษณ์ของ ส่งเสริมงานวจิ ัย การท่องเทย่ี วสุขภาพ ไทย กับโรงงานรับจ้าง สมนุ ไพรไทยไมไ่ ด้ สรรพคณุ สมุนไพร ผผู้ ลิตผลติ ภณั ฑ์ ผลิต (OEM) เพือ่ รับการยอมรบั ไทย สปา พฒั นาผลติ ภณั ฑ์ ระดบั โลก สง่ เสรมิ การศกึ ษา จากสมนุ ไพร ขาดความรกู้ าร Physical สนับสนนุ โรงเรยี น นวดตามหลกั Therapy สอนนวดไทยทถ่ี กู กายภาพ บงั คบั ใช้ พรบ.สปา ตามหลกั กายภาพ อย่างเขม้ งวด ฐานปริ ามดิ ชุมชน/ท้องถ่นิ ใน พัฒนาเมอื งรองท่ี นักทอ่ งเทยี่ ว แพลตฟอร์มช่วย กา ร ท่ อ ง เ ท่ี ย ว เ ชิ ง เมืองรองทมี่ ี มเี อกลักษณ์ด้าน กระจกุ ตวั ในเมอื ง วางแผนการ ปรมิ าณอยา่ งยั่งยืน เอกลักษณด์ า้ น ชีววทิ ยาใหเ้ ป็น ใหญ่ ทอ่ งเท่ยี ว ชวี วิทยา แหล่งท่องเทย่ี ว ความโดดเด่น แหลง่ ทอ่ งเท่ียว อจั ฉรยิ ะ ด้านอัตลักษณ์ของ อัจฉริยะ เมืองรองไมไ่ ดถ้ กู ระบบรกั ษาความ นาเสนอ ปลอดภยั การคมนาคมไม่ สะดวก 14
ตารางท่ี 1.5 ตัวอยา่ งทิศทางการพัฒนาด้านเศรษฐกจิ หมุนเวียน เศรษฐกจิ หมนุ เวยี น ศักยภาพท่ีจาเป็น กลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ชอ่ งว่างการพฒั นา ขอ้ เสนอนโยบาย ยอดปริ ามิด ผู้ประกอบการ กลไกการสรา้ ง ขาดหนว่ ยงานและ สร้างระบบการ การประเมนิ วัฏจักร ส่งออกสนิ คา้ ไป ฐานขอ้ มูลการ ชีวติ ยโุ รป ประเมินวฏั จกั ร งบประมาณในการ ประเมินฟตุ พรนิ ต์ ดาเนินงานท่ี สง่ิ แวดล้อมของ SME ทต่ี อ้ งการ ชีวติ ในผลติ ภัณฑ์ ต่อเน่อื ง ผลติ ภณั ฑ์ ผลิตสินค้าทเี่ ปน็ สาคัญ ขาดระบบการ สร้างระบบทวน มติ รกบั สง่ิ แวดล้อม ระบบการประเมนิ ประเมนิ และ สอบขอ้ มูล รบั รอง และรบั รอง ฐานขอ้ มลู ที่ ขอ้ มูล และ ผลติ ภณั ฑท์ ่ีเปน็ มติ ร เพยี งพอกบั ความ มาตรฐานฟตุ พ กับสงิ่ แวดล้อม ต้องการของ รนิ ต์สิง่ แวดล้อม อตุ สาหกรรม ของผลิตภณั ฑท์ ไ่ี ด้ โดยเฉพาะ SME มาตรฐานสากล สรา้ งระบบติดตาม ประเมินผลการ พฒั นาประเทศ อยา่ งยงั่ ยนื ฐานปิรามดิ ผู้ประกอบการการ รวบรวมองคค์ วามรู้ การไมย่ อมรบั สง่ เสริมการจดั การ ของประชาชนใน ขยะมลู ฝอยโดยใช้ การจดั การขยะมลู จัดการขยะมลู ฝอย และขยายผลพ้ืนท่ี พื้นท่ี รปู แบบศนู ยก์ าร จดั การขยะมูลฝอย ฝอยชมุ ชน ในพ้นื ท่ีท่มี ี ต้นแบบทีม่ ีการคดั ความกงั วลดา้ น ชมุ ชน ความปลอดภัย • ศนู ยก์ ารจัดการ ศักยภาพ แยกขยะมลู ฝอย คดั เลือกและ ขยะมูลฝอย สถานทตี่ ั้งซง่ึ อาจ ส่งเสริมขดี ตัง้ แตต่ ้นทางและ กอ่ ให้เกิดความ ความสามารถทาง ชุมชน เก็บขนแบบแยก เดือนรอ้ นราคาญ เทคโนโลยีของ และสง่ ผลกระทบ ผ้ปู ระกอบการใน ประเภท ทางลบตอ่ พ้ืนที่ ส่ิงแวดล้อม ศึกษาความ การใชป้ ระโยชน์ ปรมิ าณกา๊ ซ จากท่ีดินขนาด เหมาะสมของพน้ื ที่ ชีวภาพทผี่ ลติ ได้ ใหญ่ของรัฐ มักเกินกวา่ ที่ สาหรับใชเ้ ปน็ สามารถนาไปใช้ วิจัยพัฒนาเพ่ือใช้ สถานท่ีฝงั กลบขยะ ชุมชน พฒั นาเทคโนโลยี การหมักขยะจาก หลมุ ฝังกลบ ยกระดับการจดั การ ประโยชนไ์ ด้ ประโยชนก์ า๊ ซ ขยะ เปลย่ี นผ่านสู่ ชีวภาพท่ี สงั คมขยะเป็นศูนย์ หลากหลาย เพ่ิมอุปสงคก์ ๊าซ ชวี ภาพ โดยให้มีการ ใชป้ ระโยชน์ท่ี หลากหลาย 15
ผลผลติ ทางการเกษตรสาคัญของไทยท่ีส่งออกเป็น 5 อนั ดับแรก ไดแ้ ก่ ยางพารา ขา้ ว มนั สาปะหลงั น้าตาล ผลไม้ สดและผลติ ภณั ฑ์3 ซง่ึ อาจแบ่งสถานการณก์ ารแข่งขนั ได้เปน็ 2 กลุม่ ดังนี้ (1) กลุม่ พืชทั่วไป เช่น ขา้ ว มัน ยาง อ้อย ซ่ึงแมว้ า่ จะมมี ูลค่าเพมิ่ ต่าแต่ความต้องการยังเพิ่มข้นึ เร่ือย ๆ จากจานวน ประชากรโลกท่ีเพิ่มข้ึน จากข้อมูลส่งออกปี 2560 ประเทศไทยส่งออกยางพารามากท่ีสุด คิดเป็นมูลค่า 200,000 ล้านบาท รองลงมาเป็นข้าว 175,000 ล้านบาท มันสาปะหลัง 95,000 ล้านบาท และน้าตาล 86,000 ล้านบาท ประเทศไทยกาลัง เสียเปรียบในการแข่งขันในสินค้ากลุ่มนี้ ให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกสนิ ค้าเดียวกัน เช่น เวียดนามส่งออกข้าวที่เป็นพันธ์ุ คณุ ภาพรองราคาต่า แต่ใหผ้ ลผลติ สูงกวา่ ไทยเกือบเท่าตวั เวยี ดนามมรี ะบบชลประทานทค่ี รอบคลุมพนื้ ทเี่ กษตรกว่ารอ้ ยละ 80 ในขณะที่ไทยมีระบบชลประทานครอบคลุมเพยี งร้อยละ 20 ตลอดจนมคี ่าแรงที่ถูกกวา่ ไทยคร่ึงหนึ่ง อีกท้ังยงั ได้สทิ ธิพเิ ศษทาง ภาษีจากประเทศคู่ค้า4 หรือจีนซ่ึงเป็นตลาดส่งออกมันสาปะหลังหลักของไทยมีนโยบายสนับสนุนพืชอาหารสัตว์อ่ืน ๆ ที่ สามารถปลกู ได้ในประเทศเพ่ือลดการพึง่ พาการนาเข้า เปน็ ตน้ (2) ไม้ผลเมืองร้อน เป็นกลุ่มที่ไทยมีศักยภาพการแขง่ ขันในระดับโลกไม่ว่าจะเป็นการส่งออกในรูปของผลสดหรือ ผา่ นการแปรรปู จากข้อมลู ปี 2560 พบวา่ ประเทศไทยสง่ ออก ลาไย 20,700 ล้านบาท ทุเรียน 20,000 ลา้ นบาท และมะพร้าว 13,000 ล้านบาท รองลงมา คือ มังคุด 4,300 ล้านบาท และมะมว่ ง 3,200 ล้านบาท แนวโน้มของสินค้ากลุ่มน้ีค่อนข้างสดใส เนือ่ งจากเกษตรกรมีความรู้และภมู ิปัญญาในการปลูก มีการคัดเลือกและพัฒนาพนั ธจ์ุ นมีลักษณะทเ่ี ป็นท่ีต้องการของผู้บรโิ ภค แม้ว่าในปัจจุบนั เรมิ่ ประสบปญั หาผู้ค้าส่งจากจีนเข้ามาเป็นตวั กลางรบั ซ้ือและกาหนดราคาผลผลิต ในอนาคตคาดว่าตลาดจะ ยง่ิ เติบโตมากขน้ึ เนอื่ งจากช่องทางตลาดที่เพมิ่ มากข้ึน เชน่ ช่องทางออนไลน์ พชื ทัง้ 2 กลมุ่ ของไทย จะยงั คงเปน็ ที่ต้องการของตลาด โดยผลผลติ เกษตรในอนาคตไมว่ ่าจะเปน็ พืชกลุ่มใด จะม่งุ สู่ พชื ผลปลอดภัย (safety) ไดค้ ุณภาพมาตรฐาน (standard) มรี ะบบการผลิตที่ย่งั ยนื (sustainability) ด้วยการลดการใชป้ ัจจัย การผลิตทจ่ี ะส่งผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเก็บข้อมูลท่ีจาเป็นเพ่ือรองรบั การตรวจสอบยอ้ นกลบั โดยคูค่ ้าหรือผู้บรโิ ภค (traceability) ในขณะเดียวกันต้องบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซ่ึงอาจส่งผลต่อโรคและแมลงท่ี เปลย่ี นไป การเปลยี่ นแปลงฤดมู รสุม ปัญหาภยั แล้งหรอื นา้ ท่วมอกี ดว้ ย อปุ สรรคในการแขง่ ขนั ของเกษตรกรไทย มดี ังน้ี ต้นทุนสูงแตผ่ ลผลติ ต่อไร่ต่า และผลผลิตมีราคาตา่ ตวั อย่างเช่น เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มีผลตอบแทนสุทธติ ่า หรือเฉลี่ยเพียง 40,000 บาท/คน/ปี และประสบปญั หาขาดทุนต่อเนอื่ ง ตน้ ทุนหลัก คือ ปยุ๋ ซ่ึงมีการบรโิ ภค 5 ล้านตันตอ่ ปี คิดเปน็ มูลค่านาเข้า 60,000 ล้านบาท อยหู่ ่างไกลจากแหล่งน้า พงึ่ พาน้าฝนธรรมชาติ หรือต้องเพมิ่ ต้นทุนการเชอื้ เพลิงเครือ่ งสบู นา้ และทาให้ปลูก พืชไดเ้ พยี งปลี ะ 1 รอบ เกษตรกรไทยเรม่ิ เขา้ สู่สังคมสงู วัย เกษตรกรมอี ายเุ ฉลี่ย 55 ปี และกว่ารอ้ ยละ 30 อายเุ กิน 60 ปี 3 กระทรวงพาณิชย์, 2561 http://www.ops3.moc.go.th 4 กรมชลประทาน, 2557 http://oopm.rid.go.th/subordinate/opm9/pdf/km/2557_1/file_2557_7.pdf 16
เผชญิ ปัญหาการเปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศท่สี ่งผลตอ่ การออกดอกของพชื ผล ความเสยี่ งจากโรคแมลง ใช้สารเคมีมากเกินไป ทาให้เกิดสารเคมีตกค้างในผลผลิต ทาให้ไม่สามารถส่งออกไปประเทศคู่ค้าท่ีมี กฎระเบียบเข้มงวดได้ เปน็ ต้น จากแนวโน้มตลาดและการแข่งขันพบว่ากลุ่มพืชทั่วไปมีแนวโน้มลดพน้ื ท่ีเพาะปลูกลงและมีเกษตรกรลดลง ทาให้ ประเทศไทยจาเป็นต้องให้ความสาคัญกับการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล โดย เกษตรกรจาเปน็ ตอ้ งบรหิ ารจดั การตน้ ทนุ ปัจจยั การผลิต พร้อมๆ กับยกระดับคุณภาพผลผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงจาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยเทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบสูงต่อการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ในอนาคต ได้แก่ เทคโนโลยีเกษตรแม่นยา เทคโนโลยีเกษตรแม่นยาซึ่งมุ่งเน้นการใช้ข้อมูลและความเข้าใจเก่ียวกับสภาพพ้ืนท่ีและสภาพภูมิอากาศมา ประกอบการบริหารจัดการระดับแปลง ควบคู่ไปกบั การใช้ระบบอัตโนมตั ิเพือ่ ท่นุ แรง เนื่องจากจะช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้ ปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย น้า ยาฆ่าแมลง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับความต้องการของพืช และศักยภาพของดินซึ่ง แตกต่างกันไปในแต่ละจดุ ของแปลง เทคโนโลยีเกษตรแม่นยาคาดวา่ จะลดต้นทุนปจั จัยการผลิตไดร้ ้อยละ 10 และเพ่ิมผลผลิต จากเดิมอีกร้อยละ 305 นอกจากนี้ เกษตรแม่นยายังลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีในการทาเกษตรซ่ึงจะส่งผลดีต่อส่ิงแวดล้อมท่ี สามารถพฒั นาไปสกู่ ารเกบ็ ขอ้ มูลเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับโดยคคู่ า้ ได้ แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยี ควรเริ่มให้กับเกษตรกรกลุ่มนวัตกรหรอื ผู้มแี นวโน้มยอมรบั นวตั กรรมก่อน (Early Adoptor) ทดลองใช้ก่อน เน่ืองจากเป็นกลุ่มท่ีพร้อมรับความเสี่ยง มีความรู้ มีความสามารถในการลงทุน ซ่ึงจะครอบคลุม ประมาณร้อยละ 16 ของเกษตรกรท้ังหมด ได้แก่ ธุรกิจเกษตรท่ีทาเกษตรพันธสัญญา ปราชญ์เกษตร ลูกหลานเกษตรกรที่มี ความรู้ระดับปริญญาตรี เกษตรกรรุ่นใหม่ท่ีมาจากอาชีพอืน่ อย่างไรก็ตาม สาหรับประเทศไทยซงึ่ ผู้ผลิตกว่าร้อยละ 70 เป็น เกษตรกรรายย่อยและเป็นเกษตรแปลงเล็ก รัฐบาลต้องสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีผ่านกลไกการรวมกลุ่มต่าง ๆ เช่น สหกรณ์ หรือเกษตรแปลงใหญ่ และต้องสร้างกลไกการนาองค์ความรู้เข้าไปพร้อมกับการอุดหนุนเทคโนโลยีหรือเครื่องมือ พร้อมทั้งให้บริการหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่ีจะก่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรรายย่อยในวงกว้าง เช่น การพยากรณ์ อากาศเพ่อื การเกษตรท่ีมคี วามแมน่ ยาในระดับท้องถิ่น และเปิดกวา้ งให้มีการนาข้อมลู ภาครัฐไปต่อยอดพัฒนาเปน็ บริการโดย ธรุ กจิ เพอ่ื สงั คมหรือสตารท์ อัพ รวมท้ังสนับสนนุ การแปลงเทคโนโลยีใหเ้ หมาะกับเกษตรกรและสภาพแวดล้อมของไทย จากกรณีศึกษาพบว่ารูปแบบการลงทุนเกษตรอัจฉริยะที่ประสบความสาเร็จ คือ ระบบเกษตรพันธสัญญา ซึ่งมี รปู แบบการดาเนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้ (ภาพท่ี 2.1 และ 2.2) 1) เกษตรพันธสัญญา : ธุรกิจแปรรปู ผลผลติ เกษตรทม่ี ีผลประกอบการดี มตี ลาดสง่ ออก มีความตอ้ งการจัดหา ผลผลิตเข้าโรงงานท่ีมีปรมิ าณและคุณภาพสมา่ เสมอ ป้องกันปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนหรือวัตถุดิบลน้ โรงงาน จึงทาสญั ญากับ เกษตรกร และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีปลูกผลผลิตที่มคี ุณภาพ เพ่ือเสริมสร้างความม่ันคงทางวัตถดุ ิบและการขยาย ธรุ กิจของบริษัท ซึ่งในระยะแรกการนาเสนอเทคโนโลยใี ห้เกษตรกรยังเป็นเรอ่ื งยาก เกษตรกรส่วนใหญ่ลงั เลทีจ่ ะใช้เทคโนโลยี เน่ืองจากยังไม่รู้จักและไม่ตระหนักถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี ต้องอาศัยนักส่งเสริมหรือผู้รับซื้อผลผลิต (broker) ที่มีความ ใกล้ชดิ กับเกษตรกร ชกั นาใหเ้ กษตรกรมาดูงานในแปลงทดลอง 5 Goldman Sachs Global Investment Research, USDA 17
2) แปลงทดลองประสิทธิภาพเทคโนโลยี (technology optimization pilot field) : บริษัทริเร่ิมนา เทคโนโลยีเกษตรแม่นยาจากหลายแหล่ง มาใช้ในแปลงทดลอง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และหาจุดคุ้มทุน (optimization) เช่น การใช้หลอไฟ LED ในการเพาะต้นกล้า ทาให้ต้นกล้าสมบูรณ์ 100% ใช้เซนเซอร์และคูน้าในการบริหารจัดการน้าอย่าง แม่นยา ทาให้สามารถเพิ่มจานวนรอบการปลูกและเพ่ิมผลผลิตได้อย่างชัดเจน โดยมีการคานวณต้นทุนกาไรก่อนส่งเสริมให้ เกษตรกรใช้ ท้ังนี้ ตัวเลือกเทคโนโลยีมีหลากหลาย ทั้งนาเข้าหรือผลิตข้ึนเอง ผู้ประกอบการไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจใน เทคโนโลยีครบทุกองค์ประกอบ อาจเกิดการลงทุนท่ีผิดพลาด จึงต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพเปรียบเทียบ และต้องมี ผ้เู ช่ียวชาญเปน็ ท่ีปรกึ ษา 3) ทมี่ าของเทคโนโลยี ได้แก่ อาจารย์มหาวิทยาลัยท่ีมีความเช่ียวชาญด้านเกษตรแม่นยาเป็นผู้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เช่น หลอดไฟ LED หรือเซนเซอร์การให้น้า วิจยั และพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสงู รว่ มกบั สตาร์ทอัพ เช่น ระบบติดตามสถานการณ์ผลผลติ แบบเรียลไทม์ ด้วยโดรน ซึ่งตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยีในการประมวลภาพถา่ ย สตาร์ทอัพผู้ใหบ้ รกิ ารโดรนฉีดพน่ ยา ภาพที่ 2.1 โมเดลการบริหารจัดการนวตั กรรม 18
ภาพที่ 2.2 ผลท่คี าดว่าจะไดร้ บั สนบั สนนุ เอกชนหรือเกษตรกรร่นุ ใหมใ่ นการทดลองประสทิ ธภิ าพของเทคโนโลยใี นแปลงสาธิต เพื่อหา รปู แบบเทคโนโลยีทเี่ หมาะสมกบั เกษตรกรไทย และมโี มเดลการถา่ ยทอดเทคโนโลยี ปรับปรุงและเปิดเผยข้อมลู ภาครฐั เพื่อใหส้ ตารท์ อพั หรอื ธรุ กิจเพอื่ สงั คมนาข้อมูลไปพัฒนาเปน็ บรกิ ารหรือ แอพพลิเคชั่นท่ีเป็นประโยชนก์ บั เกษตรกร สนับสนุนให้เกดิ การพัฒนาและใชง้ านจริงของ Internet of Things (IoT) ในภาคเกษตร เพ่อื ศกึ ษาแนว ทางการกาหนดมาตรฐานอปุ กรณ์ หรือยา่ นความถท่ี เี่ หมาะสมกับคลื่นความถ่ขี องอปุ กรณส์ ื่อสารด้าน การเกษตร ปจั จุบัน กสทช. อนุญาตให้คล่นื ความถีย่ ่าน 920-925 MHz ซึง่ เดิมเป็นยา่ นความถส่ี าหรบั อปุ กรณ์ RFID (Radio Frequency Identification) เป็นย่านความถีส่ าหรบั อุปกรณ์ IoT อยา่ งไรก็ตาม อปุ กรณร์ บั สง่ สญั ญาน IoT ภาคการเกษตร เชน่ โดรน จะใช้ยา่ นความถีอ่ ่นื ๆ ทาใหอ้ าจเกดิ โอกาสสญั ญาน รบกวนระหวา่ งการใชง้ านหรือทาใหอ้ ุปกรณไ์ ม่เท่ียงตรงแมน่ ยา รัฐควรพฒั นาสาธารณูปโภคเพ่อื การเกษตร (Agriculture Infrastructure) ทเี่ หมาะสม อาทิ ระบบ ชลประทาน ซึ่งสง่ ผลต่อความอุดมสมบูรณแ์ ละสมา่ เสมอของปริมาณนา้ การพยากรณอ์ ากาศระดบั ท้องถ่ิน ตาราง 2.1 ตัวอย่างแนวทางการพฒั นากลุ่มเกษตร ศักยภาพทจ่ี าเปน็ กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ช่องว่างการพฒั นา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย เกษตรแมน่ ยา ธรุ กจิ แปรรูป แปลงทดสอบ ตวั เลอื กเทคโนโลยี สนับสนนุ ธรุ กจิ ผลผลติ ประสิทธภิ าพเทคโนโลยี มีมากไมส่ ามารถ เกษตรทที่ าแปลง เกษตร การถา่ ยทอดเทคโนโลยี ลงทนุ ได้ถูกตอ้ ง สาธติ เกษตรกรราย ผ่านเกษตรพันธสญั ญา ย่อย เกษตรกรรายย่อย ปรบั ปรงุ และเปดิ เผย การปรับปรุงให้ เทคโนโลยีเหมาะสมกับ เข้าไม่ถึง ขอ้ มลู ภาครฐั เกษตรกรรายยอ่ ย เทคโนโลยี มาตรฐานอุปกรณ์ IoTเกษตร สาธารณปู โภคเกษตร 19
ที่ผ่านมาสินค้าสาคัญท่ีสร้างรายได้หลักให้กับอุตสาหกรรมอาหารของไทย ได้แก่ ไก่และกุ้งแช่แข็ง สับปะรด กระปอ๋ ง ทูน่ากระป๋อง ซ่งึ เป็นอาหารแปรรปู ขนั้ ต้นและเป็นการสง่ ออกโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ไมก่ รี่ ายทม่ี ีศักยภาพในระดบั โลก อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังสินค้าอาหารสาเร็จรูปพร้อมรับประทาน (ready meal) มีสัดส่วนการส่งออกที่เพิ่มข้ึนเป็น อย่างมาก จนมีสัดส่วนเทียบเท่ากับกลุ่มสินค้าอาหารสด/วัตถุดิบ/แปรรูปขนั้ ต้น คือร้อยละ 50 หรือประมาณ 500,000 ล้าน บาท7 เน่อื งจากแนวโน้มความเป็นเมืองที่ผ้คู นใชช้ ีวิตอย่างเรง่ รบี มากยิ่งขึน้ โดยเฉพาะตลาดที่ขยายตัวในประเทศคคู่ ้าท่ีสาคัญ ของไทย ได้แก่ ตะวันออกกลางและจีน ประกอบกับปัจจัยภายในอุตสาหกรรม ได้แก่ ค่าแรงท่ีปรับตัวสูงข้ึน ย่ิงทาให้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารจาเป็นต้องมุ่งสู่การแปรรูปอาหารท่ีมีมูลค่าเพ่ิมสูงขึ้น และทาให้กลุ่มผู้ประกอบการใน สาขาดังกล่าวลงทนุ วจิ ยั และพัฒนาสูงที่สดุ ในภาคการผลติ ในอนาคตผู้บริโภคมีแนวโน้มดูแลสุขภาพและนิยมรับประทานอาหารท่ีคงความสดใหม่ คุณภาพสูง และมีคุณค่า ทางโภชนาการเพิ่มมากขึน้ และอาจมองหา Clean Label ซง่ึ ใช้วัตถดุ บิ และเคร่ืองปรุงจากธรรมชาติ ผ่านการแปรรูปน้อยทสี่ ุด กระบวนการผลิตต้องเปน็ มติ รตอ่ แรงงาน สตั ว์และสง่ิ แวดลอ้ ม ปลอดสารปรงุ แตง่ จากมลู คา่ ตลาดผลติ ภณั ฑอ์ าหารพร้อมทาน ของโลกพบวา่ ผลิตภณั ฑอ์ าหารพรอ้ มทานแบบแชเ่ ย็นและสลัดพร้อมทานมีมลู ค่าและอตั รการเตบิ โตของตลาดเฉลย่ี สูง ขณะที่ อาหารพร้อมทานแบบแช่แข็งและแบบท่ีเก็บได้ที่อุณหภูมิห้อง (Shelf stable) ตลาดเริ่มชะลอตัว หากไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ มาแก้ไขภาพลักษณ์ของความไมส่ ดใหม่ ไม่มีเส้นใยหรือคุณค่าทางอาหาร นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานท่ีได้รับ ความสนใจจากผูบ้ ริโภคเพิ่มขนึ้ เร่ือย ๆ คอื กล่มุ ผลิตภัณฑอ์ าหารพร้อมทานเพ่ือสุขภาพโดยเฉพาะและเปน็ ผลิตภัณฑท์ ่ีถกู จัด ในกลุ่มพรเี มีย่ ม ซึง่ จะคานงึ ถึงปัจจัย 5 ประการ คอื มปี รมิ าณนา้ ตาลนอ้ ย ไขมันต่า มใี ยอาหารและมีโปรตีนทเี่ พยี งพอ ในขณะ ทผี่ ู้บริโภคทเ่ี ป็นคนรุ่นใหม่วัยทางานจะสนใจอาหารพรอ้ มทานทเ่ี ป็นรูปแบบอาหารทานเล่นท่ีมีสารอาหารครบถ้วน โปรตีนสูง พกพาสะดวกและรับประทานขณะเดินทางได้ ตลอดจนสนใจท่จี ะลองอาหารใหมๆ่ หรืออาหารพ้นื เมอื งชาตอิ ืน่ ๆ ในขณะทร่ี า้ น สะดวกซือ้ และโมเดริ ์นเทรดจะเริม่ มองหาสินค้าเพื่อสขุ ภาพมาบริการใหก้ ับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ กฎระเบียบตา่ ง ๆ ยังเป็นส่ิงสาคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกของไทย เช่น องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้มีประกาศห้ามใช้ ไขมนั ทรานสใ์ นการผลิตสนิ คา้ โดยมผี ลบังคับใช้ตั้งแตม่ ถิ ุนายน 2561 เป็นต้นมา อตุ สาหกรรมอาหารและอาหารพร้อมทานมีการแข่งขันสูง มีผู้เล่นจานวนมาก ส่วนแบ่งตลาดสาหรับผู้ผลิตแต่ละ รายจึงไม่สูงมากนัก โดยผู้ครองตลาดรายใหญ่ล้วนแข่งขันด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด โดยแนวทางการ พฒั นานวตั กรรมของผผู้ ลติ ในระดับโลกมงุ่ สคู่ วามร่วมมือนนวตั กรรมแบบเปดิ (open innovation) ดว้ ยการสรา้ งความร่วมมือ วิจัยกับศูนย์วิจัยหรือมหาวิทยาลัยทั่วโลก รวมถึงการจัดโปรแกรมบ่มเพาะเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพ่ือค้นหาสตาร์ทอัพที่มี ศักยภาพ8 นอกจากการพัฒนานวัตกรรมในผลิตภัณฑ์แล้วผู้ประกอบการระดับโลกยังพัฒนาช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคใน รูปแบบใหม่ ๆ รวมถึงริเร่ิมใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ท่ีเน้นการใช้ความร้อนต่าผ่านการแปรรูปน้อย (minimal processing) 6 รายงานคาดการณ์นวัตกรรมอุตสาหกรรม (Industrial Innovation Outlook) กลุม่ อาหารพร้อมทาน, สวทน. 2560 7 สถาบนั อาหาร, 2560 8 รายงานคาดการณ์นวัตกรรมอุตสาหกรรม (Industrial Innovation Outlook) กลุม่ อาหารพร้อมทาน, สวทน. 2560 20
ผู้ผลิตในอตุ สาหกรรมอาหารของไทยมศี ักยภาพที่แตกต่างกันมากระหวา่ งรายใหญแ่ ละรายเล็ก และมีช่องว่างการ พฒั นาทแี่ ตกต่างกันผู้ประกอบการรายใหญ่แม้มีความพร้อมทั้งดา้ นการบริหารจัดการซัพพลายเชน และการลงทนุ เทคโนโลยี สายการผลติ แบบอัตโนมัติ แต่ปัจจุบนั ยงั คงใชเ้ ทคโนโลยกี ารแปรรูปและถนอมอาหารแบบดง้ั เดิมซง่ึ ไมเ่ ออื้ ตอ่ การถนอมอาหาร แบบไมใ่ ส่สารปรุงแต่ง หรอื ใส่สารปรุงแต่งจากธรรมชาติ ทาให้ยงั คงต้องใส่สารปรงุ แตง่ ในผลติ ภัณฑท์ ี่เป็นเมนูสขุ ภาพ มีบรษิ ัท บางรายเท่าน้ันท่ีเร่ิมนาเข้าเทคโนโลยีการผลิตรูปแบบใหม่ เช่น การผลิตแบบปลอดเชื้อด้วยแรงดันสูง (High Pressure Processing) แตก่ ย็ ังขาดความเชีย่ วชาญและความเขา้ ใจในระบบและต้องพ่ึงพาผ้เู ชย่ี วชาญจากตา่ งประเทศในการซอ่ มบารุง ผู้ประกอบการอตุ สาหกรรมอาหารของไทยรอ้ ยละ 99.5 เปน็ ผปู้ ระกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทม่ี ีเงนิ ลงทนุ น้อยกว่า 10 ลา้ นบาท9 ทีไ่ ม่สามารถลงทุนเคร่ืองมอื ทดสอบหรอื อปุ กรณ์ที่จาเป็นตอ่ การพัฒนานวตั กรรมอาหารฟงั กช์ ันออกสู่ ตลาดได้ ตลอดจนยงั ขาดความสามารถในการเขา้ ถงึ ข้อมูลตลาดและผบู้ รโิ ภค รวมท้งั ขาดความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยกี ารถนอม อาหารใหม่ ๆ และเทคโนโลยีการเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้พลังงานท่ีสามารถนามาปรับใช้ในสายการผลิตของตนเองได้ นอกจากนี้ การเขา้ ถงึ หอ้ งปฏิบตั ทิ ดสอบและหนว่ ยงานรบั รองมาตรฐานไดจ้ ากัดเนอ่ื งจากมีจานวนนอ้ ยและคา่ ใชจ้ า่ ยสงู ในภาพรวม อตุ สาหกรรมสนบั สนุนอาหารฟงั ก์ชนั บางอุตสาหกรรมยงั ไมม่ ีในประเทศไทย เช่น อตุ สาหกรรมกลน่ิ รส และสารเตมิ แตง่ ซึ่งผู้ผลิตไทยจาเป็นตอ้ งนาเข้าปีละ 5,000 ลา้ นบาท10 อีกทงั้ ยังขาดการวิจยั เพอื่ ให้ได้ขอ้ มูลทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกบั คุณคา่ ทางโภชนการหรือผลพสิ ูจนต์ ่อสขุ ภาพ ซงึ่ จะเป็นรากฐานองค์ความรทู้ ี่จาเป็นตอ่ การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ฟงั ก์ชันในอนาคต สนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ทานวัตกรรมแบบเปิด เช่น การจัดประกวดนวัตกรรม การสร้างความร่วมมือ กับสถาบันวิจัยท้ังในและต่างประเทศ สนับสนุนการสร้างโปรแกรมบ่มเพาะนวัตกรรม ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดการใช้กลไก ทางธุรกิจเพื่อเข้าถึงช่องทางการตลาดและเทคโนโลยใี นต่างประเทศ เช่น การเข้าซื้อธุรกิจหรือร้านค้าปลกี หรือสนับสนุนการ เข้าสซู่ พั พลายเชนระดับโลก หรือการพัฒนาผลิตภัณฑร์ ่วมกบั บรษิ ัทระดับโลกท่ีมีแนวโนม้ ของการทานวตั กรรมแบบเปิด สนับสนนุ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเลก็ ใหส้ ามารถเขา้ ถึง เครอื่ งมอื อปุ กรณ์ หนว่ ยงานทดสอบมาตรฐาน หรือผู้เช่ียวชาญ ควบคู่ไปกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมอาหาร โดยพัฒนากลไกท่ีเชื่อมโยงผู้เล่นในระบบ นวัตกรรมเข้าด้วยกันได้อย่างครบวงจร ได้แก่ สถาบันเฉพาะทางอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมและอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัยวิจัย ตลอดจนริเริ่มจัดทาระบบประเมินระดับความสามารถของอุตสาหกรรมเพ่ือให้อุตสาหกรรมสามารถ ประเมินความสามารถของตนเองเพื่อนาไปสกู่ ารจูงใจให้ยกระดับการพฒั นาศักยภาพทางเทคโนโลยี ประเทศสิงคโปรไ์ ดอ้ อกแบบแพลตฟอรม์ การยกระดบั อุตสาหกรรมอาหารโดยเช่ือมโยงผูเ้ ล่นไว้อยา่ งครบวงจร ประกอบด้วย การให้ทุนสนับสนุนการวิจยั และการลงทนุ ในเคร่อื งมือทดสอบกับอตุ สาหกรรมโดยตรง การใหท้ ุนสนับสนุนการสร้างเครือข่ายชา่ งเทคนิคเพ่อื ทางานในโรงงานตน้ แบบ (pilot plant) รว่ มกับ อตุ สาหกรรม 9 สานกั งานเศรษฐกิจอตุ สาหกรรม, 2554 10 Food Innopolis, 2561 21
การให้ทุนสนับสนนุ การวจิ ยั และพฒั นาระหว่างบรษิ ทั และมหาวิทยาลยั โดยมีเปา้ หมายเพื่อให้เกิดบริษทั เทคโนโลยเี กิดใหม่ (spin-off) ที่มศี กั ยภาพสูง โดยมบี รษิ ัทขนาดใหญห่ รือบริษัททเี่ ข้ารว่ มโครงการเปน็ ผสู้ นบั สนุนทุนและการบรหิ าร (angle fund) ภาพที่ 2.2 โมเดลการบรหิ ารจดั การนวตั กรรมสาหรับอตุ สาหกรรมอาหารฟงั ก์ชนั ปรับปรงุ กฎระเบยี บการลงทุนภาครฐั ใหส้ ามารถรว่ มลงทนุ ในอปุ กรณ์หรือเครื่องมือทดสอบต่าง ๆ ใหก้ บั อุตสาหกรรมได้ สง่ เสรมิ ใหเ้ กิดอตุ สาหกรรมสนบั สนนุ อาหารฟังกช์ นั เช่น อุตสาหกรรมผลิตสารสกัดและสารออกฤทธจ์ิ าก สมนุ ไพรไทย สง่ เสริมให้เกดิ การสรา้ งศกั ยภาพและองคค์ วามรูท้ จ่ี าเปน็ ต่อการพฒั นาอตุ สาหกรรมอาหารฟงั ก์ชัน เช่น o การสร้างเครอื ขา่ ยเพื่อยกระดบั มาตรฐานหน่วยเกบ็ รกั ษาและวจิ ัยพนั ธุ์ เพื่อสนบั สนนุ การพฒั นา พันธพ์ุ ืชและสัตว์ท่ีมสี ารอาหารสงู o สร้างศักยภาพดา้ นการผลิตสารสกดั ระดบั อุตสาหกรรม อาหารเสรมิ และสนบั สนนุ งานวจิ ัยเพือ่ พสิ จู น์รองรบั ผลทางสุขภาพ o ลงทนุ โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการวิจัยให้มีเพยี งพอและไดม้ าตรฐาน เพ่ือส่งเสรมิ งานวจิ ัยด้านโภชน พนั ธศุ าสตร์ (Nutrigenomics) เช่น อุปกรณว์ ิเคราะหเ์ ซลล์หรือไบโอโมเลกลุ เครือ่ งคานวณ โปรแกรม หรือฐานขอ้ มลู เพือ่ การวเิ คราะหช์ วี สารสนเทศน์ (bioinformatics) ศนู ย์สัตว์ทดลอง สตั ว์เลยี้ งลกู ด้วยนมขนาดใหญ่ เปน็ ตน้ 22
ตาราง 2.2 ตัวอย่างแนวทางการพฒั นากลุ่มอาหาร ศักยภาพทจ่ี าเป็น กลุ่มเป้าหมาย แนวทางการพฒั นา ชอ่ งวา่ งการ ข้อเสนอแนะนโยบาย พฒั นา การผลิตอาหาร SME แพลตฟอร์มแชร์ SME ไม่ ปรับปรุงกฎระเบยี บการลงทุน ฟงั ก์ชนั อาหารแปร เคร่อื งมอื ทดสอบ สามารถลงทนุ ภาครัฐร่วมกับอตุ สาหกรรม รปู ใหแ้ ก่ เครือ่ งมอื เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้เกดิ อตุ สาหกรรม ผู้ประกอบการ พฒั นา สนบั สนนุ อตุ สาหกรรมอาหาร ขนาดกลางและ ผลิตภณั ฑ์ออก ฟังก์ชนั ขนาดเลก็ สู่ตลาด สรา้ งศักยภาพและโครงสรา้ ง พนื้ ฐานท่ีจาเปน็ ตอ่ การพฒั นา เทคโนโลยอี าหารฟงั ก์ชัน 23
นโยบายด้านพลังงานทดแทน โดยเฉพาะเป้าหมายตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558 – 2579 ของกระทรวงพลงั งาน เป็นปัจจยั สาคัญในการกาหนดการเตบิ โตของธุรกิจพลังงานชีวภาพ ซ่ึงพลังงานชีวภาพ ถอื เป็นพลังงานทดแทนที่สาคัญ คดิ เป็นสดั ส่วนรอ้ ยละ 87 ของการใช้พลังงานทดแทนของประเทศในปี 2560 หรอื เปน็ ปรมิ าณ 10,172.38 พันตันเทียบเท่าน้ามันดิบ (ktoe) ประเมินเป็นมูลค่าการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 152,585.7 ล้านบาท (ราคา น้ามันดิบ 1 ktoe = 15 ล้านบาท) ซ่ึงตามเป้าหมายในปี 2579 ตลาดของพลังงานชีวภาพจะขยายตัวกว่า 3 เท่าจากปัจจุบัน โดยกาหนดเปา้ หมายปรมิ าณการใช้พลังงานชวี ภาพที่ 34,691 ktoe การใชพ้ ลงั งานชีวภาพเป็นการใช้ในรปู ของพลงั งานความร้อนมากท่ีสดุ ทีร่ ้อยละ 72 ซง่ึ ส่วนใหญ่เปน็ การใชช้ วี มวล และเปน็ การตอ่ ยอดเพื่อลดตน้ ทุนการผลติ ภายในอตุ สาหกรรมเกษตร ตามดว้ ยการใช้เชอื้ เพลงิ ชวี ภาพในภาคขนส่ง (เอทานอล และไบโอดีเซล) ทร่ี ้อยละ 19 และใช้ในการผลิตไฟฟ้า ร้อยละ 9 โดยการใช้พลงั งานชีวภาพใน 2 ด้านหลัง แม้จะสามารถกระ จายไปสู่ผู้ใช้ขั้นสุดท้ายที่กว้างขวาง แต่ต้องผู้ผลิตต้องขายเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าหรือผู้ค้าน้ามันเพ่ือนาไปผสมกับน้ามัน เบนซินหรือนา้ มันดีเซล ซง่ึ ผ้รู ับซอ้ื หลักซ่ึงเปน็ ตัวกลางดังกลา่ วมจี านวนน้อยรายและมกี ารกากับด้านราคาและปริมาณการรับ ซ้ือโดยนโยบายด้านพลังงานทดแทน อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพยังคงมีโอกาสจากควา มต้องการของตลาด ต่างประเทศท่เี ติบโตขึน้ ในด้านการดาเนินงานเมื่อเทียบกับเป้าหมาย พบว่าการใช้เช้ือเพลิงชีวภาพในภาคขนส่งถือว่ามีความคืบหน้าต่า ท่ีสุดเม่ือเทียบกับเป้าหมาย โดยเฉพาะการใช้ก๊าซไบโอมีเทนอัดและเชื้อเพลิงใหม่ทดแทน มีการใช้งานจริงในภาคการขนส่ง จานวนน้อยมาก และหากพจิ ารณาตามวตั ถุดิบการผลิตพลังงาน กล่มุ พลังงานจากขยะยังคงมกี ารดาเนินงานท่ีหา่ งไกลจากค่า เปา้ หมายที่สดุ วัตถุดิบเป็นปัจจัยกาหนดท่ีสาคัญของการพัฒนาพลงั งานชีวภาพ อุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพจึงมกั กระจุกตัวอยู่ ตามที่ตั้งของแหล่งวัตถุดิบหรืออตุ สาหกรรมเกษตรที่มีเศษวสั ดุเหลอื ทิ้งและของเสียจากกระบวนการผลิตที่สามารถนามาเป็น วัตถดุ ิบในการผลิตพลังงาน ผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพมักเป็นการตอ่ ยอดจากธุรกจิ อุตสาหกรรม เกษตรที่มีอยู่เดมิ เช่น โรงงานน้าตาล โรงงานกระดาษ โรงงานผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง เป็นต้น ซ่ึงเป็นการลดความเส่ียงและ ลดต้นทุนในการจัดหาวัตถุดิบพลังงาน นอกจากนี้ ความไม่เพียงพอของวัตถุดิบอันเนื่องมาจากการแย่งชิงวัตถุดิบกับ อตุ สาหกรรมอน่ื ยังเป็นปจั จัยจากัดการเติบโตของอตุ สาหกรรมชวี ภาพ 24
ภาพท่ี 3.1 หว่ งโซม่ ลู คา่ อตุ สาหกรรมพลังงานทดแทนชวี ภาพ ปัญหาและอุปสรรคในปัจจุบันของการผลิตพลังงานจากวัตถุดิบชีวภาพ ได้แก่ ปริมาณวัตถุดิบและราคาท่ีไม่ แน่นอน เน่ืองจากปริมาณชีวมวลแต่ละชนิดข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีปริมาณไม่แน่นอนขึ้นกับ ฤดูกาล ความตอ้ งการใช้วัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมอ่ืนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า เกษตรกรเปลี่ยนชนิดของผลผลิตไปตามราคาผลผลิต ในตลาดและการส่งเสริมจากภาครัฐ พ้ืนท่ีทาการเกษตรท่ีลดลง ขาดการสารวจและจัดการปริมาณผลิตเพื่อนาไปใช้ผลิต พลังงานทดแทน และไมม่ รี ะบบควบคุมคุณภาพของวัตถดุ บิ ชวี มวล เปน็ ตน้ ซง่ึ ปัญหาดงั กลา่ วจะยง่ิ มีความรนุ แรงขนึ้ ตามความ ตอ้ งการใช้พลังงานทดแทนที่เพม่ิ มากข้นึ นอกจากน้ี ยังมีในการผลิตพลังงานชีวภาพรูปแบบต่าง ๆ ยังมีอุปสรรคในการดาเนินการในระดับอุตสาหกรรม กล่าวคือ ข้อจากัดของประสทิ ธภิ าพการหมักของเสยี ท่มี ีลักษณะเฉพาะเพ่อื ผลิตก๊าซชีวภาพ เช่น น้าเสียจากโรงงานผลิตเอทา นอล โรงงานอาหารทะเล โรงงานอตุ สาหกรรมทขี่ องเสียมีส่วนประกอบของน้ามัน เป็นต้น ในด้านการผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัด จากก๊าซชีวภาพหรือเชือ้ เพลิงชีวภาพทดแทนยังคงมีตน้ ทนุ การผลิตสูง ปริมาณการผลิตที่ไม่มากทาให้ไม่เกิดการประหยัดจาก ขนาด และปญั หาทางเทคนิคซึง่ เป็นอุปสรรคต่อการผลติ ในระดับอตุ สาหกรรม 25
ในการสนับสนุนพลังงานชีวภาพ จาเป็นต้องสนับสนุนตั้งแต่ต้นทาง คือ การจัดการปริมาณวัตถุดิบและการลด ตน้ ทุนของวัตถุดิบชีวภาพ ผ่านการเกษตรแม่นยาและการบริหารจัดการโลจิสติกส์ นอกจากน้ี จาเป็นต้องขจดั ปัญหาการแย่ง ชิงวัตถุดิบกับอุตสาหกรรมอ่ืนโดยใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเหลือท้ิงให้มากท่ีสุด เมื่อพิจารณาจากศักยภาพในการใช้วัตถุดิบ เหลือทงิ้ ความพรอ้ มทางเทคโนโลยขี องประเทศ และตลาดแล้ว เชื้อเพลงิ ชีวภาพเปน็ ผลติ ภัณฑพ์ ลังงานชวี ภาพทม่ี ีศกั ยภาพใน การพฒั นาข้ึนมาจากวัตถุดิบเหลือทิง้ มากทีส่ ุด การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพกลุ่มเอทานอลและไบโอดีเซล จาเป็นต้องเพิ่ม yield การผลิตและมุ่งเน้นการพัฒนา เช้ือเพลิงชีวภาพรุ่นท่ีสอง โดยการพัฒนาเทคโนโลยีการหมักและเอนไซม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเอทานอล เพ่ือให้ สามารถผลิตเช้ือเพลิงชีวภาพได้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศ ลดการนาเข้าน้ามันดิบ ลดค่าใช้จ่ายด้าน เช้อื เพลิงของประชาชน และลดการแย่งชิงวตั ถุดิบท่ีสามารถนาไปใช้อุตสาหกรรมอ่ืนทีม่ มี ูลค่าเพ่ิมสูง ภาพท่ี 3.2 ผลกระทบท่คี าดหวงั ส่งเสริมการลงทนุ สร้างโรงงานต้นแบบเพอื่ ขยายขนาดสาหรับผลติ ภัณฑเ์ ชอื้ เพลงิ ชีวภาพร่นุ ทส่ี อง ส่งเสรมิ การวจิ ยั Flex-fuel vehicle (FFV) ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาในเชอ้ื เพลงิ ชวี ภาพสาหรบั เครอ่ื งบนิ (biojet) มงุ่ สกู่ ารผลิตผลิตภณั ฑ์เคมมี ูลคา่ เพิ่มสงู โดยเฉพาะเคมใี นอุตสาหกรรมอาหาร 26
ตาราง 3.1 ตวั อยา่ งแนวทางการพฒั นากลุม่ พลงั งาน ศักยภาพทจี่ าเป็น กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการ ชอ่ งวา่ งการพฒั นา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย พฒั นา การพฒั นา • ผ้ปู ระกอบ • พฒั นา • ตน้ ทนุ วัตถดุ บิ สงู • ส่งเสริมการลงทนุ สรา้ งโรงงาน เชอื้ เพลิงชวี ภาพ การผลติ เทคโนโลยกี าร • การแย่งชงิ วัตถดุ บิ ต้นแบบเพ่อื ขยายขนาดสาหรับผลติ ภัณฑ์ รนุ่ ท่ีสอง เช้ือเพลงิ หมักและเอนไซม์ กับอุตสาหกรรมอื่น เช้อื เพลงิ ชีวภาพรนุ่ ทส่ี อง ชีวภาพ เพ่อื เพิ่ม • ตลาดในประเทศ • มุ่งสกู่ ารผลติ ผลิตภณั ฑเ์ คมีมลู ค่าเพ่ิม ประสิทธภิ าพการ จากดั สูง โดยเฉพาะเคมใี นอุตสาหกรรมอาหาร ผลติ เอทานอลจาก ของเหลือทงิ้ 27
(1) เคมีชีวภาพ ตลาดของผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพมีอัตราการเติบโตสูง จากการศึกษาของโครงการจัดทาแผนแม่บทการพัฒนา ศูนย์กลางอตุ สาหกรรมชีวภาพ (Biohub) จากอ้อยและน้าตาลทราย สถาบันพลาสติก พบว่าผลิตภัณฑ์ท่ีมีตลาดนา่ สนใจมาก ท่ีสุด คือ กลุ่มเคมีชีวภาพในอุตสาหกรรมอาหารและยา เช่น การผลิตสารให้ความหวาน เช่น ไซลิทอล ซึ่งมีมูลค่าตลาดโลก 495,900 ลา้ นบาท ไลซนี มีมลู ค่าตลาดโลก 200,000 ลา้ นบาท และกรดแลกติก มมี ลู ค่า 114,600 ล้านบาท อตุ สาหกรรมเคมีชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลไทยมีนโยบายให้การสนับสนุนอย่างเต็มท่ี เช่น คณะกรรมการ สง่ เสรมิ การลงทนุ (BOI) ได้ให้สทิ ธิประโยชน์สนบั สนุนการลงทนุ สูงสุด และยงั ได้มกี ารปรับข้อกฎหมายเพือ่ ให้เอ้อื กบั การจัดต้ัง Biorefinery hub ซ่งึ จะช่วยประหยัดต้นทนุ การผลิตจากการรวมตัวกนั เป็นคลสั เตอร์ทอี่ ยใู่ กล้กบั แหลง่ ผลิตวตั ถุดบิ (2) พลาสติกชวี ภาพ พลาสตกิ ชีวภาพมีตลาดเล็กมากท้งั ในระดับโลกและระดับประเทศเมอ่ื เทียบกับพลาสตกิ ทัว่ ไป ในระดับโลกมกี ารใช้ งานพลาสตกิ ชีวภาพเพียงร้อยละ 1 ของพลาสติกท้ังหมด หรือคดิ เป็นมูลค่าตลาดประมาณ 360,000 ล้านบาท โดยมีการผลิต ทัง้ โลกเพยี ง 2 ล้านตัน (ท้ังแบบย่อยสลายไดแ้ ละย่อยสลายไมไ่ ด)้ ในจานวนน้ี ร้อยละ 60 ถูกนามาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์ แบบ ไม่คงตวั ร้อยละ 40 และคงตัวร้อยละ 20 รองลงมาเป็นพลาสติกการเกษตรร้อยละ 12.5 นอกนั้นเปน็ พลาสติกสาหรับช้ินส่วน ต่างๆ ในอปุ กรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ เสน้ ใย และพลาสตกิ ในรถยนต์ สาหรับตลาดในประเทศยังคงมีขนาดเล็กและปริมาณความต้องการท่ีไม่แน่นอน พลาสติกชีวภาพเป็นเพียง ผลติ ภัณฑ์ทางเลอื กและการทา Corporate Social Responsibility หรือ CSR ซึง่ มคี าสง่ั ซื้อทีไ่ ม่แนน่ อน หรอื เป็นการผลติ เพ่ือ ตลาดส่งออกเป็นหลักแต่ยังมีปริมาณน้อย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากมิติของปัญหาขยะพลาสติกของประเทศไทยซึ่งมี ทั้งหมด 2 ล้านตัน ร้อยละ 25 ได้รับการคัดแยกและนาไปรีไซเคิลซึ่งส่วนใหญ่เป็นขวดพลาสติกซึ่งมีมูลค่า ในขณะท่ีขยะ พลาสติกที่เหลือ 1.5 ล้านตัน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นถุงพลาสติกที่ไม่มีมูลค่ามากพอในการนาไปรีไซเคิลจะถูกท้ิงสู่หลุมฝังกลบหรือ ตกค้างในธรรมชาติ หากนาไปเผาจะเกิดเป็นสารพิษก่อให้เกดิ อันตรายต่อสุขภาพ ดังน้ัน การนาพลาสติกชีวภาพมาผลิตเป็น ถุงพลาสตกิ หรอื ถุงขยะสด จะช่วยลดปัญหาดังกลา่ วได้ จากนโยบายส่งเสรมิ ใหไ้ ทยเป็นศนู ยก์ ลางการผลิตพลาสติกชีวภาพ ทาใหไ้ ทยมีผู้ผลติ พลาสตกิ ชวี ภาพที่ครบตลอด ท้ังห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ ชนิด PBS และ PLA 2 ราย กาลังการผลิตรวม 950,000 ตันต่อปี มี ผปู้ ระกอบการข้นึ รูปพลาสติก 3,000 ราย ซ่ึงในจานวนน้ีมผี ู้ประกอบการทสี่ ามารถข้ึนรูปพลาสติกชีวภาพได้ 15 ราย มีความ ตอ้ งการใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพเพื่อนามาขึน้ รปู ประมาณ 80,000 ตันต่อปี (2016) ตลอดจนมีการพัฒนาเทคโนโลยีคอมปาวด์ พลาสตกิ ชีวภาพในภาคการศึกษาวจิ ัยทเ่ี ขม้ แขง็ (1) เคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูง และต้องอาศัยการนาเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดย เอกชนไทยมีแผนร่วมลงทุนทางธุรกิจ (joint venture) เพ่ือเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ในปัจจุบันผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมในประเทศยังมีจานวนน้อยราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนจากต่างประเทศ มีผู้ผลิตเคมีชีวภาพจานวน 30 ราย เช่น กรดอะซิกตริก ผงชูรส โพลีออล กลีเซอรีน กรดแลกติก ซึ่งถูกนาไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร สารให้ความหวาน ยา เครื่องสาอาง รวมถึงเป็นสารต้ังต้นสาหรับพลาสติกชีวภาพ รวมทั้งหมด ใช้วัตถุดิบท้ังจากมันสาปะหลัง กากน้าตาล โมลาส 28
กลูโคส ราข้าว โดยประมาณปีละ 3 ล้านตัน และปาล์มอีกประมาณ 4 ล้านตันผลปาล์ม11 นับว่ายังน้อยมากสาหรับประเทศ ไทยทม่ี ปี รมิ าณชวี มวลเหลอื ใช้ 59 ลา้ นตนั 12 นอกจากนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมศี ักยภาพด้านวตั ถดุ ิบ แต่ยังต้องปรับปรุงระบบการบริหารจัดการเพื่อให้วัตถุดิบ เหมาะสมกับการผลิตในอุตสาหกรรม ทั้งความสม่าเสมอของคุณภาพและปริมาณผลผลิต ไม่ให้มีการปนเปื้อน ตลอดจนมี ระบบกาหนดราคาและการซื้อขายล่วงหน้า ในด้านเทคโนโลยีไทยยังขาดศักยภาพด้านชีวกระบวนการ (bioprocess) การ พัฒนาเอนไซม์ยงั อยู่ในระดับห้องปฏบิ ตั กิ ารและประสิทธิภาพไมเ่ ทียบเทา่ เอนไซม์ท่มี ขี ายในตลาด และวศิ วกรรมไบโอรีไฟเนอ รี่ (biorefinery) ผู้ประกอบการนาเข้าถังหมัก (fermenter) และอุปกรณ์ downstream process จากต่างประเทศ เช่น อนิ เดยี จีน ไต้หวัน หรือฝร่ังเศส (2) พลาสตกิ ชีวภาพ ปัญหาท่ีสาคัญของการพัฒนาพลาสติกชีวภาพ คือ ตลาดในประเทศของพลาสติกชีวภาพมีขนาดเล็ก เน่ืองจาก ต้นทุนของผลิตภัณฑ์ยังคงสูงกว่าพลาสติกจากปิโตรเลียมประมาณ 4-5 เท่า ต้นทุนเม็ดพลาสติกชีวภาพมีราคาสูงกว่าเม็ด พลาสตกิ ปิโตรเลียม อีกทั้งในกระบวนการข้ึนรูปโรงงานยงั ขาดช่างเทคนิคท่ีเชี่ยวชาญในการทดสอบ ทดลอง ตั้งค่าเครอื่ งจักร ทาให้เกิดของเสียจากกระบวนการผลิต นอกจากน้ี ระบบคัดแยกขยะของประเทศไทยยังไม่สามารถแยกพลาสติกชวี ภาพออก จากพลาสติกปิโตรเลียมได้ หากพลาสติกดังกล่าวเข้าสู่ระบบรีไซเคิลพลาสติกจากปิโตรเลียม อาจทาให้เกิดการปนเปื้อนใน กระบวนการกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายได้ (1) เคมชี วี ภาพ เพื่อเขา้ ถงึ เทคโนโลยีการผลิตขนั้ สูงผู้ประกอบการไทยจาเปน็ ต้องเรง่ สรา้ งศักยภาพบคุ ลากร ชา่ งเทคนิคและวิศวกร เพ่ือดดู ซับเทคโนโลยีจากบรษิ ัทรว่ มลงทนุ โดยให้โปรแกรมการพัฒนาบุคลากรระหว่างอตุ สาหกรรมและมหาวิทยาลยั เป็นกลไก หรือเป็นตัวกลางที่จะนาไปสู่การสร้างศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาหรือวิศวกรรมช้ันสูงต่อไป โดยต้องเป็นกลไกท่ีท้ัง ภาคอุตสาหกรรมและมหาวทิ ยาลัยไดป้ ระโยชน์รว่ มกันอย่างยง่ั ยืน (2) พลาสตกิ ชีวภาพ สาหรับพลาสติกชีวภาพ แม้จะมีตลาดขนาดเล็ก แต่เป็นทางเลือกสาหรับผู้บริโภคท่ีคานึงถึงสิ่งแวดลอ้ ม และเป็น โอกาสในการเปิดตลาดใหม่ของผู้ประกอบการขึ้นรูปพลาสติก แนวทางของพลาสติกชีวภาพจึงไม่ใช่การเข้าไปทดแทนการใช้ งานพลาสติกที่มีอยเู่ ดิมท้ังหมด แต่เป็นการแสวงหาการใช้งาน (application) ใหม่ๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับคุณสมบัติ ของตัวพลาสติกชวี ภาพเอง นัน่ ก็คือการยอ่ ยสลายไดโ้ ดยไมเ่ ป็นอันตรายตอ่ สขุ ภาพหรือสง่ิ แวดล้อม หรอื ความสามารถชว่ ยยืด อายุอาหารบางประเภทได้ ซึ่งจะสามารถสรา้ งมลู ค่าเพ่มิ หรือลดปัญหาขยะพลาสติกตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ เชน่ การผลติ เป็น ช้ินส่วนทางการแพทย์ท่ีย่อยสลายได้ในร่างกายมนุษย์ พลาสติกสาหรับเคร่ืองพิมพ์ 3 มิติ บรรจุภัณฑ์อาหารสด เช่น ผักและ ผลไม้ แก้วกระดาษเคลือบพลาสติก ฟิล์มคลุมดินเพื่อการเกษตร หรือถุงขยะสด เปน็ ต้น อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทนุ การผลิตท่ี แพงกว่าพลาสติกทั่วไป ผู้ผลติ จึงจาเป็นต้องมองหารูปแบบธุรกจิ ท่ีผู้บริโภคยอมจ่ายส่วนต่างเพ่ือแลกกับคุณค่า (value) ที่ตน ต้องการ ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเหล่าน้ีจาเป็นต้องอาศัยการพัฒนาสูตรคอมปาวด์พลาสติกชีวภาพควบ คู่ไปกับการ 11 สถาบันพลาสติก 12 กระทรวงพลังงาน, 2552 29
ทดสอบการขึ้นรูป ในขณะเดยี วกันภาครฐั ต้องเร่งสนับสนุนใหเ้ กิดตลาดของผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพขึ้นในประเทศ เพ่ือลด ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มทเี่ กดิ จากขยะพลาสติก (1) เคมีชวี ภาพ เนื่องจากปัจจบุ ันภาคการศึกษาและอตุ สาหกรรมยงั ขาดความเช่อื มโยงทาให้มหาวิทยาลยั ไมส่ ามารถผลติ บคุ ลากร ได้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม ดังนั้น ในอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพท่ีต้องการวิศวกรด้านไบโอรีไฟเนอรี (biorefinery) จึงควรมีตัวกลางบริหารจดั การให้เกิดความเช่ือมโยงดังกลา่ วขึ้น เชน่ โครงการมหาวิทยาลัยในโรงงาน หรือการ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม เพ่ือขยายผลไปสู่การพัฒนากาลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์ (STEM) คณุ ภาพเพ่ืออตุ สาหกรรม หากมีการบริหารจดั การที่ดีจะสามารถถอดประสบการณ์สู่การพัฒนาหลักสูตรในมหาวิทยาลัยหรือ พัฒนาไปสู่โจทย์วิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยกับอุตสาหกรรม หรือโจทย์วิจัยสาหรับ Biopolis ซึ่งมีแผนลงทุนโครงสร้าง พนื้ ฐาน เช่น โรงงานตน้ แบบขยายขนาดด้านไบโอรไี ฟเนอรี พร้อมรองรบั การวิจยั เพ่อื ขยายผลไปสูก่ ารผลติ เชิงพาณชิ ย์ ภาพที่ 3.2 โมเดลการบริหารจัดการนวัตกรรมในอตุ สาหกรรมเคมชี ีวภาพ ทีม่ า : ปรบั จาก “การแกไ้ ขความสัมพันธร์ ะหว่างอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์” Figure 2.4 Alternative solutions of four virtuous circles, Lee et al (2017c) (2) พลาสตกิ ชีวภาพ จากกรณีศึกษาการปัจจัยสาคัญท่ีทาให้ผู้ประกอบการนาพลาสติกชีวภาพมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สาหรับผลิตภัณฑ์ อาหารแม้จะมีตน้ ทนุ สงู กวา่ บรรจุภณั ฑ์พลาสตกิ ทว่ั ไป มีดงั นี้ เจ้าของแบรนด์ (Brand owner) วางกลยุทธ์ทางการตลาดท่ีแตกต่างจากคู่แข่ง คือ ต้องการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ ตลอดวัฏจักรชีวติ ของผลิตภณั ฑ์ ซ่ึงจากการประเมินคารบ์ อนฟุตพรินต์ทาใหท้ ราบว่า สว่ นที่ปลอ่ ยคารบ์ อนมากท่ีสุดคือ บรรจภุ ัณฑ์พลาสติก อย่างไรกต็ าม ผู้บริโภคยังไม่ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพกับ บรรจภุ ณั ฑท์ ่วั ไป ผลิตภณั ฑ์สุดท้ายเป็นผลติ ภณั ฑ์อาหารออรแ์ กนิก ซ่ึงมีกาไรมากกว่าผลิตภัณฑอ์ าหารทัว่ ไป ทาใหม้ ีสว่ นต่างของกาไรมา ทาวิจยั และพัฒนา 30
การเปลยี่ นบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกทั่วไปมาเป็นพลาสตกิ ชวี ภาพ แมจ้ ะมีต้นทุนเม็ดทีแ่ พงกว่า แตใ่ นกระบวนการขึ้นรูป ต้องลดอุณหภูมิลง ทาให้บริษัทมีต้นทุนการขึ้นรูปต่าลงจนมีต้นทุนแข่งขันได้หรือยู่ท่ี 1.5 เท่า นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ พลาสตกิ ชีวภาพยังชว่ ยยืดอายุของผลิตภณั ฑ์ (shelf-life) ใหน้ านขน้ึ อกี ด้วย ภาพท่ี 3.3 โมเดลการบรหิ ารจดั การนวตั กรรมพลาสตกิ ชวี ภาพ สนับสนนุ การพัฒนากาลงั คนและโครงสรา้ งพ้ืนฐานด้านไบโอรไี ฟเนอรี เขม้ งวดกับการจัดซื้อจดั จ้างสีเขียวของภาครฐั มมี าตรการจงู ใจให้ใช้ผลติ ภัณฑท์ ี่เปน็ มติ รกับสงิ่ แวดล้อม สร้างความตระหนัก เผยแพรค่ วามรู้ เกีย่ วกับผลิตภัณฑท์ ี่เป็นมติ รกับส่งิ แวดลอ้ ม สง่ เสรมิ กระบวนการประเมณิ วัฏจักรชีวติ ให้แพรห่ ลาย พฒั นาระบบคัดแยกและกาจดั ขยะพลาสติกท่มี ีประสทิ ธภิ าพ สามารถแยกประเภทพลาสตกิ ชีวภาพออกจาก พลาสตทิ วั่ ไปได้ ตาราง 3.2 ตวั อย่างแนวทางการพัฒนากลมุ่ เคมแี ละพลาสติกชวี ภาพ ศกั ยภาพท่ีจาเปน็ กลุม่ เปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ช่องวา่ งการพัฒนา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย • กระบวนการไบโอ • ธุรกิจร่วมลงทนุ • กลไกพฒั นา • อตุ สาหกรรมเคมี • สนับสนนุ การ รีไฟเนอรี (Joint Venture:JV) กาลังคนแบบทวิภาคี ชีวภาพพ่ึงพาการ พฒั นากาลงั คนและ อตุ สาหกรรมเคมี ทัง้ ในระดับช่าง นาเขา้ เทคโนโลยกี าร โรงงานตน้ แบบ • การพฒั นา ชีวภาพขนาดใหญ่ เทคนิคและวิศวกร ผลิตขั้นสูงจาก ด้านไบโอรไี ฟเนอรี ผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ • อุตสาหกรรมเคมี ด้านไบโอรีไฟเนอรี ต่างประเทศ • สนบั สนนุ ให้ ชวี ภาพและการขน้ึ ชีวภาพขนาดกลาง เกดิ คลสั เตอร์ รปู และขนาดย่อม • โปรแกรมพฒั นา • ตลาดพลาสติก อตุ สาหกรรมเคมี ผลิตภณั ฑ์พลาสตกิ ชีวภาพในประเทศมี ชีวภาพในพน้ื ที่ • เจา้ ของแบรนด์ ชวี ภาพชนดิ ใหม่แบบ ขนาดเลก็ ศักยภาพ ผลติ ภณั ฑ์ทใี่ ชบ้ รรจุ ความร่วมมอื ระหว่าง • สง่ เสริมงานวจิ ยั ภณั ฑ์พลาสติก brand owner และ ดา้ นคอมปาวด์ • SME คอนเวอร์ ผขู้ ้ึนรูปพลาสตกิ • สร้างความ เตอรพ์ ลาสตกิ ตระหนกั ในผลติ ภณั ฑ์ ที่เป็นมิตรกับ สิง่ แวดลอ้ ม 31
สมุนไพรสามารถนาไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยาสมุนไพร เคร่ืองสาอาง สมุนไพร อาหารและเคร่ืองด่ืมสมนุ ไพร และอาหารเสริมสมุนไพร โดยตลาดสมุนไพรโลกมมี ูลค่ารวม 270,000 ล้านบาท กลุ่ม สนิ ค้าท่มี ศี ักยภาพมากทสี่ ดุ คือ อาหารเสริม (Nutraceuticals) และเวชสาอาง (Cosmeceuticals)14 คาดวา่ ในปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑส์ มนุ ไพรของไทย มมี ูลค่า 39,200 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตวั เป็น 57,000 ล้านบาทในปี 2564 ซ่ึงคาดการณ์จากโอกาสท่ีสมุนไพรไทยจะขยายเข้าไปในตลาดต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ของไทยซึ่งมีมูลค่าตลาดใหญ่ท่ีสุด คือ 80,000 ล้านบาท กลุ่มสปา 10,000 ล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณ 10,000 ล้าน บาท นอกจากนี้ ไทยยงั ส่งออกเครือ่ งสาอางปลี ะ 140,000 ล้านบาท แต่ปัจจบุ ันเครอ่ื งสาอางใช้สว่ นผสมปริมาณสมุนไพรน้อย และนาเข้าวัตถุดิบสารสกัดสมุนไพรจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 90 คิดเป็นมูลค่านาเข้า 20,000 ล้านบาท อีกท้ังยังมีโอกาสตลาดในกล่มุ ของอาหารสตั ว์ท่ีนิยมใชส้ มุนไพรทดแทนยาปฏชิ วี นะอีกด้วย สมุนไพรวัตถุดิบท่ีใช้ในประเทศส่วนใหญ่นาเข้า คิดเป็นมูลค่า 3,600 ล้านบาท ประเทศนาเข้าสมุนไพรหลักของ ไทย ไดแ้ ก่ จีน อินเดีย ลาวและเวียดนาม และประเทศไทยส่งออกวตั ถุดิบสมุนไพร 245 ลา้ นบาท พชื ส่งออกหลักของไทย คือ พริกไทยและขม้นิ ชัน ทัง้ น้ี แผนแม่บทแห่งชาติว่าดว้ ยการพัฒนาสมนุ ไพรไทย ปี 2560-2564 ได้กาหนดสมนุ ไพรเปา้ หมายของ การพัฒนา 4 ชนิด ได้แก่ กระชายดา ไพล บัวบก ขม้ินชัน ซ่ึงเป็นสมุนไพร 4 ใน 6 ชนิด ที่ตลาดโลกมีความต้องการสูงใน อนาคต การบรหิ ารจัดการทไ่ี ม่เป็นระบบสง่ ผลให้เกดิ การขาดแคลนวตั ถดุ ิบ ปจั จุบนั มพี ื้นท่ปี ลูกสมนุ ไพรเพ่ือการคา้ 48,727 ไร่ ผลผลติ 190,166 ตนั แตย่ งั ไมเ่ พยี งพอกบั ความตอ้ งการของอุตสาหกรรม วัตถดุ บิ ไมไ่ ดค้ ณุ ภาพมาตรฐาน ปจั จบุ ันวัตถุดบิ ส่วนใหญ่เกบ็ จากป่าหรือปลูกในครวั เรือนทาใหม้ ี องคป์ ระกอบทางเคมี ไมส่ มา่ เสมอ เกดิ การปนเปอ้ื นจลุ นิ ทรยี ์ สารพิษจากเคมกี ารเกษตร เชื้อรา หรอื โลหะหนกั ปัจจบุ ันมีเกษตรกรได้รับ มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) 1,185 ราย จากผเู้ กษตรกรผปู้ ลกู ท้ังหมด 12,476 ครัวเรือน ผปู้ ระกอบการเกี่ยวกบั สมนุ ไพรมนี อ้ ยและเปน็ ผูป้ ระกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กถงึ ร้อยละ 98 ทาให้มี ความสามารถในการแข่งขนั น้อย สถานประกอบการทีผ่ ่านการรบั รองมาตรฐานการผลติ มเี พียงรอ้ ยละ 4.47 มีผผู้ ลติ ยา สมุนไพรแผนโบราณ 950 แหง่ แต่ไดม้ าตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices) เพียง 25 แห่ง เนอื่ งจาก เปน็ การผลตติ แบบครัวเรือน มผี ูผ้ ลิตอาหารเสรมิ สมุนไพร 7 แหง่ และผผู้ ลติ เครื่องสาอางสมนุ ไพร 16 แหง่ โดยกล่มุ อุตสาหกรรมในระดบั ชมุ ชนมศี กั ยภาพในการยกระดบั การผลิตไดม้ ากท่ีสุด ประเทศไทยมพี ืชสมุนไพร 800-1,800 ชนิด เปน็ พชื สมุนไพรท่ีหายากและถกู คกุ คาม 1,131 ชนดิ หากไมม่ กี ารปลกู หรอื ขยายพันธท์ุ ดแทน จะทาใหส้ มุนไพรในธรรมชาติถูกคุกคามและอาจสูญพันธไ์ุ ดใ้ นอนาคต 13 แผนแม่บทแห่งชาตวิ า่ ดว้ ยการพฒั นาสมนุ ไพรไทย ปี 2560-2564 14 แผนแมบ่ ทแหง่ ชาตวิ า่ ดว้ ยการพฒั นาสมุนไพรไทย ปี 2560-2564 32
การลงทนุ วจิ ยั และพัฒนาคอ่ นขา้ งนอ้ ยและกระจดั กระจายไปทส่ี มนุ ไพรหลายชนดิ ไมไ่ ดม้ งุ่ เป้าไปทส่ี มนุ ไพรชนิดใด ชนิดหนง่ึ งานวิจัยพน้ื ฐานมมี ากแตย่ งั ไม่ใชง่ านวิจัยที่ก้าวหนา้ ระดับโลก และไมค่ รบวงจรจนต่อยอดไปถึงการพฒั นา เป็นผลติ ภณั ฑไ์ ด้ ผลวิจัยทางคลนิ ิกของตาหรบั ยาสมุนไพรมีน้อย การทดลองทางคลินกิ บางส่วนยังไม่มมี าตรฐานและยังไมม่ จี านวน เพียงพอกบั ความต้องการ สร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับสมุนไพรโดยพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือบริการที่ไทยมีศักยภาพ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสาอาง และสปา โดยใช้ วทน. ควบคู่กับภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ให้ได้ ผลติ ภัณฑใ์ หมท่ ี่หลากหลายและตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริโภค ใช้เทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเคร่ืองสาอางให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรฐาน GAP หรอื เกษตรอนิ ทรีย์ ตลอดจนควบคมุ การผลิตเพอ่ื ใหไ้ ด้สมนุ ไพรทม่ี สี ารออกฤทธ์ิสงู การพัฒนางานวจิ ยั เชน่ พฒั นาระบบปลกู พืชสมุนไพรเพอื่ ให้ได้สารออกฤทธิ์สูงสาหรบั อตุ สาหกรรมยา เวช สาอาง และอาหาร เชือ่ มโยงการทางานระหว่างนกั วิจยั เภสัชกร และแพทย์คลนิ กิ เพอ่ื ใหเ้ กดิ งานวจิ ัยระดับคลนิ กิ และขอ้ มูล วทิ ยาศาสตร์เพื่อรองรบั การข้ึนทะเบยี น เรง่ สง่ เสรมิ การวิจยั เพ่ือใหม้ ขี ้อมลู วิทยาศาสตรร์ องรบั เกยี่ วกับ สรรพคณุ การเปน็ ยาหรอื เวชสาอาง เชอื่ มโยงอุตสาหกรรมสารสกดั สมนุ ไพรกบั เกษตรกรผูป้ ลกู สมนุ ไพรในประเทศ เชน่ ระบบเกษตรพนั ธสัญญา บรหิ ารจดั การงบประมาณวจิ ัยดา้ นสมุนไพรไทยใหส้ อดคล้องกบั แผนแมบ่ ทแห่งชาตวิ ่าด้วยการพัฒนา สมุนไพร โดยใหค้ วามสาคัญกับการวจิ ยั ที่ครบวงจรตัง้ แต่ต้นนา้ กลางนา้ ไปจนถงึ ปลายนา้ สาหรับแตล่ ะชนดิ ของสมนุ ไพร 33
ตาราง 4.1 ตวั อย่างแนวทางการพฒั นากลุ่มสมนุ ไพรและเวชสาอาง ศักยภาพท่จี าเปน็ กลมุ่ เป้าหมาย แนวทางการพัฒนา ช่องวา่ งการพัฒนา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย ฐานปิรามดิ ผู้ประกอบการ แพลตฟอร์มการ • ขาดแคลนวัตถดุ บิ • บริหารจดั การ การนาสมุนไพรไทย สมุนไพรกลมุ่ เวช ทางานระหว่าง ท่ีมีคุณภาพสาหรับ งบประมาณวิจยั ไปใช้ประโยชน์ใน สาอางและอาหาร นกั วิจัย เภสชั กร อุตสาหกรรมใน ดา้ นสมนุ ไพร อุตสาหกรรม และแพทย์คลนิ ิก ประเทศ เป้าหมายให้ครบ เกษตรกรผปู้ ลกู วงจรต้ังแต่ต้นนา้ ไป สมนุ ไพร เชอ่ื มโยง จนถงึ ปลายน้า อตุ สาหกรรมสาร สกัดสมนุ ไพรกับ • พฒั นาระบบปลกู พืช เกษตรกรผู้ปลกู สมุนไพรเพื่อให้ได้ สมุนไพรใน สารออกฤทธิ์สงู ประเทศ • โครงการวจิ ยั ระดับ คลินิกเพ่ือรองรบั การข้นึ ทะเบยี น 34
ไทยมีประกันการบริการทางสุขภาพที่ครอบคลุมมากกว่าค่าเฉล่ียของโลกและสูงกว่าประเทศที่มีรายได้สูงหลาย ประเทศ โดยดชั นีความครอบคลุมของการใหบ้ ริการทางสขุ ภาพ (UHC service coverage index) ของประเทศไทยอยู่ท่ีระดับ 75% ซ่ึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลกที่อยู่ท่ี 64% โดยในอาเซียนไทยเป็นอันดับท่ี 3 รองลงมาจากประเทศสิงคโปร์และบรูไน นอกจากน้ี ไทยยงั มีความคุ้มครองความเส่ียงทางการเงินจากการเข้ารบั บริการทางสุขภาพดีกวา่ ค่าเฉล่ียของโลก และใกล้เคียง กบั ประเทศที่มรี ายได้สงู หลายๆ ประเทศ โดยเฉล่ยี สดั สว่ นของประชากรโลกทีม่ คี ่าใชจ้ ่ายทางสุขภาพเกินกว่า 10% ของรายได้ อยู่ท่ี 9.2% แต่ประเทศไทยมีประชากรเพียง 3.38% ท่ีมีค่าใช้จ่ายสุขภาพเกิน 10% ของรายได้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ ประเทศทีม่ รี ายไดส้ ูงหลายประเทศคอื อยู่ในช่วง 3 – 4 % เช่น ประเทศออสเตรเลยี แคนาดา และเดนมารก์ อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพในประเทศไทยนั้น มีความเก่ียวข้องเช่ือมโยงกับกองทุนประกันสุขภาพ และ บัญชียาหลักแห่งชาติเน่ืองจากเป็นตัวกาหนดตลาดหลัก โดยกองทุนประกันสุขภาพของไทยจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage หรือ UHC) งบประมาณ 126,533.13 ล้านบาท โดยมี ผใู้ ช้สิทธิ 48.8 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณต่อคน 2,592.89 บาท โดยมีสานกั งานหลักประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ (สปสช.) ดแู ล, กองทุนประกันสังคม ท่ีมีงบประมาณ 48,544 ล้านบาท มีผู้ใช้สิทธิ 14.47 ล้านคน คดิ เป็นงบประมาณต่อคน 3,354.80 บาท ซ่ึงเป็นสวัสดิการทางสังคมท่ีใช้ระบบไตรภาคี คือ รัฐบาลอุดหนุน 33.33% ส่วนที่เหลือเป็นเงินสมทบโดยผู้ประกันตนและ นายจ้าง และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ งบประมาณ 63,000 ล้านบาท โดยมีผู้ใชส้ ิทธิ (ขา้ ราชการ) 4.97 ล้าน คน ซ่ึงคิดเป็นงบประมาณต่อคนเท่ากับ 12,676.06 บาท โดยมีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังดูแล (ที่มา: พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจาปงี บประมาณ 2561 และ รายงานผลสถานะกองทุนประกันสังคมประจาเดือน ก.ย. 2560) จะเห็น ได้ว่าค่าใช้จา่ ยด้านสุขภาพตอ่ หวั ของแตล่ ะกองทุนมีความแตกตา่ งกันมาก เน่ืองจากขาดระบบการกระจายทรัพยากรระหว่าง กองทนุ ทาใหเ้ กดิ ปัญหาความเหลอ่ื มล้าด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตามในการประชมุ คณะกรรมการพฒั นาระบบยาแหง่ ชาติ ครง้ั ที่ 2/2561 เม่ือวันที่ 9 สงิ หาคม พ.ศ.2561 จากสถานการณค์ ่าใชจ้ า่ ยด้านยาของไทยท่มี มี ูลคา่ สูงถึง 1.6 แสนล้านบาท คิดเปน็ 41%ของคา่ ใชจ้ ่ายดา้ นสุขภาพ โดยท่ีตัวยา ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 37% ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มยาสาคัญคือ ยารักษามะเร็งและระบบ ภมู ิคุ้มกัน, ยารักษาโรคติดเชื้อและวัคซนี , ยากล่มุ ระบบประสาทวิทยา และยารกั ษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีมลู คา่ การ นาเข้าของยาเข้ามาในราชอาณาจักรคิดเป็น 70% ของมูลค่ายารวมของไทย อีกท้ังได้มีการผลักดันให้มียาสามัญทดแทนยา ต้นแบบเพ่ือเพ่ิมการเข้าถึงยาใน 6 กลุ่มโรคสาคัญ อันได้แก่ โรคสมองเสอ่ื ม, ลมชัก, แพอ้ ากาศ, โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี, โรคเอดส์ และโรคความดันหลอดเลือดปอดสูง นอกจากน้ีคณะกรรมการฯ ยังมีมติปรับปรุงแนวทางการจัดซื้อยาของรัฐเพ่ือ สนับสนุนยาในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยแบง่ เป็นกลุ่มยาท่ัวไป, ยาชีววัตถุ (หรือชีวเภสัชภัณฑ์) และเวชภัณฑ์ท่ีมิใช่ยา อีกท้ังมี การผลักดันให้มีความร่วมมือระหวา่ งองค์การเภสชั กรรมและผู้ผลิตภาคเอกชน จุดประสงค์เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยาและ พ่ึงพาตนเองไดอ้ ยา่ งยั่งยืน นอกจากน้ียงั มกี ารปรับปรุงราคากลางยาให้ทันสมยั เพ่ิมเติมอกี 179 รายการ ยาชีววัตถุหรือชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals or Biopharma) ท่ีสาคัญ ได้แก่ ยากลุ่มโมโนโคลนอลแอนตี บอดี (Monoclonal antibodies: mAb), ยากลุ่มโกรทแฟกเตอร์ (Growth factors: GFs), ยากลุ่มต้านการอักเสบ (anti- inflammatory drugs) น้นั จดั อย่ใู นกลมุ่ ยาท่ีมีมูลค่าสูง และมสี ่วนแบ่งในตลาดโลกมหาศาล เมอื่ ดจู ากขอ้ มูลยา 10 ลาดับขาย ดีในตลาดโลกปี 2017 พบว่า 7 ใน 10 เป็นยาชีววัตถุโดยมีมูลค่ายอดขายรวม 65.6 พันล้านเหรยี ญสหรัฐ สาหรับตลาดยาชีว วัตถุของประเทศไทยน้ันมีมูลค่า 2.2 พันล้านบาท โดยคาดว่ามูลค่าตลาดยาของไทยจะขยายตัวอย่างต่อเน่ืองในอัตราเฉลี่ย 5.4% ต่อปี (ช่วงปี 2560–2562) มีมูลค่านาเข้ายาชีววัตถุ 16.6 พันล้านบาท ในขณะท่ีมีมูลค่าการส่งออกยาชีววัตถุเพียง 1 35
พันล้านบาท โดยเป้าหมายส่วนใหญ่คือใช้รักษาผู้ป่วยจากโรคมะเร็งซ่ึงเป็นสาเหตุการตายอับดับ 1 ของคนไทย พบว่าไทยมี ผู้ป่วยโรคมะเรง็ รายใหม่ถงึ 1.1 แสนคนต่อปี และมีแนวโนม้ เพิ่มขนึ้ 15 จากการสารวจของ อย. พบว่าปัญหาในฝ่ายผู้ประกอบการไทยที่สาคัญ คือ การแข่งขันกันเองจากการผลิตยาตัว เดียวกันโดยเฉพาะในกลุ่มยาสามัญท่ัวไปท่มี ีราคาไม่สูง เนื่องจากเทคโนโลยีในการผลติ ไม่สูงพอท่ีจะสามารถผลิตยาที่มีมูลค่า สูงได้ การวิจยั และพัฒนายามีนอ้ ย อีกทงั้ ผู้ประกอบการไทยไม่กลา้ ลงทุนผลิตยาหมดสิทธิบัตรจากต่างประเทศ โดยเฉพาะยา กลุ่มชวี วตั ถทุ ่ีต้องลงทุนสูงและต้องการความถกู ตอ้ งแมน่ ยาในการพัฒนายาทกุ ๆ ข้ันตอน ขาดขอ้ มูลของกฎระเบียบท่ีชดั เจน ต้งั แตเ่ ร่มิ กระบวนการผลิตจนถึงการขึ้นทะเบียนตารบั ยา นอกจากน้ีนโยบายรัฐควบคุมราคาในการจัดซ้ือท่ียดึ ราคาตา่ เป็นหลัก และส่งเสรมิ การนาเข้ายาราคาถูกจากต่างประเทศ เปน็ เหตใุ หผ้ ้ปู ระกอบการไทยเน้นการทาตลาดแข่งขันด้วยราคามากกว่าจะ มุ่งเน้นดา้ นการวิจัยและพฒั นา16 ในการพัฒนาเพื่อสร้างอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มยาชีววัตถุ ให้ประสบความสาเร็จใน ระดับโลกน้ัน นอกจากภาครัฐต้องช่วยส่งเสริมด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมยาแล้ว ยังต้องมีการปรับปรุงข้ันตอนการขึ้น ทะเบยี นตารับยารวมถึงมาตรฐานของการผลิตในประเทศให้เท่ากบั มาตรฐานการส่งออก ให้มีระดับคณุ ภาพในราคาที่แข่งกับ ประเทศคแู่ ขง่ ได้ รวมถงึ ความสามารถในการขยายตลาด มีสง่ิ แวดลอ้ มทเี่ หมาะสมตอ่ การทาธรุ กจิ ในประเทศ พัฒนาบุคลากรที่ มีความเชีย่ วชาญโดยเฉพาะด้านการวจิ ัยและพัฒนา โดยในภาพที่ 4.2 นาเสนอกรณศี ึกษาในการสรา้ งอุตสาหกรรมกลุ่มยาชีว วัตถุโดยเพ่ิมขีดความสามารถการแข่งขันผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับโลกจาก (1) บริษัทต่างชาติที่มีเทคโนโลยีเหล่านั้น อยใู่ นมือผา่ นกิจการรว่ มคา้ (Joint Venture, JV) กับบริษทั ไทย หรือ (2) ดึงผู้เชยี่ วชาญเข้ามาทาวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยใี น ประเทศ ก่อนว่าจ้างองค์กรวิจัยทางคลินิก (Contract Research Organization: CRO) และ/หรือจ้างบริษทั ผลิต (Contract Manufacturing: CM) ต่อไป และ (3) การควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisition: M&A) 15 TOP PHARMA DRUGS BY SALES IN 2017 by PharmaCompass, International Trade Centre ข้อมูลการนาเข้าส่งออกยาชีววัตถุของ ประเทศไทยปี 2560, ข้อมูลจาก นพ. สมศักด์ิ อรรฆศลิ ป์ อธิบดีกรมการแพทย์. “คนไทยตายด้วย 'โรคมะเร็ง' เป็นอนั ดับ 1–มีผู้ป่วยรายใหม่แสน คนต่อปี” ข่าววอยซ์ออนไลน์, 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2561. 16 สมั ภาษณ์ นพ.สรุ โชค ตา่ งวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย., “ลด’นาเข้ายา’ดงึ เอกชนผลติ ”, กรุงเทพธุรกิจ. ฉบับ 19 กุมภาพนั ธ์ 2561./นรนิ ทร์ ตัน ไพบลู ย์. แนวโน้มธุรกจิ /อุตสาหกรรม ปี 2560–62: อตุ สาหกรรมยา. วิจยั กรุงศร.ี กรกฎาคม 2560. 36
กรณีศึกษาการจดั ต้งั บรษิ ัทยาชีววัตถุจาก 2 กรณี โดยผ่านกจิ การรว่ มค้า (Joint Venture), การใช้วธิ ีดึงผเู้ ช่ียวชาญ มาทาวิจัยและพัฒนาเองก่อนวา่ จ้างองคก์ รวจิ ัยทางคลนิ กิ (Contract Research Organization: CRO), หรือโดยการควบรวม กจิ การ (Mergers and Acquisitions: M&A) (ภาพที่ 4.2) โดยผลกระทบที่คาดหวัง (Expected spillover) ได้แก่ มาตรฐานการผลิตยาชีววัตถุในระดับอุตสาหกรรม อ้างอิง ตามมาตรฐานสากล GMP–PIC/S (Good Manufacturing Practice–the Pharmaceutical Inspection Convention and Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme), มีโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะโรงงานต้นแบบผลิตยาในระดับ อุตสาหกรรม, มีหน่วยงานวิเคราะห์ตรวจสอบมาตรฐานกลาง (National Quality Infrastructure: NQI), สร้างบุคลากรท่ีมี ทักษะข้ันสูงด้านการวิจยั การบรหิ ารจดั การเทคโนโลยี รวมไปถึงวิศวกรการผลติ , เกิดการผลกั ดนั ให้เกดิ มาตรฐานการทดสอบ ทางคลินกิ (Clinical trials), การขึน้ ทะเบยี นยาชวี วตั ถุในไทย, ลดการนาเข้ายาชวี วัตถุ, ราคายาชวี วัตถุท่รี าคาถกู ลง, สามารถ ส่งออกยาชวี วัตถุขายได้, ได้ยาชีววัตถุทีเ่ หมาะกับคนไทย และดงึ ให้มีการจดั ต้งั บรษิ ัท/ผ้ปู ระกอบการ ในหว่ งโซ่อปุ ทาน (Value chains) มากขน้ึ (ภาพที่ 4.3) ภาพที่ 4.2 โมเดลการบริหารจดั การนวตั กรรม 37
ภาพที่ 4.3 ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ สนับสนนุ กจิ การร่วมค้า (Joint Venture, JV) ระหว่างบรษิ ัทตา่ งชาติทมี่ คี วามสามารถในการวิจยั และผลติ ยาชีววตั ถุ ออกสู่ภาคอุตสาหกรรมกับบริษัทในประเทศ เพื่อให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ไทยยังขาดแคลน ให้มาต้ัง โรงงานผลิตในไทยโดยเฉพาะในพื้นท่ีระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลให้การส่งเสริมผ่าน มาตรการส่งเสริมการลงทุน BOI หรือกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสาหรับอุตสาหกรรม เป้าหมาย (Competitiveness Fund, CF) เพ่ือให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรม รวมถึงก่อให้เกิด ผลประโยชนต์ อ่ เศรษฐกิจในวงกวา้ ง สนับสนุนการวิจยั และพฒั นายาชวี วัตถุ ผ่านการใหท้ ุนวจิ ยั ต่าง ๆ เพื่อสรา้ งองค์ความรู้, บคุ ลากรให้มีความเชีย่ วชาญ ในการทา R&D และสามารถรองรบั การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผ้เู ชี่ยวชาญตา่ งประเทศทั้งท่เี ข้ามาผ่านทาง JV หรือ จากการดงึ เขา้ มาเพือ่ ทา R&D โดยตรงในประเทศไทย สนบั สนนุ ให้ทนุ สาหรบั การทาวิจยั ในคน เนือ่ งจากเป็นขนั้ ตอนการวิจัยทีม่ ีคา่ ใชจ้ า่ ยทส่ี ูงมาก และใช้ระยะเวลานาน สนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีกระบวนการผลิตจากแลปสู่ภาคอุตสาหกรรม ท้ังด้านเงินลงทุนวิจัย, โครงสรา้ งพ้ืนฐาน (infrastructure) และการเสรมิ สร้างบุคลากรท่มี ีความเชี่ยวชาญการผลติ รวมถึงการบริหารจัดการ เทคโนโลยี ผลักดันการออก พ.ร.บ.ยาชวี วัตถทุ ั้งมาตรฐานการผลติ ท่ีอา้ งอิงมาตรฐานสากล (GMP–PIC/S) การขนึ้ ทะเบยี นยาชีว วตั ถุ พ.ร.บ.การทดสอบในคน รวมถึงลดขั้นตอนและระยะเวลาในการย่ืนเอกสารการข้ึนทะเบียนยาชีววัตถุ การขอ วจิ ยั ในคน ท่ียุ่งยากซา้ ซ้อนลง การออกกฎหมายควบคุมด้านการใช้ข้อมลู ทางการแพทย์เฉพาะบคุ คลรวมไปถึงข้อมูล ทางพันธุกรรม ควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพตามอนุสัญญาคาร์ตาเฮนา (Cartagena Protocol on Biosafety) ใน การจดั การ, เคล่ือนย้าย และการใช้ส่งิ มีชีวิตทถ่ี ูกดดั แปลงพันธุกรรม (LMOs = Living Modified Organisms) เพื่อ ลดผลกระทบต่อการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตด้ังเดิมและเพ่ือสามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่าง ยง่ั ยืน 38
ตาราง 4.2 ตัวอย่างแนวทางการพัฒนากลมุ่ ชวี วตั ถุ ศกั ยภาพท่ี กลุ่มเปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ชอ่ งวา่ งการพฒั นา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย จาเปน็ JV กบั ตา่ งชาติ การผลติ ยาชวี สนับสนนุ การถา่ ยทอด ยอดปริ ามดิ หนว่ ยงานวจิ ยั ถา่ ยทอด วตั ถุลงทนุ สูง เทคโนโลยี ผ่านการร่วมทนุ โดย การผลิตยาชีว มหาวิทยาลัย เทคโนโลยี โดยให้ ใหเ้ งนิ สนบั สนนุ การลงทุน วั ต ถุ ร ะ ดั บ สิทธกิ ารผลติ ยา การยน่ื ขอรบั อตุ สาหกรรม บรษิ ัทยา และมาตั้ง รองซับซ้อนและ สนับสนุน R&D ผ่านทุนวจิ ัย องค์การเภสชั โรงงานผลติ ในไทย เปน็ ตน้ ทุนเวลา ตา่ งๆ เพือ่ สรา้ งองค์ความรู้และ บุคลากรเชีย่ วชาญ กรรม ดึงนกั วจิ ยั ทมี่ ี นโยบายรฐั ศักยภาพเขา้ มาทา ควบคุมราคา สนบั สนุนทุนวิจยั ดา้ นพัฒนา Contract R&D แลว้ จ้าง จดั ซ้อื ท่ียึดราคา กระบวนการผลติ (r&D) อย่าง CRO ทาวจิ ัยด้าน ต่าเปน็ หลักและ ครบวงจร Research คลนิ ิก และ/หรอื ส่งเสรมิ การ จ้างบริษัทรับจ้าง นาเข้ายาราคา ผลกั ดนั การออก พ.ร.บ.ยาชีว Organization ผลติ ถกู จาก วตั ถุทง้ั มาตรฐานการผลิต การ ต่างประเทศ ข้ึนทะเบียน มาตรฐานความ (CRO) (จ้างทา M&A ควบรวม เกิดการแขง่ ขนั ปลอดภยั Cartagena กจิ การเพอื่ ตอ่ ยอด กันเองของยา protocol รวมไปถงึ การทดสอบ Clinical ด้านการผลติ สามัญมากกวา่ ในคน และลดข้นั ตอน ยาชีววัตถุที่มี ระยะเวลาที่ใชใ้ นการยน่ื เอกสาร trials) มลู ค่าสงู การออกกฎหมายควบคมุ การใช้ ขอ้ มลู ทางการแพทย์เฉพาะ กระทรวง บุคคลรวมไปถึงขอ้ มูลทาง พันธกุ รรม สาธารณสุข, กรมการแพทย์ 39
ผลการศกึ ษาของสภาการเดนิ ทางและท่องเที่ยวโลก (WORLD TRAVEL & TOURISM : WTTC) พบวา่ ในปี 2560 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมร้อยละ 21.2 ของ GDP คิดเป็นเงิน 3.2 ล้านล้านบาท นับว่ามีรายได้จากการท่องเท่ียวสูงเป็นอันดับท่ี 15 ของโลก ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวมากกว่า 5.8 ล้าน อัตรา คิดเปน็ ร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานภายในประเทศ จากสถิติของกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬาพบว่า ในชว่ งเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2560 น้ัน นักท่องเท่ียวกว่า ร้อยละ 50.99 กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร รองลงมาเป็นชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และกระบ่ีตามลาดับ ซ่ึงจะเห็นได้ว่า นกั ทอ่ งเที่ยวชาวต่างชาติทมี่ าเท่ยี วประเทศไทยนน้ั มีแนวโน้มกระจุกตัวอยเู่ ฉพาะในเมอื งหลกั ท่มี ีแหล่งทอ่ งเท่ยี วที่มชี ่ือเสียงอยู่ แล้ว ขาดการกระจายตัวไปยังเมืองรองอนื่ ๆ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสภาวการณ์ของโลกและ พฤตกิ รรมของผ้บู ริโภค ประเทศไทยเองกต็ อ้ งเผชิญกบั ปญั หาและความทา้ ทายในหลายประเดน็ เชน่ การกระจุกตัวของนักท่องเท่ียวในแหล่งท่องเท่ียวหลัก ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาขยะ น้าเสีย หรือมลพิษ ในขณะที่เมืองรองน้ันยังขาดความโดดเด่นด้านอัตลักษณ์จึงไม่สามารถดึงดูด นกั ท่องเที่ยวได้ การตอบสนองต่อพฤติกรรมนักท่องเท่ียวท่ีเปล่ียนแปลงไปสู่การใช้ช่องทางออนไลน์ ซึ่งธุรกิจท่องเท่ียวใน ประเทศไทยยังไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างเต็มท่ี ความสะดวกสบายและคุณค่าท่ีนักท่องเที่ยวได้รับตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะระบบขนส่งและคมนาคม ภายในประเทศน้ันถือเป็นปัญหาหลักของนักท่องเท่ียวที่มาประเทศไทย โครงสร้างพ้ืนฐานด้านการคมนาคม และระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยยังมีความเหล่ือมล้า ทาให้การเดินทางไปยังเมืองรองไม่มีความ สะดวกสบายเพียงพอ ความปลอดภัยของนักท่องเท่ียว จากการจัดอันดับของ Travel & Tourism Competitiveness Index ในปี 2560 นั้นประเทศไทยมีอันดับความปลอดภัยในด้านการท่องเท่ียวอยู่ในอันดับที่ 118 จากท้ังหมด 136 ประเทศท่วั โลก 40
ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีมีลักษณะทางภูมิศาสตรแ์ ตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จึงเป็นโอกาสดีที่จะดึงเอกลักษณ์ พัฒนาและชูจุดเด่นของแต่ละท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกเพ่ือดึงดูดนักท่องเท่ียว และ เปน็ ส่งเสรมิ ให้เกิดการกระจายตัวของนกั ทอ่ งเท่ยี วไปยงั เมอื งอ่ืนๆ ในประเทศไทยด้วย การสร้างการรบั รถู้ ึงอตั ลักษณท์ ่ีแตกต่าง กนั นี้ จะมีสว่ นชว่ ยใหน้ ักทอ่ งเทย่ี วท่ีเคยมาประเทศไทยแล้วอยากกลบั มาเยอื นสถานท่ีท่องเทย่ี วอ่นื ๆ ในประเทศอกี ครัง้ ประเทศไทยควรอาศัยประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในเมืองรองท่ียังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพือ่ สง่ เสริมการทอ่ งเทย่ี วเชิงอนุรักษโ์ ดยดึงจุดเดน่ ท่ีมอี ยเู่ ดมิ และใช้ความรทู้ างวิทยาศาสตร์เขา้ ไปชว่ ยสร้างคุณค่าทางชวี วทิ ยา ให้แต่ละท้องถิ่นมีอัตลักษณ์ท่ีโดดเด่นยิ่งขึ้น สร้างการรับรู้สู่สากล ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพัฒนาการ บริหารจัดการแหล่งท่องเท่ียวอย่างเป็นระบบ ส่วนแหล่งทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาติท่ีมีช่ือเสียงอย่เู ดิมนั้นก็ควรได้รับการอนุรักษ์ ฟืน้ ฟูเพ่ือให้เกิดความย่ังยืน เช่น การพัฒนาโครงการไทยแลนดร์ ิเวียร่าโดยการนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาแหล่ง ท่องเทยี่ วเชงิ นิเวศระดับท้องถิ่นให้มีช่อื เสยี ง แหล่งดูนกเหย่ียวเขาดินสอ อ.ปะทิว จ.ชุมพร ควรมีการบริหารจัดการพื้นท่ีโดยรอบอย่างเป็นระบบ พัฒนา เทคโนโลยีในการติดตามและพยากรณก์ ารอพยพของนกเหยย่ี วอย่างถกู ตอ้ ง แมน่ ยา แหล่งวิจัยป่าชายเลน จ.ระนอง ควรใช้ระบบเซนเซอร์เพ่ือเฝ้าระวังและติดตามคุณภาพของน้าทะเลแบบ real time จากการพฒั นาโครงการนี้คาดว่าประเทศไทยจะมแี หลง่ ท่องเที่ยวในรปู แบบทหี่ ลากหลายทั้งในเมืองหลักและเมือง รอง มกี ารคมนาคมทส่ี ะดวกสบาย เป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ียวเชิงนเิ วศท่ีมีชอื่ เสียงระดับโลก และมีการพฒั นาอยา่ งยัง่ ยืน ประเทศไทยควรพัฒนาเทคโนโลยีเพ่ือรองรับอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ซึ่งประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วย อานวยความสะดวกให้แก่นักทอ่ งเที่ยวตั้งแต่ข้นั ตอนการวางแผนท่องเท่ียวจนถึงการนานักทอ่ งเที่ยวสู่จดุ หมายปลายทางอย่าง สะดวกสบาย ปลอดภัย รวมถึงเทคโนโลยีท่ีช่วยพัฒนาการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน จากรายงานเชิงลึกเร่ืองการพัฒนาเข้าสู่ เศรษฐกิจฐานดิจิทัลของประเทศไทย : แนวทางการพัฒนาเชิงดิจิทัลในภาคสังคมสูงอายุ ภาคการเกษตร และภาคการ ท่องเทย่ี ว พบว่า ประเทศไทยควรเรง่ ปรับปรุงและแก้ไขอปุ สรรคทขี่ ัดขวางการเจรญิ เติบโตของอตุ สาหกรรมการท่องเท่ียว ด้วย การตอบสนองพฤติกรรมของนักท่องเท่ียวท่ีเข้าสู่โลกออนไลน์มากข้ึน จาเป็นต้องประยุกต์เอาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้เพ่ือ ยกระดับให้ประเทศไทยเปน็ ประเทศทอ่ งเท่ยี วช้นั นาของโลก ระบบสารสนเทศการท่องเที่ยวแห่งชาติ จะชว่ ยใหภ้ าครัฐสามารถนาข้อมูลเชงิ ลกึ ไปวเิ คราะห์เพ่ือประกอบการ บรหิ ารจัดการอตุ สาหกรรมทอ่ งเที่ยวได้ สว่ นภาคเอกชนก็สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มูลพฤติกรรมนกั ทอ่ งเท่ียวเพอื่ ปรับ กลยทุ ธท์ างการตลาดได้ แพลตฟอร์มช่วยวางแผนการท่องเท่ียวแห่งชาติ เพ่ือให้คาแนะนาในการวางแผนกิจกรรมท่องเท่ียว ท่ีพักและ การเดินทางแก่นักท่องเที่ยวได้อย่างครบวงจร รวมทั้งช่วยยกระดับการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อดึงดูด นกั ท่องเทยี่ วตามความต้องการและความสนใจไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ แหล่งท่องเท่ียวอจั ฉริยะ อาศัยเทคโนโลยีเพ่ือจัดแสดงเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ได้อย่างน่าสนใจ สร้างบริการ ดจิ ทิ ัลท่ีสามารถค้นหาข้อมลู การเดินทาง จองและซ้ือบัตรโดยสาร บนมือถอื หรือหนา้ เวบ็ ไซต์ได้โดยสะดวกทุก ที่ทุกเวลาเพื่อให้การเดินทางไร้รอยต่อ รวมถึงการสนบั สนุนระบบชาระเงินแบบดจิ ิทัลซ่ึงจะเพิ่มความสะดวก ใหก้ บั การซือ้ สินคา้ และบริการตลอดการท่องเทย่ี ว นอกจากนี้ควรพัฒนาระบบคมนาคมใหส้ ะดวกสบายยง่ิ ขึ้น 41
ระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะเพ่ือนักท่องเที่ยวครบวงจร ซ่ึงประกอบไปด้วย ระบบรักษา ความ ปลอดภัยชายแดน ระบบเฝ้าระวังด้วยกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ศูนย์บัญชาการความปลอดภัยครบวงจร และ ระบบแจง้ เตือนในภาวะวิกฤต ตาราง 5.1 ตัวอย่างแนวทางการพัฒนากล่มุ ทอ่ งเทีย่ วเชงิ ปริมาณอยา่ งยั่งยืน ศักยภาพทีจ่ าเปน็ กลุม่ เปา้ หมาย แนวทางการ ช่องว่างการพัฒนา ข้อเสนอแนะนโยบาย พฒั นา ฐานปริ ามดิ ชมุ ชน/ท้องถน่ิ ใน นกั ทอ่ งเท่ียวกระจกุ แพลตฟอรม์ ชว่ ย การท่องเทย่ี วเชงิ เมืองรองทีม่ ี พัฒนาเมอื งรอง ตัวในเมอื งใหญ่ วางแผนการ ปริมาณอย่างยั่งยืน เอกลกั ษณด์ า้ น ทมี่ ีเอกลกั ษณ์ ท่องเท่ียว ชีววทิ ยา ด้านชวี วิทยาให้ ความโดดเดน่ ดา้ นอตั เป็นแหล่ง ลักษณ์ของเมืองรอง แหลง่ ท่องเท่ยี ว ทอ่ งเทย่ี ว ไม่ได้ถกู นาเสนอ อจั ฉรยิ ะ อจั ฉรยิ ะ การคมนาคมไม่ ระบบรกั ษาความ สะดวก ปลอดภยั 42
จากสถติ จิ านวนนักท่องเที่ยวชาวตา่ งชาตทิ ่ีเขา้ มาในประเทศไทยในชว่ งปี 2550 – 2559 นัน้ กลุม่ นักท่องเท่ียวอายุ มากกว่า 65 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงมากท่ีสุด โดยมีอัตราการขยายตัวเฉล่ียร้อยละ 17 ต่อปี ท้ังนี้เป็นเพราะ กระแสสังคมสงู วัย ท่ีทาใหม้ จี านวนผสู้ งู อายุเพมิ่ มากขนึ้ ซงึ่ กลุ่มผสู้ ูงอายุในประเทศพัฒนาแลว้ สว่ นใหญ่เป็นผ้มู ีรายได้สงู และมี พฤติกรรมการท่องเท่ียวที่คานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก การเติบโตของประชากรกลุ่มนี้จะนาไปสู่การพัฒนา รูปแบบสินค้าและกจิ กรรมการทอ่ งเทีย่ วเชิงสขุ ภาพตา่ งๆ ในปี 2560 ประเทศไทยถือเป็นตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพท่ีใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก คิดเป็นมูลค่า มากกว่า 320,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเท่ียวต่างชาติ 871,235 ล้านบาท ในจานวนน้ีเป็นรายได้ในกลุ่มการแพทย์ 10,722 ล้านบาท โดยมียอดค่าใช้จ่ายเฉล่ีย 10,755 บาท ต่อคนต่อทริป นับเป็น กิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูงท่ีสุดเม่ือเทียบกับกิจกรรมอ่ืนๆ มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 1.95 เม่ือเทียบกับช่วง เดียวกันในปี 2559 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเท่ียวที่เดินทางมาประเทศไทยเพ่ือตรวจ / รับการรักษาสุขภาพเป็น วัตถุประสงค์หลักท่ีมีจานวนมากท่ีสุด 3 ลาดับแรกเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา ลาว และพม่า รองลงมาเป็นนักทอ่ งเทีย่ วชาวตะวันออกกลาง ได้แก่ สหรฐั อาหรับเอมิเรตส์ และโอมาน ตามลาดับ นอกจากกลุ่มการแพทยแ์ ล้ว อีกกจิ กรรมหน่งึ ที่กาลงั ได้รับความสนใจและมีอตั ราการเติบโตสูงอยา่ งเดน่ ชัดคือ กลมุ่ บริการสปาและสุขภาพ ซึ่งมีมูลค่าตลาดทั่วโลกประมาณ 1,872,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6 สาหรับ ประเทศไทยนั้น กิจกรรมสปาเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทามากท่ีสุดเป็นอันดับสองรองจากกิจกรรมการชิมอาหารไทย ธุรกิจสปาและนวดไทยมีอัตราการเพิ่มขนึ้ ของนักท่องเที่ยวสูงถึงร้อยละ 14 ต่อปี ในปี 2560 มีมลู ค่าตลาดสูงถึง 35,997 ล้าน บาท ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล มีสปาท่ีได้รับการขึ้นทะเบียนระดับโลก 2,305 แห่ง โดยนักท่องเท่ียวที่ เดินทางมาทากจิ กรรมสปาและสขุ ภาพในไทยมากท่ีสุดคือนักท่องเทย่ี วชาวจนี ซ่ึงมีมากถึง 2,480,380 คน รองลงมาเปน็ เกาหลี ใต้ ญ่ีปุน่ มาเลเซยี และรสั เซยี ตามลาดับ ในขณะทเ่ี ม่ือพิจารณาคา่ ใชจ้ า่ ยในการทากิจกรรมสปาและสขุ ภาพต่อคนต่อทรปิ จะ พบว่า นักท่องเท่ียวชาวซาอุดิอาระเบียมกี ารใช้จ่ายมากท่ีสุด รองลงมาเป็นคูเวต เม็กซิโก คาซัคสถาน และเนปาล ตามลาดับ นบั ว่าเป็นกลมุ่ เปา้ หมายขนาดใหญท่ ี่มีกาลังใช้จา่ ยสงู ข้อมูลจาก Euromonitor คาดการณ์ว่าในปี 2563 ตลาดสปาที่ใหญ่เป็นอันดับหน่ึงของโลกคือประเทศญ่ีปุ่น มี มูลค่า 19,081 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาเป็นสหรัฐอเมริกา มีมูลค่า 7,324 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนประเทศไทยจะเป็น ตลาดสปาท่ใี หญเ่ ป็นอนั ดบั ที่ 9 ของโลก มีมูลค่า 2,161 ลา้ นเหรยี ญสหรฐั ฯ นบั เปน็ อันดับท่ี 3 ในภูมภิ าคเอเชยี รองจากญปี่ ุ่น และจนี ในประเทศไทยแบ่งกลุ่มธุรกิจสปาได้ 3 ลักษณะคือ 1) Day Spa เป็นการให้บริการในระยะเวลาส้ันๆ ไม่เกิน 3 ช่ัวโมง มักจะเปิดในพ้ืนท่ีชุมชน ห้างสรรพสินค้าและแหล่งท่ีผู้คนพลุกพล่าน ส่วนใหญ่เป็นบริการทรีตเมนต์ 2) Destination Spa บริการแบบครบวงจร โดยจะออกแบบบริการให้สอดคล้องกับความต้องการสุขภาพท่ีเฉพาะเจาะจงของลูกค้า และ 3) Hotel Spa เป็นการให้บริการสปาภายในโรงแรม ซึ่งถือว่ามีศักยภาพสูง เน่อื งจากเป็นการสร้างรายได้เพม่ิ จากนักท่องเท่ยี วท่ี เขา้ มาพักอาศยั 43
ธรุ กิจสปาและนวดไทยยงั มคี วามท้าทายในหลายประเดน็ เชน่ ภาพลกั ษณข์ องสมนุ ไพรไทย : ผลิตภณั ฑส์ ปาไทยนั้นเนน้ การใชส้ มนุ ไพรไทยเป็นส่วนประกอบหลกั แต่ประเทศ ไทยยังขาดงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพร ทิศทางการวิจัยไม่ชัดเจน ไม่ตอบสนองความ ต้องการของภาคอตุ สาหกรรม จงึ ทาใหข้ าดความสามารถการแขง่ ขนั ในตลาดโลก การออกแบบผลิตภัณฑ์สปา โรงงานรับจ้างผลิตในประเทศไทยนั้นมีความพร้อมด้านการผลิต แต่ยังด้อยด้าน ความสามารถในการพัฒนาออกแบบผลติ ภัณฑใ์ ห้ตอบโจทย์ นา่ ใช้และดึงดูดใจลกู คา้ ความรูท้ างหลักกายภาพ ศาสตรก์ ารนวดไทยแตเ่ ดมิ น้ันไดร้ บั การถ่ายทอดมาจากวัดโพธิ์ ซ่ึงเป็นศาสตร์ความรู้ เก่าแก่ท่ีเป็นเอกลักษณ์ แตอ่ าจไมต่ รงตามหลกั กายภาพทง้ั หมด ประเทศไทยได้เปรียบในตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะภูมิปัญญาทางสุขภาพของไทย เช่น สมุนไพร การแพทย์ทางเลือก และศาสตร์การนวด ซึ่งเป็นท่ีรู้จักและได้รบั ความนิยมจากนักทอ่ งเที่ยว จึงทาให้ตลาดการท่องเที่ยวเพ่ือ สุขภาพเป็นตลาดท่ีมีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตามการพัฒนาเพ่ือสร้างสรรค์ธุรกิจกลุ่มน้ีก็ยังเป็นส่ิงสาคัญ เช่น การปรับปรุง รปู แบบการใหบ้ รกิ ารทีม่ อี ยเู่ ดมิ การบริการที่มีผลการศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์รองรับ เปน็ ต้น ดงั นั้น จงึ มคี วามจาเป็นจะต้องส่งเสรมิ การวิจัยสรรพคุณของสมุนไพรไทย สง่ เสรมิ ให้มีการตพี มิ พ์ผลงานวิจัยลงใน วารสารวชิ าการทมี่ ีความนา่ เชื่อถือระดับสากล ซง่ึ จะนามาสู่ความนิยมในการใช้สมุนไพรไทย เป็นการเพ่ิมมูลค่าและยกระดับ ภาพลักษณ์ของสมุนไพรไทยให้เป็นของดรี าคาแพง และทาใหเ้ กิดการอนรุ ักษส์ มนุ ไพรไทยสายพันธ์ุดี ธุรกิจสปาในประเทศไทยน้ันส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก หากธุรกิจสปามีอัตราการเติบโตที่ดี ก็จะช่วย สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของไทยได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเจ้าของแบรนด์ธุรกิจสปาที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ควรขยายตลาดเข้าไปในกลุ่มโรงแรม 4 - 5 ดาว เพ่ือสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ และถือเป็นจังหวะท่ีดีที่ธุรกิจเวชสาอาง และเครอื่ งหอมของไทยจะนาเสนอผลิตภณั ฑ์รองรบั การขยายตัวของสปาในโรงแรง (Hotel Spa) ตอ่ ไป จากกรณีศกึ ษาพบว่าธรุ กิจสปาที่ประสบความสาเรจ็ มีความสามารถในการเจาะกลมุ่ ตลาดลกู คา้ ต่างชาติโดยเฉพาะ ลูกค้าจนี ทมี่ ีตลาดขนาดใหญ่และมีอัตราการเตบิ โตทางเศรษฐกจิ สูง ตลอดจนมีการซือ้ เชนรา้ นสปาทาใหม้ ีสาขากระจายอยู่ตาม เมืองท่องเที่ยวสาคัญ ธุรกิจมีการให้บริการสปารวมท้ังจาหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สปา ที่มุ่งเน้นประสบการณ์ที่ครบในทุก ประสาทสมั ผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง โดยมีความร่วมมือในการวิจยั และพัฒนาผลิตภณั ฑ์ร่วมกับโรงงานรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่ง เป็นโรงงานท่ไี ดม้ าตรฐานระบบการผลติ มปี ระสบการณแ์ ละความเชย่ี วชาญในการวิจัยและพฒั นาผลิตภัณฑ์ โดยธุรกจิ สปาจะ นาเอาความต้องการของผู้รับบริการมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเป็นผู้จดสิทธิบัตรสูตรของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ นอกจากนี้ ยังนาสมุนไพรสดมาทาเป็นลูกประคบและแก้ปัญหาสมุนไพรสดขาดแคลนในบางฤดูกาลด้วยการซื้อสิทธิบัตร งานวิจัยการเก็บรักษาสมุนไพรสดจากหน่วยงานวิจัยภาครัฐ ในขณะเดียวกันได้พัฒนาให้เกิดโรงเรียนสอนนวดไทยท่ีมี บุคคลากรท่ีมีความรู้ในศาสตร์การนวดท่ไี ด้มาตรฐานถูกต้องตามหลักวทิ ยาศาสตร์กายภาพ อย่างไรกต็ าม ยังคงประสบปัญหา เรอ่ื งภาพลักษณข์ องสมนุ ไพรไทยทยี่ งั ไม่ไดร้ ับการยอมรับถงึ ผลต่อสขุ ภาพ (ภาพที่ 5.2 และ 5.3) 44
ภาพท่ี 5.2 โมเดลการบรหิ ารจัดการนวัตกรรม จากกรณศี ึกษาจะพบว่า ธุรกจิ ผู้ให้บริการสปาจะมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า ในขณะที่โรงงานรับจ้าง ผลิต (OEM) ภายในประเทศจะมีความสามารถในการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์สปา ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรส่งเสริมใหม้ ีการ เชื่อมโยงระหว่างผู้มีส่วนเก่ียวข้องในธุรกิจสปาเข้าด้วยกัน โดยให้เกษตรกรผลิตสมุนไพรไทยสายพันธ์ุดี ป้อนเข้าสู่ตลาดหรือ โรงงาน OEM โดยจะตอ้ งยกระดับโรงงาน OEM ให้ไดร้ ับการรบั รองมาตรฐาน GMP เพอ่ื ให้สามารถวิจยั และพฒั นาภัณฑ์สปา ตามความต้องการของธุรกจิ สปาไดอ้ ย่างมมี าตรฐาน ตอบโจทยล์ กู คา้ การสร้างมูลค่าเพ่ิมการสร้างภาพลักษณ์ด้านสรรพคุณของสมุนไพรรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สปาไทยให้ได้ คุณภาพ คาดวา่ จะช่วยสรา้ งมูลคา่ เพม่ิ ใหก้ ับธุรกจิ สปาและอุตสาหกรรมทอ่ งเทยี่ วของประเทศได้ ดังนี้ สรา้ งรายได้เพม่ิ ให้กบั ธรุ กิจสปา เน่อื งจากสปาที่ใชผ้ ลิตภัณฑ์คุณภาพดจี ะสามารถตง้ั ราคาไดส้ ูงกวา่ สปา ทไี่ มใ่ หค้ วามสาคัญกับผลิตภัณฑ์17 สรา้ งมูลค่าเพม่ิ ใหก้ บั สมุนไพรไทยและสร้างรายไดใ้ ห้เกษตรกรผ้ปู ลูกสมุนไพรในประเทศ เปน็ รากฐานของการต่อยอดไปสกู่ ารให้บรกิ ารสปาเพอื่ สุขภาพาหรอื ผลิตภณั ฑ์เวชสาอางทต่ี อ้ งอาศยั องค์ ความรเู้ พิ่มมากข้ึน 17 สเุ นตรา จนั ทบรุ ี, โอกาสและความสามารถในการแข่งขนั ธรุ กิจสปาไทย, วารสารเกษมบณั ฑิต 2559 45
ภาพท่ี 5.3 ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ส่งเสริมงานวิจัยเก่ียวกับสรรพคุณของสมุนไพรไทย เช่น ช่วยผ่อนคลาย ช่วยให้หลับสนิท หรือบารุงผิวพรรณ โดยงานวิจัยเหลา่ นีจ้ ะตอ้ งมีทม่ี าจากการทดลองอยา่ งถกู ตอ้ งตามหลักวิทยาศาสตร์ และควรสนับสนนุ ให้ไดร้ ับ การตพี ิมพใ์ นวารสารวิชาการทมี่ ีชื่อเสียง เพื่อสร้างการรบั รู้และการยอมรับในระดบั สากล ส่งเสริมการศึกษาด้านกายภาพบาบัด (physical therapy) โดยนาเอาศาสตร์การนวดไทยมาประยุกต์เข้ากับ หลกั วิชาการ เพือ่ สร้างจุดขายทงั้ ในแง่เอกลักษณข์ องความเป็นไทย และความถกู ต้องตามหลักสากล บงั คบั ใชพ้ ระราชบญั ญตั สิ ถานประกอบการเพ่อื สุขภาพอยา่ งเขม้ งวด เพื่อยกระดบั ภาพลักษณ์ของธรุ กิจสปาไทย ตาราง 5.2 ตวั อยา่ งแนวทางการพฒั นากล่มุ ท่องเทย่ี วสุขภาพ ศกั ยภาพท่ีจาเปน็ กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ชอ่ งวา่ งการ ข้อเสนอแนะนโยบาย การท่องเท่ียวสุขภาพ พัฒนา ธรุ กิจสปาและ สนับสนุนการพัฒนา ส่งเสริมงานวิจัย นวดไทย ผลติ ภณั ฑ์สมนุ ไพร ภาพลักษณ์ สรรพคณุ สมนุ ไพรไทย ร่วมกนั ระหว่าง ของสมุนไพร ผ้ผู ลิตผลติ ภณั ฑ์ ธรุ กิจสปากับผรู้ บั จา้ ง ไทย ส่งเสริมการศกึ ษา สปา ผลิต Physical Therapy ขาดความรกู้ าร สนบั สนนุ โรงเรยี น นวดตามหลกั บังคบั ใช้ พรบ.สปา สอนนวดไทยทีถ่ กู กายภาพ อย่างเขม้ งวด ตามหลกั กายภาพ 46
ขยะมูลฝอยชุมชนมีสัดส่วนการนามาใช้ประโยชน์ต่า และยังมีการจัดการที่ไม่ถูกต้องอยู่มาก ในปี 2560 ขยะมูล ฝอยชุมชนที่เกิดข้ึนทั่วประเทศมีปริมาณ 27.40 ล้านตนั ในจานวนนถ้ี ูกนากลับมาใช้ประโยชน์โดยการคดั แยก ณ ต้นทางและ นากลับไปใช้ประโยชน์ ร้อยละ 31 ขยะท่ีได้รับการกาจัดไม่ถูกต้อง ร้อยละ 26 และขยะท่ีได้รับการกาจัดถูกต้อง ร้อยละ 43 นอกจากน้ี ยงั มีขยะมลู ฝอยที่ตกคา้ งเพ่ือรอการกาจดั อยา่ งถกู ต้องอกี ประมาณ 5.34 ล้านตัน ขยะชุมชนจากพื้นท่ีต่าง ๆ ที่เหลือจากการคัดแยก ณ ต้นทางและนากลับไปใช้ประโยชน์ จะถูกนาไปกาจัด ณ สถานท่ีกาจัดขยะมูลฝอย ซึ่งในปี 2560 ประเทศไทยมีสถานที่กาจัดขยะมูลฝอยท่ีเปิดดาเนินการท้ังสิ้น 2,665 แห่ง มีเพียง 740 แห่งเท่าน้ันที่ดาเนินการกาจัดขยะมูลฝอยถูกต้อง คือ เป็นการฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล/การฝังกลบเชิงวิศวกรรม การฝังกลบแบบเทกองควบคุม เตาเผาท่ีมีระบบกาจดั มลพิษทางอากาศ/กาจัดอากาศเสยี การกาจัดขยะมูลฝอยแบบเชงิ กล – ชีวภาพ โดยแมว้ ิธกี ารขา้ งต้นเป็นการกาจดั ขยะมลู ฝอยทีถ่ ูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ก่อให้เกดิ ต้นทนุ ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ สูง อาทิ การเสียโอกาสการได้พลังงานจากขยะ การเสียโอกาสคัดแยกขยะท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ สถานที่กาจัดขยะท่ี กระจัดกระจายทาให้ไม่เกิดการประหยัดจากขนาด การเร่งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากก๊าซมีเทนจากหลมุ ฝัง กลบขยะ เป็นต้น อตุ สาหกรรมการผลิตพลังงานจากขยะยังคงมีผู้ประกอบการน้อยราย และยังมีขยะจากสถานที่กาจัดขยะมูลฝอย อีกกว่า 2,000 แห่งที่ยังสามารถนาไปใช้ผลิตพลังงานและใช้ประโยชน์ได้ ซ่ึงการผลิตพลังงานจากขยะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การผลิตพลังงานความร้อนและการผลิตพลังงานไฟฟา้ โดยในด้านการผลิตพลงั งานความร้อน ส่วนใหญ่เป็นการ ผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) เพ่ือนาไปใช้ในประบวนการผลิตปูนซีเมนต์โดยผู้ประกอบการภาคเอกชน รายใหญ่ และมอี งคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง (สถานะปี 2558) ที่ติดต้ังเครือ่ งจกั รผลิต RDF เพื่อผลติ และจาหน่ายให้กับ ผผู้ ลิตปูนซีเมนตห์ รือนาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อปรับปรุงค่าความร้อนของขยะสาหรับเผาในเตาเผาขยะชุมชน ในด้านการผลิต พลังงานไฟฟา้ จากขยะ มกี ารใช้เทคโนโลยีเตาเผาขยะมลู ฝอยสาหรับโรงไฟฟ้า (Incinator for Power plant) แพร่หลายมาก ท่สี ุด นอกจากน้ันประกอบด้วยเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคช่ัน เทคโนโลยีการยอ่ ยสลายขยะแบบไม่ใช้ออกซิเจน และเทคโนโลยกี าร ผลิตก๊าซชีวภาพจากการฝังกลบขยะชมุ ชน (Landfill Gas to Energy Technology) ซง่ึ จากข้อมูลผู้ผลติ ไฟฟา้ ทขี่ ายไฟฟ้าเข้า สู่ระบบแล้ว พบว่า จากปริมาณการรับซื้อตามสัญญาที่ 279.26 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 34 โรง บริษัทเอกชนผู้ผลิต RDF 1 ราย (3 โรงไฟฟ้า) ครอบครองส่วนแบ่งดังกล่าวถึงร้อยละ 58 ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่เหลือเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากที่มี กาลังผลิตติดตง้ั ไมเ่ กิน 10 เมกะวตั ต์ เมื่อพจิ ารณาความก้าวหนา้ ในการดาเนนิ งานเทยี บกบั เปา้ หมายปี 2579 ตามแผนพัฒนา พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558 – 2579 ของกระทรวงพลังงาน พบว่าการผลิตพลังงานท้ังความร้อนและ ไฟฟา้ จากขยะยังคงมีการดาเนินงานทีห่ า่ งไกลจากคา่ เป้าหมายท่สี ุดเมื่อเทียบกับแหล่งวัตถดุ ิบพลังงานชวี ภาพอ่นื 47
แม้การผลิตพลังงานจากขยะมีความเป็นไปท่ีจะเติบโตได้สูงเมื่อพิจารณาจากปริมาณอุปทานขยะในประเทศ แต่ การเติบโตของอุตสาหกรรมถูกกาหนดด้วยนโยบายด้านพลังงานทดแทนและการยอมรับของประชาชนในพ้ืนท่ี โดย สถานการณ์การผลิตและจาหนา่ ยพลงั งานจากขยะมีความคล้ายคลึงกับพลังงานชีวภาพอ่ืน คือพลงั งานความร้อนทีผ่ ลิตข้ึนมา ได้จะนาไปใช้กับอุตสาหกรรมท่ีเจาะจง ในขณะท่ีพลังงานไฟฟ้าซ่ึงสามารถไปสู่ผู้ใช้งานข้ันสุดท้ายท่ีกว้างขวางนั้นถูกกาหนด ปริมาณด้วยนโยบายด้านพลังงานทดแทนและผู้รับซ้ือที่เป็นตัวกลางมีจานวนน้อยราย ในส่วนของการสร้างการยอมรับของ ประชาชนส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลด้านความปลอดภัย และสถานที่ตั้งซ่ึงอาจก่อให้เกิดความเดือนร้อนราคาญและส่งผล กระทบทางลบตอ่ สง่ิ แวดล้อม ลักษณะของขยะเป็นปัญหาสาคัญของการจัดการขยะของประเทศไทย การไม่แยกขยะส่งผลให้การจัดการขยะมี ความซับซอ้ น รวมถึงต้องใช้เงนิ ลงทุนสูงและไม่มีประสิทธภิ าพในการกาจัดหากเลอื กเทคโนโลยีทไ่ี มเ่ หมาะสม ขยะท่ีไมแ่ ยกมัก มคี า่ ความร้อนต่าไม่เหมาะสมต่อการใช้เตาเผาขยะมลู ฝอยที่มขี นาดเลก็ และหากใชก้ ารคัดแยกขยะโดยวิธเี ชงิ กล – ชีวภาพ ก็ มกั ตอ้ งใชเ้ งนิ ลงทนุ สงู และมีความซับซอ้ นในการกอ่ สร้าง เดินระบบและบารุงรกั ษา การผลิตก๊าซชีวภาพจากการฝังกลบขยะชุมชน แม้จะมีข้อดีในด้านการลงทุนไม่สูง เป็นเทคโนโลยีท่ีการก่อสร้าง เดินระบบและบารุงรักษาไม่ซับซ้อน และมีใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่มักใช้พ้ืนที่ขนาดใหญ่ และก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมฝัง กลบมักมีปริมาณมากเกนิ กว่าทีส่ ามารถจาหนา่ ยเขา้ สู่ระบบโครงข่ายไฟฟา้ ได้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งมแี นวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มี มูลคา่ เพ่มิ สูงอน่ื จากกา๊ ซชีวภาพควบคไู่ ปดว้ ย เชน่ การผลิตกา๊ ซไบโอมีเทนอัดจากกา๊ ซชวี ภาพ เปน็ ต้น มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากขยะให้เต็มวงชีวิตของวัสดุและส่งเสริมให้เกิดการเปล่ียนผ่านไปสู่สังคมขยะเป็นศูนย์ โดยเลอื กใช้เทคโนโลยกี ารผลติ กา๊ ซชีวภาพจากการฝงั กลบขยะชุมชนในช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่าน เนอื่ งจากเปน็ เทคโนโลยีที่ ไม่ซับซอ้ น จานวนเงนิ ลงทนุ ต่าเมื่อเทยี บกับเทคโนโลยกี ารกาจดั ขยะแบบอ่ืน มผี ้ปู ระกอบการในพ้นื ทม่ี ศี ักยภาพสามารถลงทุน และเดนิ ระบบได้ มีความเหมาะสมกบั ขยะของประเทศไทยทส่ี ่วนใหญ่เป็นความช้นื สูง รวมถึงเป็นเทคโนโลยีท่ีให้ความยดื หยุ่น ในการบริหารจดั การขยะในชว่ งเปลี่ยนผา่ นไปสู่การจดั การขยะท่ใี ช้เทคโนโลยที ่ซี ับซ้อนขนึ้ ทงั้ นต้ี อ้ งพฒั นาแนวทางการนาก๊าซ ชีวภาพไปใชป้ ระโยชนใ์ ห้เตม็ ศักยภาพเพ่ือลดก๊าซเรอื นกระจกท่จี ะปลดปล่อยสู่บรรยากาศ ศกึ ษาความเหมาะสมของพื้นท่ีสาหรับใช้เป็นสถานที่ฝังกลบขยะชุมชนโดยใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เนื่องจาก การผลิตก๊าซชีวภาพจากการฝังกลบขยะชุมชนมีปัจจัยความสาเร็จท่ีสาคัญคือการกาหนดสถานท่ีการกาจัด ขยะที่เหมาะสม ท้ังในทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เป็นพื้นท่ีขนาดใหญ่เพียงพอเพ่ือการฝังกลบและเป็นพ้ืนท่ี กันชน และสามารถขนถ่ายขยะจากชุมชนที่ห่างออกไปโดยรถบรรทุกได้ ทั้งน้ีเพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน โดยรอบและให้เกดิ การประหยัดจากขนาด ซึง่ จากกรณศี ึกษาศูนย์กาจัดขยะมลู ฝอยแบบผสมผสานบ้านตาล อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ศูนย์กาจัดขยะฯ สามารถขนถ่ายขยะมาจากพื้นท่ีท่ีห่างไป 300 กิโลเมตรได้ โดยยังคงมี ความคุ้มค่าทางการเงิน พัฒนาเทคโนโลยีการหมักขยะจากหลุมฝังกลบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตก๊าซชีวภาพและเร่งอัตราการ ยอ่ ยสลายเพื่อใหส้ ามารถนาขยะทเ่ี หลอื จากการหมักมาใชป้ ระโยชน์โดยเร็ว ท้งั การคัดแยกปยุ๋ การแยกขยะที่ ใช้ได้กลับมาใช้ประโยชน์ และการผลิตเชื้อเพลิง RDF รวมทั้งเพ่ือให้สามารถนาหลุมฝังกลบกลับมาใชใ้ หม่ได้ โดยไมต่ ้องขยายพนื้ ท่ีหลมุ ฝังกลบเพ่มิ เตมิ 48
เพิ่มอุปสงค์ก๊าซชีวภาพ โดยให้มีการใช้ประโยชน์ทห่ี ลากหลาย เช่น ส่งเสริมการใช้เปน็ พลังงานความร้อนใน ชุมชน พัฒนาเทคนิคการผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัดจากก๊าซชีวภาพเพ่ือใช้ในการขนส่ง รวมท้ังการกาหนด ปรมิ าณการรับซอ้ื พลงั งานไฟฟ้าจากขยะท่เี หมาะสมกับอปุ ทานขยะในพ้นื ท่ีระยะยาว ยกระดับการจัดการขยะ เปลี่ยนผ่านสสู่ ังคมขยะเป็นศูนย์ โดยส่งเสริมการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การจัดการ ขยะอนิ ทรียใ์ นชุมชนโดยชมุ ชน และจดั การขยะซงึ่ มคี ่าความร้อนสูงโดยการเผาทม่ี ีประสิทธิภาพ โดยพน้ื ที่ฝัง กลบขยะเดมิ สามารถนากลบั มาใช้ประโยชนไ์ ด้ ภาพท่ี 6.1 โมเดลการบริหารจดั การนวัตกรรม ภาพท่ี 6.2 ผลกระทบจากการดาเนนิ การ 49
สง่ เสริมการจดั การขยะมลู ฝอยโดยใช้รปู แบบศนู ยก์ ารจดั การขยะมลู ฝอยชมุ ชน ทีใ่ หช้ ุมชนที่อย่ใู นจังหวดั ใกลเ้ คียงนาขยะมลู ฝอยมากาจัดรว่ มกัน เพอ่ื ให้เกดิ การประหยดั จากขนาดและประสิทธิภาพในการบรหิ าร จดั การ โดยคัดเลอื กพ้นื ทท่ี ีม่ ีความเหมาะสมสาหรบั การดาเนินการ คัดเลือกและส่งเสริมขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของผู้ประกอบการในพ้ืนที่ในการจัดการขยะมูลฝอย ชุมชนดว้ ยเทคโนโลยีการฝงั กลบเชิงวิศวกรรมและการผลติ กา๊ ซชวี ภาพจากหลมุ ฝงั กลบ รฐั อาจเปน็ ผู้จัดหาและจัดสรรพืน้ ทข่ี นาดใหญ่ทมี่ คี วามเหมาะสมสาหรับดาเนินกิจการด้วยวธิ ีการท่ีเหมาะสม ตามพระราชบญั ญัติการใหเ้ อกชนร่วมลงทนุ ในกิจการของรฐั พ.ศ. 2556 วจิ ยั พฒั นาเพ่ือใช้ประโยชน์กา๊ ซชีวภาพที่หลากหลาย เชน่ ส่งเสรมิ การใช้เปน็ พลังงานความรอ้ นในชมุ ชน พฒั นาเทคนคิ การผลติ ก๊าซไบโอมเี ทนอดั จากกา๊ ซชวี ภาพเพอื่ ใช้ในการขนสง่ รวมทง้ั การกาหนดปรมิ าณการ รับซือ้ พลงั งานไฟฟา้ จากขยะทเี่ หมาะสมกับอปุ ทานขยะในพน้ื ทรี่ ะยะยาว ตาราง 6.1 ตวั อย่างแนวทางการพัฒนากลมุ่ พลังงานจากขยะมลู ฝอยชุมชน ศักยภาพท่ี กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการพฒั นา ช่องว่างการพฒั นา ขอ้ เสนอแนะนโยบาย จาเปน็ การจดั การขยะ ผ้ปู ระกอบก ขยายผลการคดั แยก การไมย่ อมรับของ สง่ เสรมิ การจดั การขยะ มูลฝอยชุมชน ารการ มูลฝอยโดยใชร้ ปู แบบ • ศนู ย์การ จัดการขยะ ขยะและการจดั การขยะ ประชาชนในพน้ื ท่ี ศูนย์การจัดการขยะมลู มลู ฝอยใน ฝอยชมุ ชน จัดการ พ้ืนท่ีทม่ี ี ชุมชนตั้งแตต่ น้ ทางที่ ความกงั วลดา้ นความ ขยะมลู ศกั ยภาพ ประสบความสาเรจ็ คดั เลอื กและสง่ เสริม ฝอยชุมชน ปลอดภัย ขดี ความสามารถทาง เทคโนโลยขี อง ศกึ ษาความเหมาะสม สถานท่ีต้ังซง่ึ อาจ ผปู้ ระกอบการในพน้ื ท่ี ของพ้ืนท่ีสาหรบั ใช้เปน็ ก่อใหเ้ กิดความเดอื น สถานทฝ่ี งั กลบขยะ ชุมชน ร้อนราคาญและสง่ ผล กระทบทางลบต่อ พฒั นาเทคโนโลยีการ ส่งิ แวดลอ้ ม การใช้ประโยชน์จาก หมกั ขยะจากหลุมฝงั ปริมาณกา๊ ซชีวภาพที่ ท่ดี นิ ขนาดใหญข่ องรฐั กลบ ผลติ ไดม้ ักเกินกวา่ ท่ี วิจยั พฒั นาเพอื่ ใช้ ยกระดับการจดั การขยะ สามารถนาไปใช้ ประโยชนก์ า๊ ซชวี ภาพท่ี เปลีย่ นผา่ นสสู่ งั คมขยะ ประโยชนไ์ ด้ หลากหลาย เป็นศูนย์ เพ่ิมอุปสงคก์ ๊าซชีวภาพ โดยให้มกี ารใช้ ประโยชนท์ ี่หลากหลาย 50
Search