Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงาน-แปลง

รายงาน-แปลง

Published by Kamonluk bunma, 2019-09-15 05:15:44

Description: รายงาน-แปลง

Search

Read the Text Version

ระบบหายใจ ก ารห าย ใจ เข้ า อ าก าศ ผ่ าน ไป ม นุ ษ ย์ ทุ ก ค น ต้ อ ง หายใจเพือ่ มชี ีวิตอยู่ ตามอวยั วะของระบบหายใจตามลำดับ ดังน้ี 1.จมูก (Nose) ทำหน้าท่ีเปน็ ทางผ่านของอากาศท่ีหายใจเขา้ ไปยังชอ่ งจมูกและกรอ งฝุ่น ละอองด้วย 2. หลอดคอ (Pharynx) เป็ น ห ล อ ด ต้ั ง ต ร ง ย า ว ป ร ะ ม า ณ ย า ว ป ร ะ ม า ณ 5 \" ห ล อ ด ค อ ติ ด ต่ อ ทั้ ง ช่ อ ง ป า ก แ ล ะ ช่ อ ง จ มู ก จึ งแ บ่ งเป็ น ห ล อ ด ค อ ส่ วน จ มู ก กั บ ห ล อ ด ค อ ส่ วน ป าก โด ย มี เพ ด า น อ่ อ น เป็ น ตั ว แ ย ก ส อ งส่ ว น นี้ อ อ ก จ า ก กั น โครงของหลอดคอประกอบด้วยกระดูกอ่อน 9 ชิ้นด้วยกัน ช้ินท่ีใหญ่ทีสุด คือกระดูกไทรอยด์ ท่ีเราเรียกว่า \"ลูกกระเดือก\" ในผูช้ ายเห็นไดช้ ัดกว่าผู้หญงิ 3. หลอดเสยี ง (Larynx) เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผู้ชาย และ 3.5 cm ในผู้หญิง ห ล อ ด เ สี ย ง เจ ริ ญ เ ติ บ โ ต ขึ้ น ม า เ รื่ อ ย ๆ ต า ม อ า ยุ ในวัยเร่ิมเป็นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญ ขึ้นอย่างรวดเร็ว โด ย เฉ พ า ะ ใน ผู้ ช า ย เน่ื อ ง จ า ก ส า ย เสี ย ง ( Vocal cord)

ซึ่งอยู่ภายในหลอดเสียงนี้ยาวและหนาข้ึนอย่างรวดเร็วเกินไป จึ ง ท ำ ใ ห้ เ สี ย ง แ ต ก พ ร่ า การเปลยี่ นแปลงนเ้ี กิดจากฮอรโ์ มนของเพศชาย 4. หลอดลม (Trachea) ต่ อ อ ก ม า จ า ก ห ล อ ด เสี ย ง ย า ว ล ง ไ ป ใ น ท ร ว ง อ ก ลั ก ษ ณ ะ รู ป ร่ า ง เ ป็ น ห ล อ ด ก ล ม ๆ ประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวน หรือรูปตัว U ซึ่งมีอยู่ 20 ชิ้น วางอยู่ทางดา้ นหลังของหลอดลม ช่องวา่ งระหว่างกระดูกออ่ นรูปตัว U ท่ีวางเรียงต่อกันมีเน้ือเย่ือและกล้ามเนื้อเรียบมายึดติดกัน การท่ี ห ลอด ล ม มีกระดู กอ่อน จึงท ำให้ เปิ ด อยู่ตลอด เวลา ไ ม่ มี โ อ ก า ส ที่ จ ะ แ ฟ บ เข้ า ห า กั น ไ ด้ โ ด ย แ ร ง ดั น จ า ก ภ า ย น อ ก จึ งรับ ป ระ กั น ได้ ว่ าอ าก าศ เข้ าได้ ต ล อ ด เวล า ห ล อ ด ล ม สว่ นท่ตี รงกบั กระดกู สันหลงั ชว่ งอกแตกแขนงออกเปน็ หลอดลมแขน ง ให ญ่ ( Bronchi) ขา้ งซ้ายและขวา เมื่อเข้าสปู่ อดก็แตกแขนงเปน็ หลอดลมเล็กในปอด หรือที่เรียกว่า หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไปสุดท่ีถุงลม (Aveolus) ซึ่งเป็นการที่อากาศอยู่ ใกล้กับเลือดในปอดมากท่ีสุด จึงเป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๊าซออกซเิ จน กับคารบ์ อนไดออกไซด์ 5. ปอด (Lung)

ปอดมีอยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้ายกรวย มปี ลายหรือยอดชี้ข้ึนไปขา้ งบนและไปสวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆขอ งท ร ว งอ ก ซง่ึ ช่องเปิดแคบๆนี้ประกอบข้ึนด้วยซี่โครงบนของกระดูกสันอกและ ก ร ะ ดู ก สั น ห ลั ง ฐานของปอดแต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบังลมระหว่ า ง ป อ ด 2 ข้ า ง จ ะ พ บ ว่ า มี หั ว ใ จ อ ยู่ ปอดข้างขวาจะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กน้อย และมีอยู่ 3 ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน หน้าท่ีของปอดคือ การนำก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนำออกซิเจนเข้าสู่เลือด ปอดจึงมีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยดื หยุน่ คลา้ ยฟองนำ้ 6. เยอ่ื หมุ้ ปอด (Pleura) เป็นเย่ือที่บางและละเอียดอ่อน เปียกช้ืน และเป็นมันลื่น หุ้มผิวภายนอกของปอด เย่ือหุ้มนี้ ไม่เพียงคลุมปอดเท่านั้น ยังไปบุผิวหนังด้านในของทรวงอกอีก หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เย่ือหุ้มปอดซ่ึงมี 2 ชั้น ระหว่าง 2 ชั้นนี้มี ของเหลวอยู่นิดหน่อย เ พ่ื อ ล ด แ ร ง เ สี ย ด สี ร ะ ห ว่ า ง เ ย่ื อ หุ้ ม มี โ พ ร ง ว่ า ง เรยี กวา่ ช่องระหว่างเย่อื หุ้มปอด

จากความรู้ในระบบหมุนเวียนเลือด นอกจากเลือดจะลำเ ลียงอาหารไปสู่สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายแลว้ ภายในเลือดยังมีแก๊สสำคัญท่ีเก่ียวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ คอื แก๊สออกซิเจน(O2) และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด(์ CO2) อยู่ดว้ ย ระบบขบั ถา่ ย ร ะ บ บ ขั บ ถ่ า ย ปั ส ส า ว ะ ( Urinary system) ร่ า ง ก า ย ม นุ ษ ย์ มี ก ล ไ ก ต่ า ง ๆ ค ล้ า ย เค รื่ อ ง ย น ต์ ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญพลังงานเกิดของเสีย ของเสียที่ร่างกายต้องกำจัดออกไปมีอยู่ 2 ประเภทสารท่ีเป็นพิษต่อ รา่ งกายสารท่ีมีปรมิ าณมากเกินความตอ้ งการ ร ะ บ บ ก า ร ขั บ ถ่ า ย เ ป็ น ร ะ บ บ ที่ ร่ า ง ก า ย ขั บ ถ่ า ย ข อ ง เ สี ย อ อ ก ไ ป ของเสียในรูป แ ก๊สคือลมข องเหลวคือเห ง่ือและปั สสาวะ ของเสียในรูปของแข็งคืออุจจาระอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายข อ ง เ สี ย ใ น รู ป ข อ ง แ ข็ ง คื อ ลำไสใ้ หญ่(ดรู ะบบย่อยอาหาร)อวัยวะที่เกยี่ วขอ้ งกับการขับถา่ ยของเ สี ย ใ น รู ป ข อ ง แ ก๊ ส คื อ ปอด(ดูระบบหายใจ)อวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูป ข อ ง เ ห ล ว คื อ ไ ต

และผิวหนังอวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปปัสสาวะ ไ ด้ แ ก่ ไ ต ห ล อ ด ไ ต กระเพาะปสั สาวะอวยั วะที่เกีย่ วข้องกับการขบั ถ่ายของเสียในรปู เหง่ื อ คือผวิ หนงั ซึง่ มีตอ่ มเหงอื่ อยูใ่ นผิวหนังทำ หน้าท่ีขับเหงื่อการขับถ่ายของเสียทางลำไส้ใหญ่การย่อยอา หารซึ่งจะส้ินสุดลงบริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่ ล ำ ไ ส้ ใ ห ญ่ ย า ว ว ป ร ะ ม า ณ 5 ฟุ ต ภ า ย ใ น มี เ ส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ล า ง ป ร ะ ม า ณ 2.5 นิ้ ว เน่ืองจากอาหารที่ลำไส้เล็กแล้วจะเปน็ ของเหลวหน้าทีข่ องลำไส้ใหญ่ ค ร่ึ ง แ ร ก คื อ ดู ด ซึ ม ข อ ง เห ล ว น้ ำ เก ลื อ แ ร่ แ ล ะ น้ ำ ต า ท่ี ยั ง เ ห ลื อ อ ยู่ ใ น ก า ก อ า ห า ร ส่วนลำไส้ใหญ่ครึ่งหลงั จะเป็นท่ีพักกากอาหารซ่ึงมีลักษณะกึ่งลำไส้ใ หญ่จะขับเมือกออกมาหลอล่นื เพื่อให้อุจจาระเคลื่อนไปตามลำไส้ให ญ่ ไ ด้ ง่ า ย ข้ึ น ถ้ า ไ ส้ ใ ห ญ่ ดู ด น้ ำ ม า ก เ กิ น ไ ป เนื่ อ งจ าก ก าก อ าห ารต ก ค้ างอ ยู่ ใน ล ำไส้ ให ญ่ ห ล าย วั น จะทำให้กากอาหารแข็ง เกิดความลำบากในการขับถ่าย ซึ่งเรียกว่า ทอ้ งผกู ระบบหมนุ เวียนเลอื ด

1.1 ระ บ บ ห มุ น เวีย น เลื อ ด แ บ บ วงจ รปิ ด (Closed circulatory System) ระ บ บ ห มุ น เวียน เลื อ ด แ บ บ ว งจ รปิ ด ระบบน้ีเลือดจะไหลเวียนอยใู่ นท่อของหลอดเลือดตลอดเวลา มหี ลอ ดเลือดฝอยเชื่อมระหวา่ งหลอดเลือดอาร์เทอรร์ ีและเวน พบในแอนิ ลิด (ไส้เดือน ทากดูดเลือด) ปลาหมึก สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด (ป ล า สั ต ว์ ส ะ เทิ น น้ ำ ส ะ เทิ น บ ก สั ต ว์ เลื้ อ ย ค ล า น นก และสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนำ้ นม) 1.2 ร ะ บ บ ห มุ น เวี ย น เลื อ ด แ บ บ ว งจ ร เปิ ด (Open circulatory System) ร ะ บ บ ห มุ น เ วี ย น เ ลื อ ด แ บ บ ว ง จ ร เ ปิ ด ระบบน้ีเลือดไหลออกจากหัวใจไปตามหลอดเลือดแล้วไหลออกจาก ห ล อ ด เ ลื อ ด ผ่ า น ช่ อ ง ว่ า ง ร ะ ห ว่ า ง ล ำ ตั ว และที่ว่างระหว่างอวัยวะต่างๆ เลือดและน้ำเหลืองจึงปนกันได้ เ รี ย ก ว่ า ฮี โ ม ลิ ท พ์ (HaemolymphX ) และชอ่ งวา่ งระหว่างเนอื้ เยื่อทีเ่ ปน็ ทางผ่านของฮีโมลิทพ์ จะเรียกว่ า ฮี โ ม ซี ล (Heamocoel) ลักษณะเช่นนี้พบในสัตว์พวกอาร์โทรพอด (แมลง แ ม ง กุ้ ง กั้ ง ปู ต ะ ข า บ แ ล ะ ก้ิ ง กื อ )

ม อ ล ลั ส ก์ (ห อ ย ต่ างๆ ย ก เว้น ป ล าห มึ ก ) โพ รโท ค อ ร์เค ต (เพรยี งหัวหอม และแอมฟิออกซสั )ระบบหมุนเวียนเลือดในมนษุ ย์ 1. หัวใจ (Heart ) หั ว ใ จ ( Heart) เป็นอวัยวะที่รับผิดชอบหน้าท่ีสูบฉดี เลอื ดใหไ้ หลเวียนไปยังอวัยวะอ่ื น ๆ ใ น ร่ า ง ก า ย อ ย่ า ง ต่ อ เ นื่ อ ง แ ล ะ ท่ั ว ถึ ง หวั ใจของมนษุ ยจ์ ะอยบู่ ริเวณช่องอกคอ่ นไปทางซา้ ย แบ่งออกเปน็ 4 ห้องได้แก่ด้านบน 2 หอ้ ง และด้านล่างอีก 2 2. หลอดเลอื ด (Artery) ห ล อ ด เ ลื อ ด แ ด ง ( Artery ) ห ม า ย ถึ ง หลอดเลือดท่ีนำเลือดออกจากหัวใจ ซงึ่ จะเป็นเลือดท่ีมีปริมาณออก ซิเจนสูงเป็นเลือดที่มีสีแดงสด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ( ย ก เ ว้ น ห ล อ ด เ ลื อ ด ท่ี ไ ป สู่ ป อ ด ชื่ อ pulmonary artery ซ่งึ จะนำเลอื ด ดำจากหวั ใจทมี่ คี าร์บอนไดออกไซดส์ งู ไปฟอกที่ปอด ) 3. เลอื ด (Blood) เลือด (Blood) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นของเหลว 55 เป อ ร์ เซ็ น ต์ ซึ่ ง เรี ย ก ว่ า “ น้ ำ เลื อ ด ห รื อ พ ล า ส ม า

(plasma)”แ ล ะ ส่ ว น ท่ี เป็ น ข อ ง แ ข็ ง มี 45 เป อ ร์ เซ็ น ต์ ซงึ่ ไดแ้ ก่ เซลล์เมด็ เลอื ดและเกล็ดเลอื ด ระบบประสาท 1.ส ม อ ง ( Brain) เป็ น ส่ ว น ที่ ให ญ่ ที่ สุ ด ข อ ง ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ส่ ว น ก ล า ง ควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหนักประมาณ 1.4 กิโลกรมั ทำหนา้ ทรี่ กั ษาสมดุลยภาพและการทรงตวั ของรา่ งกาย 2.ไ ข สั น ห ลั ง ( Spinal Cord) เ ป็ น ส่ ว น ส ำ คั ญ ข อ ง ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ร อ บ น อ ก เป็นทางผา่ นของกระแสความรู้สึกไปยังสมอง 3.เ ซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท ( Neuron) นำคำส่ังจากสมองและไขสนั หลังไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ 4.เ ส้ น ป ร ะ ส า ท ส ม อ ง ( Cranial nerve) รั บ ก ร ะ แ ส ค ว า ม รู้ สึ ก เ ข้ า สู่ ส ม อ ง และนำคำสง่ั จากสมองเข้าไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย 5.เ ส้ น ป ร ะ ส า ท ไ ข สั น ห ลั ง ( Spinal nerve) รั บ ก ร ะ แ ส ค ว า ม รู้ สึ ก เ ข้ า สู่ ไ ข สั น ห ลั ง และนำคำสั่งจากไขสนั หลงั เข้าไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย

ระบบประสาทแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามโครงสร้าง คือ ระ บ บ ป ระ ส าท ส่วน ก ล าง ได้ แ ก่ สม อ ง แ ล ะ ไข สั น ห ลั ง แ ล ะ ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ร อ บ น อ ก เส้ น ป ร ะ ส า ท ส ม อ ง และเส้นประสาทไขสนั หลงั การทำงานของระบบประสาท 1.ระบบประสาทโซมาติก (Somatic nervous system) เป็ น ก า ร ท ำ ง า น ภ า ย ใ ต้ อ ำ น า จ ข อ ง จิ ต ใ จ ไ ด้ แ ก่ ก า ร ท ำ ง า น ข อ ง ส ม อ ง แ ล ะ ไ ข สั น ห ลั ง ระบบโซมาตกิ จะควบคุมการทำงานของกลา้ มเน้อื ลาย 2.ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท อั ต โน มั ติ (Autonomic nervous system) เป็นระบบควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย โ ด ย ก า ร ค ว บ คุ ม ก า ร ท ำ ง า น ข อ ง ก ล้ า ม เนื้ อ เรี ย บ เชน่ กลา้ มเนอ้ื หวั ใจและตอ่ มต่างๆ เซลล์ประสาท ประกอบด้วยสว่ นสำคญั 2 สว่ น คอื 1.ตั ว เ ซ ล ล์ ( Cell body) ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย นิ ว เ ค ลี ย ส อ ยู่ ต ร ง ก ล า ง เ ซ ล ล์ และไซโทพลาสซึมซ่ึงภายในมี Neuro fibril เป็นเส้นใยเล็กๆ ประสานกันเป็นร่างแห

2.ใ ย ป ร ะ ส า ท ( Nerve fiber) เป็นส่วนท่ียนื่ ออกมาจากตวั เซลลแ์ บ่งเป็น 2 พวก 2.1 เ ด น ไ ด ร ต์ ( Dendrite) ทำหนา้ ทน่ี ำกระแสประสาทเข้าสู่ตวั เซลล์ 2.2 แ อ ก ซ อ น ( Axon) ทำหนา้ ที่นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ เซลลป์ ระสาทใชเ้ กณฑ์ในการแบง่ 2 เกณฑ์ คอื 1. จำนวนแขนงทแี่ ยกออกจากตัวเซลล์ - เซลลป์ ระสาทขว้ั เดยี ว - เซลลป์ ระสาทสองข้ัว - เซลล์ประสาทหลายขั้ว 2. หน้าที่การทำงานของเซลลป์ ระสาท - เซลล์ประสาทรบั ความรสู้ กึ - เซลล์ประสาทสั่งการ - เซลลป์ ระสาทประสานงาน สมอง (Brain) สมองส่วนหน้า (Forebrain) สมองส่วนกลาง (Midbrain) สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ระบบประสาท และ อวัยวะรับสัมผสั ( Nervous System )

ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท คื อ ระบบการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของสัตว์ทำให้สัตว์สามารถตอบสนอง ต่ อ ส่ิ ง ต่ า ง ๆ ร อ บ ตั ว อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว ช่วยรวบรวมขอ้ มลู เพือ่ ให้สามารถตอบสนองได้ ระบบประสาท มีหน้าที่ในการออกคำสั่งการทำงานของกล้ าม เน้ื อ ค วบ คุม ก ารท ำงาน ขอ งอวัยวะต่ างๆ ใน ร่างก าย แ ล ะ ป ร ะ ม ว ล ข้ อ มู ล ท่ี รั บ ม า จ า ก ป ร ะ ส า ท สั ม ผั ส ต่ า งๆ แ ล ะ ส ร้างค ำส่ั งต่ าง ๆ (action) ให้ อ วัย วะ ต่ างๆ ท ำงาน ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ข อ ง สั ต ว์ ที่ มี ส ม อ ง จ ะ มี ค ว า ม คิ ด แ ล ะ อ า ร ม ณ์ ระบบประสาทจึงเปน็ สว่ นของรา่ งกายท่ีทำใหส้ ัตวม์ กี ารเคลือ่ นไหว ระบบประสาท แบง่ ออกเปน็ 2 ระบบ 1.ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System หรอื CNS ) : ประกอบดว้ ย สมอง และ ไขสันหลัง 2.ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ร อ บ น อ ก ( Peripheral Nervous System ห รื อ PNS) : เส้ น ป ร ะ ส า ท ส ม อ ง 12 คู่ แ ล ะ เส้นประสาทไขสันหลงั 31 คู่ สว่ นประกอบของระบบประสาท สว่ นประกอบสมอง

-ควบคุมการทำงานของสว่ นต่างๆในร่างกาย -รักษาดลุ ยภาพและการทรงตัวของรา่ งกาย -เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ เช่น ความจำ การตดั สินใจ สว่ นประกอบไขสนั หลัง -เป็นศนู ยก์ ลางการปฏบิ ตั ิงานท่เี กดิ ขึ้นทันทที นั ใด -เปน็ ทางผา่ นของกระแสความร้สู ึกไปยังสมอง เซลลป์ ระสาท -น ำ ก ร ะ แ ส ค ว า ม รู้ สึ ก เ ข้ า สู่ ส ม อ ง และนำคำสัง่ จากสมองไปยงั ส่วนตา่ งๆของร่างกาย เส้นประสาทสมอง -รั บ ก ร ะ แ ส ค ว า ม รู้ สึ ก เ ข้ า สู่ ส ม อ ง และนำคำสัง่ จากสมองไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เสน้ ประสาทไขสนั หลงั -รั บ ก ร ะ แ ส ค ว า ม รู้ สึ ก เ ข้ า สู่ ไ ข สั น ห ลั ง และนำคำสง่ั จากไขสนั หลงั ไปยังส่วนตา่ งๆของร่างกาย เซลล์ประสาท ( Neuron ) 1. ตัวเซลล์ ( Cell body ) : ลักษณะคล้ายกับเซลล์ทั่วไป ภ า ย ใน มี นิ ว เค ลี ย ส มี ห น้ า ที่ เกี่ ย ว กั บ ก า ร เจ ริ ญ เติ บ โต

และเมแท บอริซึมของเซลล์ประสาท แหล่งสร้างพลังงาน สังเคราะห์โปรตีนท่ีเป็นสารส่ือประสาท และยังมี Neuro fibrill เป็นเส้นฝอยมีหน้าท่ีช่วยกระจายกระแสประสาทและพยุงเซลล์ ประสานกันเปน็ ร่างแห 2. ใ ย ป ร ะ ส า ท ( Nerve fiber ) : เป็นส่วนทย่ี นื่ ออกมาจากตวั เซลล์ แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คือ -เดนไดรต์ ( Dendrite ) : นำกระแสประสาทเขา้ สู่ตวั เซลล์ -แ อ ก ซ อ น ( Axon ) : นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ โดยมีเย้ือไมอีลินที่สร้างจากเซ ลล์ชวานหอ่ หมุ้ รอบแอกซอน เย่ือไมอีลิน เป็นสารประเภทไขมัน มีความเป็นฉนวนไฟฟ้า ทำให้กระแสประสาทในแอกซอนเคลือ่ นทีอ่ ย่างรวดเรว็ ชนดิ ของเซลล์ประสาท แบ่งตามหนา้ ท่กี ารทำงาน 1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก ( Sensony Neuron ) : รับความรู้สึกจากส่วนต่างๆเขา้ ส่สู มองและไขสันหลัง *พบในปมประ สาท 2. เ ซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท สั่ ง ก า ร ( Motor Neuron ) : นำกระแสประสาทออกจากสมองและไขสันหลังไปยังกลา้ มเนื้อและ สว่ นต่างๆของรา่ งการ

3. เซลล์ประสาทประสานงาน ( Association Neuron ) : เป็นตัวเช่ือมระหว่างเซลล์รับความรู้สึกและเซลล์ส่ังการ * พบในระบบประสาทส่วนกลางเทา่ น้นั ชนดิ ของเซลล์ประสาท แบง่ ตามลกั ษณะ 1. เซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท ขั้ ว เดี ย ว ( Unipolar neuron) : เป็นเซลล์ประสาทท่ีมีใยประสาทย่ืนออกจากตัวเซลล์เพียงก่ิงเดีย ว แล้วแยกออกเป็น 2 กงิ่ 2. เซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท ห ล า ย ขั้ ว ( Multipolar neuron) : เป็ น เซ ล ล์ ป ระ ส าท มี แ ข น งแ ย ก อ อ ก ม าเป็ น 2 แ ข น ง โดยแขนงหน่ึงเป็นแอกซอน และอีกแขนงหนึ่งเป็นเดนไดรต์ ความยาวของแขนงท้ังสองนใ้ี กลเ้ คียงกนั 3. เซลล์ประสาทประสานงาน(Association neuron) : เป็ น เซ ล ล์ ป ระ ส าท ที่ มี เส้ น ใย อ อ ก จาก ตั วเซ ล ล์ ห ล าย กิ่ ง โ ด ย มี แ อ ก ซ อ น เ พี ย ง 1 กิ่ ง นอกนั้นเป็นเดรนไดรต์ทง้ั หมดสมองเป็นส่วนท่ีใหญ่ที่สุดของระบบป ร ะ ส า ท ส่ ว น ก ล า ง ศู น ย์ ส่ั ง ก า ร ข อ ง ร่ า ง ก า ย ทั้ ง ห ม ด สมองของคนหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม โดยสมองแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังน้ตี ำแหน่งสมอง สว่ นของสมอง หนา้ ที่ ซีรีบรมั ( Cerebrum)มีขนาดโตทส่ี ุด

เกย่ี วกบั ความจำ ความฉลาด ความคิด เชาวป์ ัญญา อารมณ์ ประมวลผลสดุ ทา้ ยของความรสู้ ึกทกุ ชนิด ส่วนหน้า ทาลามัส(Thalamas) -สถานท่ีถ่ายทอดกระแสประสาทเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ก่อนเข้าสู่ซีรีบรัมยกเว้นการดมกล่ินท่ีไม่ผ่านทาลามัสฮโพทาลามัส( Hypothalamas) -ศูนย์ควบคุมความหิว อ่ิม กระหายน้ำ การหล่ังฮอโมน ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ควบคุมการนอนหลับ ออฟเฟกตอรี บัลบ์( Offactory bulb) -ก า ร ด ม ก ล่ิ น สุ นั ข มี ส่ ว น นี้ โ ต ม า ก จึงมีความสามารถในการดมกล่ินได้ สว่ นกลาง ออปติกโลบ( optic lobe ) -การเคลื่อนไหวของนัยน์ตา ทำให้ลูกนัยน์ตากลอกไปมาได้ และควบคุมการปิดเปิดของม่านตาในเวลาท่ีมีแสงสว่างเข้ามามากห รอื น้อย ซีรีเบลลัม( Cerebellum) ควบคมุ การเคลอ่ื นไหวของอวัยวะต่างๆ -ควบคมุ การทรงตวั -การประสานงานของกล้ามเน้อื

ส่วนท้ายพอนส(์ Pons ) -ควบคมุ การเคลอ่ื นไหวบนใบหนา้ -แสดงสหี น้า –การหล่ังนำ้ ลาย -การเคี้ยว เมดลุ ลา ออบลองกาตา( Medulla Oblongata) -ควบคุมการหายใจ -การเตน้ ของหวั ใจ -การย่อยอาหาร เสน้ ประสาทสมอง เสน้ ประสาทสมองส่วนมากออกมาจาก สมองดา้ นข้าง สัตวเ์ ล้ียงลูกด้วยน้ำนม นก และสัตว์เล้ือยคลาน มี 12 คู่ ปลา สตั ว์ครง่ึ บอกคร่ึงน้ำ มี 10 คู่ เส้ น ป ร ะ ส า ท ส ม อ ง บ า ง เส้ น ท ำ ห น้ า ที่ รั บ ค ว า ม รู้ สึ ก บางเสน้ เป็นเส้นประสาทคำส่ัง บางเสน้ กเ็ ป็นเสน้ ประสารทผสม ระบบสืบพันธุ์ (REPRODUCTIVE SYSTEM) ส่ิงมีชีวิตท้ังหลายมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ มีการสืบพันธ์ุ เพื่ อ ก ารด ำรงเผ่ าพั น ธ์ุข อ งสิ่ งมี ชี วิต นั้ น ๆ ก ารสื บ พั น ธุ์

การเจริญเติบโต และพัฒนาการ และการส่งต่อลักษณะต่างๆ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ไ ป ใ ห้ ลู ก ห ล า น จะดำเนินไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากการสืบพั นธุ์ของเซลล์ ห รือ ก ารแ บ่ งเซ ล ล์ เซ ล ล์ สื บ พั น ธุ์ใน เพ ศ ช าย คื อ อ สุ จิ และเซลล์สืบพันธ์ุในเพศหญิง คือ ไข่ เมื่ออสุจิและไข่ มีการปฏิสนธิ จ ะ มี ก ารแ บ่ งเซ ล ล์ เจ ริญ แ ล ะ พั ฒ น าจ น เป็ น เอ ม บ ริโอ แ ล ะ เ ป็ น ตั ว ที่ ส ม บู ร ณ์ แ ล้ ว เม่ือคลอดออกมาก็จะมีการเจริญ และพัฒ นาอีกครั้งหนึ่ง จน ก ระ ท่ั งเข้ าสู่ วัย รุ่น จ ะ มี ก ารเจ ริญ ท างเพ ศ ท่ี ส ม บู รณ์ และสามารถที่จะสืบพนั ธุ์ไดอ้ ีก ระยะพฒั นาการของชวี ิตมนุษย์ ระยะพัฒนาการของชีวิตมนษุ ย์ แบ่งออกไดเ้ ปน็ ระยะตา่ งๆ ดังน้ี 1. ระยะก่อนเกดิ (Prenatal Life) 1 . 1 ร ะ ย ะ ไ ข่ สุ ก ( Period of Ovum) เ ริ่ ม ต้ั ง แ ต่ มี ก า ร ป ฏิ ส น ธิ ( Fertilization) ไปจนถงึ ปลายสปั ดาหท์ ี่ 2 1 . 2 ร ะ ย ะ เ อ ม บ ริ โ อ ( Period of Embryo) เร่ิมจากสปั ดาหท์ ี่ 3 จนถึงปลายเดอื นท่ี 2

1.3 ระยะเป็นตัว (Period of Fetus) เร่ิมจากต้นเดือนที่ 3 ไปจนถึงปลายเดือนที่ 9 หรอื คลอด 2. ระยะหลังเกดิ (Postnatal Life) 2.1 ร ะ ย ะ แ ร ก เ กิ ด ( Period of Newborn) เริ่มตงั้ แต่แรกเกิด จนถึงปลายสปั ดาห์ท่ี 2 2.2 ระยะทารก (Period of Infant) เริ่มจากสัปดาห์ท่ี 3 จนถงึ ส้ินปที ี่ 1 2 . 3 ร ะ ย ะ เ ด็ ก เ ล็ ก (Period of Childhood) เร่ิม จาก สิ้น ปี ท่ี 1 จน ย่างเข้ าสู่วัยรุ่น คื อ ในเด็กหญิงอายปุ ระมาณ 14 ปี และในเดก็ ชายอายปุ ระมาณ 16 ปี 2 . 4 ร ะ ย ะ วั ย รุ่ น ( Period ofAdolescence) จากระยะเรม่ิ เข้าสู่วยั ร่นุ จนถงึ อายุ 20 ปี 2 . 5 ร ะ ย ะ ผู้ ใ ห ญ่ (Period of Maturity) เร่มิ ตัง้ แตอ่ ายุ 20 ปี ไปจนถึงแก่ชรา ร ะ ย ะ ท่ี ม นุ ษ ย์ มี ค ว า ม พ ร้ อ ม ใน ก า ร สื บ พั น ธุ์ คื อ ร ะ ย ะ ตั้ ง แ ต่ วั ย รุ่ น ข้ึ น ไ ป ร่ า ง ก า ย ท้ั ง ช า ย แ ล ะ ห ญิ ง จะ มี ก ารเป ล่ี ย น แ ป ล งลั ก ษ ณ ะ ท างเพ ศ (Secondary sex development) ผู้ชายส่วนใหญ่กล่องเสียงจะย่ืนโตออกมา ทำให้

ม อ ง เ ห็ น เ ป็ น ลู ก ก ร ะ เ ดื อ ก ( Adam’s apple) เ สี ย ง เ ริ่ ม เ ป ลี่ ย น ห้ า ว ขึ้ น มี ห น ว ด เ ค ร า และขน ที่ บ ริเวณ อวัยวะสืบ พั น ธ์ุ รัก แร้ มีก ารขั บ น้ ำกาม และอสุจอิ อกมา ส่วนใหญ่ในหญิงรปู รา่ งค่อยเปล่ียนแปลงทลี ะนอ้ ย สะโพกและทรวงอกขยายใหญ่ มีขนท่ีบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ุ แ ล ะ รั ก แ ร้ เ ริ่ ม มี ป ร ะ จ ำ เ ดื อ น (Menstruation) เสี ย งแ ห ล ม ก ารเป ลี่ ย น แ ป ล งดั งก ล่ าว เนอ่ื งจากระบบสืบพันธุเ์ ตรยี มพร้อมเพือ่ การสืบพนั ธุ์ อ วั ย ว ะ ท่ี เ ก่ี ย ว กั บ ก า ร สื บ พั น ธ์ุ เรี ย ก ว่ า โ ก แ น ด ( Gonads) ใ น เ พ ศ ช า ย คื อ อั ณ ฑ ะ ( Testis) สว่ นในเพศหญิง คือ รังไข่ (Ovary) โกแนดทำหน้าท่ี 2 ประการ คือ 1. ผลิต อสุจิ (Spermatozoa) ใน ชาย แ ละผลิต ไข่ (Ova) ในหญิง 2. ผ ลิ ต ฮ อ ร์ โ ม น แ ล ะ ถา่ ยทอดลักษณะการเปลยี่ นแปลงทางเพศ อวยั วะสบื พนั ธ์ุเพศชาย (Male GenitalOrgan) อวัยวะสบื พนั ธุ์เพศชาย แบ่งเป็น 2 ส่วน คอื 1. อวัยวะสืบพันธ์ภุ ายนอก ได้แก่ ถุงอณั ฑะ ลึงค์

1.1 ถุงอัณฑะ (Scrotum) เป็นส่วนของผิวหนังท่ีไม่มีไขมั นใต้ผิวหนัง ยื่นลงมาจากหน้าท้อง มีกล้ามเน้ือเรียบปรากฏอยู่ (Dartus muscle) เป็นกล้ามเน้ือท่ีช่วยปรับอุณหภูมิของอัณฑะ ใหต้ ำ่ กว่าอุณหภมู ขิ องร่างกาย ประมาณ 3-5 องศาเซลเซยี ส 1.2 ลึงค์ (Penis) ทำหน้าท่ีเป็นทางผ่านของปัสสาวะ และเป็นอวัยวะในการร่วมเพศ ลึงค์เป็นเน้ือเย่ือเกี่ยวพันชนิดพิเศษ โดยปกติจะหดตัวอยู่ (Detumescence) แต่ถ้ามีความรู้สึกทางเพศ จะสามารถแขง็ ตัว (Erection of penis) ได้ 2. อวัยวะสืบพนั ธภุ์ ายใน ไดแ้ ก่ อัณฑะ ท่อและตอ่ มต่างๆ 2.1 อัณฑะ (Testis) เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในระบบสืบพันธ์ุเ พ ศ ช า ย ท ำ ห น้ า ท่ี ส ร้ า ง อ สุ จิ แ ล ะ ฮ อ ร์ โ ม น เพ ศ ช า ย อั ณ ฑ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ รู ป ไ ข่ อ ยู่ ใ น ถุ ง อั ณ ฑ ะ ทำหนา้ ท่สี ร้างฮอรโ์ มนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน โดยมีท่อนำอสุจิ ออกสู่ภายนอก คือ เอพิดไิ ดมิส (Epididymis) 2.2 ห ล อ ด เก็ บ อ สุ จิ (Epididymis) เป็ น ท่ อ ข ด ไป ม า วางตัวติดกับด้านหลังของอัณฑะ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนลำตัว และส่วนหาง หลอดเก็บอสุจิยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ทำหนา้ ท่เี ปน็ ที่เกบ็ อสุจทิ ส่ี รา้ งสมบรูณ์แล้ว

2 . 3 ท่ อ น ำ อ สุ จิ ( Vas Deferens) เป็ น ท่ อ ต่ อ จ าก ส่ ว น ห างข อ งห ล อ ด เก็ บ อ สุ จิ ยาวประมาณ 1 นวิ้ ทำหน้าทนี่ ำอสุจิจากอณั ฑะเข้าไปในชอ่ งท้อง 2 . 4 ถุ ง พั ก อ สุ จิ ( Seminal Vescicle) เป็น 2 ถุง อยู่หลังและต่อกับกระเพาะอาหาร ท ำ ห น้ า ที่ ส ร้ า ง อ า ห า ร ส ำ ห รั บ อ สุ จิ ( Seminal fluid) ในอาหารประกอบดว้ ยนำ้ ตาลฟรักโทส กับโปรตนี โกลบูลิน 2 .5 ท่ อ ฉี ด อ สุ จิ (Ejaculatory Duct) เป็ น ท่ อ ส้ั น ๆ เ ปิ ด เ ข้ า สู่ ท่ อ ปั ส ส า ว ะ ต รงบ ริเวณ ต่ อ ม ลู ก ห ม าก ย าวป ระ ม าณ 2 เซ น ติ เม ต ร บางครั้งเรียกว่า หลอดฉีดน้ำกาม ท่อน้ีทำหน้าที่บีบตัว ขับน้ำอสุจิ (Semen) 2 . 6 ต่ อ ม ลู ก ห ม า ก ( Prostate Gland) เป็นต่อมท่ีอยู่รอบท่ออสุจิ อยู่ด้านล่างกระเพาะปัสสาวะ ท ำ ห น้ า ท่ี ส ร้ างน้ ำก า ม (Prostate Gland) ซึ่ งมี ลั ก ษ ณ ะ คล้ายนำ้ นม มฤี ทธ์เิ ปน็ เบสเล็กน้อย มกี ล่นิ เฉพาะตัว 2 . 7 ต่ อ ม ก ล่ั น เ มื อ ก ( Urethral Gland) ไ ด้ แ ก่ ต่ อ ม ค า ว เ ป อ ร์ ( Cowper gland)

อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ทำหน้าท่ีสร้างสารหล่อล่ืนท่อปัสสาวะ มฤี ทธ์ิเป็นเบส ใ น เ พ ศ ช า ย เ ม่ื อ เ ข้ า สู่ ร ะ ย ะ ท่ี สื บ พั น ธุ์ ไ ด้ จ ะ มี ก า ร ส ร้ า ง อ สุ จิ ไ ด้ เ ป็ น จ ำ น ว น ม า ก และเป็นช่วงเวลานานกวา่ เพศหญิง จนถึงอายุประมาณ 80-90 ปี โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น ร ะ ย ะ ห ลั ง ๆ น้ี อสุจิท่ีสร้างได้จะมีจำนวนน้อยลง ปกติในการหล่ังน้ำอสุจิ (Insemination) ในแต่ละคร้ัง จะมีปริมาณประมาณ 3-5 มิลลิลิตร โ ด ย มี อ สุ จิ อ ยู่ ป ร ะ ม า ณ 3 0 0 -4 0 0 ล้ า น ตั ว ห า ก มี จ ำ น ว น อ สุ จิ น้ อ ย ก ว่ า นี้ อาจเป็นสาเหตทุ ำให้เปน็ หมนั ได้ อสุจิเม่ือเข้าไปในชอ่ งคลอดเพศห ญิง จะมชี ีวิตอยไู่ ดถ้ ึง 48ชั่วโมง อสุจิสามารถเคลอื่ นท่ีไดด้ ว้ ย ค ว า ม เร็ ว 3 มิ ล ลิ เม ต ร ต่ อ น า ที โด ย ก า ร ว่ า ย น้ ำ ไ ป และจะเคลอ่ื นทไี่ ปถงึ ท่อนำไขใ่ นเวลา 30-60 นาที อสจุ ิ (Spermatozoa) เป็นเซลลท์ ่ีเจริญเตบิ โตไปเปน็ ตวั ใหมโ่ ด ยลำพังไมไ่ ด้ จะตอ้ งรวมกบั ไขเ่ สยี กอ่ นเสมอไป อสจุ ิ ประกอบด้วยโครงสร้าง 3 ส่วน คือ

1. ส่ วน หั ว เป็ น ส่ วน ที่ ส ำคั ญ ท่ี สุ ด ใน ก ารผ ส ม พั น ธ์ุ ที่ ป ล า ย หั ว เ รี ย ก ว่ า อ ะ โ ค ร โ ซ ม ใชส้ ำหรับเจาะไขใ่ นสว่ นหัวนจี้ ะมี DNA อยมู่ าก 2. สว่ นลำตัว มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ส่วนบนสุดจะคอดเ รี ย ก ว่ า ค อ 3 . ส่ ว น ห า ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย 2 ส่ ว น คือ ต้นหาง และ ปลายหาง J อวยั วะสืบพันธเ์ุ พศหญงิ (Female GenitalOrgan) อวัยวะสบื พนั ธุเ์ พศหญงิ แบง่ เป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนภายนอก ได้แก่ คลิทอริส แคมใหญ่ แคมเล็ก เวสทิบุล เย่อื พรหมจารยี ์ รวมทั้งต่อมสรา้ งน้ำเมอื กบริเวณชอ่ งคลอด 1.1 คลทิ อริส (Clitoris) เทยี บได้กบั ลึงค์ในเพศชาย ประกอบ ด้วยเนือ้ เยื่อท่ที ำให้เกดิ การแข็งตัว โดยใหเ้ ลอื ดมาคั่ง 1.2 แคมใหญ่ (Labia Majora) เป็นปุ่มนูนขนาดใหญ่ 2 อัน ซ่ึ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ต่ อ ม น้ ำ มั น ไข มั น มี ข น ( Pubic hair) ปกคลุมอยู่ด้านบนของแคมใหญ่จะรวมกันเป็นเนินหัวเหน่า (Mons pubis) 1.3 แ ค ม เ ล็ ก ( Labia Majora) มีลกั ษณะเปน็ เน้ือนม่ิ ของปมุ่ นนู ของผวิ หนงั เหมอื นกนั แต่

ไม่ มี ไข มั น ไม่ มี ข น ด้ า น ห ลั งจ ะ ม า ร ว ม กั น เป็ น ฝี เย็ บ (Fourchette) ซง่ึ จะฉีกขาดในตอนคลอด 1.4 เวสทิบุล (Vestibule) เป็นส่วนท่ีอยู่นอกสุดของช่องคลอ ด จะมีเย่อื พรหมจารีย์ (Hymen) ปดิ อยู่ มีชอ่ งเปิดของท่อปัสสาวะ แ ล ะ ช่ อ ง เ ปิ ด ข อ ง ช่ อ ง ค ล อ ด ร ว ม อ ยู่ มตี อ่ มน้ำเมอื กและตอ่ มเหง่ือมาเปดิ ด้วย 1.5 ต่ อ ม ส ร้ า ง น้ ำ เ มื อ ก (Vestibula Gland) อ ยู่ ที่ บ ริเวณ แ ค ม เล็ ก ท ำห น้ าที่ ส ร้างส ารเมื อ ก เพือ่ การหลอ่ ลน่ื 2. สว่ นภายใน ได้แก่ รังไข่ มดลูก และ ช่องคลอด 2.1 รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะที่สำคัญท่ีสุดในระบบสืบพันธุ์เ พศหญิง มีอยู่ 2 ข้างในช่องท้องน้อยยึดติดกับมดลูกโดยเอ็น ส่ ว น ด้ า น น อ ก ยึ ด ติ ด กั บ ล ำ ตั ว ภ า ย ใ น รั ง ไ ข่ จ ะ พ บ ไ ข่ ม า ก ม า ย ป ร ะ ม า ณ 3 - 4 แ ส น ใ บ รั ง ไ ข่ ท ำ ห น้ า ท่ี 2 อ ย่ า ง คื อ สร้างไข่ และสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ไข่ใบท่ีสุกเต็มที่แล้ว จะห ลุด ออ กม าจาก รังไข่ เรียก ว่า ก ารต ก ไข่ (Ovulation) ซ่ึงถูกควบคุมและกระตุ้นโดยฮอร์โมน LH และ FSH จากต่อมใต้ สมอง รงั ไข่จะสรา้ งฮอรโ์ มนโพรเจสเตอโรน

F ใน ร อ บ 2 8 วั น ไ ข่ จ ะ สุ ก เพี ย ง ใน เดี ย ว แ ล ะ ระยะตกไข่จะมีเวลาประมาณ 14 วัน หากไข่ไม่ได้รับการผสม ก็จะสลายไป และหลุดออกมาสู่ภายนอกพร้อมๆ กับผนังมดลูก เรี ย ก ว่ า ป ร ะ จ ำ เดื อ น (Menstruation) ป ร ะ จ ำ เดื อ น จะหมดเม่ืออายุประมาณ 45-50 ปี 2.2 ท่อนำไข่ (Oviduct) เป็นท่อซ่ึงด้านหนึ่งติดกับมดลูกอีกด้านห นึ่งอิสระอยู่ใกล้ๆ รังไข่ เป็นท างผ่านของไข่และอสุจิ ซึ่ง จะพบกนั ประมาณ 1 ใน 3 ของท่อนำไข่ 2 .3 ช่ อ ง ค ล อ ด ( Vagina) อ ยู่ ร ะ ห ว่ า ง ท ว า ร ห นั ก กับปากท่อปัสสาวะผนังด้านในมีเยื่อเมือกบุ อยู่ ยืดหดได้ดี ทป่ี ากช่องคลอดมีกลา้ มเนอื้ หูรสู ามารถบงั คบั ได้ 2.4 ม ด ลูก (Uterus) มี ข น าด ก ว้าง 2 นิ้ ว ย าว 3 นิ้ ว แ ล ะ ห น า 1 น้ิ ว อ ยู่ ใ น ช่ อ ง ท้ อ ง น้ อ ย ผนงั ยดื หดไดม้ ากเป็นพเิ ศษ และขยายตัวไดม้ ากในเวลาตั้งครรภ์ ใ น ร ะ ย ะ ค ล อ ด ฮ อ ร์ โ ม น อ อ ก ซิ โ ท ซิ น จ ะ ก ร ะ ตุ้ น ให้ ก ล้ า ม เน้ื อ บ ริ เว ณ นี้ ห ด ตั ว อ ย่ า ง รุ น แ ร ง ทำให้คลอดได้ง่ายขน้ึ การต้ังครรภ์

ห ญิ งสาม ารถ มี บุ ต ร ห ลังจาก มี ป ระ จำเดื อน แ ล้ว 3 ปี โ ด ย เฉ ลี่ ย ห ญิ ง มี บุ ต ร ไ ด้ เม่ื อ อ า ยุ ป ร ะ ม า ณ 17 ปี พ บ ว่ า ม า ร ด า ท่ี อ า ยุ ยั ง น้ อ ย จ ะ ใ ห้ บุ ต ร ผิ ด ป ก ติ เน่ืองจากสภาพทางสรีรวิทยาของร่างกายยังไม่พร้อมท่ีจะมีบุตร หญงิ พร้อมทีจ่ ะมีบตุ รไดอ้ ยา่ งสมบรู ณเ์ มอื่ อายุ 21-28 ปี หลังจากมีการรว่ มเพศแล้ว อสุจิจะเคลื่อนผ่านมดลกู เข้าไปทาง ท่ อ น ำ ไ ข่ ก า ร บี บ ตั ว ข อ ง ม ด ลู ก แ ล ะ ท่ อ น ำ ไ ข่ ก็ มี ผ ล ช่ ว ย ท ำ ใ ห้ อ สุ จิ เ ค ลื่ อ น ที่ ไ ด้ เ ร็ ว ข้ึ น อสุจิเจาะเข้าไปผสมกับไข่โดยอาศัยเอนไซม์จากส่วนหวั ของอสจุ ไิ ปย่ อ ย เ ย่ื อ หุ้ ม ไ ข่ ( Corona radiata) อ สุ จิ ตั ว เ ดี ย ว เ ท่ า น้ั น ที่ ส า ม า ร ถ ผ ส ม กั บ ไ ข่ ไ ด้ ซ่งึ หลังจากการผสมแล้วเรยี กว่า ไซโกต จะเคล่ือนตัวมาฝังตัวที่ผนั งชั้นในสุดของมดลูก การคลอด (Parturiticn) การต้ังครรภ์ในคน กินเวลาประมาณ 27 0 วั น นั บ ตั้ ง แ ต่ ก า ร ผ ส ม ข อ ง ไ ข่ ห รื อ 2 8 4 วัน นบั ต้ังแตว่ ันแรกของประจำเดอื นครัง้ สุดท้าย ในระยะสุดท้ายข อ ง ก า ร ตั้ ง ค ร ร ภ์ ม ด ลู ก จ ะ บี บ ตั ว เ ป็ น ค รั้ ง ค ร า ว แ ล ะ ก า ร บี บ ตั ว น้ี จ ะ เ กิ ด บ่ อ ย ข้ึ น ใ น ร ะ ย ะ นี้

กล้ามเนื้อมดลูกจะมีความไวในการตอบสนองต่อ ออกซิโทซิน มากขึ้น เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ศีรษะของเด็กที่ดันขยายส่วนล่างของมด ลูก จะมีผลกระตุ้นให้มีการขับออกซิโทซินออกมามากขึ้น มผี ลทำให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ทำใหเ้ กิดการคลอดได้ การมีลกู แฝด การมีลูกแฝด เกดิ จากการแบ่งเซลล์ ของไข่ทไี่ ด้รับการผสมแล้ วผิ ด ป ก ติ ห รือ เกิ ด จ าก ก ารสุ ก ข อ งไข่ ผิ ด ป ก ติ ฝ าแ ฝ ด แบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1 . ฝ า แ ฝ ด แ ท้ ( Indentical Twins) เ กิ ด จ า ก ไ ข่ ใ บ เ ดี ย ว ผ ส ม กั บ อ สุ จิ ตั ว เ ดี ย ว แ ต่ เม่ื อ มี ก ารแ บ่ งเซ ล ล์ แ ล้ ว เกิ ด แ ย ก อ อ ก เป็ น 2 ก ลุ่ ม ฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกที่เดียวกัน จีนส์เหมือนกัน เด็กเพศเดียวกัน หน้าเหมอื นกัน และลำตวั จะติดกันดว้ ย 2. ฝาแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่ 2 ใบ และอสุจิ 2 ตั ว ผ ส ม กั น ฝั ง ตั ว ใ น ผ นั ง ม ด ลู ก ค น ล ะ ท่ี กั น รกและถุงหุ้มตัวอ่อนแยกจากกัน แต่ละส่วนจะแบ่งเซลล์ด้วยตัวเอง จีนส์ต่างกัน เด็กจะไม่ติดกัน อาจเป็นเพศเดียวกัน หรือ ต่างเพศ กนั ก็ได้ การเลอื กเพศบตุ ร

C ในน้ำอสุจิของเพศชาย จะมีอสุจิอยู่ 2 ชนิด คือ อสุจิ X และ อสุจิ Y โดยเฉพาะอสุจิ X จะมีขนาดใหญ่กว่าและเคล่ือนที่ได้ช้ากว่า อสจุ ิ Y C เมื่ อ อ สุ จิ X ห รือ อ สุ จิ Y เดิ น ท างผ่ าน ช่ อ งค ล อ ด ผ่านเข้าสู่ปากมดลูก และเข้าไปผสมกับไข่ในท่อนำไข่ได้น้ัน ข้ึนอยู่กับสภาพแวดลอ้ ม ในชอ่ งคลอด และปากมดลูกของเพศหญงิ C โดยปกติในช่องคลอดจะมีสภาพเป็นกรด ส่วนบริเวณปากมดลูก แ ล ะ ม ด ลู ก มี ส ภ า พ เ ป็ น เ บ ส ข ณ ะ ที่ ใ ก ล้ ไ ข่ สุ ก หรือในขณ ะท่ีเพศหญิ งมีความรู้สึกท างเพศถึงจุดสุดยอด ( Orgasm) น้ ำ เ มื อ ก จ า ก ม ด ลู ก มี เ พิ่ ม ม า ก ข้ึ น ท ำ ใ ห้ บ ริ เ ว ณ ป า ก ม ด ลู ก เ ป็ น เ บ ส ม า ก ข้ึ น ในชอ่ งคลอดจะมีความเป็นกรดลดลง C ถ้ า ใ น ส ภ า พ ท่ี เ ป็ น ก ร ด อสุจิ Y ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอสุจิ X ถูกทำลายก่อน แต่ในสภาพที่เ ป็ น เบ ส ทั้ ง อ สุ จิ X แ ล ะ อ สุ จิ Y จ ะ ไ ม่ ถู ก ท ำ ล า ย อสจุ ิ Y ซง่ึ มีขนาดเล็กกว่า และเคลื่อนทีไ่ ด้เร็วกว่า อสจุ ิ X M เมื่อทราบความจริงข้อน้ีแล้ว สามารถจะช่วยให้อสจุ ิ X หรือ อ สุ จิ Y ว่ า ย ไ ป ผ ส ม กั บ ไ ข่ เ พ่ื อ ใ ห้ ไดบ้ ตุ รที่มเี พศตามความตอ้ งการได้

ถ้าต้องการบุตรเพศหญงิ ให้รว่ มเพศกอ่ นไขส่ กุ 2-3 วัน ก่อนร่วมเพศให้ล้างช่องคลอดด้วยน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ ำ 1 ลติ ร เพอื่ ให้ชอ่ งคลอดเปน็ กรดมากข้นึ ห ญิ งข ณ ะ ร่ ว ม เพ ศ ไม่ ค ว ร มี ค ว า ม รู้ สึ ก ถึ งจุ ด สุ ด ย อ ด เพราะจะทำให้น้ำเมือกจากปากมดลูกซึ่งมีฤทธิเ์ ป็นเบสถูกปล่อยออ กมา ข ณ ะ ท่ี ช า ย ห ล่ั ง น้ ำ อ สุ จิ ไ ม่ ค ว ร ใ ห้ ลึ ง ค์ อ ยู่ ลึ ก จุดประสงคเ์ พอื่ ใหอ้ สุจถิ ูกกรดในชอ่ งคลอดมากที่สุด ถ้าต้องการบุตรเพศชาย ควรร่วมเพศเวลาไข่สุกมากท่ีสุด หรือ เวลาที่ไข่สุกพอดี ได้ยิ่งดี เพราะสภาพ บริเวณปากมดลูกจะเป็นเบสมากขึ้น ล้างช่องคลอดด้วยน้ำโซดาไฮโดรเจนคาร์บอเนต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 ลิตร เพื่อให้ชอ่ งคลอดมสี ภาพเป็นเบส หญิงขณะร่วมเพศควรมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอด และ ขณะท่ีชายหล่งั นำ้ อสุจิ ควรใหล้ งึ คอ์ ย่ลู ึกมากท่ีสุด การคมุ กำเนดิ ก า ร คุ ม ก ำ เ นิ ด เปน็ การปอ้ งกนั การต้ังครรภ์ แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ

1. การคมุ กำเนดิ แบบช่ัวคราว สามารถทำไดห้ ลายวิธี ได้แก่ 1 . 1 ก า ร นั บ ร ะ ย ะ ป ล อ ด ภั ย โดยไม่ร่วมเพศในระหว่างวันที่ 11-17 ของรอบประจำเดือน ซ่ึงระยะปลอดภัยจริงๆ คือ 7 วัน ก่อนมีประจำเดือน และ อกี 7 วัน นับต้ังแตว่ นั มีประจำเดอื นรวมเป็น 14 วัน 1.2 การใช้ยาคุมกำเนิด ท้ัง ชนิดฉีด หรือ ยาเม็ดรับประทาน ซึง่ มผี ลป้องกันการสุกของไข่ 1.3 การใชห้ ่วงคุมกำเนดิ 1.4 การใชว้ สั ดุอ่ืนๆ คมุ กำเนิด เช่น โฟม เยล 1.5 การใชถ้ งุ ยางอนามยั สำหรบั เพศชาย 1.6 การหลัง่ น้ำอสุจภิ ายนอก 1.7 การทำแทง้ 2. การคมุ กำเนิดแบบถาวร ได้แก่ 2 .1 ก าร ท ำห มั น ใน เพ ศ ห ญิ ง โด ย ก าร ผู ก ห รื อ ตัดท่อนำไข่ มี 2 แบบ คือ การทำหมันเปียกภายหลังคลอดใหม่ ๆ และ การทำหมันแหง้ ในระยะอนื่ ๆ2.2 การทำหมันในเพศชาย โดยการ ผูก หรอื ตัดทอ่ นำอสจุ ิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook