Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 9 / UMT

การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 9 / UMT

Published by ครูหยง Yongkun, 2022-05-21 03:34:35

Description: การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง คุณภาพของการบริหารจัดการและนวัตกรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation)

Search

Read the Text Version

79 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ทศั นคตขิ องครทู ่ีมตี ่อการใชเ้ ทคโนโลยกี ารสื่อสารในการสอนออนไลน์สำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษา ภานุเดช มงคลล้อม มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิรน์ บทคดั ย่อ การมีทัศนคติที่ดีต่อการสอนนั้นขึ้นอยู่กับความพยายามในการฝึกฝนตนเองให้รู้จักวิธีการนำเอา เทคโนโลยีมาใช้เป็นสื่อการสอน ว่ามีผลต่อคุณค่าและความสำคัญของการประกอบวิชาชีพครู และด้วยเหตุ สำคัญนี้ ผู้วิจัยมีจุดประสงค์ที่ต้องการรู้ถึงแนวทางการพัฒนาทัศนคติของครูที่มีต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ สื่อสารในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ของครูประถมศึกษา โดยผู้วิจัยได้พัฒนาแบบสอบถาม จำนวน 22 ขอ้ ขนึ้ มารวบรวมความเห็นของครูประถมศกึ ษา ในเขตอำเภอบุณฑริก จังหวดั อุบลราชธานจี ำนวน 359 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผล และผลวิจัยพบว่า แนวทางพัฒนาประกอบด้วย 1) การพัฒนากระบวนการใช้ เทคโนโลยี 2) การพฒั นาความสามารถเฉพาะบุคคล และ 3) การพัฒนาการมีสว่ นรว่ มของนักเรียน โดยทั้งสาม แนวทางพัฒนาดังกล่าวมีอิทธิพลร่วมกันต่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารจัดการเรียนการสอนออนไลน์ R2 = .51 อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 คำสำคัญ: ทศั นคต,ิ การใช้เทคโนโลยีเพอ่ื การส่ือสาร

80 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การรบั รขู้ องผู้ปกครองต่อนโยบายการเรียนการสอนตามปกติ (On-Site) และการเรียนการสอนแบบเรยี นทบี่ า้ น (On-Hand) ในโรงเรียนประถมศึกษา สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอบุ ลราชธานี เขต 1 วรพงษ์ ครฑุ แสน และเปรมยุดา ลสุ มบตั ิ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทิร์น บทคดั ย่อ งานวิจัยนีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พือ่ 1) ศึกษาระดับการรับรูข้ องผู้ปกครองนักเรียนที่มตี ่อการเรียนการสอน แบบ On-site และแบบ On-hand 2) เปรียบเทียบความต่างกันของค่าเฉลี่ยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 22 ข้อไปรวบรวมความเห็นของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 317 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผล และมีผลวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยของผู้ปกครองมีการรับรู้ต่อการ เรียนการสอนแบบ On-site ในระดับปานกลาง แต่มีการรับรู้ต่อการเรียนการสอนแบบ On-hand ระดับมาก 2) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ปกครองที่มีเพศ อายุ การประกอบอาชีพ และรายได้ ที่แตกต่างกันจะมีความเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบ On-site และ On-Hand แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 คำสำคญั : การรับรขู้ องผู้ปกครอง, การเรยี นการสอนแบบ On-site และแบบ On-hand

81 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ทศั นคตขิ องครทู ่ีมตี อ่ วธิ ีการสอนออนไลนใ์ นสถานการณโ์ ควิด-19 ในประเทศไทย วภิ าวี อ่ินแก้ว และสมานจิตร ภิรมยร์ ่ืน มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ บทคดั ยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบความต่างกันของค่าเฉลี่ยทัศนคติที่มีต่อ วิธีการสอนออนไลน์ของครูประถมศึกษา เขต 4 อุบลราชธานี โดยผู้วิจัยใชแ้ บบสอบถามจำนวน 29 ข้อไปใช้ใน การรวบรวมความเห็นของครูจำนวน 421 คนแล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผล โดยสรุปผลวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของ ทัศนคติและวิธีการสอนออนไลน์อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและองค์ประกอบ โดยเฉพาะโดยเฉพาะค่าเฉล่ีย ของทศั นคติด้านการได้รับประโยชน์สำหรบั การพฒั นาสมรรถนะของตนเองมีค่าเฉล่ียสูงถงึ 4.49 ความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยด้านปัจจยั สว่ นบุคคลพบว่า ครูที่มีเพศ อายุ รายได้ต่อเดือน ประสบการณ์การสอน และการใช้สอื่ YouTube กับ Line ที่แตกต่างกันมีทัศนคติด้านการได้รับประโยชน์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 นอกจากนี้ ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้านปัจจัยส่วนบุคคลด้านประสบการณ์การทำงาน ไม่มี ความแตกต่างต่อทัศนคตดิ ้านการได้รบั แรงกดดันอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติ คำสำคัญ: ทศั นคตขิ องครู, วิธีการสอนออนไลน์

82 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การเรียนการสอนรว่ มแบบออนไลน์และออฟไลนข์ องโรงเรียนในเขตอำเภอเมือง จังหวดั อบุ ลราชธานี สทิ ธิพนั ธ์ ศรวี เิ ศษ และพนมพร ชว่ งชิง มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี สี เทิร์น บทคดั ยอ่ ความยุ่งยากของการจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างการสอนแบบ Online และการสอนแบบ Offline สง่ ผลกระทบต่อผลสมั ฤทธ์ดิ ้านการปฏบิ ัติงานของครูในจังหวัดอบุ ลราชธานี โดยเฉพาะต่อการยอมรับ ในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เป็นสื่อประกอบการสอน ซึ่งผู้วิจัยต้องการรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการจัด การเรียนการสอนทั้งสองแบบนี้ โดยผู้วจิ ัยรวบรวมข้อมูลจากการใช้แบบสอบถามไปถามความเห็นของผู้บริหาร และครูในอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานจี ำนวน 306 คนแลว้ พบว่า แนวทางพัฒนาประกอบดว้ ย การพัฒนา พื้นที่การเรียน พัฒนาลักษณะการใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาบริบทการสอน รวมไปถึงการฝึกอบรมความรู้ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อประกอบสอน ทั้งนี้ทุกปัจจัยมีผลร่วมกันของอิทธิพลต่อ ดา้ นการนำเอาสื่อออนไลน์ และออฟไลน์ ไปใชป้ ฏบิ ัตงิ านสอนทุกวันอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 คำสำคัญ: การจัดการเรยี นการสอนร่วมแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์กบั การยอมรบั เทคโนโลยี

83 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) อิทธพิ ลของแรงจูงใจในการทำงานทมี่ ีต่อความพงึ พอใจในงานและการตั้งใจลาออกของครู กรณศี ึกษาครใู นโรงเรยี นเอกชนสหวิทยาเขตนลิ ุบล จังหวดั อบุ ลราชธานี สขุ สันต์ ใจแก้ว และดวงเดือน ศิรโิ ท มหาวิทยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทริ น์ บทคดั ย่อ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุคสมัยเดิมมาเป็นยุคสมัยแห่งการเรียนรู้จากสื่อเทคโนโลยีส่งผลให้ การปฏิบัติงานของครูเอกชนต้องได้รับการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมของครู จึงทำให้ผู้วิจัยต้องการรู้เกี่ยวกับ อิทธิพลของแรงจูงใจที่ส่งผลต่อความพึงพอใจกับความตั้งใจจะลาออกของครูเอกชน ในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 364 คน โดยการพัฒนาแบบสอบถามจำนวน 38 ข้อขึ้นมารวบรวมความเห็นแล้วได้ผลวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการทำงานสามารถพยากรณ์ได้ทัง้ ความพงึ พอใจในงานและความตง้ั ใจจะลาออกได้อยา่ งมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีสัมประสิทธิ์พยากรณ์ที่ R2 เท่ากับ .63 และ .77 นอกจากนี้ ความพึงพอใจใน การทำงานของครูมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางตรงข้ามกับความตั้งใจจะลาออกอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .01 และมีคา่ r = -.088 คำสำคัญ: แรงจูงใจในการทำงาน, ความพงึ พอใจในงาน, ความต้ังใจจะลาออก

84 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) วฒั นธรรมองคก์ รและความพึงพอใจในงานของครโู รงเรยี นเอกชนจังหวัดอบุ ลราชธานี สุชานนั ท์ เอเดอร์ และสมานจิตร ภริ มย์รืน่ มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอสี เทริ น์ บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับวัฒนธรรมองค์กร และความพึงพอใจในงานของครู โรงเรียนเอกชน และ2) เพือ่ เปรยี บเทียบความแตกต่างของคา่ เฉลี่ยวัฒนธรรมองค์กร และความพึงพอใจในงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 จำแนกตามอายุ ตำแหน่งงาน ประสบการณ์ทำงาน และรายได้ต่อเดือน โดยผูว้ จิ ยั พฒั นาแบบสอบถามขึ้นมาจากการทบทวนวรรณกรรม แล้วนำไปตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือวิจัย และนำมาปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำไปเก็บข้อมูลจากครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเอกชน ในเขตจังหวัด อุบลราชธานีจำนวน 400 คนเพื่อนำกลับมาวิเคราะห์ผล ผลวิจัยพบว่า 1) ระดับค่าเฉลี่ยของวัฒนธรรมองค์กร อยู่ในระดบั มากทั้งภาพรวมและรายดา้ น สว่ นความพึงพอใจในงานของครโู รงเรียนเอกชนอย่ใู นระดับปานกลาง และ 2) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของปัจจัยส่วนบุคคล เพศ อายุ ตำแหน่งงาน รายได้ต่อเดือน และ ประสบการณ์ทำงานต่างกนั มคี า่ เฉลย่ี ความพงึ พอใจในงานท่ีแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 คำสำคญั : วัฒนธรรมองคก์ ร, ความพงึ พอใจในงานของครู

85 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรโู้ ดยใชห้ นังสอื นิทานประกอบภาพ เพอ่ื ส่งเสรมิ คุณธรรม สำหรับเด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ป)ี ยพุ าวดี สรศิลป์ โรงเรยี นเทศบาลอำนาจ อำเภอลืออำนาจ จงั หวัดอำนาจเจริญ โทรศพั ท์ 091-415-5855 บทคัดยอ่ การวิจัยมีความมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เปรียบเทียบคุณธรรมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ และศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทาน ประกอบภาพ เพื่อส่งเสริมคุณธรรม สำหรับเด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาลอำนาจ อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 22 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หนังสือนิทานประกอบภาพ แผนการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้แบบประเมินคุณธรรม แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X ) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ t-test (Dependent) ผลการวจิ ยั พบว่า แผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ มีประสทิ ธิภาพเท่ากบั 91.72/88.41 เด็กปฐมวัย มีคุณธรรมหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความพึงพอใจต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสือนิทานประกอบภาพ เพือ่ สง่ เสรมิ คุณธรรม สำหรบั เด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) โดยรวมอยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ คำสำคัญ: การจดั ประสบการณ์การเรียนร,ู้ หนังสือนิทานประกอบภาพ, คณุ ธรรม

86 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การใช้สื่อการเรยี นการสอนภาษาไทยออนไลนข์ องนกั ศึกษาจีน รติรตั น์ กุญแจทอง, วิไลลักษณ์ ตางาม และยุทธภมู ิ สุวรรณเวช คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, กรงุ เทพฯ e-mail: [email protected] โทรศัพท์ 026653777 ต่อ 8334 บทคัดยอ่ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนในทุกระดับชั้น การสอนผ่านสื่อออนไลน์ทวีบทบาทขึ้น ในขณะเดียวกันโอกาสในการเรียนรู้ภาษาไทยผ่านประสบการณ์จริง ในประเทศไทยของนักศึกษาจีนถูกจำกัดด้วยสถานการณ์ดังกล่าว นักศึกษาจีนจำเป็นต้องใช้สื่อการเรียน การสอนภาษาไทยออนไลน์มากขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาด้วยตนเอง ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการใช้สื่อ การเรียนการสอนภาษาไทยออนไลน์ของนักศึกษาจีน โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากนักศึกษาจีน จำนวน 83 คน ทีศ่ ึกษาในสถาบันการศกึ ษาตา่ ง ๆ ในกรงุ เทพและปริมณฑล พบวา่ 1) อปุ กรณท์ ี่ใช้มากทสี่ ุด คอื Smart Phone 2) สื่อที่ใช้มากที่สุด คือ Google Translate 3) นำสื่อมาใช้เพื่อศึกษาและทบทวนความรู้ภาษาไทย ด้านการแปลและการลา่ มมากที่สุด 4) ตดั สินใจเลอื กใชส้ ือ่ ดว้ ยตนเองมากท่ีสดุ และ 5) ปญั หาในการใช้สื่อที่พบ มากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ขาดสมาธิในการเรียนออนไลน์ เนื้อหาในสื่อการเรียนการสอนภาษาไทยออนไลน์ มนี อ้ ยไม่เพยี งพอตอ่ ความต้องการ และส่ือสำหรบั แปลภาษาไม่สามารถแปลได้ถกู ต้อง คำสำคญั : สอื่ การสอนภาษาไทย, สอ่ื ออนไลน์, นักศึกษาจนี

87 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เร่ืองคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ENGLISH ACQUISITION FOR THAI STUDENTS IN THE ONLINE ENVIRONMENT CELL DILON PROGRAM HEAD MBA STAMFORD INTERNATIONAL UNIVERSITY HUA HIN CAMPUS, Petchaburi, Thailand [email protected] ABSTRACT This paper follows an English online language project prepared in cooperation between Valaya Alongkorn Rajabhat and Stamford International University and indicates evidence of possibilities for language education online in general. The project evidently succeeded in creating a platform for language education and allowed students and participants a foundation of communicative language skills in English. This paper therefore suggests further research in to foreign language education online and gives a foundation knowledge into abilities and preparation for lessons of language learning in general. It is determined that language education is possible and can be successful based on significant preparation and diligent lecture efforts. Based on the results of this paper the indication of ratio and ability can flourish in an online forum as well as in face to face classes. Keywords: Online, English, Learning, Language, Education

88 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศกึ ษาปัญหาการบรหิ ารงานวชิ าการในสภาวะวิกฤติชว่ งการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ของโรงเรยี นในกลุ่มสหวทิ ยาเขตสวนเทพรตั น์ทปี ไทเ้ ฉลิมพระเกียรติ สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาปทุมธานี วา่ ท่รี อ้ ยตรี มานะวฒุ ิ ทองส่งโสม และระตกิ รณ์ นยิ มะจันทร์ หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา วิทยาลัยการฝกึ หดั ครู มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร กรุงเทพฯ 0 e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 093-695-5179 บทคดั ยอ่ การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัญหาการบริหารงานวิชาการ ในสภาวะวกิ ฤตชิ ว่ งการแพรร่ ะบาดของโรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา2019 (COVID-19) ของโรงเรยี นในกลมุ่ สหวิทยา เขตสวนเทพรัตน์ทีปไท้เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึ กษามัธยมศึกษาปทุมธานี 2) เพ่ือเปรียบเทียบปัญหาการบริหารงานวชิ าการ ในสภาวะวิกฤติชว่ งการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโร นา2019 (COVID-19) ของโรงเรยี นในกลุม่ สหวิทยาเขตสวนเทพรตั น์ทปี ไท้เฉลมิ พระเกียรติ สังกดั สำนกั งานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยไดแ้ ก่ ครผู ู้สอนในโรงเรยี นกลมุ่ สหวทิ ยาเขตสวนเทพรตั น์ทีปไท้เฉลิมพระเกยี รติ สงั กัดสำนักงานเขต พน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาปทมุ ธานี จำนวน 217 คน เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเปน็ แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน คา่ t-test (Independent Samples t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการบริหารงานวิชาการ ในสภาวะวิกฤติช่วงการแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ของโรงเรียนในกลุ่มสหวิทยาเขตสวนเทพรัตน์ทีปไท้เฉลิมพระเกียรติ สังกดั สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศึกษาปทมุ ธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีคา่ เฉล่ีย สูงสุด คือ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา รองลงมาคือ การวิจัยเพื่อพัฒนา คุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนาส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ การวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน 2) ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารงาน วิชาการ ในสภาวะวิกฤติช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) จำแนกตามวุฒิ การศกึ ษาและประสบการณ์ในการทำงานไม่แตกต่างกนั คำสำคัญ: ปัญหาการบริหารวชิ าการ, ผู้บริหาร, สภาวะวิกฤติชว่ งการแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

89 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรอ่ื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศึกษาระดับการรบั ร้คู วามสามารถของตนเองและพฤตกิ รรมการสรา้ งนวตั กรรมของผบู้ ริหาร สถานศกึ ษาสงั กัดสำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สรายุทธ์ สหี ะวงค์, พงษศ์ ักดิ์ ศรจี นั ทร์ และนวตั กร หอมสิน e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 0659692646 บทคดั ย่อ การวิจัยครง้ั นมี้ ีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื 1) ศึกษาการรับรู้ความสามารถของตนเองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2) ศึกษาพฤติกรรม สร้างนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสังกดั สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษาในเขตภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ จำนวน 169 คน ได้มาโดยใช้การสุ่ม อย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ เกี่ยวกับการรับรู้ความสามารถของตนเอง และพฤติกรรมการสร้างนวัตกรรมของผู้บริหาร วเิ คราะห์ข้อมูลหาความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ความสามารถของตนเองของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน อยู่ในระดับมากที่สุด 2) พฤติกรรม การสร้างนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในเขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน อยู่ในระดบั มากท่ีสุด คำสำคัญ: การรับรคู้ วามสามารถของตนเอง, พฤติกรรมสร้างนวัตกรรม

90 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผนู้ ำสถานศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 ท่ีมีผลต่อความสำเรจ็ ของโรงเรยี น สังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษาสุรินทร์ ภานวุ ฒั น์ เอตยิ ตั ิ และสุดใจ พันธศ์ รี มหาวิทยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทิรน์ บทคัดย่อ งานวิจัยนมี้ ีวัตถปุ ระสงคว์ ิจยั เพือ่ นำเสนอแนวทางพัฒนาทักษะบริหารของผู้นำสถานศกึ ษาที่ส่งผลต่อ ความสำเร็จของโรงเรียน โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามชนิดมาตรวัด 5 ระดับจำนวน 40 ข้อไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการรวบรวมความเห็นของผูบ้ รหิ ารและครูโรงเรียนในสังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัด สุรินทรจ์ ำนวน 360 คนแล้วนำกลบั มาวิเคราะห์ผล ผลวิจยั พบว่า แนวทางพฒั นาทักษะบรหิ ารให้มผี ลต่อความสำเร็จของโรงเรียน แนวทางพัฒนาทักษะ บริหารให้มีผลต่อความสำเร็จของโรงเรียนด้านทักษะหนักมีเพียงองค์ประกอบเดียวคือ ความรอบรู้ด้านส่ือ เทคโนโลยี โดยมีค่าสัมประสิทธิ์พยากรณ์ที่ R2 = .01 และมีผลทดสอบความแปรปรวนที่ค่า F = 6.73 (Sig. 010) ส่วนแนวทางการพัฒนาทักษะบริหารด้านอ่อนโยนนั้นประกอบด้วย 1) การรับฟังเพื่อความเข้าใจ 2) ความคิดสร้างสรรค์ที่ยืดหยุ่นได้ 3) การแก้ปัญหาที่สลับซับซ้อน และ 4) ความฉลาดด้านอารมณ์ โดยที่ทั้ง 4 แนวทางมีอิทธิพลร่วมกันที่ R2 = .11 กับมีความสามารถในการอธิบายความแปรปรวนร่วมกันได้ที่ค่า F = 31.42 (Sig. 000) คำสำคัญ: ทกั ษะบรหิ าร, ความสำเร็จของโรงเรยี น

91 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง การใช้พละ 5 กบั ชุมชนการเรยี นรวู้ ิชาชีพครู และขดี ความสามารถผเู้ รยี น พนมพร ชว่ งชิง คณะศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ e-mail: [email protected], โทรศัพท:์ 0898498792 บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของค่าเฉลี่ยตัวแปร การใช้พละ 5 ชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพครู และขีดความสามารถผู้เรียน โดยผู้วิจัยสร้างและพัฒนา แบบสอบถาม ไปเก็บข้อมูลกลุ่มผู้บริหารและครู ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 341 คน สำหรับนำมา วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และศึกษาความสัมพันธ์ แล้วผลวิจัยพบว่า ตัวแปรหลักทั้งสามมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และมีความน่าเชื่อถือสูง โดยมีคะแนนความคลาดเคลื่อนระหว่าง .01-.03 อีกทั้งยังพบว่า มีความสัมพันธ์ ไปในทิศทางเดียวกัน ระดับปานกลางถึงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่า r ระหว่าง .49-.71 แต่อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาถึงผลกระทบอื่นเพิ่มเติม เช่น ผลกระทบจากความเชื่อ และ การมที ัศนคตติ ่อการจัดการศึกษาทต่ี า่ งกันของกลมุ่ ตัวอย่างอื่นตอ่ ไป คำสำคัญ: การใช้พละ 5 ชมุ ชนการเรยี นรู้วชิ าชพี ครู, และขีดความสามารถผเู้ รียน

92 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั กจิ กรรมการเลา่ เรื่องจากภาพ เพื่อพฒั นาทักษะการพูดของเดก็ ปฐมวัย ชน้ั อนุบาลปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นนาขาม อำเภอโพธไิ์ ทร จังหวัดอุบลราชธานี ธดิ ารัตน์ สว่างเนตร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ ์น บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทยี บพฤติกรรมการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังเข้าร่วม กิจกรรมเล่าเรื่องจากหนังสือภาพ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในงานวิจัย คือ เป็นเด็ก ชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5–6 ปี จำนวน 10 คน ท่ีกำลังศึกษาอย่ชู นั้ อนุบาลปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านนาขาม ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อบุ ลราชธานี ผวู้ จิ ยั ดำเนนิ การทดลอง เป็นเวลา 8 ครง้ั คร้ังละ 10 – 15 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสังเกตพฤติกรรม การพูดของเด็กปฐมวัย 2) แผนการจัดกิจกรรมการเล่าเรื่องจากภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย จำนวน 8 แผน นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 8 เรื่อง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย (������) และคา่ รอ้ ยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่เข้าร่วมการจัดกิจกรรมการเล่าเรื่องจากภาพ มีพฤติกรรมการพูดสูง กวา่ ก่อนการทดลอง โดยมผี ลต่างเทา่ กับ 5.2 คดิ เปน็ รอ้ ยละท่ีเพ่ิมข้ึน 29.88 คำสำคญั : เลา่ เรื่องจากภาพ, ทักษะการพูด, เด็กปฐมวัย

93 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาทักษะด้านการสังเกตและการสื่อความหมาย ด้วยการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ตามแนวคิด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้นั อนุบาลปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านหินสงู พรรณิภา ทองพิทักษ์ และสภุ าภรณ์ ภริ มร่นื คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะด้านการสังเกตและการสื่อความหมายของ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหินสูงด้วยการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามแนวคิดกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ โดยใหน้ กั เรียนจำนวนไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 70 มีคะแนนสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนน เต็ม แบบแผนการวิจัยนี้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบแบบกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Design) โดยใช้ กลุ่มเป้าหมายในการทดลองเพียงกลุ่มเดียว โดยวัดเฉพาะหลังการทดลองเพียงครั้งเดียว (One Shot Case Study) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี คอื เดก็ ชาย – หญิง อายุ 5 - 6 ปี ท่กี ำลังเรียนอยู่ช้ันอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหินสูงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 3 อำเภอสิรนิ ธร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 22 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัด กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ตามแนวคิดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือพฒั นาทักษะด้านการสังเกตและการส่ือ ความหมาย สำหรับชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 แผน 2) แบบประเมินทักษะด้านการสังเกตและการส่ือ ความหมาย จำนวน 14 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) คา่ ร้อยละ (P) และการหาคา่ ความสอดคลอ้ ง (IOC) ผลการวิจัย พบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ได้รับจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามแนวคิด กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ มีทักษะด้านการสังเกตและการสื่อความหมาย สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 82.79 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 70/70 นักเรียนจำนวนทั้งหมด 22 คน ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 มีจำนวน 20 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 90.91 ของจำนวนนกั เรยี นทงั้ หมด ซงึ่ สูงกวา่ เกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ นักเรียนรอ้ ยละ 90.91 มีคะแนนทดสอบทักษะด้านการสังเกตและการส่ือความหมายผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 คำสำคัญ: การสังเกต, การส่อื ความหมาย

94 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) รายงานผลการพัฒนาทกั ษะพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กช้ันอนุบาลปีที่ 3 ประกอบชุดกจิ กรรมการ เรยี นรู้ตามแนวคิดการเรยี นรขู้ องสมอง (Brain - Based Learning) โรงเรียนบ้านด่าน วไิ ลวรรณ สมเทพ และทองใบ สหนุ นั คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทริ น์ บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านด่าน ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดการเรียนรู้ของสมอง (Brain - Based Learning) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้แบบแผน การทดลองกลุ่มเดียวมีการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest - Posttest Design) ซง่ึ กลมุ่ เปา้ หมายท่ีใช้ในการวจิ ัยคร้งั น้ี เป็นเดก็ ชาย - หญงิ ท่มี ีอายุ ระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านด่าน ตำบล โขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดองค์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 34 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือท่ใี ช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรูข้ องสมอง (Brain - Based Learning) เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 50 กิจกรรม 2) แผนการจัด ประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ประกอบชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้ของสมอง (Brain - Based Learning) จำนวน 50 แผน และ 3) แบบประเมิน ทักษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ สำหรับเดก็ ช้ันอนบุ าลปที ี่ 3 จำนวน 10 ข้อ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล วเิ คราะห์ข้อมูล โดยคำนวณหาคา่ เฉลี่ย (  ) สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ( ) และค่ารอ้ ยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านด่าน มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงข้ึน หลังจากได้รับการจัดประสบการณ์ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้ของสมอง ( Brain - Based Learning) โดยมีผลต่างของร้อยละ เทา่ กบั 44.78 ความสำคัญ: เดก็ ปฐมวัย, ทักษะพน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์

95 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) รายงานผลการพฒั นาความพรอ้ มพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการเรยี นรู้ ชุดสนกุ คิดกับคณิตศาสตร์ สำหรบั เดก็ ชน้ั อนบุ าลปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านโนนแคน วนั เพ็ญ บญุ ผอ่ ง และวิชาญ ไทยแท้ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การจดั การและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ บทคัดยอ่ การพฒั นาความพรอ้ มพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชุด สนุกคดิ กบั คณติ ศาสตร์ สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโนนแคน มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความพร้อมพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโนนแคน อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2564 ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ชุด สนุกคิดกับคณิตศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ขวบ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านโนนแคน ตำบลตบหู อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 21 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย 1) กิจกรรมการเรียนรู้ ชุดสนุกคิดกับ คณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 50 กิจกรรม 2) แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ชุด สนุกคิดกับคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาความพร้อม พืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรบั เดก็ ช้นั อนุบาลปีท่ี 3 จำนวน 50 แผน และ 3) แบบทดสอบความพรอ้ มพ้ืนฐาน ทางคณิตศาสตร์ จำนวน 10 ขอ้ การวิเคราะหข์ อ้ มลู วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยคำนวณหาคา่ เฉล่ยี (  ) สว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐาน ( ) และคา่ รอ้ ยละ (P) ผลการศกึ ษาพบว่า เด็กช้นั อนุบาลปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นโนนแคน อำเภอเดชอุดม จงั หวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 มีความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สงู ขนึ้ หลงั จากไดร้ บั การจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ชดุ สนกุ คิดกบั คณติ ศาสตร์ โดยมีผลต่างของ ร้อยละ เท่ากับ 55.71 คำสำคญั : ความพร้อมพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์, ปฐมวัย

96 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพฒั นาทักษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ โดยใช้ชดุ กิจกรรมคณติ ศาสตร์ตามแนวคิดแบบจติ ปัญญา สำหรับเด็กช้ันอนบุ าลปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นโนนนอ้ ย อำนาจ แดนเดช และพชิ าญ ณ พัทลุง คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทิร์น บทคดั ยอ่ การวจิ ยั คร้ังนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อเปรยี บเทียบทกั ษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ของเด็กชนั้ อนบุ าล ปีที่ 2 ก่อนและหลังการจดั ประสบการณโ์ ดยใชช้ ดุ กิจกรรมคณิตศาสตร์ตามแนวคิดแบบจิตปัญญา สำหรบั เดก็ ชั้นอนุบาล ปีที่ 2 การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Design) แบบกลุ่มเดียวและ มีการทดสอบก่อนและหลังทดลองที่เรียกว่า One - Group Pretest - Posttest Design กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการ วิจัยในครั้งนี้ คือ เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี กำลังเรียนอยู่ช้ันอนบุ าลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านโนนน้อย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 โดยที่ผู้วิจัยเปน็ ครผู ู้สอนในระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 2 จำนวน 9 คน เพ่ือรบั การจดั ประสบการณโ์ ดยใช้ชุดกจิ กรรมคณติ ศาสตร์ตาม แนวคิดแบบจิตปัญญา เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 60 ครั้ง จัดกิจกรรมครั้งละ 30 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดแบบจิ ตปัญญา สำหรบั เด็กช้ันอนุบาลปีท่ี 2 2) คู่มือการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดแบบจิตปัญญา สำหรับ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 และ 3) แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 และ วิเคราะหข์ ้อมลู โดยการคำนวณหาค่าเฉลี่ย (  ) ค่าความเบีย่ งเบน-มาตรฐาน ( ) และคา่ ร้อยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโนนน้อย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้ ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ตามแนวคิดแบบจิตปัญญา มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หลังการจัดประสบการณ์ สูงกวา่ กอ่ นการจดั ประสบการณ์ โดยมคี า่ เฉลีย่ แตกตา่ งกนั คิดเปน็ ร้อยละ 58.33 คำสำคญั : ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์, ชุดกิจกรรม,จติ ตปญั ญา

97 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั กจิ กรรมเกมการศึกษาแบบร่วมมอื เพ่ือส่งเสรมิ ทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ สำหรบั เด็กปฐมวัย ชัน้ อนุบาลปที ี่ 3 บ้านหว้ ยเดื่อ อรวรรณ ทองพิทักษ์ และสภาภรณ์ ภิรมรืน่ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทริ น์ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา แบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 2) เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาแบบ รว่ มมอื การวิจยั ครงั้ นเ้ี ป็นการวจิ ัยกง่ึ ทดลอง (Quasi – Experimental Research) ซ่งึ ผู้วิจัยได้ใชแ้ บบแผนการ ทดลองกลุ่มเดียวมีการวัดผลก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ (One Group Pre-test Post-test Design) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัย หญิง-ชาย อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล ปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยเด่ือ อำเภอสิรินธร จงั หวดั อุบลราชธานี สงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ประกอบดว้ ย 1) แผนการจดั กจิ กรรมเกมการศกึ ษาแบบรว่ มมือ เพื่อส่งเสริมทกั ษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ สำหรับ เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 2) กิจกรรมเกมการศึกษาแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 และ 3) แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ช้นั อนบุ าลปที ี่ 3 วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการคำนวณหาคา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริม ทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.5349 แสดงว่า นักเรียน มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นหรือมีความก้าวหน้าทางด้านความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 53.49 2) เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยเดื่อ มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังการจัด กจิ กรรมสงู กวา่ ก่อนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาแบบร่วมมือ โดยมีผลต่างของรอ้ ยละ เทา่ กับ 43.20 ความสำคัญ: เด็กปฐมวัย, เกมการศกึ ษา

98 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความสมั พันธ์ระหวา่ งรูปแบบภาวะผนู้ ำและสมรรถนะดจิ ิทัลของครู สงั กัดสำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ วลิ ัยวรรณ สุภชาติ และภานุมาศ จนิ ารตั น์ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทริ น์ บทคัดย่อ การพฒั นารปู แบบภาวะผ้นู ำในสถานศึกษาให้มผี ลต่อการยกระดบั ความสามารถของครูในการนำเอา สอื่ ดิจทิ ลั และเทคโนโลยีไปใชใ้ นการจัดการศึกษาของนกั เรียนนัน้ จำเป็นต้องเร่ิมตน้ จากการกำหนดให้ชัดก่อนว่า ตอ้ งใช้รูปแบบภาวะผ้นู ำใด เพราะฉะน้นั งานวจิ ัยน้ีมจี ดุ มุ่งหมายเพ่อื ศึกษาแนวทางการพฒั นารปู แบบภาวะผู้นำ ที่ส่งผลต่อสมรรถนะดิจิทัลครู โดยผู้วิจัยได้รวบรวมเอาความเห็นของผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ จำนวน 382 คนมาวิเคราะห์ผล แล้วได้ผลวิจัยพบวา่ แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วย 1) การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และ 2) การพัฒนาภาวะผู้นำแบบเสรี โดยทั้งสอง รปู แบบมอี ิทธิพลต่อการพฒั นาสมรรถนะดจิ ทิ ัลครูถงึ ร้อยละ 26 อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .00 คำสำคัญ: รูปแบบภาวะผู้นำ, สมรรถนะดิจทิ ัล

99 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การใช้สอ่ื สงั คมออนไลน์ในการสง่ เสริมพฤติกรรมของเดก็ และเยาวชนในโรงเรยี น สงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา อุบลราชธานี เขต 5 อนวรรษ จิตจกั ร และอภยั สบายใจ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ น์ บทคดั ย่อ การใช้สื่อออนไลน์ของครูมากขึ้น ย่อมส่งผลให้การส่งเสริมพฤติกรรมนักเรียนในทิศทางเดียวกัน ผู้บริหารต้องให้การสนับสนุน และพัฒนาความพร้อมของระบบบริหารจัดการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ กระแสเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดังนั้นผู้วิจัยต้องการทราบเกี่ยวกับ ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง การใช้สื่อสังคมออนไลน์กับการส่งเสริมพฤติกรรมของครูประถมศึกษาเขต 5 อุบลราชธานี โดยผู้วิจัยใช้ แบบสอบถามจำนวน 58 ข้อไปใช้ในการรวบรวมความเห็นของผู้บริหารและครู 280 คน แล้วนำกลับมา วิเคราะห์ผล และผลการวิจัยพบว่า การใช้สื่อออนไลน์และการส่งเสริมพฤติกรรรมของเด็กและเยาวชนมี ความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันระดับมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 กับมีค่าสัมประสิทธ์ิ สหสัมพนั ธ์ r = .85 คำสำคัญ: การใชส้ อ่ื สงั คมออนไลน์, การสง่ เสริมพฤติกรรม

100 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งการพัฒนาครูและบคุ ลากรในโรงเรยี นเอกชนกบั ความพร้อมจัดการศึกษา แบบออนไลน์ ในเขตจงั หวัดอบุ ลราชธานี อารรี ัตน์ มณีกรรณ์ และสมานจติ ร ภริ มย์รื่น มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทริ ์น บทคดั ยอ่ การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในช่วงวิกฤติ Covid-19 เป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้บริหาร สถานศึกษาที่จำเป็นต้องเร่งพัฒนาทุกปัจจัยให้มีความพร้อมสำหรับการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้วิจัยตั้งใจ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาครูและบุคลากรของโรงเรียนเอกชนกับความพร้อมจัดการศึกษา แบบออนไลน์ จากการรวบรวมความเห็นของผู้บรหิ ารและครู จำนวน 370 คนแล้วนำกลบั มาวิเคราะห์ผล และ ได้ข้อสรุปของผลวิจัยว่า การพัฒนาครูและบุคลากรมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกกับความพร้อมจัดการศึกษา แบบออนไลน์ อย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 และองคป์ ระกอบท้ังหมดมีความเป็นไปได้ร้อยละ 100 ต่อ การพยากรณค์ วามพร้อมในการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี น คำสำคัญ: การพฒั นาครู, บุคลากรความพรอ้ มจดั การศกึ ษาแบบออนไลน์

101 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ปัจจัยเอ้ือกับ e-library ทก่ี ระทบต่อกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของศนู ย์การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั ในเขตจงั หวัดอบุ ลราชธานี อกุ ันดา พิมหลอ่ และสุดใจ พันธศ์ รี มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น บทคดั ย่อ งานวิจยั น้มี ีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื นำเสนอแนวทางการพัฒนาปัจจยั เอื้อและกระบวนการทำงาน e-library ให้มีผลต่อกิจกรรมส่งเสริมการอ่านแบบ Online โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามขึ้นมาจากการทบทวนแนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านแล้วนำมาร่างเป็นข้อคำถามจำนวน 68 ข้อแล้วนำไป ทดสอบคุณภาพก่อนปรบั ปรุงแกไ้ ขสำหรับนำไปใช้รวบรวมข้อมลู จากกลุ่มตวั อยา่ งซึง่ เปน็ บรรณารักษ์ นักศึกษา และประชาชนของศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดอำนาจเจริญกับอุบลราชธานี จำนวน 360 คน แล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนา ปัจจัยเอื้อและกระบวนการทำงาน e-library ให้มีผลหรือแสดงผลต่อการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของศูนย์ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตจังหวัดอำนาจเจริญและอุบลราชธานีนั้นประกอบด้วย 1) การพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิต 2) การพัฒนาความรู้และข้อมูลการดูแลสุขภาพ 3) การพัฒนาความรู้และข้อมูลการประกอบอาชีพ 4) การพัฒนาระบบการให้บริการยืม Tablet 5) การเพ่ิม จำนวนคอมพิวเตอร์ และ 6) การพฒั นาสภาพแวดล้อมการอา่ น คำสำคัญ: ปจั จัยเอ้อื , กระบวนการทำงานของ e-library, กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน

102 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางการพัฒนาระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนให้มผี ลต่อความพึงพอใจของผู้ปกครองในศตวรรษท่ี 21 สทุ ธศิ กั ดิ์ จันทรศ์ รี และอภยั สบายใจ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ ์น บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบดูแลนักเรียนให้เป็นที่พึงพอใจต่อ ผู้ปกครองนักเรียน โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามจำนวน 57 ข้อขึ้นมาจากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎี เกี่ยวกับระบบดูแลนักเรียน กับความพึงพอใจของผู้ปกครอง หลังจากนั้นผู้วิจัยได้นำไปทดสอบ คุณภาพก่อน นำไปเกบ็ ขอ้ มูลจากผปู้ กครองนักเรียนระดับประถมศึกษา เขต 5 จังหวดั อุบลราชธานี จำนวน 192 คน แล้วนำ กลับมาวิเคราะห์ผลด้วยโปรแกรมสถิติ และมีผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนา ประกอบด้วยการพัฒนาการ สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ผู้เรยี น กับการวเิ คราะหแ์ บบแผนของผเู้ รยี น โดยปจั จยั ทง้ั สองมีอิทธพิ ลต่อความพึงพอใจ ของผูป้ กครองทส่ี มั ประสิทธิ์ R2 = .25 ความคลาดเคลอ่ื น Std. = .12, ความแปรปรวน F= 32.13 (Sig .000) คำสำคัญ: ระบบดูแลนักเรียน, แนวทางการพัฒนา, ความพงึ พอใจของผู้ปกครอง

103 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศกึ ษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ของนกั เรียน ระดบั ช้นั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี แผนกการบญั ชี วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ จังหวัดศรสี ะเกษ พิมพภ์ ัทรา เลศิ เรืองศิริ และสิริพร แสนทวีสขุ มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทิรน์ บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อ 1) ศึกษาลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลและการจัดการเรียนการสอน ออนไลน์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนาพื้นที่การสอนออนไลน์ โดยผู้วิจัยใช้ แบบสอบถามจำนวน 31 ข้อไปรวบรวมความเห็นของกลุม่ ตวั อย่างท่ีเป็นผูบ้ รหิ าร ครูและนักเรียนจำนวน 319 คน มาวเิ คราะห์ผล ผลวิจัยพบว่า 1) ลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของงานวิจัยนี้เป็นเพศหญิงร้อยละ 75.5 ที่เหลือร้อยละ 24.5 เป็นเพศชายและมีอายุต่ำกว่า 25 ปีกับเป็นนักเรียนแผนกบัญชีร้อยละ 80.3 อีกทั้งยังมีประสบการณ์ ทำงานน้อยกว่า 5 ปี กับมีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือนร้อยละ 98.4 ส่วนลักษณะการจัดการเรียน การสอนออนไลน์อยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและองค์ประกอบ 2) ผู้บริหาร ครูและนักเรียนที่มีตำแหน่งและ รายได้แตกต่างกนั มีความเห็นเกีย่ วกบั การจดั การเรียนการสอนแบบ Online แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 และมีผลทดสอบค่า F จำแนกตามตำแหน่งงานที่ 3.59 (Sig. 014) และจำแนกตามรายได้ต่อ เดอื นที่ 2.99 (Sig. 031) 3) องค์ประกอบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน ระดับปานกลางถึงระดับมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) แนวทางการพัฒนาพื้นที่การสอน ออนไลน์ประกอบด้วย 4 แนวทางคือ แนวทางการพัฒนา ฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ การพัฒนาการใช้อุปกรณ์ สือ่ สารการจดั หอ้ งเรยี นออนไลน์ และการใชเ้ ครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ นต็ คำสำคัญ: ลักษณะปัจจัยส่วนบคุ คล, การจัดการเรียนการสอนออนไลน์

104 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ประสทิ ธิผลในการจดั การเรียนการสอนออนไลน์ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนท่ปี ระถมศึกษาจังหวดั อำนาจเจรญิ บณุ ญาภคั พลธรรม และเปรมยุดา ลุสมบตั ิ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ย่อ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุของประสิทธิผลเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลและศึกษา ความสัมพันธ์ของการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ ประถมศึกษาอำนาจเจริญ ปีการศึกษา 2564 ทั้งหมด 348 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือความถ่ี ร้อยละค่าเฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ความแปรปรวน t-test, F-test, MANOVA และวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณลักษณะตัวอย่างจำแนกตามเพศ จากผลวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เปน็ เพศชายคดิ เปน็ ร้อยละ 51 และเป็นหญิงร้อยละ 49 ระดับค่าเฉลย่ี ประสิทธผิ ลของการจัดการเรียนการสอน ออนไลน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 3.80 (SD = .38) นอกจากนี้ ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ประสิทธิผลของการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ ประถมศึกษาอำนาจเจริญจำแนกตามเพศมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีระดับ.05 โดยมร ผลทดสอบ t = 12.57 (Sig .000) คำสำคญั : ประสิทธิผลการจัดการเรยี นการสอนออนไลน์

105 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ภาวะผู้นำของผู้บรหิ ารสถานศึกษาที่มตี ่อการเปน็ ทมี ของครู: กรณีศกึ ษาสหวทิ ยาเขตบุษกร จังหวดั อุบลราชธานี พิมพช์ นก ไชโยธา และสมานจิตร ภิรมยร์ ่นื มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอีสเทริ น์ บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มวี ัตถุประสงค์วิจัยเพือ่ ศึกษาปัจจัยสว่ นบุคคล ลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา และการทำงานเป็นทีมของครู รวมไปถึงศึกษาความต่างกันของค่าเฉลี่ยและความสัมพันธ์กับความมีอิทธิพล ระหว่างกันของตัวแปรทั้งสอง โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 39 ข้อไปเก็บรวบรวมความเห็นของผู้บริหาร และครูโรงเรียนสหวิทยาเขตบุษกรจำนวน 222 คนนำกลับมาวิเคราะห์ผล โดยมีผลวิจัยพบว่าผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญเ่ ป็นครูสตรีที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปีที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและมีประสบการณ์ ทำงานมาไม่น้อยกว่า 5 ปี ส่วนลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาและการทำงานเป็นทีมมีค่าเฉล่ีย ระดับมากทั้งในภาพรวมและองค์ประกอบ ยกเว้นความสำคัญและคุณค่าของแต่ละคนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ ปานกลาง นอกจากนั้นแล้วผลวิจัยยังพบว่าตำแหน่งผู้บริหารและครูที่ต่างกันมีผลต่อความแตกต่างกันของ ค่าเฉลี่ยการทำงานเป็นทีมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตลอดจนถึงมีความสัมพันธ์ไปในทิศทาง เดยี วกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ของตัวแปรทงั้ สอง แต่ท่ีคน้ พบสำคญั คอื แนวทางพฒั นาภาวะผู้นำ ของผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วยสองแนวทางคือการพัฒนาการกระตุ้นปัญญาอย่างมีเหตุผล และ ความสำคัญกับคุณคา่ ของครแู ตล่ ะคน โดยทปี่ ัจจยั ท้งั สองมีอทิ ธิพลพยากรณ์ร่วมกนั ท่รี ้อยละ 59 คำสำคัญ: ภาวะผูน้ ำของผูบ้ ริหารสถานศึกษา, การทำงานเป็นทมี ของครู

106 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ทกั ษะของผู้บรหิ ารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กบั การประยุกต์ใช้ E-Learning ในกระบวนการจัดการ เรียนการสอนในสถานการณแ์ พร่ระบาดของโรคติดตอ่ เช้ือไวรสั โคโรน่า 2019 ในโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา : สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ภตั ราภรณ์ ปทั มคัมม์ และเปรมยดุ า ลสุ มบตั ิ ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอีสเทิร์น บทคดั ย่อ วัตถุประสงค์ของทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการประยุกต์ใช้ E-Learning ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา:สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 คือ 1) เพ่อื ศึกษาระดับค่าเฉลี่ยและการเปรียบเทียบ 2) เพือ่ ศึกษาความสัมพันธ์ และ 3) เพื่อเสนอแนะผู้บริหารครู บคุ ลากรทางการศึกษากลุม่ ตัวอยา่ งคือผู้บริหาร/ครู/เจ้าหน้าท่ีปกี ารศึกษา 2564 ทั้งหมด 328 คน สถิติท่ีใช้ใน การวิจัยคือความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ ความแปรปรวน t-test, F- test, MANOVA และวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60 และเป็นเพศชาย ร้อยละ 40 และจากทั้งในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ รองลงมา คือ ทักษะดา้ นมนุษยส์ มั พนั ธ์ ทักษะด้านการสือ่ สาร ทกั ษะการบรหิ ารองค์การ ทักษะดา้ นเทคโนโลยีและการใช้ ดิจิทลั เรียงลำดบั จากมากไปหาน้อย สว่ นการประยุกต์ใช้ E-Learning ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนจาก ทง้ั ในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก เม่อื พจิ ารณาแต่ละด้านการประยุกตใ์ ช้ E-Learning การใช้แพลตฟอร์มการสอน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดรองลงมาคือ ความพร้อมของครูผู้สอน การประยุกต์ใช้ E-Learning การจัดการห้องเรียน การประยุกต์ใช้ E-Learning การออกแบบ การเรียนการสอน การประยุกต์ใช้ E-Learning ในการใช้สื่อ การสอนและการประยุกตใ์ ช้ E-Learning การวดั และประเมินผลเรียงลำดบั จากมากไปหาน้อย คำสำคัญ: ทกั ษะของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา, ศตวรรษท่ี 21 กับการประยกุ ตใ์ ช้ E-Learning

107 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การรบั รขู้ องผู้ปกครองทมี่ ตี ่อนโยบายการจัดการเรยี นการสอนในสถานการณ์โควิต-19: สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 3 สุภาวดี จันทร์สอ่ ง และอภัย สบายใจ มหาวิทยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ บทคัดย่อ วัตถุประสงค์วิจัยเรื่องการรับรู้ของผู้ปกครองที่มีต่อนโยบายการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์ โควิต-19: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนขยายโอกาส เขต3 อำเภอสิรินทร จังหวัด อุบลราชธานี 1) เพื่อศึกษาการรับรู้ของผู้ปกครองศึกษาระดับค่าเฉลี่ยและการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 2) ศึกษา ความความสัมพันธแ์ ละเสนอแนะผ้บู ริหารครูบุคลากรทางการศึกษาท่ีมตี ่อนโยบายการจัดการเรียนการสอนใน สถานการณ์โควิต-19 ปีการศึกษา 2564 ทั้งหมด 339 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ความแปรปรวน t-test ,F- test, MANOVA และวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตัวอย่างจำแนกตามเพศ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิง ร้อยละ 50.7 เพศชาย คิดเป็นร้อยละ49.3 และจากทั้งในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากโดยมีค่า เฉล่ีย 4.10 (SD=.55) ค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ On Demand คือใช้งานผ่านแอปพิเคชั่นต่าง ๆ รองลงมา On Air คือการออกอากาศผ่าน DLTV, On Line คือครูเป็นผู้จัดการเรียนการสอนกลุ่มนักเรียนอยู่ที่บ้านโดยมี และ On Site คือให้มาเรียนตามปกติ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยการทดสอบ One-Way ANOVA พบว่าปัจจัย ส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามอายุ ขนาดของโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ลูกของท่านเรียนระดับใด อาชีพ ของผู้ปกครอง รายได้ของผู้ปกครองต่อปี ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง ท่านเข้าประชุมผู้ปกครองเทอมละ กี่ครั้ง ผู้ปกครองรับรู้ข่าวสารจากโรงเรียนผ่านสื่อออนไลน์ไดมากที่สุดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ.05 ผลการเปรียบเทียบ MANOVA Analysis จำนวน 3 กลุ่ม พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง อายุ*ขนาดของโรงเรียนมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าทดสอบ F เท่ากับ 5.893 (Sig.000) กลุ่มตัวอย่างอายุ*บุตรเรียนระดับใด มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 โดยมคี ่าทดสอบ F เท่ากับ3.566 (Sig.001) กลุ่มตัวอย่างอายุ*ขนาดของโรงเรียน*บุตรเรียนระดับใด มีค่าเฉลยี่ ไม่แตกต่างกนั อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 โดยมคี ่าทดสอบ F เทา่ กับ 1.018 (Sig.385) คำสำคัญ: นโยบายการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์โควติ -19, การรับรขู้ องผปู้ กครอง

108 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) บทบาทของผู้บรหิ ารสถานศึกษาตอ่ การสง่ เสริมการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร (ICT) เพ่ือการจดั การเรยี นรู้ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ ตอ่ เช้ือไวรัสโคโรนา่ 2019 โรงเรียนประถมศกึ ษา สังกดั สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 อภิยศ ปทั มคมั ภ์ และอภยั สบายใจ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทริ น์ บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาให้มีผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจัดการเรียนการสอนของครู โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 42 ข้อไปเก็บรวบรวมความเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูใน สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ทปี่ ระถมศึกษาศรสี ะเกษ เขต 3 จำนวน 350 คน ต่อจากนั้นผวู้ ิจยั นำไปวิเคราะหผ์ ลด้วย สถิตวิ เิ คราะห์คา่ เฉลีย่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ความคลาดเคล่ือน และสถติ วิ เิ คราะหถ์ ดถอยพหคุ ูณ โดยผลวจิ ยั พบว่า แนวทางพัฒนาประกอบด้วย การพัฒนานโยบายและการวางแผน พัฒนาการจัดการระบบเครือข่าย พัฒนาการจัดฝึกอบรม พัฒนาการกำกับติดตามผล และพฒั นาการประเมนิ ผลปฏิบตั งิ าน โดยทีแ่ นวทางทง้ั หมด มีอิทธิพลต่อการพยากรณ์การวางแผนการสอนที่ ร้อยละ 47 มีอิทธิพลต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน รอ้ ยละ 65 และมอี ทิ ธิพลต่อการติดตามความก้าวหน้าของนักเรยี น รอ้ ยละ 36 คำสำคญั : บทบาทสง่ เสริมของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา, การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศจดั การเรียนการสอน

109 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศกึ ษาปจั จยั ทีส่ ่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลนข์ องนกั เรยี น ระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) วิทยาลัยเทคนิคหวั ตะพาน จ.อำนาจเจริญ อรอน นวลอินทร์ และสริ ิพร แสนทวีสขุ มหาวิทยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคัดยอ่ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ 2) ศึกษาระดับค่าเฉลี่ยและการเปรียบเทียบสภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ 3) ศึกษา ความสัมพันธ์การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ และ 4) เพื่อเสนอแนะครูหรือผู้บริหารถึงปัจจัยที่มีผลต่อ การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ศึกษาจากกลุ่มตวั อยา่ ง 314 คน สถติ ิทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ความแปรปรวน t-test, F-test, MANOVA และวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับค่าเฉลี่ยของปัจจัยที่มีผลต่อ การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ทั้งในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ย 4.22 (SD =.65) โดยตัวแปรองคป์ ระกอบด้านความพร้อมของอนิ เตอร์เนต็ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด นอกจากนี้ ปัจจัยสว่ น บุคคลจำแนกตามเพศ มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 โดยมีค่าทดสอบ t= -2.262 (Sig .002) คำสำคญั : การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์

การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง คุณภาพของการบริหารจัดการและนวัตกรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น Innovative Management Creative Techology ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่... 045-283-772 UMT“Wisdom for ALL” www.umt.ac.th


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook