29 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางการส่งเสรมิ การทอ่ งเทย่ี วโดยรถจกั รยานยนต์: กรณีศึกษากรงุ เทพมหานคร ชยั วฒุ ิ ชยั ฤกษ์, ใบเฟริ ์น วงษ์บัวงาม และปภาดา สืบพลาย 1สาขาวิชาการทอ่ งเท่ยี ว คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 086-5322399 บทคัดยอ่ การศึกษาเรื่อง แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรถจักรยานยนต:์ กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในโครงการวิจัยย่อยของแผนโครงการวิจัย เรื่องการกำหนดแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยรถจกั รยานยนต์สำหรับนกั ท่องเท่ียวโดยรถจกั รยานยนตใ์ นกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นแบบคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการของแบรนด์ รถจักรยานยนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย จำนวน 10 คน และกลุ่มผู้ก่อตั้งกลุ่มรถจักรยานยนต์ ที่มีสมาชกิ ในกลุม่ 10,000 คนขึน้ ไป รวมจำนวน 10 คน รวมทัง้ ส้ิน 20 คน ใชเ้ ครื่องมือแบบสอบถามปลายเปิด เพื่อสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอุปนัย (Analytic Induction) เพื่อตอบโจทย์ประเด็น คำถามงานวจิ ัย และบรรลุวัตถุประสงค์ในการวิจยั โดยการจำแนกข้อมูล (Typology Analysis) ตามประเด็นท่ี ศึกษา 6 ประเด็น คอื ดา้ นความนา่ สนใจของแหล่งท่องเที่ยว ดา้ นการตลาดและโปรโมชนั่ ดา้ นส่ิงอำนวยความ สะดวกที่เกี่ยวข้อง ด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ด้านค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว และด้านสมาคม ชมรม และ การรวมกลุ่มและนโยบายสง่ เสริมการทอ่ งเที่ยว ผลการศึกษาค้นพบแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรถจักรยานยนต์สำหรับ นักท่องเที่ยวที่พำนักในกรุงเทพมหานคร 6 ข้อ ดังนี้ 1) การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว 2) การพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยว 3 )การส่งเสริมผู้ประกอบการ 4) เร่งสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ 5) ส่งเสริมการจัดตั้ง สมาคม ชมรมที่เกย่ี วขอ้ ง 6) กำหนดนโยบายสง่ เสริมการท่องเทย่ี วโดยรถจกั รยานยนต์จากภาครฐั ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยต่อไป ควรทำการศึกษาในเร่ืองการป้องกนั อุบัติเหตุจากการท่องเที่ยวโดย รถจักรยานยนต์ เน่ืองจากรถจกั รยานยนต์เป็นพาหนะทกี่ อ่ ใหเ้ กิดความเสียหายสูงหากเกิดอบุ ตั เิ หตุ คำสำคัญ: แนวทาง, การส่งเสรมิ , การท่องเทีย่ วโดยรถจกั รยานยนต์
30 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การบริหารตามหลกั ธรรมาภิบาลส่งผลต่อประสทิ ธผิ ลการดำเนนิ งานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอนาแห้ว จงั หวัดเลย จักรพงษ์ ฟองชัย1, นาวิน วังครี 2ี , สรุ ีรตั น์ โบจรสั 3, สิรกิ ร อทุ ัยพัฒน์4, ถนอม คะตะวงศ์5 และฐติ ิมน ฉัตรจรัลรัตน์6 1-5 อาจารย์ประจำหลกั สตู รรฐั ศาสนศาสตรดุษฎบี ัณฑติ บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยราชธานี 6 อาจารยป์ ระจำหลกั สตู รศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑติ วทิ ยาลยั วทิ ยาลยั นอร์ทเทริ ์น e-mail: [email protected] บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและประสิทธิผล การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย และ 3) ศึกษาอิทธิพลของการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่มีต่อประสิทธิผล การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการแจกแบบสอบถามกับคณะผูบ้ ริหาร สมาชิกสภาฯ ขา้ ราชการ และพนักงานจา้ งตามภารกจิ สงั กดั องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย จำนวน 150 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอย เชิงพหุ ผลการวิจยั พบวา่ 1) กล่มุ ตัวอยา่ งมีระดับความคิดเหน็ เก่ียวกบั การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและ ประสิทธิผลการดำเนนิ งานขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิน่ ในอำเภอนาแหว้ จงั หวดั เลย ในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก 2) การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย มีความสัมพันธ์ในรูปเชิงเส้นและสัมพันธ์กันในทางบวก (r เป็นบวก) ในระดับสูง ที่ค่า r =0.79 ที่ระดับนัยสำคัญ 0.01 และ3)มีตัวแปรอิสระจำนวน 6 ตัวแปรมีอิทธิพลพยากรณ์ตัวแปรตาม ประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลยที่ระดับนัยสำคัญทาง สถิติ 0.05 โดยเรียงลำดับค่าสมั ประสิทธ์ิอิทธิพลจากมากไปหาน้อย ประกอบด้วย หลักความคุ้มค่า หลักความ โปร่งใส หลกั คณุ ธรรม หลกั นิตธิ รรม หลักความรับผิดชอบ และหลักความมีสว่ นร่วม คำสำคญั : การบริหารตามหลักธรรมาภิบาล, ประสทิ ธผิ ลการดำเนินงาน
31 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ปัญหาการบังคับใชก้ ฎหมายสงิ่ แวดล้อม : ศกึ ษากรณมี ลพิษทางนำ้ ไพรนิ ทร์ ขนั ตีสกุลเจรญิ และณฐั สนุ ทรสจั คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิร์น e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 095-664-4395 บทคัดย่อ การวิจัยเรื่อง ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดลอ้ ม : กรณีศึกษามลพิษทางน้ำ ได้ดำเนินการวิจัย โดยใช้เทคนิควิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ที่เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ประเด็นที่นำมาวิจัย คือ ความชัดเจนของตัวบทกฎหมาย ความทันสมัย ความเหมาะสมของ บทลงโทษ การประสานงานของหน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช้ของกฎหมาย ความรับผิดชอบหรือแบ่งงานของ หน่วยงาน และขั้นตอนในการบังคับใช้ ผลวิจัยมีดังนี้ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ำบางฉบับ มชี อ่ งว่าง คอื 1) ไม่ชดั เจนเพราะตอ้ งมีการตีความ 2) ไมท่ นั สมยั เพราะบางฉบับบังคบั ใชม้ านาน 3) อตั ราโทษ ของผู้กระทำความผิดไม่เหมาะสม คือ โทษเบา จนผู้กระทำผิดไม่เกิดการเกรงกลัว ปัญหาและอุปสรรคใน การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับมลพิษน้ำ คือ 1) ความรับผิดชอบและการแบ่งงานของหน่วยงานที่บังคับใช้ กฎหมายมีความซ้ำซ้อนกัน โดยเฉพาะในส่วนทีเ่ กี่ยวกับบทลงโทษมีความซ้ำซ้อนกัน 2) ขาดการประสานงาน ระหว่างหน่วยงาน เช่น กฎหมายแต่ละฉบับมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันและไม่ครอบคลุมจึงไม่สามารถบังคับ ใช้ได้ทุกปัญหา 3) ขั้นตอนในการบังคับใช้มีปัญหาและอุปสรรคมากในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การร้องทุกข์ กล่าวโทษ อำนาจฟ้อง การพิสูจน์ความผิด การเรียกค่าเสียหาย การประเมินค่าเสียหาย และกระบวนการวิธี พจิ ารณาความ คำสำคญั : กฎหมายสิ่งแวดลอ้ ม, มลพิษทางน้ำ
32 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การประเมินผลโครงการตำรวจอเิ ล็กทรอนิกส์ โดยระบบแอปพลเิ คชัน Police i lert u กรณศี ึกษา กองบังคบั การตำรวจนครบาล 6 ส.ต.อ.จีระ เลขะสันต์ และศาศวัต เพง่ แพ หลักสูตรรฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภัฏจนั ทรเกษม e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 0817669909 บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลโครงการตำรวจอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบแอปพลิเคชัน Police i lert u ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการดำเนินโครงการตำรวจอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบแอปพลิ เคชัน Police i lert u และศึกษาแนวทางในการพัฒนาโครงการตำรวจอิเลก็ ทรอนิกส์ โดยระบบแอปพลิเคชัน Police i lert u กรณศี ึกษา กองบงั คบั การตำรวจนครบาล 6 ผ้วู จิ ัยใชว้ ธิ กี ารศึกษาเชิงปริมาณ เคร่ืองมือท่ีใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการตำรวจด้านงานป้องกันปราบปราม กอง บังคับการตำรวจนครบาล 6 จำนวน 196 นาย สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบน และ ทดสอบสมมตฐิ าน โดยใช้สถติ ิค่าที ค่าเอฟ และทดสอบเปน็ รายคู่ โดยใช้วิธีการ LSD. ผลการวิจัย พบว่า การประเมินผลโครงการตำรวจอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบแอปพลิเคชัน Police i lert u โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x = 3.61, S.D. = .545) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับ มากในทุก ๆ ด้าน โดยอันดับที่หนึ่ง คือ ด้านสภาวะแวดล้อม รองลงมา คือ ด้านผลผลิตของโครงการ ด้านกระบวนการของโครงการ และด้านปัจจัยนำเข้า โดยปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจต่างกันใช้งาน แอปพลิเคชัน Police i lert u ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ยกเว้นปัจจัยด้านระยะเวลา ในการรับราชการ สำหรับแนวทางการพัฒนาแอปพลิเคชัน ควรพัฒนาให้มีความเสถียรและมีเมนูที่เข้าใจง่าย มีปุ่มแจ้งเหตุและยกเลิกเหตุ ควรมีหมายเลขโทรศัพท์ของสถานีตำรวจในพื้นท่ีปรากฏบนแอปพลิเคชัน ข้อเสนอแนะ ควรมีวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้สนับสนุนในการปฏิบัติงานใหเ้ พียงพอ ทั้งนี้ควรจัดสรร บคุ ลากรทีร่ บั ผดิ ชอบให้สอดคลอ้ งเพียงพอ อกี ด้วย คำสำคญั : การประเมนิ ผล, โครงการตำรวจอิเล็กทรอนกิ ส์, แอปพลเิ คชัน Police i lert u
33 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความรู้ความเข้าใจในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นงานสืบสวนสอบสวนของข้าราชการตำรวจ ฝา่ ยสบื สวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ด.ต.เดวทิ ไชยสาร และศาศวัต เพ่งแพ หลกั สตู รรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏจนั ทรเกษม e-mail: [email protected] โทรศัพท์ 0898165453 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศกึ ษาระดับความรู้ความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ในงานสบื สวนสอบสวนของขา้ ราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน กองบังคบั การตำรวจนครบาล 2 และศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานสืบสวนสอบสวนของข้าราชการ ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม ประชากรในการวิจัย คอื ข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 311 นาย สถติ ิท่ใี ชว้ ิเคราะหข์ อ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่ารอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบคา่ เอฟ เปรียบเทียบ รายคู่ด้วยวิธี LSD. และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า ระดับความรู้ความเข้าใจในการนำ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานสืบสวนสอบสวนของข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน กองบังคับการ ตำรวจนครบาล 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( x = 3.36, S.D. = .574) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่หนึ่ง คือ ด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รองลงมา คือ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านซอฟต์แวร์ และด้าน การใช้งานระบบ ตามลำดับ โดยปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน กองบังคับการ ตำรวจนครบาล 2 ต่างกันมีระดับความรู้ความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานสืบสวน สอบสวน แตกต่างกันเพียง 2 ปัจจัย ได้แก่ ระดับการศึกษา และระดับยศ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ข้อเสนอแนะ พบว่า ควรพิจารณาเกี่ยวกับงบประมาณด้านวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการใช้งานใช้ในการ ปฏบิ ัติงาน และควรใหค้ วามสำคัญกับการฝึกอบรมเพ่ือใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศทกุ ระบบ คำสำคัญ: ความรูค้ วามเขา้ ใจ, เทคโนโลยสี ารสนเทศ, งานสบื สวนสอบสวน
34 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศกึ ษาเอกลกั ษณ์ท้องถิน่ เพอ่ื พัฒนาท่พี ักโฮมสเตยใ์ นตำบลหวั ปา่ อำเภอพรหมบรุ ี จงั หวัดสงิ ห์บรุ ี รภสั ศลิ ป์ศรกี ลุ ภาควิชาอุตสาหกรรมท่องเทยี่ วและบริการ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 02795566 บทคดั ยอ่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษา บริบทชุมชนและเอกลักษณ์ชุมชน และ 2) เพื่อค้นหาและนำเสนอแนวทางการพัฒนาที่พักประเภทโฮมสเตย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าโดยใช้เอกลักษณ์ของชุมชนหัวป่า ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชมุ กลุ่ม เฉพาะจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักที่คัดเลือกด้วยวิธีแบบใช้วิจารณญาณจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้สนใจใน การพัฒนาที่พักแบบโฮมสเตย์และกลุ่มความสนใจต่าง ๆ 2) กลุ่มผู้นำชุมชนทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ 3) ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวขอ้ ง 4) กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางไปท่องเที่ยวจงั หวัดสิงห์บุรี และ 5) สมาชิกชมุ ชนหัวป่า ผลการศึกษาพบว่าชุมชนมที รัพยากรพื้นฐานทั้งด้านธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม ที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ที่พักโฮมสเตย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ด้านที่พัก ด้านอาหาร ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านวัฒนธรรม และด้านผลิตภัณฑ์ชุมชน และจากการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค ทำให้ชุมชนสามารถกำหนดแนวกลยุทธ์เพื่อใช้พัฒนาโฮมสเตย์ อาทิ การพฒั นาทีพ่ ักให้โดดเดน่ ดว้ ยการให้บริการตำรับอาหารและเร่ืองเล่า การจดั โปรแกรมการท่องเท่ียวที่รวมการ เข้าพักโฮมสเตย์กับแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน การพัฒนาองค์ความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการที่พักแบบ โฮมสเตย์ คำสำคญั : โฮมสเตย์, ท่ีพกั สมั ผสั วฒั นธรรม, เอกลกั ษณท์ ้องถ่ิน, มลู คา่ เพ่มิ
35 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) กลมุ่ การศกึ ษา
36 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางการระดมทรัพยากรเพ่อื การศึกษาโรงเรยี นไทยรัฐวิทยา ๗๙ (บา้ นหนองอาบชา้ ง) นันทรนิ เข่อื นแก้ว หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยฟาร์อสี เทอรน์ , เชยี งใหม่ e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 093-1383915 บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรียน ไทยรฐั วิทยา ๗๙ (บา้ นหนองอาบช้าง) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ดำเนนิ การศกึ ษาด้วยวิธกี ารแบบผสมวิธี แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ศึกษาแนวทางการระดมทรัพยากรของโรงเรียนต้นแบบท่ีมีแนวปฏิบัติที่ดีใน การระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา อำเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ จำนวน 3 โรงเรียน ใชว้ ธิ ีดำเนินการศึกษา เชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ใหข้ ้อมูลหลกั จำนวน 9 คน รวมถึงการศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวข้องและ การสงั เกตการดำเนินงานด้านการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาในโรงเรียนต้นแบบ เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการศึกษา คือ แบบบันทึกภาคสนาม แบบบันทึกการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ตรวจสอบ ความเทยี่ งตรง และความน่าเชื่อถอื ของข้อมลู โดยวธิ กี ารตรวจสอบแบบสามเส้าด้านวิธีรวบรวมข้อมูล ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๗๙ (บ้านหนองอาบช้าง) ใช้วิธี ดำเนินการศึกษาเชิงปริมาณ โดยการสำรวจความคิดเห็นจากบุคลากร จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การศึกษา คือ แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรี ยน ไทยรัฐวิทยา ๗๙ (บ้านหนองอาบช้าง) มีความถูกต้อง และความสอดคล้องของเนือ้ หา (IOC) = 1.00 สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ด้านการวางแผน (PLAN) ควรวางแผนอย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม สร้างภาคี เครือข่าย แต่งตงั้ คณะกรรมการ กำหนดนโยบายสอดคล้องกับต้นสังกดั ประชุมระดมความคดิ เหน็ ศึกษาความ ขาดแคลนและความเป็นไปได้ ทำโครงการระดมทรัพยากรหลากหลาย ด้านการปฏิบัติตามแผน ( DO) ควรดำเนินงานตามแผน มอบหมายหน้าที่ตามความสามารถและความถนัด มีคำสั่งผู้รับผิดชอบชัดเจน ประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องหลากหลาย ดำเนินงานชุมชนสัมพันธ์ สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชุมชน ประสานงาน เครือข่าย จัดกิจกรรมตามแผน ระดมทุนรูปแบบคณะกรรมการ มีวัตถุประสงคช์ ัดเจน เปิดรับบรจิ าค แสวงหา แหล่งทุน ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ ด้านการตรวจสอบ (CHECK) ควรนำทรัพยากรไปใช้ให้เห็น ผลงาน ประชมุ ตดิ ตามงาน ควบคุมการดำเนินงานให้โปรง่ ใส ออกหลักฐานตอบรับการบริจาค ทำบญั ชีคุมอย่าง เป็นระบบ ประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะ ด้านการปรับปรุง (ACT) ควรนำผลสำเร็จมาเป็นแนวทาง
37 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ดำเนินงาน พัฒนาต่อยอดให้ยั่งยืน แก้ไขข้อบกพร่องทันที ปรับเปลี่ยนแผนงานให้เหมาะสมตามสถานการณ์ โดยการมสี ่วนรว่ ม คำสำคัญ: ทรัพยากรเพ่ือการศึกษา, การระดมทรัพยากร
38 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาการจดั ประสบการณต์ ามแนวคิดการเรียนร้อู ยา่ งมีความสขุ ประกอบการใช้สือ่ EF for Fun เพอื่ ส่งเสริมทักษะการคิดเพื่อชีวิตทส่ี ำเร็จสำหรับเดก็ ปฐมวัย พมิ พ์ปรยี า อนิ วงค์1, ชไมมน ศรสี ุรักษ์2 และศริ ิมาศ โกศัลย์พิพัฒน์3 1หลักสตู รครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าวทิ ยาการจดั การเรยี นรู้ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งใหม่ 2สาขาการศึกษาปฐมวยั คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงใหม่ 3สาขาการศึกษาปฐมวยั คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงใหม่ e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 095-453-2961 บทคัดย่อ การวิจัยครงั้ นี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพอื่ พัฒนาการจดั ประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่าง มีความสุขประกอบการใช้สื่อ EF for Fun เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็กปฐมวัยตาม เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อศึกษาทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขประกอบการใช้สื่อ EF for Fun เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด เพ่ือชีวิตที่สำเร็จสำหรับเดก็ ปฐมวยั และ (3) เพื่อเปรียบเทียบทกั ษะการคิดเพื่อชีวิตท่ีสำเรจ็ สำหรบั เด็กปฐมวยั ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขประกอบการใช้สื่อ EF for Fun เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กปฐมวัยที่มีอายุ 5 – 6 ปี ซงึ่ กำลงั ศึกษาอย่รู ะดบั ชั้นอนุบาล 3 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรียนอนบุ าลดรุณนิมิตจำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ประกอบการใช้ส่ือ EF for Fun สำหรับเด็กปฐมวัย และแบบวัดทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็ก ปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมี ความสุขประกอบการใช้สื่อ EF for Fun เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็กปฐมวัยมี ประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.45/94.44 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ทักษะการคิดเพื่อชีวิตท่ี สำเร็จของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขประกอบการ ใชส้ ื่อ EF for Fun หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองคิดเป็นร้อยละ 94.44 และผลการเปรยี บเทียบทักษะ การคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จสำหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างมี ความสุขประกอบการใช้สื่อEF for Fun สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึง่ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านการวิจัย คำสำคัญ: การจัดประสบการณ์ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ, การเรียนรู้อย่างมีความสุข, ทกั ษะการคดิ เพื่อชีวิตท่ีสำเรจ็
39 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาความร่วมมือในการปฏิบตั ิงานของครูโรงเรียนบ้านน้อยห้วยรนิ วิทยา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ว่าท่รี อ้ ยตรีชัยวัฒน์ ภรี ะมลู โรงเรยี นบา้ นน้อยหว้ ยรินวทิ ยา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 0951831937 บทคดั ยอ่ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนบ้านน้อย ห้วยรินวิทยาอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการศึกษา คือ ครูโรงเรียนบ้านน้อย หว้ ยรนิ วทิ ยา อำเภอดอยเต่า จังหวดั เชียงใหม่ จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ไดแ้ ก่ 1) โครงการอบรม เชิงปฏิบัติการการพัฒนาความร่วมมือในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนบ้านน้อยห้วยรินวิทยา อำเภอดอยเต่า จงั หวดั เชยี งใหม่ 2) แบบทดสอบความรู้หลังการอบรม 3) แบบสงั เกตความรว่ มมือในการปฏบิ ตั งิ านของครูระหว่าง การอบรมและหลังจากการอบรม วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชค้ ่าเฉล่ียและร้อยละ ผลการศึกษาสรุปได้ดังน้ี ผลการพัฒนาความร่วมมือในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนบ้านน้อย ห้วยรินวิทยา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยจัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการพัฒนา ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนบ้านน้อยห้วยรินวิทยา อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า เมอื่ ทำการทดสอบความรูห้ ลังการอบรม ครูท่ีเข้ารับการอบรม จำนวน 18 คน มคี วามร้คู วามเข้าใจการให้ความ ร่วมมือในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับคุณภาพดี คิดเป็นร้อยละ 86.11 ส่วนผลประเมินการสังเกตพฤติกรรม ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ของครูระหว่างการอบรม จำนวน 4 กลุ่ม พบว่าครูทุกคนแสดงพฤติกรรม ในการให้ความรว่ มมือในการปฏบิ ัตงิ านกิจกรรมแบบกลุ่ม อยู่ในระดับคุณภาพ ดี คดิ เป็นรอ้ ยละ 93.33 สำหรับ การประเมินการสังเกตพฤติกรรมความร่วมมือในการปฏิบัติงานของครูหลังการอบรม ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 พบวา่ มคี า่ คะแนนเฉลีย่ 13.31 คะแนน คิดเปน็ รอ้ ยละ 88.73 อยใู่ นระดบั คณุ ภาพดี คำสำคัญ: การพัฒนาครู, ความรว่ มมอื ในการปฏิบัติงาน
40 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การบรหิ ารงานวชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของเช้ือไวรสั โควิด 19 อำเภอคลองหลวง สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาปทุมธานี เขต 1 ศุภมาส คำสี และศริ ิรัตน์ ทองมศี รี หลกั สตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา วิทยาลยั การฝึกหดั ครู มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร, กรุงเทพฯ e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 086-117-3059 บทคดั ยอ่ การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร สถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 2) เปรียบเทียบความ คิดเห็นของครูผู้สอน การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อำเภอคลองหลวง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 156 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเป็นแบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.936 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลย่ี ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ค่า t-test และ คา่ One way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทาง การศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก โดยด้านท่ีมีคา่ เฉลย่ี สูงสุด คอื การพัฒนา และใชสื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รองลงมาคือการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและ การเทียบโอนผลการเรยี น การวิจยั เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษา การนิเทศการศึกษา การพัฒนาระบบประกัน คุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การจัดการเรียนการสอนในสถานศกึ ษา 2) ผลการเปรียบเทยี บการบรหิ ารงานวชิ าการของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติท่ีระดบั .05 ส่วนจำแนกวฒุ กิ ารศกึ ษาไมแ่ ตกตา่ งกนั คำสำคัญ: การบริหารงานวิชาการ, ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา, สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือ้ ไวรัสโควิด 19
41 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศึกษาการไมส่ ่งงานหรือการบา้ นรายวชิ าภาษาไทยในรูปแบบการสอนแบบออนไลน์ ณฐั ธยาน์ การญุ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนมัธยมสาธติ ฯ มหาวทิ าลัยราชภฏั พระนคร e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 086-8744799 บทคดั ย่อ ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุรวบรวมความคิดเห็นของนักเรียน และรวบรวม ข้อมูลสำหรับการแก้ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการไม่ส่งงานหรือการบ้านรายวิชาภาษาไทยในรูปแบบการสอน แบบออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ นี้ คือ นักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1/3 โรงเรยี นมัธยมสาธิต วัดพระศรมี หาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จำนวน 40 คน ซง่ึ ไดม้ าดว้ ยวธิ ีสมุ่ ตวั อยา่ งแบบกล่มุ (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นสาเหตุของพฤติกรรมการไม่ส่งงานหรือ การบ้านรายวิชาภาษาไทยในรูปแบบการสอนแบบออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย รอ้ ยละ และความเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สาเหตขุ องพฤติกรรมไมส่ ่งงานหรือการบ้านรายวิชาภาษาไทยท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงานหรือการบ้านที่ได้รับมอบหมายนักเรียนให้ความเห็นว่างานที่ได้รับม อบหมายมีปริมาณที่เหมาะสม ไม่ยากจนเกนิ ไป มคี วามน่าสนใจ ดา้ นครูผสู้ อนนกั เรียนมีความเห็นวา่ ครูสอนได้เขา้ ใจ อธบิ ายไดช้ ดั เจน ติดตาม งาน ด้านนักเรียนนักเรียนให้ความเห็นว่าการทำงานหรือแบบฝึกหดั ก็เข้าใจคำสั่งหรือคำช้ีแจง มีการจดบันทึก การทำงาน แต่สาเหตุการไม่ส่งงาน คอื ลืมทำ ซงึ่ เป็นสาเหตทุ ี่สำคญั ของการไมส่ ่งงาน และด้านอปุ กรณ์นักเรียน ให้ความเห็นว่ามีอุปกรณ์ เครื่องมือพร้อม ต่อการใช้งาน สื่อการสอนของครูมีความน่าสนใจ 2) ความคิดเห็น เพิ่มเติมของนักเรียน เช่น อยากให้มีการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ต้องสั่งงานหรือการบ้าน การบ้านที่มอบหมาย ควรมีความพอดีไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และให้ทำแบบฝึกหัดท้ายคาบมากกว่าการสั่งให้ทำเป็นการบ้าน 3) การแก้ปัญหาการไม่ส่งงานหรือการบ้านรายวิชาภาษาไทยที่รวบได้ เช่น ครูประจำวิชาควรเอาใจใส่ กำกับ ติดตามการส่งงาน กวดขันดูแลนักเรียนในชั่วโมงที่เข้าสอน และควรพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาเหตขุ องนกั เรียนท่มี ีพฤตกิ รรมไม่รบั ผิดชอบงาน คำสำคัญ: ปัญหาของนักเรียน, การไมส่ ่งการบ้าน, รายวิชาภาษาไทย
42 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดจิ ิทลั ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษากบั ประสทิ ธผิ ล ของโรงเรียนในเครือคณะรักกางเขนแหง่ อุบลราชธานี วัชราภรณ์ นักพรรษา และสริ ิพร แสนทวีสขุ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยอี สี เทริ น์ บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ ศึกษา 1) ระดับค่าเฉลี่ยภาวะผู้นำดิจิทัลกับประสิทธิผลโรงเรียน ในเครือคณะรักกางเขน แห่งอุบลราชธานี 2) ความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวแปร โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถาม จำนวน 41 ข้อแล้วนำไปทดสอบความตรงได้ค่า KMO ที่ .93 กับค่าความเชื่อมั่น Cronbach's Alpha ที่ .93 และความเท่ียงตรงรายข้อระหวา่ ง .49-.80 ตอ่ จากน้ันจึงได้นำไปรวบรวมความเห็นของผูบ้ ริหารและครูจำนวน 300 คนกลบั มาวเิ คราะหผ์ ลด้วยโปรแกรมสำเร็จรปู ทางสถิติ ผลวิจัยพบวา่ 1) คา่ เฉลยี่ ของภาวะผู้นำดิจิทัลและ ประสิทธผิ ลโรงเรยี นอยู่ในระดับมากทัง้ ภาพรวมและองคป์ ระกอบรายดา้ น 2) ค่าเฉลย่ี ของภาวะผู้นำดิจิทัลและ ประสทิ ธิผลโรงเรียนมีความสมั พนั ธ์ไปในทศิ ทางเดยี วกนั อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 โดยมีค่า r = .80 คำสำคญั : ภาวะผู้นำดจิ ิทัล, ประสิทธผิ ลโรงเรยี น
43 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั ประสบการณต์ ามแนวคิดแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) เพ่อื พฒั นาความพรอ้ มพน้ื ฐานทางวิทยาศาสตร์ สำหรบั นักเรียนช้ันอนุบาลปที ี่ 3 เจษฎาพร มลู หลา้ และกัญญาภคั ชอบแตง่ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทริ น์ บทคดั ย่อ การวิจยั ครง้ั นมี้ วี ตั ถปุ ระสงค์ ดังน้ี 1) เพอ่ื หาค่าดัชนีประสิทธผิ ลของการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด แบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเหล่าอินทร์แปลง 2) เพ่ือ เปรียบเทียบความพรอ้ มพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเหล่าอินทร์แปลง ก่อน และหลงั การจัดประสบการณ์ตามแนวคดิ แบบซปิ ปาโมเดล (CIPPA MODEL) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งการทดลอง (Quasi - Experimental Design) แบบกลุ่มเดียวมีการ วัดผลก่อนเรียนและหลังเรียนในรูปแบบที่เรียกว่า One Group Pre-test Post-test Design ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กชาย-หญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านเหล่าอินทร์แปลง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) เพื่อพัฒนาความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 50 แผน 2) แบบ ประเมินความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 3 ชุด ชุดละ 8 ข้อ รวม 24 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ โดยการคำนวณหาค่าร้อยละ (P) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) หาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และ ทดสอบคา่ ที (t - test แบบ Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) เพ่ือพัฒนาความพรอ้ มพ้นื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนชนั้ อนบุ าลปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นเหล่าอินทร์ แปลง มีค่าเท่ากับ 0.7410 แสดงว่า นักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นหรือมีความก้าวหน้าทางด้านความพร้อม พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 74.10 2) นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเหล่าอินทร์ แปลง มีความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ตาม แนวคิดแบบซปิ ปาโมเดล (CIPPA MODEL) อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05 คำสำคญั : ซิปปาโมเดล, วิทยาศาสตร์
44 การประชมุ วิชาการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพฒั นาพฤติกรรมการมีวินัยโดยใช้การเสรมิ แรงตามทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ของสกินเนอร์ ช้นั อนบุ าลปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นชะแงะ ธานวฒั น์ บุญทิพย์ และวชิ าญ ไทยแท้ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยอี สี เทริ น์ บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อเปรียบเทียบการมีวินัยของเด็กชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ก่อนและหลังได้รับ การจัดกิจกรรมตามทฤษฏีของสกินเนอร์ โดยมีประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียน บ้านชะแงะ ตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ สังกัดสำนักงานสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาอำนาจเจรญิ จงั หวัดอำนาจเจรญิ ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 10 คน เคร่ืองมือที่ใช้ การวิจยั ได้แก่ 1)แผนการจดั กิจกรรมตามทฤษฏขี องสกินเนอร์ จำนวน 4 หนว่ ย รวม 20 แผน 2) แบบประเมิน พฤติกรรมการมีวินัย จำนวน 10 ข้อ แบบแผนการวิจัยแบบ One group pretest – posttest design สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวจิ ัยในครงั้ น้ี คา่ เฉล่ีย และคา่ รอ้ ยละ ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการมีวินัยของเด็กชัน้ อนุบาลปีที่ 3 หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้แรงเสรมิ ตามทฤษฎีการเรยี นรขู้ องสกินเนอร์สูงกว่ากอ่ นการจัดกิจกรรมโดย ผลต่างเท่ากับ 4.60 คิดเปน็ ร้อยละท่ีเพ่ิมขึ้น 26.58 คำสำคัญ: เดก็ ปฐมวยั , การมวี นิ ยั
45 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เร่อื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศกึ ษาทกั ษะทางภาษาโดยใช้การจดั ประสบการณแ์ บบบรู ณาการ สำหรบั เด็กชน้ั อนบุ าลปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ นโพนเมือง นนั ทน์ ภสั ดวงดี และจิรวรรณ กาละดี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทริ ์น บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโพนเมือง โดยใช้การจัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยให้นักเรียนจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีคะแนนสอบผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบก่อนทดลอง (Pre - Experimental Research) ผู้วิจัยได้ใช้ กลุ่มเปา้ หมายในการทดลองเพียงกลุ่มเดียว โดยวัดเฉพาะหลงั การทดลองเพียงคร้ังเดยี ว (One Shot Case Study) กล่มุ เป้าหมายที่ใช้ในการวิจยั ครั้งน้ี คอื เด็กชาย –หญงิ อายุ 4 – 5 ปี ทก่ี ำลงั เรียนอยู่ช้ันอนุบาลปีท่ี 2 ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านโพนเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาอำนาจเจริญ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครัง้ นีป้ ระกอบด้วย 1) แผนการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการ ที่ส่งผล ต่อทักษะทางภาษาด้านการฟังและพูด สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 15 แผน และ 2) แบบประเมินทักษะ ทางภาษาด้านการฟังและการพูด จำนวน 10 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ( ) และค่าร้อยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบทักษะทางภาษาด้านการฟังและพูด โดยใช้การจัดประสบการณ์ แบบบูรณาการ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวนทั้งหมด 15 คน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 มีจำนวน 13 คน คิดเป็น ร้อยละ 86.67 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.53 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 86.67 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ 2) ผลการพัฒนาทักษะทางภาษา โดยใช้การจัดประสบการณแ์ บบ บูรณาการสำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโพนเมือง มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.53 คิดเป็นร้อยละ 85.33 พบว่า ซึ่งสูงกวา่ เกณฑท์ ี่กำหนดไว้ คำสำคัญ: ทกั ษะทางภาษา, การจดั ประสบการณ์แบบบรู ณาการ, ปฐมวยั
46 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาความพร้อมพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์สำหรบั ชั้นอนุบาลปที ่ี 2 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว โดยการจดั ประสบการณ์ที่ใช้แหล่งเรยี นรู้ ภรณ์ภทั ร์สา หอ่ ศรี และเพญ็ ประภา นรเนตร คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อศึกษาความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กชัน้ อนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ที่ใช้แหล่งเรียนรู้ ซึ่งเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research Design) ที่ใช้กลุ่มทดลองกลุ่มเดยี ว โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนเรียนและ หลงั เรียน ทีเ่ รียกว่า One Group Pretest Posttest Design กลุม่ ตัวอย่างใน การวจิ ยั ครง้ั น้ี เปน็ เดก็ ชาย - หญงิ ที่มีอายุระหว่าง 4- 5 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2/3 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 14 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วย วิธกี ารจบั ฉลาก เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั ประสบการณ์ที่ใช้แหล่งเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความ พร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ จำนวน 20 แผน 20 กิจกรรม 2) แบบประเมินความพร้อมพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ สำหรับชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์โดยการคำนวณ หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานและการทดสอบค่าที t - test แบบ Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว มีความพร้อมพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ หลังการจัดประสบการณ์ที่ใช้แหล่งเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติท่รี ะดับ .05 คำสำคัญ: ความพรอ้ มพื้นฐานทางคณิตศาสตร์, แหล่งเรยี นรู้,ปฐมวัย
47 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การสง่ เสรมิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ องเดก็ ปฐมวัย โดยใชช้ ดุ กิจกรรมนักวิทยาศาสตรร์ ุ่นจิ๋ว สำหรับเดก็ ช้นั อนบุ าลปที ี่ 3/1 โรงเรียนอนุบาลหัวตะพาน (รัตนวารี) ลักษณา เกษงาม และทองใบ สหนุ นั คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทริ ์น บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการส่งเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัยโดยใช้ชุดกิจกรรมนักวิทยาศาสตร์รุ่นจิว๋ จำนวน 4 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการสังเกต การวัด การจำแนกประเภท และการสื่อสาร ประชากรที่ศึกษา คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนอนุบาลหัวตะพาน(รัตนวารี) จำนวน 19 คน เลือกแบบเจาะจงชั้นที่ผู้รายงานเป็น ครูประจำชั้น ระยะเวลาในการจัด 20 สัปดาห์ สัปดาห์ละ1 วัน วันละ 20 นาที รวม 20 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ ในการศึกษา 1) ชุดกิจกรรมนักวิทยาศาสตร์รุ่นจิ๋ว จำนวน 4 ชุด ชุดละ 5 กิจกรรม รวม 20 กิจกรรมและคู่มอื การจัดกิจกรรมนักวิทยาศาสตร์รุน่ จิ๋ว 2) แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยและ คู่มือการใช้แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แผนการจัดกิจกรรมการส่งเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องเด็กปฐมวัยโดยใชช้ ุดกจิ กรรมนักวิทยาศาสตร์รุ่นจ๋วิ ผลการศึกษาพบว่า ชุดกิจกรรมนักวิทยาศาสตร์รุ่นจิ๋วมีประสิทธภิ าพ 81.18/88.75 และหลังการจดั กิจกรรม โดยใช้ชุดกิจกรรมนักวิทยาศาสตร์รุ่นจิ๋ว นักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี 3/1โรงเรียนอนุบาลหัวตะพาน (รตั นวารี) มีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรก์ า้ วหน้าขนึ้ ร้อยละ 39.37 คำสำคญั : กระบวนการทางวิทยาศาสตร์, เด็กปฐมวยั
48 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) รายงานการพฒั นาความพร้อมพ้ืนฐานทางคณิตศาสตรด์ ้านการเรียงลำดับโดยใช้กิจกรรม ตามแนวคิดแบบอปุ นัย สำหรับเดก็ ชัน้ อนบุ าลปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านโนนสงู สมไสว ไชยสำแดง และวัชราภรณ์ วงษ์จันทรา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ น์ บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนีม้ ีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการเรยี งลำดับของ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโนนสูง ก่อนและหลังได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดแบบอุปนัย แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Design) ที่มีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียวและ มีการทดสอบก่อนและหลังเรียน One - Group Pretest - Posttest Design ซ่งึ กลมุ่ เป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านโนนสูง สังกัดสำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 จำนวน 7 คน ได้มาโดย การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัยครั้งนี้ ไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั ประสบการณ์ ตามแนวคิดแบบอุปนัยโดยใช้กิจกรรมการเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการเรียงลำดับ สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 50 แผน 2) กิจกรรมการเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้าน การเรียงลำดับ สำหรับเดก็ ชนั้ อนุบาลปีท่ี 2 จำนวน 50 กจิ กรรม และ 3) แบบทดสอบวัดความพร้อมพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ด้านการเรียงลำดับ จำนวน 5 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์โดยการคำนวณหาค่าเฉลี่ย ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) ค่าร้อยละ (P) และการหาค่าความสอดคลอ้ ง (IOC) ผลการวิจัยพบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโนนสูง ที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด แบบอุปนัย มีความพร้อมพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการเรียงลำดับ หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการ จัดประสบการณ์ โดยมีผลต่างของรอ้ ยละ เทา่ กับ 57.14 คำสำคญั : เดก็ ปฐมวัย, ความพรอ้ มพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์, การเรียงลำดบั , แนวคดิ แบบอปุ นยั
49 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความพึงพอใจของผูเ้ รียนท่ีมีตอ่ กระบวนการเรียนออนไลนข์ องโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี กมลชนก ขุนเมือง และสริ ิพร แสนทวีสขุ มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ ์น บทคดั ยอ่ ความยุ่งยากในการจัดการเรียนการสอนแบบ Online จากการนำเอาสื่อเทคโนโลยีมาใช้จัดกิจกรรม ส่งเสริมผู้เรียน หากแต่ต้องประกอบไปด้วยความพร้อมของทุกฝ่ายทั้งครูและนักเรียน เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้วิจัยจึงต้องการทราบแนวทางพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Online ที่ส่งผลต่อ ความพงึ พอใจของนกั เรียน โดยใชแ้ บบสอบถามไปรวบรวมความเห็นของนักเรียนระดบั มัธยมในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 385 คนกลับมาวิเคราะห์ผล และได้ผลวิจัยพบว่า แนวทางพัฒนาประกอบด้วย 1) การพัฒนารายได้ครอบครัว 2) พัฒนาการใช้ Line 3) พัฒนาการใช้ Google Classroom 4) การใช้ Facebook 5) การใช้ Platform อื่น 6) การพัฒนาด้านเทคนิค และ 7) การพัฒนารูปแบบการสอน โดยแต่ละ แนวทางของการพัฒนามีสัมประสิทธิ์พยากรณ์ที่ค่า R2 ระหว่าง .01-.06 กับมีความเป็นไปได้ร้อยละ 66 ถึง ร้อยละ 89 คำสำคัญ: กระบวนการจัดการเรยี นการสอนออนไลน์, ความพึงพอใจของผเู้ รียน
50 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรอ่ื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพเิ ศษ ในช่วงการแพรร่ ะบาดของโรค Covid-19 ของศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ เขต 10 อุบลราชธานี ฐิตพิ ร ต้อมคำ และเปรมยุดา ลสุ มบตั ิ มหาวิทยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอีสเทิร์น บทคัดยอ่ การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษในสถานการณ์ Covid-19 นอกจากครูต้องนำเอาส่ือ เทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือประกอบการสอนแล้ว ครูยังมุ่งหวังให้เกิดผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ นักเรียนอีกประการหนึ่งด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กนักเรียน และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยมุ่งที่จะ ศึกษาเพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษในสถานการณ์ Covid-19 ที่มีผล ต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน โดยใช้แบบสอบถามในการรวบรวมความเห็นของผู้บริหารและครูศูนย์ การศึกษาพิเศษเขต 10 อุบลราชธานีจำนวน 346 คนมาวิเคราะห์ผล แล้วผลวิจัยพบว่า แนวทางพัฒนาการ จัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษประกอบด้วย รูปแบบการเรียนเต็มเวลา การจัดสภาพแวดล้อมลด ข้อจำกัด และรูปแบบมีครูพ่ีเลี้ยง โดยท้งั สามองคป์ ระกอบมีสมั ประสิทธิ์อทิ ธิพลรวมกันต่อการพัฒนาทักษะชีวิต ของผู้เรียนที่ .19 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานที่ .88 รวมถึงความสามารถในการอธิบายความแปรปรวน รว่ มกนั ได้ทีค่ ่า F = 20.83 (Sig. 000) คำสำคัญ: การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษ, การจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์ Covid-19, การพฒั นาทักษะชวี ติ
51 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ภาวะผนู้ ำสถานศกึ ษาที่สง่ ผลตอ่ การบรหิ ารวิชาการในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดโควิด-19 จ.ส.ต.ศรายทุ ธ สุทธิสมบตั ิ และสดุ ใจ พันธ์ศรี มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอีสเทิรน์ บทคัดยอ่ ความรอบรใู้ นตนเองของผูน้ ำสถานศึกษาเอกชนมผี ลต่อการผลักดันใหร้ ะบบการบรหิ ารจดั การศึกษา ของโรงเรียนประสบความสำเรจ็ โดยเฉพาะที่กระทบต่อการบริหารงานวิชาการ และด้วยเหตุน้ีผู้วิจัยต้องการรู้ เกี่ยวกับแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำสถานศึกษาให้มีผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวัด อุบลราชธานี โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 32 ข้อไปสอบความเห็นของครจู ำนวน 400 คนแล้วนำกลับมา วิเคราะห์ผล สรุปผลวิจยั ได้ว่าแนวทางพัฒนาประกอบด้วย การพัฒนาภาวะผูน้ ำสถานศกึ ษา การพัฒนามนษุ ย์ สัมพันธ์ และการพัฒนาผู้นำวิชาการ ทั้งนี้ทั้งสามองค์ประกอบมีสัมประสิทธิ์พยา กรณ์ร่วมกันที่ร้อยละ 89 โดยเฉพาะดา้ นมนุษย์สมั พันธม์ อี ิทธิพลมากกวา่ อีกสองด้านทเ่ี หลือ คำสำคัญ: ภาวะผู้นำสถานศกึ ษา, การบรหิ ารงานวิชาการ
52 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครงั้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การใชส้ อื่ โซเชียลมีเดียและการสอนออนไลน์ในสถานการณโ์ ควดิ -19 ศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษเขตการศึกษา 10 จังหวัดอุบลราชธานี กรกนก พรรณวงศ์ และภานุมาศ จนิ ารตั น์ มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอสี เทิรน์ บทคัดยอ่ การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส Covid-19 ทำให้ครูทุกโรงเรียนต่างนำเอาสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้งานอยู่ ออกมาปรับใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยหวงั ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบต่อเนือ่ งและมีผลลัพธ์ การเรยี น ซ่ึงด้วยเหตุนี้ผ้วู ิจยั จึงต้องการรเู้ ก่ียวกับอทิ ธิพลของการใช้สื่อสงั คมออนไลนว์ ่ามีผลอย่างไรต่อผลลัพธ์ การเรียนแบบออนไลน์ โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามไปรวบรวมความเห็นของข้าราชการครู พนักงานราชการ ครูอัตราจ้าง และลูกจ้างชั่วคราวของศูนย์การศึกษาพิเศษเขต 10 อุบลราชธานีจำนวน 300 คนแล้วนำมา วิเคราะห์ผลได้ผลวจิ ัยพบว่า การใช้ Facebook และการใช้ Line มีอิทธิพลต่อความร่วมมอื ในการเรียนอยา่ งมี นัยสำคัญทางสถิติ ที่ค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพล .01 และ .03 กับมีความเป็นไปได้ร้อยละ 62 และร้อยละ 89 ตามลำดับ ทั้งนี้ การใช้ Line มีอิทธิพลต่อการพยากรณ์การมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มคี า่ ความเป็นไปได้รอ้ ยละ 84 และผลทดสอบความแปรปรวน F = 8.86 (Sig. 003) คำสำคญั : การใช้โซเชยี ลมเี ดยี , ผลลัพธ์การเรยี นออนไลน์
53 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การยอมรับเทคโนโลยแี ละประสทิ ธผิ ลการสอนออนไลน์ของครูโรงเรียนเอกชน ในจงั หวัดอุบลราชธานี กรรณิการ์ เขียวลาย และสิรพิ ร แสนทวสี ุข มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอสี เทริ ์น บทคัดยอ่ ภายใตส้ ถานการณ์ Covid-19 สง่ ผลใหห้ ลายกิจกรรมในสังคมตอ้ งนำเอาเทคโนโลยีมาใชเ้ ปน็ ช่องทาง ในการสอ่ื สารระหวา่ งผูค้ นทอ่ี ยู่รว่ มกัน หากแต่ปัญหาสำคญั อยทู่ ค่ี วามสัมพนั ธ์ระหว่างการยอมรับเทคโนโลยีกับ ผลผลิตที่เกิดขึ้นตามมามีสภาพเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับประสิ ทธิผล การสอนแบบ Online ของครูเอกชน และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยต้องการศึกษาเพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนา ประสทิ ธผิ ลการสอนออนไลน์ของครโู รงเรียนเอกชน จากการพฒั นาแบบสอบถามจำนวน 46 ข้อข้ึนมาจากการ ทบทวนวรรณกรรมแล้วนำไปรวบรวมความเห็นครูเอกชนทั่วจังหวัดอุบลราชธานีจำนวน 369 คน แล้วนำ กลับมาวิเคราะห์ผล พบว่าแนวทางพัฒนาประกอบด้วย การรับรู้ประโยชน์ (Beta .29) คุณภาพระบบ (Beta .28) ความรอบรู้ด้านคอมพิวเตอร์ (Beta .19) และการรับรู้ความสะดวก (Beta .18) โดยทั้ง 4 องค์ประกอบ มีสมั ประสทิ ธอ์ิ ทิ ธพิ ลร่วมกนั ที่ R2 = .70 กับผลทดสอบ F = 219.35 (Sig. 000) คำสำคญั : การยอมรับเทคโนโลยี, ประสิทธผิ ลการสอน Online
54 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่อื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความตง้ั ใจของครูที่มตี อ่ สภาพแวดล้อมการเรียนออนไลนร์ ะหวา่ งการแพรร่ ะบาดโควิด-19 กติ ตธิ ัช ฉายผาด และเปรมยุดา ลสุ มบัติ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอสี เทริ ์น บทคดั ย่อ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของโลกเข้าสู่ยุค Digital และ ICT อย่างเต็มตัวทำให้ทุกวงการต่างนำเอาส่ือ เทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการประกอบอาชีพของตน รวมถึงนักวิชาการและครู ในสถานศึกษา ด้วยเหตุผลนี้งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์วิจัยเพื่อ 1) ศึกษาลักษณะความตั้งใจของครูที่มีต่อสภาพแวดล้อม การเรียนออนไลน์ และ 2) อิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมการเรียนออนไลน์และ ความตั้งใจของครู โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมาเองจำนวน 21 ข้อไปรวบรวมความเห็นครูจำนวน 400 คนในเขตจงั หวัดอุบลราชธานีมาวเิ คราะหผ์ ล แลว้ ได้ผลวจิ ยั พบว่า 1) คา่ เฉลีย่ ของสภาพแวดลอ้ มการเรียน ออนไลน์และความตั้งใจของครูอยู่ในระดับมากทั้งภาพรวมและองค์ประกอบรายด้าน 2) ความแตกต่างของ ค่าเฉลี่ยของครูด้านปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ รายได้ต่อเดือน ระยะเวลาทำงาน การใช้ Google Classroom และความถี่ในการนำสื่อไปใช้งานมีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมการเรียนออนไลน์กับความตั้งใจของครูอย่าง มีนัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และมคี วามเป็นไปไดม้ ากถึงร้อยละ 100 คำสำคญั : สภาพแวดล้อมการเรยี นออนไลน์, ความต้งั ใจของครู
55 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ปัจจยั ท่ีมีอิทธพิ ลต่อการจดั การเรียนการสอนในช่วง Covid-19 ของครูปฐมวัย สังกดั องค์การบริหารส่วนท้องถ่นิ จงั หวดั อุบลราชธานี จตพุ ร สารสมี า และดวงเดือน ศิรโิ ท มหาวิทยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาปัจจัยอิทธิพลที่มีผลต่อการจัดการเรียน การสอนของครูปฐมวัย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานีโดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถาม ขึ้นมาจากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยจำนวน 50 ข้อต่อจากน้ัน ผู้วิจัยนำไปทดลองใช้ก่อนนำไปรวบรวมข้อมูลจากครู และเจ้าหน้าที่ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานีจำนวน 400 คนมาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติ ผลวิจัยพบว่า แนวทางการ พัฒนาปัจจัยอิทธิพลที่มีผลต่อการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ประกอบด้วย 1) การพัฒนาความรู้เท่าทันสื่อ (Beta .23, Sig. 000) 2) การพัฒนาการป้องกันสุขภาพ (Beta .12, Sig. 000) และ 3) การพัฒนาสมรรถนะการสอน (Beta .10) ทั้งนี้ทั้งสามองค์ประกอบมีอำนาจในการพยากรณ์ร่วมกัน ท่สี มั ประสทิ ธิ์ R2 เทา่ กบั .11 และมผี ลทดสอบ F = 17.59 (Sig. 000) คำสำคัญ: ปจั จัยอทิ ธพิ ล, การจดั การเรียนการสอน
56 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การรับรู้และความพึงพอใจของผ้ปู กครองทม่ี ตี ่อคุณภาพการศึกษาของโรงเรยี น ในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี จุฑามาศ มะโนรัตน์ และสมานจติ ร ภิรมย์รื่น มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทริ น์ บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนที่มีผลต่อ คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี และ 2) เพื่อค้นหาความแตกต่างของค่าเฉล่ีย ตัวแปรหลักจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นมาได้เองจำนวน 26 ข้อแล้ว นำไปทดสอบคุณภาพแบบสอบถามก่อนนำไปเก็บข้อมูลจากผู้ปกครองนักเรียนจำนวน 324 คน ผลวิจัยพบวา่ 1) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจของผู้ปกครองและลักษณะคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับ ปานกลาง ทั้งภาพรวมและองค์ประกอบ และ 2) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของผู้ปกครองที่มีรายได้และเพศ ตา่ งกนั มคี วามเห็นเก่ยี วกบั คุณภาพการศึกษาตา่ งกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05, .05 ตามลำดับ คำสำคัญ: คณุ ภาพการศึกษา, ความพงึ พอใจของผปู้ กครอง
57 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่ืองคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การเรยี นการสอนแบบออนไลน์ทส่ี ่งผลต่อประสิทธผิ ลการสอนของนักเรยี นประถมศกึ ษา ในจังหวดั มหาสารคาม จฬุ าภรณ์ ภิรมย์ และดวงเดือน ศริ โิ ท มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคัดยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการสอนแบบออนไลน์ ในสถานการณ์โควิด-19 ของโรงเรียนประถมศึกษา จังหวัดมหาสารคาม โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 29 ข้อ ไปรวบรวมความเห็นของผู้บรหิ ารและครูจำนวน 242 คนแล้วนำกลบั มาวิเคราะหผ์ ลด้วยโปรแกรมสำเรจ็ รูป ทางสถิติ และมีผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการสอนแบบออนไลน์ ประกอบด้วย 3 แนวทาง คือ 1) การพัฒนาตำแหน่งงานไปพร้อมกับการใช้ Facebook จัดการเรียนการสอนสำหรับครู 2) การพัฒนา ความถี่ในการใช้สื่อออนไลน์กับการใช้ Google Zoom จัดกิจกรรมการเรียนและการสอน และ 3) การพัฒนาการใช้ Facebook กับ Youtube โดยทั้งสามแนวทางพัฒนาที่กล่าวถึงมีอิทธิพลต่อการทำนาย ประสทิ ธิผลการสอนออนไลนไ์ ด้ทส่ี มั ประสทิ ธิ์ R2 ทคี่ ่า .37, .48 และ .32 ตามลำดับ คำสำคญั : การเรียนการสอนแบบออนไลน์, ประสิทธิผลการสอน
58 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความพึงพอใจของผู้ปกครองทม่ี ีต่อการบริหารโรงเรียนเอกชน อ.ทงุ่ ศรีอุดม จ.อุบลราชธานี แจ่มใส กลั ยาพงศ์ และสดุ ใจ พนั ธศ์ รี มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิร์น บทคัดยอ่ การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนจำเป็นต้องตระหนักถึงความต้องการของผู้ปกครองนักเรียน ซ่ึงคาดหวงั ใหเ้ ดก็ ในปกครองได้รับการศึกษาทดี่ มี ีคุณภาพ เพราะฉะนั้นผ้วู จิ ยั ต้องการทราบเกี่ยวกับอิทธิพลของ องค์ประกอบคุณภาพการศึกษาที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถาม จำนวน 28 ข้อไปรวบรวมความเห็นของผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเอกชนในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 270 คน นำกลับมาวิเคราะห์ผล ผลวิจัยพบว่า องค์ประกอบคุณภาพการศึกษาที่มีผลต่อการทำนาย ประกอบด้วย คุณภาพหลักสูตร คุณภาพครูและบุคลากร คุณภาพนักเรียน และคุณภาพบริหาร โดยทั้ง 4 องค์ประกอบมีสมั ประสิทธ์ิในการพยากรณท์ ี่ R2 = .61 และ F= 105.42 (Sig. 000) คำสำคญั : คณุ ภาพการศกึ ษา, ความพงึ พอใจของผู้ปกครองนักเรียน
59 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครัง้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การรับร้ขู องผู้บรหิ ารและครูตอ่ การจดั การการสง่ เสริมการใชเ้ ทคโนโลยี เพอ่ื การจดั การเรียน ในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา สังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา จงั หวดั สรุ ินทร์ ชัชชษา เข็มทอง และเปรมยดุ า ลุสมบัติ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาการจัดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่มีผลต่อ การรับรู้ของผู้บริหารและครูของโรงเรียนในเขตมัธยมที่ 33 จังหวัดสุรินทร์ ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามจำนวน 27 ข้อขึ้นมาจากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรู้เทคโนโลยีทาง การศึกษา แล้วนำไปทดลองใช้งานก่อนการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและครูจำนวน 379 คนสำหรับนำกลับมา วเิ คราะห์ผล โดยได้ผลวิจัยพบวา่ แนวทางการพัฒนานั้นมีสองแนวทางประกอบดว้ ย 1) การพัฒนาลักษณะของ สื่อกับการพัฒนารูปแบบการสอน และ 2) การพัฒนาลักษณะการสอนพร้อมไปกับการพัฒนาลักษณะผู้เรียน โดยทั้งสองแนวทางพัฒนาดังกล่าวสามารถพยากรณ์ต่อการรับรู้ได้อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิ และมีสัมประสทิ ธ์ิ ทำนายผลที่ร้อยละ 58 และร้อยละ 71 ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนารูปแบบการสอนและการเรียน ทีส่ อดคล้องกนั เพือ่ การยกระดับคุณภาพผเู้ รียน คำสำคญั : การรบั รู้, การจดั การส่งเสริมการใชเ้ ทคโนโลยี
60 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศึกษาผลกระทบจากการจัดการสอนแบบ Online ของครูประถมศกึ ษา สงั กดั สำนกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ดนัย สพุ รรณ และพนมพร ช่วงชิง มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี สี เทริ น์ บทคดั ย่อ การจดั การเรยี นการสอนแบบ Online ต่างไปจากการเรียนการสอนตามปกตเิ ดมิ ที่อาศยั ปัจจัยสำคัญ แค่เพยี งสภาพแวดลอ้ มภายในโรงเรยี นเท่านั้น แตเ่ มอ่ื ตอ้ งจดั ให้มกี จิ กรรมการเรียนรู้ผ่านส่ือ Online ย่อมทำให้ มีผลกระทบตามมา และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยต้องการรู้เกี่ยวกับ ปัจจัยอิทธิพลที่มีผลกระทบต่อการจัดการเรียน การสอนแบบ Online และแนวทางพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนการสอน Online ที่เหมาะสมกับบริบทของ โรงเรียนประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 3 โดยผู้วิจัยใช้แบบสอบถามจำนวน 50 ข้อไปรวบรวมความเห็นครู ประถมศึกษาจำนวน 270 คนแล้วนำกลับมาวิเคราะห์ผล ผลวิจัยพบว่า ปัจจัยการฝึกอบรมทักษะ Digital กบั ICT การมีโทรศพั ทแ์ บบ Smartphone และสญั ญาณ Internet ส่วนตวั ของท้งั ครแู ละนักเรียนมีอิทธิพลต่อ การจัดการเรียนการสอนแบบ Online ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีค่าสัมประสิทธิ์ทำนาย ที่ร้อยละ 97 นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าแนวทางการพัฒนาประกอบด้วย 1) การพัฒนาเนื้อหาและเวลา 2) การพัฒนาเทคนิคการวัดประเมินผล 3) การพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ 4) การพัฒนาการจัดฝึกอบรม และ 5) การพัฒนาสอื่ และบทเรยี น โดยท้งั 5 แนวทางสามารถพยากรณ์การพฒั นารูปแบบไดท้ ่ี R2 .77 (Sig. 000) คำสำคัญ: การจดั การเรยี นการสอนแบบ Online, ผลกระทบทีเ่ กดิ ข้นึ
61 การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาการดำเนนิ งานศนู ย์พฒั นาเดก็ เลก็ ในสงั กดั องค์การบรหิ ารส่วนตำบลบ้านทับ อำเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม่ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเดก็ ปฐมวัยแหง่ ชาติ ณฐั วุฒิ ยศหลา้ หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ฟาร์อีสเทอรน์ , จังหวัดเชยี งใหม่ e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 08-0053-2122 บทคัดย่อ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย แห่งชาติ กลุม่ ศกึ ษา ประกอบดว้ ย ครผู ้ดู แู ลเด็ก ของศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเล็กในสงั กดั องค์การบริหารส่วนตำบลบ้าน ทับ จำนวน 28 คน และผู้อำนวยการกองการศึกษาฯ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ในอำเภอแมแ่ จ่ม จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามการปฏิบัติในการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ และแบบสัมภาษณ์การพัฒนาการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทับ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ การวิเคราะห์ข้อมูลของ แบบสอบถาม โดยใช้ร้อยละและค่าเฉลี่ย ของการปฏิบัติตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ และ แบบสมั ภาษณ์ทำการวเิ คราะห์เน้อื หาและนำเสนอในรูปแบบความเรยี ง ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาการดำเนินงานศูนยพ์ ัฒนาเดก็ เล็กในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล บ้านทับ มาตรฐานด้านที่ 1 พบว่า ศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็กและหนว่ ยงานตน้ สังกัด รว่ มกนั จดั ทำแผนบริหารจัดการ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่สอดคล้องกับปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและ สอดคล้องกับนโยบายต้นสังกัดและหน่วยงานของรัฐ สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงตามบริบทพื้นที่ของตัวเอง มาตรฐานด้านที่ 2 พบว่า ครูผู้ดูแลเด็กควรใช้สื่อในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย มีความ เหมาะสมกับการจัดประสบการณ์การ จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกแบบจัดทำสื่อ สร้างของเล่นได้เหมาะสมกับวัย และมาตรฐานด้านที่ 3 พบว่า ครูผู้ดูแลเด็กควร จัดทำแบบบันทึกพัฒนาการตามวัยรายบุคคล ติดตามและ บันทกึ การใช้ภาษาของเด็กอยา่ งสม่ำเสมอ คำสำคญั : การพัฒนาการดำเนินงาน, ศูนยพ์ ัฒนาเดก็ เลก็ , มาตรฐานสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัยแห่งชาติ
62 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรอื่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาชดุ การสอนแบบศูนย์การเรียนดิจิทัล เรือ่ งชีวิตสดใสไรย้ าเสพตดิ สำหรบั ผูเ้ รยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี นพระหฤทยั เชียงใหม่ สมติ คอ่ ยประเสริฐ หลักสตู รครศุ าสตร์มหาบัณฑิต สาขาวชิ าวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งใหม่, เชยี งใหม่ e-mail: smith_takhotmail.com, โทรศพั ท์ 0832077324 บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนดิจิทัล เรื่อง ชีวิตสดใสไร้ ยาเสพตดิ สำหรับผเู้ รยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 ให้มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเปรยี บเทยี บ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนดิจิทัล เรื่องชีวิตสดใสไร้ยาเสพติด รวมถึงศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนรู้ จากชดุ การสอนแบบศูนย์การเรียนดจิ ิทลั เรื่องชีวิตสดใสไรย้ าเสพติดกลุม่ ตวั อย่างได้แก่ ผู้เรยี นช้ันประถมศึกษา ปีที่ 5/2 (แผนการเรียนปกติ)จำนวน 27 คน และผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 (แผนการเรียน IP) จำนวน 16 คน จำนวนผู้เรียนรวมทั้งสิ้น 43 คน ของโรงเรียนพระหฤทัย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จากผลการวิจัยได้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนดิจิทัล เรื่อง ชีวิตสดใสไร้ยาเสพติด สำหรับผู้เรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนดิจิทัล เรื่อง ชีวิตสดใสไร้ยาเสพติด อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 และความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนรู้จากชุด การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นดิจทิ ลั เร่ืองชีวติ สดใสไร้ยาเสพตดิ อยใู่ นระดบั มากท่สี ุด คำสำคญั : ชุดการสอน, การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี น ยาเสพติด
63 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครงั้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ภาวะผ้นู ำการเปลย่ี นแปลงของผู้บริหารกับแรงจงู ใจในการปฏิบตั งิ านของครใู นกลุ่มโรงเรียนศรพี ทุ ธ สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต1 ชยั รตั น์ สิริเบญจวงศ์ และศิริรัตน์ ทองมีศรี สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา วทิ ยาลัยการฝกึ หัดครู มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร กรุงเทพฯ e-mail: [email protected], โทรศัพท์ 0876950903 บทคดั ยอ่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ตามความเห็นของครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ กล่มุ ตวั อยา่ งงานวจิ ยั คอื ครูในกลมุ่ โรงเรียนศรีพุทธ จำนวน 226 คน เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยเปน็ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน คา่ สัมประสิทธิส์ หสัมพันธแ์ บบเพยี รส์ นั ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ตามความเห็นของครูในกลุ่ม โรงเรียนศรีพุทธ ในภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากสูงไปต่ำ ได้แก่ การมีอิทธิพลอย่างมี อุดมการณ์ การกระตุ้นทางปัญญา การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล การสร้างแรงบันดาลใจ ตามลำดับ 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร ในภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากสูงไปหาต่ำ ได้แก่ การตระหนักรู้ศักยภาพในตนเอง ความสัมพันธ์ทางสังคม การได้รับการยกย่องยอมรับ ความมั่นคง ปลอดภัย และความต้องการดา้ นรา่ งกาย ตามลำดับ 3) ภาวะผนู้ ำการเปลี่ยนแปลงของผ้บู รหิ าร กบั แรงจงู ใจใน การปฏิบัติงานของครูในกลุ่มโรงเรียนศรีพุทธ มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง และเมื่อพิจารณา ความสัมพันธ์ในแต่ละด้านพบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าสัมประสิทธิส์ หสมั พนั ธโ์ ดยรวมเท่ากับ .798 (r = .798) คำสำคญั : ภาวะผ้นู ำการเปลยี่ นแปลง, แรงจงู ใจในการปฏิบตั งิ าน
64 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ความสมั พันธ์ระหวา่ งภาวะผู้นำของผูบ้ ริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น ในโรงเรยี นอำเภอบางบวั ทอง สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษานนทบรุ ี เขต 2 ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของเช้ือไวรสั Covid-19 เทวาฤทธ์ิ วงศ์เหรยี ญทอง และศริ ริ ตั น์ ทองมีศรี หลักสตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา วทิ ยาลยั การฝกึ หัดครู มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร, กรงุ เทพฯ e-mail: [email protected] โทรศพั ท์ 082-914-2516 บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวตั ถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา และการดำเนินงานระบบ การดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนอำเภอบางบัวทอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นนทบุรี เขต 2 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนอำเภอ บางบวั ทอง สังกัดสำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัส Covid-19 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียนอำเภอบางบัวทอง 205 คน โดยการเปิดตารางของของ เครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie & Morgan. 1970 : 608-610) สุ่มตัวอย่าง แบบแบ่งชั้น เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนอำเภอบางบัวทอง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชือ้ ไวรัส Covid- 19 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนอำเภอ บางบัวทอง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับ การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนอำเภอบางบัวทอง ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ ทางบวกระดับสูงมาก (r = .937) อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .01 คำสำคัญ: ภาวะผนู้ ำ, การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลอื นักเรยี น, เช้ือไวรัส Covid-19
65 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครั้งท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาการจัดประสบการณต์ ามแนวคดิ สะตมี ศกึ ษาท่ีสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ของเด็กปฐมวยั สภุ าวดี ตัวละมูล1, ชไมมน ศรีสรุ ักษ์2 และศิริมาศ โกศัลย์พิพัฒน์3 1สาขาวิชาวทิ ยาการจดั การเรียนรู้ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งใหม่ 2,3สาขาการศกึ ษาปฐมวยั คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงใหม่ e-mail: [email protected], โทรศพั ท์ 091-8533397 บทคดั ย่อ การวจิ ยั คร้ังน้เี ป็นการวิจัยแบบก่ึงทดลองมีวตั ถุประสงค์การวจิ ัย 1) เพอ่ื พฒั นาการจัดประสบการณ์ ตามแนวคิดสะตีมศึกษาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย เป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของ เด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างได้แก่ เด็กปฐมวัยที่กำลังเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนวัดจอมคีรี ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่นะ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต3 เป็นนักเรียนชายจำนวน 8 คน เป็นนักเรียนหญิงจำนวน 7 คน รวมจำนวน ทั้งหมด 15 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ (1) แผนการจัดประสบการณ์ตาม แนวคิดสะตีมศึกษา และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า (1) การพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาที่ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 89.02/89.44 สูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 ท่ตี ง้ั ไว้ (2) ผลการเปรยี บเทยี บความคิดสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและหลงั การจัดประสบการณ์ ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของเด็กปฐมวัย สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซง่ึ สอดคลอ้ งกับสมมติฐานการวจิ ยั คำสำคัญ: การพฒั นาการจัดประสบการณ์, แนวคิดสะตมี ศกึ ษา, ความคดิ สร้างสรรค์, การศกึ ษาปฐมวยั
66 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) บทบาทของผูบ้ ริหารโรงเรยี นท่สี ่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรยี นสงั กัด สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษาสุรนิ ทร์ จังหวัดสุรินทร์ ทรงพร โคตรพันธ์ และสริ ิพร แสนทวสี ุข มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี สี เทริ ์น บทคดั ยอ่ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับค่าเฉลี่ยบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาและประสิทธิผล โรงเรียน 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของครูมัธยมศึกษา โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามขึ้นมาจากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีจำนวน 43 ข้อแล้วนำไปรวบรวม ความเห็นของหัวหน้างานกับครูมัธยมศึกษาในจังหวัดสุรินทร์จำนวน 400 คน ต่อจากนั้นจึงได้นำเอาข้อมูลมา วิเคราะห์ผลด้วยสถติ ิวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยมีผลวจิ ัยพบว่า 1) ค่าเฉล่ีย ของบทบาทผู้บริหารและประสิทธิผลโรงเรียนอยู่ในระดับมากที่สุดทั้งภาพรวมและองค์ประกอบรายด้าน 2) ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของหัวหน้างานและครูที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ ประสบการณ์ทำงาน ตำแหน่งงาน และรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีความเห็นต่อประสิทธิผลโรงเรียนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ท่ีระดับ .05 คำสำคัญ: บทบาทของผบู้ รหิ าร, ประสิทธิผลโรงเรยี น
67 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครงั้ ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั กจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์เพือ่ พัฒนาความสามารถการใชก้ ลา้ มเน้อื มัดเลก็ ของเดก็ ปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 โรงเรียนอนบุ าลหวั ตะพาน (รัตนวาร)ี อำเภอหวั ตะพาน จงั หวัดอำนาจเจรญิ สนุ ิษา เกง่ นอก และเพญ็ ประภา นรเนตร คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยมีประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กนักเรียน ชาย-หญิง อายุระหว่าง 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ของ โรงเรียนอนุบาลหัวตะพาน(รัตนวารี) อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 20 คน ผู้วิจัยดำเนินการทดลองเป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที รวม 20 ครั้ง ระหว่างเวลา 09.30-10.00 น. ซึ่งในแต่ละวันจะเตรียมวัสดุ -อุปกรณ์ต่างๆ ตามแผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรม ความสามารถในการใช้กลา้ มเนือ้ มัดเล็ก สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูลไดแ้ ก่ คา่ เฉลีย่ คา่ รอ้ ยละ ผลการวิจัยพบว่าเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีความสามารถการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หลังการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการจัดจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยมีผลต่างเท่ากับ 5.65 คิดเป็นร้อยละ ท่เี พิม่ ขน้ึ 95.76 คำสำคญั : เด็กปฐมวยั , ศิลปะสรา้ งสรรค,์ กล้ามเนอ้ื มัดเล็ก
68 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอ่ื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครั้งที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั กิจกรรมบทบาทสมมติประกอบการใช้คำถาม เพื่อพฒั นาทักษะการคิดสร้างสรรค์ ของเด็กชัน้ อนบุ าลปีที่ 3 อนัญพร การุธ และจริ วรรณ กาละดี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยีอีสเทิรน์ บทคดั ย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรียบเทียบทักษะการคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัด กิจกรรมบทบาทสมมติประกอบการใชค้ ำถาม โดยมปี ระชากรทใี่ ช้ในการวิจัยคร้งั น้ี คือ เดก็ นักเรียนชาย -หญิง อายุ 5-6 ปี ทก่ี ำลังศึกษาอยู่ในชน้ั อนุบาลปีที่ 3 จำนวน 26 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้าน หนองไหล(พุธเพม่ิ วัฒนราษฎร)์ ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จงั หวดั อบุ ลราชธานี ผวู้ จิ ัยดำเนนิ การทดลองเป็น เวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 40 นาที รวม 20 ครั้ง เวลา 10.20 – 11.00 น. เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมบทบาทสมมติประกอบการใช้คำถามเพื่อพัฒนาทักษะการคิด สร้างสรรค์ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 กิจกรรมเสรี จำนวน 4 หน่วย 2) แบบประเมินทักษะการคิดสร้างสรรค์ จำนวน 4 ชดุ ประกอบด้วย ชดุ ท่ี 1 ดา้ นความคดิ คล่องแคลว่ ชุดท่ี 2 ด้านความคดิ สร้างสรรค์ ชดุ ท่ี 3 ความคิด ยืดหยุน และ ชุดที่ 4 ความคิดละเอียดลออ แบบแผนการวิจัยแบบ One–grou pretest-posttest design สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูลไดแ้ ก่ คา่ เฉลยี่ และค่าร้อยละ ผลการวจิ ยั พบวา่ ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรคข์ องเดก็ ชั้นอนบุ าลปที ี่ 3 หลงั การจดั กิจกรรมโดยใช้กิจกรรม บทบาทสมมุติเพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ของเด็กสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมบทบาทสมมติ ประกอบการใช้คำถาม มีค่าเฉลี่ยทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยมีผลต่างเท่ากับ 5.69 คิดเป็นร้อยละที่เพิ่มขึ้น 96.10 คำสำคญั : เดก็ ปฐมวยั , บทบาทสมมต,ิ การใชค้ ำถาม, การคดิ สรา้ งสรรค์
69 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่องคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจัดกจิ กรรมการเรยี นรภู้ าษาแบบธรรมชาติควบคกู่ ับการเสริมแรงทางสงั คมเพื่อ พัฒนาทกั ษะการฟงั เด็กชั้นอนบุ าลปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นดวน อภิชญา สมพร และวชั ราภรณ์ วงษจ์ ันทร์ทรา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทิร์น บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลัง ได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติควบคู่กับการเสริมแรงทางสังคม แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย แบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Design) ที่มีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียวและมีการทดสอบก่อนและหลังเรียน One - Group Pretest - Posttest Design ซ่ึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กนักเรียน ชาย – หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี จำนวน 13 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนบ้านดวน ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัด อุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โดยใช้โปรแกรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ ควบคู่กับการเสริมแรงทางสังคมจำนวน 12 ครั้งและแบบทดสอบทักษะการฟังจำนวน 20 ข้อ เป็นเครื่องมือใน การศกึ ษาคน้ คว้า การวเิ คราะหข์ ้อมูลใช้การคำนวณหาคา่ เฉลี่ย ( ) ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ( ) คา่ รอ้ ยละ (P) ผลการวจิ ยั พบวา่ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านดวน ได้รับกจิ กรรมการเรยี นรภู้ าษาแบบธรรมชาติ ควบคู่กับการเสริมแรงทางสังคมเพื่อพัฒนาทักษะการฟัง หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัด ประสบการณ์ โดยมีผลตา่ งของร้อยละ เท่ากับ 57.31 ซ่งึ เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ คำสำคญั : ภาษาธรรมชาติ, การเสรมิ แรงทางสงั คม, ทกั ษะการฟงั
70 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) รายงานผลการจดั ประสบการณ์เพอื่ พฒั นาความสามารถในการส่อื ความหมาย สำหรับเด็กช้นั อนบุ าลปีที่ 3 ตามแนวคดิ แบบไฮสโคป โรงเรยี นบ้านหนองฮหี นองแคน อมรรัตน์ โนนม่วง และกัญญาภัค ชอบแต่ง คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทริ ์น บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อความหมายของ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองฮีหนองแคน ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคป การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจยั กึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มเดียวมีการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest - Posttest Design) ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 - 6 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนองฮีหนองแคน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 จำนวน 8 คน ซง่ึ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถในการสื่อความหมาย สำหรับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ตามแนวคิดแบบไฮสโคป จำนวน 50 แผน 2) แบบประเมินความสามารถในการสื่อความหมาย สำหรับเด็กชั้น อนุบาลปีที่ 3 จำนวน 5 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ( ) และค่าร้อยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองฮีหนองแคน มีความสามารถในการส่ือ ความหมายหลังไดร้ ับการจดั ประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคปสูงกวา่ ก่อนการจัดประสบการณ์ โดยมีผลต่างของ รอ้ ยละ เทา่ กบั 52.50 คำสำคญั : การสอื่ ความหมาย, แนวคิดไฮสโคป
71 การประชุมวิชาการระดับชาติ เร่อื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครงั้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การจดั ประสบการณโ์ ดยใช้ชุดกจิ กรรม เพ่ือพัฒนาความพร้อมพืน้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นการสังเกตและการจำแนก ชน้ั อนุบาลปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยทม จารุวรรณ ไชยดี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั การจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิรน์ บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้านการสังเกต และการจำแนกของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยทม ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้ ชุดกิจกรรม เพื่อพัฒนาความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้านการสังเกตและการจำแนก แบบแผนการวิจัย ครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Design) ที่มีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียวและมีการทดสอบก่อน และหลังเรียน One - Group Pretest - Posttest Design ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กหญิง - ชาย ที่มีอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 22 คน โรงเรียนบ้านห้วยทม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ เขต 1 ซึ่งได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม เพอื่ พฒั นาความพรอ้ มพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ด้านการสังเกตและการจำแนก ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 2 จำนวน 50 แผน 2) ชดุ กจิ กรรม เพื่อพฒั นาความพร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตรด์ า้ นการสงั เกตและการจำแนก ชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 50 กิจกรรม และ 3) แบบทดสอบวดั ความพรอ้ มพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ จำนวน 10 ขอ้ การวิเคราะห์ ขอ้ มลู วิเคราะห์ข้อมลู โดยคำนวณหาค่าเฉล่ยี ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และคา่ รอ้ ยละ (P) ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้ชุดกิจกรรม เพื่อพัฒนาความพร้อมพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ด้านการสังเกตและการจำแนก เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านห้วยทม มีการพัฒนาความ พร้อมพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้านการสังเกตและการจำแนก หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยมผี ลตา่ งของรอ้ ยละ เทา่ กบั 50.91 คำสำคญั : วทิ ยาศาสตร์, การสังเกต, การจำแนก
72 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรอื่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม ครง้ั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การพัฒนาทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตรด์ ้านจำนวนและตวั เลขของเด็กปฐมวัย โดยใช้เกมการศกึ ษา ช้นั อนุบาลปีที่ 2 ธันยพร โทนสิมมา และพิชาญ ณ พัทลงุ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านจำนวนและ ตัวเลขของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมโดยใช้เกมการศึกษา ซึ่งกลุ่มตวั อย่างที่ใช้ใน การวิจัยคร้ังนี้ คือ เด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีท่ี 2/2 โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว ตำบลใน เมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 23 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ( Sample random sampling) ด้วยวิธีการจับฉลากโดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม ผู้วิจัยดำเนินการทดลอง เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวม 16 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐาน ทางคณติ ศาสตรด์ า้ นจำนวนและตวั เลขของเด็กปฐมวยั 2) แผนการจัดกจิ กรรมการโดยใชเ้ กมการศึกษา จำนวน 16 แผน และ 3) เกมการศกึ ษาสำหรับเด็กปฐมวยั จำนวน 8 เกม สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ยี (X )̅ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) คา่ ร้อยละ (P) และ t-test ผลการวจิ ัยพบว่า เด็กปฐมวัย ชั้นอนบุ าลปที ่ี 2 มที กั ษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตรด์ า้ นจำนวนและตัวเลข ของเดก็ ปฐมวยั หลังการจัดกจิ กรรมสงู กวา่ ก่อนการจัดกจิ กรรมโดยใช้เกม อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 คำสำคัญ: เดก็ ปฐมวยั , ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์, จำนวน
73 การประชุมวิชาการระดับชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) ปัจจัยทีส่ ่งผลต่อการจดั การเรียนการสอนออนไลน์ ในสถานการณโ์ ควิด-19 กับเด็กออทสิ ตกิ โรงเรียนอุบลปัญญานุกลู จังหวดั อุบลราชธานี ดลนภา เกษแกว้ และภานุมาศ จินารัตน์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอสี เทริ น์ บทคัดยอ่ การจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กออทิสติกมุ่งหวังต่อการพัฒนาทักษะสื่อสารกับการอยู่ร่วมกัน เพื่อนรุ่นเดียวกันได้ตามปกติ ผู้บริหารและครูจำเป็นต้องอาศัยทั้งความรู้กับความเข้าใจต่อการเลือกเอาวิธีการ จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมมาใช้ให้สอดคลอ้ งไปกับบริบทของเด็กนักเรียน และด้วยเหตุนี้ผู้วิจยั ต้องการรู้ เกี่ยวกับแนวทางพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน และทักษะสื่อสารและสังคม สำหรับเด็กออทิสติก โดยผู้วิจัยได้รวบรวมผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารและครูโรงเรียนอุบลปัญญานุกูล จังหวัดอุบลราชธานีจำนวน 168 คนมาวิเคราะห์ผล แล้วได้ผลวิจัยพบว่าแนวทางพัฒนาประกอบด้วย 1) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และ 2) พฒั นาการต้งั คำถาม โดยท้ังสององค์ประกอบมีสัมประสิทธิ์พยากรณ์ ร่วมกันท่ี R2 .51 ความคลาดเคล่ือนมาตรฐานที่ .82 กบั ความสามารถในการอธิบายความแปรปรวนรว่ มกันได้ท่ี 82.22 (Sig. 000) คำสำคญั : การจัดการเรยี นการสอนออนไลน์, การพัฒนาทกั ษะสือ่ สาร
74 การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ เรื่องคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางพฒั นาคุณลักษณะคณิตศาสตร์กับการสนบั สนุนของครอบครวั และคณุ ภาพการสอน ทส่ี ง่ ผลต่อระดับผลสัมฤทธค์ิ ณติ ศาสตร์ของนักเรยี นระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ในเขตจงั หวดั อำนาจเจรญิ และยโสธร นาวิน ศรสี ขุ และภานมุ าศ จินารัตน์ มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทิร์น บทคดั ย่อ เพื่อการยกระดับผลสัมฤทธิ์คณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนอาชีวศึกษาจำเป็นต้องอาศัยหลายปัจจัย โดยเฉพาะจากการสนับสนุนของครอบครัวกับการพัฒนาคุณภาพการสอนของครูและ ความเข้าใจในคุณสมบัติ ของนักคณิตศาสตร์สำหรับนำไปพัฒนาความสามารถของผู้เรียน และด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องการรู้เก่ี ยวกับ แนวทางพัฒนาคุณสมบัติคณิตศาสตร์ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวและคุณภาพการสอนของครูที่ส่งผลต่อ ระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอาชีวศึกษา โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากครูและนกั เรียนอาชีวศกึ ษา ในเขตจงั หวัดอำนาจเจริญ และยโสธรจำนวน 422 คนแลว้ นำกลับมาวเิ คราะหผ์ ล ผลวจิ ัยพบวา่ แนวทางพัฒนา ประกอบด้วย 1) พัฒนาคุณสมบตั ิคณิตศาสตร์ด้านการใช้เหตุผล 2) การสนับสนุนจากครอบดา้ นค่าใช้จ่ายและ การใช้เหตผุ ลในการเล้ยี งดู 3) คุณภาพการสอนสำหรับครูด้านความรทู้ ่ีแม่นยำ โดยทงั้ 3 แนวทางมสี ัมประสิทธิ์ อทิ ธิพลที่ .02, .07 และ .01 มีค่า F = 5.30, 17.89, 4.18 (Sig. 022, .000, .041) ตามลำดบั คำสำคญั : คณุ สมบตั ิคณติ ศาสตร์, การสนบั สนุนจากครอบครวั , คุณภาพการสอน
75 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ เรือ่ งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) อทิ ธพิ ลของลักษณะบุคลิกภาพทมี่ ตี ่อสมรรถนะของครใู นการจัดการเรยี นการสอน ในสถานการณ์โควดิ -19 สุภคั ษร จนั ทรกั ษ์ และเปรมยุดา ลสุ มบตั ิ มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยอี ีสเทิรน์ บทคัดยอ่ การปรับตัวให้เข้ากับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารสำหรับผู้ประก อบวิชาชีพครู จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอิทธิพลของลักษณะส่วนบุคคลกับสมรรถนะครูสำหรับ นำไปใชใ้ นการจดั กิจกรรมส่งเสริมผเู้ รียนได้ และด้วยเหตนุ ผ้ี วู้ จิ ยั จึงมีวัตถปุ ระสงค์วิจัยเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนา สมรรถนะครู จากการรวบรวมความเห็นของครูประถมศึกษาในเขตจังหวัดมุกดาหารจำนวน 349 คนมา วิเคราะห์ผล แล้วได้ผลวิจัยพบว่า แนวทางพัฒนาสมรรถนะการสอนสำหรับครูประถมศึกษา ในเขตจังหวัด มกุ ดาหารนั้นประกอบดว้ ย 1) การพัฒนาลกั ษณะธรรมชาติของความเปน็ ครู 2) การพัฒนาสมรรถนะดา้ นอาชีพ และ 3) การพัฒนาการบูรณาการเทคโนโลยี แนวทางพัฒนาทั้ง 3 มีองค์ประกอบย่อย เช่น พฤติกรรมส่วนตัว การตดั สินเก่ยี วกับสังคมและอารมณ์ท่ีดี การพฒั นาทศั นคตทิ ่ดี ตี อ่ ผู้เรยี น และแนวคดิ สว่ นตัวกับอาชพี ครูทีด่ ี คำสำคัญ: ลักษณะสว่ นบุคคล, สมรรถนะครู
76 การประชุมวชิ าการระดับชาติ เร่อื งคณุ ภาพของการบรหิ ารจดั การและนวตั กรรม คร้งั ท่ี 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) แนวทางการพัฒนาการสอนแบบ Online และแบบ Offline ท่ีมผี ลต่อประสทิ ธิภาพการสอนของครู ในชว่ งสถานการณ์ Covid-19 สังกัดสำนกั งานเขตพ้นื ทีป่ ระถมศกึ ษาศรสี ะเกษ สทุ ธพิ ร บุญจันทร์ และสมานจิตร ภริ มยร์ ่นื มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทริ ์น บทคัดย่อ งานวจิ ยั นม้ี วี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพฒั นาการสอนแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์ที่มีผล ต่อประสิทธิภาพการสอน โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามจำนวน 46 ข้อขึ้นมาด้วยตนเองแล้วนำไปทดสอบ ความตรงได้ค่า KMO ที่ .93, .94 และ .92 กับมีความเที่ยงตรงรายข้อระหว่าง .32-.81 ต่อจากนั้นผู้วิจัยจึงได้ นำไปเก็บข้อมูลจากครูและผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 355 คน มาวเิ คราะหผ์ ล แลว้ พบวา่ แนวทางการพฒั นาประสิทธิภาพการสอนประกอบดว้ ย กจิ กรรมและสอ่ื สารการสอน การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลและ ICT การป้องกันสุขภาพ การวัดประเมินผลผู้เรียน และผลกระทบด้านอารมณ์ แนวทางการพฒั นาทง้ั หมดสามารถพยากรณ์ร่วมกนั ตอ่ ประสิทธิภาพการสอนมสี ัมประสทิ ธ์กิ ารพยากรณ์อย่างมี นัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ R2 = .41, ความแปรปรวน F= 50.15 (Sig .000) คำสำคัญ: การสอนแบบออนไลน์, การสอนแบบออฟไลน์, ประสิทธิภาพการสอน
77 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ เรือ่ งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม ครัง้ ที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การบรหิ ารการจัดการเรียนการสอน On-site, On-hand และ Online ในสถานการณ์โควดิ -19 กมลพร เพ้ียบุญมาก และสริ ิพร แสนทวีสขุ มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยอี สี เทิร์น บทคัดยอ่ การศึกษาสภาพและปัญหาการจัดการเรยี นการสอนของครปู ระถมศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนา รปู แบบการบรหิ ารจัดการเรยี นการสอนให้มแี บบเฉพาะตน ผ้วู ิจัยจงึ มีวัตถุประสงคส์ ำคัญเพ่ือศึกษารูปแบบการ บริหารจัดการเรียนการสอนสำหรับครูประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึ กษา อุบลราชธานีจำนวน 178 คน โดยการพัฒนาแบบสอบถามจำนวน 27 ข้อขึ้นมารวบรวมความเห็นแล้วนำไป วเิ คราะห์ผล ผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนามีดังน้ี 1) การบริหารจัดการเรียนการสอนแบบ On-site ได้แก่ 1) ความพร้อมด้านการบริหารจัดการ ซึ่งมีน้ำหนักปัจจัยอยู่ระหว่าง .65-.73 2) วันเวลาและการกำหนด จำนวนผู้เรียน ซึ่งมีน้ำหนักปัจจัยระหว่าง .68-.82 และ 3) ความพร้อมด้านจัดการเรียนการสอนของครู มีนำ้ หนกั ระหว่าง .40-.80 2) การบรหิ ารจดั การเรยี นการสอนแบบ On-hand ไดแ้ ก่ 1) การจัดระบบสื่อสารกับ ความช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งมีน้ำหนักปัจจัยระหว่าง .64-.82 2) คุณภาพการสอนของครู มีน้ำหนักปัจจัย ระหว่าง .51-.79 และ 3) คุณภาพเอกสารและการดูแลนักเรียน มีน้ำหนักปัจจัยระหว่าง .80-.82 3) การบริหารจัดการเรียนการสอนแบบ Online ได้แก่ 1) ความพร้อมด้านสื่อและอุปกรณ์ ซึ่งมีน้ำหนักปัจจัย ระหวา่ ง .38-.83 และ 2) คณุ ภาพการสื่อสารและสัญญาณ Internet โดยมีน้ำหนักปจั จยั ระหวา่ ง .59-.88 คำสำคัญ: การจัดการเรียนการสอน On-site, On-hand และ Online
78 การประชมุ วชิ าการระดับชาติ เรอ่ื งคุณภาพของการบรหิ ารจดั การและนวัตกรรม คร้ังที่ 9 (9th National Conference on Quality Management and Technology Innovation) การศึกษาปัจจัยทสี่ ่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงาน (Job Satisfaction) ของครโู รงเรยี นมัธยมศึกษา สงั กัดสำนกั งานการศึกษาพเิ ศษ ทิพวรรณ ชาลี และภานุมาศ จินารตั น์ มหาวทิ ยาลยั การจัดการและเทคโนโลยีอสี เทิร์น บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมกันของลักษณะส่วนบุคคลที่ส่งผลตอ่ ความพึงพอใจในการทำงานของครู สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จังหวัดอุบลราชธานี โดยผู้วิจัยพัฒนาแบบสอบถามชนิดมาตรวัด 5 และ 7 ระดับจากแนวคิดกับทฤษฎีความพึงพอใจในการทำงาน แล้วนำไปตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่นก่อนนำไปรวบรวมข้อมูลจากครู ในสังกัดสำนักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ จำนวน 400 คนสำหรับนำกลบั มาวิเคราะหผ์ ล โดยมีผลวจิ ยั พบว่า ค่าเฉลีย่ ความแตกต่างด้าน อายุกับประสบการณ์ที่ต่างกันสามารถอธิบายความแปรปรวนร่วมกันต่อความพึงพอใจในการทำงานได้อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ โดยมีผลทดสอบ F = 2.08 (Sig. .040) รวมถึงมีความเป็นไปได้ร้อยละ 79 ที่จะพยากรณ์ ระดับความพึงพอใจในการทำงานได้ที่สัมประสิทธิ์ R2 = .14 เพราะฉะนั้น ค่าเฉลี่ยความแตกต่างด้านอายุและ ประสบการณ์ทต่ี า่ งกนั จะมผี ลแตกตา่ งกันต่อทัศนคตแิ ละความรู้ของครูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดว้ ยเช่นกัน คำสำคัญ: ปัจจัยท่ีสง่ ผล, ความพึงพอใจงานของครู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132