Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Labor-Law03

Labor-Law03

Published by wanpen saelao, 2019-02-23 11:37:57

Description: Labor-Law03

Search

Read the Text Version

กฎหมายแรงงาน 1

2 คานา รายงานฉบบั นีเ้ ป็นสว่ นหนึ่งของรายวชิ า การสืบค้นข้อมลู ทาง อินเตอร์เน็ต กลุ่มสาระการเรียนรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ ช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ซ่ึงรายงานฉบับนมี้ ีเน้ือหาเก่ียวกับเรือ่ ง กฎหมาย ไทย รายงานฉบับนี้เน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ กฎหมายไทย รายงานฉบับนี้จัดทาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตร การสอนเรียน การสอนในทางดา้ นวิชาการตามความเหมาะสม ผู้จัดทาหวังว่ารายงานฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจใน ด้านกฎหมายไทย หรือต้องการหาความรู้ในเรื่องดังกล่าวได้อย่างมี ประสิทธิภาพเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย และตามหลักการ ขอขอบคุณ เว็บไซต์ท่ีทางผู้จัดทาได้ใช้หาข้อมูลในการทารายงานฉบับนี้ ให้ สาเรจ็ ลลุ ่วงไปไดด้ ว้ ยดไี ว้ ณ โอกาสนี้

3 สารบัญ หน้า บท 4-16 บทท1่ี 17-38 สญั ญาจ้างแรงงาน 39-40 บทท2่ี 41-43 การคุ้มครองแรงงาน 44-49 บทท3่ี 50-72 การคมุ้ ครอง บทท4่ี กฎหมายประกนั สังคม บทที่5 ความหมาย ลกั ษณะ และการบงั คับใช้ความหมาย บทท6ี่ พระราชบัญญตั ิ

4

5 บทที่1 สญั ญาจ้างแรงงาน 1. ลกั ษณะทว่ั ไปของสัญญาและกจิ การ ในสัญญาจ้างแรงงาน อันเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจะเกิดขึ้นจากการ แ ส ด ง เจ ต น า ข อ ง บุ ค ค ล ส อ ง ฝ่ า ย คื อ น า ย จ้ า ง แ ล ะ ฝ่ า ย ลู ก จ้ า ง ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งคู่กรณีต่างจะต้องมี ความผูกพันตามข้อตกลงในสัญญาจ้างแรงงงานและตามกฎหมาย อ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง แม้สัญญาจ้างแรงงานจะไม่มีกฎหมายบังคับว่า ต้องทาเป็นหนังสือ แต่ในหลายกรณีนายจ้างและลูกจ้างควรจะทา สัญญาหรือข้อตกลงกาหนดหน้าท่ีของนายจ้างลูกจ้าง กาหนดค่า สินจ้างตอบแทนระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่ ต้องโต้เถียงหรือต้องมีข้อพิพาทเกิดข้ึนภายหลัง มีข้อสังเกตว่า ลักษณะสาคัญของสัญญาจ้างแรงงานประการหนึ่งคือการท่ีนายจ้าง มีอานาจบงั คับบัญชาการทางานของลูกจ้าง

6 2. ส่วนประกอบที่จะตอ้ งมใี นสัญญาจ้าง -ผวู้ ่าจ้าง (ผมู้ ีอานาจกระทาการแทนบรษิ ัท หรือผู้รับมอบอานาจ จากผมู้ อี านาจกระทาการแทน) -ผรู้ บั จา้ ง -วันเริ่มจ้าง -ระยะเวลาทดลองงาน (หากมีการทดลองงานจะต้องระบุไว้ใน สญั ญา) -วันสิ้นสุดการจ้าง(เฉพาะกรณีเป็นสัญญาจ้างมีระยะเวลาการจ้าง แน่นอน)อตั ราค่าจ้าง -จะต้องมีลายมอื ชอ่ื ของ \"ผ้วู ่าจา้ ง\" และ \"ผ้รู บั จ้าง\" -ไมจ่ าเปน็ ต้องมีพยาน

7 3. ปัญหาภาษีอากรสาคัญโดยท่ัวไปของสัญญา ปญั หาภาษอี ากรสาคัญท่เี ก่ียวกับสัญญาจ้างแรงงาน จะไดแ้ ก่ปัญหา ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพราะบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้รับเงินค่าจ้าง ตามสัญญาจา้ งแรงงาน (เงินได้ตามมาตรา 40 (1)ประมวลรัษฎากร) ย่อมอยู่ในข่ายท่ีต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตาม มาตรา 50 แหง่ ประมวลรษั ฎากร มาตรา 50 บัญญัติว่า “ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงิน ได้ไวท้ ุกคราวท่จี ่ายเงนิ ได้พึงประเมนิ ตามวธิ ดี ังตอ่ ไปนี้ (1) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ให้ คูณเงินได้พึงประเมินท่ีจ่ายด้วยจานวนความท่ีต้องจ่าย เพ่ือได้ จานวนเงินเสมือนหน่ึงว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคานวณภาษีตามเกณฑ์ใน

8 มาตรา 48 เป็นเงินภาษีท้ังสิ้นเท่าใด ให้หารด้วยจานวนคราวท่ีต้อง จ่าย ได้ผลลัพธ์เปน็ เงนิ เทา่ ใด ให้หักเป็นเงินภาษไี ว้เท่านั้น ถ้าการหารด้วยจานวนคราวท่ีจะต้องจ่ายตามความในวรรค ก่อนไม่ลงตัวเหลือเศษเท่าใด ให้เพิ่มเงินจานวนท่ีเกลือเศษนั้น รวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้คร้ังสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ ยอดเงนิ ภาษีทหี่ ักรวมท้งั ปีเท่ากบั จานวนภาษีทตี่ อ้ งเสียท้งั ปี” ส่วนรายการเก่ียวกับชนิดของเงินได้ตามมาตรา 40 (1)ประมวลรษั ฎากรบัญญตั ิไวด้ งั นี้ “มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปน้ี รวม ตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อ่ืนออกแทนให้สากรับ เงินไดป้ ระเภทตา่ ง ๆ ดังกลา่ ว ไม่วา่ ทอดใด (1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเล้ียง โบนัส เบ้ียหวัด บาเหน็จ เงินค่าเช่าบ้าน เงินท่ี คานวณไดจ้ ากมลู คา่ ของการได้อยู่บ้านทนี่ ายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่า เชา่ ในท่ีนายจ้างจ่ายชาระหน้ใี ด ๆ ซ่งึ ลูกจา้ งมีหน้าท่ีต้องชาระ และ เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่เน่ืองจากการจ้าง แรงงาน ฯลฯ เงินค่าภาษีอากรตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออก แทนให้สาหรับเงินได้ประเภทใด ไม่ว่าในทอดใดหรือในปีภาษีใดก็ ตาม ให้ถือเป็นเงินได้ประเภทและของปีภาษีเดียวกันกับเงินได้ท่ี ออกแทนใหน้ ัน้

9 ต่อไปนี้เป็นกรณีตัวอย่างแนวปฏิบัติของกรมสรรพกรที่เคย ตอบวินจิ ฉยั เกยี่ วกับเงินได้ตามมาตรา 40 (1) แหง่ ประมวลรษั ฎากร และภาระภาษอี ากรของผู้เกย่ี วข้อง เงนิ ชว่ ยคา่ อาหารและคา่ ล่วงเวลา การจ่ายเงิน ให้พนักงานท่ี ได้รับเงินเดือนประจา ซ่ึงมี ฐานะเป็นลูกจ้าง โดยจ่ายเงิน ช่วยค่าอาหาร เงินค่าอยู่เวร และเงินค่าล่วงเวลาให้นั้น ก็ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ใน ฐานะเป็นลูกจ้าง ดังน้ัน เงินดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นเงินได้ เน่ืองจากการจ้างแรงงานเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตาม มาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร (ดูภาคอ้างอิง ข้อ 11.1 หนังสือ กรมสรรพากรท่ี กค.0804/14707 ลงวันท่ี 29 กรกฎาคม 2524 )

10 คา่ เชา่ บา้ นและค่าใชจ้ ่ายตา่ ง ๆ ในกรณีท่ีบริษัทได้เช่าบ้านพักให้พนักงานชาวต่างประเทศ อาศัย และออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งหลาย เช่น ค่าน้าประปา ค่า ไฟฟ้า ค่าคนสวน และค่าใช้จา่ ยอ่ืน ๆ โดยที่บริษทั ตอ้ งจา่ ยได้รว่ มใช้ ประโยชน์ในบ้านพักนั้นในกิจการของบริษัทอยู่บ้างกรณีอาจจะถือ ว่า จานวนค่าใชจ้ ่ายในอตั รารอ้ ยละ 80 ของคา่ ใช้จ่าทั้งหมดทบ่ี รษิ ัท ได้จ่ายนั้น เป็นประโยชน์ที่พนักงานชาวต่างประเทศได้รับ ซึ่ง พนักงานเหล่านั้นจะต้องนาประโยชน์เพ่ิมในอัตราร้อยละ 80 ของ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมารวมคานวณเพ่ือเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) แห่ง ประมวลรัษฎากรด้วย (ดูภาคอ้างอิง ข้อ 11.2 หนังสือ กรมสรรพากรที่ กค. 0802/9557 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2528 ) เบ้ยี ขยนั บ ริ ษั ท มี ก า ร จ่ า ย เงิ น จ า น ว น ห น่ึ ง ใ ห้ แ ก้ พนักงาน เพ่ือเป็นสินน้าใจตอบแทนการ ทางานของ พนักงานที่ทางานตรงเวลา อย่างสม่าเสมอตลอดปี ตามประกาศของ บริษัทว่าด้วยเบ้ียขยัน เงินดังกล่าวถือเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัท ต้องหักภาษี ณ ท่ีจ่ายตามมาตรา 50 (1) ด้วย(ดูภาคอ้างอิง ข้อ

11 11.3หนังสือกรมสรรพากรท่ี กค. 0802/6373 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม2525 ) เงินชว่ ยเหลือความเสียหายเนอ่ื งจากน้าท่วม ในกรณีที่บริษัทหนึ่งได้รับความช่วยเหลือแก่พนักงานโดยให้ เปล่าเน่ืองจากประสบภัยน้าท่วม กรมสรรพากรเคยวินิจฉัยว่า ไม่ เข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตาม โอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี หรือเงินท่ีได้รับจากการ อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวล รษั ฎากร แต่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทผู้จ่ายมีหน้าท่ีหัก ภาษีเงินได้ ณ ท่ีจ่าย ตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร (ดู ภาคอ้างอิง ข้อ 11.4 หนังสือกรมสรรพากรท่ี กค. 0802/6683 ลง วนั ท่ี 1พฤษภาคม 2527 )

12 เงินไดบ้ างกรณไี ด้รบั ยกเว้นภาษเี งินได้ แม้เงินค่าจ้างหรือประโยชน์เพิ่มที่พนักงานลูกจ้างได้รับน้ัน โดยปกติจะต้องนะไปเสียภาษีเงินได้ และจะอยู่ในบังคับต้องถูกหัก ภาษีไว้ ณ ที่จ่าย แต่มีเงินได้หลายประเภทที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 กาหนดว่า ผู้รับเงินได้จะได้รบั ยกเวน้ ไม่ต้องเสียภาษีเงิน ได้ จึงไม่อยู่ในข่ายต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังมีตัวอย่างท่ี เกี่ยวข้องกบั สัญญา ดังนี้ บริษัทหนึ่งประกอบธุรกิจการจัดสรรที่ดิน ตามระเบียบของ บริษัทกาหนดให้ฝ่ายบริหารท่ีจะเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยธุรกิจ ของบริษัทน้ัน เบิกเบ้ียเลี้ยงตามค่าใช้จ่ายท่ีเป็นจริง ค่าเบี้ยเล้ียงท่ี บริษัทจ่ายตามข้อเท็จจริงดังกล่าว หากพนักงานของบริษัทซ่ึงเป็น ผู้รับไป พิสูจน์ได้ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจาเป็นและได้จ่าย ไปท้งั หมดในการนั้นแล้ว ย่อมไดร้ บั ยกเวน้ ภาษเี งินได้ตามมาตรา 42 (1) แห่งประมวลรัษฎากร (ดูภาคอ้างอิง ข้อ 11.5 หนังสือ กรมสรรพากรที่ กค.0804/13693 ลงวนั ท่ี 23 กรกฎาคม 2523)

13 สัญญารับจา้ งเข้าทางาน สญั ญาฉบบั นี้ทาขึ้นท่บี ริษทั ตั้งอยูเ่ ลขท่ี เม่ือวันท่ี ระหวา่ ง บริษัท โดย ผมู้ ี อานาจทาการแทนบรษิ ัทฯ ซ่ึงตอ่ ไปน้ีจะเรียกว่า “ผวู้ ่าจา้ ง” ฝา่ ย หนงึ่ กบั อายุ ปี บัตร ประชาชนเลขที่ ออกที่ ทีอ่ ยู่ตาม ทะเบยี นบ้านเลขที่ปจั จุบันพกั อย่บู า้ นเลขท่ี ซึง่ ตอ่ ไปนี้จะ เรยี กวา่ “ผ้รู ับจา้ ง” อีกฝา่ ยหนงึ่ โดยทงั้ สองผ่ายได้ตกลงทาสัญญา กนั มีข้อตกลงดงั ต่อไปน้ี

14 ขอ้ 1. ผู้ว่าจ้างหมายถงึ บรษิ ทั จากดั ข้อ 2. ผู้ว่าจ้างตกลงว่าจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับจ้างเป็นพนักงาน เพ่ือเข้าทางานกบั ผูว้ ่าจา้ ง โดยมีรายละเอยี ดการจ้างดงั น้ี ตาแหนง่ หน้าที่ ฝ่าย วนั เร่มิ ปฏิบตั ิงานตง้ั แตว่ นั ที่ ระยะเวลา ทดลองงาน 119 วัน อตั ราคา่ จา้ ง(รายเดือน / รายวัน)ละ บาท รายไดอ้ ื่นๆ(รายเดอื น/รายวัน)ละ บาท ข้อ 3.ภายในระยะเวลาทดลองงาน หากผู้ว่าจ้างเห็นว่าผลการ ปฏิบัติงานของผู้รับจ้างไม่เป็นท่ีพอใจผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้ว่าจ้าง ขยายระยะการทดลองงานออกไปตามที่เห็นสมควร หรือให้เลิกจ้าง ได้ในทันทีในระหว่างท่ีทดลองงานโดยจะไม่เรยี กร้องค่าเสยี หายใดๆ ทง้ั สนิ้ ข้อ 4. เมื่อครบกาหนดการทดลองงานแล้วปรากฏว่าจากการ ประเมินผลการทดลองงานของผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้างมีผลการ ปฏิบัติงานความประพฤติ สุขภาพ ตลอดจนทัศนคติต่องาน เป็นที่น่าพอใจผู้ว่าจ้างจะบรรจุผู้รับจ้างเป็นพนักงาน โดยท้ัง สองฝ่ายตกลงค่าจ้างในอัตราเดิมหรือตามอัตราท่ีผู้ว่าจ้าง กาหนด

15 ขอ้ 5. ผู้รับจ้างทราบและรบั ว่า นอกจากภารกิจโดยทั่วไปแล้ว ผู้รับ จ้างตกลงท่ีจะปฏิบัติงานของผู้ว่าจ้างท้ังงานพิเศษต่างๆ ตามที่ผู้ว่า จ้างมอบหมาย ข้อ 6. กรณีที่ผู้ว่าจ้างมีความจาเป็นตามลักษณะและสภาพงานผู้ รับจ้างตกลงและยินยอมท่ีจะทางานล่วงเวลาและทางานในวันหยุด ตามทีผ่ ู้วา่ จา้ งมอบหมายเพอ่ื ให้งานตา่ งๆชองผ้วู ่าจ้างสาเรจ็ ลุล่วงไป ดว้ ยดี ขอ้ 7. ผ้วู ่าจ้างทรงไว้ซง่ึ สิทธิในทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความคิด ผลงาน สิ่งประดิษฐอ์ น่ื ใดทผ่ี ู้รับจ้างไดก้ ระทา ขอ้ 8. ผู้รับจ้างจะไม่เปิดเผยข้อมูล เอกสาร หรือสิ่งอ่ืนใดอันเป็น ขอ้ มูลทางธรุ กิจการคา้ ของผูว้ ่าจ้าง ทผ่ี ูร้ บั จา้ งไดม้ าในระหว่าง สัญญาจา้ ง หรือเม่ือสิ้นสดุ สัญญาจา้ งน้ีแล้วตอ่ บุคคลภายนอก และหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งผู้ว่าจ้างจะเรียกร้องค่าเสียหายท่ี เกดิ ข้นึ เนื่องจากเหตุดังกล่าวได้ท้ังส้ิน ขอ้ 9. ผู้รับจ้างรับทราบและตกลงว่า ในระยะเวลา 1 ปีนับจากวัน ส้ินสุดสัญญาจ้างนี้ ผู้รับจ้างจะไม่เข้าไปเก่ียวข้องในการประกอบ ธุรกิจอ่ืนท่ีอาจมีผลกระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ และหรือเป็น การแขง่ ขนั กบั ผู้ว่าจ้าง

16 ข้อ 10. ผู้รับจ้างยินยอมผูกพันในการปฏิบัติตามข้อบังคับและ ระเบียบเกี่ยวกับการทางาน รวมท้ังประกาศ คาสั่งท้ังหลายท่ี ผู้ว่าจ้างกาหนดไว้แล้ว หรือที่จะกาหนดขึ้นในภายหน้าโดย เคร่งครัด ข้อ 11. ในระหว่างท่ีผู้รับจ้างปฏิบัติงานกับผู้ว่าจ้างนั้น ผู้ว่าจ้างมี สิทธิเปล่ียนแปลงโยกย้ายหน้าท่ี และหรือสถานท่ีทางานของผู้ รับจ้าง และหรือส่ังให้ผู้รับจ้างไปทางานต่างสถานท่ี ไม่ว่าการ เปล่ียนแปลงโยกย้ายหรือการสั่งการให้ไปทางานน้ัน จะเป็นการ ชวั่ คราว ครงั้ คราว หรอื เปน็ การประจา ข้อ 12. ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่า ผู้รับจ้างหย่อนความสามารถ หรือฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับในการทางานของผู้ว่าจ้างบ่อยคร้ังผู้ว่าจ้างอาจ พิจารณาตัดบาเหน็จ หรือเงินประโยชน์อ่ืนใดท่ีผู้รับจ้างมีสิทธิได้รับ หรอื ลด หรือย้ายตาแหน่ง หรือเลิกจ้างผู้รับจ้างได้ตามท่ีเห็นสมควร ข้อ 13. ในกรณีที่ผู้รับจ้างกระทาการใดให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ว่า จ้างไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือประมาทเลินเล่อหรือโดยทุจริตผู้รับจ้าง ตกลงจะชดใช้ความเสียหายทเ่ี กดิ ขึ้นต่อผูว้ า่ จา้ งทั้งส้นิ

17 ข้อ 14. บรรดาหนังสือบอกกล่าว ทวงถามใดๆ ที่ทางคู่สัญญา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ส่งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหน่ึงตามสถานที่อยู่ของ คู่สัญญาที่ระบุไว้ตามสัญญานี้ ไม่ว่านาส่งด้วยบุคคลหรือไปรษณีย์ ตอบรับ หรอื โทรสารถอื ว่าเปน็ การนาสง่ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย หนังสือสัญญาฉบับน้ีทาข้ึนเป็น 2 ฉบับ คู่สัญญาได้อ่านและเข้าใจ ข้อความในหนังสือสัญญาตรงกันโดยตลอดแล้ว โดยที่ผู้รับจ้างยินดี ยอมรับในเง่ือนไขตามที่ระบุไว้ทั้งหมด จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็น หลักฐานและเกบ็ รักษาไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ ลงช่อื ....................................ผูร้ บั จา้ ง ลงช่ือ..............................ผู้วา่ จ้าง ( )( ) ลงชือ่ ................................พยาน ลงชอ่ื ..................................พยาน ( )( )

18 บทท่ี2 การคุ้มครองแรงงาน 1.เวลาทางานปกติ งานท่ัวไปไม่เกิน 8 ชม./วัน หรือตามที่นายจ้างลูกจ้างตกลง กนั และไม่เกิน 48 ชม./สัปดาห์ งานที่อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ และความปลอด ภัยของลูกจ้าง ไดแ้ ก่ งานที่ต้องทาใต้ดนิ ใตน้ ้า ในถ้า ใน อุโมงค์ หรือในท่ีอับอากาศ งานเก่ียวกับ กัมมันตภาพรังสี งานเชื่อมโลหะ งาน ขนส่งวัตถุอันตราย งานผลิตสารเคมีอันตราย งานท่ีต้องทา ดว้ ยเครอ่ื งมอื หรือเครือ่ งจักร ซง่ึ ผทู้ าได้รบั ความส่ันสะเทอื นอนั อาจ เปน็ อันตราย และงานท่ตี ้องทาเก่ยี ว กับความรอ้ นจัดหรอื ความเย็นจัดอันอาจเปน็ อันตราย ซึ่งโดยสภาพ ของงานมีความเสี่ยงอันตรายสูงหรือมีภาวะแวดล้อมในการทางาน เกิน มาตรฐานความปลอดภัยที่กาหนดไว้ซึ่งไม่สามารถปรับปรุง

19 แก้ไขท่ีแหล่งกาเนิดได้ และต้องจัดให้มีการป้องกันที่ตัวบุคคล ให้มี เวลาทางานปกติไมเ่ กิน 7 ชม./วนั และไม่เกิน 42 ชม./สปั ดาห์ 2. เวลาพัก ระหว่างการทางานปกติ ไม่ น้อยกว่า 1 ชม./วัน หลังจากลูกจ้างทางานมาแล้วไม่เกิน 5 ชม. ติดต่อกัน หรืออาจตกลงกันพักเป็นช่วง ๆ ก็ได้แต่รวมแล้ว ต้องไม่น้อยกว่า 1 ชม./วัน งานในร้านขายอาหารหรือร้านขาย เครื่องด่ืมซึ่งเปิดจาหน่ายหรือให้บริการในแต่ ละวันไม่ติดต่อกัน อาจพกั เกิน 2 ชม./วนั ก็ได้ นายจ้างอาจจะไมจ่ ดั เวลาพักได้กรณเี ป็น งานท่ีมีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทา ติดต่อกันไปโดยได้รับ ความยนิ ยอมจากลูกจา้ งหรอื เปน็ งานฉกุ เฉิน กอ่ นการทางานลว่ งเวลา กรณีให้ลกู จ้างทางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทางานปกติไมน่ ้อยกว่า 2 ชม. ต้องจัดให้ลูกจ้างพักก่อนเริ่มทางานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 20 นาที

20 3. วันหยุด วันหยดุ ประจาสปั ดาห์ ไม่ น้อยกว่า 1 วัน/สัปดาห์ โดยให้มี ระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน สาหรับงาน โรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในท่ี ทุรกันดาร หรืองานอื่นตามท่ีกาหนดใน กฎกระทรวงอาจตกลงกันสะสมและเล่อื นวันหยดุ ประจา สัปดาห์ไป หยดุ เม่อื ใดก็ได้ภายในระยะเวลา 4 สปั ดาห์ติดต่อกัน วันหยุดตามประเพณี ไม่ น้อยกว่า 13 วัน/ปี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติ โดยพิจารณา จ าก วัน ห ยุ ด ราช ก ารป ระ จ าปี วัน ห ยุ ด ท างศ าส น าห รือ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าวันหยุดตามประเพณีตรง กับวันหยุดประจาสัปดาห์ให้หยุดชดเชยวันหยดุ ตาม ประเพณีในวัน ทางานถัดไป สาหรับงานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขาย อาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม ฯลฯ อาจตกลงกันหยุดวันอ่ืนชดเชย วันหยดุ ตามประเพณี หรือจา่ ยคา่ ทางานในวันหยดุ ให้กไ็ ด้ วนั หยุดพักผอ่ นประจาปี

21 ไม่ น้อยกว่า 6 วันทางาน/ปี สาหรับลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันมา ครบ 1 ปี อาจตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อน ประจาปี ไปรวมหยุดในปตี อ่ ๆ ไปได้ 4. การทางานล่วงเวลา การทางานในวนั หยุด อาจให้ลูกจ้างทาได้โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ก่อนเปน็ คราว ๆ ไป อาจ ให้ลูกจ้างทางานล่วงเวลา และทางานในวันหยุดได้เท่าที่ จาเปน็ ถา้ ลักษณะหรอื สภาพของงานตอ้ งทาติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะ เสยี หายแกง่ าน หรอื เปน็ งานฉุกเฉิน อาจให้ทางานในวันหยุด สาหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเคร่ืองด่ืม สโมสร สมาคม และ สถานพยาบาลได้ โดยไม่จาเป็นต้องได้รับ ความยินยอมจากลูกจ้างก่อน ช่ัวโมงการ ทางานล่วงเวลา การทางานในวันหยุด และ การทางานล่วงเวลาในวันหยุด รวมแล้วต้อง ไมเ่ กนิ 36 ชม./สปั ดาห์

22 5. วนั ลา วนั ลาป่วย ลูกจ้าง ลาป่วยได้เท่าท่ีป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทางานขึ้น ไปนายจ้างอาจใหล้ ูกจ้างแสดงใบรับรองของแพทย์แผนปัจจบุ ันชน้ั หนึ่งหรือ ของสถานพยาบาลของทางราชการได้ หากลูกจ้างไม่อาจแสดงได้ให้ลูกจ้าง ชี้แจงให้นายจ้างทราบ วันท่ีลูกจ้างไม่อาจทางานได้เน่ืองจากประสบ อันตรายหรอื เจ็บป่วยซึ่งเกิดจาก การทางาน หรือวนั ลาเพื่อคลอดบุตรไม่ถือ เปน็ วันลาปว่ ย วันลากิจ ลกู จา้ งลาเพือ่ กิจธุระอันจาเปน็ ไดต้ ามขอ้ บังคบั เก่ียวกับการทางาน วันลาทาหมัน ลูกจ้างลาเพ่ือทาหมันและเน่ืองจากการทา หมันได้ตามระยะเวลาท่ีแพทย์แผนปัจจุบัน ช้ันหนึ่งกาหนดและออกใบรับรอง

23 วันลารับราชการทหาร ลกู จา้ งลาเพ่ือรบั ราชการทหารในการเรียกพล เพ่อื ตรวจสอบฝึกวิชาทหาร หรอื ทดลองความ พรัง่ พรอ้ มตามกฎหมายว่าดว้ ยการรับราชการทหารได้ วนั ลาคลอดบตุ ร ลูกจา้ งหญงิ มคี รรภ์ลาเพ่อื คลอดบตุ รได้ครรภห์ นงึ่ ไมเ่ กนิ ๙0 วัน โดยนับรวม วนั หยดุ วนั ลาฝึกอบรม ลูกจ้าง มีสิทธิลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อประโยชน์ต่อการแรง งานและสวัสดิการสังคมหรือการเพิ่มทักษะความ ชานาญเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการ ทางานของลูกจ้างตามโครงการหรือ หลักสูตร ซึ่งมีกาหนดชว่ งเวลาท่ีแน่นอนและชัดเจน และเพื่อการสอบวดั ผล ทางการศึกษาที่ทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้น ลูกจ้างต้องแจ้งเหตุใน การลาโดยชัดแจ้ง พร้อมทั้งแสดงหลักฐานท่ีเก่ียวข้อง (ถ้ามี) ให้นายจ้าง ทราบล่วงหนา้ ไมน่ อ้ ยกว่า 7 วันก่อนวันลา นายจา้ งอาจไมอ่ นญุ าตใหล้ าหาก ในปีที่ลาลูกจ้างเคยได้รับอนุญาตให้ลามาแล้วไม่ น้อยกว่า 30 วัน หรือ 3 ครั้งหรือแสดงได้ ว่าการลาของลูก จ้างอาจก่ อให้เกิดความเสียหายหรื อ กระทบต่อ การประกอบธรุ กจิ ของนายจา้ ง

24 6. ค่าตอบแทนในการทางาน คา่ จา้ ง จ่าย เป็นเงินเท่านัน้ จา่ ยคา่ จา้ งให้แก่ลูกจา้ งไมน่ ้อยกวา่ อัตราคา่ จ้างขน้ั ต่า ถา้ กาหนดเวลาทางานปกติเกิน 9 ชม./วัน ให้จ่ายค่าตอบแทนแก่ลูกจ้าง ซ่ึง ไม่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนสาหรับการทางานท่ีเกิน 9 ชม.ขึ้นไปไม่น้อย กว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงหรือต่อหน่วยในวันทางาน และใน อัตราไม่น้อยกว่า 3 เทา่ ของอตั ราค่าจา้ งตอ่ ช่ัวโมงหรือต่อหนว่ ยในวนั หยดุ ค่าจา้ งในวันหยดุ จ่าย ค่าจ้างสาหรับวันหยุดประจาสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี และ วันหยุดพักผ่อนประจาปี ยกเว้นลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมง หรือตามผลงาน ไม่มีสทิ ธไิ ด้รับคา่ จา้ งในวนั หยดุ ประจาสัปดาห์ ค่าจ้างในวนั ลา จา่ ยค่าจา้ งในวันลาปว่ ยไมเ่ กิน 30 วันทางาน/ปี จา่ ยค่าจา้ งในวันลาเพอ่ื ทาหมนั จา่ ยคา่ จา้ งในวันลาเพือ่ รับราชการทหาร ไม่เกิน 60 วนั /ปี จา่ ยค่าจา้ งในวันลาเพอื่ คลอดบตุ ร ไมเ่ กนิ 45 วัน/ครรภ์ การลาเพ่ือทาหมัน ลูกจ้าง มีสิทธ์ิลาเพื่อทาหมันได้และมีสิทธิ์ลาเน่ืองจากการทาหมันตาม ระยะ เวลาท่ีแพทย์แผนปัจจุบันช้ันหนึ่งกาหนด และออกใบรับรองให้โดย ลกู จา้ งมสี ทิ ธ์ิไดร้ บั ค่าจา้ งในวันลาน้ันดว้ ย

25 การลากิจ ลูกจ้างมีสทิ ธลิ์ าเพือ่ กจิ ธรุ ะอนั จาเป็นไดต้ ามข้อบังคบั เก่ียวกับการทางาน การลาเพอื่ รบั ราชการทหาร ลูกจ้าง มีสิทธ์ิลาเพ่ือรับราชการทหารในการเรียกพลเพื่อตรวจสอบ เพื่อ ฝึก วิชาทหาร หรือเพื่อทดสอบความพร่ังพร้อม โดยลาได้เท่ากับจานวน วันที่ทางการทหารเรียก และได้รับค่าจ้างตลอดเวลาท่ีลาแต่ไม่เกิน 60 วัน ตอ่ ปี การลาเพอื่ ฝกึ อบรม ลูกจ้าง มีสิทธิ์ลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถตาม หลักเกณฑ์และวิธี การท่ีกาหนดในกฎกระทรวงโดยไม่ได้รับค่าจ้างในวันลา นนั้ ค่าจ้าง 1. เป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการ ทางานตาม สัญญาจ้างสาหรับระยะเวลาการทางานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ หรือระยะเวลาอื่น หรอื จ่ายให้โดยคานวณตามผลงานท่ี ลกู จ้างทาได้ในเวลาทางานปกติของวันทางาน และรวมถึงเงนิ ที่นายจ้างจ่าย ให้แก่ลูกจ้างในวันหยุด และวันลาท่ีลูกจ้างมิได้ทางานแต่มีสิทธิ์ได้รับตาม กฎหมายค้มุ ครองแรงงาน

26 2. ลูกจา้ งมสี ิทธ์ไิ ด้รบั คา่ จา้ งไมน่ ้อยกวา่ อัตราค่าจ้างขน้ั ตา่ 3. ถ้า ไม่มกี ารกาหนดอัตราคา่ จ้างขั้นตา่ ในทอ้ งท่ใี ดใหถ้ ือวา่ อตั ราคา่ จ้างข้ัน ต่า พ้ืนฐานเป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่าของท้องท่ีน้ัน (อัตรค่าจ้างขั้นต่าพื้นฐาน หมายถึง อัตราค่าจ้างท่ีคณะกรรมการค่าจ้างกาหนดเพ่ือใช้เป็นพื้นฐานใน การกาหนดอตั รา ค่าจา้ งขน้ั ต่า) การทางานลว่ งเวลา และการทางานในวนั หยดุ 1. ใน กรณีที่งานมีลักษณะต้องทาติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะ เสียหายแก่งาน หรอื เป็นงานฉกุ เฉนิ นายจ้างอาจให้ลูกจ้าง ทางานล่วงเวลา หรือทางานในวันหยุดเท่าท่ีจาเป็นก็ ได้ 2. กิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขาย เครื่องด่ืม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล และกิจการอื่นตามที่กระทรวงจะ ได้กาหนดนายจ้างจะให้ลูกจ้างทางานใน วันหยุดเท่าท่ีจาเป็นก็ได้ โดย ไดร้ ับความยินยอมจากลูกจา้ งเปน็ คราวๆ ไป 3. ใน กรณีที่มีการทางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทางานปกติไม่น้อยกว่า สอง ชั่วโมง นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพัก ไม่น้อยกว่ายี่สิบนาที ก่อนท่ี ลูกจ้างเร่ิม ทางานล่วงเวลา (ยกเว้นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้อง ทาตดิ ตอ่ กนั ไป โดยไดร้ บั ความยินยอมจากลูกจา้ งหรอื เป็นงานฉกุ เฉิน)

27 ค่าลว่ งเวลา ค่าทางานในวนั หยดุ และคา่ ล่วงเวลาในวนั หยุด 1. ถ้าทางานเกินเวลาทางานปกติของวันทางาน นายจ้างต้องจ่ายค่า ล่วงเวลา ไมน่ ้อยกว่าหนึง่ เท่าคร่ึงของอัตราคา่ จา้ งตอ่ ชว่ั โมงในวนั ทางานตาม จานวน ช่ัวโมงที่ทาหรือไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่าคร่ึงของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทางานตามจานวนผลงานที่ทาได้สาหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตาม ผลงาน 2. ถ้าทางานในวันหยุดเกินเวลาทางานปกติของวันทางานนายจ้างต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อ ช่ัวโมง ในวันทางานตามจานวนชั่วโมงที่ทาหรือตามจานวนผลงานที่ทาได้ สาหรับ ลกู จา้ งที่ไดร้ ับคา่ จ้างตามผลงานโดยคานวณเปน็ หน่วย 3. ถ้าทางานในวันหยุดในเวลาทางานปกติ นายจ้างต้องจ่ายค่าทางานใน วันหยุด ให้แก่ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพ่ิมข้ึนอีก 1 เท่าของ ค่าจ้าง ในวนั ทางานตามช่ัวโมงที่ทางานในวันหยุด หรือตามจานวนผลงานท่ี ทาได้ สาหรบั ลกู จ้างที่ได้รบั คา่ จ้างตามผลงานโดยคานวณเป็นหนว่ ย สาหรับ ลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของ ค่าจ้างในวันทางานตามช่ัวโมงที่ทางานในวันหยุดหรือตามจานวนผลงาน ที่ ทาไดส้ าหรบั ลกู จ้างทีไ่ ด้รับค่าจา้ งตามผลงานโดยคานวณเปน็ หน่วย

28 ค่าชดเชย 1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หาก นายจ้างเลกิ จ้างโดยลกู จ้างไมม่ ีความผิด ดังนี้ 1.1 ลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เท่ากบั ค่าจา้ งอัตราสดุ ท้าย 30 วัน 1.2 ลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับ คา่ ชดเชยเทา่ กบั ค่าจา้ งอตั ราสดุ ทา้ ย 90 วัน 1.3 ลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับ ค่าชดเชยเท่ากบั ค่าจา้ งอัตราสุดทา้ ย 180 วนั 1.4 ลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธ์ิได้รับ ค่าชดเชยเท่ากบั อตั ราคา่ จ้างสดุ ท้าย 240 วนั 1.5 ลูกจ้างซ่ึงทางานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชย เทา่ กับค่าจ้างอตั ราสุดท้าย 300 วนั 2. ในกรณีท่ีนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลติ การจาหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนาเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลง เครื่อง จกั รหรือเทคโนโลยี ซ่งึ เปน็ เหตใุ ห้ตอ้ งลดจานวนลูกจา้ งลง นายจา้ งต้องปฏิบัติดังนี้

29 2.1 แจ้งวันท่ีจะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายช่ือลูกจ้างที่จะ ถูกเลิกจา้ ง ให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงาน ทราบลว่ งหน้าไม่ น้อยกว่า หกสิบวนั ก่อนวนั ท่ีจะเลิกจา้ ง 2.2 ถา้ ไม่แจง้ แก่ลูกจ้างท่ีจะเลิกจ้างทราบลว่ งหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อย กว่าระยะเวลาหกสิบวนั นายจา้ งต้องจ่ายคา่ ชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าแก่ลูกจ้างเท่ากับค่า จ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้าง ของการทางานหกสิบวันสุดท้ายสาหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่า จ้างตามผลงาน โดยคานวณเป็นหน่วย ค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านี้ ให้ถือว่า นายจ้างได้จ่ายค่าสินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายด้วย นายจ้างตอ้ งจา่ ยคา่ ชดเชยพเิ ศษเพม่ิ ขึน้ จากค่าชดเชยปกตดิ ังต่อไปนี้ 1. ลูกจ้าง ทางานติดต่อกันครบหกปีขึ้นไป นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย พเิ ศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติซ่งึ ลูกจ้างนั้นมีสิทธิไดร้ ับอยู่แล้ว ไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายสิบห้าวันต่อการทางานครบหน่ึงปี หรือไม่น้อยกว่า ค่าจ้างของการทางานสิบห้าวันสุดท้ายต่อการทางาน ครบหน่ึงปีสาหรับ ลูกจา้ งซง่ึ ไดร้ ับคา่ จา้ งตามผลงานโดยคานวณเป็นหนว่ ย 2. ค่าชดเชยพิเศษน้ีรวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อย หกสิบ วัน หรือไมเ่ กนิ คา่ จ้างของ การทางานสามร้อยหกสิบวันสุดท้าย สาหรับลูกจ้างซ่ึงได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคานวณเปน็ หนว่ ย แต่รวมแลว้ ตอ้ งไม่เกินค่าจา้ งอัตราสุดท้ายสามรอ้ ยหกสบิ วัน

30 3. เพ่ือประโยชน์ในการคานวณค่าชดเชยพิเศษ เศษของระยะเวลาทางานที่ มากกวา่ หนงึ่ รอ้ ยแปดสบิ วัน ใหน้ บั เป็นการทางานครบหนึ่งปี 4. ในกรณีท่ีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปต้ัง ณ สถานท่ีอ่ืนอันมี ผลกระทบ สาคัญตอ่ กาดารงชวี ติ ตามปกติของลกู จ้างหรอื ครอบครัว 1. นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า สามสิบวันก่อน ย้าย ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทางานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิ์ บอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อย ละห้าสิบ ของอัตราค่าชดเชยปกตทิ ่ีลกู จา้ งพึงมสี ิทธ์ิไดร้ ับ 2. ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบการย้ายสถานประกอบกิจการ ล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เทา่ กบั คา่ จา้ งอตั ราสุดทา้ ยสามสบิ วนั ข้อยกเว้นท่ีนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย : ลูกจ้างไม่ มีสิทธิได้รับ คา่ ชดเชยในกรณใี ดกรณีหนงึ่ ดงั น้ี 1. ลูกจ้างลาออกเอง 2. ทจุ ริตต่อหน้าทห่ี รอื กระทาความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจา้ ง 3. จงใจทาให้นายจ้างได้รับความเสยี หาย 4. ประมาทเลินเลอ่ เปน็ เหตุใหน้ ายจา้ งได้รับความเสียหายอยา่ งร้ายแรง

31 5. ฝ่าฝืนข้อบังคับเก่ียวกับการทางาน หรือระเบียบ หรือคาสั่งของนายจ้าง อันชอบดว้ ยกฎหมายและเปน็ ธรรม และนายจ้างไดต้ ักเตอื นเป็นหนงั สือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จาเป็นต้องตักเตือน ซึ่งหนังสือเตือนน้ันให้ มผี ลบังคับได้ไมเ่ กิน 1 ปี นบั แต่วนั ท่ลี กู จ้างไดก้ ระทาผิด 6. ละท้ิงหน้าท่ีเป็นเวลา 3 วันทางานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ ก็ตาม โดยไม่มีเหตอุ นั สมควร 7. ไดร้ บั โทษจาคุกตามคาพพิ ากษาถึงทส่ี ดุ ให้จาคุก 8. กรณีการจ้างที่มีกาหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และนายจ้างเลิก จา้ ง ตามกาหนดระยะเวลานั้น ไดแ้ ก่งานดงั น้ี 8.1 การจ้างงานในโครงการ เฉพาะท่ีมิใช่งานปกติของธุรกิจหรือ การค้า ของนายจ้างซ่ึงตอ้ งมรี ะยะเวลาเริม่ ตน้ และสนิ้ สดุ ของงานทแ่ี นน่ อน 8.2 งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว ท่ีมีกาหนดงานส้นิ สดุ หรือความสาเร็จ ของงาน 8.3 งานท่ีเป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้นซึ่ง จะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยนายจ้างได้ทาสัญญาเป็น หนงั สือไวต้ ้งั แต่เมอ่ื เร่ิมจ้าง

32 การใชแ้ รงงานหญงิ 1. ห้ามนายจา้ งใหล้ กู จ้างหญิงทางานต่อไปนี้ - งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้าง ท่ีต้องทาใต้ดิน ใต้น้า ในถ้า ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลักษณะของงานไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลูกจา้ งหญิงนนั้ - งานท่ตี ้องทาบนน่ังร้านท่ีสงู กวา่ พน้ื ดินต้ังแต่ 10 เมตรข้นึ ไป - งานผลิตหรอื ขนสง่ วัตถรุ ะเบดิ หรือวตั ถุไวไฟ - งานอืน่ ตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง 2. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิง ที่มีครรภ์ ทางานในระหว่างเวลา 22.00น.-06.00น. ทางานลว่ งเวลาทางานในวนั หยดุ หรอื ทางาน อยา่ งหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปน้ี - งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทา ใต้ดิน ใต้น้า ในถ้า ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลักษณะของงาน ไม่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของลกู จา้ งหญิงนั้น - งานเกีย่ วกบั เครอ่ื งจกั รหรอื เครอื่ งยนต์ทีม่ คี วามสน่ั สะเทือน - งานขบั เคล่อื นหรือตดิ ไปกับยานพาหนะ - งานยก แบก หาม หาบ ทนู ลาก หรือเข็นของหนกั เกนิ 15 กโิ ลกรมั - งานท่ที าในเรือ - งานอน่ื ตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง

33 3. พนักงาน ตรวจแรงงานมีคาสั่งให้นายจ้างเปลี่ยนเวลาทางานหรือชั่วโมง ทางาน ของลูกจ้างหญิงท่ีทางานในระหว่างเวลา 24.00 น.- 06.00 น. ได้ ตามท่ีเห็น สมควรถ้าพนักงานตรวจแรงงานเห็นว่างานนั้นอาจเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ และความปลอดภยั ของลกู จา้ งหญงิ นัน้ 4. ลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีสิทธิขอ ให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าท่ีเดิมเป็นการ ชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ กรณีท่ีมีใบรับรองแพทย์ แผนปัจจุบัน ชั้นหนึง่ มาแสดงว่าไมอ่ าจทางานในหน้าทเี่ ดิมต่อไปได้ 5. ห้ามนายจ้างเลิกจา้ งลูกจ้างหญิงเพราะเหตมุ ีครรภ์ การใช้แรงงานเดก็ 1. หา้ มนายจ้างจา้ งเดก็ อายุตา่ กว่า 15 ปี เป็นลูกจา้ ง 2. กรณี ที่มีการจ้างเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี เป็นลูกจ้าง นายจ้างต้องแจ้งต่อ พนักงาน ตรวจแรงงานภายใน 15 วันนับแต่วันที่ เด็กเข้าทางาน และแจ้ง การสนิ้ สุดการ จา้ งเดก็ นน้ั ต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 7 วันนับแต่วนั ที่ เด็กออกจากงาน นายจ้างต้องจัดให้มีเวลาพัก 1 ช่ัวโมงต่อวันภายใน 4 ช่ัวโมงแรกของ การทางาน และให้มีเวลาพกั ย่อยไดต้ ามทนี่ ายจ้างกาหนด 3. ห้ามนายจ้างใช้ลูกจ้างเด็กที่มีอายุต่ากว่า 18 ปี ทางานในระหว่างเวลา 22.00 - 06.00 น. เวน้ แต่ไดร้ บั อนุญาตจากอธบิ ดี 4. หา้ มนายจา้ งใช้ลูกจ้างเด็กที่มีอายตุ ่ากว่า 18 ปี ทางานลว่ งเวลา 5. ห้ามนายจา้ งใหล้ กู จ้างเดก็ ทีม่ อี ายุต่ากวา่ 18 ปี ทางานต่อไปน้ี - งานหลอม เปา่ หล่อ หรือรดี โลหะ

34 - งานป๊ัมโลหะ - งานเก่ียวกับความร้อน ความเย็น ความส่ันสะเทือน เสียงและแสง ท่ีมี ระดับแตกตา่ งจากปกติอนั อาจเปน็ อันตรายตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง - งานเกย่ี วกบั สารเคมีที่เปน็ อันตรายตามท่กี าหนดในกฎกระทรวง - งานเกี่ยวกับจุลชีวันเป็นพิษซ่ึงอาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา หรือเชื้อ อื่น ตามทก่ี าหนดในกฎกระทรวง - งานเก่ียวกับวัตถุมีพิษ วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานี บรกิ ารทเี่ ปน็ เชือ้ เพลิงตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง - งานขับหรือบังคบั รถยกหรอื ป้ันจ่นั ตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง - งานใชเ้ ลอื่ ยเดินด้วยพลงั ไฟฟ้าหรือเครือ่ งยนต์ - งานทต่ี ้องทาใต้ดิน ใตน้ า้ , ในถ้า อุโมงค์ หรือปลอ่ งในภเู ขา - งานเกย่ี วกับกัมมนั ตภาพรังสตี ามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง - งานทาความสะอาดเครื่องจักรหรือ เครอ่ื งยนต์ทก่ี าลงั ทางาน - งานที่ต้องทาบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดิน ต้ังแต่ 10 เมตรขนึ้ ไป - งานอ่นื ตามทก่ี าหนดในกระทรวง 6. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างเด็กท่ีมีอายุต่ากว่า 18 ปี ทางานในสถานทต่ี ่อไปน้ี - โรงฆา่ สัตว์ - สถานท่ีเลน่ การพนนั

35 - สถานที่เต้นรา ราวง หรอื รองเงง็ - สถาน ท่ีที่มีอาหาร สุรา น้าชา หรือเครื่องดื่ม อย่างอื่นจาหน่ายและ บริการ โดยมีผู้บาเรอสาหรับปรนนิบัติลูกจ้าง หรือโดยมีที่สาหรับพักผ่อน หลับนอน หรือมีบริการนวดใหแ้ กล่ กู คา้ - สถานทอ่ี น่ื ตามทก่ี าหนดในกฎกระทรวง 7. ห้ามนายจา้ งจา่ ยค่าจ้างของลกู จา้ งซงึ่ เปน็ เด็กแก่บุคคลอืน่ 8. ห้ามนายจ้างเรยี ก/หรอื รบั เงนิ ประกันจากฝา่ ยลูกจ้างซึง่ เป็นเดก็ 9. ลูกจ้าง ซ่ึงเป็นเดก็ อายุต่ากว่า 18 ปี มสี ิทธิลาเพื่อเข้าประชมุ สัมมนา รับ การอบรม รับการฝึก หรือลาเพ่ือการอ่ืนซึ่งจัดโดยสถานศึกษา หรือ หน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ที่อธิบดีเห็นชอบ และให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้าง แก่ลูกจ้างเด็กเท่ากับค่าจ้างในวนั ทางานตลอดระยะเวลาท่ีลา แต่ปีหนึ่งต้อง ไมเ่ กนิ 30 วัน หลกั ฐานการทางาน 1. นาย จ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีข้อบังคับเก่ียวกับ การทางาน เป็นภาษาไทย ปิดประกาศโดยเปิดเผย ณ สถานที่ทางานของ ลกู จ้างและ สง่ สาเนาใหอ้ ธิบดกี รมสวัสดกิ ารและคุ้มครองแรงงาน 2. ข้อ บังคับฯ ต้องระบุเร่ืองต่างๆ ดังน้ี วันทางาน เวลาทางานปกติ เวลา พัก วันหยุดและหลักเกณฑ์การหยุด หลักเกณฑ์การทางานล่วงเวลา และ การทางาน ในวันหยุด วันและสถานที่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทางานใน

36 วันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดวันลาและหลักเกณฑ์การลา วินัยและ โทษ การร้องทุกข์ และการเลกิ จ้าง 3. ทะเบียนลูกจ้างต้องมีช่ือ เพศ สัญชาติ วันเดือนปีเกิด ท่ีอยู่ปัจจุบัน วัน เริ่มจ้าง ตาแหน่งหรืองานในหน้าที่ อัตราค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทน อ่นื ๆ ท่ีนายจา้ งตกลงจา่ ยให้แก่ลกู จ้างและวนั สน้ิ สุดการจ้าง 4. เอกสาร เก่ียวกับการคานวณค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุด ต้องระบุ วันเวลาทางาน ผลงานที่ทาได้สาหรับการจ้างตามผลงาน และ จานวนเงินท่จี ่าย โดยมลี ายมอื ช่ือลูกจา้ งผรู้ บั เงนิ การควบคุม 1. นายจ้างที่มีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่ 10 คนข้ึนไป จะต้องจัดทาข้อบังคับ เกย่ี วกับการทางานเป็นภาษาไทย อย่างนอ้ ยต้องมี รายละเอียดดังนี้ - วนั ทางาน เวลาทางานปกติ และเวลาพัก - วนั หยดุ และหลกั เกณฑก์ ารหยุด

37 - หลักเกณฑก์ ารทางานลว่ งเวลา และการทางานในวันหยดุ - วันและสถานที่จ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุด และค่า ล่วงเวลาในวันหยดุ - วันลาและหลกั เกณฑก์ ารลา - วินยั และโทษทางวินัย - การรอ้ งทุกข์ - การเลิกจ้าง คา่ ชดเชยและชดเชยพเิ ศษ 2. นายจ้างต้องประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทางานภายใน 15 วัน นับ จากวันที่มีลกู จ้างรวมกันตงั้ แต่ 10 คนข้นึ ไป 3. นายจ้างต้องปิดประกาศข้อบังคับเก่ียวกับการทางานโดยเปิดเผย ณ สถานที่ ทางานของลกู จ้าง 4. ใหป้ ระกาศใช้ข้อบังคบั เก่ียวกบั การทางานต่อไปแม้ว่านายจา้ งจะมลี ูกจ้าง ลดต่ากว่า 10 คนก็ตาม การร้องทกุ ขข์ องลกู จา้ ง 1. ลูกจ้างเรียกร้องสิทธิของตนอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน ของนายจ้างไดโ้ ดย - ลูกจา้ งนาคดีไปฟ้องศาลแรงงาน - ลูกจา้ งย่นื คารอ้ งทกุ ขต์ ่อพนกั งานตรวจแรงงาน 2. การยื่นคารอ้ งทุกขข์ องลกู จา้ งหรือทายาท - ยื่นคารอ้ งทุกขต์ ามแบบท่อี ธิบดีกาหนด

38 - ย่ืนต่อพนกั งานตรวจแรงงานในท้องที่ท่ีลูกจ้างทางานอยู่ หรือท่ีนายจา้ ง มีภูมิลาเนา หรอื ทอ้ งทีท่ ี่ลูกจา้ งมภี ูมลิ าเนาอยูก่ ไ็ ด้ 3. การพิจจารณาคาร้องทุกข์ของพนกั งานตรวจแรงงาน - เร่งสอบสวนข้อเท็จจริงจากนายจ้าง ลูกจ้าง และพยานโดยเร็ว รวมทั้ง การรวบรวมหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวข้องด้วย - เม่ือสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ต้องมีคาสั่งให้นายจ้างจ่ายเงิน หรือยกคา รอ้ งทุกข์ของลกู จา้ งอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง - การรวบรวมขอ้ เท็จจริง และการมคี าสงั่ ต้องกระทาใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายใน 60 วนั นับแต่วนั รับคารอ้ งทกุ ขไ์ ว้ดาเนนิ การ - ถ้าไม่สามารถดาเนินการให้แลว้ เสร็จภายใน 60 วัน ให้ขอขยายระยะเวลา ตอ่ อธิบดีหรือผูว้ า่ ราชการจังหวดั โดยขอขยายระยะเวลาได้ไมเ่ กนิ 30 วัน 4. การยตุ ขิ ้อรอ้ งทกุ ขร์ ะหวา่ งสอบสวนข้อเทจ็ จริง - ลกู จา้ งสละสทิ ธกิ ารเรยี กร้องทงั้ หมด - ลูกจ้างสละสิทธิเรียกร้องแต่บางส่วน โดยนายจ้างยินยอมจ่ายเงิน บางสว่ น แก่ลูกจ้าง - นายจ้างยนิ ยอมจ่ายเงนิ ทั้งจานวน แกล่ กู จา้ ง บทกาหนดโทษ 1. กฎหมายค้มุ ครองแรงงานเปน็ กฏหมายทีม่ บี ทลงโทษทางอาญา 2. นายจ้างผใู้ ดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏบิ ตั ติ าม ข้ันตา่ ปรบั ไม่เกนิ 5,000 บาท

39 จาคกุ ไม่เกนิ 1 ปี หรอื ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทัง้ จาทั้งปรับ 3. การปฏิบัตติ ามคาสง่ั ของพนกั งานตรวจแรงงานคดีอาญา เป็นอนั ระงบั 4. การฝ่าฝืนกฏหมายอธิบดีมีอานาจเปรียบเทียบปรับสาหรับความผิดท่ี เกดิ ขน้ึ ใน กรงุ เทพฯ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอานาจเปรียบเทียบปรับสาหรับความผิด ที่เกิดข้ึน ภายในจังหวดั ชาระค่าปรับภายใน 30 วัน นับเท่าวันท่ีได้รับแจ้งผลคดี คดีอาญา เป็นอัน เลิกกันถ้าไม่ยอมเปรียบเทียบปรับหรือไม่ชาระค่าปรับภายในกาหนด พนกั งานสอบสวน (ตารวจ) จะดาเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย ต่อไป

40 บทที3่ การคุ้มครอง การคุ้มครองการใช้สิทธิยื่นข้อเรียกร้องและ ดาเนินขั้นตอนของการทาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการ จ้างกฎหมายห้ามนายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการหรือสมาชิก สหภาพแรงาน หรือกรรมการหรืออนุกรรมการ สหพันธ์แรงงานซ่ึงเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เมื่อมีการย่ืนข้อเรียกร้องและ อยู่ในระหว่างการเจรจาไกล่เกล่ียหรือการช้ีขาดข้อพิพาทแรงงาน เว้นแต่ บุคคลนัน้ กระทาความผิด มาตรา 31 ความหมายของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าท่ีระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้าง โดยกาหนดมาตรฐานขั้นต่าในการใช้แรงงานและการจ่าย ค่าตอบแทนในการทางาน ท้ังนี้ เพ่ือให้ลูกจ้างทางานด้านความปลอดภัย มี สุขภาพอนามัยดี ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการตามสมควร กฎหมายว่า ด้วยแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายท่ีกาหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่าง บุคคลสองฝา่ ย คอื ฝ่ายนายจา้ งและฝา่ ย

41 ลูกจ้าง เพื่อให้บุคคลท้ังสองฝ่ายได้มคี วามเข้าใจอันดีต่อกนั สามารถตกลง ในเรื่องสิทธิหน้าท่ี และผลประโยชน์ในการทางานร่วมกันได้รวมทั้งกาหนด วิธกี ารระงับข้อขัดแยง้ หรือขอ้ พพิ าทแรงงานทเ่ี กิดขน้ึ ให้ยุติลงโดยรวดเร็ว ท้ังนี้เพื่อให้เกิดความสงบสุข ในสถานประกอบกิจการ ซ่ึงจะส่งผลถึงเศรษฐกิจและความม่ันคงของประเทศ กฎหมายว่าด้วย พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายดังกล่าวคือ พระราชบัญญัติพนักงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายท่ีว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และแรงงานสัมพันธ์ในภาครัฐวิสาหกิจเป็นการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ซ่ึงไม่ น้อยกว่ามาตรฐานขั้นต่าตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายความ ปลอดภัยในการทางาน เป็นการกาหนดมาตรฐานข้ันต่าให้สถานประกอบ กิจการถือปฏิบัติ เพ่ือความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยท่ีดีปราศจาก อุบัติเหตุ และโรคเนื่องจากการทางาน\"ประกาศหรือคาสั่งของกระทรวง แรงงาน และประกาศหรือคาส่ังของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนท่ีเก่ียวข้อง กับความปลอดภัยในการทางานที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2515 ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปเท่าท่ีไม่ขัดหรือแย้ง กับพระราชบัญ ญั ติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ทั้งน้ีจนกว่าจะมี กฎกระทรวง ระเบียบและประกาศ ท่อี อกตามพระราชบัญญตั ินี้ ใชบ้ ังคบั \"

42 บทที่4 กฎหมายประกันสังคม ในกฎหมายประกันสังคมน้ัน ได้กาหนดหน้าที่ของนายจ้างไว้หลาย ประการ ซึ่งหน้าท่ีส่วนใหญ่จะมีระยะเวลากาหนดไว้ให้ต้องปฎิบัติ การท่ี นายจ้างหลงลืมหรือมเี จตนาจะหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนหนา้ ที่ตามท่ีกฎหมายกาหนด นายจ้างก็จะมคี วามผดิ ซ่ึงมที ง้ั โทษอาญาและโทษทางแพ่ง “นายจ้าง” มีหน้าท่ีตามกฎหมาย ประกันสงั คมนนั้ หมายถงึ ใครบ้าง... ก ฎ ห ม า ย ป ร ะ กั น สั ง ค ม ไ ด้ ก า ห น ด ความหมายของนายจ้างว่าหมายถึง “ผู้ซ่ึงรับลูกจ้างเข้าทางานโดยจ่าย ค่าจ้าง และให้หมายความรวมถึง ผู้ซ่ึง ได้ รับ ม อ บ ห ม าย ให้ ท างาน แท น นายจ้าง ในกรณีท่ีนายจ้างเป็นนิติ บคุ คล ใหม้ ีความหมายรวมถงึ ผู้มีอานาจกระทาการแทนนิติบคุ คล และผซู้ ึ่ง ไดร้ ับมอบหมายจากผมู้ อี านาจกระทาการแทนนิตบิ คุ คลใหท้ าการแทนด้วย

43 “ลูกจ้าง” ซึ่งเป็นผู้ที่ทาให้นายจ้างต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายประกันสังคม หมายถงึ ใคร... “ลูกจ้าง” หมายถึง ผู้ซ่ึงทางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่อ อย่างไร แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทางานเก่ียวกับงานบ้าน อันมิได้มีการ ประกอบธรุ กจิ รวมอย่ดู ้วย ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในบังคับของกฎหมาย ประกนั สงั คม หน้าทข่ี องนายจ้าง ตามกฎหมายประกนั สงั คมมอี ะไรบา้ ง 1.ข้ึนทะเบียนนายจ้าง : เมื่อใดก็ตามท่ีนายจ้างมีลูกจ้างในกิจการต้ังแต่ 1 คนขึ้นไป นายจ้างมีหน้าท่ีต้องยื่นแบบขึ้นทะเบียนนายจ้างซ่ึงเรียกว่า สปส. 1-01 และย่ืนแบบแสดงรายช่ือ ลูกจา้ ง หรอื แบบขนึ้ ทะเบยี นผู้ประกันตนว่า แบบ สปส.1-03 เพื่อให้ลูกจ้างได้เป็นผู้ประกันตนกฎหมายประกันสังคมได้ กาหนดคุณสมบัติของลูกจ้างท่ีได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง และนายจา้ งไมต่ อ้ งยืน่ แบบรายชอ่ื ให้ลกู จา้ งเปน็ ผปู้ ระกันตน ดังนี้ ประการแรก คือ ต้องเป็นลูกจ้างที่ไม่ได้รับการยกเว้นตามที่กาหนดไว้ใน มาตรา 4 พระราชบัญญติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจา ลูกจ้งชั่วคราว รายวัน และลูกจ้างช่ัวคราว รายชั่วโรงของ ราชการส่วนกลาง ราชการสว่ นภมู ภิ าค และราชการสว่ นทอ้ งถ่ิน ฯลฯ ประการท่ีสอง คือ ลูกจ้างต้องมีอายุไม่ต่ากว่า 15 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 60 ปบี ริบรู ณ์ เวน้ แต่ในกรณีท่ีมีอายุ 60 ปีบริบรู ณแ์ ลว้ แต่ยังคงทางานในสถาน

44 ประกอบการเดิมอยู่ต่อไปอย่างต่อเน่ือง บุคคลดังกล่าวก็จะต้องเป็น ผปู้ ระกนั ตนต่อไป 2.จ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง : กฎหมายประกันสังคม กาหนดให้มีกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งเรียกว่า “กองทุนประกันสังคม” โดยให้ นายจ้างผปู้ ระกนั ตนและรฐั บาลเป็นผู้จ่ายสมทบเขา้ กองทนุ ประกันสังคม 3.หน้าท่ีหักค่าจ้างของลูกจ้างเท่ากับจานวนท่ีต้องนาส่งเป็นเงิน สมทบ : ทุกครั้งท่ีนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง กฎหมายกาหนดให้ นายจา้ งต้องหักค่าจา้ งของลกู จ้างเทา่ กบั จานวนที่ตอ้ งนาสง่ เป็นเงินสมทบ 4.หน้าท่ีรบั ผดิ ใช้เงนิ สมทบในสว่ นของผู้ประกันตน : กรณีท่ีนายจา้ ง ไม่ได้หักค่าจ้างของผู้ประกันตนไว้หรือนายจ้างหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างไว้ แลว้ แตไ่ ม่ไดน้ าส่ง หรือส่งไม่ครบจานวนตามที่หกั ไว้ จะมีผลต่อนายจา้ งและ ผู้ประกันตน (นายจ้างต้องรับผิดในจานวนเงินสมทบที่นายจ้างยังมิได้นาส่ง กองทุน และเงินเพ่มิ ของเงินสมทบทยี่ ังไมไ่ ด้นาสง่ เข้ากองทุน) 5.นาส่งเงินสมทบ : เมื่อนายจ้างหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างไว้แล้ว นายจ้างจะต้องนาเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างได้หักไว้น้ัน รวมทั้งเงินสมทบในส่วนท่ีนายจ้างต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุนตามจานวนที่ เท่ากับเงินสมทบของลูกจ้าง นาส่งสานักงานประกันสังคมภายในวันท่ี 15 ของเดอื นถัดจากเดือนทีห่ ักเงินสมทบไว้ โดยนายจ้างต้องกรอกแบบรายการ แสดงการส่งเงินสมทบคือ แบบ สปส.1-10 (ส่วนที่ 1 และ 2) และแบบ สปส.1-10/1 ให้ถูกต้องครบถว้ น

45 บทท่ี5 ความหมาย ลกั ษณะ และการบังคับใช้ความหมาย กฎหมายเงินทดแทน (Workmen's Compensation Law) เป็น ก ฎ ห ม า ย คุ้ ม ค ร อ ง ลู ก จ้ า ง ห รื อ ผู้ ที่ อ ยู่ ใ น อุ ป ก า ร ะ ข อ ง ลู ก จ้ า ง ด้ ว ย ก า ร กาหนดให้นายจ้างจ่ายเงินให้บุคคลดังกล่าวเมื่อลูกจ้างได้รับภยันตรายหรือ เจ็บป่วยหรือตายอันมีสามเหตุมาจากการทางานให้แก่นายจ้างและ กาหนดให้มีกองทุนเงินทดแทนขึ้นโดยให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุน ดังกล่าวไว้เพื่อเป็นหลักประกันในการจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างหรือผู้อยู่ใน อุปการะของลกู จา้ งแทนนายจา้ ง ชื่อ ก ฎ ห ม ายเงิน ท ด แท น ที่ ใช้ บั งคั บ อ ยู่ใน ปั จจุบั น คื อ พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งมีผลใช้บังคับต้ังแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗ เป็นต้นมา ลักษณะ กฎหมายเงินทดแทน เปน็ กฎหมายสังคม เปน็ กฎหมาย ท่ีมีโทษทางอาญา และเป็นกฎหมายที่เก่ียวข้องกับความสงบเรียบร้อง (ตามนัยคาพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๓ / ๒๕๑๖)การตคี วามกฎหมายเงนิ ทดแทน กฎหมายเงินทดแทนเป็นกฎหมาย ท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองลูกจ้าง และผู้อยู่ในอุปการะของลูกจ้าง การตีความในข้อกฎหมายที่เป็นปัญหา หรือมีข้อสงสัยให้ตีความไปในทาง หรือนัยท่ีจะให้การคุ้มครองหรือให้ ประโยชน์แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนแนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดในการ จ่ายเงินทดแทน เดิมเมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเน่ืองจากการ ทางานใหแ้ กน่ ายจ้าง นายจ้างไมต่ ้องรับผิดที่จะจา่ ยเงินใดให้แกล่ กู จา้ ง

46 ทั้งน้ีเน่ืองจากสาเหตุท่ีลูกจ้างได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยมักจะ มาจากการกระทาของลูกจ้างเองเป็นส่วนใหญ่ นายจ้างไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย โดยถือหลกั กฎหมายในเรื่องละเมิด เมื่อนายจา้ งมิไดจ้ งใจหรอื ประมาททาให้ ลกู จ้างได้รบั ความเสียหาย นายจ้างกไ็ ม่ตอ้ งรับผิดในการจ่ายเงินใด ๆ ให้แก่ ลูกจ้างที่ประสบอันตราย ต่อมาแนวความคิดได้เปล่ียนแปลงไป เริ่มต้นจาก ประเทศในทวีปยุโรปก่อนแม้นายจ้างจะไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเป็น ผกู้ ระทาใหล้ กู จ้างประสบอนั ตราย หรอื เจบ็ ป่วยหรือตายโดยตรงแตน่ ายจ้าง ก็เป็นผู้จัดหา เครื่องจักรเคร่ืองมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทางานตลอดจน เป็นผู้ที่กาหนดสถานท่ีทางานให้แก่ลูกจ้างได้ทางาน ซ่ึงถ้าเครื่องจักร เครื่องมือหรืออุปกรณ์ตลอดจนสถานท่ีหรือส่ิงแวดล้อมในการทางานนั้น บกพร่องเป็นภัยต่อลูกจ้างลูกจ้างย่อมได้รับอันตรายอันมีผลสืบเนื่องมาจาก การกระทาของนายจ้างนั่นเอง แม้ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ในทางกลับกัน ถ้า นายจ้างนา เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทางานท่ีมี คุณภาพดที ันสมัยมาใช้ โอกาสทลี่ ูกจ้างจะได้รับอันตรายก็ไมเ่ กดิ ขึน้ เลย เมื่อ ลูกจ้างเข้าไปทางานให้แก่นายจ้าง แม้ลูกจ้างจะรู้ว่างานนั้นเป็นอันตราย เพียงใดก็ตาม แต่ลูกจ้างก็ไม่มีโอกาสเลือกท่ีจะใช้เคร่ืองมือ เครื่องใช้ในการ ทางานท่ีเป็นอันตรายของนายจ้างได้ จึงตอ้ งถอื วา่ นายจ้างจะต้องรับผิดชอบ เม่ือมีอันตรายเกิดขึ้น โดยปกติแล้ว นายจ้างเป็นผู้จัดหาเครื่องจักร เคร่ืองมือ มาใช้ในกิจการของนายจ้าง เมื่อเครื่องจักรเคร่ืองมือนั้นชารุด บกพร่อง นายจ้างก็ต้องซ่อมแซมเสียค่าใช้จ่าย ถ้าจะเปรียบเทียบลูกจ้างก็ เป็นเคร่ืองจักรหรือเคร่ืองมือที่มีชีวิตของนายจ้างชิ้นหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง เมื่อ

47 ลูกจ้างรับบาดเจ็บนายจ้างก็ต้องรับผิดชอบโดยการซ่อมแซมดูแลให้ เครื่องจักรท่ีมีชีวิตน้ันมีลักษณะและคุณภาพเช่นเดิม นอกจากน้ัน หาก นายจ้างต้องรับผิดในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง เงินทดแทนก็จะ กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการผลิตหรือต้นทุนในการบริหารเมื่อเป็น ต้นทุนการผลิตหรือการบริการก็ย่อมผลักเข้าไปในราคาของสินค้าได้ ผู้ท่ี ต้องรับภาระคือผู้บริโภคท่ีซื้อสินค้าหรือบริการน้ันซึ่งเท่ากันเป็นการเฉล่ีย ความรบั ผิดออกไปยังผู้บริโภค แนวความคิดดังกล่าวรวมได้ขอ้ สรุปวา่ เม่ือมี อนั ตรายเกอดขึ้นจากการทางานของลูกจ้างจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง นายจ้าง กต็ อ้ งรบั ผิดชอบ ขอบเขตการบังคับใช้ กฎหมายเงินทดแทนมีผลใช้บังคับแก่ นายจ้างท่ีมีลูกจ้างตั้งแต่ ๑ คนขึ้นไปในทุกประเภทกิจการ ยกเว้นกิจการที่ ระบไุ ว้ในมาตรา ๔ คือ ๑. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วน ทอ้ งถ่ิน ๒. รฐั วิสาหกจิ ตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวสิ าหกจิ สมั พนั ธ์ ๓. นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่า ดว้ ยโรงเรียนเอกชนเฉพาะในสว่ นท่ีเกย่ี วกบั ครูหรือครใู หญ่ ๔. นายจ้างซึ่งดาเนินกิจการท่ีมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหา กาไรในทางเศรษฐกจิ ๕. นายจา้ งอน่ื ตามทากาหนดในกฎกระทรวง พนักงานเจา้ หน้าท่ี

48 บทบัญ ญัติมาตรา ๕๗ ได้กาหนดให้พนักงาน เจ้าหน้าท่ีของสานักงานประกันสังคมซึ่งมีหน้าท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติให้ เป็นไปตามกฎหมายมีอานาจเข้าไปในสถานประกอบกิจการหรือสานักงาน ของนายจ้าง สถานท่ีทางานของลูกจ้างในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ ขน้ึ และพระอาทติ ยต์ ก หรือในเวลาทาการ (แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม) เพื่อตรวจสอบหรือสอบถามข้อเท็จจริง ตรวจสอบทรัพย์สินหรือเอกสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง ถ่ายภาพ ถ่ายสาเนา เอกสารที่เก่ียวข้องกันการจ้าง การจ่ายค่าจ้าง ทะเบียนลูกจ้าง การจ่ายเงิน สมทบและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือนาเอกสารหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องไป ตรวจสอบหรือกระทาการอย่างอ่ืนตามสมควรเพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงท่ีจะ ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีอานาจที่จะมี หนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลท่ีเก่ียวข้องมาให้ถ้อยคา หรือส่งเอกสาร หลักฐานท่ีเก่ียวข้องหรือส่ิงจาเป็นอย่างอื่นมาเพื่อประกอบการพิจารณา วินิจฉัยได้ นอกจากนั้นก็ยังมีอานาจท่ีจะไปยึด อายัด หรือขายทอดตลาด ทรัพย์สินของนายจ้างตามคาส่ังของเลขาธิการสานักงานประกันสังคมซึ่ง ออกตามมาตรา ๔๗ ได้ด้วย ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของสานั กงาน ประกันสังคมตามบทบัญญัติในมาตรา ๕๗ นั้น กฎหมายกาหนดให้นายจ้าง ลูกจ้างหรือผู้เกี่ยวข้องต้องอานวยความสะดวกให้ตามควรแก่กรณีและ พนักงานเจา้ หนา้ ท่ีของสานกั งานประกนั สังคมก็ต้องแสดงบัตรประจาตวั เม่ือ มีบุคคลอ่ืนซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอตามมาตรา๕๙ด้วยนอกจากนั้นมาตรา๖๐ยัง

49 ไดก้ าหนดไว้เพอ่ื ประโยชน์ของทง้ั พนักงานเจ้าหน้าที่สานักงานประกนั สังคม เองและเพ่ือประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องคือ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ สานักงานประกันสังคมเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาทาให้ เกิดความรับผิดทางอาญา ถ้าพนักงานเจ้าหนา้ ทน่ี ั้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องก็ เป็นความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งต้อง รับโทษหรือผู้ใดกระทาผิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวประการหน่ึง ประการใดโดยมิชอบอันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมาย อาญาก็ไดร้ บั โทษหนกั อนั เป็นประโยชน์ตอ่ การบริหารกฎหมายน้ี การส่งเอกสาร บทบัญญัติมาตรา ๖๑ กาหนดว่า ในการส่ง คาสั่ง คาวินิจฉัย คาเตือน หรือหนังสือแจ้งการประเมินเงินสมทบของ คณะกรรมการกองทนุ เงนิ ทดแทน ของอนกุ รรมการกองทุนเงนิ ทดแทน ของ เลขาธิการสานักงานประกันสังคม หรือของพนักงานเจ้าหน้าที่สานักงาน ประกันสังคม ซึ่งได้ส่ังการใด ๆ ไปตามกฎหมายเงินทดแทนน้ี ให้ส่งทาง ไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือให้เจ้าหน้าท่ีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่นาไป ส่ง ณ ภูมิลาเนาหรือถ่ินที่อยู่หรือสานักงานของนายจ้างในเวลากลางวัน ระหว่างพระอาทิตย์ข้ึนและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทางานของนายจ้าง (ถ้าทาการในเวลากลางคืน) กฎหมายได้กาหนดต่อไปอีกว่า ถ้าไม่พบ นายจ้าง ณ ภูมิลาเนาหรือถ่ินท่ีอยู่หรือสานักงานของนายจ้าง หรือพบแต่ นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมรับ เจ้าหน้าท่ีหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ีจะส่งให้แก่ บุคคลใดที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และอยู่หรือทางานในบ้านหรือสานักงานที่ ปรากฏว่าเป็นของนายจ้างแทนก็ได้ ถ้ายังส่งด้วยวิธีตามบทบัญญัติดังกล่าว

50 ข้างต้นไม่ได้อีก ก็ให้ส่งโดยวิธีการปิดคาสั่ง คาวินิจฉัย คาเตือน หรือหนังสือ แจ้งการประเมินเงินสมทบไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สานักงานของนายจ้าง สถานที่ทางานของลูกจ้าง ภูมิลาเนาหรือถิ่นท่ีอยู่ของนายจ้าง ถ้าได้ ดาเนินการดังกล่าวแล้วและระยะเวลาได้ล่วงพ้นไปไม่น้อยกว่าง ๑๕ วัน ก็ ให้ถือว่านายจ้างได้รับคาส่ัง คาวินิจฉัย คาเตือน หรือหนังสือแจ้งการ ประเมินเงินสมทบน้ันแล้วท้ังนี้ เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาที่จะ ดาเนินการตามกฎหมายต่อไป เช่น การอุทธรณ์หรือการฟ้องร้องดาเนินคดี ตอ่ ศาล เป็นตน้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook