Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ม. ปลาย

เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ม. ปลาย

Published by kru Guy, 2019-10-31 00:53:03

Description: เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ม. ปลาย

Search

Read the Text Version

Mr. sakthawutเอกสารประกอบการเรยี นวิชาภาษาไทยพ้นื ฐาน ระดบั ชนั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เรยี บเรยี งโดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภ ู เร่ือง การอ่านและเขียนบทรอ้ ยกรอง

Mr. sakthawut เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เร่ือง การเขียนและการอา่ นบทรอ้ ยกรอง

ตวั ช้ ีวดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ท่ีสอดคลอ้ งกบั เน้ ือหาในเอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เร่ือง การเขียนและการอา่ นบทรอ้ ยกรอง ******************** มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรูแ้ ละความคิดเพ่ือนาไปใชต้ ดั สินใจ แกป้ ัญหา ในการดาเนินชีวติ และมีนิสยั รกั การอา่ น ตวั ช้ ีวดั ท ๑.๑ (ม.๔-๖/๑) อ่านออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรองไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ไพเราะ และเหมาะสมกบั เร่ืองท่ีอา่ น มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เร่ืองราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลข่าวสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้ อย่างมี ประสิทธิภาพ ตวั ช้ ีวดั ท ๒.๑ (ม.๔-๖/๑) เขียนสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ตรงตามวตั ถุประสงค์ โดยใช้ ภาษาเรียบเรียงถูกตอ้ ง มีขอ้ มลู และสาระสาคญั ชดั เจน ท ๒.๑ (ม.๔-๖/๔) ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ท ๒.๑ (ม.๔-๖/๕) ประเมินงานเขียนของผูอ้ ่ืน แลว้ นามาพฒั นางานเขียนของตนเอง มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาแหละหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษา และพลงั ของภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็ นสมบตั ิของชาติ ตวั ช้ ีวดั ท ๔.๑ (ม.๔-๖/๔) แต่งบทรอ้ ยกรอง Mr. sakthawut

Mr. sakthawutคำนำ คำนำ เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง การเขียนและการอ่านบทรอ้ ยกรอง ผู้เขียนจัดทาข้ ึนเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชา ภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง การเขียนและการอา่ นบทรอ้ ยกรอง และเพื่อให้ นักเรียนท่ีสนใจใชเ้ ป็ นแนวทางการศึกษาในเรื่อง การเขียนและการอ่านบทรอ้ ยกรอง ประกอบดว้ ย บทที่ ๑ ความรูพ้ ้ ืนฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง บทท่ี ๒ ความรูพ้ ้ ืนฐานในการเขียนบทรอ้ ยกรอง บทที่ ๓ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทกลอน บทท่ี ๔ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรอง ประเภทโคลง บทที่ ๕ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท์ บทที่ ๖ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์ บทที่ ๗ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทรา่ ย ซึ่งเน้ ือหาในแต่ละ บทเป็ นการนาเอาแนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจยั เทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเขียนและอ่านบท รอ้ ยกรอง มาวิเคราะหส์ รุปเป็ นองคค์ วามรูเ้ พ่ือความเขา้ ใจเน้ ือหา ตลอดจนมีระบบ QR Code เพื่อใชเ้ ป็ น ตวั อยา่ งในการอ่าน และเอกสารอา้ งอิงเพ่ือการคน้ ควา้ เพิ่มเติม ขอขอบพระคุณผูเ้ ขียนเอกสาร ตารา บทความ และผลงานวิจยั ทุกท่านท่ีผูเ้ ขียนไดน้ ามาอา้ งอิง คุณค่าและประโยชน์ของหนังสือเล่มน้ ี ผูเ้ ขียนขอมอบแด่คุณพ่อ คุณแม่ และครูอาจารยท์ ี่ไดอ้ บรมสงั่ สอน และวางพ้ ืนฐานการศึกษาใหก้ บั ผูเ้ ขยี น ผูเ้ ขียนหวงั เป็ นอยา่ งยิง่ ว่าเอกสารประกอบการเรียนวชิ าภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา ตอนปลาย เรื่องการเขียนและการอ่านบทรอ้ ยกรองเล่มน้ ี คงจะเป็ นประโยชน์แก่การจดั การเรียนการ สอนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย และนักเรียนผู้สนใจ เพ่ือต่อยอด องคค์ วามรู้ หากผูอ้ า่ นมีขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเติมผูเ้ ขียนยินดีท่ีจะนามาปรบั ปรุงแกไ้ ขการจดั พิมพค์ ร้งั ต่อไป ศกั ทาวุฒ โคตรชมภู กรกฎาคม ๒๕๖๑ กำรเขียน และกำรอ่ำน บทรอ้ ยกรอง ก

สารบัญ Mr. sakthawut ก ข สารบญั ง ฉ คำนำ สำรบญั ๑ สำรบญั รูปภำพ ๒ สำรบญั ตำรำง ๒ ๓ บทที่ ๑ ความรูพ้ ้ ืนฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง ๔ ลกั ษณะกำรอ่ำนออกเสียงบทรอ้ ยกรอง ๕ อวยั วะในกำรออกเสียง ๕ ศิลปะกำรใชเ้ สียง ๗ กำรอ่ำนรอ้ ยกรองใหเ้ กิดสุนทรียะ เคร่ืองหมำยประกอบกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรอง ๙ เทคนิคในกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรอง ๑๐ อำ่ นบทรอ้ ยกรองแลว้ ไดอ้ ะไร ๑๓ ๑๕ บทที่ ๒ ความรูพ้ ้ ืนฐานในการเขียนบทรอ้ ยกรอง ๑๗ ลกั ษณะบงั คบั ของคำประพนั ธ์ โวหำรกำรเขยี น ๒๐ โวหำรกำรเขยี นท่ีทำใหเ้ กิดภำพพจน์ ๒๑ กลบทบทรอ้ ยกรอง ๒๒ ๒๓ บทท่ี ๓ การอา่ นและเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทกลอน กลอน ๘ ๒๓ กลอนดอกสรอ้ ย ๒๙ กลอนบทละคร ๓๐ บทที่ ๔ การอา่ นและเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ๓๕ โคลงสองสุภำพ ๓๗ โคลงส่ีสุภำพ ๓๘ ๓๙ บทที่ ๕ การอา่ นและเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท์ ๔๐ อินทรวเิ ชียรฉนั ท์ วิชชุมมำลำฉนั ท์ ภุชงคประยำตฉนั ท์ วสนั ตดิลกฉนั ท์ การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ข

สารบัญ ๔๔ ๔๕ บทที่ ๖ การอา่ นและเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์ ๔๗ กำพยย์ ำนี ๑๑ ๔๘ กำพยฉ์ บงั ๑๖ ๕๐ กำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ ๕๐ กำพยเ์ หเ่ รือ กำพยห์ ่อโคลง ๕๕ ๕๖ บทที่ ๗ การอา่ นและเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทร่าย ๕๗ รำ่ ยสุภำพ ๕๗ ร่ำยโบรำณ ๕๘ ร่ำยยำว ๖๓ รำ่ ยท่ีประดิษฐข์ ้ นึ ใหม่ บรรณำนุกรม Mr. sakthawut การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ค

Mr. sakthawutสารบัญ หนา้ ๓ สารบญั รูปภาพ ๖ ๒๑ ภาพท่ี ๒๒ ๑.๑ อวยั วะในกำรออกเสียง ๒๓ ๑.๒ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองบทโกรธ ๒๕ ๓.๑ ภำพแผนผงั กลอน ๘ ๒๕ ๓.๒ ภำพแสดงแผนผังกลอนดอกสรอ้ ย ๒๕ ๓.๓ ภำพแผนผงั กลอนบทละคร ๒๙ ๓.๔ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนสุภำพ ๓๐ ๓.๕ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนดอกสรอ้ ย ๓๒ ๓.๖ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนบทละคร ๓๒ ๔.๑ ภำพแผนผงั โคลงสองสุภำพ ๓๗ ๔.๒ ภำพแผนผงั โคลงส่ีสุภำพ ๓๘ ๔.๓ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทโคลงสองสุภำพ ๓๙ ๔.๔ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทโคลงส่ีสุภำพ ๔๐ ๕.๑ ภำพแผนผงั อินทรวเิ ชียรฉนั ท์ ๔๑ ๕.๒ ภำพแผนผงั วิชชุมมำลำฉนั ท์ ๔๑ ๕.๓ ภำพแผนผงั ภุชงคประยำตฉนั ท์ ๔๑ ๕.๔ ภำพแผนผงั วสนั ตดิลกฉนั ท์ ๔๒ ๕.๕ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทอินทรวิเชียรฉนั ท์ ๔๕ ๕.๖ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทวิชชุมมำลำฉนั ท์ ๔๗ ๕.๗ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทภุชงคประยำตฉนั ท์ ๔๘ ๕.๘ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทวสนั ตดิลกฉนั ท์ ๔๘ ๖.๑ ภำพแผนผงั กำพยย์ ำนี ๑๑ ๕๒ ๖.๒ ภำพแผนผงั กำพยฉ์ บงั ๑๖ ๕๒ ๖.๓ ภำพแผนผงั ท่ี ๑ กำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ ๕๓ ๖.๔ ภำพแผนผงั ที่ ๒ กำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ ๕๓ ๖.๕ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทกำพยย์ ำนี ๑๑ ๕๓ ๖.๖ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทกำพยฉ์ บงั ๑๖ ๕๖ ๖.๗ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทกำพยส์ ุรำงคนำงค์ ๒๘ ๕๗ ๖.๘ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอำ่ นบทรอ้ ยกรองประเภทกำพยห์ ่อโคลง ๕๗ ๖.๙ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทกำพยเ์ หเ่ รือ ๖๐ ๗.๑ ภำพแผนผงั รำ่ ยสุภำพ ๗.๒ ภำพแผนผงั ร่ำยโบรำณ ๗.๓ ภำพแผนผงั รำ่ ยยำว ๗.๔ ภำพแผนผงั ลิลิตสุภำพ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ง

สารบัญ ๖๑ ๖๑ ๗.๕ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทร่ำยสุภำพ ๗.๖ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทร่ำยยำว Mr. sakthawut การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง จ

สารบัญ หนา้ ๑๒ สารบญั ตาราง ตารางที่ ๒.๑ ตำรำงแสดงลกั ษณะบงั คบั ของคำประพนั ธ์ Mr. sakthawut การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ฉ

Mr. sakthawut บทท่ี ๑ ความรพู้ ้ืนฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง เน้ ือหาประจาบท ๑. ลกั ษณะการอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง ๒. อวยั วะในการออกเสียง ๓. ศิลปะการใชเ้ สียง ๔. การอา่ นรอ้ ยกรองใหเ้ กิดสุนทรียะ ๕. เครื่องหมายประกอบการอา่ นบทรอ้ ยกรอง ๖. อา่ นบทรอ้ ยกรองแลว้ ไดอ้ ะไร การเขียนและการอ่าน บทรอ้ ยกรอง

Mr. sakthawutบทท่ ี ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง การอ่านบทรอ้ ยกรอง ถือเป็ นภูมิปัญญา(Knowledge) ของคนไทยท่ีควรค่าแก่การอนุรักษ์ และสืบทอด ซ่ึงการอ่านบทรอ้ ยกรองน้ันมีการพฒั นา และคิดคน้ รูปแบบการอ่านที่หลากหลาย จึงถือได้ ว่าการอ่านบทรอ้ ยกรองเป็ นการบูรณาการทักษะการอ่านออกเสียงอย่างแทจ้ ริง และเป็ นเอกลกั ษณ์ (Identity) ท่ียากแก่การลอกเลียนแบบ ๑. ลกั ษณะการอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง ๑.๑ การอ่านออกเสียงธรรมดา คืออา่ นออกเสียงธรรมดา เหมือนการอ่านออกเสียงรอ้ ยแกว้ แต่ มีการแบง่ วรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ งตามแบบฉนั ทลกั ษณข์ องงานประพนั ธน์ ้ัน ๑.๒ การอ่านทานองเสนาะ คือ การอ่านใส่ทานองใหเ้ กิดความไพเราะ มีการกาหนดเสียงใน ลกั ษณะต่าง ๆ ๒. อวยั วะในการออกเสียง เสียงที่คนเราเปล่งออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ลว้ นแลว้ ตอ้ งอาศยั อวยั วะต่าง ๆ ในร่างกายของเรา เพ่ือใหเ้ กิดเสียงตามท่ีเราปรารถนา ซ่ึงควรอย่างย่ิงที่จะตอ้ งเขา้ ใจการใชง้ านของอวยั วะท่ีใชใ้ นการออก เสียง สุทธิลกั ษณ์ สวรรยาวสิ ุทธิ(มปป. : ๓๓) ไดอ้ ธิบายการแยกกลุ่มของอวยั วะแปรเสียงออกมาตาม ลกั ษณะการออกเสียงของการเคลื่อนไหวออกเป็ น ๒ กลุ่ม สรุปไดด้ งั น้ ี ๒.๑ กลุ่มที่เคล่ือนท่ีไมไ่ ด้ หรือมีช่ือเฉพาะส้นั ๆ วา่ ฐาน ซ่ึงไดแ้ ก่อวยั วะต่อไปน้ ี ๑) ริมฝีปากบน (upper lip) ๒) ฟันบน (upper teeth) ๓) ป่ ุมเหงือก (gum ride หรือ alveolar ride) ๔) เพนดานแข็ง (hard palate) ๕) เพดานออ่ น (soft palate หรือ velum) ๖) ล้ ินไก่ (uvula) อวยั วะช้ ินน้ ีแมว้ ่าจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่เคลื่อนท่ีไม่ไดต้ ามลกั ษณะ ตาแหน่งของอวยั วะช้ ินน้ ี แต่จริงแทแ้ ลว้ อวยั วะช้ ินน้ ีเคล่ือนที่ได้ ๒.๒ กลุ่มที่เคล่ือนที่ได้ หรือมชี ื่อเฉพาะสน้ั ๆ วา่ กรณ์ ซ่ึงไดแ้ ก่อวยั วะต่อไปน้ ี ๑) ริมฝีปากลา่ ง (lower lip) ๒) ล้ ิน (tongue) มลี กั ษณะท่ีมีความยืดหยุน่ ในตวั สูง การเคลื่อนที่ของกลุ่มอวยั วะกรณ์เขา้ หาฐาน หรือเขา้ ใกลฐ้ าน หรือเขา้ ประชิดฐาน จะทาใหเ้ กิด เสียงพยญั ชนะ อนั ไดแ้ ก่ ๑) เสียงที่เกิดจากริมฝีกปากท้งั คู่ ไดแ้ กเ่ สียงพยญั ชนะ ป, บ, พ ๒) เสียงที่เกิดจากริมฝีปากล่างและฟันบน ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ ฝ, ฟ ๓) เสียงท่ีเกิดจากปลายล้ ินหรือส่วนถัดจากปลายล้ ินกับฟันบน ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ ต, ด ๔) เสียงที่เกิดจากปลายล้ ินหรือส่วนถดั จากปลายล้ ินกบั ป่ ุมเหงือก ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ น, ท, ธ, ฑ, ฒ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒

Mr. sakthawutบทท่ ี ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง ๕) เสียงท่ีเกิดจากปลายล้ ินหรือส่วนใตป้ ลายล้ ินกบั ส่วนปลายสุดของป่ ุมเหงือกท่ีต่อกบั เพดานแขง็ ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ ร ๖) เสียงท่ีเกิดจากส่วนถัดจากปลายล้ ินกับส่วนปลายสุดของป่ ุมเหงือก ไดแ้ ก่เสียง พยญั ชนะ ช ๗) เสียงที่เกิดจากล้ ินส่วนหลงั กบั เพดานอ่อน ไดแ้ ก่เสียงพยญั ชนะ ค ๘) เสียงที่เกิดจากโคนล้ ินกบั ผนังช่องคอดา้ นหลงั ไดแ้ กเ่ สียงพยญั ชนะ อ ภาพท่ี ๑.๑ อวยั วะในการออกเสียง ท่ีมา : PHONETIC, 2016 : 1 ๓. ศลิ ปะการใชเ้ สยี ง ๓.๑ การลากเสียง คือ การยืดเสียงใหย้ าวข้ ึนโดยยงั คงระดับเสียงสูงตา่ และระดับทานองเสียง (key) เดิมไว้ ๓.๒ การเอ้ ือนเสียง คือ การเปล่ง /ฮ/ แลว้ กาหนดใหก้ ลา้ มเน้ ือกล่องเสียงขยบั เขย้ ือนจนเกิด ทานอง ๓.๓ การหวนเสียง คือ การลากเสียงจากตา่ ข้ ึนไปสูงเรียกว่า หวนข้ ึน หรือลากเสียงจากสูง ลงไปตา่ เรียกวา่ หวนลง ๓.๔ การหลบเสียง การลดระดบั เสียงจากสูงลงมาตา่ เรียกวา่ หลบตา่ หรือเพ่ิมระดบั เสียงจากตา่ ไปสงู เรียกวา่ หลบข้ นึ สูง ๓.๕ การกระแทกเสียง การเปล่งเสียงดว้ ยการระเบิดลมออกมากระทบกบั อวยั วะการออกเสียง ๓.๖ การทอดเสียง การผ่อนจงั หวะและลากเสียงใหช้ า้ ลง จนกระทงั่ หยุดในตอนจบ ๓.๗ การครนั่ เสียง การทาเสียงใหส้ ะดุดสะเทือน เพ่ือใหเ้ กิดความไพเราะเหมาะสมกบั เน้ ือความ ท่ีอา่ น การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓

บทท่ ี ๑ ความรูพ้ ้นื ฐานในการอ่านบทร้อยกรอง ๔. การอา่ นรอ้ ยกรองใหเ้ กิดสุนทรียะ บทประพันธ์ประเภทรอ้ ยกรองที่กวีประพันธ์ข้ ึน ต้องพิจารณาและเลือกใช้ฉันทลักษณ์ที่ เหมาะสมกับเน้ ือหา มีกระบวนการพรรณนาท่ีเหมาะสม และเลือกใชก้ ลวิธีในการประพันธ์ต่าง ๆ ประกอบกนั ข้ นึ เพื่อใหเ้ กิดความงดงามในดา้ นอารมณส์ ะเทือนใจ วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๗ : ๓๐๗– ๓๐๘) ไดอ้ ธิบายชน้ั เชิงในการแต่งคาประพนั ธข์ องกวี ท่ีมุ่ง ใหเ้ กิดประสิทธิผลทางอารมณแ์ ก่ผูฟ้ ัง มอี ยู่ ๔ กระบวนการ ไดแ้ ก่ ๑) เสวรจนี คือ การประพนั ธท์ ี่มีเน้ ือหาทานองชมโฉม หรือชมความงามดา้ นกายภาพของบุรุษ หรือสตรี ๒) นารีปราโมทย์ คือ การประพนั ธท์ ่ีมีเน้ ือหาทานองฝากรกั หรือเก้ ียวพาราสี เพื่อแสดงความรกั ต่อนางผูเ้ ป็ นท่ีรกั ของตน ๓) พิโรธวาทงั คือ การประพนั ธ์ท่ีมีเน้ ือหาทานองแสดงความเคืองแคน้ โกรธ ตัดพอ้ เสียดสี เหน็บแนม ประชดประชนั หรือยะเยย้ ๔) สลั ลาปังคพิสยั การประพนั ธท์ ี่มีเน้ ือหาทานองครา่ ครวญคะนึงหา หรือราพนั ถึงคนท่ีรกั หรือ การไมส่ มปรารถนา เมื่อเขา้ ใจความหมาย ช้นั เชิงในการแต่งคาประพนั ธข์ องกวี ท่ีมุ่งใหเ้ กิดประสิทธิผลทางอารมณ์ แก่ผูฟ้ ัง มีอยู่ ๔ กระบวนการแลว้ นักเรียนลองบอกช้นั เชิงในการแต่งคาประพนั ธ์ของกวี ท่ีมุ่งใหเ้ กิด ประสิทธิผลทางอารมณแ์ ก่ผูฟ้ ัง จากบทประพนั ธท์ ี่ครูกาหนดใหต้ ่อไปน้ ี Mr. sakthawut ตวั อยา่ งบทประพนั ธท์ ่ี ๑................................................................................................................ อา้ อา้ กูนิมาถึงอนิตยอนาถ เจ็บใจใจจะขาด ระรอน เคยแนบเน้ ือนุชนิทรนอนดงั ฤมานอน คนเดียวในดินดอน ประดาษ (สมุทรโฆษคาฉนั ท์ : กวีสมยั กรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ตวั อยา่ งบทประพนั ธท์ ่ี ๒............................................................................................................... มาดแมน้ จะหาดวง วเิ ชียรช่วงเท่าคิรี หาดวงพระสุริยศ์ รี ก็จะไดด้ ุจดงั ใจ จะหาโฉมใหเ้ หมือนนุช จนสุดฟ้าสุราลยั ตายแลว้ และเกิดใหม่ ไมไ่ ดเ้ หมือนเจา้ นฤมล (บทพากยโ์ ขน ตอน นางลอย : พระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) ตวั อยา่ งบทประพนั ธท์ ี่ ๓................................................................................................................ แมน้ เป็ นไมใ้ หพ้ ี่น้ ีเป็ นนก ใหไ้ ดก้ กก่ิงไมอ้ ยไู่ พรสณั ฑ์ แมน้ เป็ นนารีผลวมิ ลจนั ทร์ ขอใหฉ้ นั เป็ นพระยาวิชาธร (นิราศพระประธม : สุนทรภู่) การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๔

Mr. sakthawutบทท่ ี ๑ ความรูพ้ ้นื ฐานในการอ่านบทร้อยกรอง ตวั อยา่ งบทประพนั ธท์ ี่ ๔................................................................................................................ สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋กอ้ ง พระพักตรเ์ ธอฟูมฟองนองไปดว้ ยน้าพระเนตรเธอโศกา จึ่งตรสั วา่ โอโ้ อ๋เวลาปานฉะน้ ีเอ่ยจะมิดึกด่ืน จวนจะส้ ินคืนค่อนรุ่งไปเสียแลว้ หรือกระไรไม่รูเ้ ลย พระพาย ราเพยพดั มาร่ีเรื่อยอยเู่ ฉ่ือยฉิว อกแมน่ ้ ีใหอ้ อ่ นหิวสุดละหอ้ ย (มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั รี : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)) ๕. เครอ่ื งหมายประกอบการอ่านบทรอ้ ยกรอง เคร่ืองหมายประกอบการอา่ นบทรอ้ ยกรองแบ่งได้ เป็ น ๒ แบบ ดงั น้ ี ๕.๑ เคร่ืองหมายการอ่าน เคร่ืองหมายการอา่ นในบทรอ้ ยกรอง จะใชเ้ ขียนเพ่ือใชก้ ากบั การหยุดขณะท่ีอ่าน เครื่องการอ่าน มีดงั น้ ี ๑) เคร่ืองหมาย / หมายถึง การหยุดเวน้ ชว่ งจงั หวะสน้ั ๆ ๒) เคร่ืองหมาย // หมายถึง การหยุดเวน้ ชว่ งจงั หวะท่ียาวกวา่ เครื่องหมาย / ๓) เครื่องหมายอื่น ๆ ท่ีนักเรียนใชใ้ นการอ่าน ๕.๒ เครื่องหมายที่ปรากฏในบทรอ้ ยกรอง เครื่องหมายท่ีปรากฏในบทรอ้ ยกรองส่วนมาก จะพบเห็นในบทประพันธ์โบราณ หรือหนังสือ เกา่ ๆ ของไทย เจริญ เจษฎาวลั ย์ (๒๕๔๖ : ๓๑ – ๓๒) ไดอ้ ธิบายเคร่ืองหมายในภาษาไทยโบราณ ดงั น้ ี ๑) ⓞ ฟองมนั หรือตาไก่ เขียนเมื่อข้ นึ ตน้ ขอ้ ความ หรือเมื่อข้ นึ บรรทดั ใหม่ ๒) ⓞ” ฝนทองฟองมนั เขียนเมือ่ ข้ นึ ตน้ เร่ือง หรือเมอื่ ข้ นึ ตน้ ขอ้ ความใหม่ ๓) ฯ องั คนั่ เด่ียวหรือข้นั เด่ียว เขียนเม่ือจบประโยคหรือขอ้ ความ และใชเ้ ขียน เป็ นเคร่ืองหมายแสดงวนั เดือนปี ทางจนั ทรคติ ๔) ฯฯ องั คนั่ ค่หู รือขน้ั คู่ เขยี นเมือ่ จบขอ้ ความใหญ่หรือเมอื่ จบเรื่อง ๕) ฯฯะ องั คนั่ วิสรรชนีย์ เขียนทา้ ยโคลงกลอนหรือเมือ่ จบความแต่ละตอน ๖) ๛ โคมตู ร เขยี นหลงั องั คนั่ วิสรรชนีย์ ดงั น้ ี ฯฯะ๛ เพื่อแสดงวา่ จบเรื่อง ๗) ꒰ ยามกั การ เขยี นเหนือพยญั ชนะ ใชใ้ นการเขียนภาษาบาลีและสนั สกฤต รุน่ เกา่ แสดงการอ่าน ใหอ้ า่ นเป็ นอกั ษรควบ ๖. เทคนิคในการอ่านบทรอ้ ยกรอง เมื่อนักเรียนไดเ้ รียนครบบทเรียน การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรองแลว้ นักเรียนจะมี พ้ ืนฐานทกั ษะการเขียน การอา่ น บทรอ้ ยกรอง แต่หากเมือ่ นาไปปฏิบตั ิจริงแลว้ ทฤษฎีพ้ ืนฐานเหล่าน้ ีจะ สามารถยืดหยุน่ ได้ ดงั น้ัน จึงตอ้ งมีเทคนิค หรือแนวทางการอ่าน บทรอ้ ยกรองเม่ือนาไปปฏิบตั ิจริง ซึ่ง ครสู รุปไดเ้ ป็ นประเด็น ดงั น้ ี การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๕

บทท่ ี ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอ่านบทร้อยกรอง ประเด็นท่ี ๑ ศิลปะการใชเ้ สียง นักเรียนจะรูแ้ ลว้ ว่าการใชเ้ สียงมีศิลปะหลายอย่าง นักเรียนตอ้ ง เลือกใชใ้ หเ้ หมาะสม ตามเน้ ือความของบทประพนั ธ์ เช่น บทโกรธ ถึงแมน้ เน้ ือความน้ันเอ้ ือต่อการเอ้ ือน แต่ดว้ ยอารมณข์ องบทก็ตอ้ งใชน้ ้าเสียงหนักแน่นเอ้ ือนน้อยในชว่ งโกรธ ภาพที่ ๑.๒ QR Code ตวั อยา่ งการอ่านบทรอ้ ยกรองบทโกรธ ที่มา : การขบั เสภาบทโกรธ, ๒๕๖๐ พฒั นาระบบ QR Code จาก https://www.qrcode-monkey.com/ ประเด็นที่ ๒ การอา่ นตามฉนั ทลกั ษณค์ าประพนั ธ์ ในการแต่งบทประพนั ธโ์ ดยเฉพาะกวีโบราณ ในบางงานประพนั ธจ์ ะไม่ไดต้ รงฉันทลกั ษณ์ตลอด ดงั น้ัน ผูอ้ ่านตอ้ งเวน้ วรรคใหเ้ อ้ ือต่อการออกเสียง Mr. sakthawut และไมต่ ดั เน้ ือความ เชน่ ฉนั ทลกั ษณก์ ลอนแปด แต่ละวรรคมีจานวนคา ๗ – ๙ คา แต่บางงานประพนั ธ์ เช่น “โอป้ างหลงั คร้งั สมเด็จบรมโกศ มาผูกโบสถก์ ็ไดม้ าบชู าช่ืน ชมพระพิมพร์ ิมผนังยงั ยงั่ ยนื ท้งั แปดหมนื่ ส่ีพนั ไดว้ นั ทา” (นิราศภขู าทอง : สุนทรภู่) จะเห็นวา่ วรรคแรกของบทประพนั ธต์ วั อยา่ ง มีจานวนคาถึง ๑๐ คา นักเรียนจึงจาเป็ นตอ้ งแบ่งจงั หวะเป็ น “โอป้ างหลงั / ครง้ั สมเด็จ/ บรมโกศ” แลว้ อ่านรวบคาในชว่ งสุดทา้ ย จะทาใหค้ าเกิดความไพเราะ เช่นเดียวกนั ในโคลง หรือในฉนั ท์ ที่มกี ารแยกคาเพ่ือใหต้ รงตามฉนั ทลกั ษณ์ เช่น “คุณแมห่ นาหนักเพ้ ียง พสุธา คุณบิดรดุจอา- กาศกวา้ ง คุณพ่ีพา่ งสิขรา เมรุมาศ คุรพระอาจารยอ์ า้ ง อา้ งสสู้ าคร” (โคลงโลกนิติ : สมเด็จ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร) จะเห็นวา่ วรรคที่ ๓ กบั ๔ เกิดการแยกคาวา่ อากาศ เพ่ือใหต้ รงตามฉนั ทลกั ษณ์ เม่ืออ่านนักเรียนควร อา่ นใหต้ ่อเน่ืองกนั ไมค่ วรเอ้ ือนจนทาใหค้ าน้ันเหมือนวา่ แยกออกจากนั ในบางคร้งั การอ่านรอ้ ยกรองอาจตอ้ งอ่านไม่ตรงการแบ่งคา การแบ่งจาหวะ ตามฉันทลกั ษณ์ เพื่อใหค้ าในบทประพนั ธไ์ มฉ่ ีกแยกกนั จนเกินงาม เชน่ “นางนวลจบั นางนวลนอน เหมือนพ่ีแนบนวลสมรจินตะหรา จากพรากจบั จากจานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี” (อิเหนา ตอน ศึกกะหมงั กุหนิง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๖

Mr. sakthawutบทท่ ี ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอ่านบทร้อยกรอง จากบทประพันธ์ วรรคแรก หากแบ่งตามฉันทลกั ษณ์จะแบ่งว่า “นางนวล/ จบั นาง/ นวลนอน” แต่ เพื่อใหเ้ กิดความถูกตอ้ งของเน้ ือความควรอ่านว่า “นางนวลจบั / นางนวลนอน” ดงั น้ัน จะเห็นวา่ ฉนั ทลกั ษณ์ ของบทประพนั ธส์ ามารถยืดหยุน่ ได้ เพ่ือใหเ้ กิดเน้ ือความที่ถูกตอ้ ง การอ่านจึงจาเป็ นตอ้ งอาศยั ทกั ษะทางภาษา และประสบการณข์ องผูอ้ ่านแต่ละคน หากมีโอกาสไดอ้ ่าน บทรอ้ ยกรอง ถา้ อา่ นถูกตอ้ งเหมาะสมก็จะเกิดเสน่หแ์ ห่งตวั ผูอ้ ่านเอง ประการที่ ๓ การทบทวน ฝึกฝนทักษะ ศึกษาหาความรูเ้ กี่ยวกับภาษาไทยก็เป็ นส่ิงท่ีจาเป็ น เพราะแบบแผนระเบียบของภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลง ดังท่ี เจริญ เจษฎาวลั ย์ (๒๕๔๖ : ๒๓) ได้ กล่าวไวว้ ่า คนไทยผูใ้ ชภ้ าษาไทย จาเป็ นตอ้ งเขา้ ถึงศาสตรแ์ ละศิลป์ อกั ขรวิธีของภาษาไทย โดยควรตอ้ ง หมนั่ ศึกษา ทบทวน และติดตามอยูเ่ สมอ เพราะภาษาไทยมีชีวติ เกิดได้ ตายได้ ประการท่ี ๔ การเตรียมตัว นักเรียนควรเตรียมตัวทาความเขา้ ใจกับบทรอ้ ยกรองท่ีจะอ่าน เพ่ือจะแบง่ วรรคตอน ดูจุดเอ้ ือน ฯลฯ ซึ่งเวลาการเตรียมตวั ก็ข้ นึ อยกู่ บั สถานการณ์ ๗. อา่ นบทรอ้ ยกรองแลว้ ไดอ้ ะไร บทรอ้ ยกรองในแต่ละบทประพนั ธ์ เม่ือนักเรียนไดอ้ ่านนักเรียนจะไดร้ บั ประโยชน์ทางภาษา มากมาย เพราะบทรอ้ ยกรองแต่ละบทตอ้ งอาศยั ศาสตรแ์ ละศิลป์ ของภาษา ดงั น้ัน ประโยชน์ของการอา่ น รอ้ ยกรองมีดงั น้ ี ๑) สรา้ งคลังคาให้กับนักเรียน ในความแตกต่างของฉันลักษณ์ทาให้กวีต้องเลือกคาที่มี ความหมาย และตรงกับจานวนคาในฉันทลกั ษณ์ ดังน้ัน กวีจึงตอ้ งใชค้ าท่ีหลากหลายในบทประพนั ธ์ เช่น คาวา่ ดอกบวั ใชบ้ างบทประพนั ธ์ อาจใชป้ ทุม อุบล โกสุม เป็ นตน้ เม่ืออ่านนักเรียนก็จะมีคลงั คาที่ จะนาไปพดู หรือเขียน คามากก็สามารถพดู หรือไดเ้ หนือผูอ้ ื่น ๒) เป็ นการฝึกออกเสียงใหก้ บั นักเรียน นักเรียนบางคนอาจจะเสียงไม่ดี รอ้ งเพลงไม่เพราะ แต่ เม่ือฝึกฝนก็จะทาใหร้ ูจ้ งั หวะ หรือรูเ้ ทคนิคในการออกเสียงคาแต่ละอย่าง และรูจ้ กั ใชเ้ สียงใหเ้ หมาะสม และท่ีสาคญั รูจ้ กั การแบ่งวรรคอ่านไดถ้ ูกตอ้ ง ส่ิงเหล่าน้ ีเป็ นพ้ ืนฐานของการรอ้ งเพลง เรื่องน้ ีจะสอนให้ นักเรียนที่รอ้ งอาจจะไมด่ ี แต่ก็ใชว้ า่ จะรอ้ งไมไ่ ด้ ๓) บทรอ้ ยกรอง และท่วงทานองไทย เป็ นภูมิปัญญา (knowledge) ของคนไทย ที่นักเรียนควร ภาคภูมิใจที่ไดเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการสืบทอด มนั คือ เอกลกั ษณ์ (identity) ของคนไทย จงลองคิดดูว่า ต่างชาติทาได้แบบน้ ีไหม การเอ้ ือน การสัมผัส ฉันทลักษณ์ที่หลากหลาย เน้ ือความท่ีจับใจ ความ หลากหลายของถอ้ ยคา หากแมน้ ักเรียนมีโอกาสไดไ้ ปเผยแพร่เอกลกั ษณไ์ ทยใหก้ ับนานาอารยประเทศ การอา่ นบทรอ้ ยกรองไทย ก็เป็ นสิ่งหน่ึงท่ีอวดต่างชาติไดอ้ ยา่ งภาคภูมใิ จ ๔. .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๗

Mr. sakthawutบทท่ ี ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอ่านบทรอ้ ยกรอง ๘. หากนกั เรียนมีโอกาสไดไ้ ปยนื จบั ไมโครโฟนพูด ขณะทที่ ุกประเทศตา่ งมองนกั เรียนอยู่ นกั เรยี น จะนาการอ่านบทรอ้ ยกรองไทยทเ่ี ป็ นเอกลกั ษณไ์ ทย ไปพดู อวดชาวโลกว่าอยา่ งไร ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๘

Mr. sakthawut บทท่ี ๒ ความรพู้ ้ืนฐานในการเขยี นบทรอ้ ยกรอง เน้ ือหาประจาบท ๑. ลกั ษณะบงั คบั ของคำประพนั ธไ์ ทย ๒. โวหำรกำรเขยี น ๓. โวหำรกำรเขยี นท่ีทำใหเ้ กิดภำพพจน์ ๔. กลบทบทรอ้ ยกรอง การเขยี นและการอ่าน บทรอ้ ยกรอง

Mr. sakthawutบทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขียนบทรอ้ ยกรอง จากบทที่ ๑ นักเรียนก็จะรูถ้ ึงการอ่านบทรอ้ ยกรองไปแลว้ ซึ่งในการอ่านบทรอ้ ยกรองน้ัน นักเรียนจะเห็นว่าตอ้ งมคี วามรใู้ นเรื่องทกั ษะการเขยี นดว้ ย ในบทน้ ีจึงจะปพู ้ ืนฐานที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเขยี น บทรอ้ ยกรอง เพ่ือใหน้ ักเรียนเกิดทกั ษะและเรียนรใู้ นบทต่อไป เจริญ เจษฎาวลั ย์ (๒๕๔๖ : ๑๗๓) ไดอ้ ธิบายความสาคญั ของการเขียนบทรอ้ ยกรองไวว้ ่า คือ ศิลปะการนาเอาคาอันเกิดจากตัวอักษรไทย มา “รอ้ ยแกว้ ” ใหไ้ ดค้ วามเรียงท่ีสละสลวยไพเราะ เหมาะเจาะดว้ ยเสียงและความหมาย ถือเป็ นศาสตรช์ ้นั สูงของนักภาษาไทย ท่ีประดิษฐ์ข้ ึนมาใหเ้ ป็ นบท เรียงความ เป็ นนิยาย นวนิยาย ใหผ้ ู้คนนิยมอ่านไดเ้ มื่อใดแลว้ ย่อมถือไดว้ ่า งานน้ันเป็ นงานที่ใช้ ความสามารถช้นั สูงอีกอยา่ งหน่ึง ซ่ึงใช่วา่ จะทากนั ไดง้ า่ ย นักเรียนจะเห็นวา่ การเขียนบทรอ้ ยกรองจาเป็ นที่จะตอ้ งฝึกฝน เพราะไมใ่ ช่เรื่องท่ีจะทาโดยง่าย ดงั น้ัน นักเรียนตอ้ งพยายามฝึกฝน หาเทคนิค วิธีการเขยี นจากการเรียนรใู้ นหอ้ งเรียนและนอกหอ้ งเรียน ๑. ลกั ษณะบงั คบั ของคำประพนั ธไ์ ทย ในการแต่งคาประพนั ธ์ หรือบทรอ้ ยกรองชนิดต่าง ๆ นักเรียนจะตอ้ งรูจ้ กั ลกั ษณะสาคญั เก่ียวกบั การประพันธ์ วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๗ : ๒๙๘ – ๓๐๕) ไดอ้ ธิบายลักษณะสาคัญเกี่ยวกับการ ประพนั ธไ์ ว้ ซึ่งสรุปไดด้ งั น้ ี ๑.๑ คณะ คือ ขอ้ กาหนดเกี่ยวกับรูปแบบของคาประพันธ์แต่ละชนิดว่าจะตอ้ งประกอบดว้ ย ส่วนย่อย ๆ อะไรบา้ ง คาท่ีเป็ นส่วนย่อยของคณะไดแ้ ก่ บท บาท วรรค คา คาประพนั ธ์ทุกชนิดตอ้ งมี คณะ เพราะคณะเป็ นสิ่งท่ีช่วยกาหนดรูปแบบของคาประพนั ธแ์ ต่ละชนิด เพื่อใชเ้ ป็ นหลกั ในการแต่ง เช่น ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ๑.๒ พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมาคร้งั หน่ึง ๆ บางทีก็มีความหมาย พยางคเ์ ป็ นส่วนหนึ่งของ คา ในคาประพนั ธบ์ างประเภทจะยึดคาวา่ พยางค์ หมายถึง คา เช่น ...................................... ในคาประพนั ธ์ประเภทฉันท์ ซ่ึงถือครุ ลหุ เป็ นสาคญั เรานับแต่ละพยางคเ์ ป็ น ๑ คาเสมอ เช่น สุจริต ม.ี .....พยางค์ นับเป็ น.....คา เป็ นตน้ ถา้ คาใดมี ๒ พยางค์ เป็ นลหุพยางคห์ น่ึง เช่น กระถาง สมคั ร ตลาด ก็อนุโลมใหน้ ับเป็ น ๑ พยางคห์ รือหมายถึง ๑ คาได้ ๑.๓ สัมผัส คือลกั ษณะท่ีบงั คับใหใ้ ชค้ าคลอ้ งจองกนั ซึ่งสมั ผัส เป็ นลกั ษณะที่สาคญั ที่สุดในคา ประพนั ธข์ องไทย คาประพนั ธท์ ุกชนิดจาเป็ นตอ้ งมสี มั ผสั ชนิดของสมั ผสั ที่ควรรมู้ ี ๔ อยา่ ง ดงั น้ ี ๑) สมั ผัสสระ ไดแ้ ก่ คาท่ีมีเสียงสระตรงกนั ถา้ เป็ นตวั สะกดตอ้ งเป็ นตวั สะกดในมาตรา เดียวกนั เช่น .............................................................................................................................................. สระเสียงส้นั จะไมส่ มั ผสั กบั สระเสียงยาว ถึงแมต้ วั สะกดเดียวกนั ก็ไมถ่ ือวา่ สมั ผสั กนั เช่น คาวา่ ................. ไมส่ มั ผสั กบั คาวา่ .................. เป็ นตน้ ๒) สมั ผสั อกั ษร หรือสมั ผสั พยญั ชนะ ไดแ้ ก่ คาที่ใชพ้ ยญั ชนะตน้ เสียงเดียวกนั การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๐

Mr. sakthawutบทท่ ี ๒ ความรู้พ้นื ฐานในการเขยี นบทร้อยกรอง ๓) สัมผัสนอก เป็ นสมั ผัสบังคับ ท่ีจะตอ้ งมีในบทประพันธ์ ไดแ้ ก่ สัมผัสที่ส่งและรับ ระหวา่ งวรรค ระหวา่ งบาท และระหวา่ งบท ซึ่งจะตอ้ งเป็ นสมั ผสั สระเท่าน้ัน ๔) สัมผัสใน เป็ นสัมผัสท่ีไม่บังคับ ได้แก่ คาสัมผัสท่ีคลอ้ งจองกันอยู่ภายในวรรค เดียวกนั อาจจะเป็ นสมั ผสั สระหรือสมั ผสั อกั ษรก็ได้ สมั ผสั ในจะช่วยใหบ้ ทประพนั ธไ์ พเราะข้ นึ ๑.๔ คาครุ ลหุ เป็ นคาท่ีบงั คบั ใชเ้ ฉพาะบทประพนั ธป์ ระเภทฉนั ทเ์ ท่าน้ัน คาครุ ไดแ้ ก่ คาที่ประสมสระเสียงยาวในแม่ ก กา หรือคาที่ประสมสระเสียงส้นั หรือ เสียงยาวก็ไดท้ ี่สะกด และคาที่ประสมดว้ ยสระเกิน ไดแ้ ก่ อา ไอ ใอ เอา เพราะมีเสียงสระที่มีตวั สะกด ดังน้ ี อา มีเสียงสระมีตัวสะกดคือ ....+.... ไอ, ใอ มีเสียงสระมีตัวสะกดคือ ....+.... เอา มีเสียงสระมี ตวั สะกดคือ ....+.... คาครุเวลาเขียนใชส้ ญั ลกั ษณไ์ มห้ นั อากาศ แทน สรุปคาครุ ก็คือ คาที่ประสมสระเสียงยาว ไมม่ ตี วั สะกด คาที่ประสมสระและมตี วั สะกด คาท่ีมีสระเกิน อา ไอ ใอ เอา คาลหุ ไดแ้ ก่ คาที่ประสมดว้ ยเสียงสระเสียงสน้ั ในแม่ ก กา และคาท่ีใชพ้ ยญั ชนะคาเดียว เช่น ก็ บ บ่ ณ ธ นอกจากน้ ีคาที่ประสมดว้ ยสระ อา ก็อนุโลมใหเ้ ป็ นลหุ คาลหุเวลาเขียนใชส้ ญั ลกั ษณ์ สระอุ แทน สรุปคาลหุ ก็คือ คาท่ีประสมสระเสียงส้นั ไมม่ ตี วั สะกด คาท่ีเป็ นพยญั ชนะคาเดียว คาท่ีมีสระ อา ๑.๕ คาเอก คาโท หมายถึงพยางคท์ ่ีบงั คบั ดว้ ย ไมเ้ อก ไมโ้ ท สาหรบั ใชก้ บั คาประพนั ธป์ ระเภท โคลงเท่าน้ัน มีขอ้ กาหนดดงั น้ ี คาเอก ไดแ้ ก่คาท่ีมีไมเ้ อกบังคับท้ังหมด และพยางค์ที่เป็ นคาตายท้ังหมดจะมีเสียง วรรณยุกตใ์ ดก็ได้ เช่น กาก บอก โชค คาเอกโทษ คือ คาที่ไม่เคยใชไ้ มเ้ อก แต่เอามาแปลงโดยเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์เป็ นเอก เพ่ือใหไ้ ดร้ ูปเอกบงั คบั เช่น เส้ ียม เปล่ียนเป็ น เซี่ยม เป็ นตน้ คาโท ไดแ้ ก่ พยางคท์ ี่มีไดโ้ ทบงั คบั ท้งั หมด คาโทโทษ คือ คาที่ไมเ่ คยใชไ้ มโ้ ท แต่เอามาแปลงโดยเปลี่ยนรปู วรรณยุกตเ์ ป็ นโทเพื่อให้ ไดร้ ปู โทบงั คบั เชน่ เลน่ เปล่ียนเป็ น เหลน้ เป็ นตน้ ๑.๖ คาเป็ น คาตาย คาเป็ น ไดแ้ ก่ พยางคท์ ่ีผสมดว้ ยสระเสียงยาว ในแม่ ก กา กบั พยางคท์ ่ีผระสมดว้ ยสระ อา ไอ ใอ เอา และพยางคท์ ่ีสะกดดว้ ยแม่ กง กน กม เกย เกอว คาตาย ไดแ้ ก่ พยางคท์ ่ีผสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในแม่ ก กา และพยางคท์ ่ีสะกดดว้ ยแม่ กก กด กบ สรุปคาเป็ น คาตาย ใหน้ ักเรียนจาลกั ษณะของคาตายใหไ้ ด้ คือ พยางคท์ ่ีประสมสระเสียงส้นั ไมม่ ตี วั สะกด และคาที่มี ตวั สะกดดว้ ย แม่ กก กบ กด (กบฏ ตอ้ งตายเท่าน้ัน) การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๑

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขียนบทร้อยกรอง ๑.๗ เสียงวรรณยุกต์ จะมีบงั คบั ในกลอนและกาพยบ์ างชนิด เช่น กลอนสุภาพ คาสุดทา้ ยของ วรรครบั หา้ มใชเ้ สียงสามญั เสียงวรรณยุกตม์ ี ๕ เสียง ดงั น้ ี เสียงสามญั ไดแ้ ก่ พ้ ืนเสียงคาเป็ นของอกั ษรกลาง และอกั ษรตา่ เสียงเอก ไดแ้ ก่ เสียงอกั ษรกลางและอกั ษรสูงท่ีบงั คบั เอก กบั เสียงกลางและอกั ษรสูงที่ เป็ นคาตาย เสียงโท ไดแ้ ก่ เสียงกลางและสูงท่ีบงั คบั ไมโ้ ท กบั เสียงอกั ษรตา่ ที่บงั คบั ไมเ้ อก แต่อ่าน เป็ นเสียงโท และคาตายอกั ษรตา่ ท่ีผสมดว้ ยสระเสียงยาว เสียงตรี ไดแ้ ก่ เสียงอกั ษรกลางที่บงั คบั ไมต้ รี และคาตายอกั ษรตา่ ที่เป็ นสระเสียงสน้ั เสียงจตั วา ไดแ้ ก่ เสียงอกั ษรกลางท่ีบงั คบั ไมจ้ ตั วา กับพ้ ืนเสียงคาเป็ นของอกั ษรสูง และ พ้ ืนเสียงคาเป็ นของอกั ษรตา่ ท่ีมี ห นา ๑.๘ คานา ในท่ีน้ ีหมายถึง คาที่ใชข้ ้ นึ ตน้ สาหรบั คาประพนั ธบ์ างประเภท เชน่ กลอนบทละคร ข้ นึ ตน้ ดว้ ยเมอื่ น้ัน บดั น้ัน บดั น้ัน เมื่อน้ัน ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน(๒๕๕๖ : ๖๖๒ และ๙๒๑) ไดร้ ะบุหน้าท่ี การข้ นึ ตน้ บทประพนั ธไ์ วอ้ ยา่ งชดั เจน วา่ บดั น้ัน ว. คาข้ ึนตน้ ขอ้ ความของบทละคร (ใชแ้ ก่ตัวละครท่ีไม่ใช่ตัวเจา้ หรือมิไดเ้ ป็ นตัวเอกใน ตอนน้ัน ๆ) Mr. sakthawut เม่ือน้ัน ว. คาข้ ึนตน้ ขอ้ ความของบทละคร (ใชแ้ ก่ตวั ละครที่เป็ นตัวเจา้ หรือเป็ นตวั เอกในตอน น้ัน กลอนดอกสรอ้ ย ข้ ึนตน้ บทดว้ ยคา ๔ คา คาท่ี ๑ และคาที่ ๓ ซ้ากนั คาท่ี ๒ บังคบั ให้ เป็ นเอ๋ย ส่วนคาที่ ๔ เป็ นคาอื่น กลอนสกั วา ข้ นึ ตน้ ดว้ ยคาวา่ สกั วา ๑.๙ คาสรอ้ ย คือคาท่ีใชเ้ ติมลงทา้ ยวรรค ทา้ ยบาท หรือทา้ ยบท เพื่อความไพเราะหรือเพ่ือให้ ครบจานวนคาตามลกั ษณะบงั คบั บางแห่งก็ใชเ้ ป็ นคาถาม หรือใชย้ ้าความ คาสรอ้ ยน้ ีใชเ้ ฉพาะในโคลง และรา่ ย ลกั ษณะบงั คบั ของคาประพนั ธท์ ้งั ๙ ประการ ดงั กลา่ วมาแลว้ น้ัน พอสรุปเป็ นลกั ษณะบงั คบั ของ คาประพนั ธแ์ ต่ละประเภทไดด้ งั น้ ี ลักษณะคา คณะ พยางค์ สมั ผสั ครุ – ลหุ เอก – โท คาเป็ น – เ สี ย ง คาสรอ้ ย ประพนั ธ์ ✓ คาตาย วรรณยุกต์ กาพย์ ✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓ ฉนั ท์ ✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓ ร่าย ✓ ✓✓ ✓ ✓ โคลง ✓ ✓✓ กลอน ✓ ✓✓ ตำรำงที่ ๒.๑ ตารางแสดงลกั ษณะบงั คบั ของคาประพนั ธ์ จาก วเิ ชียร เกษประทุม, ๒๕๕๗ : ๓๐๖ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๒

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขียนบทรอ้ ยกรอง จากตารางจะเห็นว่า ลกั ษณะบงั คบั ของคาประพนั ธท์ ุกประเภทที่มีเหมือนกนั คือ คณะ พยางค์ สมั ผสั ส่วนลกั ษณะบงั คบั อ่ืน ๆ เป็ นลกั ษณะเฉพาะของคาประพนั ธแ์ ต่ละประเภท ๒. โวหำรกำรเขียน ในการเขียนน้ันผูเ้ ขยี นจะตอ้ งมีช้นั เชิงการเขียนท่ีดี ช้นั เชิงการเขียนเหล่าน้ ีเรียกว่า โวหาร การมี โวหารในการเขียนบทรอ้ ยกรองจะทาใหใ้ นเขยี นของเรามีประสิทธิภาพ โวหารการเขยี นมีดงั น้ ี ๒.๑ บรรยายโวหาร สานวนเขียนที่เป็ นไปในลักษณะการช้ ีแจงหรืออธิบาย พระยาอุปกิต ศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๓๓๘) ไดแ้ บง่ ประเภทของบรรยายโวหาร ดงั น้ ี ๑) การเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ เช่น เล่านิทานซึ่งเล่าต่อ ๆ กนั มา เช่นเร่ืองศรีธนญชยั หรือ นิทานอีสป เป็ นตน้ ๒) ประวตั ิต่าง ๆ เช่น พระราชประวตั ิ ประวตั ิบุคคล ประวตั ิวตั ถุ ประวตั ิสถานท่ี และ พระราชพงศาวดาร เป็ นตน้ ๓) ตานานต่าง ๆ ซึ่งไดแ้ ก่ประวตั ิแกมนิทาน เช่น ตานานพระแกว้ มรกต เป็ นตน้ ๔) รายงานหรือจดหมายเหตุ ที่เล่าถึงการการเดินทาง การตรวจสถานท่ีหรือกิจกรรม อ่ืน ๆ (รายงานหมายถึงขอ้ ความท่ีเสนอผูใ้ หญ่เหนือตน จดหมายเหตุน้ันหมายถึงขอ้ ความท่ีเป็ นเป็ น สว่ นตวั ตลอดจนจดหมายไปมาถึงกนั ท่ีเล่าเร่ืองเช่นน้ ี) Mr. sakthawut บรรยายโวหารน้ ี ยงั ใชแ้ ต่งเป็ นคาประพนั ธด์ ว้ ยเหมือนกนั เน้ ือเร่ืองที่จะแต่งก็เป็ นไปตามหวั ขอ้ ขา้ งบนน้ ีเอง ลกั ษณะการใชบ้ รรยายโวหารในการแต่งคาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเช่น ตวั อยา่ งที่ ๑ “มาจะกล่าวบทไป ถึงสี่องคท์ รงธรรมน์ าถา เป็ นหน่อเน้ ือเช้ ือวงศเ์ ทวา ปิ ตุเรศมารดาเดียวกนั รุ่งเรืองฤทธาศกั ดาเดช ไดด้ ารงนคเรศเขตขณั ฑ์ พระเชษฐาครองกรุงกุเรปัน ถดั น้ันครองดาหาธานี องคห์ นึ่งครองกาหลงั บุรีรตั น์ องคห์ น่ึงครองสิงหดั สา่ หรี เฉลิมโลกโลกาธาตรี ไมม่ ผี ูร้ อต่อฤทธ์ิ” (อิเหนา : สมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) ตวั อยา่ งที่ ๒ “พระจนั ทรนอนฟ้าแสนสุดเศรา้ ไมม่ องเราไมเ่ หลียวแลไมห่ ่วงหา เสียงนกนอ้ ยเคยรอ้ งกอ้ งพนา กลบั เงียบเหงาเหวว่ า้ ระทมใจ” ๒.๒ พรรณนาโวหาร สานวนเขียนที่กล่าวเป็ นเร่ืองราวอย่างละเอียดเพื่อใหผ้ ู้อ่านนึกเห็น เป็ นภาพ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๓๓๙) อธิบายเกี่ยวกับขอ้ ความที่ยกข้ ึนกล่าวเป็ นพรรณนา โวหาร และจุดมุง่ หมายการแต่งพรรณนาโวหาร สรุปได้ ดงั น้ ี ขอ้ ความท่ียกข้ นึ กลา่ วเป็ นพรรณนานาโวหาร มกั มดี งั น้ ี ๑) ยอพระเกียรติ ๒) ภมู ิประเทศ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๓

บทท่ ี ๒ ความรู้พ้นื ฐานในการเขียนบทร้อยกรอง ๓) ความคิดต่าง ๆ การแต่งพรรณนาโวหารน้ ีมีความมุง่ หมายอยู่ ๒ อยา่ ง คือ ๑) อยากใหผ้ ูฟ้ ังเขา้ ใจขอ้ ที่ราพนั น้ันใหช้ ดั เจน ๒) เพ่ือเล่นสานวนใหเ้ พราะพร้ ิง ลกั ษณะการใชพ้ รรณนาโวหารในการแต่งคาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเชน่ “พระจนั ทรเ์ จา้ สีเหลืองเศรา้ ดูหมน่ หมอง น้าตานองเมอ่ื ไดม้ องสุดโศกศลั ย์ เสียงนกนอ้ ยรอ้ งจ๊ิบจ๊ิบกอ้ งไพรวนั ก็เงียบงนั เหงาหงอยเศรา้ สรอ้ ยใจ” ๒.๓ สาธกโวหาร สานวนเขยี นที่มีการยกตวั อยา่ งมาอา้ งใหเ้ ห็น ลกั ษณะการใชส้ าธกโวหารในการแต่งคาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเชน่ คือรปู รสกลิ่นเสียงไมเ่ ท่ียงแท้ ยอ่ มเฒ่าแก่เกิดโรคโศกสงสาร ความตายหน่ึงพึงเห็นเป็ นประธาน หวงั นิพพานพน้ ทุกขส์ ุขสบาย ซึ่งบา้ นเมืองเคืองเขญ็ ถึงเชน่ น้ ี เพราะโลกียต์ ณั หาพาฉิบหาย อนั ศีลหา้ วา่ อยา่ ทาใหจ้ าตาย จะตกอบายภมู ิขุมนรก (สุนทรภู่) ๒.๔ อุปมาโวหาร สานวนเขียนที่กล่าวถึงเรื่องราวโดยยกส่ิงต่าง ๆ ข้ ึนมาเปรียบเทียบประกอบ ส่วนคาว่า อุปมา และอุปไมย มคี วามแตกต่างกนั แต่ไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ได้ เพราะ อุปมา คือ คา Mr. sakthawut หรือขอ้ ท่ีมาเปรียบเทียบ อุปไมย คือ คาหรือขอ้ ที่มีคาอ่ืนมาเปรียบเทียบ เช่น ผิวขาวเหมือนหยวกกลว้ ย ผิวขาว เป็ น อุปไมย หยวกกลว้ ย เป็ นอุปมา พระยาอุปกิต ศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๓๔๕) ไดก้ ล่าวถึงอุปมาโวหารเป็ นสาธกโวหารทางออ้ ม โดย สุรปไดว้ ่า เป็ นธรรมดาว่า เม่ือเราอธิบายเรื่องราวใด ๆ ใหเ้ ขาฟังไม่ได้ เราจาเป็ นตอ้ งหาตวั อย่างมาให้ เขาดู ซ่ึงเป็ นสาธกโวหารโดยตรง แต่ถา้ หาตัวอย่างเช่นน้ันไม่ไดจ้ ริง ๆ จึงเอาของที่คลา้ ยคลึงกันมา เปรียบเทียบใหด้ ู จึงนับว่าเร่ืองอุปมาโวหารเหล่าน้ ีเป็ นสาธกโวหารทางออ้ ม หรือเรียกว่า สาธกโวหาร โดยใชอ้ ุปมาก็ได้ ประโยชน์ของสาธกโวหาร และอุปมาโวหาร มีอย่างเดียวกัน คือส่งเสริมใหเ้ ขา้ ใจ แจม่ แจง้ ลกั ษณะการใชอ้ ุปมาโวหารในการแต่งคาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเชน่ เทศใดทนั ต่างดา้ ว ดูแคลน มาสู่อยยู่ ึดแดน เดชกรา้ ว เทศน้ันสบ้นั แบน บนั่ สิทธิ ดุจดงั ่ ราหหู า้ ว หอ่ หม้ อมจนั ทร์ (สามกรุง : สมเด็จพระราชวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนพิทยาลงกรณ)์ ๒.๕ เทศนาโวหาร สานวนเขียนที่เป็ นไปในลกั ษณะการเทศนาของพระ พระยาอุปกิต ศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๓๔๑) ไดก้ ล่าวถึงจุดมุง่ หมายขอ้ ความท่ีใชเ้ ทศนาโวหาร สรุป ไดด้ งั น้ ี การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๔

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขยี นบทร้อยกรอง ๑) จากดั ความและอธิบายความ เช่น อธิบายรูปศัพท์ สตฺ (มี, เป็ น) + ตวฺ (ปัจจัย = สวั ต์) แปลว่า ผูม้ ีอยู่ ผูเ้ ป็ นอยู่ ตีความว่า ส่ิงมีชีวิตที่มีวิญญาณครอง หรือการอธิบายความสาหรบั ใช้ ประกอบการสงั่ สอน ๒) พิสูจน์ขอ้ เท็จจริง เช่น ช้ ีเหตุผลแห่งยุงชุมว่า เกิดจากปล่อยใหม้ ีน้าขงั อยู่บนพ้ ืนดิน มาก เป็ นตน้ ๓) อธิบายคุณและโทษ ๔) แนะนาสงั่ สอน เทศนาโวหารน้ ี ถา้ ผูแ้ ต่งตอ้ งการจะอธิบายขอ้ ความที่ยากใหเ้ ขาเขา้ ใจและเห็นจริงดว้ ย เช่น ขอ้ ๑), ๒) ขา้ งตน้ น้ ี จะตอ้ งแต่งเป็ นรอ้ ยแกว้ เพื่อเลือกใชค้ าพูดสะดวก แต่หากตอ้ งการปลูกศรทั ธาใหม้ ี ความรกั ใครห่ รือเชื่องฟังอยา่ งขอ้ ๔) มกั จะแต่งเป็ นบทประพนั ธ์ ลกั ษณะการใชเ้ ทศนาโวหารในการแต่งคาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเช่น บดั เด๋ียวดงั หงงั่ เหง่งวงั เวงแวว่ สะดุง้ แลว้ เหลียวแลชะแงห้ า เห็นโยคีข่ีรุง้ พุ่งออกมา ประคองพาข้ ึนไปจนบนบรรพต แลว้ สอนวา่ อยา่ ไวใ้ จมนุษย์ มนั แสนสุดลึกลาเหลือกาหนด ถึงเถาวลั ยพ์ นั เก่ียวที่เล้ ียวลด ก็ไมค่ ดเหมือนหน่ึงในนาใจคน มนุษยน์ ้ ีท่ีรกั อยสู่ องสถาน Mr. sakthawut บิดามารดารกั มกั เป็ นผล ที่พ่ึงหน่ึงพ่ึงไดแ้ ต่กายตน เกิดเป็ นคนคิดเห็นจึงเจรจา แมน้ ใครรกั รกั มงั่ ชงั ชงั ตอบ ใหร้ อบคอบคิดอา่ นนะหลานหนา รสู้ ิ่งใดไมส่ รู้ วู้ ิชา รรู้ กั ษาตวั รอดเป็ นยอดดี จงคิดตามไปเอาไมเ้ ทา้ เถิด จะประเสริฐสมรกั เป็ นศกั ด์ิศรี พอเสร็จคาสาแดงแจง้ คดี รปู โยคีหายวบั ไปกบั ตา (พระอภยั มณี ตอน สุดสาครเขา้ มเองการะเวก : สุนทรภู่) ๓. โวหำรกำรเขียนทที่ ำใหเ้ กิดภำพพจน์ ๓.๑ อุปมา คือ การเปรียบเทียบโดยการนาของ ๒ สิ่งท่ีคลา้ ยกนั หรือต่างพวกกนั มาเปรียบเทียบ กนั มกั มีคาวา่ เหมอื น ดุจ ดงั ปาน ปนู ราว ประหนึ่ง เพียง กล คลา้ ย เป็ นคาเช่ือม ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ อนั ความคิดวทิ ยาเหมอื นอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใสเ่ สียในฝัก สงวนคมสมนึกใครฮึกฮกั จึงคอ่ ยชกั เชือดฟันใหบ้ รรลยั (เพลงยาวถวายโอวาท : สุทนทรภู่) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๕

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขยี นบทรอ้ ยกรอง ๓.๒ อุปลกั ษณ์ คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็ นส่ิงหน่ึง คาท่ีใชเ้ ปรียบเทียบไดแ้ ก่ เป็ น คือ เท่า เรียกง่าย ๆ วา่ การเปรียบเป็ น ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ หวงั เป็ นเกือกทองรองบาทา พระผูว้ งศเ์ ทวาอนั ปรากฏ จะขอพระบุตรีมียศ ใหโ้ อรสขา้ นอ้ ยดงั จินดา (อิเหนา ตอน ศึกกะหมงั กุหนิง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) ๓.๓ อธิพจน์ หรืออติพจน์ คือ การกล่าวเกินความจริงเพ่ือเน้นความหมาย ความสาคญั ของสิ่ง น้ัน ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ เอียงอกเทออกอา้ ง อวดองค์ อรเอย เมรุชุบสมุทรดินลง เลขแตม้ อากาศจกั จารผจง จารึก พอฤๅ โฉมแมห่ ยาดฟ้าแยม้ อยรู่ อ้ งฤๅเห็น (นิราศนริทรค์ าโคลง : อิน) ๓.๔ บุคคลวตั ิ และ บุคคลาธิษฐาน คือ การทาใหส้ ่ิงต่าง ๆ ท่ีไมม่ ีชีวิต ทากิริยาหรือมคี วามรูส้ ึก เหมือนมนุษย์ ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ “เมื่อน้ันอนั ว่าหม่รู ศั มีเจา้ ท้งั หลายก็แข่งกนั เหาะไปเบ้ ืองหน้า แลว้ ก็คลอ้ ยลงขา้ งใตเ้ ถิง ทุก แห่งทุกพายฉายพระรศั มเี ถิงอวิจีนรกเถิงแดนสุดปฐพีดลได้ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์” (ไตรภมู พิ ระร่วง : พระมหาธรรมราชาท่ี ๑) Mr. sakthawut ๓.๕ สทั พจน์ คือ ภาพพจน์เลียนเสียงธรรมชาติ ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ บา้ งข้ ึนบนขนส่งคนขา้ งลา่ ง เสียงโฉ่งฉ่างชามแตกกระแทกขนั จนคนบนสปั คบั รบั ไมท่ นั หมอ้ ขา้ วขนั ตกแตกกระจายราย (นิราศพระบาท : สุนทรภู่) ๓.๖ นามนัย คือ การใช้ช่ือส่วนประกอบท่ีเด่นของสิ่งหนึ่ งแทนสิ่งน้ัน ๆ ท้ังหมด และ สว่ นประกอบดงั กลา่ วกบั ส่งน้ันมคี วามสมั พนั ธเ์ ก่ียวขอ้ งกนั ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ ถา้ แพล้ งคงปรบั นับทวี เลือดเน้ ือเท่าน้ ีเป็ นเงินทอง เลือดเน้ ือ ใชก้ ลา่ วแทน ชีวติ ถึงเมืองพอดีมีท่ีอยู่ ก็มาจ่จู ากซ้านำ้ ตำตก น้าตา ใชก้ ลา่ วแทน ความทุกขย์ าก การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๖

บทท่ ี ๒ ความรู้พ้นื ฐานในการเขียนบทรอ้ ยกรอง ๓.๗ สญั ลกั ษณ์ Symbol คือการเอาส่ิงที่เป็ นรูปธรรมอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งแทนส่ิงที่เป็ นนามธรรม ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ ึง โดยไมต่ อ้ งอธิบาย ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ คิดถึงสาโรชสรอ้ ย เสาวมาลย์ แมน่ า ภุชเคนทรสาราญ แหลง่ ลน้ สระสวรรคน์ ิราศสนาน ไฉนนาฏ เรียมเอย สรงเกษมสระสมรเฟ้น ฝั่งฟ้าฝันถึง (นิราศนรินทรค์ าโคลง : อิน) สัญลักษณ์ใน โคลงนิราศนรินทร์ เป็ นบทอัศจรรย์ที่ใชค้ าว่า “ภุชเคนทร สระสวรรค์” มาเป็ น สญั ลกั ษณร์ ะหวา่ งชายและหญิง ๔. กลบทบทรอ้ ยกรอง กวีไทยใชก้ ลบทกบั คาประพนั ธท์ ุกชนิด โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของกลบทท่ีนามาใช้ คาประพนั ธ์ที่ไม่มีขอ้ จากดั ในการเลือกใชก้ ลบท คือ โคลง กาพยแ์ ละกลอน ส่วนร่ายบางประเภทน้ัน ค่อนขา้ งมีขอ้ จากัดและมีจานวนคาน้อย ส่วนฉันท์บังคับครุและลหุตายตัวทาใหย้ ุ่งยากในการเพ่ิม ลกั ษณะบงั คบั จึงมกี ลบทไมม่ ากสว่ นใหญ่มีลกั ษณะซ้าคาMr. sakthawut ๔.๑ กลบทบุษบงแยม้ ผกำ (กลบทศริ วิ ิบุลกิตต์)ิ กลบทบุษบงแยม้ ผกา จะซ้าคาแรกของทุกวรรค ตวั อยา่ งกลบทบุษบงแยม้ ผกา พระกุมารตรึกตรองทานองปราชญ์ พระจอมราชเจา้ คิดน้าจิตรเถลิง พระหน่อนอ้ มคอ้ มบงั คมภิรมยเ์ ริง พระเอี่ยมเอิงแอบองคป์ ระจงกร ตวั อยา่ ง เร่ือง พฤษภสงั หาร ชุด ดอกไมป้ ลายปื น มาหาอิสรภาพดว้ ย ดวงใจ มาเพ่ือประชาธิปไตย เติบกลา้ มาหมายมุง่ เมอื งสมยั มมี งั่ มาเพื่อผดุงฟ้าหลา้ แหลง่ ไต ๔.๒ กลบทบวั บำนกลีบขยำย (ประชุมจำรึกวดั พระเชตพุ น) กลบทบวั บานกลีบขยาย จะซ้า ๒ คา ตน้ วรรคทุกวรรค ใชก้ ระทเู้ ดียวกนั ตลอดจนจบความ ในชุมนุม ตารากลอน ฉบบั หอพระสมุดวชิรญาณ ใชค้ าวา่ “บวั บานกลีบ” ตวั อยา่ ง บวั บานกลีบขยาย เจา้ งามพกั ตรผ์ ่องเพียงบุหลนั ฉาย เจา้ งามเนตรประหนึ่งนัยนาทราย เจา้ งามขนงก่งละมา้ ยคนั ศรทรง การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๗

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขยี นบทร้อยกรอง ตวั อยา่ ง เรื่อง พฤษภสงั หาร ชุด ดอกไมป้ ลายปื น เป็ นศพสยบเพราะผู้ พลใคร เป็ นศพส้ ินลมประลยั ปวดรา้ ว เป็ นศพสุดแสนไกล บา้ นเกิด เป็ นศพสงั เวยหา้ ว โหดพาล ๔.๓ กลบททศประวตั ิ (กลบทศริ ิวิบุลกิตติ์) กลบททศประวตั ิ คือ กลบทท่ีเป็ นกระทูย้ ืน ๓ คา อยูต่ น้ วรรคทุกวรรค มาเป็ นกระทยู้ ืน ๓ คา หากแต่ ละวรรคมใิ ช่คาเดียวกนั ฉนั ทลกั ษณท์ ่ีกวปี ระดิษฐข์ ้ นึ ใหมน่ ้ ีเรียกวา่ กลบทซอสามสาย ตวั อยา่ ง กลบททศประวตั ิ โออ้ กเอ๋ยหวาดหวงั จะวงั เวง โออ้ กเอ๋ยครุ่นเครงจะครอบหา โออ้ กเอ๋ยสงสารพระมารดา โออ้ กเอ๋ยอนิจจาจะอาวรณ์ ตวั อยา่ ง ตอนลาวครวญ- ความโศกสลด ชุด รตั นโกสินทรก์ าสรวล จาจาจาจะจดจาความช้าหม่น ทนทนทนจะทุกขท์ นจนอวสาน ใจใจใจจะเจ็บปวดรวดรา้ วราน นานนานนานอปั ยศอยูค่ ฟู่ ้าดิน ๔.๔ กลบทพวงแกว้ กุดนั ่ (ประชุมจำรึกวดั พระเชตุพน) Mr. sakthawut กลบทพวงแกว้ กุดนั่ คือ กลบทที่ซ้าคาใดคาหน่ึงตลอดบท โดยไมก่ าหนดตาแหน่ง ตวั อยา่ ง กลบทพวงแกว้ กุดนั่ จารกั ดูจะใครด่ อู ะไรหนอ ดูท่ีดชู ูใ้ นน้าใจคอ ดูที่พอใจรกั จกั อยากดู จะดมู วยดปู ล้าดูราเตน้ ดเู จา้ เซ็นง้ ิวหนังยงั ไมอ่ ู๋ ดูที่มีดีชวั่ ทวั่ ชมพู ดูไมร่ สู้ ูด้ ชู ูท้ ่ีชใู จ ตวั อยา่ ง เรื่อง กรงขงั มนุษย์ ชุด สายฟ้าฟาด กรงขงั สี่เหลี่ยมหอ้ ง หบั งาม ลกู กรงเหล็กดดั สาม สี่ช้นั หนา้ ต่างลกู กรงตาม ตึกติด ตลอดพ่อ กรุงแห่งกรงเหล็กก้นั กอ่ สยอง ขอ้ สงั เกต ในบทกวีเรื่องกรงขงั มนุษย์ กวีใชว้ ิธีการซ้าคาวา่ “กรง” ในทุกบาท หรือที่เขา้ ใจกนั วา่ เป็ น การเล่นคาของกวี เมอ่ื เทียบกบั ลกั ษณะกลบทพวงแกว้ กุดนั่ แลว้ นับวา่ ไมเ่ หมือนกนั ทีเดียว ๔.๕ กลบทงูกระหวดั หำง (กลบทศริ ิวิบุลกิตต)์ิ กลบทงูกระหวดั หาง คือการซ้าเสียงพยญั ชนะขา้ มวรรคในคาสุดทา้ ยของวรรคแรกกบั คาแรกของ วรรคถดั ไปทุกวรรค ตวั อยา่ ง กลบทงกู ระหวดั หาง ใจเจา้ คิดแช่มช่ืนร่ืนเริงแสน โพธิสตั วต์ รสั ฟังแจง้ จงั จิตร คิดหนักแน่นถึงคุณการุณรกั สุดเหมอื นหมายคลายโศกวิโยคแคน้ การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๘

บทท่ ี ๒ ความรูพ้ ้นื ฐานในการเขียนบทร้อยกรอง ตวั อยา่ ง เร่ือง พมา่ -พุทธ-เผด็จการ ชุด สายฟ้าฟาด แผ่นดินถิ่นพมา่ เมืองศรทั ธาพุทธธรรม ธาตุสูงเจดียค์ ้า ข้ นึ เสียดฟ้าหา้ หกพนั ผืนดินแหง่ เจดีย์ ดาษดื่นมีมากอนันต์ นโมสวดมนตม์ นั่ มนะแน่วแนวทางใด ตวั อยา่ ง เรื่อง เชียงใหม่ เชียงใหมเ่ มอื งใหมแ่ มน้ เมอื งสวรรค์ วบู วาบไฟสีสนั สวา่ งแจง้ เจียงใหมม่ ากเทวญั ถวลิ เสพย์ สิงพอ่ สูงส่งวมิ านกลอ้ งแกลง้ ก่องงาม ๔.๖ กลบทววั พนั หลกั (ประชุมจำรึกวดั พระเชตุพน) กลบทววั พนั หลกั เป็ นการใชค้ าซ้าขา้ มวรรค คือคาทา้ ยวรรคตน้ จะตอ้ งซ้ากบั คาตน้ วรรคถดั ไป ตวั อยา่ ง กลบทววั พนั หลกั (ประชุมจารึกวดั พระเชตุพน) ตกั ศิลาจาฤกขอ้ คาโคลง ไวเ้ ฮย โคลงบอกเร่ืองเลขา คดั แจง้ แจง้ อรรถวจั นจรรโลง Mr. sakthawutลกั ษณท์ ุก หลงั แฮ ทุกแหง่ ทวั่ หอ้ งแสรง้ สายประกล ตวั อยา่ ง เรื่อง กลียุค ชุด สายฟ้าฟาด มนุษยเ์ ส่ือมส้ ิน เสียคน คนคือกล จกั เขร้ ือง เคร่ืองหุ่นยนต์ ยึกยกั ยกั ษ์รา้ ยเร้ ือง ลา่ หวั ๔.๗ กลบทนำคเก้ ียวกระหวดั (กลบทศิรวิ ิบุลกิตต์)ิ กลบทนาคเก้ ียวกระหวัด บังคับซ้าคาถอยหลัง ๒ คา ท้ายวรรคแรก กับ ๒ คาต้นวรรคต่อไป ทุกวรรค ตวั อยา่ ง กลบทนาคเก้ ียวกระหวดั พระปิ ตุรงคฟ์ ังบุตรเห็นสุดหา้ ม หา้ มสุดความคิดบุตรเห็นสุดหาญ หาญสุดไมห่ ยุดยง้ั จะร้งั ราญ ราญร้งั นานแน่วเนตรสงั เวชบุตร ตวั อยา่ ง เรื่อง ใครฆ่าโลก ชุด สายฟ้าฟาด กองทพั อธรรมมืดฟ้า เฟื อนดิน ดินเฟื อนดว้ ยระเบิดยิน กึกกอ้ ง กอ้ งกึกระทึกขวญั บิน บนวอ่ น วอ่ นบนจรวดเต็มทอ้ ง ถ่ินหาว การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๑๙

Mr. sakthawut บทท่ี ๓ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทกลอน เน้ ือหาประจาบท ๑. กลอน ๘ ๒. กลอนดอกสรอ้ ย ๓. กลอนบทละคร การเขยี นและการอ่าน บทรอ้ ยกรอง

บทท่ ี ๓ การอ่านและการเขียน บทร้อยกรองประเภทกลอน การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทกลอน แต่ก่อนคนโบราณจะเรียกงานประพนั ธ์ทุกชนิดท่ีมีการสัมผัสของคาว่า กลอน แต่ปัจจุบนั น้ ี กลอน มีคาจากดั ความท่ีแคบเขา้ คือ งานประพนั ธช์ นิดหน่ึง หน่ึงบท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรคหรือ ๒ ท่อน กลอนมีมาต้งั แต่งสมยั ตอนปลายของอยุธยา รุ่งเรืองสูงสุดในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหลา้ นภาลยั กวสี าคญั ไดแ้ ก่ สุนทรภู่ ซ่ึงถือวา่ ท่านเป็ นแบบฉบบั ของกลอนที่ไพเราะท่ีสุด กลอนท่ีนักเรียนพบเห็นในปัจจุบันมีไม่มากนัก ซึ่งครูจะหยิบยกมาใหศ้ ึกษาอยู่ ๓ ชนิด คือ กลอน ๘, กลอนดอกสรอ้ ย, กลอนบทละคร ๑. กลอน ๘ หรอื กลอนสุภาพ กลอนแปดหรือกลอนสุภาพท่ีมีผูน้ ิยมแต่งกนั มากที่สุด เน่ืองจากมีจานวนคาไมม่ ากไม่น้อยเกินไป สามารถเก็บความไดพ้ อดีถือเป็ นกลอนพ้ ืนฐานของกลอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นกลอนนิราศ กลอนนิทาน กลอนเพลงยาว หรือกลอนขบั รอ้ งต่าง ๆ แผนผงั วรรคสดบั วรรครบั ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐ว๐รร๐ค๐ส่ง๐๐๐ วรรครอง ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ บาทเอก Mr. sakthawut ๑ บท บาทโท สมั ผสั ระหวา่ งบท บาทเอก บาทโท ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ภาพท่ี ๓.๑ ภาพแผนผงั กลอน ๘ ตวั อยา่ ง บดั เดี๋ยวดงั หงา่ งเหง่งวงั เวงแวว่ สะดุง้ แลว้ เหลียวแลชะแงห้ า เห็นโยคีข่รี ุง้ พุ่งออกมา ประคองพาข้ นึ ไปจนบนบรรพต แลว้ สอนวา่ อยา่ ไวใ้ จมนุษย์ มนั แสนสุดลึกลา้ เหลือกาหนด ถึงเถาวลั ยพ์ นั เก่ียวท่ีเล้ ียวลด ก็ไมค่ ดเหมือนหนึ่งในน้าใจคน (พระอภยั มณี : สุนทรภู่) กฎ : ๑. บทหน่ึงมี ๒ บาท บาทที่ ๑ เรียกวา่ บาทเอก มี ๒ วรรค คือวรรคสลบั และวรรครบั บาท ท่ี ๒ เรียกวา่ บาทโท มี ๒ วรรค คือวรรครองและวรรคสง่ แต่ละวรรคมีคาวรรคละ ๘ คา ๒. สมั ผสั มดี งั น้ ี - คาสุดทา้ ยของวรรคสลบั สมั ผสั กบั คาท่ี ๓ หรือ ๕ ของวรรครบั - คาสุดทา้ ยของวรรครบั สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรครอง - คาสุดทา้ ยของวรรครอง สมั ผสั กบั คาท่ี ๓ หรือ ๕ ของวรรคสง่ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๑

บทท่ ี ๓ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทกลอน - ถา้ จะแต่งบทต่อไป จะตอ้ งใหค้ าสุดทา้ ยของบทตน้ สมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยวรรครบั ของ บทต่อไปเสมอ ๒. กลอนดอกสรอ้ ย แผนผงั ๐เอ๋ย๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐เอย ภาพที่ ๓.๒ ภาพแผนผงั กลอนดอกสรอ้ ย ตวั อยา่ ง ๏ ความเอ๋ยความรู้ Mr. sakthawut ทุกอยา่ งอาจเป็ นครหู ากศึกษา เห็นส่ิงใดใชส้ มองลองปัญญา ใคร่ครวญหาเหตุผลจนแจง้ ใจ อนั ความรเู้ รียนเท่าไรก็ไมจ่ บ ยง่ิ คน้ พบก็ย่งิ มที ี่สงสยั ใชค้ วามรผู้ ิดทางสรา้ งทุกขภ์ ยั รจู้ กั ใชท้ าประโยชน์สุขโสตถเ์ อย (ดอกสรอ้ ยรอ้ ยแปด : ฐะปะนีย์ นาครทรรพ) ๏ นกเอ๋ยนกเอ้ ียง คนเขา้ ใจวา่ เจา้ เล้ ียงซึ่งควายเฒ่า แต่นกเอ้ ียงน้ันเลี่ยงทางานเบา แมอ้ าหารก็ไปเอาบนหลงั ควาย เปรียบเหมอื นคนทาตนเป็ นกาฝาก รมู้ ากเอาเปรียบคนท้งั หลาย หนีงานหนักคอยสมคั รงานสบาย จึงน่าอายเพราะเอาเย่ยี งนกเอ้ ียงเอย (บทดอกสรอ้ ยสุภาษิต) กฎ : ๑. กลอนดอกสรอ้ ยบทหน่ึงมี ๔ คากลอน หรือ ๘ วรรค วรรคหนึ่งใช้ ๙ ถึง ๘ คา ๒. วรรคแรก ท่ีข้ ึนตน้ โดยมากมี ๔ คา หรืออาจมี ๕ คา ก็ได้ คาท่ี ๑ กบั คาที่ ๓ ตอ้ งซ้า คาเดียวกนั คาท่ี ๒ เป็ นคาว่า “เอ๋ย” ส่วนคาท่ี ๔ เป็ นคาอื่นท่ีรบั กัน เช่น นักเอ๋ยนักเรียน ความเอ๋ย ความรู้ นกเอ๋ยนกกระจาบ วงั เอ๋ยวงั เวง ๓. กลอนดอกสรอ้ ยจะตอ้ งลงทา้ ยดว้ ยคาว่า “เอย” เสมอ แต่ถา้ เป็ นกลอนดอกสรอ้ ยใน บทละครจะไมล่ งทา้ ยดว้ ยคาวา่ “เอย” ๔. สมั ผสั และลกั ษณะไพเราะอ่ืน ๆ เหมือนกลอนสุภาพที่กล่าวมาแลว้ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๒

บทท่ ี ๓ การอ่านและการเขียน บทร้อยกรองประเภทกลอน ๓. กลอนบทละคร แผนผงั วรรคสดบั ๐๐๐๐๐ว๐ร๐รครบั ๐๐๐๐๐๐(๐๐) ๐วร๐ร๐ค๐รอ๐ง๐๐ ๐วร๐ร๐คส๐่ง๐๐๐ สมั ผสั ระหวา่ งบท ๐๐๐๐๐๐(๐๐) ๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐ ๐๐๐๐๐๐๐ ภาพที่ ๓.๓ ภาพแผนผงั กลอนบทละคร ตวั อยา่ ง (๑) ๏ เม่ือน้ัน พระยาไมยราพยกั ษา เห็นกระบี่นอนทอดกายา ก็ปรีดาเงือดเง้ ือกระบองตาล กวดั แกวง่ สาแดงแผลงฤทธ์ิ เสียงสนัน่ ครรชิตทุกทิศาน Mr. sakthawut สองเทา้ กระเหยง่ เผ่นทะยาน ขุนมารก็ดีลงไป ฯ ฯ ๔ คา ฯ เชิด (๒) ๏ บดั น้ัน คาแหงหนุมานชาญสมร รบั รองป้องกนั ประจนั กร วานรโถมถีบดว้ ยฤทธา ฯ ฯ ๒ คา ฯ เชิด (๓) ๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงเทพไทเรืองศรี อนั สถิตถ้าธารคีรี มที ิพยโสตนัยนา เล็งมาเห็นลกู พระพาย พาองคพ์ ระนารายณน์ าถา ออกจากกรงเหล็กอสุรา มาไวป้ ากถ้าสุรกานต์ บดั น้ ีจะกลบั ไปชิงชยั ฆ่าอา้ ยไมยราพใจหาญ ก็พาฝงู เทพบริวาร เหาะทะยานมายงั พระจกั รี ฯ ๖ คา ฯ เชิด (รามเกียรต์ิ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) (๔) ๏ น้าคา พระราจบั จิตพิศวง อนั ชนกชนนีญาติวงศ์ ลว้ นจิตจงรกั เจา้ เท่าชีวา (เงาะป่ า : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) (๕) ๏ พระภมู ินทร์ ไดย้ ินวา่ ยงั ไมส่ งั ขาร์ เพราะจะออกไปรบั กลบั มา ความผิดถึงขา้ จะวอดวาย (สงั ขท์ อง : บทละครคร้งั กรุงเก่า) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๓

บทท่ ี ๓ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทกลอน (๖) ๏ ฟังเอยฟังการ นางมารสงสารเป็ นหนักหนา รบั ขวญั ไมก่ ลน้ั น้าตา ลบู หลงั ลบู หนา้ ใหป้ รานี แมจ่ ะถนอมกล่อมเกล้ ียง จะเล้ ียงเจา้ เป็ นบุตรนะโฉมศรี พ่ออยา่ ไดก้ งั ขาราคี พระบุรีจะใหแ้ กล่ กู ยา (สงั ขท์ อง : พระบาทสมเด็จพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) (๗) ๏ สายสมรนอนเถิดพ่ีจะกล่อม เจา้ งามจริงพร้ ิงพรอ้ มดงั เลขา นวลละอองผ่องพกั ตรโ์ สภา ดงั จนั ทราทรงกลดหมดมลทิน งามเนตรดงั เนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดงั คนั ศิลป์ อรชรออ้ นแอน้ ดงั กินริน หวงั ถวินไม่เวน้ วายเอย ฯ ๔ คา ฯ กล่อม (อิเหนา : พระบาทสมเด็จพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ) กฎ ๑. กลอนบทละครใชค้ าในวรรคหนึ่งไดต้ ้งั แต่ ๖ ถึง ๙ คา แต่ไม่นิยมกนั มกั เป็ น ๖ หรือ ๗ คา เพราะเขา้ จงั หวะและทานองรอ้ งไดด้ ีกวา่ ๒. สมั ผสั ใหถ้ ือหลกั เกณฑข์ องกลอนสุภาพเป็ นหลกั เพราะกลอนบทละครเป็ นกลอนผสม Mr. sakthawut ในบทหนึ่งอาจจะมีกลอน ๖, ๗, ๘, หรือ ๙ รวมกนั ก็ได้ ถา้ วรรคไหนใชก้ ลอนอะไร ก็ใหใ้ ชส้ มั ผัสตาม หลกั ของกลอนน้ัน ๓. เสียงวรรณยุกตท์ ี่นิยมทา้ ยวรรคของกลอนสุภาพดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ น้ัน ไม่เคร่งครดั ตามระเบียบนัก เพราะตอ้ งอาศยั ทานองรอ้ งและปี่ พาทยเ์ ป็ นสาคญั ๔. วรรคแรกหรือวรรคสดบั ของกลอนบทละคร นิยมใชค้ านาหรือคาข้ ึนตน้ เพ่ือข้ นึ ความ ใหม่หรือเปล่ียนทานองรอ้ งใหม่ คานาน้ ีบางทีใช้ ๒ พยางค์ หรือ ๓ พยางค์ หรือ ๔ พยางค์ แต่ตอ้ ง นับเป็ นหน่ึงวรรคเต็มเพราะเวลารอ้ งตอ้ งเอ้ ือนเสียงใหย้ าวมจี งั หวะเท่ากบั วรรคธรรมดา คา “เม่ือน้นั ” “บดั น้ัน” และ “มาจะกล่าวบทไป” ไม่ตอ้ งใหพ้ ยางคส์ ุดทา้ ยส่งสมั ผัสกบั วรรคต่อไป แต่ถา้ เป็ นคานามอื่น ๆ ซึ่งมี ๒ คา ๓ คา และ ๔ คา แบบข้ ึนตน้ กลอนดอกสรอ้ ย เช่น น้าคา พระภมู ิ ฟังเอยฟังการ จะตอ้ งใหพ้ ยางคส์ ุดทา้ ยของคาเหล่าน้ันสง่ สมั ผสั กบั วรรคต่อไปดว้ ยเสมอ ๕. ความยาวของกลอนบทละครแต่ละตอนไมจ่ ากดั ข้ ึนอยู่กบั เน้ ือความ มีต้งั แต่ ๒ บาท หรือ ๒ คากลอน หรือ ๒ คา เป็ นตน้ ไป เมื่อจบแต่ละตอนผูแ้ ต่งก็จะบอกจานวนบาทไวข้ า้ งทา้ ย และกากบั ดว้ ย ทานองเพลงหนา้ พาทย์ ส่วนทานองเพลงรอ้ งจากกากบั ไวต้ อนตน้ ดงั ตวั อยา่ งบทที่ (๗) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๔

Mr. sakthawutบทท่ ี ๓ การอ่านและการเขียน บทร้อยกรองประเภทกลอน ภาพท่ี ๓.๔ QR Code ตวั อยา่ งการอ่านบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนสุภาพ ท่ีมา : การอา่ นทานองเสนาะ กลอนสุภาพ, ๒๕๕๕ พฒั นาระบบ QR Code จาก https://www.qrcode-monkey.com/ ภาพท่ี ๓.๕ QR Code ตวั อยา่ งการอ่านบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนดอกสรอ้ ย ที่มา : การอ่านกลอนดอกสรอ้ ย, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จาก https://www.qrcode-monkey.com/ ภาพท่ี ๓.๖ QR Code ตวั อยา่ งการอ่านบทรอ้ ยกรองประเภทกลอนบทละคร ท่ีมา : การอา่ นกลอนบทละคร, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จาก https://www.qrcode-monkey.com/ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๕

Mr. sakthawutบทท่ ี ๓ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทกลอน บนั ทึกเพิ่มเตมิ ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๖

Mr. sakthawut บทที่ ๔ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง เน้ ือหาประจาบท ๑. โคลงสองสุภาพ ๒. โคลงสี่สุภาพ การเขียนและการอ่าน บทรอ้ ยกรอง

บทท่ ี ๔ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทโคลง การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง โคลง คือคำประพันธ์ซ่ึงมีวิธีเรียบเรียงถอ้ ยคำเขำ้ คณะ มีกำหนดเอกโทและสัมผัส โคลงมี ลกั ษณะบงั คบั ๖ อยำ่ ง ไดแ้ ก่ คณะ พยำงค์ สมั ผสั คำเอกคำโท คำเป็ นคำตำย และคำสรอ้ ย โคลงเป็ นคำประพนั ธ์เก่ำแก่อย่ำงหน่ึงของไทย สนั นิษฐำนว่ำเป็ นของภำคเหนือดังปรำกฏใน หนังสือนิรำศหริภุญชยั ซึ่งแต่งเป็ นโคลงยำว รำวสมยั พระเจำ้ ปรำสำททองซึ่งเป็ นหนังสือโคลงเล่มแรก หนังสือวรรณคดีท่ีเป็ นแบบฉบับในกำรประพันธ์ คำโคลง คือ กำสรวลโคลงด้ัน โคลงทวำทศมำส ลิลิตยวนพ่ำย ลิลิตพระลอ ลิลิตนิทรำชำคริต นิรำศนรินทร์ ลิลิตตะเลงพำ่ ย โคลงโลกนิติ โคลงแบ่งออกเป็ น ๓ ชนิด คือ ๑. โคลงสุภำพ ๒. โคลงด้นั ๓. โคลงโบรำณ ๑. โคลงสุภาพ แบง่ ออกไดเ้ ป็ น ๗ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑.๑ โคลงสองสุภำพ ๑.๒ โคลงสำมสุภำพ ๑.๓ โคลงส่ีสุภำพ ๑.๔ โคลงหำ้ หรือมณฑกคติ ๑.๕ โคลงตรีพิธพรรณ ๑.๖ โคลงจตั วำทณั ฑี ๑.๗ โคลงกระทู้ คำ “สุภาพ” ในโคลงน้ัน อำจำรยก์ ำชยั ทองหล่อ ไดก้ ล่ำวไวว้ ำ่ มคี วำมหมำยเป็ น ๒ อยำ่ งคือ Mr. sakthawut ๑) หมำยถึงคำที่ไม่มีเคร่ืองหมำยวรรณยุกตเ์ อกโท (คำธรรมดำที่ไมก่ ำหนดเอกโทจะมี หรือไมม่ กี ็ได)้ ๒) หมำยถึงกำรบงั คบั คณะและสมั ผัสอยำ่ งเรียบ ๆ ไมโ่ ลดโผน โคลงสุภำพท้งั ๗ ชนิดมี ลกั ษณะแตกต่ำงกนั ดงั จะอธิบำยต่อไป ๒. โคลงด้นั โคลงด้นั น้ ีน่ำจะหมำยถึงกำรแต่งด้นั ๆ ไป ไม่สูเ้ คร่งครดั ตำมแบบแผนนัก โคลงด้นั จะมีจำนวน คำน้อยกว่ำโคลงสุภำพ มีตำแหน่งเอกโทและสมั ผสั ต่ำงกนั ไปบำ้ ง เม่ืออ่ำนเสียงจะหว้ นในตอนทำ้ ย ไม่ นุ่มนวลเหมือนโคลงสุภำพ โคลงด้นั มีท้งั หมด ๖ ชนิด ดงั น้ ี ๒.๑ โคลงสองด้นั ๒.๒ โคลงสำมด้นั ๒.๓ โคลงด้นั วิวิธมำลี ๒.๔โคลงด้นั บำทกุญชร ๒.๕ โคลงด้นั ตรีพิธพรรณ ๒.๖ โคลงด้นั จตั วำทณั ฑี ๓. โคลงโบราณ โคลงโบรำณมีลักษณะคลำ้ ยกับโคลงด้ันวิวิธมำลี แต่ไม่บังคับเอกโทมีบังคับแต่เพียงสัมผัส เท่ำน้ัน เป็ นโคลงที่ไทยเรำแปลงมำจำกกำพยใ์ นภำษำบำลีอนั มีช่ือว่ำ “คมั ภีรก์ าพยส์ ารวิลาสินี” ซึ่ง ดว้ ยวธิ ีแต่งกำพยต์ ่ำง ๆ แต่มีลกั ษณะเป็ นโคลงอยำ่ งแบบไทยอยู่ ๘ ชนิด เพรำะเหตุที่ไมม่ บี งั คบั เอกโทจึง เรียกวำ่ “โคลงโบราณ” การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๘

บทท่ ี ๔ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง โคลงโบรำณมี ๘ ชนิดคือ ๓.๑ โคลงวิชชุมำลี ๓.๒ โคลงมหำวิชชุมำลี ๓.๓ โคลงจิตรลดำ ๓.๔ โคลงมหำจิตรลดำ ๓.๕ โคลงสินธุมำลี ๓.๖ โคลงมหำสินธุมำลี ๓.๗ โคลงนันททำยี ๓.๘ โคลงมหำนันททำยี โคลงที่นักเรียนพบเห็นในปัจจุบนั มีไมม่ ำกนัก ซึ่งครูจะหยบิ ยกมำกใหศ้ ึกษำอยู่ ๒ ชนิด คือ โคลง สองสุภำพ และโคลงสี่สุภำพ ๑. โคลงสองสุภาพ แผนผงั บทที่ ๑ ๐๐๐๐่๐่ ๐๐่๐่่๐่๐่่ ๐๐๐่๐่ (๐๐) สมั ผสั ระหวำ่ งบท (รอ้ ยโคลง) Mr. sakthawut บทที่ ๒ ๐๐๐๐่๐่ ๐๐่๐่่๐่่๐่ ๐๐๐่๐่ (๐๐) ภาพที่ ๔.๑ ภำพแผนผงั โคลงสองสุภำพ ตวั อยา่ ง ๏ โคลงสองเป็ นอยำ่ งน้ ี แสดงแกก่ ุลบุตรช้ ี เชน่ ใหเ้ ห็นเลบง แบบนำ (ของโบรำณ) บทท่ี ๑ ๏ พระผำดผำยสู่หอ้ ง หำอนุชนวลนอ้ ง หนุ่มหนำ้ พระสนม บทท่ี ๒ ๏ วงประนมนบเกลา้ งำมเสง่ียมเฟ้ ี ยมเฝ้า อยถู่ ำ้ ทูลสนอง (ลิลิตพระลอ) บทที่ ๑ ๏ มติ รดีมีแต่เอ้ อื แมบ้ ใ่ ชญ่ ำติเก้ ือ กอ่ ใหส้ มั พนั ธ์ ทวีนำ บทท่ี ๒ ๏ รกั กนั เตือนเพื่อนแกว้ พล้งั ผิดยอมอภยั แลว้ หอ่ นรหู้ น่ำยแหนง เพื่อนเอย (กำรประพนั ธ์ : ฐะปะนีย์ นำครทรรพ) การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๒๙

บทท่ ี ๔ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทโคลง กฎ ๑) บทหนึ่งมี ๓ วรรควรรคท่ี ๑ และ ๒ มีวรรคละ ๕ คำวรรคที่ ๓ มี ๔ คำรวม ๓ วรรค มี ๑๔ คำ ๒) สมั ผสั มีดงั น้ ี ๒.๑) คำที่ ๕ ของวรรคที่ ๑ สมั ผสั กบั คำที่ ๕ ของวรรคที่ ๒ ๒.๒) ถำ้ จะแต่งบทต่อไปตอ้ งใหค้ ำสุดทำ้ ยของวรรคท่ี ๓ สมั ผัสกบั คำท่ี ๑ หรือ ๒ หรือ๓ ของวรรคที่ ๑ ของบทถัดไปเรียกเป็ นภำษำกำรประพนั ธ์ว่ำ กำรเขา้ ลิลิตหรือรอ้ ยโคลง จำก ตวั อยำ่ งไดแ้ กค่ ำ “สนม” กบั “นม” และ “พนั ธุ”์ กบั “กนั ” ๓) เอกโทและคำเป็ นคำตำยมีดงั น้ ี ๓.๑) ตอ้ งมคี ำเอกสำมแหง่ และคำโท ๓ แห่ง ตำมตำแหน่งท่ีเขยี นไวใ้ นแผนผงั ๓.๒) คำตำยใชแ้ ทนคำเอกได้ ส่วนคำโทตอ้ งใชแ้ ต่คำท่ีมรี ูปวรรณยุกตโ์ ทเท่ำน้ัน ๓.๓) คำสุดทำ้ ยของบทหำ้ มใชค้ ำที่มีรูปวรรณยุกต์หรือคำตำยและเสียงที่นิยมกนั วำ่ ไพเรำะ คือเสียงจตั วำไมม่ รี ปู หรือจะใชเ้ สียงสำมญั ก็ไดเ้ พรำะเป็ นคำจบจะตอ้ งอ่ำนเอ้ ือนลำกเสียงยำว ๓.๔) ถำ้ เน้ ือควำมยงั ไมส่ ุดกระแส สำมำรถเติมคำสรอ้ ยลงในทำ้ ยวรรคที่ ๓ ไดอ้ ีก ๒ คำ จำกตวั อยำ่ ง ไดแ้ กค่ ำ “แบบนา” “ทวีนา” “เพ่ือนเอย” ๒. โคลงสีส่ ุภาพ Mr. sakthawut แผนผงั ๐๐๐๐่๐่ ๐๐(๐๐)คำสรอ้ ย ๐๐่๐่ ๐๐ ๐่๐่ ๐๐๐่๐่๐ ๐๐(๐๐)คำสรอ้ ย ๐๐่๐่่๐่่๐่ ๐่๐่๐๐ ภาพท่ี ๔.๒ ภำพแผนผงั โคลงสี่สุภำพ ตวั อยา่ ง ๏ เสียงลือเสียงเล่ำอำ้ ง อนั ใด พ่ีเอย เสียงยอ่ มยอยศใคร ทวั่ หลา้ สองเขอื พี่หลบั ใหล ลืมตื่น ฤำพ่ี สองพ่ีคิดเองอา้ อยำ่ ไดถ้ ำมเผือ (ลิลิตพระลอ) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๐

บทท่ ี ๔ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ๏ จำกมำมำล่ิวลำ้ ลำบาง บำงย่เี รือรำพลาง พ่ีพรอ้ ง เรือแผงชว่ ยพำนาง เมียงมำ่ นมำนำ บำงบร่ บั คำคลอ้ ง คลำ่ วน้ำตำคลอ (นิรำศนรินทรค์ ำโคลง : อิน) กฎ : ๑) โคลงส่ีสุภำพบทหนึ่งมี ๔ บำท บำทหน่ึงมี ๒ วรรคคือวรรคหน้ำกับวรรคหลัง วรรคหนำ้ ของทุก บำทมีวรรคละ ๕ คำวรรคหลงั ของบำทที่ ๑, ๒ และ ๓ มีวรรคละ ๒ คำ ส่วนของบำทท่ี ๔ มี ๔ คำรวมโคลงส่ีสุภำพบทหนึ่งมี ๓๐ คำ ๒) สมั ผสั มดี งั น้ ี ๒.๑) คำที่ ๗ ของบำทท่ี ๑ สมั ผสั กบั คำที่ ๕ ของบำทท่ี ๒ และ ๓ คำท่ี ๗ ของ บำท ท่ี ๒ สมั ผสั กบั คำท่ี ๕ ของบำทท่ี ๔ ๒.๒) ถำ้ จะใหโ้ คลงท่ีแต่งไพเรำะยิ่งข้ ึน ควรมีสมั ผัสในและสมั ผัสอกั ษรระหว่ำง วรรคดว้ ย กลำ่ วคือควรใหค้ ำสุดทำ้ ยของวรรคหนำ้ สมั ผัสอกั ษรกบั คำหนำ้ ของวรรคหลงั จำกตวั อยำ่ งใน โคลง ไดแ้ ก่คำ “อำ้ ง” กบั “อนั ” “ใหล” กบั “ลืม” “ลำ้ ” กบั “ลำ” “คลอ้ ง” กบั “คล่ำว” Mr. sakthawut ๓) เอกโทและคำเป็ นคำตำยมีดงั น้ ี ๓.๑) ตอ้ งมคี ำเอก ๗ แหง่ และคำโท ๔ แหง่ ตำมตำแหน่งที่เขยี นไวใ้ นผงั ภูมิ ๓.๒) ตำแหน่งคำเอกและโท ในบทท่ี ๑ อำจสลบั กนั ได้ คือเอำคำเอกไปไวใ้ นคำที่ ๕ และเอำคำโทมำไวใ้ นคำท่ี ๔ เช่น ๏ อยำ่ โทษไทยทา้ วทว่ ย เทวา อยำ่ โทษสถำนภูผา ยำ่ นกวา้ ง อยำ่ โทษหมวู่ งศา มิตรญำติ โทษแต่กรรมเองสรา้ ง ส่งใหเ้ ป็ นเอง (โคลงโลกนิติ : กรมพระยำเดชำดิศร) ๓.๓) คำท่ี ๗ ของบำทท่ี ๑ และคำที่ ๕ ของบำทที่ ๒ และ ๓ หำ้ มใชค้ ำท่ีมีรูป วรรณยุกต์ ๓.๔) หำ้ มใชค้ ำตำยที่ผนั ดว้ ยวรรณยุกตโ์ ทในตำแหน่งโท ๓.๕) คำสุดทำ้ ยของบทหำ้ มใชค้ ำตำยและคำที่มีรูปวรรณยุกตแ์ ละเสียงที่นิยมกนั วำ่ ไพเรำะคือเสียงจตั วำไมม่ ีรปู หรือจะใชเ้ สียงสำมญั ก็ไดเ้ พรำะเป็ นคำจบจะตอ้ งอ่ำนเอ้ ือนลำกเสียงยำว ๓.๖) คำท่ีเป็ นเอกโทษและโทโทษไมค่ วรใชอ้ ยำ่ งย่ิงเพรำะเป็ นกำรขอไปทีอย่ำงมกั ง่ำย ท้งั ทำใหร้ ูปคำเสียไปดว้ ย ๓.๗) คำตำยใชแ้ ทนคำเอกได้ ๔) ถำ้ เน้ ือควำมยงั ไมส่ ้ ินสุดกระแสสำมำรถเติมคำสรอ้ ยลงในทำ้ ยบำทที่ ๑ และท่ี ๓ ได้ อีก ๒ คำ จำกตวั อยำ่ ง ไดแ้ กค่ ำ “พ่ีเอย” “ฤๅพ่ี” “มำนำ” การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๑

Mr. sakthawutบทท่ ี ๔ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ภาพที่ ๔.๓ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทโคลงสองสุภำพ ที่มำ : กำรอำ่ นโคลงสอง, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จำก https://www.qrcode-monkey.com/ ภาพท่ี ๔.๔ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทโคลงสี่สุภำพ ที่มำ : กำรอำ่ นโคลงส่ี, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จำก https://www.qrcode-monkey.com/ การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๒

Mr. sakthawutบทท่ ี ๔ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทโคลง บนั ทกึ เพมิ่ เตมิ ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๓

Mr. sakthawut บทท่ี ๕ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท์ เน้ ือหาประจาบท ๑. อินทรวิเชียรฉนั ท์ ๒. วชิ ชุมมาลาฉนั ท์ ๓. ภุชงคประยาตฉนั ท์ ๔. วสนั ตดิลกฉนั ท์ การเขียนและการอ่าน บทรอ้ ยกรอง

Mr. sakthawutบทท่ ี ๕ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทฉนั ท์ ฉนั ท์ คือลกั ษณะถอ้ ยคำที่กวีไดร้ อ้ ยกรองข้ ึน เพื่อใหเ้ กิดควำมไพเรำะ โดยกำหนดครุลหุและ สมั ผสั ไวเ้ ป็ นมำตรฐำน ฉนั ท์น้ ีไทยไดแ้ บบแผนมำจำกอินเดีย ซึ่งเดิมแต่งเป็ นภำษำบำลีสนั สกฤต โดยเฉพำะในภำษำ บำลี มีตำรำที่กล่ำวถึงวิธีแต่งฉันท์ไวเ้ ป็ นแบบเฉพำะโดยเรียกชื่อว่ำ “คมั ภีรว์ ุตโตทัย” ต่อมำไทยได้ จำลองแบบมำแต่งในภำษำไทย โดยเพ่ิมบงั คบั สมั ผสั ข้ นึ เพ่ือใหเ้ กิดควำมไพเรำะตำมแบบนิยมของไทย ฉนั ทใ์ นภำษำบำลีแบง่ ออกเป็ น ๒ ชนิด คือ ๑. ฉันท์วรรณพฤติ เป็ นฉันท์ท่ีกำหนดด้วยตัวอักษร คือวำงคณะและกำหนด เสียงหนักเบำ ที่เรียกวำ่ ครุ – ลหุ เป็ นสำคญั ๒. ฉันท์มำตรำพฤติ เป็ นฉนั ทท์ ี่กำหนดดว้ ยมำตรำ คือวำงจังหวะส้นั ของมำตรำเสียง เป็ นสำคญั นับคำครุเป็ น ๑ มำตรำ คำครุเป็ น ๒ มำตรำ ไมก่ ำหนดตวั อกั ษรเหมอื นอยำ่ งวรรณพฤติ ฉนั ทม์ ีช่ือต่ำง ๆ ตำมที่ปรำกฏในคมั ภีรว์ ุตโตทยั มถี ึง ๑๐๘ ฉนั ท์ แต่ไทยเรำดดั แปลงเอำมำใชไ้ ม่ หมด คงเหลือเอำแต่เฉพำะที่เห็นว่ำไพเรำะ มีทำนองอ่ำนสละสลวยเหมำะแก่กำรที่จะบรรจุคำใน ภำษำไทยไดด้ ีเท่ำน้ัน ฉนั ทท์ ่ีนิยมแต่งในภำษำไทยเป็ นฉนั ทว์ รรณพฤติเป็ นพ้ ืนส่วนใหญ่ ท่ีเป็ นมำตรำพฤติไม่ค่อยจะ นิยมแต่งเพรำะจังหวะและทำนองที่อ่ำนในภำษำไทยไม่สูจ้ ะไพเรำะเหมือนฉันท์วรรณพฤติ แมฉ้ ันท์ วรรณพฤติท่ีท่ำนแปลงมำเป็ นภำษำไทยแลว้ ก็ไมน่ ิยมแต่งกนั ท้งั หมด ฉนั ท์ ประกอบดว้ ยลกั ษณะบงั คบั ๓ ออยำ่ ง คือ พยำงค์ คณะ สมั ผสั ๑) พยำงค์ ในฉนั ทแ์ บง่ ออกไดเ้ ป็ น ๒ ประเภท คือ ๑.๑) พยำงคท์ ี่มเี สียงหนัก เรียกวำ่ ครุ ใช้ ( ัั ) เป็ นสญั ลกั ษณแ์ ทน ซ่ึงมีลกั ษณะ ดงั น้ ี - เป็ นพยำงคท์ ี่ประสมดว้ ยสระเสียงยำวในแม่ ก กำ รวมท้งั สระอำ ใอ ไอ เอำ เช่น มำ ตีมือ เสีย จำใจ ไป เอำ เป็ นตน้ - เป็ นพยำงค์ท่ีมีตัวสะกด เช่น ชำ้ ง กิน ลม โชย ขำ้ ว ตอก ตัด สำด เหยียบ เป็ นตน้ ๑.๒) พยำงคท์ ่ีมีเสียงเบำ เรียกวำ่ ลหุ ใช้ ( ัุ ) เป็ นสญั ลกั ษณแ์ ทน ซึ่งมลี กั ษณะ ดงั น้ ี - เป็ นพยำงคท์ ่ีประสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในแม่ ก กำ เช่น จะ ติ บุ ละ และ เลอะ โตะ๊ เป็ นตน้ - เป็ นพยญั ชนะตวั เดียว เชน่ บ บ่ ฤ ณ ธ ก็ เป็ นตน้ - สำหรบั สระ อำ อนุโลมใหเ้ ป็ นลหุได้ อน่ึงสำหรบั คำ ๒ พยำงค์ ท่ีเป็ นอกั ษรนำ เช่น ขยำย สมำน สวิง จะนับเป็ น ๑ พยำงค์ คือเป็ น ครุ หรือจะนับเป็ น ๒ พยำงค์ หรือลหุ กบั ครุ ก็ได้ ๒) คณะ คณะในลกั ษณะบงั คบั ของฉนั ท์ หมำยถึง ลกั ษณะกำรเรียงกนั ของเสียงครุ ลหุ กลุ่มละ ๓ เสียง จึงจดั เป็ น ๑ คณะ ซ่ึงท้งั หมด ๘ คณะ ดงั น้ ี มะ คณะ ย่อมำจำก มำรุต แปลว่ำ ลม ประกอบด้วย ครุ ๓ เสียง เรียงกัน ดังน้ ี ( ัั ัั ัั ) การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๕

Mr. sakthawutบทท่ ี ๕ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทฉันท์ นะ คณะ ย่อมำจำก นรำ แปลว่ำ ฟ้ำ ประกอบด้วย ลหุ ๓ เสียง เรียงกัน ดังน้ ี ( ัุ ัุ ัุ ) ภะ คณะ ย่อมำจำก ภูมิ แปลว่ำ ดิน ประกอบด้วย ครุ ลหุ ลหุ เรียงกัน ดังน้ ี ( ัั ัุ ัุ ) ยะ คณะ ย่อมำจำก ยชมำน แปลว่ำ พรำหมณ์บูชำยันต์ ประกอบดว้ ย ลหุ ครุ ครุ เรียงกนั ดงั น้ ี ( ัุ ัั ัั ) ชะ คณะ ย่อมำจำก ชลน แปลว่ำ ไฟ ประกอบด้วย ลหุ ครุ ลหุ เรียงกัน ดังน้ ี ( ัุ ัั ัุ ) ระ คณะ ย่อมำจำก รวิ แปลว่ำ พระอำทิตย์ ประกอบดว้ ย ครุ ลหุ ครุ เรียงกัน ดังน้ ี ( ัั ัุ ัั ) สะ คณะ ย่อมำจำก โสม แปลว่ำ พระจนั ทร์ ประกอบดว้ ย ลหุ ลหุ ครุ เรียงกัน ดังน้ ี ( ัุ ัุ ัั ) ตะ คณะ ย่อมำจำก โตย แปลว่ำ น้ำ ประกอบด้วย ครุ ครุ ลหุ เรียงกัน ดังน้ ี ( ัั ัั ัุ ) ๓) สมั ผัส สมั ผัสเป็ นส่วนที่กวีเพิ่มเติมข้ ึน เพ่ือปรบั ปรุงฉนั ทใ์ หเ้ ขำ้ กบั ลกั ษณะของรอ้ ยกรองไทย แบง้ ไดเ้ ป็ น ๓ แบบดว้ ยกนั คือ ๓.๑) สมั ผัสแบบกำพย์ คือ ไม่มีสมั ผัสระหว่ำงวรรคที่ ๓ กบั วรรคท่ี ๔ ซึ่งฉนั ส่วนใหญ่ จะสง่ สมั ผสั แบบน้ ี ๓.๒) สมั ผสั แบกลอนสงั ขลิก คือ ไม่มีสมั ผสั ระหว่ำงวรรคสุดทำ้ ยของบทแรกกบั วรรคที่ สองของบทต่อไป ฉนั ทท์ ่ีสง่ สมั ผัสแบบน้ ีไดแ้ กฉ่ นั ทบ์ ทละ ๓ วรรค ๓.๓) สมั ผัสแบบกลอนสุภำพ คือ มีกำรส่งสมั ผัสท้งั ระหว่ำงวรรคทุกวรรค และระหวำ่ ง บทดว้ ย ฉันท์ที่นักเรียนพบเห็นในปัจจุบันมีไม่มำกนัก ซึ่งครูจะหยิบยกมำกใหศ้ ึกษำอยู่ ๔ ชนิด คือ อินทรวเิ ชียรฉนั ท,์ วิชชุมมำลำฉนั ท,์ ภุชงคประยำตฉนั ท,์ วสนั ตดิลกฉนั ท์ การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๖

บทท่ ี ๕ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์ ๑. อินทรวิเชียรฉนั ท์ อิทรวิเชียรฉนั ท์ (อ่ำนว่ำ อิน – ทระ – วิ –เชียน – ฉนั ) แปลวำ่ ฉนั ทท์ ่ีมีลีลำอนั รุง่ เรืองงดงำม ประดุจสำยฟ้ำซึ่งเป็ นอำวุธของพระอินทร์ แผนผงั บำท ๑ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ สมั ผสั ระหวำ่ งบท บำท ๑ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ ภาพท่ี ๕.๑ ภำพแผนผงั อินทรวิเชียรฉนั ท์ ตวั อยา่ ง (๑)๏ วุง้ เว้ งิ ชะวำกผำ ฆนแผ่นศิลำสลอน Mr. sakthawut ชอ่ งชำนชโลทร ชลแผ่นกระเซ็นสำย ๏ ปรอยปรอยประเลเ่ ห- มอุทกพะพร่ำงพรำย ซำบซ่ำนสรำญกำย กระอุรอ้ นก็ผ่อนซำ ๏ ท่อธำรละหำนหว้ ย ก็ระรวยระรินวำ รีหลงั่ ถะถงั่ มำ บมขิ ำดผะผำดผงั ๏ ไมไ่ ลส่ ลำ้ งชม ขณะลมกระพือวงั - เวงเสียงก็เสียดดงั ดุจซอผสำนสำย (อิลรำชคำฉนั ท:์ ผนั สำลกั ษณ)์ (๒)๏ สำยณั หต์ ะวนั ยำม ขณะขำ้ มทิฆมั พร เขำ้ ภำคนภำตอน ทิศตกก็กำไร ๏ รอน ๆ และอ่อนแสง นภะแดงสิแปลงไป เป็ นครำมอร่ำมใส สุภะสดพิสุทธ์ิสี ๏ เร่ือ ๆ ณ เมอ่ื รตั - ตะจะผลดั ก็พลนั มี มืดมำมชิ ำ้ ที ศศิธรจะจรแทน ๏ ริว ๆ ระร้ ิวเรื่อย ระยะเฉ่ือยฉะฉิวแสน เยน็ กำยสบำยแดน มนะดว้ ยระรวยลม (ณ หำดทรำยชำยทะเลแหง่ หนึ่ง: ชิต บุรทตั ) กฎ ๑) คณะและพยำงค์ บทหนึ่งมี ๒ บำท บำทหน่ึงมี ๒ วรรค วรรคแรกมี ๕ คำ วรรคหลงั มี ๖ คำ รวมบำทหนึ่งมี ๑๑ คำ จึงเรียกวำ่ ฉนั ท์ ๑๑ ๒) ครุ – ลหุ ประกอบดว้ ยคณะฉันท์ ตะ ตะ ชะ ครุลอย ๒ กล่ำวคือ คำที่ ๓ ของวรรค แรก กบั คำท่ี ๑ ที่ ๒ และคำที่ ๔ ของวรรคหลงั เป็ นลหุ นอกน้ันเป็ นครุ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๗

บทท่ ี ๕ การอ่านและการเขยี น บทร้อยกรองประเภทฉันท์ ๓) สมั ผสั สง่ สมั ผสั แบบกำพย์ ตำมผงั ภมู ิและตวั อยำ่ ง ๔) ควำมนิยม อินทรวิเชียรฉันท์ นิยมใชแ้ ต่งขอ้ ควำมที่เป็ นบทชมหรือบทครำ่ ครวญ นอกจำกน้ ียงั แต่งเป็ นบทสวด หรือบทพำกยโ์ ขนดว้ ย หมำยเหตุ: สมั ผัสที่โยงเป็ นจุดประเป็ นสมั ผัสไมบ่ งั คบั แต่ถำ้ มีจะทำใหฉ้ นั ทบ์ ทน้ันไพเรำะย่ิงข้ ึน นักแต่งสมยั ใหมน่ ิยมใหม้ ีสมั ผสั ดงั กล่ำว ๒. วิชชุมมาลาฉนั ท์ วิชชุมมำลำฉันท์ (อ่ำนว่ำ วิด – ชุม – มำ – ลำ – ฉัน) แปลว่ำ ฉันท์ที่เปล่งสำเนียงยำวดุจ สำยฟ้ำแลบท่ีมีรศั มยี ำว แผนผงั บำท ๑ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ บำท ๒ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ ๑ บท บำท ๓ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ บำท ๔ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ สมั ผสั ระหวำ่ งบท บำท ๑ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ บำท ๒ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ ๑ บท บำท ๓ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ บำท ๔ ๐๐๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ Mr. sakthawut ภาพท่ี ๕.๒ ภำพแผนผงั วิชชุมมำลำฉนั ท์ ตวั อยา่ ง ๏ แรมทำงกลำงเถือ่ น หำ่ งเพอื่ นหำผู้ หนึ่งใดนึกดู เห็นใครไป่ มี หลำยวนั ถนั่ ลว่ ง เมืองหลวงธำนี นำมเวสำลี ดุ่มเดำเขำ้ ไป การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๘

บทท่ ี ๕ การอ่านและการเขียน บทร้อยกรองประเภทฉันท์ ๏ ผูกไมตรีจติ เชิงชิดชอบเช่ือง กบั หมชู่ ำวเมือง ฉนั อชั ฌำสยั เล่ำเรื่องเคืองขุ่น วำ้ วุ่นวำยใจ จำเป็ นมำใน ดำ้ วต่ำงแดนตน (สำมคั คีเภทคำฉนั ท์ : ชิต บุรทตั ) กฎ ๑) คณะและพยำงค์ บทหน่ึงมี ๔ บำท บำทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหนึ่งมี ๔ คำ บำทหน่ึง มี ๘ คำ จึงเรียกวำ่ ฉนั ท์ ๘ รวมบทหนึ่งมี ๘ วรรค ๓๒ คำ ๒) ครุ – ลหุ ประกอบดว้ ยคณะฉนั ท์ มะ มะ ครุลอย ๒ กลำ่ วคือ เป็ นคำครุท้งั หมดไม่มี คำลหุอยเู่ ลย ๓) สมั ผสั ส่งสมั ผสั แบบกลอนสุภำพ ตำมผงั ภมู แิ ละตวั อยำ่ ง ๓. ภุชงคประยาตฉนั ท์ ภุชงคประยำต หรือ ภุชงคปยำต “ภุชงค์” แปลว่ำงู หรือนำค “ประยำต” แปลว่ำอำกำรไปหรือ อำกำรเล้ ือยของงู ภุชงคประยำต จึงแปลวำ่ ฉนั ทท์ ี่มลี ีลำงดงำมประดุจอำกำรเล้ ือยของงู แผนผงั Mr. sakthawut บำท ๑ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ สมั ผสั ระหวำ่ งบท บำท ๑ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐๐ ภาพท่ี ๕.๓ ภำพแผนผงั ภุชงคประยำตฉนั ท์ ตวั อยา่ ง (๑)๏ มนัสไทยประณตไท้ นรินทรไ์ ทยมิทอ้ ถอน มผิ ูกรกั มภิ กั ด์ิบร มิพึ่งบำรมีบุญ ๏ ถลนั จว้ งทะลวงจ้ำ บุรุษนำอนงคห์ นุน บุรุษกอนงคร์ ุน ประจญร่วมประจญั บำน (ฉนั ทย์ อเกียรติชำวนครรำชสีมำ : พระยำอุปกิตศิลปสำร) (๒)๏ ชะโดดุกกระดี่โดดสลำดโลดยะหยอยหยอย กระเพ่ือมน้ำพะพรำ่ พรอย กระฉอกฉำนกระฉ่อนชล ๏ กระสรอ้ ยซ่ำสวำยซิว ระรี่ร้ ิวละวำวน ประมวลมจั ฉะแปมปน ประหลำดเหลือตะรำพนั (อิลรำชคำฉนั ท์ : ผนั สำลกั ษณ)์ การเขียน และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๓๙

บทท่ ี ๕ การอ่านและการเขยี น บทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์ กฎ ๑) คณะและพยำงค์ บทหน่ึงมี ๒ บำท บำทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคแรกมี ๖ คำ วรรคหลงั มี ๖ คำ รวมบำทหนึ่งมี ๑๒ คำ จึงเรียกว่ำฉนั ท์ ๑๒ ส่วนเสน้ ที่โยงเป็ นจุดประไวร้ ะหว่ำงคำที่ ๓ กบั คำท่ี ๕ ของแต่ละวรรคเรียกว่ำ สมั ผัสในเป็ นสมั ผัสท่ีไม่บงั คบั แต่ถำ้ มีครบตำมแผน จะเพ่ิมควำม ไพเรำะยิง่ ข้ นึ และถำ้ ใหค้ ำที่ ๑ กบั คำที่ ๔ เป็ นคำซ้ำกนั ไดท้ ุกวรรค จะทำใหไ้ พเรำะย่งิ ข้ นึ ดว้ ย ๒) ครุ – ลหุ ประกอบดว้ ยคณะฉนั ท์ ยะ ยะ ยะ ยะ กล่ำวคือ คำที่ ๑ ถึง ๔ เป็ น ลหุ นอกน้ันเป็ นครุ เหมอื นกนั ทุกวรรค ๓) สมั ผสั สง่ สมั ผสั แบบกำพย์ ตำมแผนผงั และตวั อยำ่ ง ๔) ควำมนิยม ภุชงคประยำตฉันท์ นิยมแต่งตอนท่ีเป็ นทำนองตลก หรือ บรรยำยควำมรวดเร็ว ๔. วสนั ตดลกฉนั ท์ วสนั ตดิลกฉันท์ (อ่ำนว่ำ วะ – สนั – ตะ – ดิ – หลก – ฉนั ) แปลว่ำ ฉันทท์ ี่มีลีลำงำมวิจิตร ประดุจรอยแตม้ ท่ีกลีบเมฆ ซ่ึงปรำกฏในตอนตน้ แห่งวสนั ตฤดู แผนผงั ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ บำท ๑ Mr. sakthawut ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ สมั ผสั ระหวำ่ งบท บำท ๑ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ ๑ บท บำท ๒ ๐๐๐ ๐๐๐ ๐๐ ๐ ๐๐๐ ๐ ๐ ภาพท่ี ๕.๔ ภำพแผนผงั วสนั ตดิลกฉนั ท์ ตวั อยา่ ง ๏ อำ้ เพศก็เพศนุชอนงค์ อรองคก์ ็บอบบำง ควรแต่ผดุงสิริสะอำง ศุภลกั ษณป์ ระโลมใจ ๏ ยำมเข็ญก็เข็นศริระอวย พลชว่ ยผจญภยั โอค้ วรจะเอ้ ือนพจนไข คุณเลิศมโหฬำร (ฉนั ทย์ อเกียรติชำวนครรำชสีมำ : พระยำอุปกิตศิลปสำร) กฎ ๑) คณะและพยำงค์ บทหนึ่งมี ๒ บำท บำทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคแรกมี ๘ คำ วรรคหลงั มี ๖ คำ รวมบำทหน่ึงมี ๑๔ คำ จึงเรียกวำ่ ฉนั ท์ ๑๔ ๒) ครุ – ลหุ ประกอบดว้ ยคณะฉนั ท์ ตะ ภะ ชะ ชะ ครุลอย ๒ กล่ำวคือ คำท่ี ๓ ที่ ๕ ท่ี ๖ และที่ ๗ ของวรรคแรก กบั คำท่ี ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ของวรรคหลงั เป็ นลหุ นอกน้ันเป็ นครุ ๓) สมั ผสั สง่ สมั ผสั แบบกำพย์ ตำมผงั ภูมิและตวั อยำ่ ง การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๔๐

Mr. sakthawutบทท่ ี ๕ การอ่านและการเขียน บทรอ้ ยกรองประเภทฉันท์ ๔) ควำมนิยม วสนั ตดิลกฉนั ท์ มกั นิยมใชแ้ ต่งเกี่ยวกบั กำรชมควำมงำมของส่ิงต่ำง ๆ เพรำะว่ำ วรรคแรกมีลหุ ๓ คำ สลบั กบั ครุ ๑ คำ แลว้ ต่อดว้ ยลหุอีก ๒ คำ ในวรรคหลงั จึงทำใหเ้ สียงอ่อน จนทำให้ เกิดอำรมณท์ ่ีเงียบ ๆ และสดช่ืน ภาพที่ ๕.๕ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทอินทรวชิ ียรฉนั ท์ ท่ีมำ :อินทรวิเชียรฉนั ท์ ๑๑, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จำก https://www.qrcode-monkey.com/ ภาพที่ ๕.๖ QR Code ตวั อยำ่ งกำรอ่ำนบทรอ้ ยกรองประเภทวชิ ชุมมำลำฉนั ท์ ท่ีมำ : วชิ ชุมมำลำฉนั ท์ ๘, ๒๕๕๘ พฒั นาระบบ QR Code จำก https://www.qrcode-monkey.com/ การเขยี น และการอ่าน บทรอ้ ยกรอง ๔๑