Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพูดเพื่อสัมฤทธิผล

การพูดเพื่อสัมฤทธิผล

Published by สวพร จันทรสกุล, 2021-11-16 02:34:29

Description: การพูดเพื่อสัมฤทธิผล จัดทำโดย ผศ.สวพร จันทรสกุล หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

Search

Read the Text Version

บรรณานุกรม ภาษาไทย ฉตั รวรุณ ตันนะรตั น์. (2519). หลักวาทการ. กรงุ เทพฯ : ก่ิงจันทรก์ ารพิมพ์. นันทา ขนุ ภกั ดี. (2529). การพดู . นครปฐม : ศิลปากร, มหาวทิ ยาลัย. นิพนธ์ ทิพยศ์ รีนิมติ . (2543). หลักการพดู . คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ . มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา. (2558). บทท่ี 9 การอภิปราย. [ออนไลน์]. สืบค้นเมอ่ื 13 เมษายน 2562, จาก: https://bit.ly/3dRzcMB. ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.2554. กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑติ ยสถาน. ลลติ า โชตริ ังสยี ากุล. (2544). วาทการ. สงขลา: สถาบันราชภฏั สงขลา วรี ะเกียรติ รุจิรกุล. (2556). ศิลปะการพูด. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พม์ หาวิทยาลยั กรุงเทพ. สวนติ ยมาภยั . (2530). การพดู . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภา. สุจริต เพยี รชอบ. (2529). การแสดงออกต่อหน้าประชมุ ชน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภา. 138

บทที่ 6 การพูดโน้มน้าวใจ การพูดโน้มน้าวใจ เป็นการพูดจูงใจเพื่อให้ผู้ฟังคล้อยตามหรือเช่ือและศรัทธาในส่ิงท่ีผู้พูด มุ่งหวังให้เกิดส่ิงใดส่ิงหนึ่ง ในปัจจุบันการพูดโน้มน้าวใจพบได้บ่อยในส่ือออนไลน์ประเภทต่าง ๆ เช่น การสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง การเกลานิสัยของบุคคล โดยมีบุคคลท่ีเรียกตนเองว่า “โค้ช” เป็นผู้บรรยายและหวังให้ผู้ฟังสามารถเปลี่ยนแปลงตามจุดมุ่งหมายของเร่ือง ๆ น้ัน เป็นต้น เพราะฉะนั้นการพูดโน้มน้าวใจจึงเป็นกระบวนการหน่ึงของการสื่อสารท่ีผู้พูดพยายามให้เกิดการ เปล่ียนแปลง ท้ังด้านทัศนคติและดา้ นพฤติกรรมของผู้ฟงั ซง่ึ Hovland และ Janis ได้กล่าวถึงการพูด ให้สัมฤทธิผลในการโน้มน้าวใจไว้ว่า “ความสัมฤทธิผลในการโน้มน้าวใจน้ัน สามารถพิจารณาได้จาก ผู้รับสาร ถ้าผู้รับสารมีการเปล่ียนแปลงทัศนคติ ซ่ึงเป็นตัวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความคิด การ เปลี่ยนแปลงการรับรู้ การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึก และการเปลี่ยนการกระทำ” (Hovland and Janis, 1959: 28) ในบทน้ีได้นำเสนอเร่ืองการพูดโน้มน้าวใจ โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย ความหมายของการพูดโน้มน้าวใจ จุดมุ่งหมายของการพดู โน้มน้าวใจ องคป์ ระกอบข้นั พื้นฐานของการ พูดโน้มน้าวใจ การสร้างสารเพื่อการโน้มน้าวใจ ลักษณะการพูดโน้มน้าวใจ และเทคนิคการโน้มน้าว ใจ ทง้ั นเี้ พ่ือใหผ้ ้พู ดู ได้ศึกษาทฤษฎีและสามารถนำไปประยุกต์ใชฝ้ ึกทักษะการพูดโนม้ นา้ วใจต่อไป ความหมายของการพูดโน้มน้าวใจ การพูดโนม้ นา้ วใจเป็นพฤติกรรมการสื่อสารอย่างหนึ่ง ในการใช้ความพยายามเปล่ียนความ เชอื่ ทัศนคติ คา่ นยิ ม และการกระทำของบคุ คลอื่น โดยใชก้ ลวิธีท่ีเหมาะสมให้มีผลกระทบต่อใจบุคคล ท้ังโดยใชว้ ัจนภาษาและอวัจนภาษา จนเกดิ การยอมรบั และยอมเปล่ยี นตามทผี่ ู้โนม้ นา้ วใจประสงค์ เพอร์ลอฟฟ์ (Perloff. 2010: 3-4) กล่าวว่า การโน้มน้าวใจเป็นกิจกรรมหรือกระบวนการ ซึ่งผู้ส่งสารพยายามชักจูงใจเพื่อให้เปล่ียนแปลงความเชื่อ ทัศนคติหรือพฤติกรรมของผู้รับสาร ผา่ นการถา่ ยทอดจากแหล่งสารไปยังผู้รับสารในบรบิ ทต่าง ๆ ซึ่งผ้ถู ูกโนม้ นา้ วใจมีเสรีภาพที่จะเลอื กว่า จะเช่ือหรือไม่เช่ือก็ได้ ลาร์สัน (Larson. 1995: 8) กล่าวว่า คำว่า การโน้มน้าวใจ ตามแนวความคิดของอริสโตเติล โดยให้ความหมายว่า การโน้มน้าวใจอาศัยท้ังศาสตร์และศิลป์ท่ีมีความน่าเชื่อถือของแหล่งผลิตสาร (Ethos) รวมถึงการจูงใจทางอารมณ์ (Pathos) หรือการจูงใจด้วย เหตุผล (Logos) ประกอบเข้า ด้วยกนั อดุลย์ จาตุรงคกุล (อ้างถึงใน สุภาพ กร่ิงรัมย์, 2555: 26) กล่าวว่า การโน้มน้าวใจ เป็นเครื่องมือท่ีสำคญั ย่ิงที่มนุษย์จะใช้ในการจงู ใจบุคคล ซึง่ เกี่ยวขอ้ งกับสถานการณ์การส่ือสารเพื่อจูง ใจ (Persuasive Communication Situation) อันเป็นสถานการณ์ที่บุคคลท่ีเป็นแหล่งข่าวสาร หวังที่จะให้ผู้รบั สารก่อปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าวสาร มจี ุดมุ่งหมายเพื่อต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมหรอื กอ่ ให้เกดิ อทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมของผรู้ ับสารให้ดำเนินไปในทิศทางใดทศิ ทางหน่ึง

ภิญโญ ช่างสาน (2539 : 114) กล่าวว่า การพูดจูงใจ เป็นการพูดในเชิงชักชวน เกล้ียกล่อม เรง่ เรา้ ปลุกใจ หรือโน้มน้าวใจผู้ฟงั ให้เช่อื ถอื ศรัทธา มีความคดิ เห็นคล้อยตาม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือปฏิบัตติ ามท่ีผู้พดู ต้องการ ซ่ึงมีความสอดคล้องกับหลกั คิดของ ลลิตา โชตริ ังสียากุล (2542: 179) ท่ีได้ให้ความหมายของการพูดจูงใจไว้ว่า การพูดจูงใจ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การพูดโน้มน้าวใจ หมายถึง การพูดเชิงชักชวน เกล้ียกล่อม ปลุกใจหรือ โน้มน้าวใจเพ่ือให้ผู้ฟังเช่ือถือศรัทธา มีความ คิดเห็นคลอ้ ยตาม และปฏบิ ตั ิตามวัตถุประสงค์ของผู้พดู ดังนั้น การพูดโน้มน้าวใจ เป็นกระบวนการสื่อสารในลักษณะเพ่ือจูงใจเพื่อให้ผู้รับสารเชื่อ ศรัทธา คล้อยตาม เปลี่ยนทัศนคติความเชื่อที่ผู้รับสารมีอยู่ สู่การเปลี่ยนแปลงตามจุดมุ่งหมายของ ผู้ส่งสาร การพูดโน้มน้าวใจ ในบางเหตกุ ารณอ์ าจเป็นดาบสองคม กล่าวคือ หากผู้ส่งสารมีเจตนาท่ีไม่ดี และต้องการให้ผู้รับสารเช่ือในส่ิงที่ผิด ก็อาจส่งผลกระทบต่อตัวผู้รับสารและคนรอบข้างได้ แต่หาก ผ้สู ่งสารมีเจตนาท่ีดี ก็จะทำใหผ้ ู้รับสารเกิดการเปล่ียนแปลงทดี่ ีไดเ้ ชน่ กัน เพราะฉะนน้ั ผรู้ ับสารจะตอ้ ง พิจารณาสารท่ีผู้ส่งสารไดถ้ า่ ยทอดออกมาดว้ ย จดุ มุ่งหมายของการพดู โนม้ น้าวใจ จุดมุ่งหมายของการพูดโน้มน้าวใจ โดยหลักการเพ่ือต้องการให้ผู้ฟังเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง ด้านทัศนคติทางความคิดและด้านพฤติกรรม ดังน้ันจุดมุ่งหมายของการพูดโน้มน้าวใจ โดยทั่วไป สามารถแบง่ ได้ 4 ประการ คือ (วนิ ยั จนั ทร์พรม้ิ , 2550: 109-110) 1. พูดเพ่ือโน้มน้าวใจหรือชักนำให้ผู้ฟังเกิดความเช่ือถือศรัทธาในเร่ืองที่พูด เช่น การพูด โน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง การโฆษณาให้เช่ือถือ ในคุณภาพ ของสนิ ค้า การพูดชกั นำเพ่ือใหผ้ ู้ฟังทำประกันชวี ติ เปน็ ต้น 2. พูดเพ่ือสร้างความประทับใจหรือกระตุ้น เร้าใจผู้ฟังให้มองให้เห็นความสำคัญของสิ่งใด สิ่งหน่ึง เช่น การพูดให้ผู้ฟังประทับใจในการทำงานอย่างเสียสละของพระวัดพระบาทน้ำพุท่ีเสียสละ เพ่อื ผปู้ ่วยโรคเอดส์ หรอื การพดู เพอ่ื กระตุน้ ให้ระลึกถึงเหตุการณ์สำคญั ตา่ ง ๆ เป็นต้น 3. พูดเพื่อปลกุ ใจ เช่น ให้ผู้ฟังเกิดความสำนึกและใช้สนิ ค้าไทย การพูดเชิญชวนให้ประชาชน บริจาคโลหิต การพูดชักชวนให้มารดาเลี้ยงดูบุตรด้วยน้ำนมตนเอง การพูดปลกุ ใจให้คนชว่ ยกัน รกั ษา วัฒนธรรมไทย การพดู จูงใจให้คนชว่ ยกันรักษาสิ่งแวดลอ้ ม เปน็ ตน้ 4. พูดใหผ้ ู้ฟังเลกิ เชื่อหรือเลิกประพฤติปฏิบัติในบางส่ิงบางอย่างท่ีผฟู้ ังเคยเช่ือหรือเคยปฏิบัติ อยู่ก่อนแล้ว เช่น การพูดเชิญชวนให้คนเลิกซ้ือสินค้าจากต่างประเทศ การพูดชักจูงให้คนเลิกสูบบุหรี่ การพูดโนม้ น้าวใหป้ ระชาชนเลิกเล่นการพนัน เป็นต้น จุดมุ่งหมายของการพูด ไม่เพียงแต่เพื่อชักนำเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความศรัทธา สร้างความ ประทับใจ เพ่ือปลุกใจ หรือเพื่อต้องการให้ผู้ฟังเช่ือและเลิกประพฤติปฏิบัติในบางสิ่ง แต่การพูด โน้มน้าวใจควรเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์และสรา้ งประโยชน์ให้กับสังคม มีความปรารถนาดี ไม่หลอกลวง ผู้รับสาร และเน้ือหาหรือสิ่งท่ีผู้พูดต้องการสื่อสารจะต้องเป็นความจริง เชื่อถือได้ สามารถปฏิบัติได้ จริงและเปน็ ผลดตี อ่ สงั คม 140

องคป์ ระกอบขนั้ พืน้ ฐานของการพดู โน้มนา้ วใจ การพูดโน้มน้าวใจจะประสบความสำเร็จได้ ควรคำนึงถึงองค์ประกอบข้ันพื้นฐานในการโน้ม นา้ วใจ ดงั น้ี (อรวรรณ ปลิ ันธนโ์ อวาท, 2554: 10-11) 1. มองจากภายนอกของผรู้ บั สาร มีอยู่ 4 ประการ คือ 1.1 ความแตกต่างภายในผ้สู ่งสาร แตล่ ะคนมปี จั จยั ต่าง ๆ กนั ซง่ึ ทำใหม้ คี วามนา่ โน้มน้าวใจไม่เหมือนกัน เช่น ความน่าเช่ือถือ อำนาจทางสังคม บทบาทในสังคม สัมพันธภาพกับ ผู้รับสาร และลักษณะทางประชากรอ่ืน ๆ เชน่ อายุ เพศ อาชีพ เปน็ ต้น 1.2 ความแตกต่างภายในสาร สารแต่ละชน้ิ จะมีความไดโ้ นม้ นา้ วใจแตกตา่ งกนั การพดู หรือการเขียนมีความโน้มน้าวไม่เหมือนกัน ความแตกต่างในหัวข้อหรือเนื้อหาของสาร ลักษณะของ การโนม้ น้าวใจท่ใี ชก้ ารจัดระเบียบเรยี บเรยี งสาร ขอ้ โตแ้ ย้ง ภาษา ตลอดจนลักษณะทว่ งทำนองลีลา 1.3 ความแตกตา่ งของส่ือ ความน่าโนม้ นา้ วใจของสารจะแตกตา่ งกันเมื่อเปน็ การสอื่ สาร ระหว่างบุคคล เปรยี บเทยี บกบั การสือ่ สารโดยผ่านส่ือ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เปน็ ต้น 1.4 ความแตกต่างภายในสภาพการณ์ ทมี่ บี คุ คลหนง่ึ บุคคลใดหรอื ขาดบุคคลใดบคุ คล หน่ึง ความคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยของผู้รับสารต่อสภาพการหนึ่ง ๆ เช่น การโน้มน้าวใจให้บริจาคเงิน โดยมสี ่ือมวลชนคอยถ่ายภาพรายลอ้ มอยู่อาจจะเปน็ ตัวเราบวกในการโนม้ นา้ วใจกเ็ ป็นได้ 2. สำหรับตัวผู้รับสาร การท่ีผู้รับสารคนหน่ึงจะมีความละเอียดอ่อนต่อการถูกโน้มน้าวใจ เพยี งใดอาจพิจารณาไดจ้ ากลกั ษณะดังนี้ 2.1 ลักษณะของประชากร ได้แก่ เพศ อายุ เชื้อชาติ การศึกษา อาชีพ 2.2 ทรรศนะและทัศนคติ 2.3 ความร้ทู ี่ผูร้ ับสารมเี กี่ยวกบั สารน้ัน ๆ 2.4 ลักษณะดา้ นอารมณ์ 2.5 ความสำคัญทผ่ี ู้รบั สารให้แกห่ ัวขอ้ หนงึ่ ๆ 2.6 วธิ ีการทผ่ี ู้รบั สารรู้สภาพการณ์ในขณะนน้ั การวิเคราะห์องค์ประกอบพ้ืนฐานของการโน้มน้าวใจในแบบจำลองของ โรเจอร์ส (Rogers, 2007: 12-16) เริ่มจากผู้ส่งสารหรือแหล่งสารสร้างและส่งสารท่ีจะสามารถกระตุ้นให้ผู้รับสาร ตอบสนองตามเป้าหมายที่ผู้ส่งสารต้องการ ตามแบบจำลองกระบวนการสื่อสารเพ่ือการโน้มน้าวใจ ดงั ภาพท่ี 6.1 141

ภาพท่ี 6.1 แบบจำลองกระบวนการสอ่ื สารเพ่ือการโนม้ น้าวใจ ทมี่ า: Rogers, 2007: 14 ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี (2556: 13-15) ได้อธิบายองค์ประกอบข้ันพื้นฐานการโน้มน้าวใจตาม แบบจำลองกระบวนการส่ือสารเพื่อการโน้มน้าวใจ โดยต้องมีองค์ประกอบพ้ืนฐานหลัก 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ผู้สง่ สารหรอื แหลง่ สาร (sender or source) การโนม้ นา้ วใจเร่ิมต้นเม่อื ผู้ส่งสาร 1.1 กำหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ นการโนม้ นา้ วใจ 1.2 ผ้สู ง่ สารวเิ คราะห์ผรู้ ับสารและหวั ข้อโน้มน้าว กลา่ วคอื ผู้ส่งสารต้องทำความเขา้ ใจ เกี่ยวกับผรู้ บั สาร ทัง้ ความเชอ่ื ทัศนคติ คา่ นยิ ม ตลอดจนพฤตกิ รรมต่าง ๆ 1.3 ผสู้ ง่ สารตอ้ งเลอื กวัตถดุ บิ และกลยุทธ์ พิจารณาวา่ จะใช้เหตุผล ขอ้ เท็จจรงิ จุดจงู ใจ ใดบา้ ง ตลอดจนการใชข้ ้อมลู สร้างความนา่ เชื่อถอื 1.4 ต้องคำนึงถงึ ประเดน็ ด้านจริยธรรม เช่น กลยุทธท์ ใี่ ช้จำกดั การเลอื กของผูร้ ับสาร หรอื ไม่ มคี วามยตุ ธิ รรมตอ่ ผู้รับสารหรือไม่ 1.5 ผสู้ ง่ สารต้องวางแผน จดั เตรยี มสารและเตรียมตัว เพราะสารบางอยา่ งตอ้ งใชเ้ วลาใน การเตรียมตัว เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ ต้องค้นหาข้อมูล การเลือกประเด็นในการนำเสนออย่าง รอบคอบ การเตรยี มส่ือ และการฝกึ ซ้อม เปน็ ตน้ 1.6 การนำเสนอทางส่อื โดยผสู้ ง่ สารต้องนำเสนอสารโดยใช้ช่องทางหนึง่ หรอื อาจใช้ หลายช่องทางผสมผสานกัน เช่น โทรศพั ท์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต การสนทนาแบบตัวต่อตัว เป็นต้น 142

2. ผ้รู ับสาร (receiver) การเลอื กรับสารและการประเมินความนา่ เช่ือถือ เป็นกระบวนการทต่ี อ่ เนือ่ งและ เปลยี่ นแปลงได้ ในตอนแรกผู้รับสารอาจเหน็ ว่าผู้ส่งสารมีความน่าเชื่อถือ แต่หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าที่ ตึงเครียดและวิตกกังวลของผู้ส่งสารในระหว่างการพูด ผู้รับสารอาจลดความน่าเชื่อถือต่อผู้ส่งสารลง นอกเหนือจากผสู้ ่งสารแล้ว ผรู้ ับสารยังมโี อกาสไดร้ ับอิทธพิ ลจากผรู้ ับสารและผสู้ ่งสารคนอ่นื ดว้ ย เช่น หากมีนักขายประกันเสนอข้อเสนอการประกันสุขภาพ เพ่ือนอาจให้ความคิดเห็นในทางที่สนับสนุน หรือคัดค้านกับการซ้ือประกันกับบริษัทประกันนี้ ในขณะเดียวกัน มีนักขายประกันเสนอทางเลือกที่ ดีกว่า อาจทำให้ผู้รับสารเกิดความลังเลในการซ้ือประกันบริษัทแรกก็เป็นได้ ซ่ึงในการเปิดรับสาร ผรู้ ับสารต้องกล่ันกรองและทำความเข้าใจของสารที่โน้มน้าว โดยเปิดรับอย่างต้ังใจ พยายามทำความ เข้าใจและจดจำเฉพาะเน้ือหาท่ีตนสนใจ ทัศนคติและความเช่ือเดิมของผ้รู ับสารมีอิทธิพลต่อการสนใจ ยอมรับหรือปฏิเสธการโน้มน้าว อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของผู้รับสารสามารถเปลี่ยนแปลงได้ใน เวลาต่อมา ผู้รับสารอาจปฏิเสธในตอนแรกแต่ในเวลาต่อมาอาจยอมรับก็ได้ หรือผู้รับสารอาจมีการ เปลี่ยนแปลงทศั นคตหิ ลงั จากท่ีไดร้ บั สาร แต่ในเวลาต่อมาการเปลย่ี นแปลงน้นั อาจเลอื นหายไป 3. สาร (message) องคป์ ระกอบของสารทมี่ ีผลกระทบตอ่ การโน้มน้าวใจ ได้แก่ เนอ้ื หา รูปแบบ หน้าที่ และ โครงสร้าง เน้ือหาของสาร หมายถึง ภาษาท่ีใช้ในการสร้างความหมาย การเลือกใช้คำท่ีมีอิทธิพลต่อ การโน้มน้าวใจ รูปแบบของสาร หมายถึง สอื่ ที่ใช้ในการถ่ายทอด เช่น ปฏิสัมพนั ธ์แบบเหน็ หนา้ เห็นตา การโทรศัพท์ การพูดในท่ีสาธารณะ สื่อบางประเภทถ่ายทอดอวัจนภาษา ได้แก่ สีหน้า ท่าทาง และ การเคล่ือนไหวทางร่างกาย ซ่ึงมีผลต่อการโน้มน้าวใจท้ังสิ้น สำหรับหน้าที่หลักของสาร คือ การเปล่ียนแปลงทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม และพฤติกรรม รวมถึงหน้าท่ีอ่ืน ๆ เช่น การจัดระเบียบ ทางความคิด หลักฐาน การจดั ลำดบั สาร รูปแบบของขอ้ โต้แยง้ ท่ีนำมาใชใ้ นการสรา้ งสาร เป็นต้น 4. ปฏกิ ิรยิ าตอบกลับ หลักจากที่ผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร ผสู้ ง่ สารตอ้ งตดิ ตามและสังเกตปฏกิ ริ ยิ าตอบกลับจาก ผู้รบั สารเพื่อดูว่าสารที่ส่งไปน้ันมีประสิทธิผลในการโน้มน้าวใจหรือไม่ ถ้าเป็นการโน้มน้าวใจแบบเห็น หน้าเหน็ ตา ผสู้ ง่ สารสามารถไดร้ ับปฏิกริ ิยาตอบกลับโดยตรงของผูร้ บั สารทันทจี ากสีหนา้ น้ำสียง และ ท่าทางของผู้รับสาร หากในสถานการณ์ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารอยู่ต่างสถานท่ีและเวลา ปฏิกิริยาของ ผู้รับสารอาจล่าช้า เช่น การเขียนจดหมายถึงระหว่างกัน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการโน้มน้าวใจมีลักษณะ เปน็ วงจร และถูกประกอบร่วมกนั ระหว่างผสู้ ่งสารและผู้รบั สาร นน่ั คือ ผู้สง่ สารและผรู้ บั สารต่างส่งผล กระทบในผลลพั ธข์ องการโนม้ นา้ วใจ การสรา้ งสารเพ่ือการโน้มนา้ วใจ สารเป็นอีกปัจจัยที่มีการสำคัญต่อการพูดโน้มน้าวใจ ถึงแม้ผู้พูดจะมีบุคลิกภาพดี มีความ น่าเช่ือถือ น้ำเสียงไพเราะเพียงใด แต่ถ้าสารที่นำเสนอมีการจัดเรียงไม่สอดคล้องกับหัวข้อที่ต้องการ โน้มน้าวใจหรือไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ฟัง ก็เป็นเร่ืองยากท่ีจะทำให้ผู้ฟังตล้อยตามได้ 143

ผู้พูดจึงควรเรียนรู้วิธีการสร้างสารในการโน้มน้าว ซึ่งมีหลายส่ิงท่ีต้องคำนึงถึง เช่น การเรียบเรียง ขอ้ ความ การจดั ลำดับรอ้ งขอ การใช้จุดจูงใจ ตลอดจนการสรา้ งอิทธิพลเพ่อื ให้เกิดการจงู ใจคลอ้ ยตาม 1. การจัดเรียบเรียงขอ้ ความ การจัดเรียบเรียงข้อความให้ได้ผลในการพูดโน้มน้าวใจ มักใช้เป็นแบบแผนที่ผู้ฟังคุ้นเคย แต่ไม่ได้หมายความว่าแบบแผนท่ีแปลกใหม่จะโน้มน้าวใจไม่ได้ผล แต่มีแบบแผนท่ีเรียบง่ายท่ีผู้พูด สามารถเรียนรูไ้ ด้ ดงั น้ี (Bettinghaus and Cody, 1994: 226) 1. การเรียบเรียงขอ้ ความโดยตำแหนง่ พ้ืนที่ (space pattern) เป็นการเรยี บเรยี งข้อความ ตามพ้ืนที่หรือเขตภูมิศาสตร์ หรือพ้ืนท่ีของส่ิงนั้น ซึ่งจะทำให้สารน้ันน่าสนใจ และง่ายต่อการติดตาม ไม่สับสน เช่น “สวนขวัญเมือง (พรบุ าโกย) ตัง้ อยู่ในเขตเทศบาล 1 ในเขตเทศบางเมืองยะลา ห่างจาก ศาลหลักเมืองยะลาประมาณ 300 เมตร เป็นสวนสาธารณะของเทศบาลเมืองยะลา พ้ืนท่ีรวมท้ังสิ้น ประมาณ 207 ไร่ ปรับปรุงข้ึนจากพรุบาโกยโดยจดั ให้มสี วนกีฬา สนามแข่งขันนกเขาชวาเสียง ซ่ึงเป็น สนามมาตรฐานท่ีใหญ่ที่สุดในภาคใต้” จากข้อความดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งช่วยให้ ผู้ฟงั เกดิ จติ นาการและคิดตามในขณะท่ีผู้พดู กำลังส่อื สารออกไปได้ 2. การเรียบเรยี งขอ้ ความตามลำดบั เวลา (time order) เป็นการเรยี บเรยี งตามลำดับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานท่ีจะนำไปสู่ปัญหาและการเสนอข้อยุติ เช่น พัฒนาการของ โทรศพั ทม์ ือถอื อาจจัดเรยี งลำดบั ได้ดงั นี้ 1) ยุค 1G (1st Generation) ยุคแรกในระบบอะนาล็อก (analog) 2) ยุค 2G (2nd Generation) การพฒั นาการสง่ คล่นื ทางคลน่ื วทิ ยุแบบ digital 3) ยุค 2.5G (2.5 Generation) การนำเทคโนโลยี GPRS มาใช้ 4) ยุค 2.75G การนำเทคโนโลยีเพม่ิ ความเรว็ ในการรบั ส่งขอ้ มลู EDGE มาใช้ 5) ยคุ 3G (third generation) การนำเทคโนโลยรี ะบบไร้สาย (wireless) มาใช้ 6) ยุค 4G ประสทิ ธิภาพในการใช้อินเตอรเ์ น็ตความเร็วสงู 7) ยคุ 5G ประสิทธภิ าพในการใช้อินเตอร์เนต็ ความเร็วสูงรองรบั ทกุ ระบบ การจัดเรียบเรยี งข้อความตามลำดบั เวลา จะช่วยให้เหน็ ถงึ ประวตั คิ วามเป็นมาของเรื่องนั้น ซึ่งเปน็ ประโยชนใ์ นการเรยี บเรยี งข้อความมาก 3. การเรยี บเรยี งข้อความโดยชี้ถึงปัญหาและวธิ ีแกไ้ ข (problem-solution structure) ผู้ส่งสารจะเร่ิมด้วยการนำเสนอรายละเอียดเพ่ือแสดงให้เห็นถึงลักษณะของปัญหาก่อน จากนั้นจึง เสนอข้นั ตอนทคี่ วรปฏบิ ตั เิ พือ่ นำไปสู่การแกป้ ญั หา เช่น 1) บ่อยครั้งที่พบการพาดหวั ขา่ วสัตวท์ ะเลต้องตายเพราะเศษขยะ 2) ปัญหาดงั กล่าวเกิดจากพฤติกรรมการบรโิ ภคและการใช้ถุงพลาสติกของมนษุ ย์ 3) เม่ือมีการบรโิ ภคมากข้นึ จำนวนถงุ พลาสติกกม็ ากขึ้นตามเชน่ กนั และ พฤติกรรมของมนุษย์ท่ีไมร่ บั ผดิ ชอบต่อสง่ิ แวดล้อม ท้ิงขยะตามชายหาด 4) เราสามารถแก้ปัญหาได้ดว้ ยการใช้ถงุ พลาสติกให้นอ้ ยลงและหนั มาใช้ถุงผา้ แทน 144

การเรียบเรยี งขอ้ ความโดยช้ีถึงปัญหาและวธิ ีแก้ไข เปน็ การเรยี บเรยี งที่ใช้กันมาก เพราะ สารที่โน้มนา้ วใจมจี ุดมุง่ หมายเพือ่ เปลีย่ นแปลงทัศนคติและพฤติกรรมเพื่อแกไ้ ขปญั หา 4. การเรียบเรียงขอ้ ความนิรนัย (deductive order) ผู้ส่งสารจะกลา่ วถึงข้อความหรอื หลักการท่ีผู้รับสารยอมรับ และเป็นวิธีการในการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา ซึ่งผู้ส่งสารจะสรุป สถานการณ์เฉพาะจากสถานการณ์ทวั่ ไป ผู้ส่งสารต้องโนม้ นา้ วใจในทุกข้ันตอน โดยต้องทำให้ผู้รับสาร ยอมรับข้อความหรือหลักการทั่วไปก่อน เพ่ือเป็นพื้นฐานสู่การยอมรับในข้อสรุปหรือข้อเสนอ เฉพาะเจาะจง เม่ือผู้รับสารเห็นด้วยกับข้อความท่ัวไปแล้ว จะทำให้การโน้มน้าวใจให้ผู้รับสารยอมรับ ข้อเสนอที่เฉพาะเจาะจงของผู้ส่งสารง่ายขึ้น เช่น วิตามินซีมีคุณสมบัติช่วยเพ่ิมภูมิต้านทานและ ป้องกันโรคหวัด และท่ีสำคัญ คือ สรรพคุณเพ่ิมความกระจ่างใสให้ใบหน้าและผิวพรรณ ซึ่งน้ำด่ืม สมุนไพรน้ี มีส่วนผสมของวิตามินซี ดังนั้น น้ำดื่มสมุนไพรจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและเพิ่มความ กระจา่ งใสใหใ้ บหน้าและผิวพรรณ 5. การเรยี บเรยี งขอ้ ความแบบอุปนยั (inductive order) ผู้ส่งสารนำเสนอตวั อยา่ งที่ เฉพาะเจาะจงหลาย ๆ ตัวอย่างจนผ้รู บั สารเข้าใจและเห็นเคา้ โครงของข้อสรปุ เช่น สชุ าตมิ ีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ดี เขาจงึ ได้งาน ปวณี าสามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้หลายโปรแกรม เธอจงึ ไดร้ บั โปรเจคใหญ่ เมธสี ามารถเขียนโปรแกรมคอมพวิ เตอรไ์ ด้ เขาจงึ ไดเ้ งนิ เดอื นสงู จะเห็นได้ว่า คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันตลอดจนการเข้าสู่การ ทำงานมากขึ้น เพราะฉะนั้นในการพัฒนานักศึกษาจึงควรเน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์เพื่อ ความกา้ วหนา้ ของนกั ศึกษาและเป็นประโยชนต์ อ่ สงั คมในอนาคต ผ้สู ่งสารอาจนำเสนอตัวอย่างเฉพาะเจาะจง แล้วท้ิงท้ายให้ผู้รับสารสร้างข้อสรุปจากตัวอย่าง ต่าง ๆ เอง เช่น ผู้ส่งสารอาจกล่าวถึงสถานการณ์ทั่วโลกท่ีเปิดจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ บอกข้อสรุปอย่างชัดเจน แต่ทิ้งท้ายให้ผู้รับสารได้คิดต่อถึงผลกระทบระยะยาวหากโลกใบน้ีไม่ได้รับ ปกป้อง เป็นตน้ การเรียบเรียงข้อความตามหลักจิตวิทยาของอลัน มอนโร (Alan Monroe) ในปี ค.ศ.1930 ได้เสนอแนะว่าการจัดองค์ประกอบของสารควรต้ังอยบู่ นพื้นฐานของ “ลำดับขน้ั ตอนการโน้มน้าวใจ” หรือ “ลำดับขั้นแห่งการจูงใจ” กล่าวคือ คนส่วนใหญ่ต้องการความสอดคล้องหรือความสมดุลทาง ระบบความคิด แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือมีความต้องการสิ่งใด ซึ่งทำให้ไม่เกิดความสอดคล้อง กับความคิดที่จะเป็นแรงขับให้บุคคลต้องหาวิธีแก้ไขและสนองความต้องการนั้น โดยอาจปรับเปล่ียน ความคิด ค่านิยม หรือพฤติกรรมเพื่อขจัดความไม่สอดคล้องที่เกิดข้ึน ลำดับขั้นตอนการโน้มน้าว ของมอนโร ประกอบด้วย 5 ขนั้ ได้แก่ 145

ภาพที่ 6.2 บนั ได 5 ขน้ั ในการโน้มนา้ วใจของ อลนั มอนโร (Alan Monroe) 1. ข้นั ความสนใจ หรือขน้ั ความตง้ั ใจ ผสู้ ่งสารจัดเรยี บเรยี งข้อความหรือสารเพอ่ื ให้ผรู้ บั สาร เกดิ ความสนใจ สร้างความสนใจเริม่ ดึงความสนใจของผู้ฟังทันทที ี่เปิดฉาก โดยใชว้ ิธีการกระต้นุ ให้ผู้รับ สารสนใจในส่ิงที่พูดตลอดจนการสรา้ งความน่าเช่อื ถือใหแ้ ก่ผู้ส่งสาร เช่น การต้ังคำถามให้ผู้รับสารคิด การใช้ข้อความหรือตัวเลขท่ีทำให้ผู้รับสารตกใจ หรือการอ้างคำพูดของบุคคลที่มีช่ือเสียงท่ีเกี่ยวข้อง กบั หัวข้อ เป็นตน้ 2. ขนั้ ความตอ้ งการ เมอื่ เรียกรอ้ งความสนใจจากผ้รู บั สารไดแ้ ลว้ ข้ันนี้เปน็ การกระต้นุ ให้ ผรู้ ับสารเกิดความรู้สกึ ว่าสิง่ ท่ผี สู้ ่งสารโนม้ นา้ วเปน็ สิ่งทีเ่ ขาต้องการหรืออย่ากระทำ เปน็ การสร้างความ ต้องการทำให้ผู้รับสารเกิดความต้องการอยากฟังอีกต่อไปด้วยเสนอหรืออภิปรายปัญหาในรูปท่ีผู้ รับ สารต้องการ 3. ขนั้ พอใจ หรือสนองความต้องการ เป็นข้นั ทีแ่ สดงใหเ้ ห็นว่าสิ่งที่ถกู โน้มนา้ วนนั้ สามารถเติมเต็มส่ิงท่ีต้องการได้ เป็นการตอบสนองความต้องการและความพอใจของผู้ฟังโดยช้ีแนะ แนวทางหรือวิธีการแกป้ ญั หา 4. ข้นั เหน็ ภาพ หรอื พรรณนาให้เหน็ ความชดั เจน ข้นั น้ีเป็นข้นั ทใี่ ห้รายละเอียดเพอ่ื ให้ผู้รบั สารเห็นภาพชัดเจน เป็นการบรรยายภาพให้ผู้รับสารเกิดความกระจ่างว่าสิ่งนั้นหรือกระบวนกานั้น ทำให้อะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเสนอความคิดเห็นให้ผู้รับสารมองเห็นถึงผลท่ีจะเกิดขึ้นเช่นหาก เช่อื ถอื ปฏบิ ัตติ ามกจ็ ะเกิดประโยชนแ์ ละผลดี 5. ขั้นการกระทำ หรอื การนำไปสู่การกระทำ เป็นขั้นท่ีผ้สู ง่ สารเรียกรอ้ งใหผ้ ูร้ ับสารกระทำ ตามที่เสนอหรือยอมรับในส่ิงที่ผู้ส่งสารร้องขอจากผู้รับสาร เป็นการกล่าวปิดหรือสรุปเน้ือหาท้ังหมด ทำใหผ้ ู้รบั สารเชื่อและปฏบิ ตั ติ ามที่ผูส้ ่งสารไดโ้ นม้ นา้ วใจ การจัดเรยี บเรียงข้อความให้ไดผ้ ลในการพูดโน้มน้าวใจข้างต้น มีความสอดคล้องกับ อรวรรณ ปิลนั ธน์โอวาท (2554: 211-216) ได้อธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการจัดเรียบเรียงข้อความให้ได้ผลในการ พูดโน้มน้าวใจ ดงั นี้ 146

1. การเรียบเรียงข้อความโดยแบง่ เปน็ หัวข้อ เปน็ วิธีทน่ี ยิ มอกี วธิ หี น่งึ คือ หยบิ ยกประเดน็ สำคัญขึ้นมาและเขียนรูปวลีหรือประโยคคำถาม วิธีน้ีทำให้ประเด็นหรือหัวข้อนั้นเด่นชัดและชวน ตดิ ตามยิ่งข้นึ 2. การเรยี บเรยี งข้อความโดยอาศยั ลำดับเหตผุ ล เป็นวธิ ที ่ไี ม่เพยี งจะกล่าวถึงแตป่ ัญหา แตล่ ึกเขา้ ถึงสาเหตุของปัญหาดว้ ย เปน็ สถานการณ์ท่ีผู้ส่งสารใชเ้ พื่อจะบอกว่าอะไรเป็นสาเหตุ หรอื ผล เกิดจากสาเหตุใด เช่น รัฐบาลมีนโยบายท่ีจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการครู (เหตุ) พอมีข่าวน้ีเท่านั้น ข้าว ของก็ขึ้นราทันที (ผล) ฉะน้ันข้าพเจ้าเห็นว่า ควรจะหาวิธีช่วยเหลือข้าราชการด้วยวิธีอื่นมากกว่าข้ึน เงินเดือนโดยตรง การจัดเรียบเรียงข้อความให้ได้ผลในการพูดโน้มน้าวใจเป็นเร่ืองที่สำคัญ เพราะหากสารไม่ ผ่านการจัดเรียงก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจต่อผู้ฟังได้ แม้วา่ ผู้พูดจะเข้าใจเน้ือหาของสารหรือข้อความนั้น ก็ตาม ยิ่งกว่านั้นจะทำให้ผู้ฟังประเมินค่าความน่าเช่ือถือของผู้พูดต่ำอีกด้วย เพราะฉะนั้นผู้ฟังควร จัดเตรยี มและเรียบเรยี งข้อความให้เหมาะสมเพ่ือใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในการโนม้ นา้ วใจตอ่ ผู้ฟัง 2. การจดั ลำดบั ร้องขอ การจดั ลำดบั รอ้ งขอทเ่ี หมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการพดู โนม้ น้าวใจได้ ซ่ึงมี เทคนคิ ในการจดั ลำดบั รอ้ งขอ 2 วธิ ี ได้แก่ (ณัฏฐช์ ุดา วิจิตรจามร,ี 2556: 129-132) 2.1 เทคนิคการกา้ วเท้าเขา้ ประตู ผสู้ ่งสารพยายามโนม้ นา้ วใจด้วยการขอรอ้ งเร่ืองเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ทผ่ี ู้รับสารมแี นวโน้ม ที่จะยอมรับได้ เมื่อผู้รับสารยอมรับการขอร้องแล้ว ผู้ส่งสารจึงเริ่มขอมากขึ้น การทำให้ผู้รับสารยอม รับคำขอเล็ก ๆ ก่อน จะช่วยเพ่ิมโอกาสให้ผู้รบั สารยอมรับคำขอรอ้ งที่มากขน้ึ เปรียบเหมอื นกับการให้ ผู้รับสารไดเ้ ขา้ มาก่อนด้วยคำขอร้องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หลักการคอื ถ้าเราสามารถทำใหผ้ ู้รับสารขยับ เพียงเล็กน้อยไปในทิศทางที่เราต้องการ เขาก็มักจะเดินต่อไปในทิศทางนั้น เช่น การขอให้ผู้รับสารลง ช่ือเพื่อรับของรางวัลและตามด้วยข้อเสนอท่ีมากขึ้น โดยขอให้ผู้รับสารซื้อสินค้า หรือการขอให้ผู้รับ สารตอบคำถาม 10 ข้อเก่ียวกับพฤติกรรมการบริโภคเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ ตามด้วยการขอให้ผู้รับ สารช่วยตอบคำถาม 30 ข้อในเร่ืองเดียวกัน หรือการขอร้องให้ผู้รับสารซ้ือสินค้า 1 ช้ินจากระบบ ขายตรง หลังจากน้ันจงึ ขอให้ผูร้ บั สารสมคั รสมาชกิ ขายตรง เป็นตน้ ประสิทธิผลในการโน้มนา้ วใจของเทคนคิ การก้าวเท้าเขา้ ประตู อธบิ ายไดโ้ ดยทฤษฎกี าร รบั รู้ตนเอง การยอมรับคำขอรอ้ งครัง้ แรกทำให้บุคคลสรา้ งความประทับใจต่อตนเองและรับรวู้ ่าตนเอง ในทางบวกว่าเป็นคนใหค้ วามร่วมมือหรือชอบให้ความช่วยเหลือคนอน่ื และเมอ่ื บคุ คลถกู ขอร้องซ้ำอีก คร้ังเขาจะมีแรงจูงใจท่ีจะทำไปในทิศทางท่ีสอดคล้องกับภาพของการรับรู้ตนเอง โดยยินยอมทำตาม คำขอรอ้ งทีม่ ากข้ึนของผูโ้ น้มนา้ วใจ 147

2.2 เทคนคิ ปดิ ประตใู ส่หนา้ สำหรบั วิธีปิดประตใู ส่หน้าจะตรงขา้ มกบั วิธแี รก โดยผูส้ ง่ สารเริม่ จากการขอรอ้ งในเชิง ปริมาณมากที่สุด จนเชื่อแน่ว่าจะถูกปฏิเสธ เม่ือได้รับการปฏิเสธผู้ส่งสารจะค่อยลดปริมาณการขอลง ซึ่งเป็นเป้าหมายจริง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเหมือนการปิดประตูใส่หน้าไปก่อน แล้วจึงเปิดทางเลือกที่ พอจะเป็นไปไดท้ ีหลงั วธิ นี ี้มสี มมุติฐานว่า ผู้รับสารที่ถูกอกี ครัง้ จากการของครงั้ แรกมีแนวโน้มท่ีจะยอม ตามในการขอร้องครั้งท่ีสอง เทคนิคน้ีนิยมใช้การเจรจาต่อรอง เช่น พนักงานขายบอกราคาเต็มของ รถยนต์ให้กับลูกค้า แล้วจึงเสนอลดราคาพิเศษให้กับลูกค้า หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์ขอให้ นักศึกษาช่วยกิจกรรมของคณะในวันเสาร์และวันอาทิตย์ตลอดเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ นักศึกษาไม่ยอมรับ ต่อมาจึงขอให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มผลัดกันมาช่วยงานในช่วงเย็นของวันเรียน วนั ละครึ่งช่ัวโมง คำขอร้องที่สองซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ส่งสารต้องการ มักได้การตอบสนองดีกว่าการ มแี ค่คำขอร้องเดยี วต้งั แต่แรก ประสิทธผิ ลของเทคนคิ ปดิ ประตใู สห่ น้าอธิบายได้ 3 แนวคิด แนวคดิ แรกในการยอมให้ กันและกัน การปฏิเสธคำขอครั้งแรกทำให้ผรู้ ักษาเกดิ ความคิดสดุ ท้ายในใจและรสู้ ึกว่าผิดมารยาททาง สังคม และไม่ต้องการปฏิเสธคำขอร้องที่น่าสนใจ นอกจากนี้ผู้รับสารเห็นว่าผู้ส่งสารยอมลดระดับคำ ขอร้องให้น้อยลง จะมีแรงจูงใจท่ีจะตอบแทนความยินยอมของผู้ส่งสารด้วยการเห็นด้วยกับคำขอร้อง ที่สอง แนวคิดที่สอง คือ การนำเสนอตนเอง เม่ือบุคคลปฏิเสธคำขอครั้งแรกจะเกิดความกังวลว่า จะถูกคนอื่นในทางลบ จึงมักยอมทำตามคำขอร้องตามมา เพ่ือให้ตนเองดูดีข้ึน และแนวคิดท่ีสาม คือ ความรู้สึกผิด เป็นคำอธิบายท่ีใช้กับคำขอร้องที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือสังคมการปฏิเสธคำขอร้องคร้ัง แรก ทำให้ผู้รับสารรู้สึกผิดและพยายามและความรู้สึกนั้นด้วยการเห็นด้วยได้ยินยอมตามคำขอร้อง ครง้ั ทส่ี อง (Cialdini, 2009: 36-37) การจัดลำดับการขอร้องท้ัง 2 เทคนิค คือ เทคนิคการก้าวเท้าเข้าประตู และเทคนิคการปิด ประตูใส่หน้า มีความเหมือนและมีความต่างกันในบางสถานการณ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ ทั้งนี้สรุป เทคนคิ การใชใ้ นสถานการณท์ สี่ ามารถใชไ้ ดผ้ ล ดงั นี้ 148

ภาพที่ 6.3 สถานการณท์ ่ีใชไ้ ดผ้ ลกับเทคนิคการก้าวเท้าเข้าประตแู ละเทคนิคปดิ ประตูใส่หนา้ จากภาพจะเห็นได้วา่ เทคนคิ การกา้ วเทา้ เข้าประตูและเทคนิคปิดประตูใส่หน้ามีความเหมือน ในการนำมาใช้ในด้านของการร้องขอคร้ังแรก ซ่ึงไม่ควรร้องขอมากจนเกินไปอาจทำให้ผู้รับสารเกิด ความไม่พอใจ อึดอัด จนเกิดพฤติกรรมทำเพ่ือให้เพ่ือเพราะสงสารหรือรู้สึกไม่พอใจ ในขณะท่ีความ แตกต่างของทั้ง 2 เทคนิคในเรื่องการท้ิงช่วงระยะเวลาการร้องขอครั้งท่ีสอง เทคนิคการก้าวเท้าเข้า ประตู สามารถท้ิงช่วงระยะเวลาได้แต่ไม่ควรนานจนเกินไป แต่เทคนิคการปิดประตูใส่หน้าจะต้อง รอ้ งขอทนั ทแี ละควรเป็นบุคคลเดียวกันในการร้องขอ แต่ทั้งสองเทคนคิ ใช้ได้ผลกับคำขอร้องทเ่ี กี่ยวกับ การช่วยเหลอื สงั คมมากกว่าประโยชน์สว่ นตวั ของผูส้ งสาร ท้ังนผี้ ู้ส่งสารจะตอ้ งเลือกวิธีให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ทีเ่ กดิ ขนึ้ และจดุ มุ่งหมายหรอื เปา้ หมายของการโน้มน้าวในหวั ข้อน้นั ๆ 3. การใช้จดุ จงู ใจ การพูดโน้มน้าวใจ จำเป็นต้องศึกษาวิธีการจูงใจโดยการใช้จุดจูงใจเพ่ือโน้มน้าวใจผู้รับ สาร ทั้งนี้ จอนห์สตัน (Johnston, 1994: 122-133) อ้างถึงใน (ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี, 2556: 147- 152) ไดแ้ บง่ ประเภทจดุ จงู ใจออกเป็น 4 รูปแบบ คือ 149

1. การจดุ จงู ใจด้วยแรงจูงใจ (motivational appeals) 2. การจุดจูงใจโดยใชค้ วามกลวั (fear appeals) 3. การจุดจูงใจดว้ ยอารมณ์ขัน (humor appeals) 4. การจุดจูงใจด้วยเหตุผล อารมณ์ คุณสมบัติของผู้ส่งสาร (logos, pathos and ethos) 1. การจงู ใจดว้ ยแรงจูงใจ (motivational appeals) วธิ กี ารนเ้ี ป็นวิธีการจุดจูงใจทุกชนิดของการจดุ จูงใจ แตม่ ีแรงจูงใจบางอยา่ งท่ีมนษุ ยเ์ รียนรู้ จากประสบการณช์ ีวิต แรงจงู ใจเหล่าน้ี ได้แก่ 1.1 การให้ผลดี-ผลเสยี ผรู้ บั สารสามารถถกู โน้มนา้ วใจด้วยรางวัลพเิ ศษและการ ลงโทษ เนื้อหาสารท่ีบ่งบอกถึงคุณประโยชน์ท่ีผู้รับสารจะได้รับหากมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเช่ือและการปฏิบัติ หรือผู้รับสารอาจสุญเสียผลประโยชน์ไปหากยังมีทัศนคติและความเช่ือเดิม เช่น ถ้าคุณไม่ซื้อประกันสุขภาพในวันนี้ คุณและครอบครัวอาจจะสูญเสียเงนิ ในการรักษาโรคร้ายแรง ได้อนาคต เป็นตน้ 1.2 ความมีเหตุผล เนื้อหาของสารทีช่ ้แี จงเหตผุ ล หลักฐาน และข้อสนบั สนนุ วา่ ผู้รับ สารควรยอมรับและปฏิบัติตามการร้องขอของผู้ส่งสาร เช่น สาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง คือ การกิน อาหารที่ไมม่ ีประโยชน์และขาดการออกกำลังกาย ซงึ่ สถิตผิ ้ปู ว่ ยสูงข้นึ ทุกปี เราจึงควรเลือกทานอาหาร ท่ีมปี ระโยชน์ หมนั่ ออกกำลงั กาย จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ เป็นต้น 1.3 การสนองความต้องการ พฤติกรรมของมนุษย์เป็นไปเพื่อสนองความต้องการ ท้ังส้ิน นอกเหนือปัจจัย 4 พื้นฐานความต้องการของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด ยังมีปัจจัยความต้องการ อ่นื ท่ีมนษุ ย์มีความตอ้ งการและสูงขน้ึ เร่ือย ๆ ผูส้ งสารสามารถใชจ้ ุดจุงใจที่มีฐานรากจากความต้องการ พ้นื ฐานของมนุษย์ ได้แก่ - จดุ จงู ใจดา้ นอาหาร - จุดจูงใจด้านความปลอดภยั - จดุ จงู ใจดา้ นดา้ นความสะดวกสบาย - จดุ จงู ใจด้านการอย่เู หนือผ้อู น่ื - จดุ จงู ใจดา้ นด้านความรกั ที่พอ่ แมม่ ีตอ่ ลูก - จุดจงู ใจดา้ นการยอมรบั จากสังคม - จุดจงู ใจด้านสขุ ภาพ - จุดจงู ใจด้านการดงึ ดูดเพศตรงขา้ ม - จุดจงู ใจด้านความสงสารและความรสู้ กึ ผิด 150

2. จดุ จูงใจโดยใช้ความกลัว (fear appeals) วิธีนีเ้ ปน็ การใช้เนื้อหาของสารเป็นจุดจูงใจใหเ้ กิดความร้สู ึกกลวั แสดงให้เห็นถงึ ผลกระทบทางลบที่จะเกิดข้ึนหากผู้รับสารไม่เปลี่ยนพฤติกรรมหรือทัศนคติตามคำแนะนำ เช่น คุณควรเลิกสูบบุหร่ี เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งในปอดท้ังคนสูบและคนรอบข้าง หรือโฆษณาเมาแล้วขับท่ีแสดงให้เห็นถึงอันตรายหากผู้ขับข่ีดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะเกิดผลกระทบอันตรายอาจถึงแกช่ ีวติ ทัง้ คนขับและคนทีร่ ัก เป็นต้น ดงั น้ันการทำใหม้ นษุ ย์ตระหนัก หรือทำให้เกิดความกลัวไม่ใช่เร่ืองง่าย และความกลัวไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติเสมอไป คนทั่วไปมักคิดว่าเรื่องร้าย ๆ อาจไม่เกิดข้ึนกับตัวเอง ซึ่งเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทำให้เนื้อหาสารชนิดน้ีไม่ สามารถกระตุ้นให้ผู้รับสารรูส้ ึกกลัวไป แต่ทางกลบั กนั ถ้าผู้รับสารรู้สึกว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาร ท่ีกำลังโน้มน้าวอยู่น้ัน ผู้สงสารอาจใช้ความกลัวระดับสูงมากในการโน้มน้าวใจ เช่น อันตรายจาก โคเลสเตอรอล และผู้ฟังเป็นผู้สูงอายุ การใช้ความกลัวในการโน้มน้าวจะได้ผลมากกว่าถ้าผู้ฟังเป็นวัย เด็กหรือวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ความกลัวของผู้รับสารจะคงอยู่ไม่นาน โดยปกติความกลัวของผู้รับสารจะ เพิ่มขึ้นใน 10 นาทีหลังจากเปิดรับสาร และจะค่อย ๆ เลือนหายไป ดังน้ันการใช้ความกลัวระดับสูง และระดับปานกลางจะมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากกว่า นอกจากน้ีจะต้องให้ผู้รับสารเปิดรับสารซ้ำ เพือ่ เป็นการรักษาระดับความกลวั ของผู้รบั สาร 3. การจดุ จงู ใจด้วยอารมณข์ นั (humor appeals) วิธกี ารนี้ เปน็ วิธโี นม้ น้าวใจโดยการลดความเครียด ปัจจุบนั จะเห็นไดจ้ ากโฆษณาจำนวน มากและทอล์กโชว์ต่าง ๆ ใช้อารมณ์ขันเป็นจุดจูงใจ การใช้จุดจูงใจด้วยอารมณ์ขันอาจไม่ได้มี ประสิทธิผลในการเปล่ียนทัศนคติผู้รับสารโดยตรง แต่มีผลในการทำให้เกิดความน่าสนใจและเป็นที่ จดจำได้ 4. การจดุ จงู ใจดว้ ยเหตุผล อารมณ์ คณุ สมบัติของผ้สู ง่ สาร (logos, pathos and ethos) อริสโตเตลิ (Aristotle) นกั ปราชญ์และนักวาทศาสตรช์ าวกรกี ท่ีมีช่อื เสยี งและผลงานมาก มากมายด้านวาทศาสตร์ และได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นทฤษฎีขึ้นพื้นฐานของการ สื่อสารด้วยการพูด ได้กล่าวถึงการโน้มน้าวใจโดยใช้จุดจูงใจด้านเหตุผล เหตุผล อารมณ์ และ คุณลกั ษณะที่น่าเช่อื ถอื ของผสู้ ง่ สาร ดังน้ี 4.1 จุดจงู ใจด้านเหตุผล ซึ่งเรยี กว่า Syllogistic Reasoning หรอื วิธีอนมุ าน (deductive reasoning) ซ่ึงเป็นการคิดหาเหตุผลโดยการนำเอาสิ่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติมาอ้าง องค์ประกอบหรือข้ันตอนของการหาความรู้โดยวิธีน้ีมี 3 ประการคือ 1) ข้อเท็จจริงหลัก (major premise) เป็นข้อตกลงที่กำหนดข้ึน 2) ข้อเท็จจริงรอง (minor premise) เป็นเหตุเฉพาะกรณีท่ี ตอ้ งการทราบความจรงิ 3) ข้อสรุป (conclusion) เป็นการลงสรุปจากการพิจารณาความสมั พันธ์ของ 151

ข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อยแบบของการหาเหตุผลของอริสโตเติล มี 4 รูปแบบ ดังน้ี (ภูสิทธ์ ภคู ำชะ, 2560: 4-5) 4.1.1 การหาเหตุผลเฉพาะกลุ่ม (Categorical syllogism) เป็นวิธีการหา เหตุผลท่ีสามารถสรปุ ในตวั เองได้ ตัวอย่าง ข้อเท็จจริงหลัก: มนษุ ยท์ กุ คนเกิดมาวนั หน่งึ ต้องตาย ขอ้ เทจ็ จรงิ รอง: ปวีณาเกดิ เปน็ มนษุ ย์ ข้อสรปุ (conclusion): ดังนั้น ปวีณาสกั วันหน่งึ ต้องตาย 4.1.2 การหาเหตผุ ลตามสมมตฐิ าน (Hypothetical syllogism) เป็น วิธีการหาเหตุผลท่ีกำหนดสถานการณ์ขน้ึ มักจะมีคำว่า “ถ้า ...แล้วอะไรจะเกิดขึน้ ... (อยา่ งน้ัน อย่าง นี้ การหาเหตุผลชนิดนี้ผลสรุปจะเป็นจริงหรือไม่ ข้ึนอยู่กับสถานการณ์เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง ตามหลกั ตรรกศาสตร์เทา่ นัน้ ตวั อยา่ ง ข้อเท็จจรงิ หลัก: ถา้ ชุมชนถกู ไฟไหม้ชาวบา้ นย่อมไดร้ บั ความเดือดรอ้ น ขอ้ เท็จจรงิ รอง: ชมุ ชนถูกไฟไหม้ ข้อสรุป: ชาวบ้านเปน็ อันตรายและไดร้ ับความเดอื นร้อน 4.1.3 การหาเหตผุ ลทมี่ ที างเลอื กให้ (Alternative syllogism) เป็นวิธีการ หาเหตุผลที่กำหนดสถานการณ์ที่เป็นทางเลือก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรืออยู่ในรูปท่ีเป็น “อาจจะ” อย่างใดอยา่ งหนึง่ ตัวอยา่ ง ขอ้ เท็จจรงิ หลกั : มนสั อาจจะไดร้ างวัลเปน็ นาฬิกาหรอื แหวนเพชร ขอ้ เท็จจริงรอง: มนัสไมไ่ ด้แหวนเพชรเป็นรางวัล ขอ้ สรุป: มนสั ได้นาฬกิ าเปน็ รางวัล 4.1.4 การหาเหตุผลที่ต่างออกไป (Disjunctive syllogism) เป็นวิธีการหา เหตุผลท่ีอาศัยการเช่ือมโยงกัน โดยท่ีข้อเท็จจริงรองเป็นตัวบอกกรณีบางส่วนในข้อเท็จจริงหลัก ตัวอย่าง ขอ้ เทจ็ จรงิ หลกั : การท่ีฝนตกหรือไม่ตก ไมใ่ ชก่ รณีงดจัดกิจกรรม เตรียมการแหเ่ ทยี นไปวัดท่สี นามฟุตบอล ขอ้ เท็จจรงิ รอง: เกิดฝนตกวันนี้พอดี ข้อสรปุ : วนั นี้ไมเ่ ป็นการดแี นท่ ่จี ะจดั กจิ กรรมเตรียมการแห่เทยี นไปวัดท่ี สนามฟุตบอล 4.2 จุดจูงใจด้านอารมณ์ ผู้ส่งสารอาจสร้างเนื้อหาสารท่ีสร้างความสะเทือนอารมณ์ ให้กับผู้รับสาร รวมไปถึงสร้างความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ความโกรธ ความคับข้องใจ ความกระตือรือร้น โดยอาศัยค่านิยมต่าง ๆ ท่ีคนยึดถือร่วมกัน เช่น ความยุติธรรม สันติภาพ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การชักชวนให้คนบริจาคเงินให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ โดยกล่าวว่าพวกเราควรมีน้ำใจ กับผู้ทเี่ ดือดร้อนกวา่ เรา นอกจากน้ีผูโ้ น้มนา้ วใจสามารถสรา้ งเนื้อหาโดยใชพ้ ยาน หรอื เร่อื งเลา่ ที่จะทำ 152

ให้ผู้รับสารมีประสบการณ์และกระตุ้นอารมณ์ของผู้รับสาร ซ่ึงประสบการณ์ถือเป็นการโน้มน้าวที่มี พลงั 4.3 จุดจูงใจด้านความน่าเช่ือถือของผู้ส่งสาร อริสโตเติลกล่าวว่าผู้พูดต้องมีความดี มคี ณุ ธรรมดี และมคี วามปรารถนาดี เพ่อื ใหผ้ ูส้ ง่ สารสามารถแสดงเหตผุ ลและการตดั สนิ ใจทช่ี าญฉลาด ใช้ทักษะของตนเองไปในทางทไ่ี ม่ขัดต่อจริยธรรม และใหค้ วามสำคญั กับผลประโยชน์ของผูร้ บั สาร นอกจากนี้อริสโตเติลอธิบายเพ่ิมเติมไว้อีกว่า “ผู้ฟังและโอกาสเป็นตัวการสำคัญท่ีบังคับให้ ผ้พู ูดส่งสารออกมาในลักษณะหนึง่ ท่ีผพู้ ูดเองคดิ ว่าเหมาะสมที่สุด” เขาได้อธิบายเพิม่ เตมิ ว่า “การพูดที่ ให้ผลสัมฤทธ์ิสูงน้ันจะเป็นไปได้ก็ต่อเม่ือ ผู้พูดเข้าใจธรรมชาติของผู้ฟังตามที่เป็นจริงว่าในวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยผู้ใหญ่ ผู้ฟงั มีพื้นฐานทางอารมณ์ ความเชือ่ อุดมคติ และทัศนะต่อชีวติ เปน็ อย่างไร เมื่อเข้าใจแล้ว ผู้พูดจะสามารถสร้างสารท่ีไม่ขัดแย้งกับพื้นฐานดังกล่าว และเร้าให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาใน ตัวผู้พูดได้ว่าเป็นผู้มีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ เป็นผู้ที่รู้จริงในสิ่งท่ีพูด และเป็นผู้มีความปรารถนาดี จริงใจต่อผู้ฟัง เม่ือผู้พูดทำได้เช่นน้ีก็ย่อมมีทางที่จะโน้มน้าวใจ ผู้ฟังให้คล้อยตามความประสงค์ของ ผู้พูด” และชี้ให้เห็นว่าสารท่ีจะทำให้พฤติกรรมการพูดมีผลสัมฤทธ์ิสูง จะต้องเป็นสารท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับโอกาสแห่งการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมการพูดน้ันเสมอไป โอกาสเหล่านี้มีอยู่ 3 ลักษณะ ดว้ ยกัน คือ (จุมพล รอดคำด,ี 2539: 9) 1. โอกาสท่ีผู้ฟังจะต้องตัดสินใจว่าอะไรเป็นเท็จ อะไรเป็นจริง ได้แก่ การพูดในศาล โดยมีผู้ พิพากษาตุลาการเป็นผู้ฟังท่ีสำคัญท่ีสุด ณ ที่น้ันเพราะจะต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าอะไรเป็นจริง อะไรเป็น เทจ็ เพ่ือจะไดต้ ัดสนิ ลงไปใหเ้ ดด็ ขาด 2. โอกาสที่ผู้ฟังต้องช่ังใจว่าหลักการหรือข้อเสนอใดเป็นส่ิงท่ีเหมาะสมน่าจะรับไว้ใช้ต่อไป ไดแ้ ก่ การพดู เพอ่ื แถลงนโยบายขอความไวว้ างใจจากทปี่ ระชมุ เป็นต้น 3. โอกาสท่ีผู้ฟังจะได้รับความจรรโลงใจให้ธำรงไว้ซ่ึงความเชื่อมั่นอันฝังใจมาแต่เดิม ได้แก่ การพดู ในพิธีการต่าง ๆ เป็นต้น การสร้างจุดจูงใจในเนื้อหาสารเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการพูดโน้มน้าวใจ ผู้พูดจะต้อง คำนึงถึงจุดจูงใจที่จะต้องใช้ อาจใช้ความกลัว หรือการสร้างแรงจูงใจ หรือการเร้าอารมณ์ในรูปแบบ อ่ืน ๆ ตามสถานการณแ์ ละหัวขอ้ ในการน้าวโนม้ ใจ 4. อทิ ธพิ ลเพอื่ ให้เกดิ การจงู ใจคล้อยตาม นอกจากจุดจูงใจในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว ประมวญ พิรัชพันธุ์ (อ้างถึงใน อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท, 2554: 242-244) ได้รวบรวมหลักการสร้างอิทธิพลเพื่อการจูงใจคล้อยตาม สามารถ สรปุ ได้ ดังน้ี 1. กฎว่าดว้ ยสังคมยอมรับ สิง่ ใดทส่ี ังคมปฏิบัตหิ รือยอมรบั สง่ิ นั้นกจ็ ะจูงใจใหเ้ ราคลอ้ ยตาม เช่น เวลาเราประมูลของ เมื่อมีคู่แข่งในการประมูล เราก็จะรู้สึกว่าของชิ้นน้ันมีค่า เป็นที่ยอมรับของ สังคม ฉะนั้น ผจู้ ดั การประมูลจำเป็นตอ้ งจดั หนา้ ม้าไว้คอยประมูลแข่งดว้ ย 153

2. กฎว่าด้วยของหายาก สิง่ ใดทีห่ ามาไดย้ าก สง่ิ น้ันจะโนม้ นา้ วให้ผรู้ บั สารคลอ้ ยตามได้ เชน่ ของเกา่ หรอื ผลิตภัณฑท์ ีผ่ ลติ มาชนิ เดยี ว ส่งิ น้ันจะโน้มนา้ วใจผู้รบั สารว่าสงิ่ นัน้ มีค่า 3. กฎวา่ ด้วยการเสนอสิ่งทค่ี าดวา่ จะถูกปฏเิ สธแลว้ ลดระดบั ข้อเสนอลงมา กฎข้อน้ี เชน่ เดยี วกับเทคนคิ “การปิดประตูใสห่ นา้ ” 4. กฎว่าดว้ ยพนั ธะผกู พันและการทำตนใหส้ อดคลอ้ ง เช่น เราเปน็ คนติดบุหร่ี และเราไป ประกาศว่าเราจะเลิกสูบบุหรี่ในท่ีสาธารณะ มีผู้คนได้ยินมากมาย เรายึดม่ันในคำสัญญาท่ีให้ไว้ กพ็ ยายามปฏบิ ัตติ นให้สอดคล้องกบั ทล่ี น่ั วาจาไว้ 5. กฎแห่งการเสนอภาพความขัดแย้ง เปน็ การเสนอภาพทตี่ รงข้ามกันเพื่อสร้างความรู้สึก แตกต่างในการโน้มน้าวผู้รับสาร เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง ถ้าเราพูดประชาสัมพันธ์ให้ผู้นำพรรคท้ัง 2 พรรค พรรคแรกไปพบปะเย่ียมราษฎร อีกพรรคนั่งจิบกาแฟท่ีโซฟา ย่อมทำให้ผู้รับสารเกิด ความรู้สึกทีแ่ ตกต่างกนั 6. กฎแห่งการตอบแทน มนุษย์มีสัญชาตญาณของการรคู้ ณุ นีเ่ ป็นท่มี าของการซ้อื เสยี งซึง่ ผู้ ไดร้ ับเงนิ หรือสิง่ ของจะถูกโน้มน้าวใจดว้ ยความร้สู กึ สำนกึ ในบญุ คณุ ให้ไปลงคะแนนให้ 7. กฎว่าดว้ ยความเกง่ ความเปน็ ผูเ้ ชี่ยวชาญชำนาญการทำใหถ้ ้อยคำการพดู ดนู า่ เชือ่ ถือ เช่น แพทย์ วศิ วกร ทนายความ เป็นต้น 8. กฎว่าดว้ ยการทำใหเ้ กดิ ความชอบ เชน่ นกั รอ้ งยอดนิยมตลอดกาล ธงไชย แมคอนิ ไตย ได้โฆษณาให้กับสินค้าหนึ่ง ผู้รับสารก็จะเกิดความเชื่อม่ันในสินค้าเพราะชอบนักร้องคนน้ันและมี ภาพลกั ษณท์ ่ดี ี นอกจากน้ี ประมวญ พิรชั พันธุ์ ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ปจั จัยท่ีทำให้คำพูดโน้มนา้ วดมู พี ลงั ไดแ้ ก่ 1. อทิ ธพิ ลของคำสรรพนาม เชน่ การใช้คำว่า “ทา่ น” “เรา” “ฉัน” ในการพูด คำที่มพี ลงั มากท่ีสุดในการพูดโน้มน้าวคือคำว่า “เรา” เพราะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน คำว่า “ท่าน” เป็นอันดับท่ีสอง เพราะแสดงความเราคิดถึงคนอื่น ส่วนคำว่า “ฉัน” เป็นคำท่ีไร้พลังท่ีสุด เพราะมงุ่ แตค่ ดิ ถงึ แต่ตัวเอง 2. อิทธพิ ลของคำ มี 2 แบบ ไดแ้ ก่ 2.1 แบบ “ฉายสปอตไลทไ์ ปทีด่ อกกหุ ลาบ ปล่อยให้หนามกหุ ลาบอยู่ในความมืด” ซง่ึ หมายถึง จับจุดเน้นตัวใดตัวหนึ่งซึ่งเป็นจุดดี ไม่เน้นส่ิงที่ไม่ดีแต่ไม่ปกปิด เช่น การโฆษณาเคร่ืองด่ืม ชกู ำลงั มักมีคำพูดอยา่ งเร็ว ๆ เปน็ ตน้ 2.2 แบบ “ระหว่างบางสิ่งกับบางสิง่ ” ไม่ใช่ “ระหว่างบางสิ่งกับไม่มีอะไรเลย เชน่ เวลา ลูกค้าถามเรื่องประกันชีวติ ผพู้ ูดจะพดู ว่า “คณุ สนใจประกันชีวิตแบบ 10 ปี หรือ 20 ปี” เขาจะไม่พูด วา่ “คณุ สนใจประกนั ชีวิตหรอื ไม”่ 154

3. อิทธพิ ลของน้ำเสียง ถ้อยคำถ่ายทอดความคิด แตน่ ำ้ เสยี งถ่ายทอดอารมณ์ ซึ่งเปน็ สง่ิ ท่ี สำคญั เพราะเราใชน้ ำ้ เสยี งในการพดู และถ่ายทอดอารมณ์ 4. คำพดู เกิดภาพ เกดิ พูดทเี่ กดิ ภาพช่วยใหช้ ว่ ยให้แนวความคิดของผู้พดู พุ่งสเู่ ข้าจิตใจผู้ฟัง ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ความรักเหมือนต้นไม้ท่ีไม่สามารถเพาะปลูกได้ มันจะงอกงามเติบโตเองใน องคป์ ระกอบท่ลี งตวั และพร้อมทจ่ี ะล้มตายลงไปทันทที ส่ี ูญเสียองคป์ ระกอบนั้น เป็นต้น 5. คำพูดง่าย ๆ สามารถเขา้ ใจไดท้ ันที เป็นคำพดู ทเี่ หมาะกบั พนื้ ฐานของผ้ฟู ัง เช่น เพลง ผู้ใหญ่ลี เป็นเพลงยอดนิยมในสมัยหนึ่ง เพราะผู้ฟังเข้าใจมุกตลกท่ีสอดแทรกในเพลงนั้น แต่เพลงน้ีมี แนวเสียดสซี อ้ นอยู่อีกทีหนงึ่ เป็นต้น ลกั ษณะของการพูดโนม้ นา้ วใจ ปัจจุบันการพูดโน้มน้าวใจสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทางส่ือออนไลน์ โฆษณา ต่าง ๆ การเคลื่อนไหวทางสังคมหรือการรณรงค์ ท้ังน้ีลักษณะของการพูดโน้มน้าวใจสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ ดงั น้ี (ลลติ า โชติรงั สยี ากุล, 2544: 222-228) 1. การพูดโฆษณาสินคา้ เป็นการพูดโน้มน้าวใจผู้ฟังใหส้ นใจสินคา้ นั้น ๆ ผู้พูดจะตอ้ งรู้จุดเด่นของสินคา้ แต่ละชนิด แล้วนำจุดเด่นมาพูด ผู้พูดจะต้องใช้ศิลปะการพูด ใช้ภาษาที่กะทัดรัด กระชับรัดกุม ได้ความชัดเจน มีความแปลกใหม่ อาจจะใช้คำ วลี ประโยค หรือ คำขวัญประกอบ ทำให้ผฟู้ ังเกดิ ความสะดุดใจ จำได้ งา่ ยและจำได้แม่นยำ แม้วา่ จะยังไม่เกิดความต้องการอยากซื้อหรือยังไมไ่ ดต้ ัดสนิ ใจซ้ือก็ตาม ในขณะท่ี พดู โฆษณาอยู่น้ัน การใช้น้ำเสียงที่สอดใส่อารมณ์เร้าใจ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจ สนใจติดตามฟัง เกิดความคล้อยตามไว้วางใจในสินค้า เกิดความเช่ือถือและใคร่ครวญถึงประโยชน์ หลังจากนนั้ กจ็ ะตัดสินใจซือ้ สนิ คา้ วิธีการพูดโฆษณามีหลายวิธี ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ใชว้ ิธลี ากเข้าเปน็ พวก เป็นวิธกี ารทางจิตวิทยาที่ทำให้ผู้ฟงั รสู้ กึ ว่า ตนเองก็มี หรอื เป็นเหมือนกับผู้อืน่ ทำให้มนั่ ใจในตนเองย่ิงขึ้น รสู้ ึกว่าตนกท็ นั สมัยเช่นเดียวกับผูอ้ ืน่ เชน่ “ใครใครกใ็ ช้ยาสฟี นั เทพไทย” “กนิ แลว้ ภาคภมู ใิ จเบยี รค์ นไทยทำเอง” “ยาสีฟันสมนุ ไพรของคนร่นุ ใหม่” 1.2 ใชว้ ิธีขอรอ้ งวิงวอนด้วยน้ำเสยี งและทา่ ทาง เป็นวิธกี ารขอร้องให้ ปฏิบตั ิหรือ กระทำตาม เชน่ “โปรดช่วยกนั อนรุ กั ษ์ชา้ งไทยใหค้ งอยูป่ ระเทศไทยสืบไป” “โปรดช่วยกันรักษาความสะอาดของบ้านเมือง” “โปรดชว่ ยกนั สนับสนนุ สินค้าไทย” 155

1.3 ใชว้ ิธีโฆษณาเกนิ ความจรงิ เป็นวธิ ีท่ีทำให้ผ้ฟู งั สะดุดใจ เชน่ “ฟชิ โช ปลาไม่ชอบ แต่คนชอบ” “เปด็ ขจดั คราบ เปด็ มาชว่ ยเราประหยดั แลว้ ” “ชวี ิตเสน้ ผมกม็ ีรากผมเป็นหวั ใจ” 1.4 ใช้วธิ ใี ชภ้ าษาที่แปลก สะดดุ ประสาทสัมผสั เปน็ วิธีที่ทำใหผ้ ู้ฟงั จดจำไดง้ า่ ย เชน่ “ผมนุ่มกว่าท่ีเคย” “อะไรก็เกิดขึน้ ไดถ้ ้ามีปาปิกา้ ” “คดิ จะพักคดิ ถงึ คทิ แคท” 1.5 ใช้วิธีอ้างบุคคลหรอื สิง่ ต่าง ๆ ที่ผฟู้ งั เช่ือถือ เป็นวิธที จี่ ะทำใหผ้ ฟู้ งั ปฏิบตั ติ าม บุคคลหรอื สิง่ ต่าง ๆ ท่ีอา้ งถงึ ได้ เช่น “หวิ เมอ่ื ไหรก่ แ็ วะมา 7-11” “ถุงเท้าคารส์ นั ถงุ เท้าท่ที กุ ๆ คนใส่กัน” “โตชบิ า้ นำส่ิงที่ดสี ชู่ ีวิต” “ยาดมโปย๊ เซยี น ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดยี วกนั ” 1.6 ใช้วธิ ีใช้ภาษาเชิงคำสั่ง เป็นวิธที ่ีจะทำให้ผปู้ ฏบิ ตั ิตาม เช่น “แผลสด แผลเปอื่ ย แผลไฟไหม้ น้ำรอ้ นลวก ใชเ้ ย็นเตรก็ ซ์ เจา้ ของเดยี วกับโทนาฟ” “ปวดหัว ซาร่า เป็นไข้ เลือกซารา่ ” “คดิ จะดืม่ นำ้ ดมื่ คริสเติล” 1.7 ใช้วิธอี ้างอำนาจหรือหลักประกัน เป็นวิธที ่ีชว่ ยให้เกดิ ความมนั่ ใจ เชน่ “ฝากเงินไวก้ บั ธนาคารออมสนิ รัฐบาลเปน็ ประกนั ” “เมืองไทยประกันภยั ย้มิ ไดเ้ ม่ือภยั มา” 1.8 ใช้วธิ เี ชญิ ชวนให้ผ้ฟู งั คิดแล้วเลือกตัดสนิ ใจเอง เชน่ “มาม่ีโปะ๊ โกะ ย้ิมง่ายไม่ซึมเป้ือน” “นมตราหมี หนึ่งนีท้ ่ีคุณแมเ่ ลือก” 1.9 ใช้คำสมั ผัสคลอ้ งจองกนั เป็นวธิ ีทที่ ำให้สะดุดใจผู้ฟัง เช่น “ทุกหยดซ่าโซดาสิงห์” “ป๊อปทีน เห็นแลว้ ป๊งิ ใส่แลว้ ปอ๊ ป” “บริการทุกระดับประทับใจ\" 156

1.10 ใช้วิธีบอกสรรพคณุ สนิ คา้ เป็นวธิ บี อกหรือช้ีให้เห็นวา่ สินคา้ นน้ั จะสนองความ ตอ้ งการของผู้บริโภคไดอ้ ย่างคมุ้ คา่ ย่งิ กวา่ สนิ คา้ ประเภทเดยี วกัน เช่น “ทอเต็มผืน หลับเตม็ ตื่น ดว้ ยชุดเครอื่ งนอนโตโต”้ “ดคี อลเจน เม็ดยา 3 ชั้น บรรเทาหวดั นำ้ มูกไหล ปวดศีรษะและเป็นไข”้ “นมตรามะลิ ใหม่และสด ขาวขน้ หวานมัน” นอกจากนี้ การใช้ภาษาโฆษณาที่มุ่งโน้มน้าวจิตใจให้ผู้รับสารเปลี่ยนความคิด และเกิดการ กระทำตามลักษณะของภาษาจึงมีสีสัน เน้นอารมณ์ด้วยการใช้ภาษาต่างระดับในข้อความเดียวกัน ส่วนมากเป็นภาษาทางการกับกึ่งทางการ ภาษาโฆษณามีลักษณะ (วิเศษ ชาญประโคน, 2550: 48- 50) ดังน้ี 1. เรียกร้องความสนใจ คอื เลอื กใชภ้ าษาท่ีงา่ ย สุภาพ กระตนุ้ ความรู้สึกของลูกค้า 2. ให้ความกระจ่างแก่ลูกค้า เป็นการใช้ภาษาท่ีง่ายชัดเจนในการกล่าวถึงคุณภาพของสินค้า หรือบรกิ าร 3. ให้ความม่ันใจ เป็นการอา้ งอิงข้อมลู ตา่ ง ๆ เพอื่ ให้ลูกคา้ เกิดความม่นั ใจ 4. ยวั่ ยใุ ห้เกิดการตดั สินใจ เปน็ การใช้ถอ้ ยคำให้ผู้บรโิ ภคตัดสินใจซอื้ สนิ คา้ หรือบริการโดยเร็ว 5. มกี ารใชป้ ระโยคที่สน้ั กะทัดรัดไมย่ าวหรือส้ันจนเกนิ ไป ไม่ใช้คำพูดหรอื ขอ้ ความ ฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นแตอ่ า่ นแล้วสามารถทีจ่ ะจับใจความไดท้ ันที 6. มีความชัดเจน ไม่กำกวมในข้อความโฆษณา คือ ใช้คำพูดที่ผู้รับสารอ่านหรือได้ยินแล้ว ปราศจากข้อสงสัย เพื่อท่ีจะสามารถตอบคำถามที่คาดว่าผู้รับสารต้องการที่จะทราบได้หลีกเล่ียงการ ใช้คำพดู สำนวนโวหาร หรือขอ้ ความกำกวมทที่ ำให้เกิดการตคี วามได้หลายทางหลายความหมาย 7. ใช้ภาษาที่อ่าน หรือฟังเข้าใจง่ายกับการบรรยายถึงสรรพคุณสินค้าอาจมีการใช้ สำนวน ภาษาที่แตกต่างจากโครงสร้างในภาษาไทย กล่าวคือ ไม่ยึดติดกับหลักภาษาไทยมากจนเกินไปเพื่อให้ เหมาะสมกบั ความต้องการของกล่มุ เป้าหมายที่แตกต่างกันใน อายุ อาชีพ และเพศ แต่ต้องคำนึงถึงว่า จะทำให้เกิดผลให้ผู้อ่านเข้าใจผิดหรือเกิดผลในทางลบได้ อย่ามุ่งแต่จะใช้ความแปลกใหม่แต่เพียง อย่างเดียว ภาษาที่ใช้กันท่ัวไปเป็นสิ่งท่ีดีถ้านำมาใช้อย่างเหมาะสม เน่ืองจากเป็นส่ิงที่คุ้นเคยกันเป็น อย่างดี แตต่ ้องระวงั ไม่ให้ผู้รบั สารรสู้ ึกวา่ เปน็ ภาษาทีห่ ยาบคาย 2. การพดู หาเสียง การพูดหาเสียง เป็นการพูดโน้มน้าวหรือพูดจูงใจให้ผู้ฟังเห็นถึงความสามารถและความ ตั้งใจจริงของผู้สมัครรับเลือกต้ัง เป็นการพูดในเชิงวิงวอนขอร้องให้ผู้ฟังไปใช้สิทธิ์ ใช้เสียงในการ เลือกตั้งและให้ผู้ฟังพิจารณาลงคะแนนเสียงให้ตน เช่น การเลือกตั้ง ประธานนิสิตนักศึกษา การเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เป็นตน้ 157

วิธหี าเสยี ง ควรดำเนินการดงั ต่อไปนี้ 2.1 พดู ให้ผู้ฟงั เกดิ ความกระตอื รอื ร้นสนใจในการเลอื กหัวหนา้ หรอื ผู้แทนโดย พยายามชี้ใหเ้ หน็ วา่ ทกุ คนมีส่วนร่วมในการใชส้ ทิ ธิใชเ้ สยี งลงคะแนนเพือ่ เลือกต้ัง 2.2 พดู ให้ผู้ฟังเกิดความต้องการอยากมหี วั หนา้ หรือผแู้ ทนท่ีดี มคี ุณสมบัติ เหมาะสม เพ่ือมาดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้ลุล่วงไป โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาท่ีสำคัญ ๆ ท่ีสมาชิกหรือประชาชนกำลังเผชิญอยู่ และต้องการหัวหน้าหรือผู้แทนเข้ามาช่วยดำเนินการ แก้ไข ปญั หานัน้ ๆ 2.3 พูดให้ผฟู้ งั เกดิ ความพอใจในข้อเสนอ ข้อคดิ หรือนโยบายของหวั หนา้ หรือผ้แู ทน คนน้ัน ๆ โดยใช้สำนวนภาษาที่มีพลังสามารถโน้มน้าวใจผู้ฟังได้ มีท่าทางเป็นมิตร แสดงให้เห็นว่าถ้า ตนไดร้ ับเลอื กตั้งจะยนิ ดีรบั ใชแ้ ละให้บริการต่าง ๆ ตามท่ีเสนอไว้ 2.4 พูดใหผ้ ู้ฟงั ประโยชน์ทจี่ ะได้รับจากการดำเนนิ กจิ กรรมหรือนโยบายดังกล่าว นนั้ อย่างชัดเจน เม่ือไดร้ บั เลอื กเปน็ หัวหนา้ หรือผ้แู ทน 2.5 พูดขอร้อง วิงวอน ใหผ้ ูฟ้ งั ไปลงคะแนนเสยี งและเลือกผู้พูดเปน็ หัวหนา้ หรือผู้ แทนของตน พรอ้ มทั้งตัง้ ความหวังวา่ จะไดร้ บั ความร่วมมือเปน็ อย่างดี จากงานวิจัย กลวิธีการโนม้ นา้ วใจในการปราศรยั หาเสียงเลอื กตั้งทัว่ ไป ปี พ.ศ. 2554 ของ นางสาวย่ิงลักษณ์ ชินวัตร และนายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ (สุภาพ กร่ิงรัมย์ และศิริพร ปัญญาเมธีกุล, 2555: 23-29) การปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งหาเสียงพบกลวิธีการพูดที่ใช้ในการโน้มน้าวใจ 2 กลวิธี หลัก ได้แก่ 1) กลวธิ ที างศพั ท์ และ 2) กลวธิ ีทางวจั นปฏบิ ัติศาสตร์และวาทกรรม อธบิ ายได้ดงั นี้ 1. กลวิธีทางศัพท์ ประกอบดว้ ยกลวธิ ยี ่อย 2 กลวธิ ี คอื 1.1 การใช้คำศัพทแ์ สดงความสำคัญของผู้ฟัง การใช้คำศพั ทแ์ สดงความสำคัญของผฟู้ ัง เป็นวิธกี ารเลอื กใชค้ คำศพั ทท์ ส่ี ื่อใหผ้ ฟู้ งั รับรู้ถึงความสำคัญของตนเองทท่ีมีต่อผู้ปราศรัย เนื่องจากในการเลือกต้ังประชาชนมีความสำคัญใน ฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง ผู้ปราศรัยจึงต้องชักจูงใจผู้ฟังให้เกิดความเชื่อถือ ยอมรับ และไปลงคะแนนเสียงใหผ้ ปู้ ราศรยั และพรรค เชน่ “...ต้องเรียนวา่ วนั น้ีดฉิ นั และพรรคเพอ่ื ไทยมีความพร้อมทางทีมงานและบุคลากร อยา่ งเตม็ ทแี่ ละพสิ จู นว์ า่ เราทำไดจ้ ริงคะ่ ” การเลือกใช้คำวา่ “เรียน” เพ่ือแสดงความสุภาพและความเคารพยกย่องผู้ฟังส่ือให้ ผู้ฟังรับรวู้ ่าตนเองเป็นบคุ คลสำคญั 158

1.2 การใช้คำศพั ทแ์ สดงความรู้สึก การใช้คำศัพท์แสดงความรู้สึก เป็นการเลือกใช้คำศัพท์เพื่อบอกเล่าความรู้สึกของ ผู้ปราศรัยท่ีเกิดข้ึนในช่วงการลงพื้นที่พบปะประชาชนและการปราศรัยหาเสียงตามสถานท่ีต่าง ๆ และการบรรยายถึงความรู้สึกของผู้ปราศรัยท่ีได้รับจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา รวมทั้งความรูส้ ึกทเี่ กิดจากการกล่าวหาของฝ่ายตรงขา้ ม ซ่ึงการใช้คำศพั ท์แสดงความร้สู ึกนโ้ี น้มน้าวให้ ผู้ฟังคล้อยตามโดยเกิดความยินดีท่ีจะกระทำที่ผู้ปราศรัยประสงค์เพื่อให้ผู้ปราศรัย มีความสุขหรือ ผู้ฟังเกิดความเห็นใจ เข้าอกเข้าใจผู้ปราศรัยมากข้ึนท่ีผู้ปราศรัยได้รับความทุกข์ และผู้ฟังอยากทำให้ ผู้ปราศรัยมีความสุข โดยพบการใช้คำศัพท์แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของผู้ปราศรัยท่ีบ่งบอก ว่าถึงความรู้สึกในขณะน้ัน ซ่ึงเป็นคำกริยาแสดงความรู้สึกยินดี เช่น “ประทับใจ” “ดีใจ” “ภาคภมู ิใจ” เป็นต้น และคำกริยาแสดงความรู้สึกที่ไมน่ ่ายินดี เช่น “ทุกข์” “ปวดรา้ ว” และคำกริยา แสดงอาการเพือ่ บรรยายความรสู้ กึ ทีไ่ ม่น่ายินดี เช่น “ร้องไห้” 2. กลวธิ ีทางวจั นปฏบิ ัตศิ าสตร์และวาทกรรม ประกอบด้วยกลวธิ ยี ่อย 7 กลวธิ ี คือ 2.1 การใช้วัจนกรรม เปน็ การใช้ภาษาทีผ่ ้ปู ราศรยั ใช้เพือ่ แสดงเจตนาบางอยา่ งกบั ผูฟ้ ัง ให้กระทำดงั ท่ีผู้ปราศรยั ต้องการ น่ันคือ ผ้ปู ราศรัยมคี วามประสงค์ให้ผูพ้ ังลงคะแนนเสียงให้แกต่ นและ พรรคของตน วัจนกรรมท่ีผู้ปราศรัยใช้เพ่ือโน้มน้าวชักจูงใจให้ผู้ฟังคล้อยตาม ได้แก่ วัจกรรมขอร้อง วจั นกรรมขอบคุณ วัจนกรรมยืนยัน วัจนกรรมเสนอตัวทำงาน วัจนกรรมสัญญา และวัจนกรรมเตือน เช่น การใช้วัจนกรรมขอรอ้ งของนางสาวยิง่ ลักษณ์ ชนิ วัตร ในวันที่ 3 มิถนุ ายน พ.ศ. 2554 ณ ศาลา กลางจังหวดั นนทบุรี “ดิฉันมีความตั้งใจและความจริงใจในการท่ีจะทุ่มเททำงานรับใช้พ่ีน้องประชาชนค่ะ เรา ครอบครัวชินวัตรมีความผูกพันกับพ่ีน้องเป็นเวลานาน ดังนั้นดิฉันไม่สามารถจะน่ิงอยู่เฉยได้ขอเข้ามา ทำงานรบั ใชพ้ ี่น้องค่ะ ไมท่ ราบว่าพีน่ ้องให้โอกาสผูห้ ญงิ คนน้ีไหมคะ” จากตัวอย่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้วัจนกรรมขอร้องให้ผู้ฟังให้โอกาสตนซ่ึง เป็นเพศ หญงิ เข้ามาทำงานทางการเมอื งเพื่อรบั ใชป้ ระชาชนโดยใชก้ ารถามว่า \"ให้โอกาสผหู้ ญงิ คนนไ้ี หม\" 2.2 การใช้อุปลักษณ์ เป็นวิธีการนำคำไปใช้ในเชิงเปรียบเทียบ โดยผู้ปราศรัยนำรูปภาษาท่ี อ้างถึงส่ิงหนึ่งมาใช้เปรียบเทียบกับอีกส่ิงหน่ึง ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายไม่ตรงตาม ตัวอักษรเป็น ความหมายท่ีแฝงไว้โดยนัย ซึ่งในการนำคำมาเปรียบเทียบกันนีส้ ะทอ้ นให้เห็น ความคิดของผู้ปราศรัย ซึ่งทั้งผู้ปราศรัยและผู้ฟังต่างจำเป็นต้องมีความรู้ร่วมกันทางภาษาและสังคมวัฒนธรรมจึงจะสามารถ ตีความและเข้าใจความหมายที่ผู้ฟังต้องการส่ือได้ ตัวอย่างการใช้อุปลักษณ์ของนาย อภิสิทธิ์ เวชชา ชีวะ ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ณ แยกราชประสงค์ หน้าลาน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรงุ เทพมหานคร “ผมอยากจะบอกตรงน้ีครับ โอกาสน้ีเป็นโอกาสท่ีดีที่สุดที่เราจะถอนพิษทักษิณ ออกจาก ประเทศไทย” 159

จากตัวอย่าง คําว่า \"ถอนพิษ\" เพ่ือเปรียบกับการกำจัดปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทย ทเ่ี กดิ จากการกระทำทไี่ ม่ดี 2.3 การแสดงหลักฐาน เป็นกลวิธีท่ีผู้ปราศรัยใช้เพ่ือนำเสนอหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ ประกอบการปราศรัยเพ่ือสนับสนุนประเด็นของตน ทั้งยังช่วยให้ความรู้แก่ผู้ฟังและเพ่ิมความ น่าเช่ือถือให้กับผู้ปราศรัย ซ่ึงเป็นกลวิธีหนึ่งในการโน้มน้าวใจ โดยพบกลวิธีการแสดงหลักฐาน 4 ประเภท คือ การยกตัวอย่าง การใช้สถติ ิ การอ้างองิ และการใช้คำพูดของคนอ่นื 2.4 การเปรียบเทียบความแตกต่าง เป็นกลวิธีที่ผู้ปราศรัยใช้เพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างแนวคิดและนโยบายของตนเองหรือพรรคกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม หรือเปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์หน่ึงกับอีกเหตุการณ์หนึ่ง การแสดงการเปรียบเทียบ ความแตกต่าง ผู้ปราศรัยใช้การแสดงตัวเลข สถิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงจำนวนเงิน จำนวนคน จำนวนวันหรือ จำนวนปี เพื่อช้ีแจงให้เห็นความแตกต่างหรือความเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีขึ้น ซ่ึงเกิดจากผลการ ปฏิบัติงานของผูป้ ราศรยั และพรรค เพอ่ื สอื่ ให้ผู้ฟงั เหน็ วา่ เปน็ ผลงานทน่ี ่ายกย่อง 2.5 การใช้คำถามย้อนกลับ เป็นกลวิธีท่ีผู้ปราศรัยใช้การตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นผู้ฟังให้เกิด ความตระหนัก และโน้มน้าวให้ผู้ฟังได้คิดไตร่ตรอง โดยผู้ปราศรัยอาจตั้งคำถามหลังจากกล่าว ประเด็นหรือกอ่ นกลา่ วประเด็นตอ่ ไป เพื่อช้ีนำใหผ้ ู้ฟงั เห็นเจตนาท่ีแฝงอยูใ่ นคำถามนั้น ๆ 2.6 การนำเสนอความเทา่ เทียมทางเพศ เปน็ กลวิธีที่ผู้ปราศรัยใชล้ ักษณะทางเพศ สภาพหญิง เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันในบทบาททางการเมืองของชายและหญิง ได้แก่ คำว่า “อ่อนแอ” “ผู้หญิง” และ “พลังสตรี” ตัวอย่างการนำภาพความเป็นหญิงของนางสาวย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ในวนั ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ณ สวนลมุ พินี กรงุ เทพมหานคร “หลายคนบอกว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้หญิงมักจะเป็นเพศที่อ่อนแอ แล้วจะทำงานแก้ไข การเมอื งได้หรือเปล่าคะ แมร้ า่ งกายดิฉันจะอ่อนแอกวา่ นักการเมืองทส่ี ว่ นใหญ่เป็นผู้ชาย แตจ่ ิตใจของ ดฉิ นั นั้นพรอ้ มทีจ่ ะรับการพสิ จู น์คะ่ \" จากตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงค่านิยมที่ว่าการเมืองเป็นพ้ืนท่ีของผู้ชายและแม้ผู้หญิง ถูกมองว่า เป็นเพศท่ีอ่อนแอก็เป็นเพียงความอ่อนแอทางร่างกายเท่านั้น โดยยืนยันความเป็นผู้หญิงท่ีมีจิตใจ เข้มแขง็ พร้อมที่จะทำงานทางการเมือง 2.7 การใช้รูปประโยคเง่ือนไข เป็นกลวิธีที่ผู้ปราศรัยใช้รูปประโยคที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็น เงื่อนไขและส่วนท่ีเป็นผลตามมา เพ่ือสื่อให้ผู้ฟังเห็นผลดีผลเสียจากการปฏิบตั ิตามหรือไม่ ปฏิบัติตาม เง่ือนไขที่ผู้ปราศรัยเสนอเป็นการช้ีให้ผู้ฟังเห็นภาพของเหตุและผลชัดเจนย่ิงขึน้ ซึ่งเป็นกลวิธีหนึ่งท่ีใช้ ในการชักจูงใจผฟู้ งั 160

3. การพดู โนม้ นา้ วใจให้ผูฟ้ งั คล้อยตามแล้วเชิญชวนใหป้ ฏบิ ัติ การพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตามแล้วเชิญชวนให้ปฏิบัติ เป็นการพูดจูงใจให้ผู้ฟังเกิด ความเช่ือถือศรัทธาในถ้อยคำของผู้พูด โดยใช้ภาษาที่เร้าใจใช้ระดับเสียงสูงต่ำ หนักเบา สอดแทรก ความรู้สกึ และอารมณ์ลงไปด้วย เน้ือหาสาระทพ่ี ูดจะต้องใช้เหตผุ ล มีข้อมูล ข้อเท็จจริงอ้างอิง อาจจะ มีตัวเลขสถิติต่าง ๆ ท่ีสร้างความเชื่อถือ สร้างมโนภาพขึ้นในใจผู้ฟัง เพื่อโน้มน้าวใจหรือจูงใจให้ผู้ฟัง เห็นจริงคล้อยตามผู้พูด แล้วเรียกร้องเชิญชวน วิงวอนให้ ปฏิบัติอย่างใดอย่างหน่ึง ตามจุคมุ่งหมาย ของผู้พูด โดยทั่วไปเป็นการชักชวนให้ร่วมมือกันทำประโยชน์ให้แก่สังคม ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเลือก หวั ข้อเรอื่ งที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ สงั คมส่วนรวม ตัวอย่างหัวข้อเรือ่ ง “ตอ้ งการพดู เก่ง ต้องเร่งฝกึ ฝน” “เงนิ บาทลอยตัว อยา่ มัวใชข้ องนอก” “ยาเสพติดเป็นภยั ต่อชวี ิต เปน็ พิษตอ่ สงั คม” “เราคนไทยจะชว่ ยชาตไิ ด้อย่างไรในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ” “บริจาคโลหิต ชว่ ยชีวติ เพือ่ นมนษุ ย์” “มาชว่ ยกันส่งเสรมิ สินคา้ ไทยกนั เถอะ” ดังน้ัน ลักษณะของการโน้มน้าวใจ มีอยู่ 3 ลักษณะหลัก ได้แก่ การพูดโฆษณา การพูดหา เสียง และการพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังคล้อยตามแล้วเชิญชวนให้ปฏิบัติ ลักษณะดังกล่าวต้องใช้ความ พยายามเปล่ียนความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และการกระทำของบุคคล โดยใช้กลวิธีท่ีเหมาะสมให้มี ผลกระทบใจบุคคล ท้ังใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษา จนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตาม จุดมุ่งหมายของโน้มน้าวใจหลักการสำคัญของการพูดโน้มน้าวใจ การทำให้มนุษย์เห็นว่าถ้าเช่ือและ เห็นคุณค่า หรือทำตามที่ผู้โน้มน้าวใจชี้แจงหรือชักนำแล้ว ก็จะได้รับผลที่ตอบสนองความต้องการ ขั้นพ้ืนฐานของตนนั่นเอง แต่ตราบใดท่ีความเห็นชัดยังไม่เกิดข้ึน ก็ยังถือว่าการโน้มน้าวใจยังไม่ สัมฤทธิผล ดังนั้นผู้โน้มน้าวใจควรได้ตระหนักถึงประเด็นและลักษณะของการโน้มน้าวใจเพ่ือให้ ผูร้ บั สารเขา้ ใจ เห็นความสำคญั และยอมรับการโน้มนา้ วใจ เทคนิคการโน้มนา้ วใจ เทคนิคหรือกลวิธีการพูดโน้มน้าวใจเป็นหนึ่งในปัจจัยท่ีสำคัญท้ังการทำงาน การพบปะผู้คน ล้วนใชห้ ลักจิตวิทยาการเข้าถึงและการพูดท้ังสิ้น เพ่ือให้เกิดความน่าเชอื่ ถือ ศรัทธา การปฏิสัมพันธ์ท่ี ดีตลอดจนการไว้ใจซึ่งกันและกัน ท้ังนี้ในหัวข้อเทคนิคการพูดโน้มน้าวใจ จึงได้รบรวมเทคนิคต่าง ๆ เพอ่ื ผู้พดู สามารถนำกลบั ไปประยกุ ตใ์ ช้และฝึกปฏบิ ัตจิ นเกิดความชำนาญในทักษะดา้ นการพดู ดังน้ี 1. เทคนคิ การโน้มนา้ วของเจมส์ อัลทเู ชอร์ (James Altucher) เจมส์ อัลทเู ชอร์ (James Altucher) เป็นบคุ คลทขี่ น้ึ ชือ่ วา่ เป็น “เซลแมนมือทอง” ชีวิตของเขาทำมาหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นขายสินค้า ทำงานด้านส่ือ จนประสบความสำเร็จและใน ท่ีสุดก็ลงมือเขียนหนังสือต่าง ๆ ประกอบการทำธุรกิจ ทั้งน้ีเขาได้ให้เทคนิคการโน้มน้าวใจคนภายใน 10 วินาที ซ่งึ มวี ิธกี ารดังนี้ (James Altucher, 2014: Online) 161

1.1 ต้องมีจุดยืนตัวเองท่ีชัดเจน ธรรมชาติของทุกคนต้องการแน่ใจว่าตัวเองกำลัง เจรจาอยู่กับคนที่สามารถไว้ใจได้ ดูมีความจริงใจ และท่ีสำคัญท่ีสุดคือมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาชื่น ชอบเราได้ เพราะฉะนั้นขณะที่การเจรจากำลังดำเนนิ ไป ผพู้ ูดต้องสร้างรูปแบบการเคล่ือนไหวร่างกาย ในหัว เพื่อตอบสนองต่อคำตอบของคู่สนทนา ให้ภาษากายแสดงความเห็นด้วย แม้ผู้พูดจะไม่ได้เอ่ย พูดคำน้ันออกมาก็ตาม บุคลิกภาพจะต้องหลังตรง ยิ้มแย้ม ฝ่ามือเปิด และพร้อมจะเปิดการเจรจา ตลอดเวลา ซ่ึงมีผลการวิจัยช้ีว่าถ้าคุณตัวงอ หรือย่ืนหลังไม่ตรง จะมีส่วนทำให้สมองของคุณไม่ สามารถเชื่อมต่อกับระบบประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ียังไม่สามารถดึงศักยภาพของ สมองมาใช้ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ ทำให้การพดู ของคณุ ดไู มล่ ่นื ไหลนน่ั เอง 1.2 ต้องผ่อนคลาย ข้ันตอนนี้เป็นวิธีการผ่อนคลายตัวเองด้วยวิธีการหายใจจาก ความประหม่าและความกังวล โดย เจมส์ อัลทูเชอร์ ได้นำเทคนิคการหายใจง่าย ๆ ของตัวเขาเองมา แนะนำ คือ ให้หายใจลึก ๆ ให้อากาศไหลเข้าสู่หน้าท้องแล้วหายใจออกสามครั้ง โดยขณะท่ีผ่อนลม หายใจออก ให้พยายามจินตนาการว่าหน้าท้องของเรากำลังผ่อนอากาศออกจนหน้าท้องสามารถไป แตะหลังได้ โดยวิธีการคิดแบบน้ีจะชว่ ยทำใหจ้ ิตใจผอ่ นคลายขน้ึ 1.3 ห้ามพูดคำว่า อ๋อ, อ่าหะ, เหรอ วิธีการตอบโต้กับคู่สนทนาถือเป็นอีกหน่ึง เทคนิคท่ีจะมีผลต่อระบบการทำงานของภาพลักษณ์ตัวเราต่อสมองของอีกฝ่าย ซึ่งพบว่าการที่เราใช้ คำโตต้ อบ เช่น อา่ หะ อ้ืม เหรอ เพื่อแสดงความเขา้ ใจในขณะท่ีอีกฝา่ ยกำลังพูดนน้ั จะมผี ลทำให้สมอง ของอีกฝ่ายตีความว่าการกระทำเช่นน้ีเป็นการกระทำท่ีไร้สาระและดูไม่ฉลาด จากการศึกษาพบว่า วิธีการท่ีถูกต้อง คือ ปล่อยให้คู่สนทนาพูดจนจบ แล้วท้ิงช่วงเวลา 2 วินาที ก่อนที่จะตอบออกไป นอกจากน้ีการท่ีผู้พูดทำการวิเคราะห์หาคำตอบไปด้วยขณะอีกท่ีฝ่ายกำลังพูดน้ัน จะทำให้สมองของ เรารับข้อมูลได้ไม่ ท้ังน้ีแนะนำให้ตั้งใจฟังจนจบก่อนแล้วค่อยทำการวิเคราะห์ข้อมูล วิธีน้ีจะเป็นวิธีที่ดี ทสี่ ดุ 1.4 หลักแนวคิด 6U เป็นแนวคิดที่จะช่วยเสริมสร้างเทคนิคการพูดของคุณให้มี ประสิทธิภาพมากข้ึน โดยให้ยึดหลักเหล่าน้ีทุกคร้ังที่คุณจะพูดอะไรออกไป คือ 1) ต้องไม่เร่งรัด 2) ต้องแตกต่าง 3) ตอ้ งมีประโยชน์ 4) ตอ้ งตรงประเด็น 5) ตอ้ งเป็นมิตร 6) ต้องไม่มีขอ้ กงั ขา 1.5 ความปรารถนาของคู่สนทนา ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวว่า “อย่ารับของจาก คนแปลกหน้า” เป็นประโยคท่ีเราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ในโลกของธุรกิจ นักลงทุนก็ เปรียบเสมือนเด็กคนท่ีเราจะยื่นขนมให้ แล้วเราน่ีแหละท่ีเป็นคนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นจะทำ อย่างไร ให้เด็กคนหน่ึงกล้าที่จะย่ืนมือมารับของจากคนแปลกหน้า และนี่คือหลักความปรารถนาของ ลูกคา้ เมื่อเราตอบสนองหลักนีแ้ ล้วจะทำให้ค่สู นทนาของเรามีความพอใจมากขนึ้ โดยหลกั ที่วา่ มีดังนี้ Recognition การทำใหเ้ ขารสู้ กึ ยอมรับ Rejuvenation การทำให้เขารู้สึกกลบั เปน็ หนุ่มสาว Relaxation การทำให้เขารู้สกึ ผอ่ นคลาย รสู้ กึ ปลดปลอ่ ย Religion การทำให้เขาเลอ่ื มใส Remuneration การทำใหเ้ ขาพอใจในคา่ ตอบแทน Results การทำใหเ้ ขาเข้าใจในผลทีต่ ามมา 162

1.6 ตอ้ งกลา้ ท่ีจะคิดคำ ไม่วา่ ใครกย็ ่อมตอ้ งมีจุดผิดพลาดกนั ทั้งน้ัน หากผู้พูดกลา้ ท่ี จะรู้จักเตือนคู่สนทนาคุณในจุดท่ีเขาผิดและแก้ให้ถูกต้องโดยการยึดหลักท่ีแนะนำ ก็จะสามารถสร้าง ความประทบั ใจให้คสู่ นทนา อีกทง้ั ยงั เป็นการแสดงศักยภาพทางความรู้ของเราให้เขาเหน็ อีกดว้ ย 2. เทคนคิ การสะกดผู้ฟงั ในการพดู โนม้ น้าวใจ ผพู้ ดู จะตอ้ งสงั เกตพฤตกิ รรมของผ้ฟู งั ว่ามปี ฏิกิริยาตอบรบั อย่างไร ท้ังน้ีผู้พูดจะต้องสามารถสะกดผู้ฟังให้อยู่ ไม่ให้ผู้ฟังหันเหไปทางอ่ืน โดยมีวิธีการดังนี้ (กิติมา อมรทตั , 2563: 386-393) 2.1 แสดงความจริงใจออกมาใหเ้ หน็ ไม่มีอะไรทจ่ี ะจับใจผูฟ้ ังไดร้ วดเร็วเท่ากบั ความ ตรงไปตรงมา และความรู้สึกจากคำอธิบายท่ีซื่อตรง ฉะนั้นจงอย่าเพียงแต่พูดออกมาแต่จงแสดงภาพ มันออกมาด้วย ผู้พูดต้องทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเช่ือในคำพูดทุกคำของผู้พูด ท้ังน้ี เดนเนธ แมคฟาร์แลนด์ ผู้เป็นนักพูดประจำปี ไดก้ ล่าวว่า คำพูดทีม่ ีประสิทธภิ าพ จะต้องเปน็ การหลั่ง รนิ เอาความม่ันใจ อุดมคติ ประสบการณ์ ความรู้ และความศรัทธาของผ้พู ูดออกมา 2.2 จงมีความสนิทสนม ส่ิงที่จะทำให้ผู้พูดเอ้ือมไปถึงผู้ฟังได้ คือ การสร้าง ปฏิสัมพันธ์ความสนิทสนม คำพูดจะต้องดูไม่แข็งท่ือจนน่าเบื่อ แต่จะต้องเป็นคำพูดที่มีเสน่ห์ดึงดูดใน สายตาของคนอ่ืน 2.3 จงพูดให้ได้ผลแต่ไม่กระทบกระเทือนใคร การที่ผู้พูดมีเสน่ห์ มีความดึงดูดหรือ ไร้เสน่ห์น้ัน อยู่ที่ว่าผู้พูดพูดกับผู้ฟังอย่างไร อย่าพูดให้ดูเครียดหรือพูดเกินจริงไปมาก แต่จงพูดไป อย่างธรรมชาตอิ ย่ตู ลอดเวลา 2.4 การส่งข้อความท่ีพูดออกไป การแสดงออกบางอย่างท่ีทำให้โดดเด่นขึ้น คือ การออกเสียงสูง-ต่ำ หรือการพูดอย่างมีนัย เหล่าน้ีล้วนแต่บอกถึงเร่ืองราวได้ จงใช้น้ำเสียงและคำพูด เปน็ จดุ สร้างความแตกตา่ งจากผู้อืน่ และใช้ถ้อยคำทีเ่ หมาะสมกับลกั ษณะของผู้พดู อยา่ งถกู กาลเทศะ 2.5 จงรักษาลักษณะท่าทีท่ีมีชีวิตชีวา การที่จะสร้างลักษณะท่าทางท่ีมีชีวิตชีวาได้ นั้น อย่ทู ่ตี วั บคุ คลวา่ จะแสดงทา่ ทางต่อสถานการณ์ได้มากนอ้ ยแค่ไหน 2.6 จงแสดงความมีสติและความมีอำนาจ ในขณะที่พูดจงพูดด้วยความมั่นใจ แสดงออกมาด้วยความมั่นใจ ทั้งการเคลื่อนไหวของร่างกาย การใช้เสียง จะต้องฝึกฝน เพราะท้ังสอง ส่ิงน้ีจะเป็นส่ิงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูดมีอำนาจ หากทำการฝึกซ้อมบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ ใช้งานอยู่เสมอ ความสามารถและการประเมินประสิทธิภาพของผู้พูดนั้น เป็นสัดส่วนโดยตรงกับสิ่งท่ี ผพู้ ูดได้ฝึกฝนเรียนรู้มา ลักษณะที่แสดงถึงความมีสติและความมีอำนาจข้นึ อยู่กับการแสดงพลงั อำนาจ ของผพู้ ูดออกมา 2.7 จงพูดอย่างแจ่มใส ชัดเจน และน่าฟัง การใช้ถ้อยคำต้องมีการออกเสียงและ เลือกใช้ถ้อยคำที่ชัดเจน ต้องมีการเปิดปากพูดออกมา คววรหลีกเล่ียงการแย้มปากพูดงมึ งำ จงปล่อย พลังคำพูดออกมาอย่าแจม่ แจง้ ชัดเจน 163

2.8 อย่ากลัวอารมณ์ จงแสดงมันออกมา ไม่ว่าผู้พูดจะพูดเรื่องอะไร แม้แต่เป็นการ พูดเร่ืองที่น่าเบ่ือที่สุด ก็ต้องปลุกอารมณ์ข้ึนมา จงกระตุ้นให้มีเสียงหัวเราะ มีความเมตตา มีความ ต่ืนเต้น ชว่ ยทำให้เกดิ ความคิด มคี วามสขุ สำราญ หรือมนี ำ้ ตา 2.9 จงพูดให้ไหลล่ืนไปตามธรรมชาติ ถ้าจะให้คำพูดมีเสน่ห์ คำพูดน้ันควรไหลล่ืน เป็นธรรมชาติ อาจฟังดูเพ้อฝัน กระแทกกระท้ัน แม่นยำ หรือถูกขัดเกลาให้สวยงาน ควรมีการเว้น วรรคตอน ใช้น้ำเสียงสูง-ต่ำ และโครงสร้างประโยคท่ีสร้างขึ้นมาต้องมีเหมาะสมกับจังหวะข้อความ ของสาร หากเปน็ การพูดท่ตี น่ื เต้น อาจเปน็ ประโยคสั่น ๆ หว้ น ๆ 3. เทคนคิ การใช้หลักบอร์เดน็ (Richard C. Borden) หลักของบอร์เด็น เป็นหลักการของ Richard C. Borden มีหลักการดำเนินเร่ืองการพูด โน้มน้าวใจ 4 ขน้ั ตอน (ลลติ า โชตริ ังสยี ากลุ , 2544: 220) ดงั น้ี ขั้นที่ 1 จงจดุ ไฟให้ลกุ ข้นึ พูดโจมตีจุดสำคัญทันทที ่ีกล่าวประโยคแรกเทา่ กบั เปน็ การจุดไฟให้ ลุกขนึ้ ท่ามกลางความไมเ่ ป็นระเบยี บของผู้ฟงั ขน้ั ท่ี 2 จงพูดให้เห็นคล้อยตาม นำเข้าสู่เนื้อหาของเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับผู้ฟังและที่ ต้องการให้ ผฟู้ ังรว่ มมือ ขั้นที่ 3 จงหาข้อสนบั สนุน ยกตัวอย่างที่มีน้ำหนักและชดั เจนให้ผู้ฟังเห็นด้วยอยา่ ง ปราศจาก ขอ้ เคลือบแคลงสงสัย ขั้นท่ี 4 จงเรียกร้องให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้พูดเรียกร้องให้ผู้ฟังปฏิบัติอย่าง ใดอย่าง หนึ่งตามทผ่ี พู้ ดู ตอ้ งการ บทสรุป การโน้มน้าวใจ เป็นทักษะที่สำคัญท่ีจะช่วยให้ความต้องการได้รับการสนอง อีกท้ังเป็นทักษะ ท่ีส่งเสริมความสำเร็จในหลากหลายอาชีพ เช่น นักการตลาด ทนายความ แพทย์ นักประชาสัมพันธ์ ครู นักการเมือง ผู้บริหารทุกระดับ เป็นต้น เราอาจพิจารณาเรื่องการโน้มน้าวใจ ได้หลาย ๆ ประเด็น เช่น การโน้มน้าวใจเป็นทั้งกิจกรรมและเป็นท้ังกระบวนการ เม่ือเราได้กระทำการเสร็จแล้ว โดยจะ โน้มนา้ วใจสำเรจ็ หรือไม่ก็ตาม การโน้มน้าวใจถือเปน็ กระบวนการเมือ่ เราพิจารณาถึงองค์ประกอบของ ได้แก่ แหล่งสารหรือผู้ส่งสาร สาร ช่องทาง ส่ือ ผู้รับสาร ปฏิกิริยาตอบกลับและสภาพการณ์ของการ สือ่ สาร อีกท้ังทำให้คนเปลย่ี นความเชื่อ ทัศนคติ และบางครั้งอาจเปลย่ี นพฤติกรรมได้ซ่ึงเป็นขนั้ ท่ยี าก และสลบั ซบั ซอ้ น กระบวนการสื่อสารเพ่ือการโน้มน้าวใจ ประกอบด้วยพื้นฐานหลัก 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ผู้ส่งสารหรือแหล่งสาร ผู้ส่งสารวิเคราะห์ผู้รับสารและหัวข้อโน้มน้าว กล่าวคือ ผู้ส่งสารต้องทำ ความเข้าใจเก่ียวกับผู้รับสาร ทั้งความเช่ือ ทัศนคติ ค่านิยม ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ 2) ผู้รับสาร ต้องกลั่นกรองและทำความเข้าใจของสารท่ีโน้มน้าว โดยเปิดรับอย่างต้ังใจ พยายามทำความเข้าใจ และจดจำเฉพาะเนื้อหาที่ตนสนใจ ทัศนคติและความเชื่อเดิมของผู้รับสารมีอิทธิพลต่อการตัดสนใจ 164

ยอมรับหรือปฏิเสธการโน้มน้าว 3) สาร ได้แก่ เน้ือหา รปู แบบ หน้าที่ และโครงสร้าง เนื้อหาของสาร หมายถึง ภาษาท่ีใช้ในการสร้างความหมาย การเลือกใช้คำที่มีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวใจ รูปแบบของ สาร หมายถึง สื่อท่ีใช้ในการถ่ายทอด 4) ปฏิกิริยาตอบกลับ ผู้ส่งสารต้องติดตามและสังเกตปฏิกิริยา ตอบกลับจากผู้รับสาร เพ่ือดูว่าสารที่ส่งไปนั้นมีประสิทธิผลในการโน้มน้าวใจ ผู้รับสารสามารถ แสดงออกไดท้ นั ทีจากสหี น้า นำ้ สียง และทา่ ทางของผูร้ บั สาร การสร้างสารเพื่อการโน้มน้าวใจ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีมีการสำคัญต่อการพูดโน้มน้าวใจ ถึงแม้ผูพ้ ูด จะมีบุคลิกภาพดี มีความน่าเชื่อถือ น้ำเสียงไพเราะเพียงใด แต่ถ้าสารที่นำเสนอมีการจัดเรียงไม่ สอดคล้องกับหัวข้อท่ีต้องการโน้มน้าวใจหรือไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ฟัง ก็เป็นเรื่องยากท่ี จะทำให้ผู้ฟังตล้อยตามได้ ผู้พูดจึงควรเรียนรู้วิธีการสร้างสารในการโน้มน้าว ซ่ึงมีหลายสิ่งที่ต้อง คำนึงถึง เช่น การเรียบเรียงข้อความ การจัดลำดับร้องขอ การใช้จุดจูงใจ ตลอดจนการสร้างอิทธิพล เพ่ือให้เกดิ การจงู ใจคลอ้ ยตาม เทคนิคหรือกลวิธกี ารพูดโนม้ น้าวใจ เป็นหลักจิตวทิ ยาในการเข้าถึงใจของผู้ฟังและทกั ษะการ พูดทั้งส้ิน เพื่อให้เกิดความน่าเชือ่ ถอื ศรทั ธา การปฏิสัมพันธท์ ี่ดี ซง่ึ เทคนคิ หรือกลวิธกี ารพูดโนม้ นา้ วมี หลากหลายเทคนิคเพ่ือให้ผู้พูดได้ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ได้แก่ 1) เทคนิคการโน้มน้าวของเจมส์ อัลทเู ชอร์ (James Altucher) 2) เทคนคิ การสะกดผฟู้ งั และ 3) เทคนิคการใชห้ ลักบอรเ์ ด็น (Richard C. Borden) อย่างไรก็ตาม การโน้มน้าวใจอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จใด ๆ เลยก็เป็นได้ หากผู้ท่ีกำลังโน้ม น้าวใจขาดทักษะการจูงใจ ประสบการณ์ ความรู้ ความชัดเจนไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฟังคล้อยตาม และเปล่ยี นความเช่อื ท่มี ีลงได้ 165

คำถามทา้ ยบทท่ี 6 1. การพูดโน้มนา้ ว เปน็ การพูดในรูปแบบใด 2. องคป์ ระกอบของการพูดโน้มน้าวให้ประสบความสำเรจ็ ควรคำนึงถงึ องค์ประกอบข้ันพื้นฐาน อะไรบ้าง 3. เทคนิคการกา้ วเท้าเขา้ ประตกู ับเทคนคิ ปิดประตูใสห่ น้า มีข้อแตกตา่ งกันอย่างไร 4. การใช้จุดจงู ใจในการพูดโน้มน้าวมกี ปี่ ระเภท อธิบาย 5. หากตอ้ งพดู โนม้ น้าวใจ มีเทคนิคการโนม้ น้าวใจอย่างไรใหผ้ ู้ฟงั คล้อยตามและสามารถเปลี่ยน ทัศนคติได้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติการพูดโน้มน้าวใจ นักศกึ ษาฝึกปฏบิ ตั ิการพูดโน้มนา้ วใจ โดยมีวธิ ีการฝกึ ปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1. นกั ศกึ ษาสร้างสถานการณจ์ ำลองในการฝึกการพดู โน้มนา้ วใจ นักศกึ ษาสามารถดำเนินการ ต่อไปน้ี 1.1 กำหนดประเด็นหรือหวั ข้อในการโน้มนา้ วใจ 1.2 กำหนดจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะพูดโนม้ น้าวใจ 1.3 วเิ คราะห์ผู้ฟัง 1.4 ศกึ ษาข้อมลู และรวบรวมข้อมูลนำมาสงั เคราะหแ์ ละจดั เรยี งลำดบั เนื้อหาทีจ่ ะพูด 1.5 เลอื กใช้จุดจงู ใจใหส้ อดคล้องกบั เน้ือหาและจุดมุ่งหมายของการโนม้ นา้ วใจ 1.6 หากมีส่ือหรือเครื่องมือประกอบการพดู นำเสนอ จัดเตรียมให้พร้อม 1.7 ฝึกซ้อมการพดู โนม้ นา้ วใจตามระยะเวลาที่กำหนด 2. อาจารย์ผูส้ อนกำหนดระยะเวลาการพดู โนม้ นา้ วใจตามความเหมาะสม 3. นักศึกษาดำเนนิ การพูดโนม้ น้าวใจตามหวั ขอ้ ได้จดั เตรียมมา 4. เมอ่ื จบการพูดโนม้ นา้ วใจ รว่ มแสดงความคิดเหน็ และสรปุ สิ่งทไ่ี ดน้ ำเสนอ 166

บรรณานุกรม ภาษาไทย กิติมา อมรทตั . (2563). ศิลปะการใช้ถอ้ ยคำเพอ่ื จูงใจคน. กรุงเทพฯ: ไทยควอลติ ้ีบุ๊คส์ (2006) จำกัด. จมุ พล รอดคำดี. (2539). กระบวนการสรา้ งและรักษาความนิยมของพิธีกรโทรทัศน์. นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต, จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ณฏั ฐช์ ดุ า วจิ ติ รจามรี. (2556). การสือ่ สารเพื่อการโน้มน้าวใจ. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ ภิญโญ ชา่ งสาน. (2539). เอกสารประกอบการสอนวชิ าวิทยาการ. สงขลา: สถาบนั ราชภฏั สงขลา. ภสู ทิ ธ์ ภูคำชะ. (2560). มโนทัศน์พนื้ ฐานการวจิ ัย: การแสวงหาความรู้. [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมอื่ 25 เมษายน 2562, จาก : https://bit.ly/2M8IsAq. ลลติ า โชตริ งั สยี ากลุ . (2542). หลักการพดู . สงขลา: สถาบันราชภัฏสงขลา. . (2544). วาทการ. สงขลา: สถาบนั ราชภัฏสงขลา. วิเศษ ชาญประโคน. (2550). ภาษาไทยเพอ่ื การส่อื สาร. กรุงเทพฯ : ทริปเพ้ลิ กรปุ๊ . วินัย จนั ทรพ์ รมิ้ . (2550). หลักการพูด. สงขลา: สถาบันราชภฏั สงขลา. สุภาพ กริ่งรมั ย์ และศิริพร ปัญญาเมธีกุล. (2555). กลวิธกี ารโน้มนา้ วใจในการปราศรยั หา เสียงเลือกตั้งท่วั ไป ปี พ.ศ. 2554 ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอภสิ ิทธิ์ เวชชาชีวะ. [ออนไลน]์ . สืบคน้ เมอ่ื 25 เมษายน 2562, จาก: https://bit.ly/3exHsC6. อรวรรณ ปลิ ันธน์โอวาท. (2554). การสื่อสารเพือ่ การโนม้ น้าวใจ. กรุงเทพ: จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ภาษาองั กฤษ Bettinghaus, E.P.and M.J.and Cody, (1994). Persuasive Communication. 5th ed. Victoria: Wadsworth Thomson Learinig. Cialdini, R.B. (2009). Influence: Science and Practice. 7th ed. Boston: Pearson Education. Hovland and Janis. (1959). Personality and Persuasibility. New Haven: Yale University Press. Johnston. 167

Larson, Charles U. (1995). Persuasive: Perception and Responsibility. 7th ed. Belmont, Calif: Wadsworth. Perloff, Richard M. (2010). The Dynamics of Persuasion: Communication and Attitudes in the 21st Century. 4th ed. New York: Routledge. Roger, W. (2007). Persuasion: Messages, Receiver, and Contexts. Lanham: Rowman & Littlefield Publishers. James Altucher. (2014). How to convince anyone of anything in 10 seconds. [Online]. Retrieved 25 May 2019, from: https://bit.ly/2yLSAvO. 168

บทที่ 7 การประชมุ การทำงานร่วมกันในหน่วยงาน จำเป็นต้องมีการประชุมเพ่ือปรึกษาหารือหรือพิจารณาหา แนวร่วมในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งเพ่ือถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารหรือเร่ืองราวต่อกันในองค์กร การประชุมเป็นวิธีการทางประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้บุคคลได้แสดงความคิดเห็น ได้มีส่วนร่วมใน การบริหารงาน เช่น การกำหนดนโยบาย วางแผนองค์กรหรือการทำงาน การจัดการองค์กรหรือการ ตัดสินใจในวาระสำคัญเป็นต้น เนื่องจากการประชุมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่ือสาร ดังนั้นการ ประชุมในแต่ละโอกาส ผู้ท่ีเก่ียวข้องจึงควรระมัดระวังและศึกษาถึงระเบียบวิธีการกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งนี้เพ่ือให้การประชุมสำเร็จลุล่วงเป้าหมาย ในบทน้ีได้นำเสนอเร่ืองการประชุม โดยมีเนื้อหา ประกอบด้วย ความหมายและความสำคัญของการประชุม จดุ มุ่งหมายของการประชุม ประโยชน์ของ การประชุม รูปแบบการประชุม การประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบของการประชุม การ ดำเนินการประชมุ และการจัดสถานท่ีประชุม ท้ังนี้เพื่อให้ผู้พูดสามารถนำความรแู้ ละหลักทฤษฎีนำไป ประยกุ ตใช้ในการประชุมไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพต่อไป ความหมายและความสำคญั ของการประชุม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556: 496) ให้ความหมายของคำว่า ประชุม ก. มา รวมกันหรือเรียกให้มารวมกัน เพ่ือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง, มาร่วมพบกันเพ่ือปรึกษาหารือ เช่น การประชมุ กรรมการ ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์ (2519: 217) กล่าวว่า การประชุม คือ การท่ีบุคคลพบกันเพื่อ วตั ถปุ ระสงค์อยา่ งใดอย่างหนึง่ หรือหลายอยา่ ง มังกร ชัยชนะคารา (2520: 1) กล่าววา่ การประชุม คือ การที่บุคคลกลุ่มหนึ่งนัดหมายกนั มา เพอ่ื สงั สรรค์อย่างมจี ุดมุ่งหมาย และมีระเบียบวธิ ี ณ สถานทแ่ี ห่งหนง่ึ ตามเวลาท่กี ำหนด สำเนียง มณีกาญจน์ และสมบัติ จำปาเงิน (2530 : 119) กล่าวว่า การประชุม คือ การที่คน กลุ่มหนึ่งมาพบกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนกระทั่งสามารถยุติข้อวินิจฉัยเก่ียวกับเรื่องท่ี ประชุมนนั้ ได้ ดังน้ัน การประชุม คือ การที่บุคคลกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมกันอย่างมีกฎเกณฑ์ เพื่อวัตถุประสงค์ อยา่ งใดอย่างหน่ึงหรอื หลายอยา่ ง ความสำคัญของการประชุม ถือเป็นวิถีทางหน่ึงในการปกครองระบบประชาธิปไตย เพราะการประชุมเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องได้มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น มีสว่ นร่วมในการตัดสินใจ และมีส่วนรบั ผิดชอบตอ่ การดำเนนิ งาน นอกจากน้ีการประชมุ ยังช่วยให้เกิด ความสามคั คี และก่อให้เกดิ ความเข้าใจที่ดีต่อกัน ในการบรหิ ารงานหากหน่วยงานใดรู้จักใช้ประโยชน์ จากการประชุม ย่อมจะไดร้ บั ผลประโยชน์ที่คมุ้ คา่ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทีเ่ กดิ จากความร่วมมือรว่ มใจ ในการทำงานของบุคคลากร การระดมความคิดหรือแม้แต่ประโยชน์ในแง่ของพัฒนาบุคลากร

ส่ิงเหล่านี้สามารถสร้างสรรค์ได้ไม่อยากนักถ้าหากผู้บริหารรู้และเข้าใจ และพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้ ทกุ คนไดม้ ีโอกาสแสดงความรู้ความสามารถภายใต้กฎเกณฑต์ ามรปู แบบของการประชมุ จดุ มุ่งหมายของการประชุม การประชุมในแต่ละโอกาสย่อมมีจุดมุ่งหมายท่ีแตกต่างกัน โดยหลักทั่วไปการประชุมมี จดุ มุ่งหมายดงั ต่อไปน้ี (มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา, Online.2563) 1. เพื่อกำหนดนโยบายขององค์กร เป็นการแลกเปล่ียนความคิดเห็นให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ทง้ั ของผู้ปฏิบตั ิงานและหวั หนา้ งาน เพ่ือเป็นขอ้ มูลในการตัดสินใจของผบู้ ริหารในการกำหนดนโยบาย ขององค์กร 2. เพ่ือให้เหตุผล เป็นการหาข้อตกลงใจร่วมกันของผู้มาประชุม ด้วยความรอบคอบและการ ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล ข้อมูลท่ีใช้ในการประชุมลักษณะนี้จะมีเรื่องที่เกิดจากผู้บ ริหารระดับสูง และส่งผลกระทบไปยังผู้ปฏิบัติงานระดับล่าง เช่น การพิจารณาให้ความดีความชอบ การมอบหมาย งานใหท้ ำ เปน็ ต้น 3. เพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติงาน เป็นการพิจารณาอนุมัติแผนงานปฏิบัติงาน การกำหนดระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เป็นการสร้างความเจริญก้าวหน้า และความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในองคก์ ร 4. เพ่ือแก้ปัญหาและตัดสินใจ เป็นการพิจารณาทางเลือกท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหาการ ปฏิบัติงาน 5. เพื่อปรึกษาหารือ เป็นการพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้แผนปฏิบัติงานที่กำหนดไว้สู่ ความก้าวหน้า และปฏิบัติงานได้อย่างแน่นอน มีการรายงานความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และวางแผนเพื่อแก้ปัญหาในสง่ิ ท่ีไดป้ ฏิบตั ไิ ปแล้วให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 6. เพื่อประเมินผลและให้ข้อมูลย้อนกลับ เป็นการตรวจสอบความก้าวหน้าของแผนที่ได้ กำหนดไว้ มักจะเป็นไปในลักษณะของการให้ข้อมูล ช้ีแจง การนำแผนไปใช้ของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อ ผู้บงั คับบญั ชา 7. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี เป็นการพิจารณากิจกรรมที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผ่อนคลายความเครียด และสรา้ งบรรยากาศทด่ี ใี ห้แกบ่ คุ ลากรในองคก์ ร 8. เพ่ือดูปฏิกิริยาตอบโต้ การพิจารณาโต้ตอบของบุคลากร ในกรณีที่มีการตัดสินใจนำสิ่ง ใหม่ ๆ มาใช้ เชน่ โครงการ นโยบายใหม่ แนวทางแก้ไขปัญหา เป็นตน้ ควรจัดประชุมในระยะเวลาไม่ นานนกั 170

9. เพอื่ สาธิตผลผลติ หรือระบบ เป็นแบบ Dhow and Tell ใหบ้ ุคลากรได้พจิ ารณาและสรา้ ง ความรู้สึกว่าเป็นผลผลิตของทุกคนที่ควรภาคภมู ิใจ 10. เพ่อื ระดมความคิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ความคิดใหม่ ๆ ในการปฏิบตั ิงาน ผู้มาประชุมจะได้รับ การรอ้ งขอให้ระบุปัญหาและวธิ ีการแก้ไข เพื่อเลือกสรรแนวทางใหมใ่ นการปฏบิ ตั ิงาน ประโยชน์ของการประชุม สพุ ัฒก์ ชุมช่วย (2537: 5-8) ไดส้ รปุ ประโยชนข์ องการประชุม ดังน้ี 1. พัฒนาคน การประชมุ ท่ีดีเป็นการให้โอกาสแกบ่ ุคคลไดฝ้ ึกฝนการสอ่ื ความหมาย เรยี นรู้ ความคิดของผู้อ่ืน ฝึกการแก้ปัญหา ฝกึ การนำเสนอข้อมลู ให้แกก่ ัน เป็นตน้ 2. ทำให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ ความรเิ รม่ิ ความคดิ แปลก ๆ ใหม่ ๆ จะเกิดข้ึนในที่ประชุม ที่ดำเนนิ การอยา่ งถกู วธิ ใี นการแก้ปญั หา หรอื แสวงหาลูท่ างใหม่ มกั จะเกิดข้นึ ในทป่ี ระชุมทมี่ กี าร ประชมุ เชงิ สรา้ งสรรคโ์ ดยเฉพาะ 3. สรา้ งทีมงาน การประชมุ ท่ีดใี นบรรยากาศท่ีดี จะทำให้เกิดปฏสิ ัมพันธ์สูง เกิดความ เหนียวแนน่ และเปน็ เอกภาพ ซึง่ เปน็ องค์ประกอบสำคญั ในทมี งานได้เปน็ อย่างดี 4. ปรบั ความคิด การประชมุ ที่ดีจะเปน็ เคร่ืองมือในการปรบั ความคิดของคนสว่ นใหญใ่ น ประเดน็ ตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นประเด็นทอี่ ยูใ่ นระนาบเดียวกันไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5. แกป้ ญั หาร่วมกัน ในที่ประชมุ ซงึ่ เปน็ องคป์ ระกอบโดยคนที่มพี นื้ ฐานทแี่ ตกต่างกนั ย่อมช่วยใหก้ ารระบแุ ก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ขององคก์ รมีความกระจา่ งชดั เจนข้ึน การสรา้ งทางเลือกการ ประเมนิ ทางเลือก และการตดั สินใจเลอื กแนวทางในการแก้ไขปัญหา ยอ่ มจะทำให้ได้ดกี วา่ การคิดของ คนกลุ่มเดยี ว 6. สรา้ งแรงจงู ใจ ในองค์กรขนาดใหญ่ การสร้างกระแส สรา้ งแรงจงู ใจ จะทำไดง้ ่ายในที่ ประชมุ 7. สร้างความเจรญิ กา้ วหน้าหรือกำไรให้องค์กร การประชุมที่มปี ระสิทธภิ าพช่วยใหเ้ กิด ความมุ่งมนั่ ในการปฏบิ ัติงาน เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของบคุ ลากร ผลประโยชนข์ ององค์กรใน ท่สี ุด องค์กรใดท่ีไม่มีการประชมุ หรอื มกี ารประชุมน้อย หรือประชุมไม่มีประสิทธิภาพ ยากทจี่ ะพบ ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร 8. สรา้ งความรสู้ ึกเปน็ เจา้ ของอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมท่ีดีจะชว่ ยให้ผมู้ าประชุมทุก คนรู้สกึ ว่าไดม้ ีส่วนร่วมในการสรา้ งทางเลอื ก และไดช้ ่วยกันทำใหส้ ำเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์ทกี่ ำหนดไว้ ความมงุ่ มน่ั ในการปฏบิ ตั ิตามข้อยตุ ใิ นท่ีประชุมจะมีสงู และเมื่อประสบความสำเร็จก็จะเกิดความ ภาคภูมใิ จ มีความรสู้ ึกเปน็ เจ้าของผลงานนนั้ และเพือ่ นรว่ มงานทกุ คนก็คือพวกเดยี วกนั 171

รปู แบบของการประชมุ การประชุมเป็นส่ิงสำคัญของการทำงานทุกระดับ เป็นแหล่งสำคัญท่ีผู้บริหารและบุคลากร ภายในองค์กรได้แสดงถึงความสามารถของการเป็นผู้นำในการดูแล กำกับ ควบคุมงานในความ รับผิดชอบ การประชุมเป็นสิ่งท่ีไม่อาจหลีกเลีย่ งไดเ้ พื่อประโยชนใ์ นการดำเนินการของหน่วยงานหรือ องค์กร รูปแบบของการประชุมมีลักษณะเฉพาะหลากหลายรูปแบบ และมีประโยชน์เฉพาะงานที่ แตกต่างกนั ดังนี้ (สว่ นพัฒนาและจดั การองคค์ วามรู้ สถาบนั ดำรงราชานุภาพ, 2553: 9-12) 1. การประชุมระดมความคิดเห็น (brain-storming) เป็นการท่ีสมาชิกของที่ประชุมช่วยกัน แสดงความคดิ เห็นอย่างเสรีในเรือ่ งใดเรื่องหน่ึงในเวลาท่ีจำกัด ให้ได้ปริมาณความคิดท่ีต้องการ โดยท่ี ยังไม่คำนึงถึงคุณภาพและคุณค่าของความคิดเห็นน้ัน ๆ ใช้ในกรณีรวบรวมความคิดเห็น จากสมาชิก ทกุ คนในเวลาทจ่ี ำกดั เพื่อนำไปเลือกสรรต่อไป 2. การประชุมปรึกษาหารือ (conference) เป็นการประชุมกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กก็ได้ท่ีมี ความสนใจร่วมกัน ประชุมและตกลงร่วมกัน ใช้ในกรณีกลุ่มซึ่งมีความสนใจอภิปรายในขอบข่าย ทางดา้ นเทคนิคเฉพาะตน การวางแผนพัฒนา 3.การประชุมระดับหัวหน้างาน (convention) เป็นการประชุมผู้บริหารระดับต่าง ๆ ของ องค์กร ใช้ในกรณีกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ แผนกลยุทธ์ ให้การศึกษา (วิทยากรรับเชิญ การอภิปรายแบบมีส่วนร่วม การประชุมเชิงปฏิบัติการและอ่ืน ๆ) การคดั เลือกเจ้าหน้าที่หรือคัดเลือก ตัวแทนและการฝกึ อบรม เปน็ ต้น 4. การประชุมคณะกรรมการ (committee meeting) เป็นการประชุมกลุ่มย่อยที่ได้รับการ คัดเลือกเป็นตัวแทนขององค์กร เช่น คณะกรรมการบริหารจัดการความรู้ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งหรือ ได้รับมอบหมายให้พิจารณาดำเนินการในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อาจจะแบ่งกลุ่มย่อยอีกก็ได้ การประชุมรูปแบบนี้ใช้ในกรณีเป็นตัวแทนขององค์กรประชุมระหว่างปี การจัดงานพิเศษบางอย่าง ศกึ ษาปญั หาและให้ขอ้ เสนอแนะฝ่ายบริหาร เป็นต้น 5. การอภิปราย (discussion) คือ การท่ีสมาชิกต้ังแต่สองคนหรือมากกว่าพูดคุยกันอย่างไม่ เปน็ ทางการ พจิ ารณาหัวขอ้ ท่ีน่าสนใจร่วมกนั แลกเปล่ียนประสบการณ์ ความคิดเหน็ คน้ หาทางเลอื ก วางแผนปฏิบัติ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกแต่ละคน หรือระหว่างกลุ่ม ใช้กรณีวินิจฉัยสำรวจหา แนวทางแก้ปัญหา การสร้างแผนปฏิบัติการ สร้างทักษะภาวะผู้นำ และอาจใช้ในหลายรูปแบบของ การฝึกอบรม 6. การอภิปรายแบบมีส่วนร่วม (forum) เป็นการอภิปรายที่ทุกคนมีโอกาสที่จะแสดงความ คิดเห็นได้ ใช้ในกรณีที่อาจมกี ารอภิปรายหลงั ทวี่ ิทยากรพูดแล้ว หรืออภิปรายกลุ่มหรือฉายภาพยนตร์ เป็นการวัดมตมิ หาชนหรอื ปัญหาขอ้ ขัดแยง้ เปน็ ต้น 172

7. การประชุมสัมมนา (seminar) การประชุมสัมมนาจะดำเนินการอย่างเป็นทางการ มีกำหนดการแบบแผนท่ีแน่นอน มีคณะผู้รับผิดชอบดำเนินการ มีหัวข้อที่ชัดเจน มีผู้ทรงคุณวุฒิเข้า รว่ มสัมมนา บรรยายหรืออภิปรายเสนอผลงานในรปู แบบต่าง ๆ เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ แก่ผู้เข้าร่วมประชุม หรือเพ่ือกระตุ้นเร้าความคิด ซึ่งเป็นการศึกษาระดับลึกภายใต้การนำของ ผ้เู ชยี่ วชาญ 8. การประชมุ ทีมงานภายในหน่วยงาน (meeting หรือ staff-meet) เช่น การประชมุ พบปะ เพ่ือปรึกษาหารือกันในหน่วยงานภายใน เพ่ือมอบหมายงาน เป็นการประชุมเพ่ือประโยชน์ทางการ บริหารงานเฉพาะแต่ละหนว่ ยงานเกิดขึ้นในทุกหน่วยงานเป็นปกติ มักเป็นการเรยี กประชุมโดยหวั หน้า งานหรอื ผไู้ ดร้ ับมอบหมาย 9. การประชุมแบบกลุ่มย่อย (syndicate) การประชุมแบบน้ีเป็นการประชุมกลุ่มย่อยท่ี ค่อนข้างชัดเจนมาก หรอื จำนวนผเู้ ข้าร่วมประชมุ มีจำนวนมาก จะแบง่ เข้าผู้ร่วมประชมุ เป็นกลุ่มเลก็ ๆ แต่ละกลุ่มจะต้องดำเนินการกระบวนการกลุ่มเอง มีประธาน เลขานุการ ดำเนินการอภิปราย และศึกษาปัญหาเฉพาะเร่ืองเพ่ือหาข้อยุติจากกลุ่ม เมื่อได้แล้วนำผลมาเสนอต่อท่ีประชุมใหญ่ เปิดโอกาสให้ที่ประชุมใหญ่ซักถามจนตกลงกันได้ ถ้าตกลงกันได้ก็เป็นท่ีพอใจยอมรับได้งานนั้นก็ยุติ แตถ่ า้ ประชมุ ใหญย่ ังไมย่ อมรับ กล่มุ ย่อยน้นั ต้องนำไปพจิ ารณา ศึกษา และนำขอ้ สรุปมาเสนอใหม่ 10. การประชุมแบบซิมโพเซียม (symposium) เหมาะกับการประชุมทางวิชาการ จะประกอบด้วยผู้เช่ียวชาญซ่ึงอาจเป็นวิทยากรประมาณ 2 - 6 คน การอภิปรายแบบน้ีจะมีลักษณะ ของความเป็นทางการค่อนข้างมาก ฉะนั้นการอภิปรายจึงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี จะต้องเตรียมความรู้ในส่วนของตนเองท่ีรับผิดชอบตอนใดตอนหนึ่งที่ตนได้รับมอบหมายซึ่งการ บรรยายในการอภิปรายแบบน้ีวิทยากรจะไม่ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกับหัวข้อของวิทยากรท่านอ่ืน โดยวิทยากรแต่ละท่านต้องเสนอแนวคิดที่ตรงประเด็นเป้าหมายให้มากที่สุด จะเวลาประมาณคนละ 10-15 นาที 11. การประชุมทางไกล (tele conference) เป็นการประชุมโดยใช้เครือข่ายดาวเทียมหรือ โทรศัพท์ทางไกล เหมาะกบั การประชุมท่ีมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหลายหน่วยงานและอยู่ในสถานท่ีห่าง กนั หรอื มีหน่วยงานประจำอยู่จังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้ ดารณิ ี หุตะจติ ต์ (Online) กล่าวถงึ รูปแบบของการประชมุ ไว้ 5 รูปแบบ คอื 1. การประชุมเพือ่ แจ้งขา่ วสาร เป็นการประชมุ เพ่ือทำความเขา้ ใจในความเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ขององค์กร นโยบายเป้าหมายและกลยุทธ์ รวมถึงวิธีปฏิบัติและระเบียบต่าง ๆ ดังน้ันจึงต้องมีการจัด กลมุ่ ผู้เข้าประชุมใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกับเร่ืองทีแ่ จ้งให้ทราบ 2. การประชุมเพ่ือเร่งเร้าจูงใจ การประชุมเพื่อเร่งเร้าจูงใจและประกาศผลความสำเร็จของ งานเป็นสิ่งสำคัญในยามที่องค์กรต้องการรวบรวมพลัง ความมุ่งม่ันทุ่มเทของพนักงาน การประชุม 173

ใหญ่ท่ีมีผู้เข้ารว่ มประชุมหลายร้อยคน ควรต้ังชอ่ื การประชุมให้น่าสนใจ ถ้ามีงบประมาณเพียงพอที่จะ จัดต่างจังหวดั ก็จะย่ิงได้บรรยากาศ และควรมีวทิ ยากรทีม่ ชี ่อื เสยี งเป็นท่รี ูจ้ ักไปร่วมบรรยายด้วย 3. การประชุมเพ่ือร่วมกันคิดสร้างสรรค์ การประชุมประเภทนี้เป็นการประชุมที่องค์กรต่าง ปฏิบัติกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ และประยุกต์ใช้ได้กับทุก ๆ ระดับของการทำงาน การร่วมกันคิด สร้างสรรค์โดยการประชุมอาจมีวัตถุประสงค์ได้หลากหลาย เช่น เพือ่ รว่ มกันวิเคราะห์และหาแนวทาง แก้ปัญหา เพื่อระดมความคิดในการพัฒนางาน หรือเพ่ือระดมความคิดเห็นในการคน้ หาวธิ ีการทำงาน ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ 4. การประชุมเพื่อร่วมกันตัดสินใจ การประชุมในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเร่ืองที่มี ความสำคัญต่อองค์กรไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหา กำหนดกลยุทธ์หรือเป้าหมาย ซ่ึงองค์ ประชุมจะต้องประกอบด้วยผู้นำประชุมที่เป็นผู้บริหารระดับสูง หรือผู้นำองค์กรและสมาชิกผู้เข้าร่วม ประชุมต้องเปน็ ผ้ทู ่ีมสี ว่ นเกีย่ วขอ้ ง และมอี ำนาจการตดั สินใจสงั่ การในระดับหนว่ ยงานผ้ปู ฏิบตั ิการ 5. การประชมุ เพือ่ สอนงานและฝึกอบรม เป็นการประชุมสบื เนือ่ งจากการเปลี่ยนแปลงวิธกี าร ทำงาน หรอื ตดิ ตัง้ ระบบงานใหม่ เช่น การนำระบบคอมพิวเตอร์เขา้ ไปใช้ จำเปน็ ต้องมกี ารฝึกอบรมให้ เข้าใจข้ันตอนและวิธีการใช้เคร่ืองอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ จึงจะช่วยให้การส่งมอบระบบเป็นไป ด้วยความราบร่ืน ซึ่งการประชุมประเภทน้ีจะเสียท้ังเวลาและค่าใช้จ่ายในอัตราท่ีสูง ผู้บริหารจะต้อง เขา้ ใจในความจำเป็นอยา่ งแทจ้ ริง ประสงค์ รายณสขุ (2530: 179) กล่าวถงึ รูปแบบของการประชุมวา่ มีอยู่ 3 ประเภท ดังน้ี 1. การประชุมเฉพาะกลุ่ม เป็นการประชุมท่ีไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมประชุม แต่จะประชุมเฉพาะผู้มีหน้าที่หรือมีสว่ นเกี่ยวข้องเท่าน้ัน ส่วนใหญ่การประชมุ ในลักษณะนี้มักเป็นการ ประชุมเพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ ซ่ึงได้แก่การประชุมปฏิบัติการ การประชุมชี้แจง การประชุมกลุ่มศึกษา เฉพาะเร่ือง หรืออาจเป็นการประชุมเพ่ือหาข้อยุติ เช่น การประชุมคณะกรรมการ หรือการประชุม ปรกึ ษาหารอื ระหว่างบคุ คล เปน็ ตน้ 2. การประชุมสาธารณะ เป็นการประชุมที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกท่ีสนใจเข้าร่วม ประชุมด้วย ท้ังยังเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสมควร และในบางโอกาส อาจมีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพ่ือให้สาธารณชนได้มีโอกาสติดตามการ ประชุมนั้น ๆ ได้ สำหรับรูปแบบของการประชุมสาธารณะที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่ การประชุมเพื่อ แลกเปลย่ี นความรู้ การอภิปรายแบบปาฐกถาหมู่ การอภิปรายแบบคณะ หรอื การอภปิ รายแบบท่ัวไป เปน็ ต้น 3. การประชุมแบบรัฐสภา เป็นการประชุมที่มีลักษณะพิเศษทั้งในแง่รูปแบบ วิธีการ และ กฎเกณฑ์การประชุม ท่ีแตกต่างไปจากการประชุมแบบอ่ืน ๆ โดยนำเอาวิธีการแบบแผน หรือ ข้อบังคับของการประชุมรัฐสภาในบางประการมาใช้เป็นหลักดำเนินการประชุม รวมถึงการนำเอา 174

ศพั ท์รัฐสภาที่สำคัญ ๆ บางคำมาใช้ด้วย เช่น ญัตติ มติ เสียงข้างมาก เป็นต้น การประชุมประเภทน้ีมี วัตถุประสงคท์ ีจ่ ะใหม้ กี ารประชมุ เพอื่ ลงมติในเรือ่ งตา่ ง ๆ เป็นการแน่นอน การประชุมมีหลายรูปแบบ แต่ละรปู แบบกม็ ีวัตถุประสงคแ์ ละวิธกี ารท่ีแตกตา่ งกัน การจะจัด ประชุมในรูปแบบใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการประชุมน้ัน ๆ สำหรับรูปแบบการประชุมที่ นยิ มในรูปแบบอืน่ ๆ ที่ใชก้ นั มีดงั น้ี (สมติ สชั ฌกุ ร, 2525 : 67-68) 1. การประชุมปรึกษาหารือ เป็นการประชุมหารือระหว่างผู้มีประสบการณ์ หรือผู้มีความรู้ ในสาขาวิชา เพ่ือหาแนวทางปฏิบัติ การหาคำอธิบายหรือข้อยุติในเรื่องท่ียังหาคำตอบไม่ได้ ตลอดจน ประชุมเพ่ือหารือในปัญหา การประชุมในรูปแบบน้ี ผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องมีความสนใจในเร่ืองท่ีจะ ประชมุ จึงจะทำใหก้ ารประชมุ นน้ั ๆ บรรลผุ ลตามเปา้ หมาย โดยมีวัตถปุ ระสงค์ ดังนี้ 1.1 เพื่อพบปะแลกเปลย่ี นความคดิ เห็น 1.2 เพื่อแถลงผลงานท่ีไดป้ ฏิบตั ิ 1.3 เพอ่ื รว่ มพจิ ารณาหารือในปญั หา และหาแนวทางในการแก้ไข 2. การประชุมทางวิชาการ เป็นการประชุมทางวิชาการของสถาบัน มหาวิทยาลัย หรือ สถานศึกษา ผู้เข้าประชุมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความรู้ เชี่ยวชาญ และมีความสามารถในการสอนหรือใน อาชีพน้ัน ๆ โดยมีผลงานการวิจัย หรือเรื่องที่ศึกษาค้นคว้าใหม่ ๆ มาเสนอประกอบ โดยมี วตั ถุประสงค์ ดังน้ี 2.1 เพอื่ นำเสนอความรู้ ผลงานวจิ ัย หรือเทคโนโลยใี หมๆ่ ตอ่ ท่ีประชุม 2.2 เพอื่ แลกเปลยี่ นความรู้และประสบการณร์ ะหวา่ งกลมุ่ นักวิชาการดว้ ยกนั 3. การประชุมใหญ่ หรือการประชุมระดับหัวหน้า เป็นการประชุมผู้แทนซ่ึงได้รับเลือกหรือ ได้รับการแต่งต้ังจากกลุ่มใหญ่ จากหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งอยู่ร่วมองค์กรเดียวกันและมี ผลประโยชน์รว่ มกนั เพอ่ื พบปะพิจารณาและแก้ไขปญั หาขององค์กร ซ่งึ มวี ตั ถุประสงค์ ดังนี้ 3.1 เพ่อื ศกึ ษาสำรวจปญั หา 3.2 เพื่อพจิ ารณาแนวทางในการแก้ปญั หา 3.3 เพื่อตกลงใจเกี่ยวกบั การดำเนินการ 3.4 เพ่ือทราบนโยบายหรือวตั ถุประสงคท์ อ่ี าจจะมีการเปลย่ี นแปลง 3.5 เพื่อแลกเปลี่ยนวธิ กี ารทำงานท่เี กดิ ข้ึนระหวา่ งกลุ่มต่าง ๆ 3.6 เพอ่ื สง่ เสริมความร่วมมือภายในองค์กร 3.7 เพื่อสะสางกิจกรรม ความคดิ และนโยบายขององคก์ ร โดยพิจารณาขอ้ ดมี าปฏิบตั ิ 4. การประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นการประชุมท่ีมุ่งให้ผู้เข้าประชุมได้มีโอกาสปฏิบัติจริง มากกว่าฟังการบรรยาย ทั้งน้ีเพื่อให้สามารถนำประสบการณ์ดังกล่าวไปใช้ในการปฏิบัติงานที่ ดำเนินการอยู่ เช่น การสัมมนาเชิงปฏิบัติการบัญชี หรือการประชุมเชิงปฏิบัติการการสร้างโปรแกรม คอมพิวเตอร์ เปน็ ต้น ซ่งึ มวี ตั ถปุ ระสงค์ ดงั นี้ 4.1 เพอื่ ใหม้ ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการทำงานเพ่มิ ขนึ้ 4.2 เพ่อื ให้สามารถรว่ มกนั แก้ปญั หาท่ีแต่ละคนประสบอยู่ แล้วนำผลการประชมุ ไปใช้ 175

5. การประชุมแบบซินดิเคต เป็นการประชุมแบบหนึ่งท่ีใช้เพ่ือการพัฒนาบุคคลและแก้ไข ปญั หาที่มีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงของหนว่ ยงานหรือสถาบนั แห่งนน้ั ซึ่งวัตถุประสงค์ ดงั น้ี 5.1 เพอื่ พจิ ารณาปญั หา สาเหตขุ องปญั หา และแนวทางแกไ้ ขปญั หา 5.2 เพอ่ื ให้ผู้เข้ารว่ มประชมุ ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลยี่ นความรู้และประสบการณ์ การประชุมแบบซนิ ดเิ คต มวี ิธีการพอสรุปไดด้ ังนี้ (วจิ ติ ร อาวะกุล, 2524 : 86-87) 1. วิทยากรบรรยายนำเล็กนอ้ ย 2. แบง่ กลุ่มเพือ่ พิจารณาหาแนวทางแก้ปญั หาในเร่ืองท่กี ล่มุ ได้รบั มอบหมาย 3. การพิจารณาปัญหาสว่ นใหญพ่ จิ ารณาตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้ 3.1 สภาพและขอบเขตของปัญหา 3.2 สาเหตหุ รือมูลเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา 3.3 แนวทางแกไ้ ขปญั หา 3.4 ขอ้ เสนอแนะของกลมุ่ 4. มวี ิทยาการคอยใหค้ วามรู้และขอ้ มลู แกส่ มาชิกแตล่ ะกลุ่ม 5. กลุ่มย่อยเสนอผลการประชุมต่อท่ีประชุมใหญ่ เพ่ือพิจารณาและรวบรวมแนว ทางการแก้ปัญหา และข้อเสนอแนะของท่ีประชมุ ท้งั หมด รูปแบบของการประชุม ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นเพ่ือแก้ปัญหาและแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จะแตกต่างออกไปบ้างก็ท่ีจุดเน้นที่ต้องการให้ปฏิบัติ ต้องการเสนอความรู้หรือผลงานประดิษฐ์ใหม่ๆ หรือเน้นการพิจารณาปัญหาแต่ละปัญหาอย่าง ละเอียดรอบคอบ ซึ่งถ้าผู้จัดประชุมและผู้เข้าประชุมได้เข้าใจวัตถุประสงค์และรูปแบบของการ ประชุมในแต่ละลกั ษณะแล้ว จะช่วยใหก้ ารประชุมน้นั ๆ ประสบความสำเรจ็ ได้มากยง่ิ ขึ้น พสุ เดชะรินทร์ กล่าวว่า Bill Jensen ผู้เขียนหนังสือช่ือ Simplicity ได้แบ่งลักษณะการ ประชุมออกเป็นส่ปี ระเภท และแต่ละประเภทก็ต้องการผเู้ ข้ารว่ มและแนวทางในการชี้นำการประชมุ ที่ แตกตา่ งกัน ดังน้ี (อา้ งถึง ส่วนพัฒนาและจัดการองค์ความรู้ สถาบนั ดำรงราชานภุ าพ, 2553: 16-17) ประเภทแรก เป็นการระดมความคิดเห็น (Brain-Storming) เพ่ือแนวทางหรือความคิดเห็น ใหม่ๆ ประเภทท่ีสอง เป็นการทำให้ทีมงาน (Meeting หรือ Staff-meeting) หรือผู้ที่มีส่วนร่วมทุก คนได้มคี วามเขา้ ใจในแนวคิด และวธิ ีการปฏบิ ัติทีส่ อดคลอ้ งและตรงกัน ประเภทท่ีสาม เป็นการประชุมเพื่อทำการตัดสินใจ อีกทั้งการวางแผนในสิ่งที่จะทำต่อไปใน อนาคต ประเภทสดุ ทา้ ย เป็นการแบง่ ปนั ข้อมูล (Information Sharing) ซงึ่ ประเภทหลงั สุดนี้เปน็ การ ประชุมท่ีไม่ควรท่ีจะเกิดขึ้น เนื่องจากการแจ้งข่าวสาร หรือการเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ สู่กนั นนั้ ในปัจจุบัน 176

ได้มสี ื่อและเครื่องมืออื่น ๆ เขา้ มาช่วย ดังน้ันจึงไม่ควรที่จะเสียเวลาของคนสว่ นใหญ่ไปกับการประชุม เพียงเพ่ือแจ้งเร่ืองราว ในความเป็นจริงการประชุมแต่ละคร้ัง คงไม่สามารถที่จะแยกออกเป็นสี่ลักษณะได้อย่าง เดด็ ขาด เน่อื งจากในการประชมุ แทบทุกครงั้ จะมีลักษณะท่ีปนกันอยู่ของการประชุมในรูปแบบต่าง ๆ โจทย์ท่ีสำคัญของผู้นำการประชุมประการหนึ่งก็คือ ทำอย่างไรถึงจะได้คนที่มีความเหมาะสมที่จะเข้า รว่ มประชุมในแต่ละคร้ัง เนื่องจากการประชุมทั้งสามประเภทต้องการผู้เข้าร่วมท่ีมีลักษณะท่ีแตกต่าง กัน ดงั นน้ั ถา้ มีผเู้ ขา้ รว่ มทีผ่ ดิ ประเภทกับลกั ษณะของการประชมุ การประชุมน้ันก็จะเสียเวลาเปลา่ การประชมุ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ การประชุมถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหน่ึงในการทำงาน เพื่อร่วมกันคิดอย่างมีวัตถุประสงค์ มี ระเบียบวิธี มีการกำหนดเวลา และติดตามผล ซึ่งการประชุมงานก็มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ประชุมวางแผน ประชุมเพื่อแจ้งข่าวสาร ประชุมเพ่ือขอความคิดเห็น ประชุมเพื่อหาทางแก้ไขเมื่อมี ปญั หา เป็นตน้ ซึ่งการทำงานให้ราบร่ืนและประสบความสำเร็จได้ดีน้ัน ย่อมเริม่ มาจากการประชุมที่ดี และมีประสิทธิภาพ ซงึ่ มีเทคนคิ ดงั นี้ (manpowerthailand, Online, 2559) 1. เตรียมตัวให้ดีก่อนเข้าประชุม ทุกคนควรทราบถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม และทราบ ประเด็นหัวข้อต่าง ๆ ควรกำหนดวาระการประชุมให้ชัดเจน แนะนำว่าให้จัดประเด็นสำคัญไว้ลำดับ ตน้ ๆ เพราะอาจต้องใช้เวลานานในการปรกึ ษากนั รวมถึงเตรยี มข้อมูลในส่วนของตนเองที่จำเป็นตอ้ ง ใชใ้ นการประชุม เพอ่ื ชว่ ยให้การประชมุ เปน็ ไปอยา่ งราบรน่ื และประหยดั เวลา 2. วางบทบาทผู้ร่วมประชุมอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึงตำแหน่งและหน้าท่ีแต่ละส่วนในที่ ประชมุ เพื่อชว่ ยใหก้ ระประชุมมีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขึ้น • ประธาน เป็นผู้ระบุประเด็น กระตุ้นให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น รวมถึงเป็นผู้ตัดสินใจ หรอื สรุปการประชุมนั้น ๆ • เลขานกุ าร เป็นผดู้ แู ลความเรยี บร้อยต่าง ๆ เชน่ เอกสาร จดั เตรยี มสถานท่ี จดบนั ทกึ การ ประชุม • ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ร่วมปรกึ ษาหารือ แสดงความคิดเห็นและพร้อมจะนำมติของที่ประชุม ไปปฏบิ ตั ิงานตอ่ ไป 3. ปฏิบัติตามกฎระเบียบของการประชุมอย่างเคร่งครัด เร่ิมจากการมาตรงต่อเวลา พูดคุย ตรงประเด็น ไม่ชวนคุยยืดเย้ือ แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ให้ความเคารพซ่ึงกันและกัน ควรใช้ อุปกรณส์ ื่อสารเฉพาะทจ่ี ำเป็น ให้เกียรตผิ ู้พูดอยา่ งมีมารยาท 177

4. จดบันทึกการประชุม ควรจะมีหน่ึงคนที่จดบันทึกการประชุมโดยละเอียด อาจจะเป็น เลขานุการ หรอื ใครที่สามารถจดได้อย่างเข้าใจและมีระเบียบ ผู้ร่วมประชุมท่านอ่ืนจะไม่ต้องพะวงส่ิง ตา่ ง ๆ และมสี มาธกิ บั การประชมุ อยูเ่ สมอ 5. มีสรปุ ทุกครัง้ ก่อนปิดการประชุม ผู้ร่วมประชุมทุกท่านจะตอ้ งได้รับมตทิ ส่ี รุปในวาระต่าง ๆ ในท่ีประชุมทุกครง้ั เพ่อื ความเข้าใจทตี่ รงกนั ไมเ่ กดิ ความเข้าใจผิดในภายหลงั 6. ดำเนินการทำงานตามท่ีวางแผนในท่ีประชุม จากการประชุมทุกครั้ง อาจมีการแบ่งงาน หรือได้รับการมอบหมายความรับผิดชอบมาให้ เราก็ปฏิบัติตามและรวบรวมข้อมูลหรือส่ิงท่ีได้ทำไป แลว้ เก็บไปเพ่ือนำไปนำเสนอในการประชุมครัง้ ต่อ ๆ ไป 7. มีการติดตามผล การวางแผนในที่ประชุมจะไม่ประสบความสำเร็จได้เลยหากไม่มีการ ติดตามผล หลังจากมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบไปแล้ว จะต้องมีคนติดตามว่างานน้ัน ๆ ดำเนิน ไปถึงไหน และอยู่ในกรอบเวลาท่ีตั้งไวห้ รือไม่ การประชุมจะราบรื่นไปด้วยดีถ้าทุกคนมีการเตรียมตัว รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และการเตรียมตัวที่ดี บวกกับคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ ย่อมจะนำไปสู่งานท่ีจะประสบความสำเร็จ อย่างมอื อาชีพ นริ ัตน์ จรจติ ร (2550: 265-267) ไดอ้ ธบิ ายลักษณะของการประชมุ ทด่ี ี ท่ีจะเป็นการประชุมท่ี ไดป้ ระสิทธผิ ลจรงิ และมปี ระสิทธิภาพสงู สรุปไดเ้ ปน็ 9 ประการ ดงั น้ี 1. มกี ารเตรียมการประชุมท่ีดี คือ ได้จัดเตรียมทุกองค์ประกอบของการประชุม ไว้พร้อมก่อน ดำเนินการประชุม ได้แก่ เอกสารการประชุม จัดส่งให้ผู้มาประชุมได้ศึกษา ล่วงหน้าพอควร เตรียม วสั ดอุ ุปกรณ์และสิง่ อำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ ให้พร้อมที่จะใช้งานไดท้ นั ทว่ งที เปน็ ตน้ 2. มีจุดประสงค์ของการประชุมที่ผู้มาประชุมเข้าใจชัดเจนตรงกัน คือ ในระเบียบวาระ \"เร่ืองเสนอเพ่ือพิจารณา\" ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการประชุม ต้องให้ชัดเจนว่าเพ่ืออะไร เช่น เพอื่ อนุมัติ เพ่อื ให้ความเห็นชอบ เพือ่ พิจารณา เปน็ ต้น 3. มีระเบียบวาระการประชุมท่ีสามารถจะทำให้บรรลุจุดประสงค์ได้ กล่าวคือ ต้องกำหนด ระเบียบวาระให้ชัดเจน เรียงตามลำดับก่อนหลังอย่างมีเหตุผล และเช่ือมโยงสอดรับสัมพันธ์กันไป อย่างกลมกลืน และตอ้ งแจ้งระเบียบวาระการประชุมนี้ ให้ผมู้ าประชมุ ทุกคนได้ทราบลว่ งหน้า 4. ยึดระเบียบวาระในการดำเนินการประชุม คือ ต้องให้ได้ข้อยุติ หรือมติของที่ประชุม ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการประชุม ในแต่ละระเบียบวาระไปเป็นตามลำดับ ไม่ให้ออกนอก เรื่อง ถ้ามีความจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องอ่ืนแทรก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องขอมติในที่ประชุมก่อน มิฉะน้ัน จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานในท่ีประชุมไปในทางท่ีหย่อนยาน จะเกิดความสับสนได้งา่ ยและ เสียเวลามาก 178

5. ผู้มาประชุมจะต้องแสดงบทบาทสำคัญท่ีชัดเจน บทบาทของผู้มาประชุม ถ้า ไม่เป็นผู้ให้ก็ ต้องเป็นผู้รับข้อมูล และความคิดเห็น ในแบบ \"การฟังเชิงรุก\" (Active Leistering) คือ \"ฟัง เข้าใจ และแสดงออกถึงความเข้าใจ\" ไม่ใช่จะเป็นแบบ \"เฉ่ือยชา\" (Passive Listening) คือ ไม่สนใจฟัง และ ไมแ่ สดงความคิดเห็นในที่ประชมุ เปน็ สาเหตุทำให้เกดิ อปุ สรรคในการประชุมค่อนขา้ งมาก 6. การนำเสนอจะต้องใช้สื่อที่ชัดเจน คมชัด และมีสีสัน กล่าวคือ นอกจากเอกสาร ประกอบการประชมุ แล้ว การนำเสนอข้อมูลในทป่ี ระชุมควรใช้ส่อื ท่ชี ัดเจน เช่น แผ่นใส วีดิทศั น์ สไลด์ ซ่ึงจะตอ้ งมขี นาดโตพอที่ทุกคนจะมองเห็นได้อย่างชดั เจน และหากมีสสี ันกจ็ ะช่วยดึงดูดความสนใจได้ มากข้ึน ทำให้เกิดความกระจ่างในสิ่งท่ีนำเสนอได้ดกี ว่าการพูดโดยไม่มีสื่อประกอบ ทำให้การตัดสินใจ ดขี ึ้น 7. ควบคุมเวลาในการประชุมได้เหมาะสม คือ การใช้เวลาในการประชุมแต่ละเรื่องไม่ควร เกาะติดอยู่กับคาบเวลาจนเกินไป ควรยืดหยุ่นให้เหมาะสม นักบริหารที่ประสบผลสำเร็จมักจะถือว่า “เวลาเปรียบเสมือนของเหลว” ย่อมปรับตัวให้เหมาะสมได้ตามเง่ือนไขของสภาพแวดล้อม แต่ต้อง สอดคล้องกับจุดประสงคแ์ ละกลยทุ ธ์ทางธุรกิจของบรษิ ัท 8. มีการสรุปมติท่ีประชุมให้ชัดเจน คือ ประธานการประชุมจะต้องสรุปมติที่ประชุมในแต่ละ ระเบียบวาระการประชุมให้ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจตรงกัน ส่วนเรื่องใดท่ียังหาข้อยุติไม่ได้ กส็ รปุ ได้วา่ ยงั ไม่ยตุ ิ และจะใหป้ ฏิบัติอยา่ งไรต่อไป ในตอนท้ายของการประชุม ประธานการประชุมควรย้ำถึงภาระหน้าท่ีของแต่ละฝ่ายท่ีได้รับ มอบหมาย ให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติหลังการประชุม และส่ิงท่ีควรตกลงกันก่อนปิดการประชุม ก็คือ “กำหนดการประชุม” ครง้ั ต่อไป 9. มีการติดตามผลการประชุม คือ การประชุมเพ่ือหวังผลสำเร็จตามมติของที่ประชุม ต้องมี การติดตาม ประเมินผล การปฏิบัติงานที่แต่ละคนได้รับมอบหมาย ซงึ่ หากเกดิ ปัญหา อุปสรรค ก็จะได้ ช่วยกันปรับปรงุ แกไ้ ขได้ทันที ท้ังน้ี เพื่อผลในทางปฏิบัติหลังการประชุมให้มีความสะดวกรวดเร็ว จึงควรพิมพ์รายงานการ ประชุมให้กะทัดรัด เป็นแบบ “แผนปฏิบัติหลังการประชุม” (Meeting Action Plan) จะช่วยให้ผล การประชุมบังเกิดเป็นผลงานอย่างเป็นรูปธรรมได้จริง โดยยึดหลัก “การประชุมจะไร้ค่า ถ้าไม่พาไป ปฏิบัติ” องค์ประกอบของการประชุม การประชุมในแต่ละครั้งจะมีองค์ประกอบของการประชุม ต่อไปน้ี (นิรัตน์ จรจิตร, 2550: 101-102) 1. ประธานท่ีประชุม คือ ผู้นำในท่ีประชุม ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ในการดำเนินการประชุม ควบคุมการประชุมให้เป็นไปตามเปา้ หมายท่กี ำหนดไว้ 179

2. องค์ประชุม คือ สมาชิกที่เข้าร่วมประชุม โดยปกติจะต้องมีจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิก ทัง้ หมด จึงจะถือว่าครบองคป์ ระชมุ 3. เลขานุการ คือ ผู้ทำหน้าที่ตั้งแต่ออกหนังสือเชิญสมาชิกประชุม จัดท่ีประชุม จดบันทึก การประชมุ จนกระท่ังนำบนั ทึกผลการประชมุ ใหส้ มาชิกพจิ ารณารับรองในคราวต่อไป 4. ญัตติ คือ ข้อเสนอของสมาชิก เพื่อให้ท่ีประชุมพิจารณาและลงมติการ เสนอญัตตินั้น ทำเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ย่นื ตอ่ เลขานุการ แล้วนำเสนอบรรจเุ ข้าระเบียบวาระการประชุม 5. ระเบียบวาระการประชุม คือ เรื่องท่ีนำเสนอเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาหรือปรึกษาหารือ เลขานุการจะแจง้ ใหส้ มาชกิ พรอ้ มกบั หนังสอื เชญิ ประชมุ 6. มติ คอื ข้อตกลงของทป่ี ระชุม ทมี่ ีตอ่ ญัตตทิ ีน่ ำเสนอ มตขิ องท่ปี ระชุมถอื เป็นข้อยุติ 7. บันทึกการประชุม คือ ข้อความที่เลขานุการจดบันทึกจากการประชุม ซึ่งมีท้ังญัตติทเ่ี สนอ สาระท่สี ำคญั และมตขิ องทปี่ ระชุม จากองค์ประกอบของการประชุมทง้ั 8 ประการ ผู้ทมี่ ีบทบาทสำคัญ ไดแ้ ก่ ประธาน ผู้เข้าร่วม ประชุม และเลขานุการ ซึ่งจะได้กล่าวถึงบทบาทหน้าท่ีอย่างละเอียดต่อไปน้ี (นิรัตน์ จรจิตร, 2550: 102-106) 1. ประธานที่ประชุม 1.1 คุณลกั ษณะท่ีดีของประธานในทป่ี ระชมุ 1.1.1 มีลักษณะเป็นผู้นำ สามารถสรา้ งศรัทธา ความเช่อื ถือให้เกิดกบั ผเู้ ข้าร่วม ประชุมได้ 1.1.2 มีความรู้ความสามารถด้านการประชุมรู้ระเบียบกฎเกณฑ์ของการประชุม และมคี วามรใู้ นเร่ืองท่ีจะประชมุ เปน็ อย่างดี 1.1.3 มบี คุ ลกิ ภาพดี เชน่ มอี ากปั กิริยา การแตง่ กาย และการแสดงออกทางอารมณ์ 1.1.4 มคี วามสุภาพออ่ นโยน สขุ มุ เยือกเยน็ และใหเ้ กยี รตแิ กส่ มาชิก 1.1.5 มคี วามยตุ ิธรรม ไม่ลำเอยี ง 1.1.6 ใจกว้างยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผ้อู ืน่ ดว้ ยใจเปน็ ธรรม 1.1.7 มปี ฏภิ าณไหวพรบิ สามารถแกป้ ญั หาเฉพาะหน้าไดด้ ี 1.1.8 มคี วามสามารถในการพูดโนม้ น้าวพูดคลีค่ ลายปญั หาหรือความขัดแย้ง ตลอดจนมมี ารยาทในการพูด เชน่ ไม่ผกู ขาดการพูด พูดไพเราะนม่ิ นวล 1.1.9 มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมท่ไี ม่ดี หรอื ตอ่ พฤตกิ รรมทไี่ มด่ ขี องสมาชกิ 1.1.10 มีความสามารถในการสรา้ งบรรยากาศทีป่ ระชุม ให้เป็นกันเอง และไม่ เคร่งเครียดเกนิ ไป 180

1.2 บทบาทหน้าทีข่ องประธานในท่ปี ระชมุ 1.2.1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เปิดประชุมเมื่อถึงเวลาและเมื่อครบองค์ ประชุม 1.2.2 ดำเนินการประชุมตามระเบยี บวาระท่กี ำหนดไว้ 1.2.3 ควบคุมการประชุมใหด้ ำเนินไปสู่เป้าหมาย 1.2.4 กระตุน้ ให้สมาชิกผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ พูดแสดงความคิดเหน็ 1.2.5 ดแู ลให้สมาชกิ ผู้เข้ารว่ มประชมุ ปฏบิ ตั ติ ามระเบียบของการประชมุ 1.2.6 เป็นผ้นู าํ การประชมุ นําการอภปิ ราย และสรปุ มตกิ ารประชุม 1.2.7 กล่าวปิดการประชุม เมื่อได้ประชุมครบวาระตามระเบียบวาระ การประชุม หรือพอเหมาะกับเวลาแล้ว 1.3 การใช้ภาษาในฐานะท่ีเปน็ ประธานท่ีประชุม 1.3.1 ควรใช้ภาษาทีไ่ พเราะสุภาพและให้เกียรตแิ ก่ผเู้ ข้ารว่ มประชมุ 1.3.2 ใชภ้ าษาท่ีสื่อความหมายไดช้ ดั เจน ตรงประเด็น และงา่ ยต่อการเขา้ ใจ 1.3.3 หลีกเลยี่ งการใช้คําพูดที่ส่อเสียด ตําหนิ หรือเชิงดูถูกผเู้ ขา้ รว่ มประชุม 1.3.4 อย่าใช้คําพูดท่ีแสดงถึงอารมณ์ของตน หรือใช้คําพูดที่ยั่วเย้าให้ ผู้เข้าร่วม ประชมุ เกิดอารมณข์ ุ่นมัว ซึ่งอาจก่อใหเ้ กิดความขัดแยง้ ได้ 1.3.5 การต้ังคําถามเพื่อให้สมาชิกตอบหรือแสดงความคิดเห็นน้ัน ควรถามทีละ ประเดน็ ปญั หา อย่าถามหลายคําถามในขณะเดียวกนั 1.3.6 ลักษณะของคําถาม พึงระมัดระวังอย่าให้เป็นคําถามเชิงดูถูก ดูแคลนเชิงช้ีนํา คาํ ตอบ หรอื เป็นคาํ ถามท่ีทำใหผ้ ตู้ อบรู้สกึ อดึ อัด 1.3.7 การปอ้ นคําถามแก่สมาชิก ควรกระจายให้ท่ัวถึงและถามผู้ท่ีพอจะตอบปัญหา นน้ั ไดก้ อ่ น 1.3.8 หากผู้เข้าร่วมประชุมไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ควรพูดโน้มน้าวใจให้เขากล้า แสดงความคิดเห็น หรือใช้วิธีป้อนคําถามตรงไปยังผู้เข้าร่วมประชุมเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะผู้ท่ียัง ไม่ไดแ้ สดงความคิดเหน็ 1.3.9 ไม่ผกู ขาดการพูดเพยี งอย่างเดียว ประธานต้องระลึกอยู่เสมอว่าบทบาทหนา้ ท่ี ของตนเป็นผนู้ าํ การประชุม ไม่ใชเ่ ปน็ ผู้อภปิ ราย 1.3.10 สามารถใช้ภาษาและศิลปะการพดู ไกล่เกลยี่ ได้ ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกัน ทางความคิดและเหตุผลระหวา่ งผ้เู ข้าร่วมประชุมด้วยกนั 181

2. ผเู้ ขา้ ร่วมประชุม 2.1 คุณลักษณะท่ีดขี องผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ 2.1.1 ตรงต่อเวลา 2.1.2 กอ่ นพูดทกุ ครง้ั ตอ้ งยกมอื ขออนุญาตประธานก่อนเสมอ 2.1.3 มมี ารยาทในการพดู พดู จาดว้ ยถ้อยคาํ ทสี่ ภุ าพ 2.1.4 ใจกว้างยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผ้อู ืน่ และยอมรับมติทปี่ ระชมุ 2.1.5 แสดงความคิดเห็น หรืออภิปรายด้วยถ้อยคําท่ีกะทัดรัด ได้ใจ ความที่ชัดเจน และตรงประเด็น 2.1.6 ไมเ่ ขา้ ออกจากที่ประชุมบอ่ ยคร้ัง นอกจากมกี จิ ธุระจาํ เปน็ จริง ๆ 2.1.7 ไม่แสดงพฤติกรรมใด ๆ ท่ีส่อให้เห็นถึงการไม่ให้เกยี รตปิ ระธาน และที่ประชุม เช่น นั่งคุย น่งั หลบั หรอื น่ังอา่ นหนงั สอื พิมพ์ เป็นตน้ 2.1.8 พูดให้เสียงดงั ชดั เจน หากมีไมโครโฟนควรพูดทไี่ มโครโฟน 2.1.9 ในการพดู ต้องพดู กบั ประธาน อยา่ พูดเป็นเชงิ โตต้ อบกับผู้อืน่ 2.1.10 ไม่ผกู ขาดการพูดคนเดียว 2.2 บทบาทและหนา้ ทขี่ องผรู้ ว่ มประชุม 2.2.1 เข้าใจจุดหมายของการประชุมท่ีตนจะต้องไปร่วมศึกษา ระเบียบวาระการ ประชมุ เตรยี มความรู้ข้อมลู ทีเ่ กยี่ วข้อง และติดตามเร่ืองราวหรอื ผลการประชุมครงั้ ทผ่ี า่ นมา 2.2.2 เข้าประชุมตรงตามเวลา หากมีความจำเป็นต้องเข้าประชุมช้าต้องแสดงความ เคารพประธานและทปี่ ระชุม กรณที ี่ไม่สามารถเข้ารว่ มประชุมไดค้ วรแจง้ ลว่ งหนา้ พร้อมดว้ ยเหตุผล 2.2.3 ต้ังใจฟังเรอื่ งทปี่ ระชุม ช่วยคดิ แก้ปญั หา รว่ มแสดงความคิดเหน็ 2.2.4 ไม่พดู นอกประเดน็ หรือหนั เหความสนใจของสมาชิกไปในทาง 3. เลขานุการ 3.1 คุณลกั ษณะทดี่ ขี องเลขานุการ 3.1.1 มคี วามกระตือรอื รน้ และกระฉบั กระเฉงในการทำงาน 3.1.2 มีความสภุ าพออ่ นนอ้ ม มมี นุษยสัมพนั ธ์ดี ย้มิ แยม้ แจ่มใส 3.1.3 มคี วามอดทน อดกล้ันทางอารมณไ์ ดด้ ี 3.1.4 มคี วามสามารถในการฟงั สรุปความ และการใช้ภาษา 182

3.2 บทบาทหน้าทข่ี องเลขานกุ าร 3.2.1 ออกหนังสือเชิญประชุม คือ หนังสือที่เลขานุการจัดทำขึ้นเพ่ือเชิญสมาชิกให้ เข้าประชุม โดยระบุวัน เวลา สถานที่ และระเบียบวาระการประชุมไว้ในหนังสือด้วยโดยปกติแล้ว เลขานุการจะต้องส่งหนังสือเชิญประชุมไปถึงสมาชิกล่วงหน้าก่อนถึงวันประชุมอย่างน้อย 7 วัน รปู แบบของหนังสือเชญิ ประชมุ มีรปู แบบดงั น้ี ท่ี.................................. .....วนั ท่ี /...เดอื น...../ พ.ศ. .......... เร่ือง ขอเชิญประชุม เรยี น ........................................... สง่ิ ทแ่ี นบมาด้วย ระเบียบวาระการประชุม ด้วย คณะกรรมการ...................................ไดม้ มี ติให้กำหนดวนั ประชมุ ครั้งที่ 1/2558 ขน้ึ ในวันท.่ี .....................................เวลา.....................น. ณ หอ้ งประชุม............. รายละเอยี ดปรากฏตามระเบียบวาระการประชมุ ตามวนั เวลา และสถานท่ีดงั กล่าว ขา้ งต้น ดว้ ยจกั ขอบคุณยง่ิ ขอแสดงความนับถือ (.................................) เลขานกุ าร ……………………. โทร…………….............. ภาพที่ 7.1 ตวั อยา่ งหนงั สือเชิญประชุม ทม่ี า: ระเบยี บสำนักนายกรฐั มนตรี ว่าดว้ ยงานสารบรรณ, 2550: 295 3.2.2 จดั และดูแลสถานท่ีประชมุ 3.2.3 จดั ระเบียบวาระการประชมุ คือ เร่ืองทน่ี ำเสนอเขา้ ที่ประชุมเพ่ือพิจารณาหรือ ปรึกษาหารือกัน เลขานุการจะเป็นผู้สำรวจหัวข้อเร่ืองจากสมาชิก แล้วนำเสนอประธานเพ่ือพิจารณา เมื่อประธานพิจารณาแล้วเลขานุการจะแจง้ เรื่องทง้ั หมดที่จะนำเข้าสู่ทีป่ ระชมุ ใหส้ มาชิกทราบลว่ งหน้า เพื่อสมาชิกจะได้เตรียมเรื่อง เตรียมแนวทาง หรือเตรียมหาข้อมูลมาอภิปรายเก่ียวกับเรื่องนั้น ๆ ตอ่ ไป ทั้งน้รี ูปแบบของระเบียบวาระการประชมุ มรี ูปแบบดงั นี้ 183

ระเบียบวาระการประชุม คณะกรรมการ................................................ คร้งั ท่ี.... / ...... วันท.ี่ ..................................เวลา.................. ณ............................................................................. ระเบยี บวาระที่ 1 เรอ่ื งท่ีประธานแจ้งให้ทราบที่ประชุม ระเบยี บวาระท่ี 2 เรอ่ื งรบั รองรายงานการประชุมครง้ั ท่ี........ ระเบียบวาระที่ 3 เร่อื งสบื เนอื่ งจากการประชุมครัง้ ที.่ ......... ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา 4.1....................................... ระเบียบวาระท่ี 5 4.2....................................... เรอ่ื งอ่ืน ๆ ภาพที่ 7.2 ตวั อยา่ งระเบียบวาระการประชุม ท่ีมา: ระเบียบสำนักนายกรฐั มนตรี ว่าดว้ ยงานสารบรรณ, 2550: 296 3.2.4 จดบนั ทึกการประชมุ 3.2.5 เตรยี มเอกสารท่ีใชป้ ระกอบการประชมุ 3.2.6 นาํ บันทกึ การประชมุ เสนอต่อที่ประชมุ เพื่อรบั รองในคราวตอ่ ไป 3.3 การจดบันทกึ การประชุม วธิ ีการจดบันทึกการประชุมนัน้ ทำได้ 3 วิธี คือ 3.3.1 จดละเอียดทุกคําพูดของประธานและผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน พร้อมกับจดมติ ในทปี่ ระชมุ ดว้ ย 3.3.2 จดอย่างย่อ หรือจดเฉพาะประเด็นสำคัญของประธาน และผู้เข้าร่วมประชุม พรอ้ มด้วยมตใิ นท่ปี ระชุม 3.3.3 จดเฉพาะเหตุผลกับมติของท่ีประชุม ข้อตกลง และคําสั่งเพื่อนําไปปฏิบัติได้ ถกู ต้องตามมตทิ ่ปี ระชุม 3.4 ขอ้ เสนอแนะในการจดบันทกึ การประชุมทัว่ ไป 3.4.1 จดเฉพาะสาระสำคัญ 3.4.2 จุดประเด็นปัญหาที่โตแ้ ย้งหรือทีพ่ จิ ารณา 3.4.3 จดมติท่ปี ระชมุ 3.4.4 จดเนื้อหาสาระอย่างตรงไปตรงมา ถูกตอ้ งกับทปี่ ระชมุ กล่าว 184

3.4.5 การใช้ภาษาต้องชัดเจน ไม่คลมุ เครือ 3.5 หวั ข้อการจดบนั ทึกการประชมุ ประกอบดว้ ยหัวข้อตา่ ง ๆ ต่อไปนี้ 3.5.1 ชื่อการประชุม ใหเ้ ขียนวา่ เป็นการประชมุ อะไรของหน่วยงานใด 3.5.2 ครง้ั ที่ เขยี นครัง้ ทข่ี องการประชุมในปีพุทธศักราชนั้น 3.5.3 วัน เดอื น ปี ทป่ี ระชมุ 3.5.4 รายช่ือผู้เข้าร่วมประชุม เขียนรายชื่อผู้เข้าประชุมท้ังหมด แต่ในกรณีที่มี จำนวนมาก อาจจะระบกุ ลุ่มของผู้เขา้ รว่ มประชุมก็ได้ 3.5.5 รายชอ่ื ผู้ไมเ่ ขา้ ประชุม ระบุชอ่ื พร้อมด้วยเหตุผล 3.5.6 เวลาทีเ่ ริม่ ประชมุ 3.5.7 วาระการประชุม จดบนั ทกึ ตั้งแต่วาระแรกถงึ วาระอน่ื ๆ 3.5.8 เวลาทีเ่ ลิกประชมุ 3.5.9 ผ้จู ดบันทกึ การประชมุ 3.6 รายงานการประชมุ ขอ้ ความที่เลขานุการจดบนั ทึกในขณะที่การประชมุ ซ่งึ จะมที ั้ง ญัตติท่ีเสนอ สาระสำคัญ และมติของที่ประชุม รายงานการประชุมน้ีเลขานุการจัดทำไว้เป็นหลักฐาน เพ่ือจะได้ยึดเป็นหลักปฏิบัติและกันลืม รายงานการประชุมเลขานุการจะนำเสนอประธานเพ่ือ พิจารณา หลังจากประธานพิจารณาแล้ว เลขานุการจะส่งรายงานการประชุมให้สมาชิกหรือ ผู้เก่ียวข้องกับการประชุมทุกคนได้ทราบ เพ่ือพิจารณารับรองรายงานการประชุมในคร้ังต่อไป ท้ังน้ี รูปแบบของรายงานการประชุม มีรูปแบบดงั น้ี 185

รายงานการประชมุ คณะกรรมการ................................................ ครั้งท.่ี ... / ...... วันท่ี...................................เวลา.................. ณ............................................................................. คณะกรรมการที่มาประชุม 1........................................ ประธานกรรมการ 2........................................ กรรมการ 3........................................ กรรมการ 4........................................ กรรมการ 5........................................ กรรมการและเลขานุการ กรรมการท่ไี ม่มาประชุม 1........................................ ตดิ ราชการ เร่ิมประชุมเวลา............................... ประธานกลา่ วเปิดประชมุ แล้วทีป่ ระชมุ ได้พิจารณาเรื่องตา่ ง ๆ ตามระเบียบวาระ ต่อไปน้ี ระเบยี บวาระท่ี 1 เรอ่ื งทป่ี ระธานแจ้งให้ทราบที่ประชุม ประธานแจ้งให้ท่ีประชมุ ทราบว่า............................. ระเบียบวาระท่ี 2 เร่ืองรบั รองรายงานการประชุมคร้ังท.ี่ ....... ที่ประชมุ ไดพ้ จิ ารณารายงานการประชมุ ครั้งที่....จงึ ได้มมี ติท่ี ประชมุ รบั รอง ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องสบื เนอื่ งจากการประชุมครัง้ ท.ี่ ......... ระเบยี บวาระท่ี 4 เรื่องเสนอเพ่ือพิจารณา แลว้ แตเ่ รอื่ งพิจาณาเรียงไปตามที่กำหนดไวใ้ นวาระการประชุม แลว้ ลงมติไว้ให้ครบในแต่ละเร่ือง ระเบยี บวาระท่ี 5 เร่ืองอื่น ๆ ปดิ ประชุมเวลา ............................. (............................................) กรรมการและเลขานุการ ผ้จู ดบันทึกการประชมุ (............................................) ผตู้ รวจรายงานการประชุม ภาพท่ี 7.3 ตัวอยา่ งรายงานการประชุม ทมี่ า: ระเบยี บสำนกั นายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ยงานสารบรรณ, 2550: 299 186

จากคุณลกั ษณะที่ดีและบทบาทหน้าที่ของท้ังประธาน ผู้เขา้ ร่วมประชุม และ เลขานกุ าร หาก ผู้มีหน้าที่ดังกล่าว ได้พัฒนาตนเองและทำหน้าท่ีให้สมบูรณ์แล้ว ย่อมนําผลไปสู่เป้าหมายของการ ประชมุ ไดง้ า่ ยขึ้น การดำเนินการประชุม กระบวนการที่ทำให้การประชุมบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายที่ตั้งไว้ถือเป็นศาสตร์อย่างหน่ึง ซึ่งหากดำเนินตามกระบวนการน้ีย่อมทำให้การบริหารการประชุมเป็นไปอย่างมีระบบและประสบ ความสำเร็จในระดับหนึ่ง ซ่ึงแบ่งการประชุมออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ ก่อนการประชุม ระหว่างการ ประชุม และหลังการประชุม โดยมีรายละเอียดดังนี้ (ส่วนพัฒนาและจัดการองค์ความรู้ สถาบันดำรง ราชานุภาพ, 2553: 18-20) ภาพที่ 7.4 ขน้ั ตอนหลกั ของการดำเนินการประชมุ ข้นั ตอน : กอ่ นการประชมุ 1. การวางแผนการประชมุ 1.1 พิจารณาความจำเป็นในการประชุม โดยพิจารณาว่าจำเป็นจะต้องเรียกประชุม หรือไม่ เน่ืองจากการประชุมทำให้เสียเวลาในการทำงาน และใช้ทรพั ยากรเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการ เรียกประชุมแต่ละคร้ังต้องคำนึงถึงต้นทุนท่ีมองไม่เห็นด้วย ควรเรียกประชุมเท่าที่จำเป็นเพ่ือลดการ ฟมุ่ เฟอื ย 1.2 กำหนดเป้าหมายท่ีได้จากการประชุม โดยกำหนดเป้าหมายของการประชุมให้ เฉพาะเจาะจง ชัดเจน และเป็นรูปธรรม เช่น ประชุมเพื่อแจ้งให้ทราบ เพ่ือขอความคิดเห็น เพื่อรับทราบ เพ่ือแก้ปัญหา หรือเพื่อขอการตัดสินใจจากท่ีประชุม ทั้งน้ีเพ่ือให้ทุกคนท่ีเข้าประชุม รับทราบว่าการประชุมคร้ังน้ีบรรลุเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งมีความสำคัญอย่างย่ิงในการทำให้การประชุม เกิดประสิทธิผล 1.3 กำหนดตัวผู้เข้าประชุม พิจารณาถึงผู้เข้าร่วมประชุมว่ามีส่วนช่วยในการประชุม ดำเนินการไปได้ด้วยดีอย่างไร โดยควรเชิญเฉพาะบุคคลท่ีเก่ียวข้องหรือมีผลต่อการประชุม เป็นผู้ท่ี สามารถให้ข้อมูล หรือมีผลต่อการประชุม อาจเป็นคนที่จะต้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติ หรือเป็น บุคคลรับผิดชอบในงานหรือประเด็นท่ีต้องพูดในที่ประชุม หากเป็นการประชุมเพื่อทบทวนข้อมูลอาจ 187


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook