การปลูกพริก ความสาํ คัญ พรกิ (chilli) เปน พชื ผกั ทส่ี ําคญั อยูในตระกูล Solanaceae สําหรับพริกทีน่ ยิ มปลูกในประเทศไทยมี 2 กลุม ไดแก • พรกิ หวาน พรกิ หยวก พริกช้ฟี า ทอ่ี ยูในกลมุ C. annuum • พรกิ เผด็ ไดแ ก พรกิ ข้หี นูสวน พรกิ ขห้ี นูใหญ ทอ่ี ยใู นกลมุ C. furtescens พรกิ เปน สว นประกอบอาหารประจาํ ของคนไทยมาชานาน คนหลาย ๆ ชาติใชพริกเปน สว นประกอบอาหารซ่งึ แสดงใหเ ห็นวา พรกิ เปน สว นประกอบอาหารของคนเกอื บทุกชนิด มี รายงานวา • คนอินเดยี บริโภคพริก 2.5 กรมั /คน/วัน • คนไทยบริโภคพรกิ 5 กรมั /คน/วัน • คนเม็กซโิ กบริโภคพรกิ 20 กรัม/คน/วัน • คนอเมริกันบริโภคพริก 1.5 มลิ ลกิ รมั /คน/วัน ประโยชนของพริก พรกิ มีวติ ามนิ C สูง เปน แหลง ของกรด ascorbic acid ซ่งึ สารเหลานี้ • ชว ยขยายเสน โลหติ ในลําไสแ ละกระเพาะอาหารเพอ่ื ใหด ดู ซมึ อาหารดขี นึ้ • ชว ยรา งกายขบั ถา ย ของเสยี และนาํ ธาตุอาหารไปยงั เนื้อเย่อื ของรางกาย (tissue) สาํ หรบั พรกิ ขห้ี นสู ดและพรกิ ชี้ฟา ของไทย มปี รมิ าณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรมั / 100 g นอกจากนพ้ี รกิ ยังมีสารเบตา - แคโรทีนหรือวิตามิน A สงู (พริกขีห้ นูสด 140 .77 RE )
พรกิ ยงั มสี ารสาํ คัญอีก 2 ชนิด ไดแก Capsaicin และ Oleoresin • โดยเฉพาะสาร Capsaicin ท่ี นาํ มาใชในอตุ สาหกรรมอาหาร และผลิตภณั ฑร ักษาโรค ในอเมรกิ ามผี ลติ ภณั ฑจ าํ หนา ยในชือ่ Cayenne สาํ หรับฆาเชือ้ แบคทเี รยี ในกระเพาะ • Capsaicin ยงั มคี ุณสมบตั ิ ลดความเจ็บปวดของกลา มเนือ้ หัวไหล แขน บนั้ เอว และ สว นตา ง ๆ ของรางกาย และมผี ลิตภณั ฑจ ําหนายท้งั ชนิดเปน โลช่นั และครมี ( Thaxtra - P Capsaicin) แตก ารใชใ นปริมาณท่ีมากเกนิ ไป อาจมีผลกระทบตอ อาการหยดุ ชะงกั การทาํ งานของกลา มเนอ้ื ไดเชนกนั เพ่อื ความปลอดภยั USFDA ไดกาํ หนดใหใ ชส าร capsaicin ได ท่คี วามเขมขน 0.75 % สาํ หรบั เปนยารักษาโรค สีของพรกิ มีหลากหลาย เขยี ว แดง เหลือง สม มวง และสงี าชาง โดยเฉพาะเมอ่ื นํา มาปลกู ในเขตรอ นชนื้ ท่ไี ดร บั แสงแดดตลอดวนั จะมีสี ( colorant) ท่ีสดใส ซง่ึ สามารถนํามาใน อตุ สาหกรรมอาหาร ท้งั การปรุงแตงรสชาติ และสีสรร ( colouring spice ) ไดต ามความตอ งการ ของผบู รโิ ภคหลากหลายผลติ ภัณฑ แนวโนมในอนาคต การผสมสใี นอาหารจะมาจากธรรมชาตเิ ปน สว นใหญ และพริกเปน พชื อายสุ น้ั ทส่ี ามารถใชประโยชนไดท้งั บรโิ ภคสดและแปรรูป หลายหลายชนดิ ดงั น้ันพรกิ จึงจัด ไดเ ปน พชื ผัก ท่ีมศี กั ยภาพของไทยชนิดหนง่ึ แตจาํ เปนจะตองพฒั นาทั้งระบบใหค รบวงจร เพ่อื ให มมี ลู คา สงู ขนึ้ กวา ทเ่ี ปน ในปจจบุ นั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคและความตอ งการอาหาร ในชวี ติ ประจํา วนั ของผคู น ในปจ จบุ นั ใหค วามสนใจ ในอาหารทีมคี ณุ คา และประโยชนตอ รา งกาย สะอาด ปลอดภยั จากสงิ่ ตกคา งทงั้ หลาย โดยเฉพาะสารเคมี กระแสความเรยี กรอ งสินคาและพชื ชนิดท่มี ี คณุ ภาพมเี พม่ิ มากขนึ้ ในตลาดทสี่ าํ คัญ ๆ โดยเฉพาะตา งประเทศ ไดใ หค วามสําคัญมาตรฐาน สนิ คา การรบั รองสนิ คา การรบั รองสินคา การตรวจสอบแหลงสนิ คาท่ีมาของสนิ คา ดงั นนั้ ในระบบการผลิตสินคาเพ่ือบรโิ ภคจะตองมงุ เนน ผลิตภัณฑค ณุ ภาพเรม่ิ ตแั้ ตแหลงผลิตวตั ถุ ดบิ จนถงึ มอื ผบู รโิ ภค ( From Farm to Table) การผลติ พรกิ กเ็ ชนเดียวกัน จําเปน จะตองปรบั ระบบการผลติ ตงั้ แตการคดั เลอื กท่ีเหมาะสมในทองถิ่นตาง ๆ เพื่อใหไดผลผลิตเพิ่มขึ้น คุณภาพ และคณุ ประโยชนเพมิ่ ขนึ้ ใชวธิ กี ารผลิตทมี่ ปี ระสิทธภิ าพ ลดการใชส ารเคมีในการควบคุมศตั รู พชื และลดตน ทนุ มกี ารจัดการกอ นและหลงั การเก็บเกี่ยว เพ่ือใหไดผ ลผลิตทีค่ ณุ ภาพ ลดความ เสยี หาย และไดร ูปลักษณท ี่ดี ตรงตามมาตรฐานทั้งตลาดภายใน และตางประเทศ ทง้ั เพ่ือการ บรโิ ภคสดและแปรรปู เปน ผลติ ภัณฑพรกิ ชนดิ ตาง ๆ เชน พรกิ แหง พรกิ ปน พรกิ ดอง ซอสพริก นาํ้ พรกิ เครอื่ งแกง พรกิ นาํ้ จม้ิ ตาง ๆ และผลติ ภณั ฑย ารกั ษาโรค โดยมุง เนน การผลติ พริกคณุ ภาพ เพ่ือเปน เอกลกั ษณสินคา ของประเทศไทย
การตลาด พรกิ เปนผกั ชนิดหนึ่งที่มีมลู คาการสงออกสงู มลู คา การสง ออกรวมราว 900 ลา น บาท/ป การสงออกพริกมที ้ังรูปผลสด ซอ สพริก และพริกแหงนับตง้ั แตป 2540 เปนตนมา ปรมิ าณการสง ออกไมเ คยตาํ่ กวา 10,000 ตนั และมีมลู คาเฉล่ยี 77 - 100 ลานบาท/ป ในป 2544 มปี ริมาณการสงออกเพมิ่ ข้นึ เปน 12,283 ตนั และมลู คา สง ออกเพิ่มขึน้ เปน 114 ลา น บาท ประเทศนาํ เขา หลกั ไดแ ก มาเลเซยี 86 % รองลงมา ไดแ ก เนเธอรแ ลนด สิงคโปร และ ไตห วนั สาํ หรับซอ สพริกมปี รมิ าณการสง ออกเพ่ิมข้นึ ตลอดมา นบั ตง้ั แตป 2540 ท่ีมีมลู คา สง ออก 320 ลา นบาท และเพิม่ ข้ึนปละ 80 - 100 ลานบาท ทุกป จนป 2544 ปรมิ าณเพม่ิ ขน้ึ เปน 2 เทาของป 2540 ซ่ึงมมี ูลคาการสง ออก 634 ลา นบาท สาํ หรับการสง ออกพริกแหงมีทุก ปเ ชน กัน แตปริมาณการสงออกไปไมแ นนอน มีมูลคาอยูระหวาง 51-92 ลา นบาท ในขณะ เดยี วกนั ปรมิ าณการนาํ เขา พรกิ แหง จะมมี ากเกือบ 2 เทา ของการสงออก ป 2542 มีการนํา เขา พรกิ แหง 4,642 ตัน มูลคา 96 ลานบาท ป 2543 นาํ เขา 7,813 ตนั มูลคา 181 ลาน บาท จากปรมิ าณการสง ออกและนําเขา พรกิ แหง แสดงใหเ ห็นวา ความตอ งการใชพริกแหง มี มากขน้ึ แตป รมิ าณและคณุ ภาพของพรกิ ทผี่ ลิตไดไ มสอดคลอ งหรอื สมาํ่ เสมอกับความตอ งการใช ของผแู ปรรปู จึงมีการนําเขา พริกแหงทกุ ป ดงั น้นั การวเคราะหก ารณก ารผลติ และการตลาด ของพรกิ ควรทาํ ควบคกู บั ไปจะทาํ ใหไทยสามารถทําการผลิตพรกิ แหง รวมท้งั พริกสด และซอส พรกิ ทสี อดคลองกับความตองการของตลาดผใู ชพริกทกุ กลมุ ไดเ ปนอยางดี การเปดตลาดเสรีภายใต WTO ใหย กเวน ภาษีสนิ คาเกษตร แตย ินยอมใหม มี าตรการ และ กฎเกณฑร ะเบียบปฎบิ ตั ขิ องประเทศผนู าํ เขา ใหผูผลติ สนิ คาปฏบิ ัติตาม โดยอา งอิงหลัก วทิ ยาศาสตรแ ละมาตรฐานสากลตา ง ๆ เชน มาตรฐานอาหาร FAO (Codex) อนสุ ญั ญาวา ดว ย การอารกั ขาพชื ( IPPC) ฯลฯ มีการนํามาตรการดา นสุขอนามัย และสขุ อนามัยพชื มาใช ดว ยเหตดุ งั กลา ว การนาํ เขาพชื ผักทัง้ สดและแปรรูปจากประเทศไทย จึงไดร ับการปฏเิ สธการนํา เขา ดว ยเหตุผลตา งๆ เชน มีสารเคมตี กคาง มีเศษซากพชื สตั ว จุลนิ ทรยี ตดิ ไปกับผลติ และผลติ ภณั ฑช นดิ ตา งๆ การสงออกพืชผักของไทยในระยะท่ผี า นมา มปี ญ หากบั ประเทศคคู า ดานสาร พษิ ตกคา งในกลมุ พชื ผักทกุ ป ปละมากครั้ง เชน ในป พ.ศ. 2543 กบั ประเทศญี่ปนุ รวมจาํ นวน 49 ครัง้ ท่มี ปี ญ หาสาร Fenvalerate cypemethrin cholorpyrifos และ parathion methyl ตกคาง กบั พชื ผกั ตา ง ๆ สาํ หรบั ประเทศนาํ เขาพรกิ สด พรกิ แหง พริกซอส พริกเคร่ืองแกง ฯลฯ ไดแ ก ประเทศสงิ คโปร สเปน นอรเ วย และออสเตรีย ปฏเิ สธการซือ้ เนอ่ื งมาจากสารตกคาง prothiophos methamidophos cypermethrin mevinphos ฯลฯ โดยเฉพาะ cypermethrin ซ่งึ พบ บอยมาก
อยา งไรกต็ ามกลาวไดวา พรกิ มปี ญหาสารพษิ ตกคางคอ นขางมาก และถูกปฏเิ สธการ นาํ เขา ปล ะไมต าํ กวา 40-50 ครั้ง ปญหาที่สาํ คญั ทส่ี มควรจะไดร ับการแกปญ หาอยา งรีบดวน คอื การลดการใชส ารเคมใี นการปองกันกําจัดศัตรูพชื ในระดับไรนา เพอ่ื ใหสอดคลอ งกับความ ตอ งการของผบู รโิ ภคและประเทศคคู า และเปน ไปตามมาตรฐานสากล ในขณะเดยี วกนั เกษตร การผผู ลติ ตอ งมรี ายไดเพมิ่ ขึ้น และดํารงชพี ไดอยา งยั่งยนื ในระบบการผลิตผกั ของตน โดย เฉพาะอยา งยงิ่ ภายหลังจากวนั ท่ี 1 มกราคม 2547 ทร่ี ะบบใหภ าษสี นิ คา เกษตรอยทู ่ี 0-5 % ประเทศเพอ่ื นบา นทส่ี ามารถผลติ พืชชนิดเดียวกันกับไทย และมตี น ทุนการผลติ ตา่ํ กวา สภาพ ภมู อิ ากาศเออ้ื อาํ นวยตอ การผลติ และการเจรญิ เติบโตของพชื และมีระบบการผลติ ท่ีไดม าตร ฐานไมม ปี ญ หาดานคณุ ภาพผลผลติ จะชวงชิงตลาดสนิ คา พชื ผกั ไปจากประเทศไทย ขณะเดียว กนั สนิ คา บางสว นจะถกู นาํ เขาหากผบู รโิ ภคภายในประเทศ มีความพึงพอใจทีจ่ ะบริโภคสนิ คา เหลา นี้ การนาํ เขาสินคา เกษตรจากเพ่ือนบานจะมมี ากข้ึน และไทยยังไมพฒั นาระบบการผลิต ใหไ ดม าตรฐานเพอ่ื รกั ษาตลาดเดิม หรอื เพม่ิ มูลคา ของชนดิ สินคา แลว ไทยจะสูญเสียประเทศคู คา ไปอยางสนิ้ เชิง และรายไดจ ากการสงออกพชื ผกั ปล ะ13,000 บาท จะตกไปเปนของประเทศ เพอ่ื นบา นแทน เกษตรกรผูผลิตจะไดรับผลกระทบโดยตรงและไมส ามารถดาํ รงชพี ไดอยา ง ยงั่ ยนื ตอ ไป ดงั นั้นการปรับปรุงและพัฒนาระบบการ ผลิตพืชผกั ชนดิ ทส่ี าํ คัญโดยเฉพาะ พรกิ สาํ หรบั การสง ออก เพ่อื ใหไ ดม าตรฐานสากลและปลอดภยั จากสารพษิ ตกคา งสมควรรีบเรง ดาํ เนนิ การ เพอื่ ใหส อดคลอ งกบั สถานการณท ่ีเปลี่ยนไป พันธุ 1) พันธุพริกขี้หนหู ว ยสที น ศก. 1 ศนู ยวิจยั พืชสวนศรสี ะเกษ ไดน าํ พนั ธหุ ว ยสที นมาทาํ การคัดเลอื กใหม ตง้ั แตป 2528 ถงึ 2531 ไดพันธุที่คดั เลือกได 7 สายพันธุ และไดน ําพนั ธุคดั เลือกไดท้ัง 7 สายพนั ธุ ไปปลกู ในแปลงการเปรียบเทียบพนั ธแุ ละทด สอบพันธุ พบวามีสายพนั ธุทีใ่ หผ ลผลติ สูง 3 สายพันธุ ระหวา งป 2531-2532 ไดน าํ พันธุท ีใ่ หผ ลผลิตสงู ทง้ั 3 สาย พันธุ ไปปลกู ในแปลงทดสอบ พนั ธุ 3 แหง คอื ศนู ยว จิ ัยพชื สวนศรีสะเกษ สถานที ดลองพชื สวนนครพนม และศนู ยว ิจยั พืช สวนพจิ ิตร ผลการทดสอบพันธุพ บวา สายพันธุ 5/1 ใหผลผลติ เฉลีย่ สูงสดุ จงึ ไดเสนอเปน พนั ธแุ นะนาํ กรมวชิ าการเกษตร ชื่อพันธพุ รกิ ข้หี นหู วยสีทน ศก. 1 ลกั ษณะดเี ดนของพนั ธุหว ยสี ทน คือ ให ผ ลผลติ 1,000-2,500 กก./ไร (สงู กวาพนั ธหุ ว ยสที น 1 เดิม 20%) ผลสุกสีแดง เขม เรยี บเปน มันเมื่อแหง (ซง่ึ เปน ลกั ษณะดา นคณุ ภาพตามทต่ี ลาดตองการ มกี ารแตกก่งิ กระโดงท่โี คนตน มาก
2) พริกข้ีหนพู นั ธุหัวเรอื ศูนยวิจยั พชื สวนศรสี ะเกษไดท าํ การเปรยี บเทียบพันธุพ ริกข้ีหนูพนั ธหุ ัวเรอื ระหวางป 2542 - 2543 โดยไดท ําการเปรยี บเทียบพันธพุ รกิ ขห้ี นูพนั ธหุ ัวเรอื ทผ่ี า นการคัดเลือกพันธมุ า แลว จาํ นวน 7 สายพันธุ โดยมีพริกหัวเรือจากแปลงเกษตรกรเปน สายพันธเุ ปรยี บเทยี บ ผลการ ทดลองพบวา พรกิ หวั เรือสาย พนั ธุเบอร 25 ใหผ ลผลิตสดสูงสดุ 682.2 กรัมตอตน รองลงมา ไดแ กส ายพันธุเบอร 26 เบอร 13 เบอร 1 และเบอร 4 โดยใหผ ลผลิตนา้ํ หนกั สดเฉลย่ี 676.2, 622.8, 587.9 และ 556.4 กรัมตอ ตน ตามลําดับ ซง่ึ สูงกวาพันธเุ ปรียบเทียบของเกษตรกร 8.32% สาํ หรับปรมิ าณสารเผ็ด (Capsaicin) พบวา สายพันธเุ บอร 1 มปี รมิ าณสารเผด็ สงู สุด 638.3 มิลลกิ รมั /100 กรมั (นา้ํ หนักแหง) รองลงมาไดแ กสายพนั ธุ เบอร 25 และ เบอร 26 ซง่ึ มปี รมิ าณสารเผ็ด 627.8 และ 604.3 มิลลิกรัม/100 กรมั (นา้ํ หนกั แหง) ตามลาํ ดบั ไดน าํ สายพันธุพ ริกข้ีหนู จํานวน 5 สายพันธุ คือ สายพนั ธเุ บอร 25, เบอร 26, เบอร 13, เบอร 1, และ เบอร 4 ท่ีผานการคดั เลอื กท่ีศนู ยวจิ ัยพืชสวนศรสี ะเกษ ในป 2543 มาทําการ ทดสอบพนั ธใุ นแหลงตาง ๆ จํานวน 5 แหง คือ ศูนยว ิจยั พชื สวนศรีสะเกษ สถานีทดลองพืช สวนบุรีรมั ย สถานีทดลองพชื สวนขอนแกน สถานีทดลองพชื สวนนครพนม และศนู ยว จิ ยั พชื สวน หนองคาย ซ่ึงขณะนอี้ ยใู นระหวา งการวเิ คราะหข อมลู 3) พรกิ ข้ีหนูพันธุใหม ศนู ยว จิ ยั พชื สวนศรสี ะเกษ ไดท าํ การปลกู ทดสอบพริกขี้หนูสายพันธใุ หม จํานวน 4 สาย พนั ธุ เปรียบเทยี บ กับพริกขหี้ นหู วยสีทน ศก. เมอ่ื พ.ศ. 2543 และ 2544 4 สถานทไี่ ดแ ก ศนู ยวิจยั พชื สวนศรสี ะเกษ สถานที ดลองพืชสวนหนองคาย สถานีทดลองพืชสวนนครพนม สถานที ดลองพชื สวนบุรีรมั ย พบวา พนั ธุท ีใ่ หผลผลติ สงู ท่สี ดุ คือ พริกขหี้ นูอุบล x ขี้หนเู ลย เบอร 1 ใหผลผลิตเฉล่ยี 626.5 กรัม/ตน จาํ นวนผล 425 ผล/ตน รองลงมาไดแก พริกขห้ี นู เบอร 2 x หัวเรอื ใหผลผลิตเฉล่ีย 600.5 กรัม/ตน จํานวนผล 373 ผล/ตน ซง่ึ ท้ัง 2 พนั ธใุ ห นาํ้ หนกั ผลเฉลย่ี 1.48 กรมั และ 1.61 กรมั ตามลาํ ดบั ซง่ึ ทงั้ 2 พันธุมปี ริมาณผลผลติ จาํ นวน ผล นาํ้ หนกั ผล มากกวาพันธหุ วยสีทน 4) พนั ธุพรกิ ชฟ้ี า เพ่อื การบรโิ ภคสด ศนู ยวิจัยพชื สวนพจิ ติ รไดน าํ พริกชีฟ้ า ผลสีเขยี ว 10 พนั ธุ ผลสเี หลือง 5 พนั ธุ ไป ทดสอบ 3 แหง พบวา ท่ีสถานที ดลองพืชสวนฝาง และกาญจนบรุ ี พรกิ ช้ฟี า ผลเขียว พจ. 5-3- 1-1 และผลสเี หลอื งสายพนั ธุ พจ. 28-1-2-1 ใหผ ลผลติ สูง ขณะทีศ่ นู ยวจิ ัยพชื สวนพจิ ิตร สายพันธุ พจ. 07 (ผลสเี ขียว) และสายพนั ธุ พจ. 29-1-1 (ผลสีเหลือง) ใหผ ลผลิตสงู สุด 5) พนั ธุพริกช้ฟี า เพ่อื ทําพรกิ แหง ศนู ยว จิ ยั พชื สวนพจิ ิตรไดน าํ พรกิ ชีฟ้ าทผ่ี านการปรับปรุงพนั ธใุ หเ หมาะสําหรับ ทาํ พริก แหง จํานวน 10 สายพนั ธุ ไปทดสอบ 3 แหง พบวาสายพนั ธุ พจ. 12-1-1-1 ใหผ ลผลติ สงู
สดุ ที่ สถานีทดลองพืชสวนทา ชยั และศนู ยว จิ ยั พืชสวนหนองคาย แตท่ศี ูนยวิจยั พชื สวนพจิ ิตร สายพันธุ พจ. 16-1-1-1 ใหผ ลผลิตสงู สุด แหลงปลกู ท่เี หมาะสม แหลงปลูกทเ่ี หมาะสม • ดนิ ทเี่ หมาะสมเปน ดนิ รว น • มกี ารระบายน้าํ ดี • มอี นิ ทรียว ัตถุปานกลางถึงสงู • ความเปน กรดเปนดางของดิน (pH) ประมาณ 6.0-6.8 การปลูก การเตรยี มดินปลูก • ไถดนิ ลึก 30-40 เซนติเมตร 2-3 คร้ัง แตละคร้งั ตากดินทงิ้ ไว 2-3 สัปดาห • เกบ็ วชั พืชออก • ถา ดนิ มี pH ตา่ํ ใหป รบั สภาพของดนิ โดยใชปนู ขาว ตามคาํ แนะนําของการวเิ คราะหดิน โดยท่ัว ๆ ไปไมเกินคร้งั ละ 300 กิโลกรัมตอไร ทง้ิ ไว 1-2 สัปดาห การเพาะกลา • เพาะกลา ตัง้ แตตน เดือนตุลาคม • ใชแปลงเพาะกวา ง 1 เมตร ยาว 5-10 เมตร • ขดุ พลิกดนิ ตากดินไว 2-3 สัปดาห ยอ ยดนิ • ใสป ยุ คอกและแกลบเผาอยา งละ 10-20 กิโลกรมั ตอแปลง คลกุ เคลาใหเขา กันจนรวน ซยุ • เกลยี่ ดนิ ใหเรยี บแลว เพาะเมล็ดในอตั รา 50 กรมั ตอ พนื้ ท่ปี ลูกพริก 1 ไร โดยโรยเมล็ด เปนแถวตามความกวาง ของแปลงลึก 0.5 เซนตเิ มตร แตละแถวหา งกัน 10 เซนติเมตร • กลบดนิ บาง ๆ เสมอพ้ืนดนิ ผิวดนิ เดมิ แลวใชฟางขา วคลุมแปลงบาง ๆ รดนํ้า • ราดตามดว ยสารเคมปี องกันและกาํ จดั แมลง เชน คารบารลิ เพอื่ ปอ งกนั มดมากัดกนิ เมล็ด
• เมอ่ื กลา งอกขึ้นมาเหนือพ้ืนดินแลว คอ ย ๆ ดงึ ฟางออกใหบางลง เพือ่ กลาจะเจริญเติบ โตดี • การโรยเมลด็ ถา เปนการปลูกโดยการยา ยกลาจากแปลงเพาะไปปลกู ในแปลงโดยตรง โดยไมย า ยกลาลงถงุ พลาสตกิ ควรโรยเมลด็ ใหม รี ะยะหางเพม่ิ ข้นึ แตล ะเมล็ดควรหา ง กนั 0.50 เซนติเมตร เม่อื กลา โตมใี บจรงิ 4-5 ใบ ควรพน สารเคมีปอ งกนั และกําจดั แมลงอยางนอ ยสปั ดาหล ะครง้ั ระยะปลูก ถาเปน การปลกู แถวเด่ยี ว • ระยะหางระหวางตน 50 เซนติเมตร ระหวา งแถว 100 เซนตเิ มตร ถาปลูกเปน แถวคู • ใชร ะยะระหวา งตน 50 เซนตเิ มตร ระยะระหวา งแถวคู 120 เซนติเมตร ระยะระหวา ง แถว 80 เซนตเิ มตร วธิ ีการปลูก • ยกแปลงใหส ูงขึน้ 10 เซนตเิ มตร • ขดุ หลุมตามระยะปลกู ลกึ 20 เซนตเิ มตร • ใสป ยุ คอกที่แหง แลวประมาณ500 กรัม ปยุ เคมีสตู ร 15-15-15 อัตรา 15 กิโลกรัม ตอ ไร (1 ชอนชาตอหลมุ ) ผสมคลุกเคลาใหเขา กบั ดนิ • นาํ กลา ทมี่ อี ายปุ ระมาณ 1 เดือน มาปลกู รดนา้ํ ใหชมุ ทันทหี ลังจากปลกู • ควรทาํ รอ งระบายน้ําทุก 15 แถว แถวพรกิ ไมค วรยาวเกิน 15 เมตร เพื่อสะดวกในการ ดแู ลรกั ษา • กลา ทใี่ ชป ลกู ควรเลือกตนกลาที่มีลกั ษณะดี ปราศจากโรคและแมลง
การดแู ลรักษา การใสป ุย • ใสป ยุ คอกในอัตรา 3-4 ตันตอ ไร หรือประมาณ 500 กรัมตอ หลุม • ปยุ เคมีสูตร 12-24-12 รองกนหลุมอตั รา 20 กโิ ลกรมั ตอ ไร • หลงั จากปลกู กาํ จัดวชั พืช ใสปยุ เคมี 12-24-12 อตั รา 25 กิโลกรมั ตอ ไร • หลงั ปลูกแลว อายุ 15-20 วนั ใสปุยเคมสี ูตร 12-24-12 อตั รา 25 กิโลกรมั ตอ ไร ทกุ ๆ 3 สปั ดาห ประมาณ 4-5 คร้ัง การใหน า้ํ • ในระยะแรกเมอ่ื ปลกู ลงแปลงควรใหน ํา้ ทกุ วนั เม่อื โตขึ้นใหสงั เกตความชื้นของดนิ • ถา ดนิ มคี วามอมุ นาํ้ ดอี าจเวน ระยะการใหนํา้ ไดหลายวัน การคลุมดนิ • ควรคลมุ ดนิ ดว ยฟางขาว เพอื่ รกั ษาความชื้นของดนิ และลดการระเหยของน้าํ • ไมค วรใชแกลบคลมุ เพราะถาเกิดการพรวนดนิ กลบโคน แกลบจะเกิดการสลายตัว พรกิ จะชะงกั การเจริญเตบิ โต ทาํ ให ผลผลิตลดลงได การเกบ็ เกย่ี ว • เรมิ่ เกบ็ เกย่ี วครั้งแรกเมอ่ื อายุประมาณ 100-120 วัน • โดยเก็บเก่ยี วผลทีห่ ามไปถึงสกุ • ผลผลติ ทเี่ ก็บไดควรเอาไวใ นท่รี มและไมค วรกองสุมกนั เพราะจะทาํ ใหเ กดิ การเนา เสยี ได
โรคท่สี ําคญั และการปองกัน โรคกงุ แหงหรือแอนแทรคโนส อาการมกั เกดิ บนผลพรกิ ท่แี กเ ต็มที่ โดยเปนแผลบุม ลกึ ลงไป ลักษณะวงรหี รอื วงกลมสี นาํ้ ตาล ถา เปน แผลใหญจ ะทาํ ใหพ รกิ เนา หมดทั้งผลและรว งหลน ปอ งกนั กาํ จัดโดยคลุกเมล็ดกอ นปลกู ดวยแมนโคเซบ หรอื พน ดวยยากําจัดเช้ือรา เชน เบนโนมิล คารเ บนดาซมิ หรือ แมนโคเซบ ในระยะท่พี รกิ เริ่มติดผล โรคผลเนา ผลพรกิ จะมแี ผลและเนา อนั เกิดจากสาเหตุอ่ืน ๆ เชน การขาดธาตแุ คลเซยี มและขาด ธาตุโปแตสเซยี ม ทาํ ใหเ นอ้ื เยือ่ ของผลพรกิ ขาวซีดแหงตาย แผลเกดิ จากแมลงกัดกิน และแมลงเจาะวางไข แผลเหลาน้ีเมื่อเน้อื เยอ่ื แหง ตายลง จะมีเช้ือราหลายชนดิ มาขึ้น ภายหลงั ทาํ ใหผ ลเนาเสีย เมอ่ื อากาศชน้ื มองดแู ลว คลา ยโรคกงุ แหง ปองกันโดยการไมใ หพ ริกเกดิ การขาดธาตแุ คลเซยี มและขาดธาตุโปแตสเซยี ม โรคยอดแหง และก่ิงแหง สว นยอด ใบออ น ดอกและผลออนจะเนา เปนสีน้ําตาล ระบาดมากขณะอากาศมี ความชื้นสูง ควรพน สารเคมปี อ งกนั ยอดออนไวก อน โรคเหี่ยวจากเชอ้ื รา อาการใบเห่ยี วเหลอื งจากตอนลา งของตน ลามขน้ึ บนตน จนใบเหลืองหมด ใบรว ง ตน เห่ียวตาย ปอ งกนั กาํ จดั โดยการปรับปรุงดินใหม คี วามเปน กรดเปน ดางระหวาง 6.0-6.8 โดยใส ปนู ขาว อตั รา 200-300 กิโลกรมั ตอไร หรือปลูกพืชหมนุ เวียนอ่นื ๆ ทไ่ี มเ ปน โรคน้ี
แมลงและการปองกนั กาํ จัด เพลี้ยไฟ ดดู นา้ํ เลี้ยง ยอด ใบออน ตาดอก ทาํ ใหใ บหงิก หอ ขน้ึ ดานบน พืน้ ใบเปนคลนื่ เปน รอย สนี าํ้ ตาลใบและดอกรว งหรอื ผลพรกิ ผิดปกติ หากเปน ชว งแหง แลง จะระบาดมาก หากเปนการ ปลกู ในแหลง ใหม แนะนาํ ใหใ ชคารบ ารลิ ฉดี พน สาํ หรบั แหลง ปลูกเกา ใชส ารเคมีท่แี รงข้นึ พน ทุก7-10 วัน ไรขาว ดดู นา้ํ เล้ียงทําใหใ บหงกิ งอ ยนเปน คลน่ื ขอบใบมว นลง ใบเรียวแหลม ตนแคระแกร็น ใบรว งตาย ปอ งกนั กาํ จัดโดยใชพ น ดวย เคลเทน หรือไดโคโฟน พน 5-7 วนั ตอ ครั้ง เพลย้ี ออน ดูดนํา้ เล้ียง ใบเปน คล่ืนใหญบ ดิ สามารถแพรเ ช้ือไวรสั ทาํ ใหเ กิดอาการใบดา ง ใบลาย ใบหงกิ เสน ใบเหลอื ง ตนแคระ ถาระบาดมากมกั พบน้าํ เหนยี วตามใบ บางครั้งจะมีราดาํ ข้ึน ปอ งกนั กาํ จดั โดยพนสารเคมีปองกนั กาํ จัดเชน เดียวกับเพลีย้ ไฟ
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: