ค่มู อื ประจำฐานเรยี นรู้ตลอดชวี ิต ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอเมอื งบุรีรัมย์ สำนักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจังหวดั บรุ รี มั ย์ สำนักงานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก คำนำ แผนการจัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ (ศรร.) ฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต กศน.อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นคู่มือใช้ในการประกอบการเรียนรู้ในกิจกรรมการเรยี นรู้ในฐาน การเรียนรตู้ ลอดชวี ิต คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนการจัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ (ศรร.) ฐานการเรียนรู้ตลอด ชีวิต จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ นกั ศึกษา ครู และผู้ที่สนใจเป็นอยา่ งยง่ิ คณะผจู้ ดั ทำ
สารบัญ ข เรื่อง หนา้ คำนำ ก สารบญั ข รปู แบบการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงส่ฐู านการเรยี นรู้ 1 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2 ชอื่ ครู/วทิ ยากรประจำฐาน 6 ช่ือนกั ศึกษาประจำฐาน 6 วัตถปุ ระสงค์ 6 เน้ือหา/ ความรู้ 6 วธิ ีใชฐ้ านการเรยี นรู้ 7 ตารางการปฏบิ ัติและเวลาทีใ่ ช้ 7 ส่อื /เคร่ืองมือช่วยสรา้ งการเรียนรู้ของผูเ้ รยี น 8 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 8 กระบวนการจดั การเรยี นรู้/วธิ กี ารจดั การเรียนรู้ 8 การวัดและประเมินผล 10 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 การสง่ เสริมการเรยี นรูก้ ารใช้ห้องสมุด 12 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 ส่งเสริมการอ่าน (เกมพยากรณเ์ ลขบัตรประชาชน) 28 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การทำถุงหอมสมุนไพร 45 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 มหัศจรรยส์ ีธรรมชาติ (ผา้ มัดยอ้ ม) 63 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 เสริมสรา้ งจินตนาการระบายสี 88 แบบประเมนิ ความพึงพอใจ 105 แบบประเมนิ ผลงาน 106 แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่ 108 109 รูปภาพประกอบ การจัดกจิ กรรมฐานการเรียนรตู้ ลอดชีวติ
1 รปู แบบการขับเคลอ่ื นหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สู่ฐานการเรยี นรู้ รูปแบบการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่ฐานการเรียนรู้ศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จงั หวดั บุรรี ัมย์ เริ่มจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) ไดล้ งนามบนั ทกึ ข้อตกลงความร่วมมือโดยมวี ัตถุประสงค์ด้านการรักษา ความมัน่ คงสถาบนั หลกั ของชาติ โดยให้บุคลากรในสังกัดสำนักงาน กศน. ทุกระดับ และประชาชนได้ตระหนักรู้และเกิดความภาคภูมิใจในการ ขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่สู่ ประชาชนอย่างแพร่หลาย และเกิดความซาบซึ้งในสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย และให้ความ ร่วมมือในการส่งเสริมหมู่บ้านเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท และได้กำหนดให้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลในกศน.ตำบลทุกแห่งทั่วประเทศ รวม 7,424 แห่ง เพื่อ เปน็ ศนู ย์เรยี นรู้และประสานการทำงานในการขับเคลื่อนการเรียนรู้ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ เกษตรทฤษฎีใหม่ร่วมกับภาคส่วนต่างๆในรูปแบบประชารัฐ สถานศึกษาและประชาชนให้เป็นรูปธรรมเพื่อ เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในโอกาสมหามงคลทรงครองสิริราช สมบัติครบ 70ปีในปพี ุทธศักราช 2559 สำนกั งาน กศน.จังหวัดบรุ ีรัมย์ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความม่ันคงภายในจังหวัดบุรีรัมย์และภาคี เครือข่ายจึงร่วมกันจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ประจำตำบลขึ้น ในกศน.ตำบลทุกแห่ง เพื่อให้การดำเนินงานสนับสนุนแนวทางในการเผยแพร่องค์ความรู้ตามหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่รวมท้ังหลักการทรงงาน เพ่ือสร้างจติ สำนึกความหวงแหนสถาบันหลัก ของชาตผิ ่านกลไกทางการศึกษาของ กศน. และภาคเี ครือข่ายไปสู่นักศึกษา กศน. และประชาชน
2 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง คือ พระราชปรัชญาซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทาน แก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อให้สังคมไทยมีชีวิตดำรงอยู่ได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ว่าเมื่อต้องเผชิญกับ วกิ ฤตการณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนพนื้ ฐานวถิ ชี วี ติ ดั้งเดิมของสังคมไทยนำมาประยกุ ต์ใช้ เมื่อมีการกล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง ในฐานะแนวความคิดหรือปรัชญา ในการดำรงชีวิต\"ทฤษฎี ใหม่\" ก็มักจะได้รับการกล่าวอ้างถึงควบคู่กันเสมอในฐานะตัวอย่างหรือแนวทางในการนำ หลักเศรษฐกิจ พอเพียงมาปฏิบัติเพราะทฤษฎีใหม่ คือการเลี้ยงตัวเองได้ในระดับชีวิตที่ประหยัด ไม่ว่าจะเป็นในเรือ่ งของการ ปลูกพืช เลยี้ งสตั ว์ ในการพงึ่ พาตนเอง และการแบง่ ปนั ตลอดจนการดำเนินชวี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหมส่ กู่ ารดำรงชวี ิต และเกดิ ความซาบซึง้ ในสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานการขับเคลื่อนศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ สามารถใช้วิธีการและแนวทางการจัดการเรียนการสอนตามหลักการทรงงานและแนว พระราชดำรินำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ไปใช้ในวิถีชีวิตและขับเคลื่ อนศูนย์ เรยี นรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหมป่ ระจำตำบลต่อไป รูปแบบหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
3 แผนภูมกิ ารขับเคลื่อนหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง สู่ฐานการเรยี นรู้กศน.อำเภอเมอื งบรุ ีรมั ย์ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คณะกรรมการขบั เคลือ่ นหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง สาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชพี ทกั ษะการดำเนินชวี ติ การพฒั นาสงั คม รายวชิ า ฐานการเรียนรเู้ ศรษฐกิจพอเพียง นักศึกษา คณะกรรมการประเมินผลการจัดกจิ กรรม รายงานผลการจดั กจิ กรรม
4 ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพียง (Sufficiency Economy) เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะ แนวทางที่ควรดำรงอยู่และปฏิบัติตนแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤต เศรษฐกิจ 2550 ให้ใช้เป็นแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้นวิกฤต และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และ ยงั่ ยนื ภายใตค้ วามเปล่ยี นแปลงต่างๆ ลกั ษณะของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. เปน็ วิถกี ารดำเนินชีวิต ท่ใี ชค้ ณุ ธรรมกำกับความรู้ 2. เป็นการพัฒนาตัวเอง ครอบครัว องค์กร สังคม ประเทศชาติ ให้ก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุล มนั่ คง ยง่ั ยนื 3. เปน็ หลกั คดิ และหลักปฏบิ ัติ - เพอ่ื ให้คนส่วนใหญ่พอมีพอกนิ พอใช้ สามารถพงึ่ ตนเองได้ - เพอื่ ให้คนกับคนในสังคม สามารถอยู่ร่วมกันอยา่ งสนั ติสุข - เพ่ือใหค้ นกับธรรมชาติ อยรู่ ่วมกนั อย่างสมดลุ ยง่ั ยืน และให้แต่ละคนดำรงตนอยา่ งมีศักด์ิศรี และ รากเหง้าทางวฒั นธรรม องคป์ ระกอบปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพียง ประกอบดว้ ย 2 - 3 – 4 ได้แก่ 2 เงื่อนไข 3 หลกั การ 4 มิติ โดยมกี ระบวนการดังน้ี 1. ก่อนที่จะลงมือทำกิจกรรมใดๆ นั้นต้องมีเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การตัดสินใจ และการกระทำ เปน็ ไปพอเพียง จะตอ้ งอาศัยทง้ั คณุ ธรรมและความรู้ ดงั นี้ - เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วยการฝึกตนให้มีความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อยา่ งรอบดา้ น มีความรอบคอบ และความระมัดระวังท่ีจะนำความร้ตู ่างๆ เหล่าน้นั มาพิจารณาให้เชอ่ื มโยงกนั - เงื่อนไขคุณธรรมที่จะต้องสร้างเสริมใหเ้ ปน็ พืน้ ฐานจิตใจของคนในชาติ ประกอบด้วย ด้าน จิตใจ คือการตระหนักในคุณธรรม รู้ผิดชอบชัว่ ดี ซื่อสัตย์สุจริต ใช้สติปัญญาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในการ ดำเนินชีวิต และด้านการกระทำ คือมีความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหน่ี รู้จักแบ่งปัน และ รับผดิ ชอบในการอยู่รว่ มกับผูอ้ ื่นในสังคม 2. ระหว่างดำเนินการใหใ้ ช้ 3 หลักการ เปน็ ตัวกำกบั ในการทำกิจกรรม คือ - ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดตี อ่ ความจำเป็น และเหมาะสมกับฐานะของตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียน ตนเองและผูอ้ ืน่ - ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดำเนินการเรื่องต่างๆ อย่างมีเหตุผลตามหลัก วิชาการ หลักกฎหมาย หลักศีลธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมท่ีดงี าม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ตลอดจนคำนึงถงึ ผลท่ีคาดว่าจะเกิดขนึ้ จากการกระทำนน้ั ๆ อย่างรอบรู้และรอบคอบ - การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบและการ เปลี่ยนแปลงในดา้ นต่างๆไม่ว่าจะเปน็ ดา้ นเศรษฐกจิ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรม เพอ่ื ใหส้ ามารถปรับตัว และรับมอื ไดอ้ ยา่ งทันท่วงที เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่เป็นทั้งแนวคิด หลักการ และแนวทางปฏิบัติตนของแต่ละ บุคคล และองค์กร โดยคำนงึ ถึงความพอประมาณกับศักยภาพของตนเอง และสภาวะแวดล้อม ความมเี หตุ
5 มีผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง โดยใช้ความรู้อย่างถูกหลักวิชาการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เบียดเบียนกัน แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมมือ ปรองดองกันในสังคม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสายใยเชื่อมโยงคนในภาคส่วนต่างๆของสังคมเข้าด้วยกัน สร้างสรรค์พลังในทางบวก นำไปสู่ความสามัคคี การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ภายใต้กระแสโลกาภวิ ฒั น์ได้ การนำเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยุกตใ์ ช้ ตอ้ งคำนงึ ถงึ 4 มิติ ดังน้ี 1.ด้านวตั ถุ หมายถงึ การลดรายจา่ ย / เพม่ิ รายได้ / ใช้ชีวิตอยา่ งพอควร / คดิ และวางแผนอยา่ งรอบคอบ / มีภูมคิ มุ้ กัน / ไม่เสีย่ งเกินไป / การเผอ่ื ทางเลือกสำรอง 2.ดา้ นสงั คม หมายถงึ การช่วยเหลอื เกือ้ กูล / รรู้ กั สามคั คี / สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครวั และชมุ ชน 3.ด้านสิ่งแวดลอ้ ม หมายถงึ การรู้จักใช้และจัดการอยา่ งฉลาดและรอบคอบ / เลือกใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างรู้ค่า และเกิดประโยชน์สูงสดุ / ฟน้ื ฟูทรพั ยากรเพอ่ื ให้เกิดความยั่งยืนสูงสดุ 4.ดา้ นวัฒนธรรม หมายถึง การเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน / เห็นประโยชน์และคุ้มค่าของภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญา ทอ้ งถ่นิ / รู้จักแยกแยะและเลือกรับวฒั นธรรมอ่ืน ๆ
6 ฐานการเรียนร้ตู ลอดชีวิต 1. ชื่อครู/วทิ ยากรประจำฐาน 1. นางสาวบวั หลวง หงษ์ยนต์ 2. นายเฉลิมชัย เสารีรัมย์ 3. นางสาวไขแสง ซอกรมั ย์ 4. นางสาวสุวรรนีย์ เทพนภา 5. นางจารณุ ี สาตราภยั 6. นางสาวดวงฤดี ไสวบญุ ธรรม 7. นางสาวปภชั ญา มุมบา้ นเซ่า 8. นางสวุ ชั รา ศริ ิศิลป์ 9. นางสาวลภณพร เกตชุ ติ 10. นางสาววิภารัตน์ เกตชุ ิต 11. นางสาวสุภาภรณ์ สตาสทิ ธ์ิ 12. นางสาวพรอุรา อุรรี ัมย์ 2. ชื่อนกั ศึกษาประจำฐาน 1. นางสาวนารีย์ ชยั ชมุ พล 2. นางสาวพรรณิดา จารัมย์ 3. วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ส่งเสริมการเรยี นร้กู ารใช้หอ้ งสมดุ (ห้องสมุดกบั การเรียนรู้ตลอดชวี ติ ) 2. เพือ่ ส่งเสรมิ ส่งเสรมิ นิสัยรกั การอ่านและให้เกดิ การใฝร่ ู้อย่างตอ่ เน่ือง (กจิ กรรมส่งเสริมการ อา่ น เกมพยากรณเ์ ลขบัตรประจำตัวประชาชน) 3. เพ่อื สง่ เสริมความรู้ความสามารถด้านอาชพี ให้แกผ่ ้รู ับบริการ (กจิ กรรมการทำถุงหอมสมนุ ไพร) 4. เพื่อส่งเสริมความรู้ความสามารถด้านอาชีพให้แก่ผู้รับบริการ (กิจกรรมการทำผ้ามัดย้อมจากสี ธรรมชาติ) 5. เพื่อเสริมสร้างจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้แก่ผู้รับบริการ (กิจกรรมเสริมสร้างจิตนาการ ระบายสี) 6. ผรู้ บั บรกิ ารสามารถนำความรู้ท่ีไดป้ ระยุกตใ์ ชห้ รอื ตอ่ ยอดความรู้ในชวี ติ ประจำวนั 4. เนื้อหา/ ความรู้ 1. กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรียนรูก้ ารใชห้ อ้ งสมดุ 2. กจิ กรรมสง่ เสรมิ การอ่าน (เกมพยากรณ์เลขบตั รประจำตัวประชาชน) 3. กิจกรรมถุงหอมสมนุ ไพร 4. กจิ กรรมมัดยอ้ มจากสีธรรมชาติ 5. กิจกรรมเสรมิ สรา้ งจิตนาการระบายสสี ำหรับเดก็ 5. วธิ ใี ช้ฐานการเรยี นรู้ 1. ศึกษาใบความรู้ 2. เตรยี มวสั ดแุ ละอปุ กรณ์ 3. ลงมอื ปฏิบตั ิ 4. สรุปองคค์ วามรู้ที่ได้รับ
6. ตารางการปฏิบตั แิ ละเวลาทีใ่ ช้ 7 ห้องสมุดกับการเรียนร้ตู ลอดชวี ติ เวลาทใี่ ช้ 10 นาที 1. กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้การใชห้ ้องสมดุ 50 นาที ลำดบั การปฏบิ ตั ิ 50 นาที 1 ชี้แจงวัตถปุ ระสงค์ 50 นาที 20 นาที 2 เรยี นรู้ความเป็นมาและความสำคัญของห้องสมุด เวลาที่ใช้ 3 เตรียมวัสดุอุปกรณ์และลงมอื ปฏิบตั ิ การจัดหมวดหมหู่ นงั สือระบบ 10 นาที ทศนิยมของดวิ อ้ี 15 นาที 15 นาที 4 ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวัดบรุ รี มั ย์ 15 นาที 15 นาที 5 สรุปองค์ความรทู้ ไี่ ดร้ บั จากการเรยี นรู้การใชห้ ้องสมุด 30 นาที 20 นาที 2. กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน (เกมพยากรณ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน) เวลาที่ใช้ ลำดับ การปฏิบตั ิ 10 นาที 1 ช้ีแจงวัตถุประสงค์ 15 นาที 2 ความสำคัญของการอ่าน 15 นาที 3 ความหมายของการอา่ น 50 นาที 4 จดุ มุ่งหมายและประเภทของการอา่ น 10 นาที 5 ประโยชนข์ องการอา่ น 20 นาที 6 เกมพยากรณ์เลขบตั รประชาชน 7 ใบงาน/สรุปองค์ความรู้ทีไ่ ดจ้ ากกจิ กรรมสง่ เสริมการอ่าน เวลาท่ีใช้ 10 นาที 3. กจิ กรรมการทำถุงหอมสมุนไพร 15 นาที ลำดับ การปฏบิ ัติ 15 นาที 60 นาที 1 ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ 20 นาที 2 สมุนไพรภมู ิปญั ญาไทย 3 สรรพคุณและประโยชนข์ องสมุนไพร 4 กระบวนการทำถุงหอมสมุนไพร 5 ประโยชน์ของถุงหอมสมนุ ไพร 6 สรุปองคค์ วามรู้ท่ีไดร้ บั จากการทำถงุ หอมสมนุ ไพร 4. กิจกรรมการมดั ยอ้ มจากสีธรรมชาติ ลำดบั การปฏบิ ัติ 1 ชี้แจงวตั ถุประสงค์ 2 ความเป็นมา ภมู ปิ ญั ญายอ้ มผา้ จากสธี รรมชาติ 3 สียอ้ มกบั การสร้างสรรค์ 4 กระบวนการทำผา้ มัดย้อม 5 และการมัดยอ้ มจากสีธรรมชาติ
5. กิจกรรมเสรมิ สร้างจิตนาการระบายสี 8 ลำดับ การปฏบิ ตั ิ เวลาทใี่ ช้ 1 ช้ีแจงวัตถุประสงค์ 10 นาที 2 ความรูเ้ บอื้ งต้นเกย่ี วกับการระบายสี 20 นาที 3 เทคนิคการระบายสเี พื่อเสรมิ สร้างพัฒนาการ 20 นาที 20 นาที 4 ประโยชนจ์ ากการระบายสี 30 นาที 20 นาที 5 ฝกึ ปฏบิ ตั ริ ะบายสี 6 สรปุ องคค์ วามรทู้ ี่ได้รับจาการระบายสี 7. สอ่ื /เครือ่ งมอื ช่วยสรา้ งการเรียนรู้ของผูเ้ รียน 1. ใบงาน / ใบความรู้ 2. วัสดอุ ุปกรณใ์ นการจัดกจิ กรรมส่งเสรมิ การอา่ นดว้ ยวธิ ตี ่างๆ 3. แหลง่ เรยี นรู้ฐานการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต 4. การถอดบทเรียน 8. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ขยัน 2. ประหยดั 3. ซ่อื สัตย์ 4. สามคั คี 5. มีน้ำใจ 6. มวี นิ ัย 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้/วธิ ีการจัดการเรยี นรู้ 1 .ขน้ั นำเขา้ สู่บทเรียน 2. ขน้ั สอน 3. ขน้ั สรุป ขนั้ ท่ี 1 ขัน้ นำเข้าสู่บทเรียน ส่อื การเรียนรู้ : ใบความรู้ สาธิตและฝึกปฏิบัติในการทำกจิ กรรม ฐานห้องสมุดกบั การเรียนรู้ ตลอดชีวิต 1. ครูนำเขา้ สบู่ ทเรียนโดยการ อธิบายความหมาย ประเภท หลกั การ และความสำคญั ของห้องสมดุ กบั การเรยี นรตู้ ลอดชีวิต 2. ครอู ธบิ าย ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ เรยี นรู้เร่ืองห้องสมดุ กับการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต 3. แบ่งผูร้ บั บรกิ ารออกเป็น 5 กลมุ่ มาทฐี่ านหอ้ งสมุดกับการเรียนร้ตู ลอดชีวติ - หนว่ ยการเรียนรู้สง่ เสริมการเรยี นรูก้ ารใชห้ อ้ งสมุด - หน่วยการเรียนรสู้ ง่ เสริมการอา่ น (เกมพยากรณ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน) - หน่วยการเรียนรู้ถงุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรียนรกู้ ิจกรรมมดั ยอ้ มจากสีธรรมชาติ - หน่วยการเรียนรเู้ สรมิ สรา้ งจิตนาการระบายสี
9 ขั้นที่ 2 ขนั้ สอน 1. นำผ้รู ับบริการมาท่ฐี านการเรียนรูต้ ลอดชวี ติ และใหผ้ รู้ บั บรกิ ารเรยี นรูต้ ามฐาน การเรยี นรู้ โดยรปู แบบหนว่ ยการเรยี นรู้ จำนวน 5 หน่วย - หนว่ ยการเรียนร้สู ่งเสริมการเรียนรู้การใชห้ ้องสมุด - หนว่ ยการเรยี นรู้ส่งเสรมิ การอ่าน (เกมพยากรณเ์ ลขบัตรประจำตัวประชาชน) - หนว่ ยการเรียนรู้ถงุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรียนรู้กิจกรรมมัดยอ้ มจากสธี รรมชาติ - หนว่ ยการเรียนรู้เสริมสรา้ งจิตนาการระบายสี 2. ครอู ธิบาย ช้ีแจงวัตถุประสงค์ - หนว่ ยการเรียนรสู้ ่งเสรมิ การเรียนรกู้ ารใช้หอ้ งสมดุ - หน่วยการเรยี นรู้ส่งเสรมิ การอ่าน (เกมพยากรณเ์ ลขบัตรประจำตัวประชาชน) - หนว่ ยการเรยี นรถู้ งุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรียนรกู้ ิจกรรมมัดย้อมจากสธี รรมชาติ - หนว่ ยการเรยี นรเู้ สรมิ สร้างจติ นาการระบายสี 3. ให้ผรู้ ับบริการ ศึกษาใบความรู้ เรอ่ื ง - หน่วยการเรยี นรู้สง่ เสริมการเรยี นรกู้ ารใชห้ อ้ งสมุด - หน่วยการเรยี นรู้ส่งเสรมิ การอา่ น (เกมพยากรณ์เลขบัตรประจำตวั ประชาชน) - หนว่ ยการเรยี นรู้ถงุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรยี นรู้กจิ กรรมมดั ย้อมจากสธี รรมชาติ - หน่วยการเรยี นรู้เสรมิ สร้างจติ นาการระบายสี 4.ครูซักถามและกระตุน้ ให้ผรู้ ับบริการชว่ ยกนั ตอบอภปิ รายสรปุ และให้ผู้รบั บรกิ ารจดบันทึกไว้ 5. ครสู าธติ วธิ กี ารทำกิจกรรม ให้ผูร้ บั บรกิ ารดู และอธบิ ายขนั้ ตอนในการทำกิจกรรมอยา่ งละเอียด พร้อมทัง้ ใหน้ ักศึกษาซักถามข้อสงสยั - หนว่ ยการเรยี นรู้ส่งเสริมการเรยี นรู้การใช้หอ้ งสมดุ - หนว่ ยการเรยี นรู้สง่ เสรมิ การอ่าน (เกมพยากรณ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน) - หน่วยการเรยี นรู้ถงุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรยี นรู้กจิ กรรมมดั ย้อมจากสธี รรมชาติ - หน่วยการเรียนรู้เสริมสร้างจิตนาการระบายสี 6. ผรู้ ับบรกิ ารปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามฐานการเรียนรู้ โดยใหศ้ ึกษารายละเอียดในการปฏิบัตงิ านจากใบงาน - หนว่ ยการเรยี นรู้สง่ เสรมิ การเรยี นรู้การใช้หอ้ งสมดุ - หน่วยการเรยี นรสู้ ่งเสรมิ การอา่ น (เกมพยากรณ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน) - หนว่ ยการเรียนร้ถู งุ หอมสมุนไพร - หน่วยการเรียนรู้กิจกรรมมดั ยอ้ มจากสีธรรมชาติ - หนว่ ยการเรยี นรูเ้ สรมิ สร้างจติ นาการระบายสี ขน้ั ที่ 3 ข้ันสรุป สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ : 1. ครแู ละผ้รู บั บริการชว่ ยกนั สรุปกิจกรรมและประโยชนข์ องกิจกรรมด้วยวธิ ีการ 2. ให้ผู้รับบริการทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
10 10. การวดั และประเมินผล สิ่งทีต่ ้องการวัด วิธวี ัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับดีข้นึ ไป ( รอ้ ยละ ๗๐ ) 1. สงั เกตพฤติกรรม - การสังเกต - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ระดบั ดขี นึ้ ไป ( ร้อยละ ๗๐ ) การทำงานกลุม่ - แบบประเมินช้นิ งาน 2. ชน้ิ งานและใบงาน - การประเมินผลจาก 2.1 ใบงาน เร่ือง ช้ินงานและใบงาน ส่งเสรมิ การเรยี นรกู้ ารใช้ หอ้ งสมุด 2.2 ใบงาน เรือ่ ง กจิ กรรมสง่ เสริมการอ่าน “เกมพยากรณ์บตั ร ประชาชน” 2.3 ถงุ หอมสมนุ ไพร และผ้ามดั ย้อมจากสี ธรรมชาติ 2.4 ภาพระบายสี ส่งิ ท่ตี ้องการวัด วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ 3. คุณลกั ษณะพอเพยี ง - การสังเกต - แบบประเมิน ระดับดขี ึ้นไป ( รอ้ ยละ ๗๐ ) 4. พฤตกิ รรมทกั ษะชวี ิต - การตอบคำถาม - แบบคำถาม ผา่ น/ไมผ่ ่าน
11 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 การส่งเสรมิ การเรยี นรกู้ ารใช้ห้องสมดุ
12 เรื่องที่ 1 ความเป็นมาและความสำคญั ของห้องสมุด ความหมายของห้องสมดุ คำว่า “ห้องสมุด” มีคำที่ใช้กันอยู่หลายคำในประเทศไทย สมัยก่อนเรียกส่า “หอหนังสือ” ห้องสมุด ตรงกบั ภาษาอักฤษวา่ Library มาาจากศพั ท์ภาษาละตินวา่ Libraria ห้องสมุด คือ สถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ ซึ่งได้บันทึกไว้ในรูปแบบหนังสือ วาสาร ต้นฉบับ ตัวเขียน สิ่งตีพิมพ์อื่นๆ หรือโสตทัศนวัสดุ และมีการจัดอย่างมีระเบียบเพ่ือบรกิ ารแกผ่ ู้ใช้ ในอันที่ส่งเสริมการ เรียนรู้และความสรรโลงใจตามความสนใจและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้จัดหา และจัดเตรยี มใหบ้ ริการแกผ่ ู้ใช้ห้องสมดุ ความสำคัญของห้องสมุด ห้องสมุดเป็นแหล่งรวมรวมสรรพวิทยาต่างๆ หาลายสาขา สำหรับบริการผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้ หรือค้นค้าวข้อมูลต่างๆ ความสำคัญของหอ้ งสมุดพอสรปุ ได้ ดังนี้ 1. ห้องสมุดเป็นที่รวบรวมวิทยาการต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน ซึ่งทั้งที่ผู้เรียนและ ผู้สอนใช้เป็นสถานที่ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้การเรียนการสอนทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้ผู้สอนมี ความรู้ใหม่ ๆ และรอบรู้ในเรื่องที่สอนมากขึ้น ผู้เรียนสามารถเข้าไปค้นคว้าหาความรู้ในแขนงวิชาที่เรียนตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ.2542 ที่มุ่งจัดการเรียนการสอยโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ห้องสมุดจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการเรยี นการสอนมากยิง่ ขึน้ ห้องสมุดต้องมีความสมบรู ณ์ พร้อมทจ่ี ะให้ผู้เรียนและผู้สอนใช้ เป็นแหล่งคน้ ควา้ อยา่ งกวา้ งขวางและเพยี งพอต่อความตอ้ งการ 2. ห้องสมุดเป็นแหล่งสารนิเทศที่มีความสำคัญต่อการค้นคว้าวิจัย การเลือกการอ่านหนังสือเพ่ือ ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ประดิษฐ์คิดค้นใหมไ่ ดโ้ ดยอิสระตามความสนใจของแตล่ ะบุคคลสามารถค้นหาคำตอบท่ี ต้องการอยา่ งมีระบบวิธี โดยการใช้สารนเิ ทศตา่ งๆ ท่ีมอี ยู่ในห้องสมุดเพ่ือความสมบรู ณ์ ถูก๖องและเพิ่มคุณค่า ของการวิจยั 3. ห้องสมุดเป็นแหล่งสารนิเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเลือกศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระตามความ ตอ้ งการของแตล่ ะคนภายใตเ้ งอื่ นไขระเบียบจอ้ บงั คบั ของห้องสมุดไม่จำกัดสทิ ธแิ ละโอกาสในการศึกษาค้นควา้ 4. หอ้ งสมดุ เป็นแหล่งขอ้ มูลท่สี ่งเสรมิ การอา่ นและค้นควา้ ด้วยตนเอง การอา่ นเป็นการพัฒนาความรู้ ความคิดประสบการณ์ ทักษะทางภาษา และการอ่านเป็นการศึกษาที่ไม่สิ้นสุด ห้องสมุดจึงเป็นสถานที่สำคัญ ต่อการอา่ นหนงั สอื ถือเป็นแหลง่ ข้อมลู สำหรับการอา่ นทดี่ ที ส่ี ุดแหล่งหน่ึง 5. หอ้ งสมุดเปน็ สถานที่สำหรับการพฒั นาคุณภาพชีวติ เพราะเป็นศนู ยร์ วมความรคู้ วามคิดที่ปิดโอกาส ให้ทุกคนแสวงหาความรไู้ ด้ตามต้องการเป็นการสง่ เสรมิ ให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนใหร้ ู้จักใช้เวลาว่างให้ เป็นประโยชน์ทำให้เกิดความคิดในการพัฒนางานอาชีพของตนและเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางกา ร ประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นแหล่งส่งเสริมความบันเทิง การอ่านจึงเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของ ประชาชน 6. ห้องสมุดเป็นสถานที่ส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามจาการที่สภาพสังคมและวัฒนธรรม เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ทำให้มีการแลกเปลี่ยนและเลียนแบบวัฒนธรรมระหว่างชนชาติอย่างกว้างขวาง ห้องสมุดจึงกลายเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมของช าติให้คงอยู่ หอ้ งสมุดเป็นแหล่งรวบรวมสารนิเทศดา้ นสังคมและวฒั นธรรมเพ่อื เผยแพรใ่ ห้อนชุ นร่นุ หลงั ได้รู้จักและรักษาสืบ ต่อไป และเป็นศูนย์รวมของคนในสังคมทีเข้ามาใช้ ห้องสมุดเป็นจำนวนมากทำให้ผู้ใช้รู้จักระเบียบ ข้อบังคับ และมารยาทในการใช้ห้องสมุดรว่ มกัน เป็นการสร้างวัฒนธรรมทีด่ ีงามอยา่ งหน่ึงและห้องสมดุ ยังเป็นศนู ยร์ วม กจิ กรรมตา่ งๆ ของสังคม เช่น การจัดนิทรรศการวนั สำคญั ของชาติ
13 7. ห้องสมุดจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ผู้อ่านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเรยี นรู้ได้มากที่สุด เนื่องจาก ห้องสมุดส่วนใหญ่เป็นแหล่งข้อมูลที่ให้บริการโดยไม่คิดมูลค่าเป็นคลังแห่งความเรียนรู้ที่ให้อิสระแก่ผู้ใช้เพื่อ นำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาความเจริญก้าวหน้าและใช้ในการประกอบธุรกิจต่างๆ โดย ผู้ใช้บริการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการไม่หาซื้อหนังสือ เอกสาร ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จึงสามารถประหยัด ค่าใชจ้ ่ายได้มาก จะเห็นได้ว่าห้องสมุดมีความสำคัญกับผู้ใช้ห้องสมุดอย่างมาก ถ้าผู้ใช้รู้คุณค่าในสมบัติทุกชิ้นท่ีมีอยู่ใน ห้องสมุด รู้จักใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างให้หนังสือ เอาสาร หรือสื่อสารนิเทศต่าง ๆ ในห้องสมุดฉีกขาด หรือสูญหาย ก็นับว่าผู้ใช้ช่วยกันดูแลทรัพย์สมบัติส่วนรวมให้คงอยู่สืบไป อีกทั้งเป็นการฝึกนิสัยในการรู้จัก ระมัดระวังอยู่เสมอ ๆ จนกลายเปน็ นิสยั ที่ติดตัวผ้ใู ช้ตลอดไป วตั ถุประสงคข์ องห้องสมุด วัตถุประสงค์สำคัญของห้องสมุดโดยทัว่ ไปมี 5 ประการ คือ 1. เพื่อการศึกษา (Education) ห้องสมุดเป็นศูนย์รวมทรัพยากรสารนิเทศหลายรูปแบบทุกสาขาวิชา ของสถาบนั การศึกษาทุกระดับ เป็นสถานทีท่ ่นี ักเรียน นกั ศึกษา ครูอาจารยแ์ ละบุคคลท่ัวไปทุกระดับตั้งแต่ชั้น อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษาเข้าไปศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองได้ อย่างกว้างขวาง สามารถศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองนอกจากการเรียนการสอนในห้องเรยี น ผู้ศึกษาจำเป็นต้องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องสมุดประกอบคำสอนของครูอาจารย์จึงมีความรู้อย่างสมบูรณ์ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาถึง ชั้นสูงกอ็ าจใช้หอ้ งสมุดศึกษาตอ่ ไปตลอดชีพ เพราะหอ้ งสมุดเป็นแหลง่ วิชาใหค้ ้นหาสิง่ ที่สงสยั ได้ตลอดเวลา 2. เพื่อให้ความรู้และข่าวสาร (Information) ห้องสมุดเป็นศูนย์รวมสรรพวิทยาการทุกสาขา เปิด โอกาสให้ทุกคนแสวงหาความรู้ ข่างสารตา่ ง ๆ อย่างกวา้ งขวาง ตามความสนใจของแตล่ ะคนอยา่ งไมม่ ีข้อจำกัด ห้องสมุดเป็นศูนย์กลางสำหรับนักศึกษาวิชาการใหม่ ๆ และติดตามข่างความเคลื่อนไหวทั้งภายในภายนอก ประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นคนทันสมัยทันโลก มีความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนาประเทศ ช่วยให้เป็น พลเมืองทม่ี ีคณุ ภาพ มีความรับผิดชอบ 3. เพ่ือการค้นคา้ วิจยั (Research) ห้องสมดุ เปน็ ทเ่ี ก็บรกั ษาหนังสอื และวัสดอุ ุปกรณ์ทกุ ชนดิ ไว้สำหรับ ใหบ้ รกิ าร ผ้ทู ี่ทำการวจิ ัยเรื่องใหม่ ๆ ขึ้นมาย่อมต้องคน้ คว้าเร่ืองที่มีอยู่เดิมเสียก่อน ห้องสมุดเป็นศูนย์รวมของ ความรู้ ผู้ใช้สามารถเลือกศึกษาค้นคว้าได้ตามความต้องการของตนเองอย่างกว้างขวา้ ง โดยเฉพาะในห้องสมุด ของสถาบันการศกึ ษาระดับอดุ มศกึ ษามีหน้าที่สำคัญอยา่ งยิ่งประการหนึ่ง คือ ส่งเสริมการค้นควา้ และวิจยั จึง ต้องจัดหาเอกสารที่จำเป็นสำหรับการค้นคว้าและวิจัย การค้นคว้าวิจัยจะช่วยให้เกิดพัฒนาการในวิชาการใน สาขาต่าง ๆ 4. เพ่ือความจรรโลงใจ (Inspiration) การอ่านหนังสอื นอกจากเป็นการรวบรวมขา่ งสารความรู้ตา่ ง ๆ แล้วยังสามารถให้ความสุขทางใจ เพราะห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมทรัพยากรทั้งรูปของสิ่งพิมพ์และ โสตทัศนวสั ดตุ า่ ง ๆ ส่งเสริมใหผ้ ้ใู ช้เกิดความรู้ความคิดสร้างสรรค์ เมื่อผู้ใช้ได้ใช้ประโยชน์จากวสั ดุสารต่าง ๆ ที่ มใี นหอ้ งสมดุ แล้ว อาจได้รบั ความประทบั ใจจนเกดิ แรงบันดาลใจให้มีความคิดสร้างสรรค์หรือเกดิ ความจรรโลง ใจ ความเจริญงอกงามทางจติ ใจ สร้างสรรค์ความดแี ก่ตนเองละสังคมทำให้เกดิ ความช่ืนชมในความคดิ ทีด่ ีงาม ของผู้อ่ืน 5. เพื่อนันทนาการ (Recreation) ห้องสมุดมิได้มีเฉพาะข่าวสารความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังมี ความเพลิดเพลินในรูปแบบต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้ให้บริการผู้ใช้ห้องสมุดให้ได้ผ่อนคลายและได้รับความ เพลดิ เพลินจากการอ่าน ซึ่งถือว่าเปน็ การพักผ่อนหย่อนใจที่ดีที่สุดทำให้คนเรารู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เปน็ งานอดเิ รกอยา่ งหนึ่ง
14 องค์ประกอบของห้องสมุด หอ้ งสมุด คือ แหลง่ รวบรวมวัสดุเพื่อการศกึ ษาและคน้ ควา้ วจิ ัย แบ่งเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ งั น้ี 1. สิ่งตีพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ เอกสาร จุลสาร ในสาขาวิชาต่าง ๆ หนังสือเป็น ความรทู้ ่ัวไป หนงั สอื ทม่ี คี ณุ ค่าถาวรและหนงั สืออา้ งอิง 2. หนังสือตวั เขียน ไดแ้ ก่ สมุดย่อย หนังสอื อา่ น และตน้ ฉบับทีเ่ ขียนดว้ ยลายมอื อ่นื ๆ 3. โสตทัศนวัสดุ ไดแ้ ก่ ภาพยนตรส์ ารคดี ฟลิ ม์ สคริป สไลด์ แถบเสียง แผน่ เสยี ง ลกู โลก แผนที่ รูปภาพ 4. วสั ดยุ อ่ ส่วน ได้แก่ ไมโครฟิล์ม ไมโครการด์ ไมโครฟชิ ซงึ่ ต้องใชเ้ ครอ่ื งอา่ นเปน็ พิเศษ สว่ นประกอบสำคัญของห้องสมดุ คอื อาคารสถานท่ี วสั ดเุ พือ่ การศึกษาและค้นควา้ วจิ ัย บรรณารักษ์ท่ี มีคุณวุฒิทางบรรณารักษ์ศาสตร์และมีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดในจำนวนที่เพียงพอทำหน้าที่ให้บริการอย่างมี ประสทิ ธิภาพตามวัตถปุ ระสงค์ของหอ้ งสมุดและมีเงนิ งบประมาณอยา่ งเพียงพอ ประเภทของหอ้ งสมุดและแหลง่ เรียนรู้ ห้องสมุด สถานที่รวบรวมทรัพยากรสารนิเทศต่าง ๆ ที่เลือกสรรแล้ว เข้ามาไว้บริการแก่ผู้ใช้ให้ ทนั สมยั และสอดคล้องกับความต้องการ โดยมบี รรณารกั ษ์เปน็ ผดู้ ำเนินการเกย่ี วกับการจัดหา รวบรวม จัดเก็บ และให้บริการอย่างมีระบบเป็นแหล่งสารนิเทศที่เก่าแก่และที่สำคัญที่สุด ที่จัดให้บริการสารนิเทศอย่าง กวา้ งขวางแบ่งเปน็ 5 ประเภท คือ 1. หอสมุดแหง่ ชาติ นบั เป็นหอ้ งสมุดท่ีใหญ่ทสี่ ุดในประเทศ ดำเนิน การโดยรฐั บาลหน้าที่หลักคือรวบรวม หนงั สอื สงิ่ พิมพ์และสื่อความรู้ ทกุ กอย่างทผี่ ลิตขนึ้ ในประเทศ และทุกอย่างท่ีเกีย่ วกับประเทศ ไม่ว่าจะจัดพิมพ์ ในประเทศใด ภาษาใด 2. ห้องสมุดประชาชน เช่นเดียวกับหอสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดประ- ชาชนดำเนินการโดยรัฐ อาจจะเป็น รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่นหรือเทศบาล แล้วแต่ระบบการปกครองของแต่ละประเทศ ตามความหมายเดิม ห้องสมุดประ ชาชนเปน็ หอ้ งสมุดท่ปี ระชาชนตอ้ งการให้มีในชมุ ชน 3. ห้องสมุดของมหาวิทยาลยั และวิทยาลยั เป็นหอ้ งสมดุ ทีต่ ้ังอยู่ใน สถานศกึ ษาระดบั อุดมศึกษาทำหน้าที่ ส่งเสริมการเรียนการสอนตามหลักสูตร โดยการจัดรวบรวมหนังสือและสื่อความรู้อื่น ๆ ในหมวดวิชาต่าง ๆ ตามหลัก สตู ร ช่วยเหลือในการคน้ ควา้ วิจยั ของอาจารย์และนักศกึ ษา 4. ห้องสมุดโรงเรียน เป็นห้องสมุดที่ตั้งอยู่ในโรงเรียนมัธยม และ โรงเรียนประถมศึกษา มีหน้าที่ส่งเสริม การเรียนการสอนตามหลักสูตรโดย การรวบรวมหนังสือและสือ่ ความรู้อ่ืน ๆ ตามรายวิชา แนะนำสั่งสอนการ ใช้ ห้องสมดุ แกน่ กั เรยี น 5. ห้องสมุดเฉพาะ คอื หอ้ งสมุดซึง่ รวบรวมหนังสือในสาขาวชิ าบาง สาขาโดยเฉพาะ มักเป็นส่วนหนึ่งของ หน่วยราชการ องค์การ บริษัทเอกชน หรือธนาคาร ทำหน้าที่จัดหาหนังสือและให้บริการความรู้ ข้อมูล และ ขา่ วสาร เฉพาะเร่ืองทีเ่ กี่ยวข้องกบั การดำเนนิ งานของหน่วยงานนั้น ๆ บรกิ ารของหอ้ งสมดุ ห้องสมุดที่ดีควรมีการจัดบริการที่สอนงความตอ้ งการของผู้ใช้อยา่ งกว้างขวาง ผู้ใช้ได้รับความสะดวก รวดเร็วและสามารถใช้ห้องสมุดในการเพิ่มพูนความรู้ตลอดจนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันได้เป็นอยา่ งดี ดังนน้ั หอ้ งสมดุ ทด่ี คี วรจัดหา จดั ระเบยี บและจดั บริการดงั ต่อไปนี้ 1. บริการทรัพยากรสารนิเทศ หอ้ งสมดุ จะคดั เลือกและจดั หาวสั ดุสารนิเทศหนังสือและวสั ดุ สง่ิ พมิ พ์ โสตทศั นว์ ัสดุ เตรียมไวเ้ พ่อื ให้บรกิ ารแกผ่ ู้ใช้ 2. บริการให้ยมื และรับคืนวัสดุสารนเิ ทศ สงิ่ พมิ พ์ หรือเอกสาร โดยจดั หาวัสดสุ ารนเิ ทศใน รูปแบบตา่ ง ๆ ไว้บรกิ าร และอนญุ าตให้ยมื ไปใช้นอกสถานท่ไี ด้ และนำกลบั มาคนื ในระยะเวลาท่กี ำหนดไว้
15 3. บรกิ ารสืบค้นสารนเิ ทศอิเล็กทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ บริการอนิ เตอร์เนต็ บรกิ ารฐานขอ้ มูลซดี รี อม ซดี ีรอม มัลติมเี ดีย 4. จัดบริการแนะนำการอ่าน บริการตอบคำถาม บริการช่วยการค้นคว้า บริการแนะนำการ ใช้ห้องสมุด แนะนำหนังสือดีหรือหนังสือที่หน้าสนใจ หนังสือที่จัดหาเข้าห้องสมุดใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้บริการได้ ทราบ 5. มีหนังสืออ้ายงอิง หนังสือสำรองที่สงวนไว้เฉพาะในห้องสมดุ หรือให้ขอยืมได้ในเวลาจำกดั ในกรณีที่หนังสือมีจำนวนน้อย แต่มีผู้ใช้จำนวนมากอาจจะแยกออกมาเพื่อบริการเฉพาะกลุ่ม และเปิดโอกาส ให้ผ้ใู ชไ้ ดใ้ ชห้ นังสืออา้ งองิ อย่างทั่วถึงกันและควรจดั บริการหนังสือจองด้วย 6. บรกิ ารโสตทศั นวัสดแุ ละอปุ กรณ์ เช่น ชดุ ศกึ ษาวิดที ศั นด์ ว้ ยตนเอง เครอ่ื งฉายภาพนงิ่ รายการโทรทศั นผ์ ่านดาวเทียม แผน่ ซีดีเพลง หรอื ภาพยนตร์ 7. บริการยืมหรือถ่ายสำเนาเอกสารระหว่างห้องสมุดหากหนังสือหรือเอกสารที่ผู้ใช้ต้องการ ไมม่ บี ริการ ณ หอ้ งสมุดแหง่ น้ันสามารถติดต่อไปยังห้องสมุดสถาบันอดุ มศึกษาแห่งอื่นที่มเี อกสารน้นั ๆ เพื่อขอ ถ่ายเอกสารหรือยืมฉบบั จรงิ 8. บริการรวบรวมบรรณานุกรมหรือจัดทำสาระสังเขป เช่น บริการรวบรวมรายชื่อเอกสาร เฉพาะเรื่องสำหรับนักวิจัยที่กำลังศึกษาเรื่องนั้น ๆ จัดทำดรรชนีบทความจากวารสารเป็นบริการที่ทำขึ้นเพ่ือ อำนวยความสะดวกแกผ่ ูใ้ ชใ้ นการค้นควา้ หาบทความเร่อื งจ่าง ๆ ที่ดพี ิมพใ์ นวารสารภาษาไทย 9. มีการจดั หนังสือเปน็ หมวดหมู่ตามระบบสากลไว้ในชั้นเปิดเพ่อื ใหผ้ ู้ใช้สามารถหยบิ ไดด้ ว้ ย ตนเองโดยสะดวก ทำเป็นค่มู ือหรือเคร่ืองมือทชี่ ว่ ยอำนวยความสะดวกในการใชว้ สั ดุอุปกรณ์ของห้องสมุด เช่น บัตรรายการ รายชอื่ หนงั สอื คู่มอื การใชห้ อ้ งสมุด 10. บริการถ่ายสำเนาเอกสารสิ่งพิมพ์หรือโสตทัศน์วัสดุ เช่น การนำสำเนาเทปโทรทัศน์ รายการสารคดี ซ่ึงถือเปน็ บริการพิเศษเพ่ือการศึกษา 11. บริการส่งเสรมิ การใช้ เชน่ ตอบคำถามและชว่ ยการค้นคว้า ปฐมนเิ ทศ/นำชมห้องสมุด แนะนำวิธีสืบค้นข้อมูล บริการข่างสารทันสมัย จัดนิทรรศการ จัดทำเอกสาร แผ่นผับคู่มือต่าง ๆ เช่นแนะนำ การใชห้ ้องสมดุ 12. บรกิ ารความรู้ส้ชู ุมชน เชน่ การรณรงคใ์ ห้ความรแู้ ก่คนในชุมชน โครงการสง่ เสรมิ การรู้ หนังสือ โครงการส่งเสริมการรักการอ่านแก่เยาวชน การอบรมระยะสั้น ๆ เช่น การค้นสารนิเทศอินเตอร์เน็ต การจัดปาฐกถา อภิปราย โตว้ าที ฉายภาพยนตร์ เปน็ ต้น 13. บริการค้นหาข้อมูล เป็นบริการที่ห้องสมุดได้จัดให้มีฐานข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ไว้ให้แก่ ผู้ใช้ เช่น ฐานข้อมูลรายการสาธารณโดยวิธีออนไลน์ ซึ่งห้องสมุดจัดทำขึ้นโดยผู้ใช้สามารถค้นหารายการท่ี ต้องการใช้ได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ห้องสมุดอาจจะจัดซื้อฐานข้อมูลในรูปซีดีรอม ซึ่งมีหลายสาขาวิช า เช่น ทางด้านการแพทย์ ทางด้านธุรกิจ ฯลฯ ผใุ้ ชต้ อ้ งใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีชว่ ยคน้ ข้อมลู ที่ต้องการ 14. จัดสถานที่สะอาดเรียบร้อยเหมาะสมเป็นห้องสมุดเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความ สะดวกสบายตามสมควร เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ มีโต๊ะ เก้าอี้นั่งสบาย ปราศจาดเสียงรบกวนทำลานสมาธิ มี อากาศถ่ายเท หรอื มพี ดั ลมระยาสบอากาศ 15. จัดบริการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น จัดสถานที่พิเศษสำหรับนักค้นคว้าวิจัยใน ระดับสูงบรกิ ารถ่ายสำเนาหนังสือและภาพ บรกิ ารเครื่องอา่ นเอกสารสำเนา ตามคำวามจำเป็นและระดับความ ต้องการของผใู้ ชบ้ ริการ จัดสง่ เอกสารใหแ้ ก่ผู้ใชบ้ รกิ าร เปน็ ต้น
16 เรื่องท่ี 2 การจดั หมวดหมูห่ นังสอื การจัดหมวดหมู่หนังสือ เป็นการจัดหนังสืออย่างมีแบบแผน โดยจัดหนังสือที่มีเนื้อเรื่องเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกันไว้ด้วยกัน แล้วใช้สัญลักษณ์แทนเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้ ในการค้นหาหนังสือ ซึ่งมี อยู่หลายระบบด้วยกัน แต่ที่นิยมใช้สำหรับห้องสมุดโรงเรียน คือ ระบบทศนิยมของดิวอี้ และห้องสมุด มหาวิทยาลัยคอื ระบบรฐั สภาอเมรกิ นั 1. ความหมายของการจดั หมวดหมู่หนังสอื การจดั หมวดหมู่หนังสือ คอื การจดั กล่มุ หนังสือ โดยพิจารณาจากเนื้อหาสาระของหนังสือเป็น สำคัญ หรือลักษณะการประพันธ์อย่างเดียวกันไว้ด้วยกัน โดยมีสัญลักษณ์แสดงเนื้อหา ของหนังสือแต่ละ ประเภทโดยจะเขียนสญั ลกั ษณ์แทนประเภทของหนังสือไวท้ ่สี นั หนังสือแต่ละเล่ม เพ่ือจะเปน็ การบอกตำแหน่ง ของหนังสอื ท่ีอยูใ่ นหอ้ งสมดุ หนังสอื ทเ่ี น้ือหาเหมือนกนั หรอื คล้ายคลงึ กันจะจัดวางไว้ด้วยกนั หรอื ใกล้ ๆ กัน 2. ความสำคัญของการจดั หม่หู นงั สอื 2.1 ผู้ใช้ห้องสมุดและเจ้าหน้าที่ห้องสมุดสามารถค้นหาหนังสือที่ต้องการได้ ง่ายและ ประหยัดเวลา เพราะเมื่อมีการจัดหมู่หนังสืออย่างเป็นระบบที่สันหนังสือทุกเล่มจะมีเลขหมู่หนังสือ ผู้ใช้ ห้องสมุดสามารถค้นหนังสือได้โดยเปิดดูเลขจากบัตรรายการ แล้วตรงไปหาหนังสือจากชั้นได้อย่าง รวดเรว็ เจา้ หน้าทหี่ ้องสมดุ ก็สามารถจัดเกบ็ หนงั สือขึ้นได้ถกู ต้องและรวดเร็ว 2.2 หนังสือที่มีเนื้อหาวิชาอย่างเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกันจะรวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ช่วยให้ ผู้ใช้ห้องสมุดมีโอกาสเลอื กหนงั สอื เนือ้ เรอ่ื งทต่ี ้องการจากหนงั สือหลาย ๆ เล่มได้อยา่ งรวดเรว็ 2.3 หนังสือที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน หรือสัมพันธ์กันจะอยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถ หาหนงั สือท่มี เี รอื่ งราวเหมอื นกนั มาประกอบเน้ือหาให้สมบูรณ์ย่ิงขน้ึ 2.4 ช่วยให้ทราบว่ามีจำนวนหนังสือในแต่ละหมวดมากนอ้ ยเพยี งใด 2.5 เมื่อได้หนังสอื ใหม่เข้ามาในห้องสมดุ ก็สามารถจัดหมวดหมู่ แลว้ นำออกขนึ้ ช้ันรวมกับหนังสือท่ี มีอยกู่ ่อนแลว้ เพือ่ ให้บรกิ ารไดอ้ ย่างรวดเร็ว 3. ประโยชนข์ องการจดั หมวดหมู่หนังสือ 3.1 หนังสือแตล่ ะเลม่ จะมสี ัญลักษณแ์ ทนเนอ้ื หาของหนังสือ 3.2 หนังสือที่มีเนื้อหาวิชาอย่างเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกันจะรวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ช่วยให้ ผใู้ ช้มีโอกาสเลอื กหนงั สือหรือเนอื้ เรื่องตามท่ตี ้องการจากหนงั สือไดห้ ลายเล่ม 3.3 หนังสือที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวเน่ืองกัน หรือสัมพันธ์กันจะอยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถ หาหนงั สือทมี่ เี รอ่ื งราวเหมอื นกนั มาใช้ประกอบเน้ือหาไดส้ มบูรณย์ ง่ิ ขึน้ 3.4 หนงั สือทีม่ ีลักษณะคำประพันธแ์ บบเดยี วกนั จะอย่รู วมกนั ตามภาษาของคำประพนั ธ์ นนั้ ๆ 3.5 ช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดสามารถค้นหาหนังสือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และช่วยประหยัดเวลา เพราะทส่ี ันหนังสอื ทุกเล่มจะปรากฏเลขเรียกหนงั สอื เจา้ หนา้ ทสี่ ามารถจัดเกบ็ เข้าทไี่ ด้ถกู ตอ้ ง รวดเร็ว 3.6 ช่วยให้ทราบจำนวนหนังสือแต่ละสาขาวิชาว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใด หากวิชาใดยังมีจำนวน น้อยไม่เพยี งพอกับความต้องการจะไดจ้ ัดหาเพิม่ เตมิ ใหเ้ หมาะสม 3.7 เพิ่มประสิทธิภาพในการสืบค้นวัสดุห้องสมุด ลดความผิดพลาดในการสืบค้น สามารถค้นได้ อย่างถูกต้อง สมบูรณ์ รวดเรว็ และประหยัดเวลา
17 4. ระบบการจดั หมวดหมหู่ นังสอื ท่คี วรทราบ ระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือที่สำคัญ การจัดหมวดหมู่หนังสือในปัจจุบันมีการจัดในระบบ ต่างๆ ดังน้ี 4.1 ระบบเอ็กซ์แพนซพี (Expansive Classification) ของ ชารล์ ส์ แอมมิ คดั เตอร์ (Chartes Ammi Cutter) 4.2 ระบบทศนยิ มของดิว อี้ (Dewey Decimal Classification) หรือ DC หรอื DDC ของ เมลวลิ ดวิ อ้ี (Melvil Dewey) 4.3 ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมรกิ นั (Library of Congress Classification ) หรือ LC ของ เฮอร์ เบริ ์ท พุทนัม (Derbert Putnam) และคระบรรณารกั ษ์หอสมุดรัฐสภาอเมริกนั 4.4 ระบบทศนยิ ม สากล (Universal Decimal Classification) หรือ UDC ของ พอล อ๊อต เล็ต (Paul Otlet) และอองรี ลา ฟอนแตน (Henri La Fontaine) 4.5 ระบบซบั เจค (Subject Classification) หรอื SC ของ เจมส์ ดฟั ฟ์ บราวน์ (James Duff Brown) 4.6 ระบบโคลอน (Colon Classification) หรอื CC ของ เอส. อาร์. แรงกานาธาน (S.R. Ranganathan) 4.7 ระบบบรรณานกุ รม (Bibliographic Classification) หรือ BC ของ เฮนรี่ เอฟเวลิน บลสิ ส์ (Henry Evelyn Bliss) ระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือทั้ง 7 ระบบ บางระบบมีการนำมาใช้น้อยมาก แต่บางระบบมี การนำมาใช้แพร่หลายในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ได้แก่ ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน และ ระบบทศนยิ มของดวิ อ้ี ทั้งสองระบบน้ีห้องสมดุ ไดน้ ำมาใชแ้ ตกต่างกันตามลักษณะและขนาดของห้องสมุด ซึ่ง นบั วา่ เปน็ ระบบการจดั หมวดหมทู่ ส่ี ำคัญ และเปน็ ที่นยิ มใช้มากท่สี ดุ 5. การจดั หมู่หนังสือระบบทศนยิ มของดิวอ้ี การจดั หมวดหมหู่ นังสือระบบทศนยิ มของดิวอ้ี (Dewey Decimal Classification) เรยี ก ย่อ วา่ ระบบ D.C. หรือ D.D.C. ระบบนีต้ ้งั ช่ือตามผู้คิดค้น คือ นายเมลวิล ดวิ อ้ี ( Melvil Dewey) บรรณารกั ษ์ชาวอเมรกิ นั ดวิ อีม้ คี วามสนจานห้องสมุดเป็นพเิ ศษ ในขณะที่เปน็ นักศึกษาชน้ั ปีท่ี 3 ใน วิทยาลัยแอมเฮิร์สต์ ในรฐั แมสซาซเู สตต์ ไดส้ มัครเข้าทำงานห้องสมดุ ของวทิ ยาลัยนนั้ ในตำแหน่งผู้ชว่ ย บรรณารกั ษ์ ดิวอ้ีได้ไปดงู านดา้ นการจดั หนังสือให้สะดวกแก่การใช้ในหอ้ งสมุดต่างๆ ถึง 50 แหง่ แล้วจงึ ได้ เริ่มคิดระบบการจดั หมวดหมู่แบบทศนยิ มข้นึ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) ได้นำเสนอต่อ คณะกรรมการห้องสมุดของวิทยาลยั น้นั จดั พมิ พ์เปน็ รูปเล่มครัง้ แรกเมื่อปี ค.ศ. 1876 และไดม้ ีการปรับปรุง แก้ไขเพ่ิมเตมิ เลขหมใู่ ห้ทันสมัยอยูเ่ สมอ และจดั พิมพ์ใหมค่ รงั้ หลังสดุ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2534 เป็นการพิมพ์ครั้ง ท่ี 20 ระบบนี้ใชต้ ัวเลขเปน็ สัญลกั ษณแ์ ทนชนิดของหนังสือ โดยใชต้ วั เลขสามหลกั และยังสามารถใช้จุด ทศนยิ มหลังเลขหลักรอ้ ย ชว่ ยในการแบ่งย่อยเน้ือหาวชิ าได้อกี ด้วย ระบบนี้ใชง้ ่าย เขา้ ใจและจำได้ง่าย จึง เป็นระบบการจดั หม่ทู ่ีนยิ มใชก้ นั แพร่หลายในห้องสมุดโรงเรยี น ห้องสมุดประชาชน ในทกุ ๆ ประเทศทัว่ โลก รวมทง้ั ประเทศไทยเราดว้ ระบบทศนิยมของดวิ อ้ี แบ่งหนงั สือเปน็ หมวดหมู่ใหญ่ไปหาหมวดยอ่ ย ๆ ดังนี้
18 หมวดใหญ่ (Classes) หรือการแบ่งครั้งท่ี 1 คือ การแบ่งความรู้ต่าง ๆ ออกเป็น 10 หมวดใหญ่ โดยใช้ ตัวเลขหลักรอ้ ยเป็นสญั ลกั ษณ์ ดงั ตอ่ ไปนี้ หมวด 000 เบด็ เตลด็ ความรู้ทวั่ ไป บรรณารกั ษศาสตร์ หมวด 100 ปรัชญา จติ วิทยา หมวด 200 ศาสนา หมวด 300 สงั คมศาสตร์ หมวด 400 ภาษาศาสตร์ หมวด 500 วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ หมวด 600 เทคโนโลยี หรอื วทิ ยาศาสตรป์ ระยุกต์ หมวด 700 ศลิ ปกรรม และนันทนาการ หมวด 800 วรรณคดี หมวด 900 ภมู ิศาสตร์และประวตั ศิ าสตร์ แล้วยังมีการแบ่งเป็นหมวดย่อย (Division) หรือการแบ่งครั้งที่ 2 คือ การแบ่งหมวดใหญ่แต่ละหมวด ออกเปน็ 10 หมวดย่อย โดยใช้ตวั เลขหลักสบิ แทนสาขาวิชาตา่ งๆ จะเห็นได้ว่าการจัดหมู่หนังสือระบบทศนิยมของดิวอี้น้ี จะใช้วิธีแบ่งหนังสือจากหมวดหมู่ใหญ่ กว้าง ๆ ไปหาหมวดหมู่ย่อย ๆ ต่อไปได้อีกโดยใช้จุดทศนิยมแบบไม่รู้จบ ซึ่งผู้อ่านไม่จำเป็นจำให้ได้ ทั้งหมด แต่ควรจำให้ได้เฉพาะหมวดใหญ่ 10 หมวดว่าแต่ละหมวดเกี่ยวกับสาขาวิชาอะไร และจำเลขหมู่ ของหนงั สือบางเล่มทผี่ ู้อา่ นใชเ้ ป็นประจำก็เพยี งพอแล้ว เพราะผใู้ ชห้ ้องสมดุ เปน็ ต้องรู้จกั วธิ ีการใช้ห้องสมุดเพ่ือ การศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 6. การจัดหมูห่ นงั สอื ท่ีไม่ใช้ตวั เลขเปน็ สัญลักษณ์ หนังสือบางประเภทผู้อ่านให้ความสนใจด้านการใช้ภาษา ตลอดจนวิธีการดำเนินเรื่องมากกว่าสาระ ทางวิชาการ ห้องสมุดจึงใช้อักษรย่อของคำที่บอกประเภทหนังสือนั้น ๆ แทนการให้เลขหมู่แต่ละเล่ม ซ่ึง ห้องสมุดแต่ละแห่งอาจจะใช้ตัวอักษรย่อแตกต่างกันสำหรับหนังสือประเภทเดียวกัน เช่น เพื่อความสะดวก และรวดเร็วในการจดั หม่หู นังสือ หอ้ งสมุดสว่ นมากนิยมใช้ตวั อักษร เปน็ สญั ลักษณ์แทนการให้เลขหมู่หนังสือ บางประเภท เพราะห้องสมุดพจิ ารณาเห็นวา่ หนงั สอื ประเภทน้ันๆ ผู้อ่านมไิ ดใ้ หค้ วามสนใจสาระทางวิชาการ มากเท่ากับการใช้ถ้อยคำ ภาษา ตลอดจนวิธีการดำเนินเรื่อง ห้องสมุดจึงใช้อักษรย่อของคำที่บอกประเภท หนังสือนั้น ๆ แทนการใช้สัญลักษณ์สำหรับหนังสือเหล่านี้ แต่ละห้องสมุดอาจจะใช้ตัวอักษรแตกต่าง กัน สำหรับหนังสือประเภทเดยี วกนั สำหรับห้องสมดุ โรงเรยี นกบนิ ทร์วทิ ยาใชส้ ญั ลักษณ์ ดังนี้ น แทน นวนิยาย (นวนิยาภาษาไทย) Fic แทน Fiction (นวนยิ ายภาษาตา่ งประเทศ) รส แทน รวมเรื่องส้ัน ยว แทน หนังสือสำหรับเยาวชน พ แทน หนังสือพอ็ คเก็ตบุ๊ค อ แทน หนงั สอื อา้ งอิง Ref แทน หนังสอื อา้ งอิงภาษาตา่ งประเทศ (Reference Book) บ แทน แบบเรียน
19 หนังสือที่มีสัญลักษณ์พิเศษที่ใช้ตัวย่อแทนเลขหมู่หรือสัญลักษณ์ของระบบการจัดหมู่เหล่านี้ จะ เรียงอยู่บนชั้นแยกจากหนังสืออื่น ๆ ที่ให้หมวดหมู่หรือสัญลักษณ์ตามระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือที่เป็น สากล
20 เรอ่ื งที่ 3 ห้องสมุดประชาชนจังหวดั บุรรี มั ย์ แผนทีต่ ้งั ห้องสมุดประชาชนจงั หวัดบรุ ีรมั ย์ ประวตั คิ วามเป็นมา ห้องสมดุ ประชาชนจังหวัดบุรรี มั ย์ ขณะน้ันยังไม่มอี าคารเปน็ เอกเทศ เร่ิมก่อต้ังคร้งั แรกเม่อื ตน้ ปี พ.ศ.2492 โดยใช้สถานทีบ่ ริเวณบา้ นพักข้าราชการของศกึ ษาธิการ จังหวัดบุรรี ัมย์ (นายสขุ มุ ชยสมบัติ) เป็น ท่ที ำการชวั่ คราว ในปี พ.ศ. 2497 ได้ยา้ ยออกไปเชา่ อาคารเลขที่ 210 ถ.จิระ อ.เมอื ง จ.บรุ รี ัมย์ และปี พ.ศ. 2525 ได้รับงบประมาณก่อสรา้ งอาคารใหม่ บนท่ดี นิ บรจิ าคของเทศบาลเมอื งบรุ ีรมั ย์ จำนวนเน้อื ที่ 3 งาน 20 ตารางวา เปน็ ทต่ี ้ังของห้องสมดุ ในปจั จุบนั ลักษณะอาคาร คอนกรีต จำนวน 1 ชัน้ (ช้ันเดียว) จำนวน พน้ื ทใี่ ช้สอย ประมาณ 300 ตารางเมตร ประกาศจัดตั้งปีพุทธศักราช 2525 ที่ต้ัง หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวัดบรุ รี ัมย์ 325 ถนนสุนทรเทพ ตำบลในเมอื ง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ สภาพทต่ี งั้ หอ้ งสมดุ ประชาชนจังหวดั บรุ ีรัมย์ เป็นส่วนหน่งึ ของสถานศกึ ษาสงั กัดศนู ย์การศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอเมืองบุรีรมั ย์ ตง้ั อยู่ เลขที่ 325 ถนนสุนทรเทพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บรุ รี มั ย์ รหสั ไปรษณีย์ 31000 อาคารมลี ักษณะเป็นเอกเทศจดั ต้ังปีพุทธศกั ราช 2525 แยกอาคารกบั ศูนยก์ ารศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอเมืองบรุ ีรัมย์ เวลาทำการ วันจนั ทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 - 18.00 น. วนั เสาร์ – อาทิตย์ เวลา 08.30 – 16.30 น. หยุดวันนกั ขตั ฤกษ์
21 โซนท่ใี ห้บรกิ าร หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั บุรีรัมย์ ได้ดำเนนิ การเปน็ ศนู ยก์ ารเรียนรูต้ น้ แบบ (Co - Learning Space) โดยมีการให้บริการการเรยี นร้ตู ามอัธยาศยั สำหรับผรู้ ับบริการทุกช่วงวัย เพ่ือเปิดโอกาสใหเ้ รียนรู้ ไดอ้ ยา่ งเสมอภาคเท่าเทยี มกันอยา่ งต่อเน่อื งตลอดชีวิต 1) โซนทำงาน หรือประชุม (Co – Working Zone) ให้บริการห้องประชุมกลุ่มย่อย ห้องปฏิบัติงาน กลุม่ ห้องสอนเสรมิ นอกเวลาเรยี น หรอื กจิ กรรมอืน่ ๆ ตามความเหมาะสม 2) โซนส่งเสริมการอ่าน คน้ ควา้ ข้อมูล สือ่ (Learning Zone) จดั บรกิ ารสอ่ื สารสนเทศ เพื่อใหบ้ รกิ าร มสี ารสนเทศท่หี ลากหลายสามารถอ่านไดท้ ุกชว่ งวัย
22 3) โซนกิจกรรม (Activities Zone) ใหบ้ ริการห้องหรือพื้นท่ีจดั กจิ กรรมสำหรับกลุ่มเป้าหมายทุกช่วง วัย เพอื่ บริการบคุ คลภายนอก หรอื กิจกรรมทห่ี ้องสมดุ จัดขึ้น 4) โซนพักผ่อน (Relax Zone) & โซนกาแฟ (Coffee Zone) พื้นที่บริการเพื่อการพักผ่อนนั่งเล่น พบปะพดู คยุ อ่านหนังสอื มบี รกิ าร wifi ฟรี โซนกาแฟจดั เป็นพื้นทส่ี ำหรบั นั่งพักผ่อนสบาย ๆ เพอ่ื อ่านหนงั สือ จบิ กาแฟ และมีบริการจำหน่ายอาหารวา่ งและเคร่อื งดืม่ 5) โซนคอมพิวเตอร์ (Computer Zone) บริการคอมพิวเตอร์ เพื่อการเรียนการสอน การทำงาน การเรียนรู้ เพ่ือสนับสนุนการเรียนการสอนทัง้ ในและนอกระบบโรงเรียน หรือเพอ่ื ความบันเทิงอน่ื ๆ ฯลฯ
23 การสืบคน้ ข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศออนไลน์ ปัจจุบันการดำเนินงานต่าง ๆ ของห้องสมุดประชาชน ด้านการบริการ การจัดกิจกรรม การ ประชาสมั พนั ธ์จำเป็นต้องมีสื่อหรอื เทคโนโลยี เข้ามาใช้ควบค่กู นั ไปเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสะดวกสบาย เข้าถึงแหล่ง การใช้ได้ง่าย และเอื้อประโยชน์ต่อผู้รับบริการสูงสุด บรรณารักษ์ผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดเป็นส่วนหนึ่งในการ ดำเนินงานโดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการปฏิบัติงานห้องสมุด ซึ่งในการดำเนินงานห้องสมุด ประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์ ได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการบริการห้องสมุด โดยการใช้งานผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตจากเว็บไซต์ “ระบบเชอ่ื มโยงแหลง่ การเรียนรู้ (Learning Resources Linkage System)” ของห้องสมุดประชาชน โดยระบบเชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้นี้มีการบริการข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ของห้องสมุด ประชาชน มีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมห้องสมุดได้อย่างกว้างขวาง และสามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา จากอินเทอร์เน็ต และสมาชิกห้องสมุดหรือผู้รับบริการ ยังสามารถเข้าดูข้อมูลออนไลน์ของห้องสมุดได้ตาม อัธยาศยั ท่ีบา้ น โดยจะมบี รกิ าร เชน่ หนังสือออกใหม่ การจองหนงั สือ การสมคั รสมาชิก กจิ กรรมส่งเสริม การอา่ น ส่งเสรมิ การเรียนรขู้ องหอ้ งสมุด เปน็ ต้น หน้าเวบ็ ไซต์ระบบเช่ือมโยงแหลง่ การเรียนรู้ (Learning Resources Linkage System) ของห้องสมุดประชาชนจงั หวดั บรุ รี มั ย์ (http://lrls.nfe.go.th//LRLS/frontend/theme/index.php?Submit=Init&ID_Lib=346)
24 หน้าระบบเช่ือมโยงแหล่งการเรยี นรสู้ ำหรับผู้ใช้บริการ หน้าเวบ็ ไซต์หอ้ งสมดุ ประชาชนจงั หวดั บรุ รี มั ย์ การสง่ เสรมิ การอา่ นออนไลน์ ผา่ น YouTube
25 ใบงาน เรอื่ ง การส่งเสรมิ การเรียนรกู้ ารใช้หอ้ งสมุด 1. ความหมายของ “ห้องสมุด” …………………………………………………………………………............................................................................. ........................................………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………..................................................................................................................………… ………………....................................................................................................................... ....................... ................................................................................................................................................................ 2. วัตถุประสงคข์ องห้องสมุดมีกป่ี ระเภท อะไรบ้าง ………………………………………………………………………….............……………………………………………………… ………………………….……………………………………………………………………………........................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ..... 3. ระบบทศนิยมของดวิ อีแ้ บ่งออกเปน็ ก่ีหมวดใหญ่ อะไรบ้าง …………………………………………………………………………............................................................................. ........................................………………………………………………………………………………….……………………… ……………………………........................................................................... .......................................………… ………………....................................................................................................................... ....................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... .............................................................................................................................. .................................. .... 4. จงบอกความหมายของสัญลักษณห์ นังสือตอ่ ไปน้ี น แทน ............................................................................. รส แทน ............................................................................. ยว แทน ............................................................................. อ แทน ............................................................................. บ แทน .............................................................................
26 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 สง่ เสรมิ การอ่าน (เกมพยากรณ์เลขบตั รประชาชน)
27 ใบความรูท้ ่ี 1 ความสำคญั ของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญต่อมนุษย์ตั้งแต่เด็กจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รับรู้ข่าวสาร ข้อมูลตา่ งๆท่วั โลก ซ่ึงปัจจบุ ันเปน็ โลกของขอ้ มูลข่าวสารตา่ งๆทวั่ โลก ทำใหผ้ ู้อ่านมคี วามสุข มคี วามหวัง และมี ความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษาพัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้ อยากเห็น การที่จะพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศั ยประชาชนที่มีความรู้ ความสามารถ ซ่งึ ความรู้ตา่ งกไ็ ดม้ าจากการอ่านนน่ั เอง(ฉวีวรรณ คหู าภินนท์,2542,หนา้ 11) การอ่านเป็นพฤติกรรมการเรยี นรู้อย่างหน่ึงของมนษุ ย์ ท่ีใชส้ ายตาและสมองรบั รู้ความหมาย รวมทั้ง ความเข้าใจจากสิ่งที่อ่าน หากมนุษย์ไม่มีการจดบันทึกเรื่องราวความเป็นมาของตนเอง อีกทั้งมนุษย์ไม่รู้จัก ความหมายของภาษาที่กลุ่มชนนั้น ๆ ใช้บันทึกโดยเฉพาะไม่รู้จักการอ่าน ย่อมทำให้มนุษย์ขาดการเรียนรู้ และความเข้าใจซ่งึ กันและกนั ปจั จุบนั มสี ่อื มวลชน เช่น วทิ ยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เขา้ มาแยง่ เวลาของเราไป แต่การอ่านก็ยังถือว่า เปน็ สิง่ ทดี่ ี ไมอ่ าจนำเอาสิง่ ใดมาทดแทนได้ หนงั สอื จะเปน็ กญุ แจไขความรแู้ ละความลลี้ บั ต่าง ๆ ในโลกให้แก่ เราตามต้องการ และจากการอา่ นเราจะได้ความรสู้ ึกละเอียดอ่อน ความซาบซง้ึ ไปกับความไพเราะและรสของ ภาษา เกดิ ภาพพจน์ไดเ้ ปน็ อย่างดี ซงึ่ สอื่ อยา่ งอื่นจะไมม่ ีส่งิ เหลา่ นี้ การอ่าน เปน็ สิง่ จำเป็นตอ่ ชวี ิต ตอ่ ความเจริญด้านตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์มาก การอ่านหนงั สอื นอกจากจะ ทำให้ผู้อ่านเป็นผู้หูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลกปัจจบุ นั และอาจ เป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำ ใหบ้ ุคคลเป็นผู้มคี ุณค่าในสังคม มปี ระสบการณช์ วี ติ และชว่ ยยกฐานะของสงั คม สังคมมีบุคคลทม่ี ีประสทิ ธิภาพ ในการอา่ นอยู่มาก สงั คมน้นั ย่อมจะเจริญพฒั นาไปได้อย่างรวดเร็ว ปจั จุบนั ความก้าวหนา้ อย่างรวดเร็ว ทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ความรู้ต่าง ๆ ล้าสมัยเร็วขึ้น หนังสือเท่านั้นที่สามารถทันความก้าวหน้า เหล่าน้ี การอ่าน เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ต่อความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์มาก การอ่านหนังสือ นอกจากจะทำใหผ้ ูอ้ ่านเปน็ ผหู้ ูตากว้างแลว้ คนอา่ นจะเปน็ ผ้ทู ันตอ่ เหตุการณ์ ความเคล่อื นไหวของโลกปัจจุบัน และอาจเป็นเคร่ืองกระตุ้นให้เกดิ ความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและประสบการณ์ใหเ้ พมิ่ พนู ขึน้ การอ่านยงั ทำให้บุคคลเป็นผมู้ ีคุณค่าในสังคม มีประสบการณช์ ีวิต และช่วยยกฐานะของสังคม สังคมมี บุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มาก สังคมนั้นย่อมจะเจริญพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน ความกา้ วหนา้ อย่างรวดเรว็ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ความรูต้ ่าง ๆ ล้าสมยั เร็วขนึ้ หนังสือเท่าน้ัน ทสี่ ามารถทนั ความกา้ วหน้าเหล่านี้ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสดจ็ พระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปดิ การประชุใหญ่สามัญประจำปี 2530 ของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ได้ทรงบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “การสร้างสังคมการอ่านและการใช้สารนิเทศ” ณ โรงแรมบางกอกพาเลส เมื่อ วันที่ 21 ธันวาคม
28 2530 ทรงกล่าวถึง เหตุที่พระองค์โปรดการอ่านหนังสือ และความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ 8 ประการ คอื (อา้ งถงึ ใน อมั พร ทองใบ, 2540 : 9) 1. การอา่ นหนงั สอื ทำให้ไดเ้ นือ้ หาสาระความรู้ มากกวา่ การศึกษาหาความรู้ดว้ ยวธิ อี ่นื ๆ 2. ผอู้ ่านสามารถอา่ นหนงั สือไดโ้ ดยไมจ่ ำกดั เวลาและสถานที่ สามารถนำตดิ ตวั ไปได้ 3. หนังสือเก็บไวไ้ ด้นานกว่าสือ่ อย่างอน่ื 4. ผอู้ า่ นสามารถฝกึ การคิดและสรา้ งจนิ ตนาการได้เองขณะท่ีอ่าน 5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่าและมากกว่าสื่ออย่างอื่น เพราะขณะอ่านจิตใจต้ อง มงุ่ ม่ันอยูก่ ับข้อความ พนิ ิจพิเคราะห์ข้อความ 6. ผู้อ่านเป็นผู้กำหนดการอ่านได้ด้วยตนเอง จะอ่านคร่าว ๆ หรืออ่านอย่างละเอียด อ่านข้ามหรือ อ่านทกุ ตัวอักษรก็ได้ จะเลือกอา่ นเลม่ ไหนก็ได้ 7. หนงั สือมีหลายรปู แบบ และราคาถูกกวา่ ส่ืออย่างอ่นื 8. ผ้อู า่ นเกดิ ความคิดเห็นได้ด้วยตนเองในขณะที่อา่ น สามารถวินจิ ฉยั เน้ือหาสาระได้ หนังสือบางเล่ม สามารถนำไปปฏบิ ัติไดด้ ้วย และเม่อื ปฏบิ ัติแลว้ ก็เกดิ ผลดี ส. ศิวรักษ์ (2512 : นำเรื่อง) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือ เปน็ กจิ ท่จี ำเปน็ สำหรบั ทุก ๆ คน ทีอ่ า่ นออกเสียงได้ ยิ่งได้อ่านหนงั สืออยี ิ่งมีคา่ มาก สมดงั คำของ ฟรานซิล เบคอน ที่ว่า “การอา่ นช่วยให้คนเป็นคนเตม็ ท่ี” นายตำรา ณ เมืองใต้ (2515 : 298-299) กลา่ วถึงความสำคัญของตัวหนงั สือและหนังสือว่า “...บางทีการที่เราได้อ่านหนังสือกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะทำให้เราลืมนึกถึงความสำคัญของตัวอักษร อนั ปรากฏอยขู่ า้ งหนา้ เราเสียกไ็ ด้ ตวั อักษรนเี้ ปน็ ส่งิ จารึกและรักษาความคดิ เห็นอนั ล้ำคา่ ของปราชญ์และกวีไว้ ให้เรา...การทีเ่ ราจะหาประโยชน์ในการอ่านให้ไดเ้ ต็มที่ ก็ควรระลึกได้ หรือแลเห็นความสำคัญของตัวหนังสือ ซ่ึงเราไดพ้ บอย่ทู กุ วัน จนกลายเปน็ ส่ิงธรรมดานน้ั เสยี กอ่ น” รัญจวนอินทรกำแหง และคณะ (2523 : 27-28) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านหนังสือไว้ว่า “การอ่านหนังสือความจำเป็นต่อชีวิตของคนในยุคปัจจุบันยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมา เพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกที่ หมุนเรว็ ท้ังในดา้ นวตั ถุ วิทยาการ และแปรเปล่ยี นเร็ว ฉะน้นั จงึ จำเปน็ อยา่ งยิง่ ท่จี ะต้องอ่านหนังสือ เพ่ือให้ สามารถตดิ ตามความเคล่ือนไหว ความกา้ วหน้า และความเปล่ยี นแปรท้งั หลายไดท้ นั กาล” สมถวิล วิเศษสมบัติ (2528 : 73) ได้กล่าวถึงทักษะการอ่านไว้ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะที่ สำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านและมีทักษะในการอ่านมีอัตราเร็วในการอ่านสูง ยอ่ มแสวงหาความรแู้ ละการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ สามารถนำความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการอา่ นไปใช้ใน การพดู และการเขยี นไดเ้ ปน็ อย่างดี ยพุ ร แสงทกั ษิณ (2531 : 1) กล่าววา่ “การอา่ นหนังสือ เปน็ เรอ่ื งจำเปน็ สำหรับมนุษย์ การอ่านทำ ให้เราสามารถกา้ วตามโลกได้ทัน เพราะโลกปจั จบุ ันนี้ไมไ่ ดห้ ยดุ นง่ิ มคี วามกา้ วหนา้ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทง้ั ในด้านวัตถุ วทิ ยาการ ความคดิ ฯลฯ ด้วยเหตุท่ีเราต้องมีความสมั พันธ์กับสงั คมและส่ิงแวดล้อม เราจึงควร ตอ้ งปรับตวั เราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะนนั้ เราจะกลายเป็นคนโง่ ล้าหลงั อาจประพฤติปฏิบัตผิ ิด ๆ พลาด ๆ ก็ได้ ดว้ ยความรเู้ ทา่ ไมถ่ ึงการณ์” สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538 : 136) กล่าวถึง ทักษะการอ่านไว้ว่า “ทักษะ การอ่านเป็นทักษะทีส่ ำคัญ และใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นทักษะทีน่ ักเรียนใช้แสวงหาสรรวิทยาการ ต่าง ๆ เพอื่ ความบันเทงิ และการพักผ่อนหย่อนใจ ผูท้ มี่ ีนสิ ัยรกั การอ่านและมีทกั ษะในการอ่าน มีอัตราเร็วใน
29 การอ่านสูง ย่อมแสวงหาความรู้ และศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการ อา่ นไปใชใ้ นการพดู และการเขียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ จินตนา ใบกาซูยี (2534 : 57) ที่กล่าวถึงความสำคัญของ การอ่าน มีใจความโดยสรุปว่า การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหับชีวิตปัจจุบัน ทั้งในด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้าน การศึกษาหาความรู้เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต เป็นการพัฒนาความเจริญงอกงามทางสมองและปัญญา รวมทัง้ เปน็ การพกั ผ่อนหยอ่ นใจจากชวี ิตประจำวนั อัมพร สุขเกษม (2542 : 1) ไดก้ ลา่ วถึง การอ่านหนังสอื วา่ มีความสำคญั ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต มนุษย์ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้วย เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้ผู้อ่านรู้จักวิธีบำรุงรักษา สุขภาพของตน รจู้ ักวิธกี ารใหม่ ๆ สำหรับใชพ้ ัฒนาอาชีพ ช่วยผอ่ นคลายความเครยี ด มคี วามเพลิดเพลนิ เกิด ความคิดสรา้ งสรรค์ เข้าใจความเคล่ือนไหวทางการเมือง เศรษฐกจิ และสงั คม สามารถรับรแู้ ละปรับตัวให้เข้า กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซง่ึ ลว้ นแต่เป็นประโยชน์ทั้งสน้ิ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และคณะ (2546 : 55-56) กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านสรุปได้ ดงั นี้ 1. การอ่านเปน็ เครอ่ื งมอื ในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผทู้ ่ีอยู่ในวัยศึกษาเลา่ เรียน จำเป็นต้องอ่าน หนังสอื เพ่อื การศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ 2. การอ่านเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ท่ี ได้จากการอ่านไปพฒั นางานของตนได้ 3. การอา่ นเป็นเคร่อื งมือสบื ทอดมรดกทางวัฒนธรรมของคนรนุ่ หน่ึง ไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป 4. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ที่ได้จากการ อา่ น เมอ่ื เก็บสะสมเพิ่มพนู นานวนั เข้า ก็จะทำใหเ้ กิดความคดิ เกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาดรอบร้ไู ด้ 5. การอ่านเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสุข ใหก้ ับตนเองท่ีงา่ ยที่สดุ และได้ประโยชน์คุ้มคา่ ที่สดุ 6. การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะ เมอ่ื อา่ นยอ่ มรู้มาก สามารถนำความรู้ไปใชใ้ นการดำรงชีวติ ไดอ้ ย่างมีความสุข 7. การอ่านเป็นเครอ่ื งมอื ในการพฒั นาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวตั ิศาสตร์ และสังคม 8. การอ่านเป็นวิธีการหนึ่งในการพฒั นาระบบการสอื่ สารและการใช้เคร่ืองมือทางอิเล็กทรอนิกสต์ า่ ง ๆ กล่าวโดยสรุป การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหา ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร การเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การอ่านส่งเสริมให้ผู้อ่านมี พัฒนาการในความรู้และความคิด มองโลกที่กว้างไกล เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านสื่อการสอน ซึ่งสิ่ง เหล่านีจ้ ะชว่ ยใหส้ ามารถตัดสนิ ใจไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง มคี วามเฉลยี วฉลาด สามารถประกอบอาชพี และเปน็ พลเมือง ที่ดขี องประเทศชาติได้
30 ใบความรทู้ ี่ 2 ความหมายของการอา่ น มผี ู้ใหค้ ำจำกัดความ ใหน้ ยิ าม หรอื ใหค้ วามหมายของการอา่ นไว้ตา่ ง ๆ กัน ดงั น้ี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1405) ให้คำจำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่า ตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สงั เกต หรือพจิ ารณาดเู พ่อื ใหเ้ ข้าใจ” เช่น อา่ นสีหนา้ อา่ นรมิ ฝีปาก อ่านในใจ ; ตคี วาม เชน่ อา่ นรหัส อ่าน ลายแทง ; คิด, นบั (ไทยเดมิ ) ประทีป วาทิกทินกร และ สมพันธุ์ เลขะพันธุ์ (2534 : 2) ให้ความหมายไว้ว่า “การอ่าน คือ การ รับรู้ข้อความในข้อเขียนของตนเอง หรือของผู้อื่น รวมทั้งการรับรู้เครื่องหมายสื่อสารต่าง ๆ ” เช่น เครื่องหมายจราจร และเครอ่ื งหมายทแ่ี สดงในแผนภมู ิ เป็นต้น กุสุมา รักษมณี และ คณะ (2536 : 77) นิยามความหมายของการอ่านวา่ “การอ่านเป็นพฤติกรรม การสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน โดยการสื่อสารผ่านสาร หรือข้อเขียนที่เรียบเรียงเป็นข้อความ ภาษา ซงึ่ มีรูปแบบและวัตถุประสงคแ์ ตกตา่ งกนั ไป แทนการพดู คยุ กันโดยตรง” เปลือ้ ง ณ นคร (2538 : 14) การอ่าน (หนงั สือ) คอื กระบวนการที่จะเข้าใจความหมาย ท่ีติดอยู่ กับตวั อักษรหรอื ตัวหนงั สือ พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ และ คณะ (2539 : 45) กล่าวว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนำความคิดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นหัวใจของการอ่านอยู่ที่การเข้าใจ ความหมายของคำ ศรีสุดา จริยากุล (2545 : 5) ให้ความหมายของการอ่านไว้ใน “ความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน” ว่า “การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายของสารจากลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจจะเป็นการอ่านในลักษณะการ อ่านออกเสียง หรือการอ่านในใจกไ็ ด้” ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร (2551 : 5) ให้คำจำกัดความว่า การอ่าน คือ การรับสารในการใชภ้ าษาไม่ว่า จะเปน็ ภาษาใด ย่อมประกอบดว้ ย 2 ฝา่ ย คือ ฝา่ ยส่ง >สาร >ฝ่ายรบั ฝา่ ยส่งสารย่อมสง่ โดยการพูดหรือการ เขยี น ฝ่ายรับสารจงึ รับได้โดยการฟังหรือการอ่าน นอกจากความหมายของการอ่านที่ได้กล่าวมานี้แล้ว ยังมีนักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนอ่าน และด้านการอา่ นชาวต่างประเทศ ไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ นไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ อัลเฟรดสเตปเฟอรุด (Alfred Stefferud, 1953 : 84) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า เป็นการ กระทำทางจติ ใจ ทผี่ ้อู า่ นยอมรับความหมายจากความคิดเหน็ ของบคุ คลอ่นื จอร์จ ดี. สปาช และ พอล ซี. เบิรก์ (George D. Spache and Paul C. Berg,1955 : 3-4) กลา่ วว่า การอ่าน เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะหลายชนิด เพื่อสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตาม ต้องการ และวธิ ีการของผอู้ า่ น พอล ดี. ลิดดี (Paul D. Leedy,1965 : 3) ให้นิยามการอ่านไว้ว่า คือ การรวบรวมความคิดและ ตีความหมาย ตลอดจนประเมินค่าความคดิ เหล่าน้นั ทีป่ รากฏอยตู่ ามส่ิงพมิ พ์แตล่ ะหนา้ เอดการ์เดล (Edgar Dale, 1956 : 89) ใหค้ วามหมายไว้วา่ การอา่ น หมายถึง กระบวนการค้นหา ความหมายจากส่ิงพมิ พ์ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณข์ องผู้อ่าน การอ่านไม่ได้หมายความเฉพาะการมองผ่า นาแต่ละประโยค หรือแตล่ ะย่อหนา้ เท่าน้ัน แต่ผ้อู า่ นต้องเขา้ ใจความคิดนั้น ๆ ดว้ ย
31 มอร์ติเมอร์ เจ. แอดเลอร์ (Mortimer J. Adler, 1959 : 27) กล่าวว่า การอ่าน หมายถึง กระบวนการตีความหมาย หรือสร้างความเข้าใจจากตัวอักษร หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจมาก ขึ้น กระบวนการต่าง ๆ ที่ก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจนี้ เรยี กว่า ศลิ ปะในการอ่าน กูดแมน (Goodman, 1970 : 5-11)ได้ใหค้ ำจำกัดความของการอา่ นวา่ “การอ่านเป็นกระบวนการท่ี สลับซับซ้อนเกี่ยวกับการแสดงปฏิกิริยาร่วมกัน ระหว่างความคิดและภาษา เนื่องจากผู้อ่านจะต้องพยายาม สร้างความหมายขึน้ จากตวั อักษร การอ่านจึงเป็นกระบวนการท่ีต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ผู้อ่านจะต้อง อาศัยการพินิจพิจารณาสิ่งที่ปรากฏอยู่ในข้อความที่อ่าน เพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยในการเลือกความหมายที่ เหมาะสมท่สี ดุ จากเนอื้ ความท่อี ่าน จากคำจำกัดความนิยามดังกล่าวมาแล้ว อาจสรุปและเพิ่มเติมความหมายของการอ่านได้ว่า การอ่าน เป็นพฤติกรรมการสนทนาโต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน เป็นกระบวนการของการรับรู้และเข้าใจสาระที่ เขยี นขนึ้ เปน็ การรวบรวมความคดิ ตคี วาม ทำความเข้าใจในส่ิงท่ีอ่าน เพื่อพัฒนาตนเองทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม
32 ใบความรู้ที่ 3 จุดมุ่งหมาย จดุ มงุ่ หมาย และประเภทของการอ่าน การอ่าน มีจุดประสงค์ที่กำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูล เพื่อประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคน มีจุดมุ่งหมาย แตกต่างกนั ออกไป อาจจำแนกได้กวา้ ง ๆ ดงั น้ี 1. อ่านเพื่อหาความรู้หรือเพิ่มพูนความรู้ เป็นความรู้จากหนังสือประเภทตำราทางวิชาการ สารคดี ทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การอ่านจากหนังสือที่มีสาระ เดยี วกนั ควรอ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพอ่ื เปน็ การตรวจสอบความถูกต้อง แมน่ ยำของเนอื้ หา ผู้อา่ นจะมี ความรอบรู้ ได้แนวคิดที่หลากหลาย การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้นี้ เป็นการอ่านเพื่อสั่งสมความรู้และ ประสบการของผ้อู า่ น 2. อ่านเพื่อให้ทราบข่าวสาร ความคิด เป็นการอ่านเพื่อให้ทราบข่าวสารความคิด เข้าใจแนวคิด ซึ่ง ได้แก่ การอ่านหนงั สอื ประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม ผู้อ่านไม่เคยเลอื กอ่านหนังสือท่ีสอดคลอ้ ง กบั ความคดิ และความชอบของตน ควรเลอื กอ่านอยา่ งหลากหลาย จะทำใหม้ ีมุมมอท่ีกวา้ งขน้ึ จะชว่ ยให้เรามี เหตุผลอ่นื ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ ไดล้ ุม่ ลึกมากข้ึน 3. อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน หรือเพื่อความบันเทิง ความชื่นชม การอ่านเป็นอาหารใจ ให้เกิด ความบันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ที่ได้จากการอ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน หรืออ่านบทละคร อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะเพลดิ เพลินไปกับภาษาและเร่ืองราวทีส่ นุกสนานแลว้ ยังไดค้ วามรู้ และคตขิ ้อคิดควบคู่ไปด้วย 4. อ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม จะ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น และมีการเพิ่มพูนมวลประสบการณ์ทาง โลกและชีวิตที่เจนจัดมากขึ้น นักเรียนจึงจะเข้าใจคติธรรมที่แทรกอยู่ในวรรณกรรมที่อ่าน ด้วยกระบวนการ คิดวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งที่มีคุณค่ามาพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากร บุคคลที่มีคุณภาพ และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคณุ ค่า สามารถรับใช้สังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาที่เพิ่มพูนขึ้น อันสืบเนื่องมาจากนักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวิต ในดา้ นท่ีเป็นสัจธรรมความจริงสมบรู ณ์ขนึ้ (กสุ ุมา รักษมณี และคณะ, 2536 : 79) 5. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพื่อกิจธุระอื่น ๆ นอกเหนือจากจุดมุ่งหมายท่ี กล่าวมาแลว้ เปน็ การอ่านเพอ่ื ประโยชน์เฉพาะกจิ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดตา่ ง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซือ้ ขาย อ่านใบสมคั รและระเบยี บการ อ่านคำสง่ั และสัญญาณบ่งบอกท่ีมคี วามหมายตา่ ง ๆ เป็น ต้น เราถือว่าสารเหล่าน้ีจะมีแบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซึ่งการ ติดต่อสื่อสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการอ่านสิ่งเหล่านี้ได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือไม่เข้าใจ วัตถปุ ระสงค์ทีแ่ ทจ้ ริง อาจก่อใหเ้ กดิ ความเสียหาย หรือเสียผลประโยชนข์ องเราได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้อ่านหลายท่านที่นิยมอ่านหนังสือเพื่อเสริมโลกทรรศน์ของตนเอง ให้ทันสมัยรู้ทัน เหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในสังคม เช่น นักธุรกิจ จำเป็นต้องอ่านบทความหรือข่าวเศรษฐกิจจาก หนังสือพิมพ์ วารสาร แ ละนิตยสาร ที่เกี่ยวข้องกับงานของตนอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพใน
33 การทำงาน และการตัดสินใจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ บางท่านสนใจอ่านติดตามข่าวสารการเมือง การปกครอง หรือประวัติบุคคล และบทบาทของเขาที่กำลังดำเนินอยู่ในสงคม เช่น ผู้นำประเทศ ผู้นำ ความคิดทางสังคม เพื่อประโยชน์ในการสมาคมกับผู้อื่น จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเขาให้นา่ นิยมศรัทธา มากยิ่งขน้ึ เพราะเปน็ ผู้ทีม่ ีโลกทรรศนด์ ีกวา่ ผ้ทู ไ่ี ม่สนใจอ่าน หรอื ติดตามเหตกุ ารณเ์ หลา่ น้เี ลย กล่าวโดยสรปุ จดุ ประสงคข์ องการอา่ นแตล่ ะคนจะแตกต่างกันไปตามความต้องการ ผอู้ ่านจะกำหนด จุดประสงค์ของการอ่าน เพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะของตนเอง การอ่าน แต่ละครั้งย่อม ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านทั้งส้ิน ข้อควรคำนึงสำหรับผู้ที่อยู่ในวยั เรียน คือ ควรใช้วจิ ารณญาณในการเลือก เรื่องที่จะอ่าน และรู้จักแยกแยะ นำสิ่งที่เป็นประโยชน์จากการอ่านไปใช้ในการประอบกิจกรมที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิตในแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธภิ าพ จึงจัดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมสร้างผลสัมฤทธ์ิของการ อ่านให้บรรลุจดุ มงุ่ หมายแต่ละข้อตามทก่ี ล่าวมา ประเภทของการอ่าน การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าหากพิจารณาการอ่านโดยดูจากจุดมุ่งหมายของผู้อ่านเป็นหลัก เราอาจจะแบ่งได้ ดังนี้ (อัมพร ทองใบ, 2540 : 18-19) 1. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเรื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิกตำราบางเล่ม เพื่อดูว่าเนื้อหาครอบคลุมเรื่องที่จะค้นคว้าหรือไม่ อาจจะอ่านเพียงหัวเรื่องหรืออ่านหน้าสารบัญ หรืออ่าน หนา้ ผนวกทา้ ยเล่ม เปน็ ตน้ 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความและเพื่อทำความเข้าใจ เป็นการอ่านเพื่อแสวงหา ความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเอง ผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกีย่ วกับคำศัพท์ และสามารถเข้าใจเรือ่ งราวที่ได้อ่าน โดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะเก็บใจความได้ว่า เรื่องที่อ่านมีเนื้อหาเรื่องราวว่า อย่างไร หากมีบางตอนทีอ่ าจจะไม่เขา้ ใจ เพราะเรือ่ งทอ่ี ่านนนั้ ยากเกินความรขู้ องผู้อา่ นที่จะทำความเข้าใจได้ ผูอ้ ่านควรจะพยายามเอาชนะด้วยการอา่ นอย่างมีสมาธิ และรับรคู้ วามหมายทุกถ้อยคำจนเกดิ ความเข้าใจเนื้อ เร่อื งได้ตลอด สอางค์ ดำเนินสวสั ดิ์ และคณะ (2546 : 88) แบง่ ลกั ษณะการอ่านเปน็ 5 ชนดิ คอื 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นการอ่านเพื่อสำรวจว่า ควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดต่อไป หรือไม่ โดยอ่านเพยี งชอ่ื เรือ่ ง หัวข้อเรอ่ื ง ช่ือผ้แู ตง่ คำนำ หรือการอ่านเนอื้ หาบางตอนโดยรวดเรว็ 2. การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านเพื่อเก็บแนวคิดที่ต้องการ และอ่านข้ามตอนที่ไม่ ต้องการ 3. การอ่านเพื่อสำรวจเนื้อหา เป็นการอ่านเพื่อทำเป็นบันทึกย่อ หรือทบทวนเพื่อสรุปสาระสำคัญ ของเร่ืองทง้ั หมด 4. การอา่ นเพื่อศกึ ษาอย่างลกึ ซงึ้ เป็นการอา่ นละเอียด เพ่ือให้เข้าใจเรือ่ งที่อา่ นอยา่ งชัดเจน 5. การอ่านเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ เป็นการอ่านละเอียด เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาว่า มีความหมาย และมีความสำคัญอยา่ งไร รวมทั้งแสดงความคิดเห็นอยา่ งมเี หตผุ ลเกย่ี วกับเรอื่ งท่ีอ่าน
34 การอ่านแต่ละชนิดมีจุดประสงค์ต่างกัน และใช้เนื้อหาต่างกัน ผู้อ่านควรพิจารณาว่า ใช้การอ่านในลักษณะ ใดบ้างในชวี ติ ประจำวนั และพิจารณาว่าตนมปี ระสิทธิภาพในการอ่านหรอื ไม่โดยใชเ้ กณฑ์ขน้ั ต้น ดงั นี้ 1. เขา้ ใจรายละเอยี ดของเน้ือเร่อื ง 2. จบั ใจความสำคญั ของเรื่องได้ 3. สรุปความคดิ หลกั ของเรอื่ งได้ 4. ลำดบั ความคิดในเรื่องได้ 5. คาดคะเนเหตกุ ารณ์ทไ่ี มป่ รากฏในเร่อื ง หรือเหตุการณท์ จ่ี ะเกดิ ข้ึนตอ่ ไปได้ นอกจากการเบง่ ประเภทของการอ่าน ตามเกณฑท์ กี่ ล่าวมาแล้วนนั้ ยงั มกี ารแบง่ ประเภทท่ีแตกต่างกัน ไปอีก ดังเช่น สนุ ันทา มั่นเศรษฐวทิ ย์ (2551 : 17 : 20) ได้แบง่ ประเภทของการอ่านไว้ 4 ประเภท แตล่ ะประเภท มีจดุ ม่งุ หมายของการใชท้ แ่ี ตกต่างกัน ดังนี้ 1. การอ่านเคร่า ๆ จุดประสงค์ของการอ่านประเภทนี้ เพื่อค้นหาเอกสารอ้างอิงสำหรับใช้ในการ ค้นคว้า หรือการหาส่อใหม่ ๆ ในห้องสมุด นอกจากนั้นยังเป็นการค้นหาคำสำคัญท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องใหม่ ๆ เพือ่ รวบรวมความคดิ ของผู้เขยี น อีกทั้งยงั ใชเ้ พอื่ การอา่ นสันทนาการ ได้แก่ การอา่ นวารสารบนั เทิง การอ่าน เรือ่ งราวตา่ ง ๆ ที่ใหค้ วามสนกุ สนานเพลดิ เพลิน วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะใช้การเคลื่อนสายตาอย่างรวดเร็ว จากบรรทัดบนสุดสู่บรรทัดล่าง โดยข้ามคำ กลุ่มคำ และประโยคที่ไม่สำคัญ เพื่อตรวจดูเฉพาะหัวข้อหรือคำสำคัญ หรือคำตอบตามที่ต้องการ โดย สังเกตคำที่ขดี เสน้ ใต้ หรือคำท่เี ปน็ ตวั หนา 2. การอ่านเร็ว จุดประสงค์ของการอ่านเร็ว เพื่อเป็นการทบทวนสารที่อ่าน อีกทั้งยังใช้เพื่อการ ค้นหาแนวคิดหลักและแนวคดิ ยอ่ ย เปน็ การนำข้อมลู จากสารที่อ่านไปใช้ประโยชน์ การอา่ นวธิ ีนี้ยังใช้เพื่ออ่าน สารที่ทำให้เกิดความเพลดิ เพลนิ เช่น การอ่านนิทาน นิยาย นวนิยาย และสื่อการอ่านอื่น ๆ ที่ช่วยใหผ้ ู้อ่าน ไดร้ บั การผ่อนคลายทางจติ ใจ วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาอย่างรวดเร็ว จากซ้ายไปขวา โดยไม่เคลื่อนใบหน้าเปน็ การอ่านที่ ใช้การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว โดยการรับรู้เป็นคำ เป็นกลุ่มคำ หรือประโยคเป็นการอ่านที่เร่งรีบ เพื่อความ เข้าใจเร่อื งราวโดยใช้เวลาท่จี ำกดั 3. การอ่านปกติ จุดประสงค์ของการอ่านปกติ เพื่อค้นหาข้อมูลและตอบคำถามอาจใช้ในการทำ แบบฝึกหัด หรือการทำรายงาน อ่านแล้วจดบันทึกเพื่อสรปุ เน้ือเรื่องแต่ละตอน เป็นการอ่านเพือ่ นำข้อมูลมา ไขปริศนา อ่านเพื่อคำความเข้าใจความสัมพันธร์ ะหว่างแนวคิดหลักกับแนวคิดย่อย การอ่านปกติมักจะใช้กับ การอ่านสารท่ีมีความยากง่ายอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งหมายความว่า ผู้อ่านรู้จักคำที่อยู่ในสารมากกว่าร้อย ละ 70 และอ่านได้ 250 คำ/นาที ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งร้อยละ 60 ขึน้ ไป วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมิได้เร่งรีบ เพื่อรับรู้คำกลุ่มคำ ประโยค และ เรื่องท้ังหมด การอา่ นปกติเป็นการอ่านโดยมิได้เร่งรัด แต่ตอ้ งการความเข้าใจในเรื่องราวโดยมิได้พลาดประเด็น สำคญั และต้องการให้บรรลุผลตามจุดประสงคม์ ากกวา่ ท่จี ะเน้นในเร่ืองของเวลา 3. การอ่านละเอียด จุดประสงค์ของการอ่านาเพือ่ ตรวจรายละเอียดของเรือ่ งในทุกประเด็น โดยไม่ พลาดความหมายของคำ กลุ่มคำ และประโยค นอกจากนั้นยังเป็นการประเมินค่าเรื่องที่อ่าน เรยี งลำดับเหตกุ ารณ์ แ ละติดตามทศิ ทางของเร่ือง เพื่อมิใหพ้ ลาดประเด็นสำคัญ สรปุ เร่อื งด้วยภาษา ของตนเอง รวมท้ังวิเคราะห์การนำเสนอผลงานของผู้เขียนได้อย่างถูกต้อง การอ่านวิธีนี้ยังใช้
35 ประโยชน์ในการอ่านสารประเภทวรรณกรรมและวรรณคดีอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและ เกิดความซาบซงึ้ ในการใชภ้ าษา 4. การวเิ คราะหร์ ูปแบบ ตลอดจนลักษณะของการใช้ภาษา คณุ คา่ ท่ไี ด้รับทางภาษาจำเป็นต้องใช้การ อ่านอยา่ งละเอยี ดเชน่ กนั วิธีการอ่าน ผู้อ่านจะเคลื่อนสายตา ผ่านทุกตัวอักษรของคำ กลุ่มคำ และประโยคทำความเข้าใจ ความหมายทั้งทางตรงและทางนัย เพื่อให้ได้ข้อมูลตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการ สารที่ใช้วิธีอ่านประเภทนี้ มักจะเป็นสารวิชาการ ใช้ภาษาที่ยากและมีเรื่องราวซับซ้อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่าการอ่าน ประเภทอ่นื ๆ เพราะตอ้ งการความละเอยี ดรอบคอบ กล่าวโดยสรปุ การอ่านเป็นการรับรู้ความหมายของสาร การอ่านมคี วามสำคญั เพราะ เป็นเคร่ืองมือ แสวงหาความรู้และความบันเทิง ผู้อ่านแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่าน เพ่ือแสวงหาความรู้ บางคนชอบอ่านเพ่ือแสวงหาความบันเทงิ และบางคนอ่านเพ่ือนำความรูจ้ ากการอ่านไปใช้ เพื่อประโยชน์อื่น ๆ การแบ่งประเภทของการอ่าน สามารถแบง่ ออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับว่าจะ ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา อาจแบ่งโดยพิจารณาจดุ มุ่งหมายเปน็ หลัก หรืออาจแบ่งโดยพิจารณาจาก ลักษณะการอ่านเป็นหลัก คือ การอ่านในใจ แลการอ่านออกเสียง โดยจะมีวิธีการอ่านแตกต่างกันไป แต่ อยา่ งไรก็ตามการอ่านจะบรรลุจุดประสงค์ได้ ผู้อ่านควรมจี ดุ หมายในการอา่ น และเข้าวธิ ีทจ่ี ะอ่าน เพ่ือให้ได้ ประโยชนส์ มตามความมงุ่ หมาย
36 ใบความรู้ที่ 4 ประโยชนข์ องการอา่ น หนังสือทดี่ ี ยอ่ มให้คุณค่าแกผ่ ู้อา่ นเสมอ ไมว่ า่ จะเป็นหนงั สือทางวิชาการ หรือเรือ่ งอา่ นเล่น ทนั ทที ่ี หยิบหนงั สอื ขึ้นมาอ่าน แมจ้ ะเพียง 2-3 นาที ผอู้ ่านก็จะ “ได้” ประโยชนไ์ ม่ด้านก็ดา้ นหนงึ่ เชน่ ประโยค ทไ่ี พเราะ ประทบั ใจ มีข้อคดิ ซึ่งอาจแกป้ ัญหาที่คดิ ไม่ตกอยนู่ าแลว้ ประโยชนข์ อง การอ่านมหี ลาย ประการ ดงั ท่ี เทือก กสุ มุ า ณ อยุธยา (2511 : 47) กลา่ วว่า การอ่านหนังสือ มปี ระโยชน์ ดงั น้ี 1. ประโยชนใ์ นฐานท่ีเป็นวรรณคดี คือ ผอู้ า่ นได้รบั ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เกิดอารมณ์สะเทือน ใจ และความนกึ ฝนั ไปตามทอ้ งเร่อื ง 2. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความคิด การให้ทัศนะ หลกั เกณฑ์ชวี ติ แกผ่ ู้อ่าน 3. ประโยชน์ในฐานทเี่ ป็นเครื่องบนั เทิง ทงั้ ยงั มกี ารประยุกต์เปน็ ละครวทิ ยุ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เปน็ ต้น 4. ประโยชน์ในด้านความรู้ เช่น สภาพความเป็นอยู่ ภูมิฐานสง่าของบ้านเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ หรอื เป็นสง่ิ สะท้อนให้เห็นสภาพชวี ติ ในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น เหตกุ ารณใ์ นประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบ รายลเอยี ดของชวี ติ ได้ดีกว่าหนงั สอื ประวตั ิศาสตร์ 5. ประโยชนใ์ นดา้ นภาษา ผูอ้ า่ นจะไดร้ บั รสไพเราะทางภาษา ท่ีรอ้ ยกรองไว้อย่างประณตี บรรจงแลว้ 6. ประโยชนท์ างด้านคตธิ รรม เป็นเครือ่ งชำระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้สูงขนึ้ ถ้าเป็นวรรณคดี ที่ดี 7. ประโยชนท์ างการเมือง อาจทำใหก้ ารเมืองผนั แปรได้ โดยผู้แต่งใชน้ วนยิ ายเป็นส่ือคัดค้านความอ ยุติธรรม และทำให้ผ้อู า่ นเหน็ ด้วยได้ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และ คณะ (2546 : 56-57) กลา่ วถึงประโยชนข์ องการอา่ น สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. ทำใหม้ คี วามรู้ในวิชาการดา้ นต่าง ๆ อาจเป็นความรู้ทวั่ ไป หรือความรูเ้ ฉพาะด้านก็ได้ 2. ทำให้รอบรูท้ ันโลก ทันเหตุการณ์ ซ่ึงนอกจากจะทำให้รทู้ ันข่าวสารบ้านเมืองและสภาพการณ์ต่าง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ซึง่ จะเป็นประโยชน์อยา่ งย่ิง ในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะสม สอดคล้องกบั สภาพสงั คมของตนในขณะน้นั 3. ทำให้คน้ หาคำตอบทต่ี อ้ งการได้ การอา่ นหนงั สอื จะชว่ ยตอบคำถามท่ีเราข้องใจ สงสยั ตอ้ งการรู้ได้ เช่น อา่ นพจนานุกรม เพ่อื หาความหมายของคำ อา่ นหนังสอื กฎหมาย เพ่ือต้องการรขู้ ้อปฏิบตั ิ เปน็ ตน้ 4. ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาดี น่าอ่าน น่าสนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมี ความสุขความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้องตามอารมณ์ของเรื่องนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ข้อคิด และยงั เป็นการยกระดบั จิตใจผู้อ่านให้สูงขน้ึ ไดอ้ ีกด้วย 5. ทำให้เกดิ ทกั ษะและพัฒนาการในการอ่าน ผทู้ ่ีอา่ นหนังสอื สมำ่ เสมอ ย่อมเกดิ ความชำนาญในการ อ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรือ่ งราวที่อ่านไดง้ ่าย จังใจความได้ถูกตอ้ ง เข้าใจประเด็นสำคัญของเร่ือง และ สามารถประเมนิ คุณคา่ เรือ่ งทีอ่ ่านไดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล
37 6. ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ที่อ่านมากย่อมรู้เรื่องราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิตมีคุณค่าและมี ระเบียบแบบแผนท่ีดยี ่ิงขน้ึ 7. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมากย่อมรอบรู้มากมีข้อมูลต่าง ๆ สั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้ คำแนะนำแกผ่ ้อู ืน่ ในทางท่ีกอ่ ให้เกิดประโยชน์ได้ ผ้รู อบรูจ้ งึ มกั ไดร้ ับการยอมรับ และเป็นที่เชอ่ื ถือจากผูอ้ นื่ การอ่านหนังสือจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการ “อ่านเป็น” ซึ่งจะต้องฝึก การ อ่านอย่างสม่ำเสมอจนเกดิ ความเข้าใจ ความซาบซง้ึ รูจ้ กั วิเคราะห์ และเกิดความคดิ จากการอ่านหนังสือ ซึ่งถือ วา่ สำคัญมาก ดงั ท่ี รัญจวน อินทรกำแหง (2518 : 36-37) กล่าวไว้ในวรรณกรรมวจิ ารณ์ ตอท่ี 2 วา่ “... การอ่านหนังสือที่จะได้รับ “ค่า” ของหนังสือจริง ๆ นั้น ต้องอ่านให้ได้ “ความคิด” ที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ตัวหนังสือนั้น มฉิ ะนน้ั แลว้ การอา่ นนนั้ ก็หาความหมายอันใดไม่ และกเ็ ป็นท่นี ่าเสียดายเวลาอันมีค่าที่จะเสีย ไปในการอา่ นน้ัน...” การอ่านที่จะให้ผู้เรียนเกิด “ความคิด” จากหนังสือที่อ่านก็โดยการที่ครูหรือผู้ปกครองช่วยชี้แนะ หรือชว่ ยเลือกหนังสืออ่านให้เหมาะสมกบั วัย เชน่ เนื้อเร่ืองเป็นเร่ืองราวท่ีอยู่ในความสนใจของเด็กตาวัยของ เขา สำนวนภาษาท่เี ด็กในวยั นัน้ ๆ จะเข้าใจได้ ตวั ละครเปน็ บุคคลท่อี ยู่ในวัยเดียวกนั หรือใกลเ้ คยี งกัน ถา้ เป็น เช่นนั้น เด็กจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก เปลื้อง ณ นคร (2538 : 16) ได้ยกคำของ จางจื้อ นักปราชญ์โบราณผู้มีชื่อเสียงของจีน มากล่าวไว้ใน “ศิลปะแห่งการอ่าน” ว่า “ถ้าในโลกนี้ไม่มี หนงั สือกแ็ ล้วไปเถิด แต่เมือ่ หนังสือมีอยใู่ นโลก เรากค็ วรจะอา่ น”
38 เกมพยากรณจ์ ากเลขจากบตั ร ประชาชน อุปกรณ์ 1. บัตรประชาชน 2.ใบงาน 3.เคร่อื งคอมพวิ เตอรห์ รอื สมารท์ โฟน ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรม 1. ให้ผู้รับบริการนำเลขบตั รประจำตวั ประชาชนมาบวกกนั ตวั อย่าง เช่น 4 5694 34825 486 นำตวั เลขมาบวกกัน ดังน้ี 4+5+6+9+4+3+4+8+2+5+4+8+6= 68 6+8 = 14 1+4 = 5 (ตอ้ งทำให้เป็นเลขจำนวนเดียวก่อนทีจ่ ะอา่ นพยากรณ์ทกุ คร้งั ) 2.เมือ่ ได้ตวั เลขแลว้ ให้ไปอ่านคำพยากรณต์ ามหมายเลขจากผลลพั ธ์ที่ได้ จากเว็บไซตh์ ttps://www.sanook.com/horoscope/2977/ 3.สรุปลงในใบงาน 4.นำผลสรปุ มาแสดงความคดิ เหน็ ด้วยกัน
39 ผลการพยากรณ์เลขท่ีได้ เลข 1 แสดงถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นผู้นำในหน้าที่การงาน อยู่ในจำพวกแนว หน้า และบางคร้ังถูกคนอ่ืนมาขอความชว่ ยเหลือทั้งทรพั ย์สนิ เงนิ ทอง และคำปรกึ ษาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ไม่ เปน็ ตัวของตัวเองเท่าที่ควร แตห่ ากไม่พอใจใครแลว้ เขาจะไม่สนใจเลยเด็ดขาด เปน็ จำพวกหยง่ิ ในศกั ด์ิศรีฆ่าได้ หยามไม่ได้ ไม่ยอมก้มหัวเพื่อลดศักดิ์ศรีให้ใคร หากจำเป็นจริงๆ ยอมให้ได้เพียงกายเท่านั้น จะมีนิสัย ละเอียดอ่อนในเรื่องความรัก ยอมหมดเปลืองเท่าไหร่ก็ยอมเพื่อความรัก ในอนาคตหากเป็นนักธุรกิจ จะ ประสบความสำเรจ็ และสามารถทำงานไดด้ ีทุกแขนง เลข 2 แสดงถึงความสำเร็จ ความอบอุ่นจากมิตร-บริวาร แต่บางครั้งไม่ค่อยมีความเด็ดขาดไปบ้าง เปน็ คนที่ไม่ชอบอยู่คนเดยี ว หากจะลงทุนทำธรุ กจิ ถ้าไดร้ ว่ มทำกบั คนอน่ื จะดีกว่าทำคนเดียว จะมเี สนห่ ์กับเพศ ตรงข้าม เป็นทร่ี กั ใคร่ของเหล่าเพ่ือนฝงู แต่บางครง้ั จะโดนอจิ ฉาอยู่บ่อยๆ เพราะเสนห่ ์ดีเกินไป ตามเลขศาสตร์ บ่งบอกว่าหากจะให้ทำงานสำเร็จ โด่งดัง มีชื่อเสียง จะต้องทำงานร่วมกับคู่ครองตนเอง วัยกลางคนจะได้มี ความสุขกับครอบครวั ฐานะดี มคี วามสบายตามลำดับ เลข 3 แสดงถึงความทุกข์ใจ จะมีปัญหาเรื่องต่างๆผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่เรื่อยๆ หากจิตใจไม่เข้มแข็ง จะทำใหท้ กุ ข์ใจไมส่ บายกายอยู่เร่ือยไป และจะต้องเพ่มิ การเอาใจใส่คูค่ รองและครอบครัวให้มากกว่าเดิม ระวัง จะมปี ญั หากับบุคคลที่ 3 เขา้ มาสรา้ งความแตกแยกในครอบครัว (หมายเลข 3 น้เี ปน็ เลขแหง่ เงารกั เงาร้าง) ถ้า จะลงทุนทำธุรกิจ ไม่ควรที่จะร่วมหุ้นหรือไว้ใจบริวารให้มากนัก อย่าเป็นนักบุญให้ผู้อื่นจนเกิดเป็นความทุกข์ ให้กับตนเอง และหากช่วยเหลือใครแล้ว จะหวังผลคืนได้ยาก เพราะหมายเลข 3 เป็นเลขของผู้ให้ๆอย่างเดียว แต่เมอ่ื ผ่านปัญหาทงั้ ปวงไปแลว้ อกี ไมน่ านจะมคี วามสขุ ความสบายกบั ครอบครัว เลข 4 แสดงถึงเลขแห่งจักรพรรดิ์ จะมีคนคอยเป็นห่วง จะเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงอายุ แต่จะมีความ เหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกนั เพราะคำว่า \"แม่ทัพ\"ก็รู้ความหมายอยู่แล้ว ไม่มีแม่ทัพคนใดไม่มผี ลงานแล้วจะ ได้เป็นแม่ทัพหรอกนะ แต่หมายเลข 4 เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ ความก้าวหน้า ความท้าทาย หากจะให้มีความเจริญก้าวหน้าเร็วๆ ก็ต้องกล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ แต่ระวังจะมีเพศตรงข้ามหลง รัก และเข้ามาขอสวามิภกั ดิ์ด้วย และไม่ต้องเป็นห่วง จะทำอะไรก็จะมีคนคอยสรรเสริญเยนิ ยอ แต่ก่อนที่จะมี การเยินยอก็จะมกี ารติฉนิ นนิ ทาก่อน หากอดทนไมส่ นใจ ไมแ่ ครค์ วามรู้สกึ ของคนอ่ืนได้ละก็ ชีวติ นร้ี วยใจสบาย กายอย่างแนน่ อน เลข 5 แสดงถึงเลขแห่งเวทมนต์ และเสน่หากับเพศทั่วไป มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง ยอมก้มหัวให้ ผู้อื่นได้แค่กาย แต่ใจนั้นไม่ยอมใคร เป็นที่ปรึกษาผู้อื่นได้ดี แต่ตนเองยามเดือดร้อนหาใครช่วยปรึกษาด้วยนัน้ ช่างยากมาก เพราะหมายเลข 5 จะมีความสบายกายแต่ทกุ ข์ใจอยู่เร่ือย เพราะคดิ มากจนเกนิ เหตุ และจะเป็นที่ รักใคร่ของญาติมิตร หากดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเอกสารจะประสบความสำเร็จดี มีชื่อเสียง แต่ไม่ว่างานด้าน ไหนๆ หมายเลข 5 ทำได้หมด แต่จะต้องมีเวลาให้กับเรื่องส่วนตัวบ้าง เช่น เรื่องความรักอย่าปล่อยให้นาน เกนิ ไป จะได้พงึ่ พาอาศยั บตุ ร-บรวิ ารในภายภาคหน้า จะมคี วามพอดกี บั ชีวติ เกดิ ความสุขตลอดกาล
40 เลข 6 แสดงถึงคนที่มีดีอยู่ในตัว แต่ไม่ค่อยยอมนำออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าปล่อยเวลากับ ความคิดให้มากนัก หมายเลข 6 เสน่ห์อยู่ที่ \"เงา\"ของตนเอง จะมีคนรักใคร่เอ็นดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ต้อง แต่งตัวให้เกิดจุดเด่นแก่ตนเอง และมีจิตสัมผสั เหนือธรรมชาติ หากได้นั่งสมาธิบำเพ็ญศีลจะมีบารมีสูง ผู้คนจะ รักใคร่เอ็นดู จะทำอะไรก็ล้วนแต่ประสบความสำเร็จดีทั้งสิ้น หมายเลข 6 ต้องลดโทนเสียงลงอีก เพราะโทน เสียงนนั้ บง่ บอกถึงอำนาจ ความยิง่ ใหญเ่ กนิ ตวั ไม่ไพเราะแกผ่ ู้ไดย้ ิน ผใู้ หญร่ ักใคร่เอ็นดูสนบั สนุนในดา้ นการงาน เมือ่ เกิดปญั หาใดๆ ตนเองมักจะเอาตัวรอดไดเ้ สมอ จะมคี วามสขุ ในบนั้ ปลาย เลข 7 อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปกับคนอื่นให้มากนัก และอย่ายึดติดอยู่กับที่ เพราะหมายเลข 7 เป็น หมายเลขที่ต้องเดินทางเพื่อทำการค้า เป็นไกด์ หรือทำงานที่ต้องมีการเจรจาอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ประสบ ความสำเรจ็ ระวังจะมปี ญั หาเรอื่ งรักๆ ใคร่ๆเกดิ ข้นึ ในครอบครัว หรอื เรือ่ งรกั 3 เส้าเกิดข้นึ ในชีวติ คู่ และปัญหา ต่างๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ในชวี ิตคณุ ก็ไม่ตอ้ งวิตกใหม้ ากนัก เพราะทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี การเงินถึงจะไม่คล่อง บ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะหมายเลข 7 เป็นเลขท่ีส่งลาภผลอยู่เนอื งๆ หากผู้ใดที่ได้หมายเลข 7 ละก็ ต้องยอมเหนื่อยหน่อยน่ะในระยะต้นๆ และอีกไม่นานจะมีความสุข โชคลาภเพิ่มพูน และจะได้รับความสุขกับ มติ ร-บริวาร เลข 8 แสดงถึงคนมีบุญบารมี และวาสนาดี มีชื่อเสียงให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์ แต่ต้องหมั่นเรียนรู้ เร่งศึกษา อย่าอยู่นิ่ง กล้าเปิดเผย กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ รีบไขว่คว้า แล้วหน้าที่การงานที่ทำจะ ได้ผลดีเป็นที่พอใจ และผู้ใหญ่จะให้ความช่วยเหลือ อย่าหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหาให้มากนัก อย่าสนุกจน ลืมครอบครัว แล้วบั้นปลายชีวิตจะมีฐานะดี เป็นที่พอใจของวงศ์ตระกูล มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป (แตต่ ้องขยันใหม้ ากๆนะ) เลข 9 แสดงถงึ อำนาจ ความย่ิงใหญ่ หากเป็นผูน้ ำจะเจรญิ กา้ วหน้า ทำงานดว้ ยสมอง เป็นนักพูดหรือ นักบรรยายจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่หน้าที่ที่เหมาะคือผู้เผยแพร่ศาสนา จะมีผู้คนยกย่องสรรเสริญ และยังมีจิต สัมผัสเหนอื คนทั่วไป บางครัง้ สามารถรูเ้ หตกุ ารณล์ ว่ งหน้า ใครไดห้ มายเลข 9 จะเป็นผู้อย่เู หนือลิขติ สวรรค์ จะ ทำอะไรกส็ ามารถประสบความสำเร็จไดด้ ว้ ยตนเอง แตม่ ีขอ้ เสยี เพราะหมายเลข 9 เปน็ เลขแหง่ คุณความดี หาก ทำในส่งิ ไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดศลี ธรรม หรอื ทำใหผ้ ูอ้ ื่นเดือดร้อน จะไดร้ บั ผลกรรมซ่ึงจะหนักกว่าผู้อ่ืนหลายเท่า และจะต้องระวังเรือ่ งชู้สาวใหม้ าก อย่าใจอ่อน จะนำไปสคู่ วามเดอื ดร้อน เพราะจะมีเสนห่ ต์ ่อเพศตรงข้ามและผู้ พบเห็น
41 ใบงาน เรอ่ื งกจิ กรรมสง่ เสริมการอา่ น “เกมพยากรณบ์ ัตรประชาชน” ช่อื – สกลุ .....................................................................................ระดับช้ัน.......................... 1.ผลลัพธ์ของบตั รประชาชน คอื ......................................................................................................................... 2.ฉันมขี อ้ ดี คอื ...................................................................................................................... .............................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ...................................................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ................................................ 3.ขอ้ ควรพฒั นา คอื .......................................................................................................................................... ... ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................................................ ............. ..................................................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ...................................................................................................................................................... ....................... 4. จรงิ ๆแลว้ ฉนั เปน็ คน ........................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ........................................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................ ............................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... ....................................................................... ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................
42 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 การทำถุงหอมสมนุ ไพร
43 ใบความร้ทู ่ี 3 เรือ่ ง การทำถุงหอมสมนุ ไพร สมุนไพรน้ีมคี ่ามาก พระเจ้าอยูห่ ัวทรงฝากให้รกั ษา แต่ปูย่ า่ ตายายใชก้ ันมา ควรลกู หลานร้รู ักษาใชส้ ืบไป เป็นเอกลักษณข์ องชาติควรศกึ ษา วิจัยมาประยุกตใ์ ชใ้ ห้เหมาะสมยั รปู้ ระโยชนร์ ูค้ ุณโทษสมุนไพร เพือ่ คนไทยอย่รู อดตลอดกาล การแพทยแ์ ผนไทย ยาจากพืชสมนุ ไพรเป็นมรดกทางวฒั นธรรมจากธรรมชาติ อนั มีค่าของย่ิงของเราชาว ไทย ท่ีสืบทอดกนั มานานหลายศตวรรษ ต่อมาเม่ือมีการนำระบบการแพทย์ทางตะวนั ตกเข้ามาใช้อย่างแพรห่ ลาย ทำใหก้ ารแพทย์แผนไทยค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเรา จากสภาพของเศรษฐกจิ ในยคุ ปัจจบุ ัน ประเทศของเราต้องมีการใช้จ่ายเงนิ ทองอยา่ งประหยัดและค้มุ ค่า ปอ้ งกนั การไหลออกของเงนิ ลดการขาดดุลการคา้ กบั ตา่ งประเทศ ดงั น้ัน….ถึงเวลาแล้วทเ่ี ราคนไทยจะต้องช่วยชาติ หันกลับมาสนใจภูมิปญั ญาพ้ืนบา้ น ใชพ้ ชื สมุนไพรเปน็ ทางเลอื กในการดูแลสุขภาพ ทไี่ ม่มองแบบแยกสว่ น และ คำนึงถึงทกุ มิตทิ ่ีเกีย่ วขอ้ งเป็นองคร์ วมเพื่อดำรงคงไว้ และสืบสานพัฒนาการแพทย์แผนไทยให้คงอยตู่ ่อไปอยา่ งยั่งยนื ซง่ึ หากจะกลา่ วไปแล้วการใชย้ าสมุนไพรกม็ ิได้แตกต่างไปจากการใช้ยาแผนปจั จบุ ัน ในแงว่ ัตถปุ ระสงค์เพ่ือ รักษาอาการของโรค แตจ่ ะแตกต่างในเรื่องรายละเอียดและวธิ ีการใช้ยา และสิง่ ท่ีต้องจำไว้ในการดูแลสขุ ภาพ คือ ยา มีไว้รักษาโรคหรืออาการทางร่างกายเท่านนั้ ไม่รวมถึงด้านจิตใจและส่ิงแวดล้อม การมีสขุ ภาพดีอย่างแทจ้ ริง จะตอ้ ง ดีทง้ั ด้านร่างกาย จติ ใจ และสิ่งแวดลอ้ ม ดังคำกล่าวทว่ี ่า \"แมจ้ ะมยี าดีและวเิ ศษสกั เพียงใด หากผู้ปว่ ยส้ินหวงั หมด กำลงั ใจที่จะอยหู่ รือต่อสู้ ก็ไม่อาจชว่ ยให้รอดได้\" ในทางตรงกนั ขา้ มบางคนเป็นโรคร้ายแรง แตม่ กี ำลังใจที่จะต่อสู้ ได้รับความรัก ความอบอนุ่ ก็อาจมชี ีวิตรอดไดเ้ ชน่ กนั
44 ความหมาย ตามพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 สมนุ ไพร น. ผลติ ผลธรรมชาติได้จากพชื สัตว์ แร่ธาตุ ทใ่ี ช้เปน็ ยาหรือผสมกบั สารอน่ื ตามตำรบั ยา เพ่ือ บำบดั โรค บำรุงร่างกาย หรือใชเ้ ป็นยาพิษ เชน่ กระเทยี ม น้ำผึง้ รากดิน(ไสเ้ ดือน) เขากวางออ่ น กำมะถนั ยางน่อง โลต่ นิ๊ ตามพระราชบญั ญัตยิ า พ.ศ.2510 \"สมุนไพร เป็นยาที่ได้จากพืช สตั ว์ หรอื แร่ธาตุ ซ่งึ ได้ผสมปรงุ แปรสภาพ\" พชื สมุนไพร การใช้พืชสมนุ ไพรในปจั จุบัน คือการนำเอาสว่ นต่าง ๆ ของพชื มาใช้ โดยมวี ิธีการเกบ็ การแปรสภาพ และ การเก็บรักษา ดังนี้ ช่วงการเกบ็ ราก เหงา้ (หัว) ใหเ้ กบ็ ช่วงทพี่ ชื หยดุ เจริญเตบิ โต ใบดอกร่วงหมด หรือชว่ งต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดู ร้อน ใบ กง่ิ ควรเกบ็ ชว่ งทพี่ ชื เจริญเตบิ โตมากทสี่ ุดหรือบางชนดิ อาจระบุชว่ งเวลาการเกบ็ ท่ี ชัดเจน ดอก โดยทวั่ ไปเก็บในชว่ งดอกเริ่มบาน ผล สามารถเกบ็ ไดห้ ลากหลาย แล้วแตช่ นิดของพืช เช่นชว่ งผลยงั ไมส่ ุก หรือช่วงท่ีผล แก่เตม็ ทีแ่ ลว้ เมลด็ สามารถเกบ็ ไดห้ ลากหลาย แลว้ แต่ชนิดของพชื เช่นช่วงผลยังไมส่ ุก หรือช่วงทีผ่ ล เปลือกต้น แก่เตม็ ท่ีแลว้ เปลือกราก ลำตน้ โดยมากเก็บระหวา่ งชว่ งฤดรู ้อนตอ่ กบั ฤดูฝน โดยมากเก็บระหว่างชว่ งฤดรู อ้ นตอ่ กบั ฤดฝู น ควรเก็บช่วงที่พืชเจริญเตบิ โตมากทส่ี ดุ หรือบางชนดิ อาจระบุชว่ งเวลาการเก็บที่ ชัดเจน การแปรสภาพ ทำได้โดยการหนั่ ผึง่ แดด ผ่ึงในร่ม อบแห้ง การเกบ็ รกั ษา
45 ก่อนเก็บจะต้องแน่ใจวา่ พืชสมนุ ไพรเหล่านัน้ แหง้ สนทิ เพอ่ื ป้องกนั การขึน้ รา และการเปลย่ี นแปลง ลกั ษณะ โดยแบ่งแยกการเกบ็ ใหเ้ ปน็ สดั สว่ น ในท่ีซ่งึ หนอน หนู หรอื แมลงต่าง ๆ ไม่สามารถมาทำลายได้ ข้อปฏิบัติในการใชส้ มนุ ไพร ใชใ้ ห้ถูกต้น ใชใ้ หถ้ ูกส่วน ใชใ้ ห้ถูกขนาด ใชใ้ หถ้ ูกวธิ ี ใช้ใหถ้ ูกกับโรค ใช้ใหถ้ ูกต้น เพราะสมนุ ไพรมีชือ่ พ้องและซำ้ กันมาก และบางทอ้ งถนิ่ ก็เรียกไม่เหมือนกนั ผ้ใู ชจ้ ึงตอ้ งรจู้ ัก สมุนไพรเปน็ อย่างดี ลำต้นอย่างใด มีลกั ษณะแบบไหน เรยี กชอื่ วา่ อะไร ใช้ให้ถูกสว่ น ทั้งนี้เพราะตน้ สมุนไพรไม่ว่าเป็นราก ดอก ใบ เปลือก ผล เมล็ด จะมีฤทธ์ิต่างกนั จะต้องรู้ ว่าส่วนใดใช้เปน็ ยาได้ ใชใ้ หถ้ กู ขนาด พบว่าหากใช้สมนุ ไพรน้อยไปกร็ ักษาไม่ได้ผล มากไปกอ็ าจเปน็ อนั ตราย หรือเกิดพิษต่อ รา่ งกายได้ ใชใ้ หถ้ กู วิธี พืชสมุนไพรบางชนดิ จะต้องใช้สด บางชนดิ ตอ้ งใชป้ นกบั เหลา้ บางชนดิ ตอ้ งต้ม จึงต้องรวู้ ธิ ใี ช้ และใชใ้ ห้ถูกวธิ ี ใชใ้ ห้ถกู กับโรค เช่นหากทอ้ งผกู ต้องใช้พชื ที่มฤี ทธเิ์ ป็นยาระบาย ไม่ใชย้ าที่มีฤทธ์ิฝานสมาน เพราะจะทำ ให้ท้องผูกยง่ิ ขึน้ ความหมายท่คี วรรู้ หมายถงึ ใบไม้ที่จวนแก่ ใบเพสลาด ่ ท้งั หา้ หมายถึงส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก เหลา้ แอลกอฮอล์ หมายถึงเหล้าโรง (28 ดีกรี) นำ้ ปนู ใส หมายถงึ แอลกอฮอลช์ นิดสีขาว สำหรบั ผสมยา ห้ามใช้แอลกอฮอล์ชนิดจดุ ไฟ ต้มเอานำ้ ดม่ื หมายถึงนำ้ ที่ทำขนึ้ โดยการนำปนู ทีก่ ินกับหมาก มาละลายน้ำสะอาดตงั้ ทิ้งไวใ้ นภาชนะแล้ว ชงเอานำ้ ดืม่ นำรินนำ้ ใสท่อี ยดู่ ้านบนมาใช้ 1 กำมือ หมายถึงต้มสมุนไพรดว้ ยการใส่นำ้ พอประมาณ หรอื สามเท่าของปริมาณทต่ี อ้ งการใช้ ตม้ พอ 1 กอบมือ เดอื ดอ่อน ๆ ใหเ้ หลือ 1 สว่ นจาก 3 ส่วน ข้างต้น รินเอาน้ำดมื่ ตามขนาด หมายถึงใส่น้ำเดือดหรือนำ้ ร้อนจัด ลงบนสมนุ ไพรที่อย่ใู นภาชนะเปิดฝาทิ้งไวส้ ักครู่จงึ ใชด้ ่ืม มีปริมาณเทา่ กบั สห่ี ยบิ มือหรือสองฝา่ มือ หรอื หมายความถึงปรมิ าณของสมนุ ไพรท่ไี ด้จาก การใช้มือเพียงขา้ งเดียวกำโดยให้ปลายนว้ิ จรดอ้งุ มือโหยง่ ๆ มปี รมิ าณเท่าสองฝ่ามอื หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรท่ีไดจ้ ากการใชม้ ือสองข้าง กอบเข้าหากันให้ส่วนปลายของน้วิ แตะกัน 1 ถ้วยแก้ว มีปรมิ าตรเท่ากับ 250 มล. 1 ถว้ ยชา มีปรมิ าตรเท่ากบั 75 มล. 1 ช้อนโต๊ะ มปี ริมาตรเทา่ กบั 15 มล. 1 ช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 8 มล. 1 ชอ้ นชา มปี ริมาตรเทา่ กับ 5 มล.
46 สมุนไพร 10 ชนดิ สรรพคุณเป็นยา รกั ษาโรคได้ ควรมตี ิดไวป้ ระจำบ้าน 1. ใบเตย 2. ขิง
47 3. ตะไคร้ 4.ชะพลู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110