แผนการจดั การเรียนรู รายวิชา วทิ ยาศาสตรชวี ภาพ รหสั วชิ า ว33107 ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปการศกึ ษา 2563 จดั ทาํ โดย นางภสั สรา เชย่ี วพงศธร กลุม สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตร โรงเรยี นสาคลีวทิ ยา อําเภอเสนา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา สาํ นักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา
บันทึกขอความ สว นราชการ โรงเรยี นสาคลวี ทิ ยา ตาํ บลสามตมุ อาํ เภอเสนา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 13110 ท่ี วันท่ี 31 พฤษภาคม 2564 เรื่อง ขออนมุ ัตใิ ชแผนการจัดการเรยี นรู เรยี น ผูอํานวยการโรงเรยี นสาคลวี ทิ ยา ตามทข่ี า พเจา นางภสั สรา เชย่ี วพงศธร กลมุ สาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ไดจ ดั ทาํ แผนการจดั การเรยี นรรู ายวชิ า วทิ ยาศาสตรช วี ภาพ 1 รหสั วชิ า ว31107 จาํ นวน 0.5 หนว ยกิต ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2564 นัน้ ขาพเจา ไดจ ดั ทาํ แผนการจดั การเรยี นรูท เ่ี นนผูเรียนเปนสําคัญ ตรงตามตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรซู ึง่ สอดคลองกับหลักสตู ร สถานศกึ ษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ( ปรับปรุง 2560 ) โดยจดั กิจกรรมการเรียนรูบรรลุตาม วัตถปุ ระสงค ผเู รียนมีความรู ความเขาใจ เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพผูเรียนใหบ รรลเุ ปา หมายของหลักสตู รตอไป จึงเรยี นมาเพอื่ โปรดพิจารณาอนญุ าต ลงชอ่ื (นางภสั สรา เชย่ี วพงศธร ) ลงชอ่ื ( นางภสั สรา เชย่ี วพงศธร ) หวั หนา กลมุ สาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ความคิดเห็นหัวหนากลุม บรหิ ารวชิ าการ ความคดิ เหน็ ผูอํานวยการโรงเรยี นสาคลวี ทิ ยา .................................................................................. ................................................................................... .................................................................................. .................................................................................. ทราบ ลงชื่อ อนุญาตใหใชแผนการจัดการเรียนรูตามที่เสนอ (นางวราภรณ คาสุวรรณ) หัวหนากลุมบริหารวิชาการ ลงชื่อ ........../.............../............ (นางสาวรพีพรรณ กีตา) ผูอํานวยการโรงเรียนสาคลีวิทยา ........../.............../............
คาํ อธิบายรายวชิ าพื้นฐาน รหสั วิชา ว31107 วิชา วิทยาศาสตรชีวภาพ 1 กลุม สาระการเรียนรวู ิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 20 ชั่วโมง จํานวน 0.5 หนว ยกิต ศึกษาโครงสรางและสมบตั ขิ องเยื่อหมุ เซลลท่ีสัมพันธกับการลาํ เลยี งสารและเปรียบเทียบการลาํ เลียงสารผานเยอ่ื หุมเซลลแบบตา งๆ การควบคมุ ดุลยภาพของน้าํ และสารในเลือดโดยการทํางานของไตการควบคมุ ดุลยภาพของกรด-เบสของ เลอื ดโดยการทาํ งานของไตและปอด การควบคุมดลุ ยภาพของอุณหภูมภิ ายใน รา งกายโดยระบบหมนุ เวยี นเลือดผิวหนังและกลามเนื้อโครงรา งการตอบสนองของรางกายแบบไม จาํ เพาะและแบบจาํ เพาะตอ สงิ่ แปลกปลอมของรา งกายโรคหรอื อาการท่เี กิดจากความผิดปกตขิ องระบบภูมคิ มุ กนั ภาวะภูมคิ มุ กนั บกพรอ งที่มี สาเหตุมาจากการติดเช้อื HIV โดยใชกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ นการสืบเสาะหาความรู การสืบคนขอ มลู การสํารวจตรวจสอบ การอภปิ ราย การอธิบายและ ลงขอสรุป ใหน ักเรียนสามารถสรางองคค วามรูไดดวยตนเองใชก ระบวนการทาํ งานเปนกลมุ ฝก กระบวนการคดิ เพอ่ื แกไ ขปญ หา ใชเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทนั สมยั เปนสื่อในการเรยี นการสอน เพ่ือใหเกดิ ความรู ความเขาใจ สามารถนําความรูแ ละหลักการไปใชประโยชนอ ยา งสรางสรรคเ ชื่อมโยง อธบิ ายปรากฏการณตางๆ ในชีวิตประจําวนั สามารถจดั กระทําและวิเคราะหข อมูล สือ่ สารสงิ่ ทเี่ รียนรู มีความสามารถในการตดั สินใจแกปญหา มเี จตคติท่ดี ีตอ วิทยาศาสตร มจี ติ วิทยาศาสตรเห็นคณุ คาของวิทยาศาสตร และนาํ ไปใชใ นชีวิตประจําวันอยางสรา งสรรค ตลอดจนมีจรยิ ธรรมคณุ ธรรมและ การมวี นิ ยั ใฝเรียนรู มุงม่ันในการทํางาน รหสั ตวั ชี้วัด ว 1.2 ม.4/1, ม.4/2, ม.4/3, ม.4/4, ม.4/5, ม.4/6, ม.4/7 รวม 7ตวั ชี้วัด ตัวชว้ี ัดชน้ั ป ( ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 4 - 6 ) 1. อธิบายโครงสรางและสมบตั ิของเย่ือหุมเซลลท ี่สมั พันธกับการลาํ เลยี งสาร และเปรยี บเทียบการลําเลยี งสารผา นเย่อื หุม เซลลแ บบตา ง ๆ 2. อธิบายการควบคมุ ดุลยภาพของนา้ํ และสารในเลือดโดยการทํางานของไต 3. อธิบายการควบคุมดลุ ยภาพของกรด – เบส ของเลอื ดโดยการทาํ งานของไตและปอด 4. อธบิ ายการควบคุมดลุ ยภาพของอณุ หภูมภิ ายในรา งกายโดยระบบหมนุ เวียนเลอื ด ผิวหนงั และกลา มเนอ้ื โครงรา ง 5. อธบิ าย และเขียนแผนผังเก่ียวกับการตอบสนองของรา งกายแบบไมจําเพาะ และแบบจาํ เพาะตอสิ่งแปลกปลอมของรา งกาย 6. สืบคนขอมลู อธบิ าย และยกตัวอยางโรคหรืออาการทเี่ กดิ จากความผดิ ปกติของระบบภูมคิ มุ กนั 7. อธบิ ายภาวะภูมิคมุ กันบกพรอ งท่มี สี าเหตุมาจากการติดเชื้อ HIV .....................................................................................................................
กําหนดการสอนรายวิชาพื้นฐาน รายวชิ า ว 31107 วทิ ยาศาสตรชวี ภาพ 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 ลาํ ดบั ชอ่ื หนว ยการเรียนรู มาตรฐานการ เน้อื หา เวลา ท่ี เรยี นรู/ตวั ชีว้ ดั (ช่วั โมง) 1 การลาํ เลยี งสารเขา มาตรฐาน ว 1.2 -เซลลม กี ารลาํ เลยี งสารเขา และออกจากเซลลโ ดยมี 5 และออกจากเซลล ม.4/1 การควบคุมทั้งชนิดและปริมาณสารทผี่ า นเขา ออก กระบวนการนท้ี าํ ใหเ ซลลรกั ษาดลุ ยภาพไวไ ดแ ละ เซลลส ามารถทาํ งานไดต ามปกตซิ ง่ึ สง ผลให สง่ิ มีชวี ิตดาํ รงชวี ติ อยูได -เยอื่ หุมเซลลทาํ หนาท่ีเปนเยือ่ เลือกผา นในการ ลําเลยี งสารโดยโครงสรางและสมบัติของเยือ่ หมุ เซลลม คี วามสมั พันธกบั การลําเลียงสารซง่ึ มีหลายวิธี เชน การแพรแ บบธรรมดา ออสโมซสิ การแพร แบบฟาซลิ เิ ทต แอกทฟี ทรานสปอรต เอนโดไซโท ซิส และเอกโซไซโทซิส 2 การรักษาดลุ ยภาพ มาตรฐาน ว 1.2 2.1 การรกั ษาดลุ ยภาพของนาํ้ และสารในรา งกาย 13 ของรางกายมนษุ ย ม.4/2-7 2.2 การรกั ษาดลุ ยภาพของกรด – เบาของเลอื ด 2.3 การรักษาดลุ ยภาพของอุณหภมู ิภายในรางกาย 2.4 ระบบภมู ิคุม กนั -กลไกการตอ ตา นหรอื ทาํ ลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไม จาํ เพาะ -กลไกการตอ ตา นหรอื ทาํ ลายสง่ิ แปลกปลอมแบบ จาํ เพาะ -ความผิดปกตขิ องระบบภูมิคุม กนั สอบกลางภาค 1 สอบปลายภาค 1 20 รวมจาํ นวนคาบสอนทัง้ สิน้
แผนการวดั และประเมนิ ผล รหสั วชิ า ว31107 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรชวี ภาพ 1 กลุมสาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง จํานวน 0.5 หนวยกิต ภาคเรยี นท่ี 1 ปก ารศึกษา 2564 ท่ี ช่ือหนวย ตวั ชวี้ ัด /ผลการเรยี นรู จาํ นวน นํ้าหนกั ภาระงาน หรอื การเรียนรู คาบ คะแนน ชน้ิ งาน 1 การลําเลียง 1. อธบิ ายโครงสรา งและสมบตั ิของเยอื่ หมุ เซลลท ี่สัมพนั ธ 5 40 1. วาดภาพช้ี สารเขา และ กับการลําเลยี งสารและเปรียบเทยี บการลาํ เลยี งสารผาน สว นประกอบของ ออกจาก เยื่อหุมเซลลแ บบตางๆ เซลลพืชและเซลล เซลล สตั ว 2 การรกั ษา 1. อธิบายการควบคมุ ดลุ ยภาพของนาํ้ และสารในเลอื ด 13 30 1.สืบคน ขอมูล ดลุ ยภาพ โดยการทาํ งานของไต อาการ แนวทางการ ของรา งกาย 2. อธิบายการควบคมุ ดุลยภาพของกรด-เบสของเลอื ดโดย ปองกันหรอื รักษา มนษุ ย การทาํ งานของไตและปอด โรคท่ีเกย่ี วกับไต 3. อธบิ ายการควบคุมดลุ ยภาพของอณุ หภูมภิ ายใน และโรคทีเ่ กย่ี วกับ รา งกายโดยระบบหมนุ เวียนเลือดผิวหนงั และกลา มเนอื้ ทางเดนิ ปส สาวะ โครงราง 2. สบื คน ขอมลู 4. อธบิ ายและเขียนแผนผงั เก่ยี วกบั การตอบสนองของ อาการ หรอื สาเหตุ รา งกายแบบไมจําเพาะและแบบจําเพาะตอ ส่ิง ของโรคทีเ่ กีย่ วกับ แปลกปลอมของรางกาย ความผิดปกติของ 5. สบื คนขอมลู อธบิ ายและยกตวั อยางโรคหรืออาการที่ ระบบภูมคิ ุมกัน เกิดจากความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคุมกัน 6. อธบิ ายภาวะภูมิคมุ กนั บกพรอ งทีม่ ีสาเหตุมาจากการ ติดเชอื้ HIV สอบวัดผลกลางภาคเรียน 1 ชม. 10 แบบทดสอบ สอบวัดผลปลายภาคเรียน 1 20 แบบทดสอบ รวมตลอดภาคเรียน 20
แผนการจัดการเรยี นรทู ี่ 1 หนว ยการเรยี นรทู ่ี 1เซลลก บั การกั ษาดุลยภาพ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 เรือ่ ง เซลลข องสง่ิ มีชีวิต เวลา3คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสาํ คญั /ความคดิ รวบยอด เซลล Cell เปน หนว ยพ้ืนฐานของส่งิ มีชวี ติ ทุกชนิด ประกอบดว ยโครงสรา งพน้ื ฐาน 3 สว น ไดแก สวนทีห่ อหุม เซลล ประกอบดว ยเยือ่ หุม เซลลท ีม่ โี ครงสรา งเรียกวา ลิพิดไบเลเยอร ทาํ หนา ทคี่ วบคุมการผานเขา –ออก ของเซลล และผนงั เซลลท ีพ่ บเฉพาะในเซลลพชื เทานน้ั สวนท่ี 2 คือไซโทพลาซมึ มีลักษณะเปน ของเหลวประกอบดวยออร แกเนลลห ลายชนดิ ทท่ี าํ หนาท่แี ตกตา งกนั เชน ไมโทคอนเดรีย ไรโบโซม คลอโรพลาสต เปนตน และสว นท่ี 3 คือ นวิ เคลยี ส ทําหนา ท่คี วบคมุ กจิ กรรมตางๆภายในเซลล โดยเซลลแตล ะชนดิ จะมีรปู รา ง ลักษณะและหนาทแ่ี ตกตา งกนั ในเซลลทีม่ ีรปู รา งและหนาทเี่ หมือนกนั จะมา รวมกลมุ เปน เนอื้ เย่ือเพอ่ื ทาํ หนาทอ่ี ยา งเดียวกัน เน้อื เย่ือหลายชนดิ รวมกนั เปนอวยั วะ หลายอวยั วะรวมกนั เปน ระบบอวัยวะ และระบบอวยั วะตางๆ ในรางกายทํางานรว มกนั เปน รางกายของส่ิงมีชีวิต 2. มาตรฐานการเรยี นร/ู ตวั ชี้วัด สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 : เขาใจสมบตั ขิ องสงิ่ มชี วี ติ หนว ยพนื้ ฐานของสิ่งมชี ีวิต การลําเลียงสารผานเซลล ความสัมพนั ธ ของโครงสรา ง และหนาที่ของระบบตางๆ ของสัตวและมนุษยท ีท่ ํางานสัมพนั ธก นั ความสมั พนั ธข องโครงสรา ง และหนาท่ขี องอวัยวะตางๆ ของพืชทีท่ าํ งานสัมพันธกนั รวมท้งั นาํ ความรไู ปใชประโยชน ตัวช้ีวดั ม.4/1 อธบิ ายโครสรา งและสมบัตขิ องเยื่อหมุ เซลลท ีส่ ัมพันธก ับการลําเลียงสาร และเปรยี บเทียบการ ลาํ เลยี งสารผานเยอื่ หุมเซลลแ บบตางๆ 3. จดุ ประสงคการเรียนรเู พ่ือใหน ักเรียนสามารถ 3.1 ดา นความร(ู K) 1) อธบิ ายลกั ษณะ และหนาทโ่ี ครงสรา งพ้ืนฐานของเซลลของส่ิงมีชีวิต 2) อธบิ ายโครงสรางและสมบตั ิของเยื่อหมุ เซลล 3) อธิบายหนา ทขี่ องออรแ กเนลลตางๆ ภายในเซลล 4) เปรยี บเทยี บความแตกตา ง ระหวางเซลลพืชและเซลลสัตว 3.2 ดา นทกั ษะ/ กระบวนการ (P) 1) ใชเคร่ืองมอื ทางวทิ ยาศาสตร การใชก ลอ งจุลทรรศนอ ยา งถูกวิธี รูวธิ เี ก็บและรกั ษากลอ งจลุ ทรรศน 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝเรยี นรู 2) การรวมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟง ความคดิ เห็นของผอู ่นื และทํางานรว มกบั ผอู ื่นอยางสรา งสรรค 3) ตรงตอเวลาในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมและการเขาชัน้ เรียน 4) ตระหนักถงึ ความสาํ คญั ของการรกั ษาดุลพภาพและการดํารงชีวติ ของเซลล
4. สาระการเรยี นรู เยือ่ หุมเซลลมโี ครงสรา งเปน เยื่อหุม สองชั้น ท่ีมีลพิ ดิ เปน องคป ระกอบและมีโปรตีนแทรกอยู สารทลี่ ะลาย ไดในลิพดิ และสารทม่ี ีขนาดเลก็ สามารถแพรผา นเยือ่ หุมเซลลไ ดโดยตรง สว นสารขนาดเล็กท่ีมปี ระจตุ องลําเลยี ง ผานโปรตีนทแี่ ทรกอยูท ่ีเยือ่ หมุ เซลลซงึ่ มี2แบบ คือการแพรแ บบฟาซิลิเทต และแอกทีฟทรานสปอรตในกรณี สารขนาดใหญ เชนโปรตนี จะลําเลยี งเขา โดยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ และลาํ เลยี งออกโดยกระบวนการ เอกโซไซโทซสิ 5. สมรรถนะสาํ คัญของผเู รยี น/ทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21 และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค สมรรถนะสาํ คญั ของผูเรียน ทักษะแหงศตวรรษที่ 21 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 1. ความสามารถในการคิดอยางมีวิจารณญาณ - ทกั ษะการคิดวเิ คราะห - ทกั ษะการคิดสรา งสรรค 2. การสอ่ื สาร 3. ความสามารถในการแกป ญหา 4. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวติ 3. การทํางานรวมกัน - กระบวนการทาํ งานกลมุ 5. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี 4. การสรางสรรค คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค 5. ความเขาใจและใชเปนในดานเทคโนโลยสี ารสนเทศและการ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเรยี นรู สอ่ื สาร 3. มุงมั่นในการทาํ งาน 4. มจี ติ สาธารณะ 6. ความยืดหยุนและการปรับตัว 7. การมผี ลงานและความรบั ผิดชอบ 6. ภาระงาน/ชน้ิ งาน - แบบบันทึกเรือ่ ง โครงสรา งของเซลล - บนั ทึกการนาํ เสนอเรื่อง เซลลของสง่ิ มชี ีวติ - กิจกรรมปฏบิ ตั กิ าร การใชกลอ งจลุ ทรรศน 7. กิจกรรมการเรียนรู กจิ กรรมนาํ สูการเรยี น (คาบที่ 1-2) 1) ขน้ั สรา งความสนใจ (10 นาท)ี 1.1 ครูช้แี จงโครงสรา งรายวชิ า ตวั ชวี้ ดั และการประเมินผลรายวชิ าใหนกั เรยี นทราบ 1.2 ครใู หนกั เรียนทําแบบทดสอบกอ นเรยี น
1.3 ครใู ชค าํ ถามกระตนุ ความสนใจของนกั เรียน ดังนี้ 1) นกั เรยี นทราบหรอื ไมวา หนวยยอยพ้นื ฐานของส่ิงมีชวี ติ คอื อะไร (หนวยยอ ยพนื้ ฐานของสงิ่ มีชวี ิตคอื เซลล) 2) เพราะเหตใุ ดรา งกายของมนษุ ยจึงประกอบดวยเซลลจํานวนมาก ใหน กั เรียนระดมความคดิ แลว ตอบคําถาม (มนุษยเปนส่งิ มีชีวิตหลายเซลล ซง่ึ จะรวมกลุมกันทําหนาที่เฉพาะอยาง โดยรา งกายของสิ่งมชี ีวติ จาํ เปน ตองมี การกนิ อาหาร การหายใจ การขบั ถา ย ซึ่งกระบวนการตา งๆเหลาน้จี ะมีเซลลมาทาํ หนาท่รี วมกนั เพ่ือให กระบวนการตางๆ อยใู นสภาวะปกติ ทาํ ใหร า งกายมนุษยต องประกอบดวยเซลลจํานวนมาก เพื่อใหก าร ทํางานของรา งกายเปนปกติ) กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู 2) ข้ันสาํ รวจและคน หา (60 นาท)ี 2.1 ครูแบงนักเรียนเปน กลมุ ละ 4-5 คน 2.2 นกั เรียนแตละกลมุ รว มกนั สบื คนเกย่ี วกับเซลลซ ่ึงเปนหนว ยพนื้ ฐานทเี่ ล็กทส่ี ุดของสิ่งมชี ีวติ ทกุ ชนิดโดยท่ัวไป เซลลม ีขนาดเล็กไมส ามารถมองเหน็ ดว ยตาเปลา ตอ งอาศัยกลองจุลทรรศนป ระเภทตางๆ มาศึกษารูปรา ง ลักษณะของเซลล 2.3ใหน กั เรียนศึกษาโครงสรางพ้นื ฐานของเซลล ทั้งเซลลพ ืชและเซลลสตั วจากหนงั สือเรยี น และสื่อนาํ เสนอ Power Point สังเกตและเปรียบเทยี บความเหมือนและแตกตา งระหวา งเซลลท้ังสองชนิด 2.4ครูใหน กั เรยี นทํากิจกรรมเสนอแนะ - กจิ กรรม1.1 โครงสรางของเซลล ( เพ่ือใหนกั เรยี นสามารถสรุปเกยี่ วกบั โครงสรางและองคป ระกอบ พ้ืนฐานของเซลล) 3)ขัน้ อธบิ ายและลงขอ สรปุ (30 นาท)ี 3.1 นักเรียนแตล ะกลุมนาํ เสนอผลการสืบคน และศึกษาเกีย่ วกบั โครงสรา งและองคประกอบพ้ืนฐานของเซลล และเปรยี บเทียบความแตกตา งที่สังเกตเห็นระหวา งเซลลพ ชื กับเซลลส ัตว 3.2 นักเรียนแตล ะกลมุ ไดผ ลการสบื คนและผลการศกึ ษาเหมอื นหรือตา งกันอยา งไร เพราะเหตใุ ด 3.3 ครตู ง้ั คาํ ถามเพอ่ื นําสูการลงขอ สรปุ ดงั น้ี - นักเรียนบอกไดห รือไมว า เซลลพ ืชและเซลลสตั วเ หมอื นหรือแตกตา งกนั อยางไร (โครงสรางและออรแ กเนลลท ี่พบในเซลลพ ชื แตไมพ บในเซลลส ตั ว ไดแ ก ผนังเซลล และคลอโรพลาสต สว นโครงสรา งและออรแ กเนลลท พี่ บในเซลลสัตวแตไมพ บในเซลลพชื ไดแก เซนทริโอล ) 3.4 ครแู ละนกั เรียนรวมกนั อภิปรายถึงความสัมพันธข องรูปรางตอการทําหนา ที่ของเซลล พรอมยกตวั อยา งชนดิ ของเซลล 4) ขัน้ ขยายความรู (10 นาท)ี 4.1 ครใู หความรูเ พ่ิมเติมกบั นักเรยี นวาส่งิ มชี วี ิตอาจจาํ แนกไดเปน2 พวกคือโพรคารโิ อตและยูคารโิ อต โดยพิจารณาการมหี รอื ไมม ีเยอ่ื หมุ นวิ เคลียสเปน เกณฑ โดยเซลลของสง่ิ มีชีวติ ทีไ่ มมเี ยอ่ื หมุ นวิ เคลยี สเรยี กวา เซลลโ พรคาริโอต เชน เซลลของแบคทเี รยี สาหรายสีเขียวแกมนา้ํ เงิน สวนเซลลของสงิ่ มีชวี ติ ทม่ี เี ยื่อหุม นวิ เคลียสเรยี กวา เซลลย ูคาริโอต เชนเซลลของคน สตั ว พืช โพรติสต เปน ตน
5) ขั้นประเมนิ ผล (10 นาท)ี 5.1 ดา นความรู (K) ประเมนิ จาก 1. การทดสอบความรู 2. องคความรทู ี่นกั เรยี นสบื คน ขอมูลและจดบนั ทกึ 5.2 ดานทักษะกระบวนการ (P) ประเมนิ จาก 1. กระบวนการทาํ งาน 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การสอื่ สารสิ่งทเี่ รียนรู) 5.3 ดา นคุณลักษณะอนั พึงประสงค หรือจิตวทิ ยาศาสตร (A) ประเมินจาก 1. การคิดวพิ ากษวิจารณ การคดิ อยา งมเี หตมุ ผี ล การคดิ อยา งสรางสรรค 2. การทํางานรว มกบั ผูอน่ื 3. ความสนใจใฝรู ใฝหา 4. การแสดงออกถงึ ความคดิ เหน็ 5. ความรบั ผิดชอบ กจิ กรรมนาํ สกู ารเรยี น (คาบท่ี 3) 1) ขน้ั สรา งความสนใจ (5 นาท)ี 1.1 ต้ังประเดน็ คาํ ถามโดยใชภ าพถา ยจากกลอ งจลุ ทรรศนประเภทตา งๆ ตวั อยางเชน ภาพถา ยละอองเรณู จากกลอ งจุลทรรศนอ ิเลก็ ตรอนแบบสอ งกราด ภาพพารามเี ซยี มจากกลอ งจลุ ทรรศนแ บบใชแ สง ภาพ องคป ระกอบภายในเซลลจากกลอ งจุลทรรศนอ เิ ลก็ ตรอนแบบสองผา น ภาพสว นประกอบของแมลงจาก กลองสเตอรโิ อ กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู 2) ขน้ั สาํ รวจและคน หา (15 นาท)ี 2.1 จดั กลุมนกั เรียน 4-5 คน ศึกษาสว นประกอบตา งๆ ของกลองจุลทรรศนแบบใชแ สง 2.2 ฝกปฏิบตั วิ ธิ ีการใช การเก็บ การดูแลรกั ษากลอ งจลุ ทรรศน หรืออาจศกึ ษาควบคูกับการดูวดี ทิ ัศนเ รื่อง การใชกลอ งจุลทรรศน 3) ขัน้ อธิบายและลงขอ สรปุ (30 นาท)ี 3.1 ครูใหนกั เรียนทบทวนข้ันตอนปฏิบัติวธิ กี ารใชกลอ งจุลทรรศน 3.2 ครูควรใหน กั เรยี นไดตระหนกั ถงึ ขอ ควรระวงั ในการใชกลอ งจลุ ทรรศน ตลอดจนการเก็บรกั ษากลอ งจุลทรรศน เพราะเปน อุปกรณท ี่มีราคาแพงและอาจชํารดุ ไดงาย 4) ขัน้ ขยายความรู (5 นาท)ี 4.1 ครูและนักเรยี นรวมกันอภปิ รายเปรียบเทียบหลกั การทาํ งานของกลอ งจุลทรรศนแ บบใชแ สงและ กลอ งจุลทรรศนอิเล็กตรอน โดยเปรยี บเทยี บในประเดน็ ตางๆ ดังน้ี 1) สวนประกอบหลกั ของกลอง 2) ความสามารถในการขยายและการเหน็ รายละเอยี ดของภาพ 3) การเกดิ ภาพ
4.2 ครูสรปุ เรอื่ งประสทิ ธิภาพของกลอ งจุลทรรศนป ระเภทตา งๆ เพื่อใหน ักเรียนเขาใจมากขึ้นและใน ขณะเดยี วกันนกั เรยี นจะไดรูจกั หนว ยวัดขนาดดวย 5)ขนั้ ประเมนิ ผล (5 นาท)ี 5.1 ดา นความรู (K) ประเมนิ จาก 1. การทดสอบความรู (การฝก ปฏิบัตวิ ธิ กี ารใชกลอ งจลุ ทรรศนแบบใชแ สง) 2. องคความรทู ีน่ ักเรยี นสืบคนขอ มูล (จดบันทกึ ขอมลู ทไี่ ดจ ากการสบื คน) 5.2 ดานทักษะกระบวนการ (P) ประเมนิ จาก 1. ทักษะการนําเสนอผลงาน (การสอื่ สารสงิ่ ทเ่ี รียนร)ู 2. ทกั ษะการคดิ ตางๆ ทีส่ งั เกตจากการอภิปราย การแสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น 3. ทักษะการทํางานรวมกันในกลมุ 5.3 ดา นคุณลักษณะอันพึงประสงค หรอื จติ วทิ ยาศาสตร (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วิพากษวจิ ารณ การคิดอยางมีเหตุมผี ล การคิดอยา งสรางสรรค 2. การทาํ งานรวมกบั ผอู นื่ 3. ความสนใจใฝร ู ใฝห า 4. การแสดงออกถงึ ความคิดเหน็ 5. ความรับผดิ ชอบ 8.สื่อการเรียนรู/แหลง เรียนรู 8.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตรชีวภาพ (ฉบับปรับปรุง 60)ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 8.2 สอ่ื คลิปวีดีโอเก่ียวกับเซลล 8.3 ส่อื คลิปวีดีโอเกยี่ วกบั การใชก ลอ งจุลทรรศน 8.4 สื่อนําเสนอ Power Point เร่ืองโครงสรางและองคประกอบของเซลล 8.5ใบงาน เรอ่ื งการวเิ คราะหหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงทน่ี าํ มาใชใ นกระบวนการเรยี นรู 8.6ฐานขอมลู จาก internet/ คลงั สอ่ื DLIT 9. การวัดและประเมนิ ผล รายการวดั วธิ ีการ เครอ่ื งมือ เกณฑการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ 2 ผานเกณฑ 9.1 การประเมนิ ชิ้นงาน/ภาระ - ตรวจภาพแสดงโครงสรางและ - แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระ งาน องคป ระกอบของเซลลพชื และ งาน เซลลสัตว - ตรวจตารางเปรียบเทียบความ เหมือนและตา งระหวางเซลลพ ืช และเซลลสัตว
9.2 การประเมินกอนเรยี น ตรวจแบบทดสอบกอ นเรยี น แบบทดสอบกอ นเรยี น ประเมินตามสภาพจรงิ - แบบทดสอบกอ นเรยี นเรอ่ื ง องคประกอบของสงิ่ มชี วี ิต ตรวจแบบฝกหดั แบบฝก หัด รอ ยละ 60 ผา นเกณฑ 9.3 ประเมินระหวา งการจดั กจิ กรรมการเรียนร ประเมินการนําเสนอ ผลงานทน่ี าํ เสนอ ระดับคณุ ภาพ 2 ผา นเกณฑ 1) สวนประกอบของเซลลพ ชื ประเมนิ ปฏิบตั กิ าร แบบประเมินการปฏบิ ตั ิการ ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ และเซลลสัตว สังเกตพฤติกรรมการทาํ งาน แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ 2) การนาํ เสนอผลงาน รายบุคคล ทาํ งานรายบคุ คล 3) การปฏบิ ัตกิ าร สังเกตพฤตกิ รรมการท างาน แบบสังเกตพฤติกรรมการ ระดับคณุ ภาพ 2 ผา นเกณฑ 4) พฤติกรรมการทํางาน รายกลมุ ทาํ งานรายกลุม รายบุคคล สังเกตความมวี นิ ยั ใฝเ รยี นรู แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ระดับคณุ ภาพ 2 ผานเกณฑ 5) พฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม และมงุ มน่ั ในการทาํ งาน ประสงค 6) คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค 10. การใชหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสูการจดั การเรียนรู 10.1ผสู อนนาํ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู ดังนี้ ความรูทค่ี รูตองมีกอนสอน คุณธรรมของครูที่ใชในการจดั กิจกรรมการเรียนรู - เทคนิคการสอน รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู - มีความรับผิดชอบในการปฏบิ ัติหนา ที่สอน เขา สอนตรงเวลา ปฏบิ ตั ิ - สาระการเรยี นรูต ามตัวชวี้ ัดทีก่ าํ หนดไวต ามผลการเรียนรู หนาทีส่ อนเตม็ เวลา เตรยี มการสอนและใบความร/ู ใบงานประกอบการ และมาตรฐาน ว1.1, ว.1.2 และ ว.1.3 สอนลว งหนา - การวดั ผลประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ - มคี วามเมตตา ใหค วามเสมอภาค และยุตธิ รรมกบั นักเรียนทุกคน - หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและการบรู ณาการหลกั - มีความอดทน เสียสละ ใฝรู ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งกับการจัดการเรยี นรู ประเด็น พอประมาณ มเี หตุผล มีภมู คิ มุ กันในตวั ที่ดี เน้ือหา เน้ือหา เหมาะสมกับเวลาทก่ี ําหนด ตอ งการใหผ เู รียน เขา ใจหนา ที่ - จดั เรียงเนอ้ื หาและวิธีการทํา เวลา และวัยของผเู รยี น โครงสรางพื้นฐานของเซลล ตามลาํ ดบั ขนั้ ตอน ของสิง่ มีชวี ิต - กําหนดเน้อื หาสาระตามผลการ - เพือ่ ใหก ิจกรรมการเรยี นการ - มกี ารเผือ่ เวลาในการทาํ เรยี นรู และตวั ชี้วัด ว1.1, ว.1.2 และ สอนบรรลตุ ามผลการเรยี นรู กิจกรรมแตล ะขนั้ เพื่อใหนักเรียน ว.1.3 ใหเหมาะสมกบั เวลาเรียน และตวั ช้ีวัดไดต ามเวลาท่ี ที่มคี วามสามารถตางกนั สามารถ - ออกแบบกิจกรรมการเรียนรโู ดยใช กําหนด ทํางานไดเสรจ็ ทนั ตามเวลา
กระบวนการกลมุ เพือ่ ใหนกั เรยี น สามารถทํากจิ กรรมบรรลุ วตั ถุประสงคไ ดท ันตามเวลา การจดั - มีการกาํ หนดเน้ือหาสาระตาม - เปนการจดั การเรียนรูเพอ่ื ให - กอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู กจิ กรรม ตัวชีว้ ัดและครอบคลมุ บรรลุตามมาตรฐานตวั ชีว้ ดั ผูส อนวางแผนการจดั กจิ กรรม สื่อ/ อปุ กรณ - จัดกจิ กรรมการเรยี นรูโดย ของหลกั สตู รแกนกลาง การเรยี นรชู ดั เจนและเปนลาํ ดับ แหลง กระบวนการกลุมเพือ่ ใหเ หมาะสม การศึกษาข้ันพื้นฐาน ฉบับ ข้ันตอน เรียนรู กับวัยของผูเรยี นซึง่ อยใู นระดบั ช้นั ปรบั ปรงุ พุทธศกั ราช 2560 - มีการตรวจสอบและทบทวน ประเมินผล ม.4 มาตรฐานตวั ชีว้ ัด ว1.1, ว.1.2 เน้ือหาและกิจกรรมการเรยี นรู - จัดกิจกรรมการเรยี นรูโดยการ และ ว.1.3 กอ นการจดั กจิ กรรม สืบคน การอภิปรายและการ - จัดการเรยี นรูเพ่อื เสรมิ สราง - มีการวัดและประเมนิ ผลตาม นาํ เสนอเพอ่ื เสรมิ สรางการคิด คุณลกั ษณะอยอู ยางพอเพียง สภาพจรงิ เพอื่ ตรวจสอบความ วิเคราะห ใหก ับผูเรยี น สอดคลอ งและบรรลตุ ัวชี้วัดของ - มีการเช่ือมโยงความคิดให - จดั การเรยี นรูเพ่อื พฒั นาการ ผลการเรียนรทู ่เี กดิ ขน้ึ เหมาะสมกับผเู รียน คดิ วิเคราะหของผเู รียน - จดั เตรยี มและใชสื่อในการจัด - เพ่ือใชเปนเครือ่ งมอื ในการ - มสี ่ือการสอนเพยี งพอและมี กจิ กรรมการเรยี นรเู หมาะสมกบั จดั กิจกรรมการเรียนรใู หบรรลุ สํารองในกรณีทจี่ าํ เปน ตอ งใชเพม่ิ จาํ นวนกลุมนักเรียน โดยใหมีจํานวน ตามผลการเรยี นรูและตวั ชีว้ ัด - ใชส ือ่ ท่ีมอี ยางคุมคา มากกวา จํานวนนักเรยี นอยา งนอย 1 ทีก่ ําหนดไว เพื่อให ชดุ และใชก ระดาษรไี ซเคิลในการทํา กระบวนการจัดการเรียนรเู กิด ใบความรูแ ละใบงานเนนการจด ความสะดวก รวดเรว็ ผเู รยี น บนั ทึกในสมุด สามารถเรยี นรูไดอ ยางมี ประสิทธภิ าพ - กาํ หนดเนอื้ หาสาระและกจิ กรรม - เพอ่ื ใหก จิ กรรมการเรยี นการ - มีการสาํ รวจทอ งถน่ิ กอนทจ่ี ะ การเรียนรเู หมาะสมกบั แหลง เรียนรู สอนสอดคลองกบั ปญ หา นํามาจดั กจิ กรรมการเรยี นรู ในทอ งถิน่ สง่ิ แวดลอ มและ - เลือกใชแ หลง เรยี นรูในทองถ่นิ ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นทองถ่นิ เหมาะสมกบั ผเู รยี น ของนกั เรียนเอง ทําใหส ามารถ เชื่อมโยงความรูท ี่ไดรับจาก ทอ งถน่ิ ของตนเองไดอ ยา งมี ประสทิ ธิภาพ จัดทาํ แบบประเมนิ ผลงานและ ประเมินผลการเรยี นรูตาม -วางแผนการวดั ประเมนิ ผลตาม ประเมนิ พฤตกิ รรมไดเ หมาะสมกับ เปา หมายท่กี าํ หนด ขนั้ ตอนของกิจกรรม เปาหมายการเรียนรู -แบบประเมินผลมกี ารตรวจสอบ ความถกู ตองตรงตามเน้ือหา
10.2 ผเู รียนจะไดฝ กคิดและฝกปฏบิ ตั ิตามหลกั ปศพพ. ดงั น้ี ความรู คณุ ธรรม - นักเรียนมคี วามรคู วามเขา ใจเก่ียวกบั ลกั ษณะและหนา ท่ีของ - ความรบั ผดิ ชอบ - ความอดทน โครงสรางพน้ื ฐานของสง่ิ มีชวี ิต - ความเออ้ื เฟอ เผอ่ื แผ - ความสามัคคี พอประมาณ มเี หตุผล มีภมู ิคุมกันในตวั ท่ีดี - นกั เรยี นแตละกลุมแบง หนา ท่ใี นกลุม - นกั เรยี นสามารถอธิบายลกั ษณะและ - นกั เรยี นมกี ารวางแผนการทํางานอยาง เหมาะสมกับจํานวนสมาชิก หนา ท่ีของโครงสรางพ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวิต รอบคอบดวยความสามัคคจี นทําใหง าน - นกั เรยี นสามารถบรหิ ารจัดการเวลาใน ได สาํ เร็จ การทาํ กจิ กรรมไดสาํ เร็จลุลว งตาม - นักเรียนใชเ คร่ืองมือและอุปกรณทาง วตั ถุประสงค วิทยาศาสตรอยา งถกู ตอ ง 10.3 ผูเรยี นจะไดเรยี นรูการใชช ีวติ ท่ีสมดลุ และพรอมรบั การเปลย่ี นแปลง 4 มติ ติ ามหลกั ปศพพ. ดงั น้ี ดา น สมดลุ และพรอ มรับการเปล่ยี นแปลงในดา นตาง ๆ องคป ระกอบ ความรู (K) ดา นวตั ถุ ดา นสงั คม ดา นส่ิงแวดลอม ดานวัฒนธรรม ทกั ษะ (P) - นักเรียนมคี วามรคู วาม - นกั เรยี นมคี วามรู - นกั เรยี นมคี วามรูเกีย่ วกับ คา นยิ ม (A) เขา ใจเกี่ยวกับลักษณะ เก่ียวกับการทาํ งาน ภูมิปญญาทองถน่ิ เพอ่ื และหนา ทขี่ องโครงสรา ง ระบบกลมุ แกป ญ หาและดแู ล พืน้ ฐานของสงิ่ มชี ีวิต - นกั เรียนมีความรู ส่งิ แวดลอ มและพันธุสตั วหา เกี่ยวกบั การวาง ยาก แผนการทํางานรวมกบั ผูอื่น - นักเรยี นมคี วามสามารถ - นักเรียนสามารถ - นักเรียนมีความสามารถ ในการฝกปฏิบัติวิธีการใช ทํางานรวมกับผูอ น่ื ใน ในการเลือกใชภ ูมปิ ญ ญา กลองจุลทรรศน รวมถึง รูปแบบของ เพอ่ื แกป ญหาและดแู ล การดแู ล เกบ็ รักษากลอง กระบวนการกลมุ ปญหาสิ่งแวดลอมใน จลุ ทรรศนไ ดอยา งถกู ตอง - นักเรยี นมที ักษะในการ ทอ งถน่ิ ได สรางปฏสิ มั พนั ธก ับผูอน่ื - นกั เรียนเกิดความ - นกั เรยี นเห็น ตระหนกั ถึงความสัมพนั ธ ความสาํ คญั ของการตรง ของเซลลแตละชนดิ ซง่ึ ตอ เวลา และการทาํ งาน เปน โครงสรางพ้นื ฐานของ รว มกบั ผูอืน่ ในระบบ สิง่ มีชีวิต กลุม
ขอ เสนอแนะของผบู ริหารสถานศกึ ษา ไดทาํ การตรวจแผนการจัดการเรยี นรูของ นางภัสสรา เชีย่ วพงศธร แลว มีความเห็นดงั นี้ 1. เปนแผนการจัดการเรยี นท่ี ดมี าก ดี พอใช ควรปรบั ปรงุ 2. การจัดกจิ กรรมไดน าํ เอากระบวนการเรียนรู ท่ีเนนผเู รียนเปน สาํ คัญมาใชในการสอนไดอยา งเหมาะสม ยงั ไมเ นนผเู รยี นเปนสาํ คัญ ควรพฒั นาปรับปรงุ 3. เปน แผนการสอนท่ี นาํ ไปใชไ ดจ ริง ควรปรับปรงุ กอ นนาํ ไปใช 4.ขอ เสนอแนะอน่ื ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผูอาํ นวยการโรงเรยี นสาคลีวิทยา
บนั ทกึ หลงั การสอน แผนที่ 1 ผลการจัดการเรียนการสอน(ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทกุ คน มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายลกั ษณะ และหนา้ ทโ่ี ครงสร้างพ้ืนฐานของเซลลข์ องสิ่งมชี ีวติ โครงสร้างและสมบตั ิของเยอื่ หุ้มเซลลหนา้ ที่ของออร์แกเนลลต์ ่างๆ ภายในเซลล์ และเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างเซลลพ์ ืชและเซลล์ สตั วไ์ ด้ นกั เรียน ม. 4/2 จาํ นวน 20 น มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายลกั ษณะ และหนา้ ทโ่ี ครงสร้างพ้ืนฐานของเซลลข์ องสิ่งมชี ีวติ โครงสร้างและสมบตั ิของเยอื่ หุ้มเซลลหนา้ ที่ของออร์แกเนลลต์ ่างๆ ภายในเซลล์ และเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างเซลลพ์ ืชและเซลล์ สตั ว์ ได้ ส่วนอีก 9 คน ครูอธิบายเพิม่ เติมจึงผา่ นกิจกรรม ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คนใชเ้ คร่ืองมอื ทางวิทยาศาสตร์ การใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนอ์ ยา่ งถูกวธิ ี รู้วธิ ีเกบ็ และรักษา กลอ้ งจุลทรรศน์ ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน มคี วามใฝ่ เรียนรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน และ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรคต์ รงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน ปัญหา / อุปสรรค เนื่องจากสถานะการณ์ COVID-19 ไดจ้ ดั การเรียนการสอนออนไลน์ มนี กั เรียน 3 คน ยงั ไม่มารับหนงั สือเรียน บางคนบอกไม่มีเน็ตให้เพื่อนช่วยลาให้ สญั ญาณเน็ตสะดุด บางคนไมม่ โี ทรศพั ทต์ อ้ งใชข้ องผปู้ กครอง แนวทางแก้ไข นกั เรียนทเ่ี ขา้ เรียนออนไลน์ไม่ได้ กใ็ หต้ ิดตามทาํ งานส่งให้ครบ ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) .............../.........................../............... ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ……………………………………………………………………………………………………....................................................…. …… ……………………………………………………………………………............................................................................. ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............
ใบงานที.่ .. เร่ือง การวเิ คราะหห ลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงที่น ามาใชใ นกระบวนการเรียนรู ช่อื กลมุ …...............................…………………..ช้ัน…………… คาํ ชีแ้ จง นักเรยี นแตละกลมุ ดําเนนิ การวิเคราะหหลกั คิดและหลักปฏิบัติตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ทน่ี ํามาใชใ นกระบวนการเรยี นรู โดยใชค าํ ถามทีก่ าํ หนดใหแ ลวนําผลการอภปิ รายในกลุม มาตอบใน ชอ งวา งที่กาํ หนดใหใ นแตละขอตอ ไปน้ี 1. นกั เรยี นภายในกลมุ มีการวางแผนการทาํ งานอยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ทําไมนักเรยี นจงึ ตอ งดําเนนิ การตามขัน้ ตอนทีว่ างแผนไว …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การกําหนดหนา ทีข่ องสมาชกิ ภายในกลุม ตอ งคาํ นึงถงึ ความเหมาะสมตามศักยภาพของสมาชกิ ในกลุมไดอยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การนําความรไู ปประยุกตใ ชเก่ียวกบั การรับรูและการตอบสนองสง ผลตอ การดาํ รงชีวิตของสิง่ มีชวี ติ ใชความรูอ ะไรบา ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การทน่ี กั เรยี นรว มมอื กนั ในการศกึ ษาและจาํ แนกเกีย่ วกบั การรับรแู ละการตอบสนองอนั สง ผลตอ การแสดง พฤติกรรมสัตว ตอ งใชคุณธรรมอะไรบา งหรือเกดิ คณุ ธรรมกับนกั เรียนอยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ความรทู ีไ่ ดเก่ยี วกับการรับรูและการตอบสนองของส่ิงมชี วี ิต เก่ียวขอ งกับหลัก 3 หว ง 2 เงอ่ื นไขอยา งไรบา ง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบทดสอบกอนเรียน-หลงั เรียน เรอื่ ง เซลลของสงิ่ มชี วี ิต จงเลือกคําตอบทถ่ี ูกตอ งทส่ี ุดเพียงคําตอบเดียว 1. ขอ ใดคอื ความหมายของเซลล ก. องคป ระกอบของสง่ิ มชี วี ติ ข. หนว ยท่เี ลก็ ท่สี ุดของสิง่ มีชวี ิต ค. โครงสรางพื้นฐานของส่ิงมชี ีวติ ง. โครงสรา งขนาดเล็กของสิ่งมีชวี ติ 1. ขอ ก และ ข 2. ขอ ก และ ค 3. ขอ ข และ ค 4. ขอ ก ข และ ค 5. ขอ ก ค และ ง 2. ออรแกเนลลใดไมพ บในเซลลพ ชื 1. ไรโบโซม 2. เซนทรโิ อล 3. คลอโรพลาสต 4. ไมโทคอนเดรยี 5. กอลจคิ อมเพล็กซ 3.โครงสรา งใดไมพบในเยื่อหุมเซลล 1. ลพิ ดิ 2. โปรตนี 3. เซลลโู ลส 4. ไกลโคโปรตนี 5. ไกลโคลพิ ดิ 4. เยอ่ื หุมเซลลมคี วามสาํ คญั ตอสิ่งมชี ีวติ อยา งไร 2. ชวยใหเ ซลลมรี ูปรางเหล่ยี ม 1. ชวยใหเซลลคงรูปอยูได 4. เปน แหลง สะสมสารประเภทลพิ ดิ และโปรตนี 3. ชวยสรา งความแข็งแรงใหแกเซลล 5. ควบคมุ การเขา -ออกของสารระหวา งเซลล 5. ออรแกเนลลในขอ ใดมีความสาํ คัญในการลําเลยี งสารออกนอกเซลล 1. ไรโบโซมและไลโซโซม 2. แวควิ โอลกบั คลอโรพลาสต 3. แวควิ โอลกบั ไมโทคอนเดรยี 4. คลอโรพลาสตก บั ไมโทคอนเดรยี 5. กอลจิตอมเพลก็ ซกับเอนโดพลาสมกิ เรติคูลัม
6. ขอ ใดเปน การแพรท ส่ี ามารถพบไดใ นชวี ติ ประจาํ วนั ก. การฉดี สารฆา แมลงในนาขา ว ข. การดดู นาํ้ และแรธ าตขุ องรากพชื ค. การใชลูกเหม็นดบั กลนิ่ ในตูเ ส้ือผา ง. การฉดี น าหอมปรบั อากาศในหอ งนอน 1. ขอ ก และ ข 2. ขอ ก และ ค 3. ขอ ค และ ง 4. ขอ ข ค และ ง 5. ขอ ก ค และ ง 7. ขอ ใดกลา วถกู ตอ งเกย่ี วกบั การแพรแ บบฟาซลิ เิ ทต 1. อาศยั พลงั งานในการลาํ เลยี งสาร 2. การเคลอื่ นทข่ี องอนภุ าคผา นลพิ ิดบนเยื่อหุมเซลล 3. มีความเร็วในการลําเลียงสารเร็วกวาการแพรแบบธรรมดา 4.การเคล่ือนท่ขี องสารจากบรเิ วณที่มคี วามเขมขนต าไปยังบรเิ วณท่มี คี วามเขมขน สงู 5. ชอ งโปรตีนที่ทําหนา ที่ลําเลยี งไมสามารถเปล่ียนรูปได จึงมีความจําเพาะในการลําเลยี งสงู 8.ออรแ กเนลลใ ดมบี ทบาทส าคญั ตอ การล าเลยี งสารแบบแอกทฟี ทรานสปอรต 1. เยื่อหมุ เซลล 2. เซนทรโิ อล 3. คลอโรพลาสต 4. ไมโทคอนเดรยี 5. กอลจิคอมเพลก็ ซ 9. สารใดจะลาํ เลยี งเขา สเู ซลลโ ดยบรรจใุ นถงุ เวสเิ คลิ 1. นาํ้ ตาลกลโู คส 2. แกส ออกซเิ จน 3. คารโ บไฮเดรต 4. โซเดยี มไอออน 5. โพแทสเซียมไอออน 10. การลาํ เลียงสารแบบใดไมผานเยอ่ื หมุ เซลล 1. การแพร 2. แอกทฟี ทรานสปอรต 3. การแพรแ บบฟาซลิ เิ ทต 4. การลาํ เลยี งแบบใชพ ลงั งาน 5. การลาํ เลยี งสารขนาดใหญ ........................................................................................................................................................
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค คาํ ชีแ้ จง : ให ผูส อน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา งเรียนและนอกเวลาเรยี น แลว ขดี ลงในชองท่ีตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน อันพงึ ประสงคด าน 4321 1. มีวินัย รบั ผิดชอบ 1.ปฏิบัติตามขอ ตกลง กฎเกณฑ ระเบียบ ขอ บังคบั ของครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม ไมล ะเมดิ สทิ ธิของผูอืน่ ตรงตอเวลาในการปฏิบตั ิ กิจกรรมตา งๆ ในชีวิตประจาํ วนั และรับผดิ ชอบในการทาํ งาน 2. ใฝเรียนรู 2.1 แสวงหาขอ มลู จากแหลงการเรยี นรูตา งๆ 2.2 มีการจดบนั ทึกความรูอ ยางเปน ระบบ 2.3 สรปุ ความรูไดอยางมเี หตุผล 3. อยอู ยา งพอเพยี ง 3.1 ใชท รัพยสนิ ของตนเอง เชน สง่ิ ของ เครือ่ งใช ฯลฯ อยาง (ประหยัด) ประหยดั คุมคา และเกบ็ รักษาดแู ลอยา งดี และใชเวลาอยางเหมาะสม 3.2 ใชทรัพยากรสวนรวมอยา งประหยัด คมุ คา /เกบ็ รกั ษาดูแลอยาง ดี 3.3 ปฏิบตั ติ นและตัดสนิ ใจดว ยความรอบคอบ มเี หตุผล 3.4 ไมเอาเปรียบผูอ ืน่ และไมท ําใหผ อู นื่ เดอื ดรอน พรอมใหอภยั เมือ่ ผอู นื่ กระทําผดิ พลาด 3.5 วางแผนการเรียน การทาํ งานและการใชชวี ติ ประจาํ วันบน พืน้ ฐานของความรู ขอมลู ขา วสาร 3.6 รเู ทา ทันการเปล่ียนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดลอ ม ยอมรับ และปรับตัว อยรู ว มกบั ผอู ่นื ไดอ ยางมคี วามสุข 4. มุงม่นั ในการทํางาน 4.1 มคี วามตัง้ ใจและพยายามในการทาํ งานทไ่ี ดร บั มอบหมาย 4.2 มีความอดทนและไมทอ แทตออปุ สรรคเพอื่ ใหงานสําเร็จ ลงช่อื ...................................................ผูประเมิน ............../.................../................
เกณฑก ารใหค ะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา งสมํ่าเสมอ ให 4 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบอยครงั้ ให 3 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ ยคร้ัง ให 1 คะแนน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เซลล์กับการักษาดุลยภาพ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เรื่อง การลําเลียงสารผ่านเข้า - ออกเซลล์ เวลา 3 คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด เซลลจ์ าํ เป็นตอ้ งไดร้ บั สารต่างๆ เช่น น้าํ อาหาร และแก๊ส เขา้ สู่เซลล์ กาํ จดั สารหรือของเสียต่างๆ ออกจาก เซลลเ์ พอ่ื รกั ษาดุลยภาพ และการดาํ รงชีวติ ของเซลล์ โดยเซลลอ์ าศยั การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ – ออกเซลลซ์ ่ึงมี หลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ การแพร่ การแพร่แบบฟาซิลิเทต ออสโมซิส การลาํ เลียงสารแบบใชพ้ ลงั งาน การ ลาํ เลียงสารขนาดใหญ่ (เอนโดไซโทซิส เอกโทไซโทซิส) ซ่ึงจะมีรูปแบบและกลไกท่แี ตกตา่ งกนั 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว1.2 :เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาํ เลียงสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบตา่ งๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องอวยั วะต่างๆ ของพชื ทท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั รวมท้งั นาํ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ม.4/1อธิบายโครสร้างและสมบตั ขิ องเยอ่ื หุม้ เซลลท์ ่ีสมั พนั ธก์ บั การลาํ เลียงสาร และเปรียบเทยี บการ ลาํ เลียงสารผา่ นเยอ่ื หุม้ เซลลแ์ บบตา่ งๆ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้เพอ่ื ใหน้ กั เรียนสามารถ 3.1ด้านความรู้(K) 1)อธิบายหลกั การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ ออกเซลลร์ ูปแบบตา่ งๆ 2) เปรียบเทยี บการลาํ เลียงสารแบบการแพร่ และการแพร่แบบฟาซิลิเทต 3)เปรียบเทียบการลาํ เลียงสารการแพร่แบบฟาซิลิเทต กบั การลาํ เลียงโดยอาศยั พลงั งาน 4) เปรียบเทียบการลาํ เลียงสารขนาดใหญ่กบั การลาํ เลียงสารขนาดเลก็ รูปแบบต่างๆ 3.2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) 1) เขียนลาํ ดบั ข้นั การลาํ เลียงสารขนาดใหญเ่ ขา้ -ออกเซลลไ์ ด้ 2) เตรียมสไลดศ์ กึ ษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน 4) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการลาํ เลียงสารเขา้ -ออกเซลล์ และการดาํ รงชีวติ ของเซลล์
4. สาระการเรียนรู้ เยอ่ื หุม้ เซลลม์ ีโครงสรา้ งเป็นเยอื่ หุม้ สองช้นั ทมี่ ีลิพดิ เป็ นองคป์ ระกอบและมีโปรตีนแทรกอยู่ สารท่ลี ะลาย ไดใ้ นลิพดิ และสารท่ีมีขนาดเล็กสามารถแพร่ผา่ นเยอื่ หุม้ เซลลไ์ ดโ้ ดยตรง ส่วนสารขนาดเล็กทมี่ ีประจุตอ้ งลาํ เลียง ผา่ นโปรตีนทีแ่ ทรกอยทู่ เี่ ยอื่ หุม้ เซลลซ์ ่ึงมี2แบบ คอื การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทฟี ทรานสปอร์ตในกรณี สารขนาดใหญ่ เช่นโปรตนี จะลาํ เลียงเขา้ โดยกระบวนการเอนโดไซโทซิส และลาํ เลียงออกโดยกระบวนการ เอกโซไซโทซิส 5. สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน/ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ 2. ความสามารถในการคิด 2. การสื่อสาร - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 3. การทาํ งานร่วมกนั - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 4. การสรา้ งสรรค์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5. ความเขา้ ใจและใชเ้ ป็ นในดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ และการส่ือสาร - กระบวนการทาํ งานกลุ่ม 6. ความยดื หยนุ่ และการปรบั ตวั 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. การมีผลงานและความรบั ผดิ ชอบ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทาํ งาน 4. มีจติ สาธารณะ 6. ภาระงาน/ชิ้นงาน - แบบบนั ทึกเรื่อง การลาํ เลียงสารเขา้ -ออกเซลล์ - ผงั มโนทศั นเ์ ร่ือง การลาํ เลียงสารเขา้ –ออกเซลล์ - กิจกรรมปฏิบตั ิการ ศกึ ษาการลาํ เลียงสารในเซลลพ์ ชื
7. กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมนําสู่การเรียน (คาบท่ี 1-2) 1) ข้นั สร้างความสนใจ (5นาที) 1.1 ครูยกตวั อยา่ งสถานการณ์ในชีวติ ประจาํ วนั เช่น แม่คา้ ผกั จะใชน้ ้าํ พรมและใชผ้ า้ ขาวบางคลุมผกั ไวเ้ พ่อื ไม่ใหผ้ กั เห่ียว หรืออาจต้งั คาํ ถามกบั นกั เรียน ดงั น้ี 1) ทาํ ไมตอ้ งแช่ดอกไมส้ ดในแจกนั ทม่ี ีน้าํ 2) น้าํ เข้าํ สู่เซลลข์ องพชื ไดอ้ ยา่ งไร 3) น้าํ มีความสาํ คญั อยา่ งไรตอ่ เซลลข์ องสิ่งมีชีวติ กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ข้นั สํารวจและค้นหา (55นาที) 2.1 ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4-5 คน 2.2 ครูใหน้ กั เรียนทาํ กิจกรรม เพอ่ื ศกึ ษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื 2.3ในการทาํ กิจกรรมครูตอ้ งเตรียมสารละลายกลูโคสความเขม้ ขน้ 10% ไวล้ ่วงหนา้ พรอ้ มนดั หมายนกั เรียน ใหเ้ ตรียมเน้ือเยอ่ื พชื เช่น หวั หอม ใบว่านกาบหอย หรือหวั ใจสีม่วง 2.4ก่อนทาํ กิจกรรมครูทบทวนการใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนแ์ ละสาธิตวธิ ีการลอกเยอื่ หอม หรือเน้ือเยอื่ พชื 2.5 ครูแนะนาํ การสงั เกตเซลลพ์ ชื วา่ มีกรลาํ เลียงสารเกิดข้นึ หรือไม่ โดยใหน้ กั เรียนสงั เกตทเ่ี ยอ่ื หุม้ เซลลข์ องเซลล์ เยอื่ หอมในสภาวะปกติเมื่ออยใู่ นน้าํ ก่อนทาํ การทดลอง เพอื่ เปรียบเทยี บกบั เซลลเ์ ยอื่ หอมเมื่ออยใู่ นสภาวะท่มี ี กลูโคสแทนท่ีน้าํ 3)ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (30 นาที) 3.1 ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มนาํ เสนอผลการสืบคน้ และร่วมกนั อภิปรายผลการทดลองตามประเดน็ ตา่ งๆ ดงั น้ี 1) ก่อนการทดลองลกั ษณะของเซลลเ์ มื่ออยใู่ นน้าํ เป็ นอยา่ งไร (เซลลท์ อ่ี ยใู่ นน้าํ จะอยใู่ นสภาพเซลลเ์ ตง่ เยอ่ื หุม้ เซลลแ์ ละผนงั เซลลอ์ ยใู่ นสภาพปกติ ) 2) ลกั ษณะของเซลลท์ อี่ ยใู่ นสารละลายกลูโคส กบั เซลลท์ อ่ี ยใู่ นน้าํ เหมือนหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร (ลกั ษณะของเซลลท์ ่อี ยใู่ นสารละลายกลูโคสตา่ งจากเซลลท์ อ่ี ยนู่ ้าํ คือเยอ่ื หุม้ เซลลจ์ ะอยหู่ ่างจากผนงั เซลล์ แสดงวา่ เซลลเ์ ริ่มเห่ียวลง ) 3) นกั เรียนจะอธิบายการเปล่ียนแปลงของเซลลใ์ นกิจกรรมน้ี อยา่ งไร(เม่ือเซลลอ์ ยใู่ นน้าํ ความเขม้ ขน้ ของ สารละลายนอกเซลลน์ อ้ ยกวา่ ภายในเซลล์ โมเลกุลของน้าํ จากภายนอกเซลลจ์ ะออสโมซิสเขา้ สู่เซลลท์ าํ ให้ เซลลเ์ ตง่ ในทางตรงกนั ขา้ มเม่ือเซลลอ์ ยใู่ นสารละลายกลูโคสความเขม้ ขน้ ของสารละลายภายนอกเซลล์ เขม้ ขน้ กวา่ ภายในเซลลท์ าํ ใหน้ ้าํ จากภายในเซลลอ์ อสโมซิสออกสู่ภายนอกเซลลจ์ งึ เห่ียว )
4) ข้ันขยายความรู้ (20 นาที) 4.1 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาการเปล่ียนแปลงรูปร่างของเซลลเ์ มด็ เลือดแดงในสารละลายชนิดตา่ งๆ และถามคาํ ถาม ดงั น้ี 1) เซลลเ์ มด็ เลือดแดงท้งั 3 ภาพมีรูปร่างอยา่ งไร 2) ทิศทางการเคล่ือนท่ีเขา้ และออกของน้าํ เป็ นอยา่ งไร 3) จากท้งั 3 กรณี นกั เรียนคดิ วา่ ความเขม้ ขน้ ของสารละลายท่ีอยภู่ ายนอกของเซลลม์ ีคา่ เหมือนหรือต่างจาก สารละลายภายในเซลลอ์ ยา่ งไร 4.2 ครูเพมิ่ เตมิ วา่ - สารละลายท่ีมีความเขม้ ขน้ เท่ากบั สารละลายภายในเซลล์ เรียกวา่ สารละลายไอโซโทนิก (เซลลป์ กติ) - สารละลายที่มีความเขม้ ขน้ มากกวา่ สารละลายภายในเซลล์ เรียกว่า สารละลายไฮเพอร์โทนิก (เซลลเ์ ห่ียว) - สารละลายท่ีมีความเขม้ ขน้ นอ้ ยกวา่ สารละลายภายในเซลล์ เรียกวา่ํ สารละลายไฮโพโทนิก (เซลลเ์ ต่ง) -การเคล่ือนที่ของน้าํ ผา่ นเยอ่ื หุม้ เซลล์ โดยทีเ่ ซลลม์ ีการเปล่ียนแปลงสภาพเมื่ออยใู่ นสารละลายประเภทตา่ งๆ เราเรียกการเคล่ือนทข่ี องน้าํ วา่ การแพร่แบบออสโมซิส 5)ข้ันประเมนิ ผล (10 นาที) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ 2. องคค์ วามรูท้ ่นี กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทกึ 5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน(การเตรียมสไลดเ์ พอ่ื ศกึ ษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื ) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การสื่อสารสิ่งทีเ่ รียนรู)้ 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 4. การแสดงออกถึงความคดิ เห็น 5. ความรับผดิ ชอบ กิจกรรมนําสู่การเรียน (คาบท่ี 3) 1) ข้นั สร้างความสนใจ (5 นาที) 1.1จากผลการทาํ กิจกรรมการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื โดยศกึ ษาการเปล่ียนแปลงสภาพของเซลลเ์ ม่ืออยใู่ น สารละลายทมี่ ีความเขม้ ขน้ ตา่ งกนั นกั เรียนทราบหรือไม่วา่ เซลลม์ ีการลาํ เลียงสารเขา้ -ออกจากเซลลไ์ ดอ้ ยา่ งไร
1.2ครูสาธิตโดยใชเ้ กลด็ ด่างทบั ทมิ ลงในบกี เกอร์ทม่ี ีน้าํ ใหน้ กั เรียนสงั เกตการณ์เปลี่ยนแปลงพรอ้ มถามคาํ ถาม ดงั น้ี 1) การแพร่มีทศิ ทางการเคล่ือนทข่ี องสารอยา่ งไร 2) สารทแ่ี พร่มีสถานะใดไดบ้ า้ ง 3) การแพร่จาํ เป็นตอ้ งผา่ นเยอื่ หุม้ เซลลห์ รือไม่ 4) เม่ือถึงจดุ สมดุลของการแพร่แลว้ สารท่ีแพร่จะหยดุ การเคล่ือนท่ีหรือไม่ กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ข้นั สํารวจและค้นหา (30นาที) 2.1 จดั กลุ่มนกั เรียน 4-5 คน ศกึ ษาเกี่ยวกบั การลาํ เลียงสารแบบต่างๆ 2.2 ใหน้ กั เรียนสงั เกตความแตกตา่ งระหวา่ งการแพร่แบบธรรมดากบั การแพร่แบบฟาซิลิเทต โดยอาจต้งั คาํ ถาม เพมิ่ เตมิ ดงั น้ี 1) การแพร่แบบฟาซิลิเทตมีลกั ษณะแตกต่างจากการแพร่แบบธรรมดาอยา่ งไร (เป็ นกาํ รแพร่ของสาํ รที่ตอ้ งอาํ ศยั โปรตีนเป็นตวั พาํ ) 2) อตั ราการแพร่แบบฟาซิลิเทตต่างจากการแพร่แบบธรรมดาอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด (มีอตั ราเร็วสูงกวา่ เพราะมีโปรตนี ที่เยอ่ื หุม้ เซลลเ์ ป็ นตวั พาสารเขา้ สู่เซลล)์ 2.3 ใหน้ กั เรียนสงั เกตความแตกตา่ งระหวา่ งการแพร่กบั การลาํ เลียงแบบใชพ้ ลงั งาน โดยอาจต้งั คาํ ถามเพมิ่ เติม ดงั น้ี 1) ทิศทางการเคล่ือนที่ของสารเหมือนหรือต่างจากการแพร่อยา่ งไร (ตรงกนั ขา้ มโดยการเคลื่อนทีข่ องสารแบบใช้ พลงั งานเป็ นการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณทม่ี ีความเขม้ ขน้ นอ้ ยไปยงั บริเวณทม่ี ีความเขม้ ขน้ สูง) 2) หากเปรียบเทยี บการแพร่ของน้าํ เหมือนการปล่อยน้าํ จากทสี่ ูง การลาํ เลียงแบบใชพ้ ลงั งานเปรียบเทยี บไดก้ บั เหตกุ ารณ์ใด (การใชเ้ คร่ืองสูบน้าํ โดยพลงั งานไฟฟ้ าข้นึ สู่ตกึ สูง) 3) พลงั งานท่ีเซลลใ์ ช้ ไดม้ าจากสารใด (ATP Adenosine triphosphate) 4) การลาํ เลียงสารแบบฟาซิลิเทตเหมือนหรือต่างกบั การลาํ เลียงสารแบบใชพ้ ลงั งานอยา่ งไร(เหมือนกนั คือตอ้ งอาศยั โปรตนี ที่แทรกอยใู่ นเยอื่ หุม้ เซลลเ์ ป็นตวั พา ตา่ งกนั ตรงทีก่ ารแพร่แบบฟาซิลิเทตเป็ นกรแพร่ของสารแบบไม่ใช้ พลงั งาน สารเคล่ือนทีจ่ ากบริเวณท่มี ีความเขม้ ขน้ สูงไปบริเวณทม่ี ีความเขม้ ขน้ ต้่าํ ) 2.4 ใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลวธิ ีการนาํ สารขนาดใหญเ่ ขา้ สู่เซลล์ และวธิ ีการลาํ เลียงสารแต่ละแบบ 3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (10 นาที) 3.1 สรุปการลาํ เลียงโดยการสร้างถุงจากเยอ่ื หุม้ เซลล์ ซ่ึงเป็ นการลาํ เลียงสารขนาดใหญ่มี3แบบ คือ ฟาโกไซโทซิส พโิ นไซโทซิส และการนาํ สารเขา้ สู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รบั ซ่ึงมีวธิ ีการลาํ เลียงสารท่แี ตกต่างกนั
4) ข้ันขยายความรู้ (10นาที) 4.1 ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเก่ียวกบั การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ -ออกเซลลด์ ว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆเปรียบเทยี บ ความเหมือนและความแตกต่างกนั ของแตล่ ะวธิ ี 4.2 ครูขยายความรูโ้ ดยต้งั คาํ ถามวา่ นกั เรียนจะนาํ ความรู้เกี่ยวกบั ออสโมซิสมาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาํ วนั ได้ อยา่ งไรบา้ ง (นาํ ความรู้เก่ียวกบั ออสโมซิสมาใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั เช่น การแช่ผกั ในน้าํ เพอ่ื ไม่ใหผ้ กั เห่ียว การดองผกั และผลไมเ้ พอื่ เกบ็ รักษา และถนอมอาหาร การแช่อิ่มผลไมร้ สเปร้ียวตา่ งๆ เป็ นตน้ ) 5)ข้ันประเมนิ ผล (5 นาที) 5.1ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ (การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ -ออกเซลล)์ 2. องคค์ วามรูท้ ีน่ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูล (จดบนั ทึกขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสืบคน้ ) 5.2ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การสื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้) 2. ทกั ษะการคิดตา่ งๆ ท่สี งั เกตจากการอภิปราย การแสดงความคิดเห็นของนกั เรียน 3. ทกั ษะการทาํ งานร่วมกนั ในกลุ่ม 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 4. การแสดงออกถึงความคดิ เห็น 5. ความรับผดิ ชอบ 8.สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ฉบบั ปรบั ปรุง 60)ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 4 8.2 ส่ือคลิปวดี ีโอเก่ียวกบั การเปล่ียนสภาพของเซลลใ์ นสารละลายต่างชนิดกนั 8.3สื่อนาํ เสนอ Power Point เร่ืองการลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ –ออกเซลล์ 8.4ฐานขอ้ มูลจาก internet/ คลงั ส่ือ DLIT
9. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน 9.1 การประเมินชิ้นงาน/ภาระ - ตรวจบนั ทึกการลาํ เลียงสาร - แบบประเมนิ ชิ้นงาน/ภาระ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ งาน ผา่ นเขา้ - ออกเซลล์ งาน - ตรวจผงั มโนทศั น์การลาํ เลียง สารผา่ นเขา้ -ออกเซลล์ 9.2 ประเมินระหว่างการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1) การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ – ตรวจแบบฝึ กหดั แบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ออกเซลล์ 2) การนาํ เสนอผลงาน ประเมินการนาํ เสนอ ผลงานทน่ี าํ เสนอ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 3) การปฏิบตั ิการ การลาํ เลียง ประเมินปฏิบตั ิการ แบบประเมินการปฏิบตั ิการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ สารผา่ นเซลลพ์ ืช 4) พฤติกรรมการทาํ งาน สังเกตพฤติกรรมการทาํ งาน แบบสังเกตพฤติกรรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ รายบุคคล รายบคุ คล ทาํ งานรายบุคคล 5) พฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม สังเกตพฤติกรรมการท างาน แบบสังเกตพฤติกรรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ รายกลุ่ม ทาํ งานรายกลุ่ม 6) คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สังเกตความมวี นิ ยั ใฝ่เรียนรู้ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ และมุ่งมนั่ ในการทาํ งาน ประสงค์ 9.3 ประเมินหลงั เรียน ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ืองการ ประเมินตามสภาพจริง ลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ -ออกเซลล์ - แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ือง การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ -ออก เซลล์
ข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา ไดท้ าํ การตรวจแผนการจดั การเรียนรูข้ อง นางภสั สรา เช่ียวพงศธร แลว้ มีความเห็นดงั น้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรียนที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรบั ปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ าํ เอากระบวนการเรียนรู้ ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ยงั ไม่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ควรพฒั นาปรับปรุง 3. เป็นแผนการสอนท่ี นาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง ควรปรับปรุงก่อนนาํ ไปใช้ 4.ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนสาคลีวทิ ยา
บนั ทกึ หลงั การสอน แผนที่ 2 ผลการจัดการเรียนการสอน(ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทุกคน มีความรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายหลกั การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ ออกเซลลร์ ูปแบบต่างๆเปรียบเทยี บการ ลาํ เลียงสารแบบการแพร่การแพร่แบบฟาซิลิเทต กบั การลาํ เลียงโดยอาศยั พลงั งานเปรียบเทยี บการลาํ เลียงสารขนาดใหญ่กบั การลาํ เลียง สารขนาดเลก็ รูปแบบต่างๆ ได้ นกั เรียน ม. 4/2 จาํ นวน 22น มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายหลกั การลาํ เลียงสารผา่ นเขา้ ออกเซลลร์ ูปแบบต่างๆ เปรียบเทยี บการลาํ เลียงสารแบบการแพร่ การแพร่แบบฟาซิลิเทต กบั การลาํ เลียงโดยอาศยั พลงั งานเปรียบเทยี บการลาํ เลียงสารขนาด ใหญ่กบั การลาํ เลียงสารขนาดเลก็ รูปแบบต่างๆ ไดส้ ่วนอีก 7 คน ครูอธิบายเพิ่มเติมจึงผา่ นกิจกรรมได้ ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คนเขียนลาํ ดบั ข้นั การลาํ เลียงสารขนาดใหญ่เขา้ –ออกเซลลไ์ ด้ ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน มคี วามใฝ่ เรียนรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน และ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรคต์ รงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน ปัญหา / อปุ สรรค เนื่องจากสถานะการณ์ COVID-19 ไดจ้ ดั การเรียนการสอนออนไลน์ 1. มีนกั เรียนบางคนบอกไมม่ ีเน็ตใหเ้ พื่อนช่วยแจง้ ให้ ครูทราบสญั ญาณเน็ตสะดุด บางคนไมม่ ีโทรศพั ทต์ อ้ งใชข้ องผปู้ กครอง 2. นกั เรียนไม่สามารถทกิจกรรมทดลองไดด้ ว้ ยตนเอง เช่น การเตรียมสไลดศ์ กึ ษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื แนวทางแก้ไข 1. นกั เรียนท่เี ขา้ เรียนออนไลน์ไมไ่ ด้ หรือไม่มีโทรศพั ท์ ก็ให้ติดตามทาํ งานส่งให้ครบ 2. ครูให้นกั เรียนศึกษาวิธีการเตรียมสไลดศ์ กึ ษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื จากวีดีโอทค่ี รูส่งให้ดู ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) .............../.........................../............... ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............
แบบประเมนิ ผงั มโนทศั น์การลาํ เลยี งสารเข้า-ออกเซลล์ ลาํ ดบั รายการประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 321 1 อธิบายหลกั การลาํ เลียงสารเขา้ –ออกเซลลร์ ูปแบบต่างๆ 2 อธิบายประเภทของสารท่ลี าํ เลียงสารรูปแบบต่างๆ 3 ยกตวั อยา่ งการลาํ เลียงสารรูปแบบตา่ งๆ ทเี่ กิดข้ึนในส่ิงมชี ีวติ รวม ลงช่ือ…………………………….. ผปู้ ระเมิน ( นางภสั สรา เช่ียวพงศธร ) เกณฑ์การประเมนิ การทาํ ผงั มโนทศั น์ รายการประเมิน คาํ อธิบายระดับคณุ ภาพ 32 1 1. อธิบายหลกั การลาํ เลียงสาร เขา้ -ออกเซลลร์ ูปแบบต่างๆ อธิบายหลกั การลาํ เลียงสารเขา้ อธิบายหลกั การลาํ เลียงสารเขา้ อธิบายหลกั การลาํ เลียงสารเขา้ - ออกเซลลร์ ูปแบบต่าง ๆได้ 2. อธิบายประเภทของสารท่ี - ออกเซลลร์ ูปแบบต่าง ๆได้ - ออกเซลลร์ ูปแบบต่าง ๆได้ ถกู ตอ้ ง 1 รูปแบบ ลาํ เลียงสารในรูปแบบต่างๆ ถกู ตอ้ ง 3-4 รูปแบบ ถกู ตอ้ ง 2 รูปแบบ อธิบายประเภทของสารท่ี 3. ยกตวั อยา่ งการลาํ เลียงสาร อธิบายประเภทของสารท่ี อธิบายประเภทของสารท่ี ลาํ เลียงสารในรูปแบบต่างๆได้ รูปแบบต่างๆ ทเ่ี กิดข้ึนใน ลาํ เลียงสารในรูปแบบต่างๆได้ ลาํ เลียงสารในรูปแบบต่างๆได้ ถกู ตอ้ ง 1 รูปแบบ สิ่งมชี ีวติ ถกู ตอ้ ง 3-4 รูปแบบ ถกู ตอ้ ง 2 รูปแบบ ยกตวั อยา่ งการลาํ เลียงสาร รูปแบบต่างๆ ที่เกิดข้ึนใน ยกตวั อยา่ งการลาํ เลียงสาร ยกตวั อยา่ งการลาํ เลียงสาร ส่ิงมชี ีวติ ไดถ้ กู ตอ้ ง 1 รูปแบบ รูปแบบต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนใน รูปแบบต่างๆ ทเี่ กิดข้ึนใน ส่ิงมชี ีวติ ไดถ้ กู ตอ้ ง 3-4 ส่ิงมชี ีวติ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2 รูปแบบ รูปแบบ เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ 9 ดีมาก 7-8 ดี 5-6 พอใช้ ปรับปรุง ต่าํ กว่า 5
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การรักษาดลุ ยภาพของร่างกายมนุษย์ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เร่ือง การรักษาดุลยภาพของนํา้ และสารในร่างกาย เวลา 3 คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด สิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดมีโครงสรา้ งและอวยั วะทแ่ี ตกต่างกนั จงึ มีวธิ ีการรกั ษาดุลยภาพต่างกนั สาํ หรบั คนและสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นมมีไตเป็นอวยั วะที่ทาํ หนา้ ที่รักษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตุต่าง ๆ โดยการกาํ จดั ของเสียทีเ่ กิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึม ควบคุมความเขม้ ขน้ ของแร่ธาตแุ ละรกั ษาสภาพกรด-เบสในร่างกาย ใหค้ งที่การรักษาอุณหภูมิภายในร่างกายของคนและสตั วม์ ีศูนยค์ วบคุมอยทู่ ี่สมองส่วนไฮโพทาลามสั ซ่ึงทาํ งานร่วมกบั ผวิ หนงั ต่อมเหงอ่ื และหลอดเลือด 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วัด สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว1.2 :เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาํ เลียงสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบตา่ งๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ท่ีของอวยั วะต่างๆ ของพชื ท่ที าํ งานสมั พนั ธก์ นั รวมท้งั นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ม.4/2อธิบายการควบคุมดุลยภาพของน้าํ และสารในเลือดโดยการทาํ งานของไต 3. จุดประสงค์การเรียนรู้เพอ่ื ใหน้ กั เรียนสามารถ 3.1ด้านความรู้(K) 1)ระบโุ ครงสรา้ งและอธิบายการทาํ งานของไตมนุษย์ 2) อธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพของน้าํ และสารในร่างกายโดยการทาํ งานของไต 3.2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) 1) ทาํ การทดลองเพอ่ื ศกึ ษาโครงสรา้ งไตของสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นม 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน 4) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการรกั ษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวติ
4. สาระการเรียนรู้ สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นมมีการรักษาดุลยภาพของน้าํ และสารในเลือด ซ่ึงเกิดจากการทาํ งานของไต เป็ น อวยั วะในระบบขบั ถ่าย ท่ีมีความสาํ คญั ใน การกาํ จดั ของเสียที่มีไนโตเจนเป็ นองคป์ ระกอบ รวมท้งั น้าํ และสารที่มีปริมาณมากเกินความตอ้ งการ ของร่างกาย การกาํ จดั ของเสียโดยไต เลือดทเ่ี ขา้ สู่ไตจะถูกกรองทโ่ี กลเมอรูลสั และโบวแ์ มนแคปซูลของ หน่วยไต สารทเ่ี ป็นประโยชนจ์ ะถูกดูดกลบั ท่ีท่อหน่วยไตเขา้ สู่หลอดเลือด ส่วนสารทีไ่ ม่เป็ นประโยชนจ์ ะถูก ขบั ออกจากเลือดเขา้ สู่ท่อหน่วยไต ก่อนที่จะขบั ออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ 5. สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน/ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ 2. ความสามารถในการคิด 2. การสื่อสาร - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 3. การทาํ งานร่วมกนั - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 4. การสรา้ งสรรค์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5. ความเขา้ ใจและใชเ้ ป็ นในดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ และการส่ือสาร - กระบวนการทาํ งานกลุ่ม 6. ความยดื หยนุ่ และการปรบั ตวั 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. การมีผลงานและความรบั ผดิ ชอบ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมนั่ ในการทาํ งาน 4. มีจติ สาธารณะ 6. ภาระงาน/ชิ้นงาน - แบบบนั ทกึ กิจกรรมเร่ือง โครงสรา้ งและการทาํ งานของไต
7. กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมนําสู่การเรียน (คาบท่ี 1-3 ) 1) ข้นั สร้างความสนใจ (20นาที) 1.1 ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายเกี่ยวกบั การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในขณะออกกาํ ลงั กายและไม่ไดอ้ อก กาํ ลงั กาย เพอื่ ใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจวา่ ร่างกายมีการรักษาดุลยภาพใหเ้ ขา้ สู่ภาวะปกติไดอ้ ยา่ งไร โดยครูถามวา่ - ขณะที่นกั เรียนกาํ ลงั ออกกาํ ลงั กายร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดข้ึนบา้ ง ( ขณะออกกาํ ลงั กายจะรูส้ ึกเหน่ือย หายใจเร็วและถี่ข้ึน เหงื่อออกเป็ นจาํ นวนมาก รู้สึกร้อน และมีอาการกระหายน้าํ แต่หากหยดุ ออกกาํ ลงั กายและไดด้ ื่มน้าํ เขา้ ไป ร่างกายจะกลบั มาสู่ภาวะปกติได ) 1.2 ครูทบทวนความรู้เร่ืองการกาํ จดั ของเสียในร่างกายจากท่นี กั เรียนไดศ้ ึกษามาต้งั แตร่ ะดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ โดยครูถามวา่ - ของเสียท่เี กิดข้ึนในร่างกายท่ีตอ้ งถูกกาํ จดั ออกจากร่างกาย ไดแ้ ก่ อะไรบา้ ง นกั เรียนอาจตอบถูกหรือผดิ กไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั ความรูเ้ ดิมของนกั เรียน เช่น ปัสสาวะ เหงอ่ื อุจจาระ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ยเู รีย เป็ นตน้ - ถา้ หากร่างกายมีการสะสมสารที่เป็นโทษไวม้ ากจะเกิดอะไรข้ึน และร่างกายจะมีวธิ ีกาํ จดั อยา่ งไร ( สารที่เป็นโทษตอ่ ร่างกายทเี่ กิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึมร่างกายจะตอ้ งกาํ จดั ออก เรียกวา่ “ของเสีย” ซ่ึง จะตอ้ งถูกขบั ออกโดยระบบขบั ถ่าย ) - การถ่ายอุจจาระ (defecation) จดั เป็นการขบั ถ่าย (excretion) หรือไม่ เพราะเหตใุ ด ( การถ่ายอุจจาระไม่เป็นการขบั ถ่าย เพราะการขบั ถ่าย หมายถึง การกาํ จดั ของเสียซ่ึงเกิดจากกระบวนการ เมแทบอลิซึมในเซลล์ ซ่ึงมีไนโตรเจนเป็ นองคป์ ระกอบ แต่การถ่ายอุจจาระเป็ นการกาํ จดั กากอาหารที่ร่างกาย ยอ่ ยไม่ไดอ้ อกจากร่างกาย ) 1.3 ครูใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและศกึ ษารูป 2.1 ปริมาณน้าํ โดยเฉล่ียทีไ่ ดร้ บั และสูญเสียออกจากร่างกายผใู้ หญ่ ใน 1 วนั ในหนงั สือเรียนหนา้ 24 แลว้ ใชค้ าํ ถามชวนคิด ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายวา่ - ถา้ ปริมาณน้าํ ที่ร่างกายไดร้ ับและปริมาณน้าํ ที่สูญเสียออกจากร่างกายไม่สมดุลกนั จะมีผลอยา่ งไร ( จากการอภปิ รายนกั เรียนควรไดข้ อ้ สรุปวา่ ร่างกายมนุษยม์ ีน้าํ ประมาณร้อยละ 65-70 ของน้าํ หนกั ตวั โดยมี หนา้ ที่เป็ นตวั กลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีลาํ เลียงสารอาหารและแกส๊ ตา่ ง ๆ ไปยงั เซลลท์ วั่ ร่างกาย ดงั น้นั หาก ร่างกายไดร้ ับน้าํ มากหรือนอ้ ยเกินไป จะทาํ ใหค้ วามเขม้ ขน้ ของเลือดเปล่ียนแปลง การลาํ เลียงสารต่าง ๆ หรือ การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะไม่เกิดข้นึ ทาํ ใหเ้ ป็ นอนั ตรายต่อเซลล์ และระบบต่าง ๆ ของร่างกายจนอาจเสียชีวติ ได้ ) - ร่างกายไดร้ บั น้าํ ปริมาณมากท่ีสุดโดยวธิ ีใด และสูญเสียน้าํ ออกไปมากที่สุด โดยวธิ ีใด ( ร่างกายไดร้ บั น้าํ ปริมาณมากทส่ี ุดจากเครื่องด่ืม 1,600 มิลลิลิตร และสูญเสียน้าํ ปริมาณมากทสี่ ุดออกไปกบั ปัสสาวะ 1,500 มิลลิลิตร
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ข้นั สํารวจและค้นหา (50นาที) 2.1 ครูเช่ือมโยงเร่ืองการรกั ษาดุลภาพของน้าํ และแร่ธาตุการกาํ จดั ของเสียในเลือดโดยการทาํ งานของไต โดย ใหน้ กั เรียนสืบคน้ เก่ียวกบั อวยั วะในระบบขบั ถ่าย โครงสรา้ งของไต หน่วยไต และการทาํ งานของหน่วยไต แลว้ ร่วมกนั สรุปถึงหนา้ ทข่ี องอวยั วะในระบบขบั ถ่าย โดยใชร้ ูปในหนงั สือเรียน รูป 2.2 ไต และอวยั วะใน ระบบขบั ถ่าย รูป 2.3 ไตของมนุษย์ และรูป 2.4 การทาํ งานของหน่วยไต แลว้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรุปหนา้ ท่ี การทาํ งานของหน่วยไตและใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายโดยใชค้ าํ ถามดงั น้ี - ระบบใดในร่างกายทีท่ าํ หนา้ ทร่ี กั ษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตุหรือสารอ่ืน ๆ ในร่างกาย - อวยั วะในระบบขบั ถ่ายมีอะไรบา้ ง และทาํ หนา้ ทอี่ ยา่ งไร ( ระบบทที่ าํ หนา้ ท่ีในการกาํ จดั ของเสีย ทม่ี ีไนโตรเจนเป็ นองคป์ ระกอบ เช่น ยเู รีย แอมโมเนียมไอออน และ รกั ษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตหุ รือสารอ่ืนๆ ในร่างกาย คอื ระบบขบั ถ่าย อวยั วะในระบบขบั ถ่าย ไดแ้ ก่ ไต ทอ่ ไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยภายในไตแต่ละขา้ งมีหน่วยไตประมาณ 1 ลา้ นหน่วย ทาํ หนา้ ที่ในการกรอง การดูดกลบั และการหลงั่ สารจากระบบหมุนเวยี นเลือด ท่อไตทาํ หนา้ ที่ลาํ เลียง ปัสสาวะไปทก่ี ระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ทาํ หนา้ ท่ี สะสมปัสสาวะก่อนขบั ออกนอกร่างกาย ผา่ น ทางท่อปัสสาวะ ) 2.2 ครูถามนกั เรียนวา่ - หน่วยไต ทาํ หนา้ ที่ กรอง ดูดกลบั และหลงั่ สาร ใดบา้ ง ( หน่วยไตทาํ หนา้ ท่ี 3 ประการ คือ 1. การกรอง - สารทเ่ี กิดจากการกรองผา่ นโกลเมอรูลสั และโบวแ์ มนส์ แคปซูล ไดแ้ ก่ สารท่มี ีขนาดเล็ก เช่น กลูโคส น้าํ ยเู รีย กรดแอมิโน และแร่ธาตบุ างชนิด ส่วนเซลลเ์ มด็ เลือด เกล็ดเลือด โปรตีนขนาดใหญ่ไม่สามารถกรองผา่ นไดย้ งั คงอยใู่ นเลือด 2. การดูดกลบั – สารทเ่ี กิดการ ดูดกลบั ทท่ี ่อหน่วยไต เช่น กรดแอมิโน กลูโคส น้าํ และไอออนตา่ ง ๆ เช่น โซเดียมไอออน โพแทสเซียมไอออน ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน 3. การหลงั่ – สารทม่ี ีการหลงั่ ทีท่ ่อหน่วยไต เช่น ไฮโดรเจนไอออน แอมโมเนียมไอออน รวมท้งั สารพษิ อ่ืน ๆ หรือยาบางชนิด ) 2.3 ใหน้ กั เรียนแบง่ เป็นกลุ่มละ 4 - 5 คน 2.4 ครูใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั การรักษาดุลยภาพของน้าํ ในร่างกาย และทาํ กิจกรรม 2.1 เร่ือง การ รกั ษาดุลยภาพของของเหลวในร่างกาย 3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (30 นาที) 3.1 ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มนาํ เสนอผลการสืบคน้ และร่วมกนั อภิปรายผลการทดลองตามประเด็นต่างๆ ดงั น้ี - เขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปริมาณปัสสาวะกบั เวลาหลงั จากดื่มน้าํ
- จากกราฟท่ไี ด้ นกั เรียนจะอธิบายเช่ือมโยงเก่ียวกบั การรกั ษาดุลยภาพของของเหลวในร่างกายอยา่ งไร โดย กล่าวถึงบทบาทของไฮโพทาลามสั ADH ไต และหน่วยไต ( เมื่อร่างกายมีปริมาณน้าํ มาก หรือปริมาณน้าํ ในเลือดเพมิ่ ข้ึน ความเขม้ ขน้ ของเลือดจะลดลง ทาํ ใหล้ ดการ กระตนุ้ ของสมองส่วนไฮโพทาลามสั ซ่ึงควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกายส่งผลใหต้ ่อมใตส้ มองส่วนหลงั หลงั่ ADH นอ้ ยลง เซลลท์ ที่ อ่ หน่วยไต และท่อรวมจึงลดการดูดกลบั น้าํ เขา้ สู่หลอดเลือด ร่างกายจงึ ขบั ของเหลวออกมาในรูปของปัสสาวะปริมาณมาก และเจอื จาง ในนาทที ่ี 60 และ 90 และเมื่อเวลาผา่ นไป ปริมาณปัสสาวะจะลดลงจนปกติเนื่องจากร่างกายรักษาดุลยภาพของของเหลวในร่างกายไดเ้ ป็ นปกติแลว้ ) 4) ข้ันขยายความรู้ (50นาที) 4.1 หลงั จากนกั เรียนทาํ กิจกรรม 2.1 แลว้ ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภปิ ราย และสรุปเก่ียวกบั กลไกการรกั ษาดุลย ภาพของน้าํ ในร่างกาย โดยใชร้ ูป 2.6 กลไกการรักษาดุลยภาพของน้าํ ในร่างกาย ในหนงั สือเรียนประกอบการ อภิปราย โดยเนน้ ใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธข์ องการทาํ งานของสมองส่วนไฮโพทาลามสั และ ADH เซลลท์ ี่ทอ่ หน่วยไต และท่อรวม แลว้ ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจในหนงั สือเรียน - ระบบใดบา้ งของร่างกายที่ทาํ หนา้ ที่ประสานกนั เพอื่ รักษาปริมาณน้าํ ในร่างกายใหส้ มดุล ( ระบบขบั ถ่าย ระบบหมุนเวยี นเลือด ระบบประสาท และระบบต่อมไรท้ อ่ (ฮอร์โมน) ) 4.2 ครูเพมิ่ เตมิ วา่ 4.1 การออกกาํ ลงั กายอยา่ งหนกั ทาํ ใหม้ ีเหงื่อออกปริมาณมาก หรือการอยใู่ นหอ้ งปรับอากาศแลว้ ปัสสาวะบ่อย กวา่ ปกติเพอื่ ใหน้ กั เรียนอธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพของน้าํ เมื่ออยใู่ นเหตุการณ์ดงั กล่าว) 4.2 ครูเสริมความรูเ้ ร่ือง โรคเบาจดื เพอ่ื ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจถึงความสาํ คญั ของ ADH ต่อการรักษาดุลยภาพของน้าํ ในร่างกายยงิ่ ข้นึ
- โรคเบาจดื (Diabetes insipidus) เป็นภาวะที่มีการถ่ายปัสสาวะบ่อย และปริมาณมากในแตล่ ะคร้ัง ผทู้ ี่มีอาการ ของโรคน้ีจะเสียน้าํ มาก และกระหายน้าํ ตลอดเวลา ถา้ ด่ืมน้าํ ทดแทนไม่ทนั จะเกิดภาวะขาดน้าํ (dehydration) ทาํ ใหม้ ีอาการอ่อนเพลีย ความดนั เลือดลดลงอาจถึงข้นั หมดสติ ชอ็ ค และอาจเสียชีวติ ได้ สาเหตุของโรคน้ีเนื่องจากร่างกายขาด ADH ซ่ึงเป็ นฮอร์โมนทส่ี รา้ งจากเซลลใ์ นสมองส่วนไฮโพทาลามสั และหลงั่ โดยตอ่ มใตส้ มองส่วนหลงั ฮอร์โมนน้ีมีหนา้ ทก่ี ระตนุ้ ใหท้ ่อขดส่วนทา้ ย (distal convoluted tubule) ของหน่วยไตและท่อรวม (collecting duct) ดูดกลบั น้าํ เขา้ หลอดเลือด ดงั น้นั เม่ือขาดฮอร์โมนน้ีจึงทาํ ใหน้ ้าํ ไม่ ถูกดูดกลบั เขา้ หลอดเลือด จงึ ขบั ถ่ายปัสสาวะมากและเจือจาง สาํ หรบั สาเหตขุ องการขาด ADH หรือ ADH หลงั่ ออกมานอ้ ย อาจเกิดจากความผดิ ปกติของตอ่ มใตส้ มอง ส่วนหลงั เช่น เน้ืองอกในสมองบางชนิดไปกดบริเวณตอ่ มใตส้ มอง ทาํ ใหไ้ ม่สามารถหลงั่ ฮอร์โมนน้ีได้ อีก สาเหตหุ น่ึงคอื ไตผดิ ปกตไิ ม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนน้ีไดซ้ ่ึงอาจเป็ นต้งั แต่แรกเกิด หรือ เกิดจากยา หรือ สารบางชนิดไปรบกวนการทาํ งานของไต ทาํ ใหไ้ ม่สามารถตอบสนองตอ่ ฮอร์โมนได้ 4.3 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษารูป 2.7 กลไกการรักษาดุลยภาพของโซเดียมในร่างกาย ในหนงั สือเรียน เน่ืองจาก แร่ธาตุน้ีเกี่ยวขอ้ งกบั การทาํ งานของระบบประสาท และกลา้ มเน้ือ โดยมี แอลโดสเทอโรน (aldosterone) ทาํ หนา้ ท่ี ควบคุมปริมาณโซเดียมใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดุลเสมอ หลงั จากน้นั ใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั การรกั ษาดุลยภาพของแร่ธาตอุ ่ืน โดยการทาํ งานของไต เช่น โพแทสเซียม 4.4 ครูใหน้ กั เรียนดูวดี ีโอ เร่ือง การรกั ษาดุลภาพของน้าํ และแร่ธาตุ เพอ่ื เป็ นการทบทวน ใหเ้ ขา้ ใจมากยงิ่ ข้นึ 5) ข้ันประเมนิ ผล (10 นาที) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ 2. องคค์ วามรูท้ นี่ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทึก 5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน(การเตรียมสไลดเ์ พอื่ ศึกษาการลาํ เลียงสารผา่ นเซลลพ์ ชื ) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การส่ือสารสิ่งทเี่ รียนรู้) 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 4. ความรบั ผดิ ชอบ 5. ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการรกั ษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวติ
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ฉบบั ปรบั ปรุง 60)ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4 8.2 สื่อคลิปวดี ีโอเกี่ยวกบั การท างานของหน่วยไตกบั การรักษาดุลยภาพของน้ าและสารในร่างกาย 8.3ฐานขอ้ มูลจาก internet/ คลงั ส่ือ DLIT
9. การวดั และประเมินผล รายการวัด วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน 9.1 การประเมินช้ินงาน/ภาระ - ตรวจบนั ทึกผลการทดลอง - แบบประเมนิ ชิ้นงาน/ภาระ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ งาน เพื่อศึกษาอตั ราการคายน้ าของ งาน พชื - ตรวจบนั ทึกโครงสร้าง ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ หนา้ ทข่ี องไต ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 9.2 ประเมินระหว่างการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1) โครงสร้างและหนา้ ที่ของ ตรวจแบบฝึกหดั แบบฝึ กหดั หน่วยไต 2) การนาํ เสนอผลงาน ประเมินการนาํ เสนอ ผลงานทน่ี าํ เสนอ 3) การปฏิบตั ิการ กิจกรรม 2.1 ประเมินปฏิบตั ิการ แบบประเมินการปฏิบตั ิการ การรักษาดุลยภาพของ ของเหลวในร่างกาย 4) พฤติกรรมการทาํ งาน สังเกตพฤติกรรมการทาํ งาน แบบสังเกตพฤติกรรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ รายบุคคล รายบคุ คล ทาํ งานรายบุคคล 5) พฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม สังเกตพฤติกรรมการท างาน แบบสังเกตพฤติกรรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 6) คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ รายกลุ่ม ทาํ งานรายกลุ่ม 9.3 ประเมินหลงั เรียน สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่เรียนรู้ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ือง และมุ่งมนั่ ในการทาํ งาน ประสงค์ การรักษาดุลยภาพของ สิ่งมชี ีวติ ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ืองการ ประเมินตามสภาพจริง รักษาดุลยภาพของส่ิงมชี ีวิต
ข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา ไดท้ าํ การตรวจแผนการจดั การเรียนรูข้ อง นางภสั สรา เช่ียวพงศธร แลว้ มีความเห็นดงั น้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรียนที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรบั ปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ าํ เอากระบวนการเรียนรู้ ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ยงั ไม่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ควรพฒั นาปรับปรุง 3. เป็นแผนการสอนท่ี นาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง ควรปรบั ปรุงก่อนนาํ ไปใช้ 4.ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนสาคลีวทิ ยา
บันทึกหลังการสอน แผนท่ี 3 ผลการจัดการเรียนการสอน(ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทุกคน มีความรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายโครงสร้างและการทาํ งานของไตมนุษยก์ ลไกการรักษาดุลยภาพของ น้าํ และสารในร่างกายโดยการทาํ งานของไต ได้ นกั เรียน ม. 4/2 จาํ นวน 18น มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายโครงสร้างและการทาํ งานของไตมนุษยก์ ลไกการรักษาดุลย ภาพของน้าํ และสารในร่างกายโดยการทาํ งานของไต ได้ ส่วนอีก 11 คน ครูอธิบายเพิม่ เติมจึงผา่ นกิจกรรมได้ ด้านทักษะกระบวนการ - ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน มคี วามใฝ่ เรียนรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน และ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรคต์ รงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน ปัญหา / อปุ สรรค แนวทางแก้ไข 1. นกั เรียนที่เขา้ เรียนออนไลน์ไมไ่ ด้ หรือไม่มโี ทรศพั ท์ ก็ใหต้ ิดตามทาํ งานส่งให้ครบ 2. ครูให้นกั เรียนศึกษาวิธีทาํ การทดลองศกึ ษาโครงสร้างไตของสตั วเ์ ล้ียงลกู ดว้ ยน้าํ นมจากวดี ีโอทค่ี รูส่งใหด้ ู ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) .............../.........................../............... ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ……………………………………………………………………………………………………....................................................…. …… ……………………………………………………………………………............................................................................. ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 เรื่อง การรักษาดลุ ยภาพของกรด – เบสในเลอื ด เวลา 2 คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด ส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดมีโครงสรา้ งและอวยั วะทแ่ี ตกต่างกนั จงึ มีวธิ ีการรกั ษาดุลยภาพตา่ งกนั สาํ หรบั คนและสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นมมีไตเป็นอวยั วะที่ทาํ หนา้ ที่รักษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตุต่าง ๆ โดยการกาํ จดั ของเสียทีเ่ กิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึม ควบคุมความเขม้ ขน้ ของแร่ธาตุและรกั ษาสภาพกรด-เบสในร่างกาย ใหค้ งทก่ี ารรักษาอุณหภมู ิภายในร่างกายของคนและสตั วม์ ีศนู ยค์ วบคุมอยทู่ ่ีสมองส่วนไฮโพทาลามสั ซ่ึงทาํ งาน ร่วมกบั ผวิ หนงั ต่อมเหงอ่ื และหลอดเลือด 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 : เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาํ เลียงสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบตา่ งๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ที่ของอวยั วะตา่ งๆ ของพชื ท่ที าํ งานสมั พนั ธก์ นั รวมท้งั นาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ม. 4/3 อธิบายการควบคุมของ กรด - เบสของเลือดโดยการทางานของไตและปอด 3. จุดประสงค์การเรียนรู้เพอ่ื ใหน้ กั เรียนสามารถ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) อธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือดโดยการทางานของไตและปอด 2) สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายสาเหตุ และแนวทางป้ องกนั หรือรกั ษาโรคไตและโรคทเ่ี ก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะ 3.2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) 1) ทาํ การทดลองเพอ่ื ศกึ ษาโครงสรา้ งไตของสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นม 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน 4) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการรกั ษาดุลยภาพของกรด – เบสในเลือด
4. สาระการเรียนรู้ การรกั ษาดุลยภาพของกรด – เบสในเลือด เกิดจาก การทาํ งานของไตทท่ี าํ หนา้ ท่ขี บั หรือดูดกลบั ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน และแอมโมเนียมไอออน ร่วมกบั การทาํ งานของปอดที่ทาํ หนา้ ท่ี กาํ จดั คาร์บอนไดออกไซด์ 5. สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน/ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ 2. ความสามารถในการคิด 2. การสื่อสาร - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 3. การทาํ งานร่วมกนั - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 4. การสรา้ งสรรค์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5. ความเขา้ ใจและใชเ้ ป็ นในดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ และการส่ือสาร - กระบวนการทาํ งานกลุ่ม 6. ความยดื หยนุ่ และการปรบั ตวั 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. การมีผลงานและความรบั ผดิ ชอบ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทาํ งาน 4. มีจติ สาธารณะ 6. ภาระงาน/ชิ้นงาน - แบบบนั ทกึ กิจกรรมเร่ือง การรกั ษาดุลยภาพของกรด – เบสในเลือด - แผน่ พบั นาเสนอเร่ืองโรคไตและโรคทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ทางเดินปัสสาวะ
7. กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนําสู่การเรียน ( คาบท่ี 1-2 ) 1) ข้นั สร้างความสนใจ ( 5 นาที ) 1.1 ครูทบทวนเรื่องกระบวนการต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้ึนในร่างกายมนุษย์ เช่น การหายใจระดบั เซลล์ การสลาย สารอาหาร เพอ่ื ใหไ้ ดพ้ ลงั งาน ลว้ นเป็นกระบวนการเมทาบอลิซึม ทต่ี อ้ งอาศยั เอนไซมใ์ นปฏิกิริยา 1.2 ครูใชค้ าํ ถามเกี่ยวกบั การทาํ งานของเอนไซม์ ดงั น้ี 1) ปัจจยั ใดบา้ งที่มีผลต่อการทาํ งานของเอนไซม์ กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ 2) ข้ันสํารวจและค้นหา (50นาที) 2.1 ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4-5 คน เพอ่ื ทาํ กิจกรรม 2.2 ใหน้ กั เรียนศกึ ษากราฟแสดงอตั ราการทาํ งานของเอนไซมเ์ พปซินและ เอนไซมอ์ ะไมเลสที่คา่ pH ต่าง ๆ พรอ้ มตอบคาํ ถาม ดงั น้ี 1) เอนไซมอ์ ะไมเลส ทาํ งานดีสุดที่ค่า pH เทา่ ใด ( ค่า pH 7 ) 2) จงอธิบายการทาํ งานของ เอนไซมเ์ พปซิน และ เอนไซมอ์ ะไมเลส (เอนไซม์เพปซินทาํ งานได้ดีสุดที่ค่า pH 2 หากค่า pH เพิ่มขึน้ จะทาํ ให้การทาํ งานลดประสิทธิภาพลงจนไม่ สามารถทาํ งานได้ และเอนไซม์อะไมเลส ทาํ งานได้ดีสุดที่ค่า pH 7 หากค่า pH เพิ่มขึน้ หรือลดลง จะทาํ ให้ การทาํ งานลดประสิทธิภาพลง) 2.3 ครูอธิบายเพมิ่ เตมิ วา่ อตั ราเมทาบอลิซึม จะเกิดข้ึนไดเ้ ร็ว หรือชา้ ข้ึนกบั การทาํ งานของเอนไซม์ โดย อตั ราการทาํ งานของเอนไซมข์ ้ึนกบั กรด – เบส ทเ่ี หมาะสม 2.4 ครูใหน้ กั เรียนศึกษาสมการ การเกิดปฏิกิริยาของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กบั น้าํ ในเลือดทีท่ าํ ใหเ้ กิด ไฮโดรเจนไอออน (H+) โดย H+ มีผลทาํ ใหค้ า่ ความเป็ นกรด – เบส เปล่ียนแปลงไป ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภปิ รายโดยใชค้ าํ ถาม ดงั น้ี 1) ถา้ เลือดมีปริมาณ H+ มากหรือนอ้ ยกวา่ ปกติ จะส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงของคา่ pH อยา่ งไร 2) ร่างกายมนุษย์ มีแนวโนม้ มีความเป็นกรด หรือเบสมากกวา่ กนั เพราะเหตใุ ด 2.5 จากการอภปิ รายนกั เรียนควรสรุปไดว้ า่ ถา้ เลือดมีปริมาณ H+ มากกวา่ ปกติ จะทาํ ใหค้ า่ pH ต่าํ เกิด ความเป็ นกรด แตถ่ า้ เลือดมี H+ นอ้ ยกวา่ ปกติ จะทาํ ใหเ้ ลือดมีความเป็ นเบส เน่ืองจากเซลลต์ ่าง ๆ ตอ้ งการ พลงั งาน ซ่ึงไดม้ าจาก การสลายสารอาหารระดบั เซลล์ ทาํ ใหเ้ กิดแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ เป็ นจาํ นวนมาก ปริมาณ H+ จงึ เพมิ่ ข้ึนตลอดเวลา
2.6 ครูใชค้ าํ ถาม นาํ สู่เรื่อง การรกั ษาดุลยภาพของกรด - เบสในเลือด วา่ - นกั เรียนคิดวา่ ร่างกายรักษาดุลยภาพของความเป็ นกรด – เบสในเลือดได้ อยา่ งไร (การหายใจออก การทางานของไต และระบบบัฟเฟอร์ในเลือด) 2.7 ครูทบทวน เร่ือง การหายใจของมนุษย์ โดย ใชส้ ่ือวดี ิทศั นเ์ กี่ยวกบั การแลกเปล่ียนแกส๊ ท่ีปอดแลว้ ใช้ คาํ ถาม ดงั น้ี 1) การแลกเปล่ียนแกส๊ ออกซิเจน และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ เกิดข้ึนทีอ่ วยั วะใด และบริเวณใด ( เกิดขึน้ ท่ีปอดบริเวณถงุ ลมปอด ) 2) ครูใหท้ ดลองกล้นั หายใจใหน้ านทีส่ ุด เพราะเหตใุ ด นกั เรียนจงึ กล้นั หายใจไดไ้ ม่นาน ( ขณะกลนั้ หายใจ ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในร่างกายจะสูงขึน้ จนถึงจุดที่ ร่างกายทนไม่ได้ ต้องหายใจออก เพื่อขบั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออก โดยการตอบสนองนีอ้ ย่นู อกอาํ นาจจิตใจ จึงไม่สามารถ กลนั้ หายใจได้นาน ) 3) การหายใจ ช่วยรกั ษาดุลยภาพของกรด – เบสในเลือดได้ อยา่ งไร ( ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ หรือไฮโดรเจนไอออน สะสมอย่ใู นเลือดมาก จะส่งผลให้เลือดมีความเป็น กรดเพิ่มขึน้ การเปล่ียนแปลงนี้ จะส่งสัญญาณไปกระต้นุ ศนู ย์ควบคุมการหายใจที่สมอง ทาํ ให้เพิ่มอัตราการ หายใจ เพื่อขบั แก๊สออกจากปอดเร็วขึน้ แต่ถ้าเลือดเป็ นเบส อัตราการหายใจจะลดลงเพ่ือเพ่ิม ไฮโดรเจน ไอออน ให้สูงขึน้ โดยการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ทาํ ให้กรด - เบสเข้าสู่ภาวะสมดลุ ) 3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (30 นาที) 3.1 ครูใหน้ กั เรียนสืบคน้ และสรุปเกี่ยวกบั กลไกการรักษาดุลยภาพความเป็ นกรด – เบสในเลือดโดยการทาํ งาน ของไต 3.2 ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มทาํ กิจกรรมเสนอแนะ เร่ือง โรคไตและโรคทีเ่ ก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะ จาก โรงพยาบาล สถานีอนามยั ในทอ้ งถิ่น หรือบุคคลใกลช้ ิด รวมท้งั สืบคน้ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ความกา้ วหนา้ ในการ รกั ษาโรคไตและการใชไ้ ตเทยี ม 3.3 ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มนาํ เสนอขอ้ มูล และอภิปรายร่วมกนั เพ่อื สรุปเป็ นขอ้ มูลทอ้ งถิ่น เกี่ยวกบั สถิติ สาเหตุ ตลอดจนวธิ ีการรกั ษาโรคไต และโรคทีเ่ กี่ยวกบั ทางเดินปัสสาวะ 4) ข้ันขยายความรู้ ( 10นาที ) 4.1 ครูขยายความรู้โดย เช่ือมโยงเก่ียวกบั การตรวจสุขภาพประจาํ ปี เพอ่ื ใหน้ กั เรียนตระหนกั ถึงสุขภาพของ ตนเอง โดยเนน้ ประเดน็ ท่วี า่ การตรวจสุขภาพมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ป้ องกนั โรค หรือตรวจหาความเส่ียงในการ เกิดโรค โดยวธิ ีการตรวจปัสสาวะ ซ่ึงทาํ ใหท้ ราบถึงการทาํ งานของไต วา่ ปกตดิ ีหรือไม่ โดยจะตรวจความ เป็ นกรด – เบส ความถ่วงจาํ เพาะ โปรตนี และกลูโคส รวมท้งั ตรวจตะกอนในปัสสาวะ เพอ่ื ตรวจหาเซลล์ เมด็ เลือดแดง เม็ดเลือดขาว เยอ่ื บุผวิ แบคทเี รีย และผลึกแคลเซียมออกซาเลต
5) ข้ันประเมนิ ผล (10 นาที) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ 2. องคค์ วามรูท้ ี่นกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทกึ 5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน(ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการทากิจกรรม) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การส่ือสารสิ่งที่เรียนรู)้ 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ฉบบั ปรบั ปรุง 60) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4 8.2 สื่อคลิปวดี ีโอเก่ียวกบั เกี่ยวกบั การแลกเปลี่ยนแกส๊ ทีป่ อด 8.3 ส่ือคลิปวดี ีโอ เร่ืองการรกั ษาดุลยภาพของกรด - เบสในเลือด 8.3ฐานขอ้ มูลจาก internet/ คลงั ส่ือ DLIT
9. การวดั และประเมนิ ผล รายการวัด วิธีการ เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 9.1 การประเมินชิ้นงาน/ - ตรวจแผน่ พบั นาเสนอ - แบบประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน เร่ืองโรคไตและโรคท่ี ภาระงาน เก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะ 9.2 ประเมินระหวา่ งการจดั แบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ กิจกรรมการเรียนรู้ 1) การรักษาดุลยภาพของ ตรวจแบบฝึกหดั กรด-เบสในเลือด 2) การนาํ เสนอผลงาน ประเมินการนาํ เสนอ ผลงานที่นาํ เสนอ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 3) พฤตกิ รรมการทาํ งาน สงั เกตพฤติกรรมการ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ รายบุคคล ทาํ งานรายบุคคล ทาํ งานรายบุคคล 4) พฤตกิ รรมการทาํ งาน สงั เกตพฤตกิ รรมการท า แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ กลุ่ม งานรายกลุ่ม ทาํ งานรายกลุ่ม 5) คุณลกั ษณะอนั พงึ สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่ แบบประเมินคุณลกั ษณะ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ประสงค์ เรียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการ อนั พงึ ประสงค์ ทาํ งาน 9.3 ประเมินหลงั เรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ประเมินตามสภาพจริง - แบบทดสอบหลงั เรียน ตรวจแบบทดสอบหลงั เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพ เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพ เรียน ของกรด-เบสในเลือด ของกรด-เบสในเลือด
ข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา ไดท้ าํ การตรวจแผนการจดั การเรียนรูข้ อง นางภสั สรา เช่ียวพงศธร แลว้ มีความเห็นดงั น้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรียนที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรบั ปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ าํ เอากระบวนการเรียนรู้ ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ยงั ไม่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ควรพฒั นาปรับปรุง 3. เป็นแผนการสอนท่ี นาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง ควรปรบั ปรุงก่อนนาํ ไปใช้ 4.ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนสาคลีวทิ ยา
บันทึกหลังการสอน แผนท่ี 4 ผลการจัดการเรียนการสอน(ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทุกคน มีความรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายการรักษาดุลยภาพของกรด–เบสในเลือดโดยการทาํ งานของไตและ ปอดแนวทางป้ องกนั หรือรักษาโรคไตและโรคทเ่ี ก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะ ได้ นกั เรียน ม. 4/2 จาํ นวน 25คน มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายการรักษาดุลยภาพของกรด–เบสในเลือดโดยการทาํ งานของ ไตและปอดแนวทางป้ องกนั หรือรักษาโรคไตและโรคทเ่ี ก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะได้ ส่วนอีก 4 คน ครูอธิบายเพิม่ เติมจึงผา่ นกิจกรรมได้ ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน นาํ ความรู้ที่ศึกษามาปฏิบตั ิตนและแนะนาํ ผอู้ ื่นในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโรคไตและโรคที่เกี่ยวกบั ทางเดิน ปัสสาวะ ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน มคี วามใฝ่ เรียนรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน และ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรคต์ รงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน ปัญหา / อปุ สรรค เนื่องจากสถานะการณ์ COVID-19 ไดจ้ ดั การเรียนการสอนออนไลน์ 1. มีนกั เรียนบางคนบอกไมม่ เี น็ตให้เพอ่ื นช่วยแจง้ ให้ ครูทราบ สัญญาณเน็ตสะดุด บางคนไมม่ ีโทรศพั ทต์ อ้ งใชข้ อง ผปู้ กครอง จะทาํ งานไดห้ ลงั จากผปู้ กครองกลบั จากทาํ งาน แนวทางแก้ไข 1. นกั เรียนท่ีเขา้ เรียนออนไลน์ไม่ได้ หรือไมม่ ีโทรศพั ท์ กใ็ ห้ติดตามทาํ งานส่งใหค้ รบ ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) ............../.........................../.............. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ……………………………………………………………………………………………………..................................................... …………………………………………………………………………………................................................................................. ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การรักษาดุลยภาพของร่างกายมนุษย์ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เร่ือง การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมใิ นร่างกาย เวลา 2 คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด สิ่งมีชีวติ แตล่ ะชนิดมีโครงสรา้ งและอวยั วะทแ่ี ตกต่างกนั จงึ มีวธิ ีการรกั ษาดุลยภาพต่างกนั สาํ หรบั คนและสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นม มีไตเป็นอวยั วะทท่ี าํ หนา้ ทร่ี กั ษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตตุ ่าง ๆ โดยการกาํ จดั ของเสียทเ่ี กิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึม ควบคุมความเขม้ ขน้ ของแร่ธาตุ และรกั ษาสภาพกรด - เบสในร่างกาย ใหค้ งท่ี การรกั ษาอุณหภมู ิภายในร่างกายของคน และสตั ว์ มีศนู ยค์ วบคุมอยทู่ ส่ี มองส่วนไฮโพทาลามสั ซ่ึงทาํ งาน ร่วมกบั ผวิ หนงั ตอ่ มเหงอ่ื และหลอดเลือด 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วัด สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 : เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพน้ื ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาํ เลียงสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบต่างๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องอวยั วะตา่ งๆ ของพชื ทท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั รวมท้งั นาํ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วดั ม. 4/4 อธิบายการควบคุมดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกายโดยระบบหมุนเวยี นเลือด ผวิ หนงั และ กลา้ มเนื้อโครงร่าง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนสามารถ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) อธิบายการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกาย โดยการทาํ งานของหลอดเลือดฝอย ตอ่ มเหง่อื เสน้ ขนทผ่ี วิ หนงั และกลา้ มเน้ือโครงร่าง 3.2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) 1) นาํ เสนอขอ้ มูลจากการสืบคน้ และศึกษาเกี่ยวกบั การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกาย 3.3 คุณลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน 4) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกาย
4. สาระการเรียนรู้ การรกั ษาดุลยภาพของอุณหภมู ิภายในร่างกาย เกิดจากการทาํ งานของระบบหมุนเวยี นเลือด ทค่ี วบคุมปริมาณเลือดไปทผี่ วิ หนงั การทาํ งานของตอ่ มเหงอ่ื และกลา้ มเน้ือโครงร่าง ซ่ึงส่งผลตอ่ ปริมาณ ความรอ้ นทถ่ี ูกเก็บ หรือระบายออกจากร่างกาย 5. สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน/ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 2. การสื่อสาร - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 3. การทาํ งานร่วมกนั 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. การสรา้ งสรรค์ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ - กระบวนการทาํ งานกลุ่ม 5. ความเขา้ ใจและใชเ้ ป็ นในดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี และการส่ือสาร คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 6. ความยดื หยนุ่ และการปรบั ตวั 7. การมีผลงานและความรบั ผดิ ชอบ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมนั่ ในการทาํ งาน 4. มีจติ สาธารณะ 6. ภาระงาน/ชิ้นงาน - แบบบนั ทกึ กิจกรรม เรื่อง การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกาย
Search