เดก็ เรยี นรชู า คมู อื สาํ หรบั ครู
ช่อื หนงั สือ : เดก็ เรยี นรูชา คูมอื สําหรบั ครู จัดพมิ พโ ดย : สถาบันราชานกุ ูล พิมพครงั้ ท่ี 1 : สิงหาคม 2555 จํานวนพิมพ : 1,000 เลม พิมพท ี่ : บรษิ ทั บียอนด พบั ลิสช่งิ จํากดั 2 เดก็ เรียนรูชา คูมอื สําหรับครู
คํานํา เด็กเรียนรูชาคือเด็กที่เรียนรูส่ิงใดอยางเชื่องชา ใชเวลานาน ในการเรยี นรสู งิ่ ใหมๆ ไหวพรบิ ปฏภิ าณไมท นั เพอ่ื นในวยั เดยี วกนั เดก็ จะมปี ญ หา การเรียนและมกั เกดิ ปญ หาอารมณหรอื พฤตกิ รรมตามมา เปน ท่ที ราบกนั ดีวา หลกั การสอนเดก็ เรยี นรชู า คอื การสอนซา้ํ ยาํ้ และทวนบอ ยๆ การยอ ยงานและ การกระตนุ ในคมู อื น้ี ไดม กี ารเพม่ิ เตมิ เทคนคิ ในการสอนเดก็ เรยี นรชู า และการดแู ล ชวยเหลือดานอารมณจิตใจ หลักการสรางแรงจูงใจ และการปรับพฤติกรรม ซึ่งเปนการรวบรวมความรูท้ังจากตําราและจากขอมูลที่ไดจากการสัมมนา แลกเปลยี่ นเรียนรปู ระสบการณร ะหวา งผูปกครอง ครแู ละครูการศกึ ษาพเิ ศษ ทมี่ ปี ระสบการณก บั เดก็ เรยี นรชู า นาํ มาเรยี งรอ ยเปน คมู อื ทง่ี า ยตอ การทค่ี ณุ ครู จะนําไปปฏิบัติจริง คณะผูจัดทําหวังวาคูมือเลมนี้นาจะเปนตัวชวยที่ดีในการ ดแู ลเดก็ เรียนรูชา ตอไป คณะผจู ัดทํา เดก็ เรียนรูช า คมู ือสําหรบั ครู 3
4 เดก็ เรียนรชู า คมู อื สําหรบั ครู
สารบัญ คําจํากดั ความ 7 ลกั ษณะของเดก็ เรียนชา (Slow learner) 10 ลักษณะของเด็กทมี่ ีความบกพรองทางสติปญญาระดบั นอย 13 สาเหตุของภาวะเรียนรูช า 15 การชว ยเหลือเดก็ เรียนรชู า ในโรงเรยี น 18 การจัดการชน้ั เรยี นสําหรบั เดก็ เรยี นรูช า 19 การชวยเหลอื เด็กเรียนรูช าในชน้ั เรยี น 25 การสรา งทักษะสาํ คญั ใหก บั เดก็ เรียนรูช า 29 เอกสารอางองิ 40 ภาคผนวก 43 เด็กเรยี นรชู า คูม อื สาํ หรับครู 5
เดก็ เรียนรชู า คมู ือสาํ หรบั ครู 6 เดก็ เรยี นรูชา คมู อื สาํ หรบั ครู
เด็กเรียนรชู า คาํ จํากดั ความ เด็กเรียนรูชา ในคูมือน้ี หมายถึง เด็กท่ีมีปญหาการเรียนที่เกิดจาก เดก็ มรี ะดบั เชาวนป ญ ญาตา่ํ กวา เกณฑป กติ โดยกลา วถงึ เฉพาะกลมุ เดก็ เรยี นชา (Slow learner) และกลุมที่มีความบกพรองทางสติปญญาระดับนอย (Mild Intellectual Disability, Mild ID) เน่ืองจากโครงการวิจัยพัฒนา ตวั แบบเชงิ ระบบการจดั การการเรยี นรสู าํ หรบั กลมุ เดก็ พเิ ศษฯ ดาํ เนนิ โครงการ ในโรงเรียนท่ีจัดการศึกษาภาคปกติเทาน้ัน จึงไมไดกลาวถึงการชวยเหลือ เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ งทางสตปิ ญ ญาในระดบั ปานกลางทอ่ี ยใู นระบบการศกึ ษาพเิ ศษ และเด็กท่ีมีความบกพรองทางสติปญญาในระดับรุนแรงที่ไมสามารถเขาสู ระบบการศกึ ษาได เดก็ เรียนรูชา คมู ือสําหรบั ครู 7
เด็กเรียนชา (Slow learner) หมายถึง เด็กที่มีปญหาการเรียน อันเนื่องมาจากระดับเชาวนปญญาต่ํากวาปกติ ปญหาอาจเกิดจากเด็กที่มี การรับรูและเขาใจไดชาหรืออาจเปนเด็กดอยโอกาสทางสังคม ทางวัฒนธรรม หรือทางเศรษฐกจิ มากจนมีผลกระทบตอ เชาวนปญ ญา แตไมจ ดั วาเปน เด็กท่มี ี ความบกพรองทางพัฒนาการและสติปญญา หากทดสอบระดับเชาวนปญญา จะพบวามรี ะดบั เชาวนปญญาอยรู ะหวา ง 70-89 เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ งทางดา นสตปิ ญ ญาระดบั นอ ย (Mild Intellectual Disability, Mild ID) หมายถึง เด็กที่มีความสามารถสติปญญาและ ความสามารถในการปรับตัวตํ่ากวาเกณฑปกติ ซ่ึงความบกพรองนี้จะเกิดข้ึน ในชวงเวลาใดเวลาหนึ่งของพัฒนาการเด็ก แตจะตองเกิดกอนอายุ 18 ป หากทดสอบระดับเชาวนปญญา จะพบวามีระดับเชาวนปญญาอยูระหวาง 50-69 เพื่อชวยใหเห็นภาพของคําจํากัดความมากย่ิงขึ้น จะขอกลาวถึง การแบง ระดบั เชาวนปญ ญา (Intelligence Quotient, IQ) ของ Wechsler Intelligence Scale for Children – Revised (WISC-R) ซึ่งเปนเครอื่ งมอื ในการทดสอบเชาวนป ญ ญา ซงึ่ แบงระดบั เชาวนป ญญาดังนี้ 8 เด็กเรยี นรชู า คมู ือสาํ หรับครู
คา ตวั เลข IQ การแบง ระดับเชาวนปญ ญา 130 ขึน้ ไป จัดอยูในกลมุ สติปญญาอจั ฉริยะ 120 -129 จัดอยูในกลมุ สติปญ ญาฉลาดมาก 110 – 119 จัดอยใู นกลมุ สติปญ ญาคอ นขางฉลาด 90 – 109 จัดอยใู นกลมุ สติปญ ญาอยใู นเกณฑปกติ (normal) 80 – 89 จดั อยใู นกลมุ สตปิ ญ ญาตาํ่ กวาเกณฑ (Low average) 70 - 79 จดั อยใู นกลมุ สติปญ ญาคาบเสน (Borderline) 50 - 69 จดั อยใู นกลมุ ท่ีมคี วามบกพรองทางสตปิ ญญาระดบั นอ ย (Mild Intellectual Disability) 35 - 49 จัดอยูในกลมุ ทีม่ คี วามบกพรอ งทางสตปิ ญญาระดับปานกลาง (Moderate Intellectual Disability) 20 - 34 จัดอยใู นกลมุ ทีม่ คี วามบกพรอ งทางสตปิ ญญาระดับมาก (Severe Intellectual Disability) ตํ่ากวา 20 จดั อยูใ นกลุม ทมี่ คี วามบกพรอ งทางสติปญ ญาระดับรุนแรง (Profound Intellectual Disability) จากระดับเชาวนปญญา จะเห็นวาเด็กเรียนชา (Slow learner) คือ เด็กท่ีมีคาระดับเชาวนปญญาระหวาง 70 - 89 ซึ่งจะรวมกลุมเด็กที่มีระดับ เชาวนปญญาต่ํากวาเกณฑ (Low average) และเด็กที่มีระดับเชาวนปญญา คาบเสน (Borderline) ไวดว ยกนั เด็กเรียนชา (Slow learner) และเด็กท่ีมีความบกพรอง ทางสติปญญาระดับนอยทั้งสองกลุม นี้ คอื เดก็ ท่ีจะพบในโรงเรยี นปกติ จดั เปน เด็กท่ีมีความตองการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กท่ีชวยเหลือตนเองไดดี คุณครู และผูปกครองจึงไมทราบปญหาจนเขาเรียนไประยะหนึ่งแลวพบวาเด็กเรียน ไมทันเพื่อนนน่ั เอง เด็กเรียนรชู า คมู ือสําหรับครู 9
ขอ สงั เกต ลักษณะของเดก็ เรียนชา (Slow learner) วัยอนุบาล เด็กเรียนชา (Slow learner) จะมีลักษณะดังน้ี คือ มีปญหา การเรียน ไมสามารถทํางานหรือเรียนรูสิ่งที่เด็กในชวงอายุเดียวกันเรียนรูได เรยี นร-ู รบั ร-ู เขา ใจสงิ่ ตา งๆ ได ชา กวา เดก็ อนื่ โดยเฉพาะความคดิ แบบนามธรรม มกี ารคดิ และการตดั สนิ ใจชา มกี ารตอบสนองตอ สงิ่ ตา งๆ ชา ความคดิ ดไู มเ ปน ระบบหรอื ไมคอยมเี หตุผล มักแกป ญหาโดยการลองผิดลองถูก และแกปญ หา เฉพาะหนาไดไมส มวัย มักมีปญ หาทางอารมณแ ละการปรับตวั ตามมา 10 เด็กเรียนรชู า คูมือสาํ หรบั ครู
ดา นความสนใจ เดก็ เรยี นชา (Slow learner) มคี วามยากลาํ บากในเรอ่ื งการคงความสนใจ มคี วามสนใจสน้ั ทาํ งานอะไรไมค อ ยไดน าน รวมทง้ั ไมส ามารถยบั ยง้ั สง่ิ รบกวน ที่มากระทบได จึงไมสามารถจะมีจุดสนใจไดถามีส่ิงรบกวนและไมสามารถ แยกแยะความสําคัญของส่ิงตางๆ เพราะไมรูจะเลือกสนใจอะไร จึงดูเหมือน ไมม คี วามสนใจตอ สิ่งใด นอกจากนี้ เด็กเรียนชา (Slow learner) มักมีความสนใจใฝรูอยูใน ระดบั นอย ไมคอ ยถามและไมต ดิ ตามทจ่ี ะหาคาํ ตอบ ไมคอ ยแสดงความสนใจ วาจะทําสิ่งตางๆ ใหสําเร็จไดนั้นตอ งทําอยา งไร ดานความจํา เด็กเรียนชา (Slow learner) มีความจําระยะสั้นไมดี แตสามารถ เก็บขอมูลไดเปนเวลานานและจะมีความจําระยะยาวโดยท่ัวไปใกลเคียง กับเด็กปกติ ซึ่งจะจําไดดียิ่งขึ้นถาเร่ืองนั้นๆ มีความหมาย เก่ียวของกับ ชวี ิตประจําวัน ดา นการถา ยโยงการเรียนรู มีความลําบากในการนําความรูหรือประสบการณจากสถานการณ หน่ึงไปสูอีกสถานการณหนึ่ง แตถาทําอะไรสําเร็จ เด็กจะมีแรงจูงใจ ในการทาํ สง่ิ ใหมๆ แกป ญหาใหมๆ เด็กเรยี นรชู า คูมือสาํ หรบั ครู 11
ลักษณะอื่นๆ ท่ีพบรวมไดในกลุมเด็กเรียนชา (Slow learner) มากกวากลมุ เดก็ ปกติ 1. เดก็ เรยี นชามักมีภาวะการเจริญเติบโตของรา งกายต่ํากวา เกณฑ 2. มีพฤตกิ รรมเด็กกวาวยั 3. มีปญหาการทํางานประสานของกลามเนื้อตางๆ เชน มีปญหา ในการเคล่ือนไหวรางกาย การประสานระหวางกลามเนื้อแขนและขาไมดี เมือ่ เลน กีฬาจะมลี ักษณะงมุ งาม ไมคลอ งแคลว 12 เดก็ เรียนรชู า คมู อื สําหรบั ครู
ลักษณะของเดก็ ทมี่ ีความบกพรอง ทางสติปญ ญาระดบั นอย (Mild Intellectual Disability, Mild ID) ลกั ษณะของเดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ งทางสตปิ ญ ญาระดบั นอ ย (Mild ID) จะมีลักษณะทคี่ ลา ยคลึงกบั เดก็ เรยี นชา (Slow learner) แตจะมีความรุนแรง ของปญ หาตา งๆมากกวา พบวา เดก็ มปี ระวตั พิ ฒั นาการทางภาษาลา ชา แตอ าการ จะชดั เจนมากข้นึ เม่อื เขา เรียน โดยเฉพาะปญ หาการเรยี น เนอ่ื งจากเดก็ กลุมน้ี จะมพี ฒั นาการทางสตปิ ญญาชา กวา เดก็ ในวยั เดยี วกนั 2 - 4 ป เด็กจงึ มีปญหา ในการอาน การเขียน การคํานวณ การประสานงานระหวางกลามเน้ือตางๆ ในรา งกายไมดี มปี ญหาในการปรับตวั เขากับเพอ่ื นๆ เด็กกลมุ นี้สามารถพัฒนา ความสามารถในการใชภาษาในชีวิตประจําวันได สามารถพ่ึงตนเอง ดูแล กิจวัตรประจําวันของตนเองได รวมถึงทักษะท่ีใชในชีวิตท่ัวไปและงานบาน สําหรับปญหาดานสังคม อารมณ พฤติกรรมเด็กกลุมน้ีจะมีแนวโนมท่ีจะ เกิดปญหาในการปรับตัวเขากับสถานการณใหมๆ ปญหาการควบคุมอารมณ และปญ หาพฤตกิ รรมไดม ากกวาเด็กปกติ เด็กเรียนรชู า คูมอื สําหรับครู 13
ตารางแสดงระดับความสามารถในการรับการศึกษา ระหวางกลุม เด็กเรยี นชา (Slow learner) และกลมุ เด็กทม่ี ี ความบกพรองทางสติปญญาระดบั นอ ย (Mild ID) ประเภท ระดบั สติปญญา ความสามารถในการรบั การศกึ ษา เดก็ เรียนชา 70-89 (Slow เชาวนป ญ ญาต่าํ กวาเกณฑ สามารถ learner) 50-69 รับการศึกษาที่ใหการชวยเหลือ สาํ หรบั เดก็ เรยี นชา (Slow learner) เด็กทม่ี ี ได และสามารถประกอบอาชีพ ความบกพรอ ง ชางฝมอื ได ทางสตปิ ญ ญา มีพัฒนาการดานสติปญญาชากวา ระดับนอ ย เด็กวัยเดียวกัน 2-4 ป การปรับตัว (Mild ID) ทางสงั คมทาํ ไดเ ตม็ ทเ่ี ทา กบั เดก็ วยั รนุ ในดา นทว่ั ๆ ไป แตข าดความสามารถ ในการวางแผน และการคาดการณ ลวงหนา อาจพอรับการศึกษาใน ระดบั ประถมตน หรอื การศกึ ษาพเิ ศษ แ ต จ ะ มี ป ญ ห า ก า ร เ รี ย น ใ น ทุ ก กลุมวิชา สามารถประกอบอาชีพ ท่ีไมตองใชความรับผิดชอบสูง หรือ งานประเภทชา งฝม อื ได 14 เดก็ เรยี นรูชา คมู ือสาํ หรับครู
สาเหตุ ของภาวะเรียนรชู า สาเหตุท่ีทําใหเด็กเรียนรูชาเกิดไดจาก ปจ จยั ตา งๆ ซง่ึ อาจเกดิ จากสาเหตใุ ดสาเหตหุ นง่ึ เพียงอยางเดียวหรือหลายสาเหตุเกิดรวมกันทําใหเด็กมีภาวะเรียนรูชา สาเหตเุ หลา นั้นไดแ ก 1. ภาวะทางรางกายท่สี ง ผลกระทบตอ การเรยี นรูของเดก็ ในปจ จุบนั พบสภาวะความบกพรอ งทางรา งกาย หรือโรคบางอยา งท่ี สง ผลกระทบโดยตรงตอ การทาํ งานของสมองและการเรยี นรขู องเดก็ ทาํ ใหเ ดก็ เรยี นรูไดไมเตม็ ศกั ยภาพ ถูกมองวาเปนเด็กทมี่ ีปญหาเรยี นรูชา ภาวะเหลานน้ั ไดแ ก - โรคทางระบบประสาท ทพ่ี บไดบ อ ยๆ คอื โรคลมชกั โรคไขส มอง อักเสบ หรือภาวะที่ทําใหเกิดการกระทบเทือนตอสมองต้ังแต ทารกยังอยูในครรภ เชน มารดาดื่มเหลา หรือสูบบุหร่ีระหวาง ตง้ั ครรภ มารดาไดร บั สารตะกว่ั ระหวา งตง้ั ครรภ ภาวะขาดออกซเิ จน ระหวางการคลอดหรือหลังคลอด ซ่ึงภาวะเหลานี้มีผลตอ การเจริญเติบโตของสมองและมักมีผลกระทบตอการทํางาน ของสมองอยางถาวร - ปญหาดานการมองเห็น (เชน การมองเห็นบกพรอง ตาบอดส)ี ปญหาการไดยิน ปญหาดานการมองเห็นและปญหาการไดยิน พบไดบอยคร้ังท่ีทําใหเด็กมีปญหาการเรียน ซ่ึงเปนสาเหตุ ท่ีสามารถใหการชวยเหลือและทําใหเด็กกลับมาเรียนหนังสือ ไดอ ยางเต็มประสิทธภิ าพ เด็กเรยี นรูช า คูมือสําหรบั ครู 15
- ภาวะโลหิตจางเร้ือรัง ภาวะน้ีสงผลโดยตรงตอความบกพรอง ทางพฒั นาการของระบบประสาทในวยั เดก็ เดก็ ทม่ี ภี าวะโลหติ จาง จะมีอาการออนเพลีย เหนื่อยงาย หายใจลําบากเวลาออกแรง สมาธิในการเรียนลดลง - ภาวะการขาดสารไอโอดนี อาการของเดก็ ทมี่ กี ารขาดสารไอโอดนี คอื มคี อพอก ซง่ึ มลี กั ษณะคอโต ตวั เตย้ี แคระแกรน พฒั นาการชา นอกจากนยี้ งั พบวา การขาดสารไอโอดนี เพยี งเลก็ นอ ยไมท าํ ใหเ กดิ ความผิดปกติทางรางกาย แตจะสงผลตอระดับเชาวนปญญา ของเดก็ - ภาวะทุพโภชนาการ การขาดสารอาหารที่จําเปน ตอรา งกาย 16 เดก็ เรยี นรูชา คมู อื สําหรบั ครู
2. การเลี้ยงดแู ละสภาพแวดลอม มีงานวิจัยท่ีใหเด็กกลุมหน่ึงถูกปลอยใหเล้ียงตามธรรมชาติเทาที่ ครอบครัวมคี วามรู และอกี กลุมหนึง่ ใหค วามรูเรือ่ งการเลีย้ งดทู ่ีถกู ตอ ง นั่นคือ ใหข อ มลู พดู คยุ กบั เดก็ สอนเดก็ ทกุ อยา งตงั้ แตช ว งแรกเกดิ พบวา เดก็ กลมุ ทส่ี อง มกี ารเรียนรูท ี่เรว็ กวาเด็กในกลุมแรก ดงั นนั้ การเลี้ยงดอู ยา งปลอยปละละเลย ปลอยใหเด็กอยูตามลําพัง ดูโทรทัศนลําพังเปนเวลานานๆ ทําใหสมอง ของเด็กไมถูกกระตุนใหคิด จินตนาการ หรือคิดแกปญหา เสนใยของสมอง ทจ่ี ะมกี ารแตกกง่ิ กา นสาขาจากการกระตนุ กจ็ ะมกี ารเจรญิ เตบิ โตทน่ี อ ยกวา ปกติ ทําใหเ ด็กเสี่ยงตอการที่จะเปนเรยี นรชู าได ในเด็กหลายๆ ราย อาจไมพบสาเหตุที่ชัดเจนท่ีทําใหเด็กมีภาวะ เรยี นรชู า เชน เดก็ ไมเ คยมปี ระวตั ภิ าวะแทรกซอ นระหวา งคลอดหรอื หลงั คลอด ไมมีโรคประจําตัวใดๆ มากอน มาทราบอีกคร้ังก็พบวาเด็กมีปญหาการเรียน เมื่อเขาโรงเรียนไปแลว เดก็ เรียนรชู า คูมอื สาํ หรับครู 17
การชวยเหลอื เดก็ เรยี นรูช า ในโรงเรียน เด็กเรียนรูชาควรไดรับการพัฒนาตั้งแตวัยทารก ในบางกรณีที่ครู หรอื ผปู กครองไมแ นใ จวา เดก็ มภี าวะบกพรอ งทางสตปิ ญ ญาหรอื ภาวะบกพรอ ง ดานอ่ืนหรือไมนั้น ขอแนะนําใหชวยเหลือไวกอน เพราะการชวยเหลือตั้งแต ระยะแรกเรม่ิ เชน การกระตนุ พฒั นาการนน้ั มแี ตป ระโยชนไ มไ ดม โี ทษสาํ หรบั เด็กแตอยางใด ในกรณีทพ่ี บภายหลังวา เดก็ คนน้ันมคี วามบกพรองในดา นใด กต็ าม กถ็ อื วา เด็กไดรบั การชวยเหลืออยา งทนั ทว งที แตหากพบวา เดก็ คนน้นั ไมมีความบกพรองใดๆ การชวยเหลือที่ไดก็ชวยใหเด็กมีพัฒนาการที่ดีข้ึน กวาเดิม การจดั การศกึ ษาสาํ หรบั เดก็ เรยี นรชู า ควรพจิ ารณาจากความสามารถ ของเด็ก เชน เด็กที่มีความบกพรองทางสติปญญาระดับเล็กนอยควรไดรับ การสอนท่ีเนนความรูทางวิชาการ และควรใหเด็กไดเรียนในช้ันเรียนรวม กับเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพรองทางสติปญญาระดับรุนแรงข้ึนควรเรียนรู ทักษะการชวยเหลือตนเอง ทักษะการใชชีวิตในชุมชน และทักษะอาชีพ อยางไรก็ตาม เด็กท่ีมีความบกพรองทางสติปญญาไมวาระดับใด เด็กจําเปน ตองเรียนรูทักษะทางวิชาการ ทักษะการชวยเหลือตนเอง ทักษะการใชชีวิต ในชุมชนและทักษะอาชีพดวยทุกคน แตระดับและปริมาณของเนื้อหาน้ัน ควรเหมาะสมกับความสามารถของแตล ะคน 18 เดก็ เรียนรูชา คมู ือสําหรับครู
การจัดการชัน้ เรยี น สําหรับเดก็ เรยี นรูช า ชน้ั เรยี นปกติ เด็กที่มีภาวะบกพรองทางสติปญญาระดับนอยสวนใหญมักไดรับ บริการทางการศึกษาพิเศษในช้ันเรียนปกติ รวมกับการทําแผนการจัดการ ศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อเปดโอกาสใหเด็กเรียนรวมกับเพื่อนท่ีเปน เด็กปกติในโรงเรียนท่ัวไปในละแวกบาน เพ่ือใหเด็กมีโอกาสเรียนรูทักษะ ตางๆ ที่เด็กท่ัวไปไดเรียน และไดรับการสอนเร่ืองทักษะทางสังคมมากข้ึน สวนเด็กเรียนชา (Slow learner) ตองการการชวยเหลือโดยการสอนเสริม ในชัน้ เรียนปกติ เด็กเรียนรูช า คูมอื สาํ หรบั ครู 19
ลักษณะของช้ันเรียนปกติ เมื่อเด็กเขาเรียนรวมกับเพื่อนที่เปนเด็กปกติ โรงเรียนมักวางแผนให เดก็ เรียนรดู ว ยวิธีการสอนปกตติ ามหลกั สูตรทรี่ ะบไุ วใ น IEP สว นผทู ่ีทาํ หนา ที่ ในการจัดการศึกษาพิเศษใหกับเด็กนั้นอาจเปนคุณครูในช้ันเรียนปกติ คุณครู ในหอ งเสรมิ วชิ าการ หรอื คณุ ครเู วยี นสอนกไ็ ด การจดั ชนั้ เรยี นแบบนที้ าํ ใหเ ดก็ สวนใหญส ามารถเรยี นในหองเรียนปกตไิ ดอยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ ขอ ดขี องการเรยี นในหองเรียนปกติ ขอดีท่ีเดนชัดที่สุดของการจัดใหเด็กไดเรียนในช้ันเรียนแบบน้ี คือ เดก็ มโี อกาสไดเ รยี นดว ยวธิ ปี กตเิ หมอื นกบั เดก็ ทวั่ ไปและไดเ รยี นรจู ากเดก็ ปกติ มากทส่ี ดุ เดก็ ไดเ รยี นกบั คณุ ครทู หี่ ลากหลาย ซง่ึ ตรงขา มกบั การเรยี นในชนั้ เรยี น พิเศษที่มีคุณครูการศึกษาพิเศษเพียงหน่ึงคนหรือสองคนเทานั้น นอกจากน้ี วธิ นี ้ยี ังเหมาะสําหรบั เด็กในโรงเรยี นท่ีไมมคี ุณครูการศึกษาพเิ ศษดว ย การที่เด็กเรียนรูชาไดเรียนในชั้นเรียนปกติน้ี ชวยใหเด็กสามารถ ปรบั ตวั ใหเ ขา กบั สถานการณต า งๆ ในชวี ติ จรงิ ไดด ขี นึ้ เพราะยงั มที กั ษะทจี่ าํ เปน ในชีวิตจริงหลายดานท่ีเด็กไมสามารถเรียนรูในช้ันเรียนพิเศษหรือในหองเสริม วิชาการท่ีเด็กไปเรียนบางเวลาได เชน การสื่อสารพูดคุยกับเด็กท่ัวไป หรือ การปฏบิ ัตติ ามกฎกตกิ าของสังคม เปนตน ในกรณีที่เด็กจําเปนตองเรียนในชั้นเรียนพิเศษ เด็กเหลาน้ันก็ควรมี โอกาสไดเ ขา รว มในกจิ กรรมตา งๆ กบั เดก็ ปกตดิ ว ย เพราะเดก็ จะไดใ ชช วี ติ และ เรียนรูอยูในสถานการณจริง และเด็กปกติยังเปนตัวแบบใหกับเด็กที่เรียนรูชา อกี ดว ย นอกจากน้ี ไมใ ชเ ฉพาะเดก็ เรยี นรชู า เทา นนั้ ทไ่ี ดป ระโยชน แตเ ดก็ ปกติ ท่เี รียนรวมกับเด็กท่เี รียนรชู าก็จะไดเรียนรวู าคนในสังคมมีลักษณะแตกตางกัน ไดเ รยี นรทู กั ษะตา งๆ ในการอยรู ว มกบั ผอู น่ื เชน การแบง ปน การเออ้ื เฟอ เผอื่ แผ 20 เด็กเรยี นรชู า คมู อื สาํ หรับครู
หรือการรูจักชวยเหลือคนที่ออนแอกวา เปนตน ซึ่งทักษะเหลาน้ีเด็กปกติ จะเรยี นรูจ ากเดก็ ทเ่ี รยี นรชู าไดด กี วา การเรยี นรจู ากเดก็ ปกติดว ยกันเอง ขอเสยี ของการเรยี นในชนั้ เรยี นปกติ ขอเสียเดนชัดท่ีสุด คือ คุณครูในชั้นเรียนปกติมักไมสามารถ จัดการเรียนการสอนใหเหมาะสมกับความตองการพิเศษของเด็กเรียนรูชา ในช้นั เรียนปกตไิ ด ขอเสียอีกประการหน่ึงของการเรียนในช้ันเรียนปกติ คือ คุณครู ในช้ันเรียนปกติมักมีเจตคติทางลบตอเด็กเรียนรูชา คุณครูหลายคนรูสึกวา การสอนเด็กเรียนรูชาในช้ันเรียนน้ันเปนภาระอยางมาก และมักปฏิเสธเด็ก เหลาน้ี คุณครูสวนใหญยังมองวาการสอนเด็กเรียนรูชาเปนหนาที่ของคุณครู การศึกษาพเิ ศษเทา น้นั และขอเสียที่เปนปญหาที่พบบอยในปจจุบัน คือ โรงเรียนปกติ ไมมีคุณครูการศึกษาพิเศษในโรงเรียนท่ีจะทําหนาท่ีใหคําปรึกษาแกคุณครู ในชั้นเรียนปกติ ซึ่งผูบริหารโรงเรียนมักมองขามในเรื่องนี้ อีกท้ังคุณครู การศกึ ษาพเิ ศษทม่ี อี ยใู นโรงเรยี นปกตสิ ว นใหญม กั ทาํ หนา ทส่ี อนในชน้ั เรยี นพเิ ศษ เทาน้ัน สวนคุณครูท่ีสอนในช้ันปกติจํานวนมากยังไมมีความรูความเขาใจ เกย่ี วกบั การจดั การเรยี นการสอนสาํ หรบั เดก็ ทม่ี คี วามตอ งการพเิ ศษอยา งเพยี งพอ ดงั นน้ั ผบู ริหารจงึ ควรสนับสนุนใหม กี ารอบรม ใหความรคู วามเขา ใจแกคุณครู ในช้ันเรียนปกติอยางตอเน่ือง รวมถึงผูบริหารเองตองเขาใจและตระหนักถึง ความรูสึกของคุณครูและการอบรมนั้นๆ ตองเปนแนวทางท่ีสามารถนําไป ปฏิบตั ิไดจ รงิ ดวย เดก็ เรยี นรูช า คูมือสาํ หรบั ครู 21
ช้ันเรียนพิเศษ ลกั ษณะของชนั้ เรียนพิเศษ คณุ ครใู นหอ งมกั เปนคุณครูการศึกษาพิเศษ 1 คน และนกั เรยี นมักมี ลกั ษณะใกลเ คยี งกนั หรอื มคี วามบกพรอ งประเภทเดยี วกนั นกั เรยี นในชน้ั เรยี น พิเศษนี้แทบไมมีโอกาสปฏิสัมพันธกับเด็กปกติ ถึงแมลักษณะการจัดช้ันเรียน พิเศษในแตละโรงเรียนอาจแตกตางกันไปบาง แตโดยรวมแลวช้ันเรียนพิเศษ มกั มีลักษณะทัว่ ไปดงั นี้ 1. คุณครูการศึกษาพิเศษทําหนาที่รับผิดชอบการจัดการเรียน การสอนเดก็ ในหอ งน้ี 2. การเรียนการสอนสวนใหญเกดิ ในหอ งน้หี อ งเดยี ว 3. โรงเรยี นอาจจดั นกั วชิ าชพี ดา นอน่ื มาใหบ รกิ ารบา งเชน นกั กายภาพบาํ บดั นักกิจกรรมบําบัด นักแกไขการพูด แตสําหรับในประเทศไทยนั้น การจัด ช้ันเรียนแบบน้ี มักมีคุณครูการศึกษาพิเศษเปนผูรับผิดชอบเด็กทุกคน ในหองพเิ ศษ 4. คุณครูอาจสอนเปนรายบุคคลหรือเปนกลุมเล็กๆ ก็ได ซ่ึงขึ้นอยู กับประเภทความบกพรองของเด็ก จํานวนเด็ก ระดับความสามารถของเด็ก ตลอดจนทักษะในการจัดการเรียนการสอนของคุณครู ชนิดของสื่อ อุปกรณ ในชนั้ เรียนดวย เดก็ ในหอ งเรยี นพเิ ศษนอ้ี าจไดเ ขา รว มกจิ กรรมกบั เดก็ ปกตใิ นหอ งเรยี น ปกติเปนบางเวลา ซึ่งกิจกรรมน้ันๆ ตองไมใชดานวิชาการ เชน การเลนกีฬา การเขาฟงการประชุมในหองประชุม หรือกิจกรรมดนตรี เปนตน แตถึงแม เด็กที่มีความบกพรองจะมีโอกาสไดมีปฏิสัมพันธทางสังคมกับเด็กท่ัวไปบาง ตามโอกาสตางๆ แตโดยทั่วไป เด็กท่ีมีความบกพรองจะมีโอกาสมีปฏิสัมพันธ กับเด็กปกติในวัยเดียวกันหรือไดเขารวมกิจกรรมที่ตองใชความรวมมือ ซึง่ กันและกนั นอยมาก 22 เดก็ เรยี นรูชา คมู อื สําหรับครู
ขอ ดีของหอ งเรยี นพเิ ศษ 1. สดั สว นของเดก็ นกั เรยี นทค่ี ณุ ครตู อ งรบั ผดิ ชอบนน้ั ตาํ่ กวา หอ งเรยี น ปกติ เชน คณุ ครู 1 คน ตอ งรบั ผดิ ชอบเดก็ ทีม่ ีความตองการพิเศษ 6 - 8 คน หรอื อตั รา 1: 6 - 8 ทาํ ใหค ณุ ครสู ามารถดูแลเด็กไดทั่วถงึ มากกวา 2. คุณครูท่ีดูแลหองเรียนพิเศษมีคุณวุฒิทางการศึกษาพิเศษ หรือ เปน คุณครทู ่ีผา นการอบรมดา นการสอนเดก็ ประเภทนี้โดยเฉพาะ 3. คุณครูมักสอนเปนกลุมเล็ก ทําใหการสอนมีคุณภาพมากกวา การสอนแบบกลมุ ใหญ 4. การเรยี นในชน้ั เรยี นพเิ ศษนน้ั มกั เปน แบบผอ นคลายและสนกุ สนาน มากกวาการเรยี นในชั้นปกติ เดก็ ทม่ี ีความบกพรองจงึ ไมร ูสกึ เครียด 5. เม่ือเด็กที่มีความตองการพิเศษไดเรียนกับเด็กที่มีความสามารถ พอๆ กัน เด็กมักรูสึกม่ันคงทางจิตใจมากกวาการเรียนอยูในชั้นปกติ ท่ีเดก็ คนอื่นทําไดดีกวาตน และเม่ืออยูในหอ งเรยี นพเิ ศษ เด็กจะไมถ ูกลอ เลยี น จากเพ่อื น 6. ผปู กครองสามารถตดิ ตอ สอบถาม พดู คุย และสรางสมั พันธภาพ กบั คุณครูไดง ายกวาเพราะมีคุณครูประจําหอ งเพียงคนเดยี ว 7. เนื่องจากคุณครูมีเด็กในการดูแลนอย ทําใหคุณครูรูจักเด็กดีกวา รวู า เด็กแตล ะคนมีจดุ ออนและจดุ แขง็ อยา งไร อยางไรก็ตามคณุ ครูในชัน้ เรยี นพิเศษจะตองมีคณุ ลกั ษณะดงั ตอไปน้ี 1. เขา ใจจดุ แขง็ และจดุ ออ นของเดก็ รวมถงึ รปู แบบและลลี าการเรยี นรู ของเด็กแตละคน 2. ปรบั การสอนใหส อดคลอ งกบั ความตอ งการพเิ ศษของเดก็ แตล ะคนได 3. สนบั สนนุ และชว ยเหลอื เพอื่ ตอบสนองความตอ งการพเิ ศษของเดก็ ไดอ ยางแทจ รงิ เดก็ เรยี นรูชา คูมอื สาํ หรับครู 23
4. คาํ นงึ ถงึ ปจ จยั ตา งๆ ทอ่ี าจสง ผลกระทบตอ การเรยี นการสอนและ วางแผนการจดั การเรียนการสอนสําหรบั เด็กแตล ะคนเพ่อื ใหเ กิดผลประโยชน สาํ หรับเดก็ ในอนาคตดว ย ขอเสียของหองเรียนพิเศษถึงแมหองเรียนพิเศษจะมีขอดีหลายอยาง แตก็มจี ดุ ออ นบางประการ 1. การจดั การเรยี นการสอนแบบนไ้ี มเ หมาะสาํ หรบั เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ ง ในระยะยาว แมว าการเรียนชั้นเรียนพิเศษอาจชว ยใหเ ดก็ มีทักษะดา นวชิ าการ มากขึ้น แตท กั ษะในการอยูรวมกบั ผูอนื่ ในสังคมนน้ั นอ ยลง 2. เนื่องจากเด็กเรียนรูไดดีที่สุดจากการเลียนแบบ และเด็กปกติถือ เปนตัวแบบที่ดีที่สุดสําหรับเด็กท่ีมีความบกพรอง ดังนั้นการเรียนในหองเรียน พิเศษจงึ ทาํ ใหเ ดก็ ขาดโอกาสในการพฒั นาทกั ษะทางสงั คมไป 3. คุณครูในหองเรียนพิเศษมักไมมีโอกาสไดรวมกิจกรรมกับคุณครู ท่ัวไปในโรงเรียน ทําใหความสัมพันธระหวางคุณครูการศึกษาพิเศษกับคุณครู ในหอ งเรยี นปกตหิ า งเหนิ กนั หอ งเรยี นพเิ ศษจงึ มกั เปน หอ งเรยี นทโี่ ดดเดยี่ วและ มกั ไมไดร บั ความรว มมือหรือความชว ยเหลอื จากคณุ ครูคนอ่นื ในโรงเรียน ปจจุบันน้ี เด็กที่มีความบกพรองทางสติปญญามีโอกาสเขาเรียน ในช้ันเรียนรวมมากข้ึน โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพรองทางสติปญญา ระดบั นอ ย สว นชนั้ เรยี นพเิ ศษจงึ เปน ทจ่ี ดั การศกึ ษาใหก บั เดก็ ทมี คี วามบกพรอ ง ทางสตปิ ญ ญาระดับปานกลางขน้ึ ไป 24 เด็กเรียนรชู า คูม ือสาํ หรบั ครู
การชว ยเหลือเด็กเรยี นรชู า ในชน้ั เรียน การชว ยเหลอื เดก็ เรยี นรชู า ทาํ ไดโ ดยการสอนใหเ ดก็ เรยี นรทู กั ษะการเรยี น เชน การจัดตารางเวลาอานหนังสือ การขีดเสนใตใจความสําคัญของเร่ือง ท่ีอาน ฯลฯ และส่ิงที่สําคัญคือการปรับวิธีการตางๆ ของคุณครูใหเหมาะสม กับความตองการของเด็กแตละคน ดังน้ัน จึงเห็นไดวาคุณครูไมควรให การชวยเหลือเดก็ เรียนรูชา ทุกคนดว ยวธิ เี ดยี วกนั ไปหมด บุคลากรในโรงเรียนทุกคนมีสวนชวยเหลือเด็กทั้งส้ิน ต้ังแตระดับ การบริหารถึงระดับการชวยเหลอื ในช้นั เรียน - ในระดับการบริหารนั้นสามารถชวยไดโดยการพิจารณาหลักสูตร ทใี่ ชสาํ หรับเด็กเรียนรูชา วามคี วามเหมาะสมหรอื ไม เพยี งใด - การชวยเหลือในชั้นเรียนน้ัน คุณครูควรปรับวิธีการสอนให เหมาะสมสําหรับเดก็ แตละคน เด็กเรียนรูชา คมู ือสาํ หรบั ครู 25
การชวยเหลอื โดยคณุ ครูมเี ทคนิค ดงั น้ี การชวยเหลือโดยตัวคณุ ครู สง่ิ สาํ คญั ทช่ี ว ยใหค ณุ ครสู ามารถสอนเดก็ เรยี นรชู า ไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ มีดงั ตอ ไปนี้ 1. คุณครูควรแจงเนื้อหาสําคัญที่เด็กตองเรียนในภาคการศึกษาน้ัน โดยใชโ ครงรา งของแตล ะวชิ า นอกจากนนั้ ควรแจง วนั สง งานทไี่ ดร บั มอบหมาย จะชวยใหเด็กสามารถมองภาพเนื้อหาท่ีตองเรียนทั้งหมดได วิธีน้ีจะเปน ประโยชนสําหรับเด็กเรียนรูชาในชั้นมัธยมศึกษาอยางมาก เพราะชวยให เด็กสามารถคาดการณถึงส่ิงท่ีจะตองพบในอนาคตอันใกล และเตรียมตัว รับสถานการณไ ด 2. แนวทางในการเรียน เปนวิธีการชวยเหลือสําหรับเด็กเรียนรูชา วิธีหนงึ่ แนวทางในการเรยี นรทู ี่คณุ ครคู วรแจงใหเ ด็กทราบมีดังน้ี 2.1 กําหนดวัตถุประสงคท ่เี ด็กตองทําใหชัดเจน 2.2 ระยะเวลาแนนอนทเ่ี ด็กตอ งเรียนในบทเรียนน้ันๆ 2.3 ผลงานทคี่ ณุ ครคู าดหวงั ในแตล ะบทเรยี น เชน การทาํ รายงาน หรือ การทาํ โครงงาน เปนตน 2.4 งานที่คุณครมู อบหมาย และกิจกรรมการเรียนตางๆ 2.5 เกณฑการประเมินผล สง่ิ เหลา นชี้ ว ยใหเ ดก็ เรยี นรชู า โดยเฉพาะระดบั ประถมศกึ ษาตอนปลาย หรือระดับมธั ยมศึกษามแี นวทางในการเรยี นมากข้นึ ทัง้ น้ี หากคณุ ครูตอ งการ นําวิธีน้ีมาใชกับเด็กที่มีภาวะเหลาน้ี คุณครูจําเปนจะตองแนะนําชวยเหลือ โดยเฉพาะในระยะแรกๆ 26 เด็กเรยี นรูช า คมู อื สาํ หรับครู
3. การใชคําถามลวงหนา เปนการเตรียมคําถามกอนการอาน เพอ่ื ชว ยใหเ ดก็ จดจอ กบั เนอ้ื หาทก่ี าํ ลงั จะอา นตอ ไป รจู กั การจบั ใจความสาํ คญั ตวั อยา งเชน การอานเรอ่ื งกระตา ยกบั เตา การอา นหนงั สือนทิ านเรื่อง กระตา ยกับเตา การเตรยี มการลว งหนา ควรใชค ําถามตอไปน้ี 1. เกิดอะไรขนึ้ ระหวา งกระตายกบั เตา 2. กระตา ยมีนสิ ัยอยา งไร 3. ใครเปน ผทู าชิงในการแขง ขนั 4. ใครเปน ผูช นะ 5. นักเรยี นคดิ วา เตาชนะเพราะอะไร เด็กเรยี นรชู า คูมอื สาํ หรบั ครู 27
4. การนําเสนอประเด็นสําคญั ดว ยรูปภาพ เปนการนําเสนอคําศัพท หรือใจความสําคัญในรูปแบบของกราฟ แผนภูมิโครงราง แผนภูมิความคิด (Mind mapping) ทําใหเดก็ เรยี นรูชา เรยี นไดด ีขน้ึ เพราะเด็กเหลา นที้ ําความ เขา ใจกบั เนอื้ หาทอ่ี า นไดค อ นขา งยาก ดงั นน้ั ในการนาํ เสนอใจความสาํ คญั ตา งๆ ดว ยรปู ภาพจะชว ยใหเ ดก็ สามารถจดั ระบบความคดิ ความจาํ และเขา ใจเรอื่ งท่ี อานไดงา ยขน้ึ รปู ภาพ 1. ตัวอยา งแผนภูมคิ วามคดิ เรอื่ งกระตายกับเตา หยู าว ขายาว กระตาย เรม่ิ ทา หลบั ใตต น ไม เ ขาเ สน ัชย สขี าว วง่ิ เรว็ วง่ิ แขง กระดองแข็ง ขาสนั้ ออกจาก เตา จดุ เริม่ ตน รบั คาํ สีนํ้าตาล เดนิ ชา ทา แขง สขี าว หยู าว ขายาว ่วิงเ ็รว กระตา ยกับเตา ปชระอมบาดูทถูกชคะนลอื่าในจ กระตา ยแพ แขง กนั เตา ชนะ ออ นนอ มมถุง อมม่ันตนอดทน ขาสั้น กระดองเดแินข็งชา รปู ภาพ 2. ตัวอยางแผนภูมกิ า งปลา เรอ่ื งกระตา ยกบั เตา อุปกรณชวยในการสอนอื่นๆ พบวา ส่ือการเรียนการสอนบางอยาง ทใ่ี ชเ สยี งและภาพในการนาํ เสนอชว ยใหเ ดก็ สนใจ กระตอื รอื รน และเขา ใจงา ยขน้ึ ซง่ึ โดยทว่ั ไป โรงเรยี นตา งๆ มกั ใชอปุ กรณเ หลา น้อี ยแู ลว เชน เทปบนั ทึกเสียง วซี ดี ี คอมพิวเตอร เปนตน 28 เด็กเรียนรูชา คมู อื สําหรบั ครู
การสรางทักษะสาํ คญั ใหกบั เดก็ เรียนรชู า คณุ ครผู สู อนจะพบวา เดก็ เหลา นมี้ ปี ญ หาทางการเรยี นหลายอยา ง เชน เรียนตามเพ่ือนไมทัน ทํางานท่ีคุณครูสั่งลาชา ซึ่งปญหาเหลาน้ีสงผลกระทบ ตอ เดก็ หลายดา น ทกั ษะหลายอยา งทเ่ี ดก็ ขาดไปมกั เปน ทกั ษะทคี่ ณุ ครมู องขา ม และไมมกี ารสอนใหก ับเด็กเหลานใ้ี นช้นั เรยี น ไดแก การสรา งความรูสึกวาตนเองมคี ณุ คา สิ่งสําคัญประการแรกท่ีคุณครูควรคํานึงถึงคือ เด็กเรียนรูชาเหลาน้ี มักมีความรูสึกวาตนเองไมคอยมีคุณคาเพราะทําอะไรไมไดเหมือนเพ่ือนๆ ในช้ัน โดยเฉพาะอยางยิ่งดานการเรียน ในขณะท่ีคุณครูหลายคนมักมีเจตคติ ตอเด็กท่ีเรียนไมดีในแงลบ ความคาดหวังท่ีคุณครูมีตอเด็กเหลาน้ีจึงต่ํากวา ความคาดหวังที่คุณครูมีตอเด็กทั่วไป เราจึงมักไดยินคุณครูพูดวา “เด็กคนนี้ ทาํ ไมไ ดห รอก เพราะเขาไมร เู รอ่ื ง” ไมว า คณุ ครจู ะตงั้ ใจหรอื ไมก ต็ าม ความรสู กึ ทางลบที่คุณครูมีตอเด็กที่มีความบกพรองนั้นจะแสดงออกมาใหเด็กคนอ่ืน เห็นและรับรูไมทางใดก็ทางหน่ึง ดังนั้น คุณครูจึงควรเปนตัวแบบที่ดีสําหรับ เด็กทุกคนดวยการปฏิบัติตอเด็กทุกคนในหองเรียนในแงบวก รวมถึงเด็กที่มี ความบกพรองทางสติปญญาทุกคนดวย ทั้งน้ี เพื่อใหหองเรียนมีบรรยากาศ ของการยอมรับชวยเหลือสนับสนุนเพื่อนท่ีแตกตางจากเรา นอกเหนือจากน้ี สิ่งที่เด็กรับรูไดวาคุณครูเต็มใจสอนคือ การที่คุณครูสนับสนุน ใหกําลังใจ ในความพยายามของเขานั่นเอง เด็กเรยี นรูช า คูม ือสาํ หรบั ครู 29
วธิ ีชว ยใหเด็กประสบความสาํ เร็จในชั้นเรียน ไดแ ก 1. ในการมอบหมายงาน คณุ ครตู อ งเลอื กงานทเี่ ดก็ เขา ใจและสามารถ ทาํ ได 2. การชใ้ี หเ ดก็ เหน็ สง่ิ ทเ่ี ขาทาํ สาํ เรจ็ ในแตล ะวนั ชมเชยในความพยายาม และความมงุ ม่นั ท่จี ะทําส่ิงน้นั แมวาสิง่ ท่เี ขาทาํ จะเปน เรอ่ื งเลก็ นอยกต็ าม สวนใหญความรูสึกวาตนเองมีคุณคามักเกี่ยวของกับการยอมรับ ในสังคม ดังนั้นการที่เด็กไดมีโอกาสทํากิจกรรมตางๆ รวมกับเพ่ือนคนอ่ืน ในช้ันเรียนนับเปนสิ่งหน่ึงท่ีสรางความรูสึกมีคุณคาใหกับเด็กเหลาน้ีได หรือเมื่อเด็กเรียนเปนกลุม เด็กอาจไดอธิบายส่ิงท่ีเขาคุนเคยหรือส่ิงที่เขา สนใจใหเพื่อนฟงได อีกท้ังการเลนบทบาทสมมติหรือสรางสถานการณ ใกลเ คยี งกบั สถานการณจ รงิ ใหเ ดก็ ไดฝ ก ฝน วธิ กี ารเหลา นย้ี อ มจะชว ยใหเ ดก็ ทมี่ ี ความบกพรอ งทางสตปิ ญ ญาตอบสนองตอ สง่ิ ตา งๆ ในสงั คมไดอ ยา งเหมาะสมดว ย การเรียนรูแบบรวมแรงรวมใจจะชวยใหเด็กไดเรียนรูกับกลุมไดดีขึ้น การจัดกลุมไดอยูในกลุมเพ่ือนที่มีความสนใจคลายกันน้ันจะชวยใหเด็กทํางาน เปน กลมุ ไดด ี หรอื คณุ ครอู าจใหโ อกาสเดก็ ทม่ี คี วามรสู กึ ตอ ตนเองตาํ่ ไดม โี อกาส พูดถึงส่ิงที่เด็กทําแลวประสบความสําเร็จใหเพ่ือนในช้ันฟง และคุณครูควร ใหค ะแนนท่ีเดก็ ทาํ ถูกตอ งหรอื อยูใ นระดับทยี่ อมรับได 30 เดก็ เรยี นรชู า คูม อื สาํ หรบั ครู
การสอนทกั ษะการเรียน ทักษะการเรียน เปนความสามารถท่ีเด็กทราบวา เขาจะตองเรียน อยางไรจึงจะประสบความสําเร็จในโรงเรียนได เด็กทั่วไปเรียนรูไดเองวาเขา ควรทาํ อยางไร เชน เม่อื ตอ งการใหไ ดค ะแนนดๆี เดก็ ปกตจิ ะต้งั ใจเรยี น ฝก ทาํ แบบฝกหัด หรืออานหนังสือทบทวนที่บาน แตเด็กเรียนรูชาจะขาดทักษะ ในดานน้ี วิธีท่ีจะทราบวาเด็กมีทักษะการเรียนหรือไมน้ัน คุณครูสามารถ ตรวจสอบไดโ ดยการใชค าํ ถามเกย่ี วกบั นสิ ยั การเรยี นของเดก็ หรอื ใชแ บบตรวจสอบ รายการ (Checklist) ดังตัวอยา งตอไปนี้ เดก็ เรยี นรชู า คูมือสาํ หรบั ครู 31
ตวั อยา งแบบตรวจสอบรายการทักษะการเรียน 1. นกั เรียนมสี ถานทีป่ ระจําสําหรับทําการบาน หรอื อานหนงั สอื หรอื ไม ............... 2. นักเรียนมเี วลาทาํ การบานหรอื อา นหนงั สอื เปน ประจาํ หรอื ไม ............... 3. นกั เรียนมสี มดุ จดงานแตละรายวิชาหรือไม ............... 4. นกั เรียนจดงานขณะทค่ี ุณครสู อนในหองเรยี นหรือไม ............... 5. นกั เรยี นทําสมดุ ยองานหรอื ใชปากกาเพอ่ื เนน ขอ ความสําคัญ ท่ีไดอ า นไปหรือไม ............... 6. นกั เรียนทบทวนส่งิ ท่ีเรียนมาเปนประจาํ หรือไม ............... 7. นกั เรยี นไดจ ดหรอื ทําส่งิ ท่ีอานใหเปนหัวขอยอ ยๆ หรอื ไม ............... 8. นักเรยี นทําตารางหรอื ทาํ เครอ่ื งหมายในวนั ทีต่ อ งสง งาน หรือวันท่ีตองสอบหรือไม ............... 9. นกั เรียนเขา หอ งสมดุ เปน ประจําหรอื ไม ............... นอกจากนี้ คณุ ครอู าจนาํ ขน้ั ตอนการอานเพอ่ื ความเขา ใจมาสอนเดก็ บางคนที่มีปญหาดานความเขาใจจากการอาน โดยเฉพาะการอานเร่ืองยาวๆ เพื่อชว ยใหเ ดก็ อานไดด ขี ึ้น วธิ ีดังกลาวมลี าํ ดบั ขนั้ ตอนดงั น้ี 1. สอนใหเด็กรูจักกวาดสายตา โดยการอานชื่อเรื่อง ยอหนาแรก หัวขอแตล ะขอ และยอหนาสุดทา ยแบบผา นๆ 2. ตง้ั คาํ ถามโดยใชห วั เรื่องและหัวขอ ยอยเปน ตวั ตง้ั คาํ ถาม 3. อานเนอ้ื เรื่อง เพ่ือหาคาํ ตอบจากคําถามท่ีต้ังไว 4. ทบทวนทั้งคาํ ถามและคําตอบ 5. อานเนอ้ื เรือ่ งเพอ่ื ทบทวนคําถามและคาํ ตอบทุกวนั 32 เดก็ เรียนรชู า คูมอื สาํ หรับครู
ท้ังนี้เด็กจะอานไดเขาใจมากขึ้นหากเขาสามารถเช่ือมโยงส่ิงท่ีอาน เขา กบั สง่ิ ทเ่ี กดิ ในชวี ติ ประจาํ วนั หรอื ประสบการณส ว นตวั ของเขาได แตเ นอ่ื งจาก ประสบการณของเด็กแตละคนแตกตางกัน ดังน้ันการเปดโอกาสใหเด็กได เรียนรูประสบการณหลากหลาย เชน การทัศนศึกษา จึงจําเปน อยางยงิ่ วิธีการอีกอยางหนึ่ง คือ คุณครูควรกระตุนใหเด็กรูจักคิดเก่ียวกับ ชื่อเรื่องตั้งแตเร่ิมอานเร่ืองนั้น ๆ หรือคุณครูอาจกระตุนใหเด็กคิดหลังจาก อานเร่ืองจบ เชน เม่ืออานเรื่องนี้แลวใหนักเรียนลองคิดดูวาเธอจะทําอยางไร ถาเกิดน้ําทว มและตองตดิ อยใู นรถอยา งเดก็ ในเร่อื งนี้ เปน ตน นอกจากนี้คุณครูควรสนับสนุนใหเด็กแสดงความคิดเห็นจากเร่ือง ทอ่ี า นหรอื ใหเ ดก็ อา นทลี ะยอ หนา แลว แสดงความคดิ เหน็ เมอื่ ใดกต็ ามทเี่ ดก็ ได คาดเดาและคิดต้ังคําถามเก่ียวกับเร่ืองท่ีอานเด็กจะมีความเขาใจมากข้ึน เด็กท่ีมีความบกพรองมักรูสึกเครียดเมื่อตองอานเร่ืองยาวๆ ทีละมากๆ หรอื การตอบคาํ ถามทเ่ี ปน การอธบิ ายยาวๆ ดงั้ นนั้ คณุ ครคู วรลดงานใหน อ ยลง หรืออาจใหเด็กแสดงความเขาใจเร่ืองที่ไดเรียนมาดวยการทําโครงงานตางๆ แทนการสอบเพยี งอยา งเดยี ว เด็กเรียนรชู า คมู อื สาํ หรบั ครู 33
การสรางทกั ษะการจดั ระเบียบงาน มีดงั น้ี 1. การตดิ ตามงานและอปุ กรณก ารเรยี น คณุ ครคู วรตรวจสอบวา เดก็ มี อปุ กรณก ารเรยี นครบถว นหรอื ไม ดวู า เดก็ จดั ระบบและวางแผนลว งหนา สาํ หรบั ความตอ งการของแตล ะชัน้ เรียนอยางไร เชน ตารางเรยี นทีม่ ีแถบสชี วยใหเด็ก มองเห็นไดชัดเจนวาเวลาใดตอ งไปท่ไี หน และจะเรียนวิชาอะไร เปนตน 2. การทําตามคําสั่ง กอนที่จะใหเด็กทํางานอะไร คุณครูควรใหเขา เกบ็ โตะ ของตวั เองใหเ รยี บรอ ยเสยี กอ น โตะ โลง จะชว ยใหเ ดก็ มสี มาธใิ นการฟง คาํ สง่ั ไดด ีกวาโตะทีม่ ขี องลอ ตาลอ ใจเด็ก 3. คณุ ครคู วรใชค าํ สงั่ เปน ขอ ยอ ยๆ แลว ใหเ ดก็ ทบทวนคาํ สงั่ กอ นเรมิ่ ทํางาน 4. ถาคําสั่งเปนตัวหนังสือ คุณครูควรใหเด็กขีดเสนใตหรือวงกลม คาํ สาํ คัญ เชน คําวา “จับค”ู “สงิ่ ของตรงขา ม” เปนตน 5. เด็กบางคนที่มีปญหาเร่ืองการเรียงลําดับ วิธีการชวยเหลือ คือ คณุ ครคู วรใหเ ดก็ เขยี นหรอื บอกขัน้ ยอยๆ ตามลําดับ เชน 1) อานคําสง่ั กอ นลงมอื ทาํ ทุกครัง้ 2) ใหเ ลือกคําตอบทีถ่ กู ทสี่ ดุ เพยี งขอ เดียว 3) หากไมเขาใจใหย กมอื ขนึ้ ถาม เพอื่ ใหเ ดก็ มโี อกาสทบทวนคาํ สง่ั ตามลาํ ดบั และตรวจสอบความเขา ใจ กอ นทีจ่ ะเรม่ิ ทาํ ดวย 6. การทาํ งานทไี่ ดร บั มอบหมายใหเ สรจ็ กอ นทค่ี ณุ ครจู ะเลอื กวธิ กี าร ท่ีจะชวยใหเด็กทํางานไดสําเร็จน้ัน คุณครูควรวิเคราะหระบบการทํางานของ เดก็ คนน้นั เสยี กอน - ประการแรกคือ การจัดแบงเวลาในการทํางานแตละอยาง เด็กแตละคนทํางานชาหรือเร็วไมเทากัน เด็กบางคนอาจตองการเวลา ในการทํางานมากกวาเพ่อื นคนอื่น 34 เด็กเรียนรูชา คมู อื สาํ หรบั ครู
- คุณครอู าจจําเปนตองใชอ ปุ กรณช วย เชน นากิ าจับเวลา เพ่อื ให เด็กเห็นวาตัวเองเหลือเวลาในการทํางานชิ้นน้ันอีกเทาไร และเด็กตองรูวาเขา ตอ งสงงานเวลาใด เปนตน 7. การทําการบานใหเสร็จ การบานของเด็กแตละคนควรเปน สิ่งทีเ่ หมาะสมกบั ความสามารถของเขา เพราะหากการบานยากเกินไป เด็กจะ รสู กึ เครียด คับขอ งใจและหมดหวังในการทาํ งานชนิ้ น้นั หากคุณครไู มไ ดร ะวงั อาจทําใหการบานกลายเปนปญหาสําคัญในการเรียนของเด็กดวย ปญหา เหลา นม้ี ดี ังตอ ไปน้ี - คณุ ครใู หการบานมากเกนิ ไป เด็กจึงเกดิ ความรสู กึ เบ่อื หนายหรือ ไมมีโอกาสทํากิจกรรมดานอ่ืนๆ ที่เด็กวัยนั้นควรไดทํา เชน การพักผอนหรือ การเลน กฬี า เปนตน - ผปู กครองสอนการบา นทไ่ี มต รงกบั วธิ กี ารสอนของคณุ ครทู โ่ี รงเรยี น เด็กจึงเกดิ ความสับสน - เดก็ ทไ่ี มเ ขา ใจหรอื ไมส ามารถทาํ การบา นเองได จงึ ตอ งลอกการบา น จากเพอ่ื น ดงั นน้ั สงิ่ ทคี่ ณุ ครคู วรคาํ นงึ คอื การบา นควรเปน ตวั ชว ยใหเ ดก็ ไดฝ ก ฝน ทกั ษะทเี่ รยี นรจู ากโรงเรยี น แตป รมิ าณการบา นตอ งพอดกี บั ความสามารถของ เดก็ ดว ย เดก็ เรียนรูชา คมู อื สําหรับครู 35
เมอ่ื ใหการบา น สิ่งทคี่ ุณครคู วรทํา 1. การบา นตองนาสนใจ นา สนุก เชน หากคณุ ครตู องการใหเ ด็กฝก เร่ืองการวัด คุณครูควรใหเด็กวัดหาพื้นท่ีของหองนอน หองครัว แทนท่ีจะให ฝก จากใบงานเพียงอยา งเดยี ว 2. คณุ ครูตองอธบิ ายเหตผุ ลในการใหก ารบา นแตล ะอยา งใหช ัดเจน 3. คุณครูควรรับฟงวานักเรียนคิดอยางไรกับการบานที่คุณครู มอบหมายให 4. ขอความคิดเห็นจากผูปกครองบาง คุณครูตองระลึกเสมอวา ผูปกครองเปนคนดูแลและชวยเหลือใหเด็กทําการบาน ดังนั้นขอแนะนําจาก ผูปกครองจึงเปนประโยชนอยา งมาก ส่ิงทคี่ ณุ ครไู มค วรทาํ 1. เมอื่ เดก็ ทาํ ผิด ใหการบา นเพม่ิ ขน้ึ เพื่อเปน การทําโทษ 2. คุณครูคิดเอาเองวา การท่ีเด็กไมถาม หมายถึง เด็กเขาใจงาน ทไี่ ดร บั มอบหมาย เพราะบางครง้ั เดก็ ทไี่ มเ ขา ใจอะไรเลยจงึ ไมท ราบจะถามอะไร 3. คุณครูคาดหวังวาเด็กทุกคน (แมจะเปนเด็กท่ีดีที่สุดในชั้น) จะทําการบา นเสร็จเรยี บรอยทกุ ครง้ั 4. ใหก ารบา นในเรื่องท่ียังไมไ ดสอน 36 เด็กเรยี นรชู า คมู อื สําหรบั ครู
การสรางแรงจูงใจในการทาํ งาน 1. การใชร างวลั เปน แรงจงู ใจ รางวลั หรอื แรงจงู ใจอาจเปน ขนม ของกนิ ของเลน เล็กๆ นอยๆ หรอื สิง่ ทีม่ คี า มากกวา สิง่ ของ คือ ทา ทีของคุณครทู แี่ สดง การยอมรับ ชื่นชมเมื่อเด็กทําไดสําเร็จ ซึ่งสามารถแสดงไดโดยการใหคําชม การโอบกอด หอมแกม การพยกั หนา ยิ้มตอบ เมอื่ เดก็ ทํางานสําเร็จ - ส่งิ ทส่ี าํ คัญทสี่ ุดของการใหร างวลั คอื คณุ ครูตอ งพยายามใหร างวัล ทันทีหลังจากท่ีเด็กทําสําเร็จ เชน การใหคําชมโดยทันที การใหเหรียญสะสม การใหสติกเกอรตดิ ในสมุด หลังเด็กทาํ งานเสรจ็ - สงิ่ ทสี่ าํ คญั รองลงมาคอื อยา รอใหร างวลั เมอื่ เดก็ ทาํ งานเสรจ็ ทง้ั หมด เพราะเด็กอาจจะทอและเบ่ือไปกอนท่ีจะไดรางวัล แตใหแบงงานน้ันเปน ข้ันตอนยอยๆ แลวใหรางวัลทันทีที่เด็กทําสําเร็จไดในขั้นตอนยอยๆ เชน เด็กมีการบานเลขทั้งหมด 10 ขอ ใหรางวัลเมื่อเด็กทําเลขไดเสร็จทุก 2 ขอ จะทาํ ใหเด็กสนใจและรว มมอื ในการทาํ จนเสร็จไดมากกวา 2. ควรมีการกําหนดงานท่ีตองการใหเด็กทําอยางชัดเจน เชน อานหนังสือ 4 หนา ทองคําศัพท 10 คํากอนดูการตูน หรือ เอาขยะไปท้ิง หลังรับประทานอาหารเสร็จ หรือใชเวลาเปนตัวกําหนด เชน ทําแบบฝกหัด สะกดคําเปนเวลา 30 นาที หลังจากน้ันใหกําหนดส่ิงที่เด็กจะไดรับเมื่อเด็ก ทําไดสําเร็จ และส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนเม่ือทําไมสําเร็จ เชน ถาตองการใหเด็กทําเลข ท้งั หมด 20 ขอ คณุ ครสู ามารถต้งั ขอ ตกลงไดวา ถา เดก็ ทาํ เลขได 5 ขอ เด็กจะ ไดพัก 5 นาที (เปนการแบงงานและใหรางวัลทันที) แลวถาเด็กทําเลขเสร็จ หมดครบ 20 ขอ เดก็ จะไดทํากิจกรรมที่ชอบ 1 เรอื่ ง แตถ า วันน้ีทํางานไมเสรจ็ เด็กจะตอ งงดทาํ กจิ กรรมท่ีชอบ เดก็ เรียนรูชา คูม ือสําหรับครู 37
3. ถา เด็กมพี ฤติกรรม อดิ ออด ลุกจากท่ีน่ัง คุณครจู ําเปน ตอ งจดั การ โดยเร็ว โดยการเขาไปใหความสนใจ เชน การแตะตัว นําตัวกลับมาที่เกาอ้ี หาปญหาท่ีทําใหเด็กทํางานตอไมไดและใหการชวยเหลือ เชน มีโจทยเลข บางขอท่ีเด็กไมเขาใจ ทําใหเด็กไมอยากทําตอ และยืนยันดวยทาทีสงบ หนกั แนน ใหเ ดก็ ทําตามขอ ตกลงท่ตี กลงกันไว คุณครอู าจพดู วา “คณุ ครรู วู า หนไู มอ ยากทาํ แลว แตไ หนดซู ิ โอโห หนทู าํ ไปตง้ั ครง่ึ นงึ แนะ คุณครูอนุญาตใหพักกอนได แลวเด๋ียวกลับมาคุณครูจะชวยทําขอที่หนู วา มันยากนะ” “ตน เลกิ เลน เดย๋ี วนี้ หนูไปทํางานตอไดแลว (คุณครูเดินจูงมือตน ไปที่โตะ) ตน เราตกลงกนั วา อะไร” 4. ถาเด็กอาละวาด ไมยอมทําตามกติกา หลังจากที่ยืนยันกติกา ที่ต้ังไว คุณครูควรเขาไปหยุดพฤติกรรมนั้นโดยทันที โดยการจับตัวใหหยุด ถาพฤติกรรมน้ันเปนอันตรายตอเด็กหรือเปนอันตรายตอคนอ่ืน หรือ มีการทําลายสิ่งของ แตถาเปนการรองอาละวาดโวยวายเพียงอยางเดียว คุณครูควรบอกเด็กวา คุณครูเขาใจสิ่งที่เขารูสึก แตกฎก็ยังเปนกฎ เชน “คุณครูรูวาหนูไมอยากทําแลว แตเราตกลงกันแลว คุณครูจะรอจนหนู รองไหเสร็จ แลวเรามาทําเลขขอที่เหลือกัน” เพ่ือใหเด็กทราบวาไมวาจะรอง อยา งไรกต็ อ งทาํ จนเสร็จอยูด ี 38 เดก็ เรยี นรูช า คูมอื สาํ หรับครู
การพฒั นาทกั ษะทางสังคม เดก็ เรียนรูช าจํานวนมากมีปญหาในการเขาสงั คมกบั เพ่ือนวัยเดยี วกัน ปญ หาทพ่ี บบอยคือ เด็กเรียนรชู า มกั ถูกลอ ถกู แกลง ถกู เพ่ือนแหยอ ยูเสมอๆ ทั้งนี้เน่ืองจากเด็กเรียนรูชามักคิดไมทันเพื่อน ควบคุมอารมณตนเองไดนอย เมอ่ื ถกู เพอ่ื นแกลง มกั จะโวยวาย หรอื มพี ฤตกิ รรมกา วรา ว ยงิ่ ทาํ ใหเ ปน จดุ สนใจ ของเด็กท่ัวๆ ไป บางรายอาจเรียกรอ งความสนใจแบบไมเหมาะสม ทําใหเด็ก กลายเปนตัวตลกไดบ อ ยๆ การฝกทักษะทางสังคมรวมถึงการฝกควบคุมอารมณจะทําใหเด็ก เขากบั เพ่ือนไดด ขี ้ึน ซ่ึงคณุ ครสู ามารถชว ยเหลอื ไดดังนี้ 1. คนหาวา ปญ หาการเขาสังคมกบั เพื่อนอยูท ่ไี หน โดยอาศัยการเลน ของเด็ก ทกั ษะตา งๆทีเ่ ดก็ ใชเ วลาอยูกับเพือ่ น เชน - ทักษะในการสื่อสาร ความเขาใจในกฎกติกาของเกมตางๆ การริเริ่มบทสนทนากบั ผอู ืน่ เมื่อเร่มิ ทําความรูจ ักกับเพื่อน - ความสามารถในการเลน เชน ทกั ษะกฬี าตา งๆ เดก็ ทาํ ไดด หี รอื ไม - ทักษะการอยูรวมกับผูอ่ืน ความสามารถในการเลนตามเพ่ือน รจู ักเอื้อเฟอ มนี ้าํ ใจ ขอโทษ ขอบใจ เขาใจความรสู ึกของคนอนื่ 2. จัดโอกาสและหาแบบฝกหดั ใหเดก็ ไดฝกฝนทกั ษะ โดยหากิจกรรม ใหเด็กไดทําเปนคูหรือเปนกลุม โดยกิจกรรมเหลานั้นตองมีระเบียบกฎเกณฑ และขนั้ ตอนทช่ี ัดเจน โดยครชู ว ยควบคมุ 3. จัดเพื่อนชวยดูแลเด็กเรียนรูชา ครูควรจัดเพื่อนท่ีสนิทหรือ เพื่อนที่อาสาดูแล คอยชวยเตือน ชวยครูดูแลเด็กชวงระหวางที่เด็กไมอยูใน หองเรียน และยังเปนตัวอยา งที่ดีในการฝกทกั ษะสังคมไดอ ีกดวย เด็กเรียนรชู า คมู อื สาํ หรบั ครู 39
เอกสารอา งอิง กุลยา กอสุวรรณ. (2553). การสอนเด็กที่มีความบกพรองระดับเล็กนอย. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ณัชพร นกสกุล. (2554). การบริหารจัดการเรียนรวม โดยใชโครงสรางซีท สํานักงานคณะกรรมการศึกษาข้ันพื้นฐาน กรณีศึกษา: โรงเรียนวัดอุทัยธาราม สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษา กรงุ เทพมหานคร. กรงุ เทพ: กลมุ งานการศกึ ษาพเิ ศษ สถาบนั ราชานุกลู . นพวรรณ ศรวี งศพานิชย, พฏั โชคมหามงคล. ภาวะบกพรองทางสตปิ ญ ญา/ ภาวะปญ ญาออ น (Intellectual Disability/ Mental Retardation). ใน นชิ รา เรอื งดารกานนท. ตําราพัฒนาการเดก็ และพฤติกรรม. กรงุ เทพมหานคร : โฮสสตกิ พับลชิ ชง่ิ . 2551: 179-204 มหาวิทยาลยั มหดิ ล. ไอโอดีนกบั สตปิ ญญาเด็กไทย: บทท่ี 5 การควบคุมและ ปองกันโรค. จาก www.il.mahidol.ac.th/e-media/iodine/ chapter 5.html ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ และคณะ. สุขภาวะเด็กและวยั รุน ไทยอายุ 6 - 12 ป. ใน ราชวิทยาลัยกุมารแพทยแหงประเทศไทย. รายงานโครงการ วิเคราะหสุขภาวะของเดก็ และวยั รุน ไทย. 2552 : 137-161 วนิดา ชนนิ ทยุทธวงศ และคณะ. (2554). พิมพครัง้ ท่ี 3. สมองเด็กไทย... รอไมไ หวแลว . กรงุ เทพฯ: บริษทั บียอนด พบั ลสิ ชง่ิ จํากัด -------------. (2554). แบบคัดกรองปญหาพัฒนาการและแนวทางการสง เสริมพัฒนาการเด็กบกพรองทางพัฒนาการและสติปญญา. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท บยี อนด พบั ลสิ ชง่ิ จาํ กดั . 40 เด็กเรยี นรชู า คมู ือสําหรับครู
วินัดดา ปยะศิลป และพนม เกตุมาน. (2550). ตําราจิตเวชเด็กและ วัยรุน เลม 2. ภาวะปญญาออน. หนา 197 - 208. กรุงเทพฯ: บริษัท ธนาเพรส จาํ กดั . ศรีเรือน แกวกังวาล. เด็กปญญาออน. ใน ศรีเรือน แกวกังวาล. จิตวิทยา เด็กพิเศษ. กรงุ เทพฯ สํานักพมิ พหมอชาวบา น. 2545: 49 - 99 สินีนาฏ จติ ตภ ักด,ี แสงเดอื น ยอดมณวี งศ และคณะ. (2548). พมิ พค รั้งที่ 2. คูมือเสริมสรางไอคิวและอีคิวเด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนุบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จาํ กดั . อนุ เรอื น อาํ ไพพสั ตร. (2548). จติ วทิ ยาการสอนเพอ่ื พฒั นาบคุ คลพเิ ศษดา น สติปญญา. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค รุ สุ ภาลาดพราว. เดก็ เรยี นรูชา คูมอื สาํ หรับครู 41
42 เดก็ เรยี นรชู า คมู อื สําหรบั ครู
ภาคผนวก เดก็ เรยี นรชู า คูมือสําหรบั ครู 43
แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (Individualized Education Program: IEP) กอ นการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ระดบั การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ชอ่ื สถานศกึ ษา......................................................สงั กดั ................................................ เรม่ิ ใชแ ผนวนั ท่ี .................................................................สน้ิ สดุ แผนวนั ท่ี .................... ระดบั อนบุ าลปท ่ี ............... ประถมศกึ ษาปท ่ี ............ 1. ขอ มลู ทว่ั ไป ชอ่ื – ชอ่ื สกลุ ................................................................................................................ เลขประจาํ ตวั ประชาชน ............................................................................................... การจดทะเบยี นคนพกิ าร ไมจ ด ยงั ไมจ ด จดแลว ทะเบยี นเลขท่ี ................................................................................................................. วนั /เดอื น/ป เกดิ ...................... อายุ ..........ป .................... เดอื น ศาสนา .................... ประเภทความพกิ าร ........................................ลกั ษณะความพกิ าร .............................. ชอ่ื – สกลุ บดิ า ............................................................................................................... ชอ่ื – สกลุ มารดา ........................................................................................................... ชอ่ื – สกลุ ผปู กครอง ............................................................เกย่ี วขอ งเปน .................... ทอ่ี ยผู ปู กครองทต่ี ดิ ตอ ได บา นเลขท่ี .................................. ชอ่ื หมบู า น ....................... ถนน ..........................ตาํ บล/แขวง ...........................อาํ เภอ/เขต ................................. จงั หวดั ....................................................... รหสั ไปรษณยี ............................................ โทรศพั ท ...............................มอื ถอื ...................................... โทรสาร ............................... e-mail address …………………………………………………………………………………………… 44 เด็กเรียนรูชา คูมอื สาํ หรบั ครู
2. ขอ มลู ดา นการศกึ ษา ไมเ คยไดร บั การศกึ ษา/บรกิ ารทางการศกึ ษา เคยไดร บั การศกึ ษา/บรกิ ารทางการศกึ ษา ศนู ยก ารศกึ ษาพเิ ศษ สว นกลาง .........................ระดบั .......................... พ.ศ. ............. โรงเรยี นเฉพาะความพกิ าร ............................... ระดบั ........................ พ.ศ. ................ โรงเรยี นเรยี นรว ม ............................................... ระดบั ......................... พ.ศ. ................ การศกึ ษาดา นอาชพี ...........................................ระดบั ...................... พ.ศ. ................ การศกึ ษานอกระบบ ..........................................ระดบั ...................... พ.ศ. ................ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ...................................... ระดบั ....................... พ.ศ. ................ อน่ื ๆ ...................................................................ระดบั ...................... พ.ศ. ............... เด็กเรยี นรชู า คูม ือสาํ หรับครู 45
46 เดก็ เรยี นรชู า คมู อื สําหรบั ครู 3. การวางแผนการศกึ ษา ระดบั ความสามารถใน เปา หมายระยะยาว 1 ป จดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม การประเมนิ ผลปจ จบุ นั ผรู บั ผดิ ชอบ ปจ จบุ นั (เปา หมายระยะสน้ั ) ดา นกลา มเนอ้ื การออกกําลังเพ่อื เสริมสราง เม่ือตองทํากิจกรรมท่ีตองใช สงั เกตจากการรว ม จดุ เดน พฒั นาการของกลา มเนอ้ื และ ความสามารถในการทาํ งานของ กจิ กรรมกลางแจง การใชง านของกลา มเนอ้ื การทรงตวั กลามเน้ือสวนตางๆ นักเรียน มัดใหญในการทํากิจกรรม สามารถทําไดตามวัตถุประสงค ตา งๆ สามารถทาํ ไดใ น ทกุ ครง้ั ระดบั หนง่ึ จดุ ดอ ย การฝกทักษะการใชงานของ เม่อื ฝกกิจกรรมประเภทลีลามือ สงั เกตจากการรว ม การใชง านของกลา มเนอ้ื กลา มเนอ้ื มดั เลก็ ในการ นักเรียนสามารถลากเสนตาม กจิ กรรมภายในชั้นเรียน มดั เลก็ ยงั ตอ งชว ยเหลอื เชน หยบิ จบั ขดี เขยี น และ แบบได ต้ังแตลักษณะเสนพ้ืน เรอ่ื งนา้ํ หนกั มอื ในการเขยี น การใชม อื กบั อปุ กรณง า ยๆ ฐานจนถึงแบบพยัญชนะงายๆ ทไ่ี มซ บั ซอ น
3. การวางแผนการศกึ ษา (ตอ ) ระดบั ความสามารถใน เปา หมายระยะยาว 1 ป จดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม การประเมนิ ผลปจ จบุ นั ผรู บั ผดิ ชอบ ปจ จบุ นั (เปา หมายระยะสน้ั ) ดา นการชว ยเหลอื ตวั เอง จดุ เดน นกั เรยี นสามารถชว ยเหลอื การชวยเหลือตัวเองโดยลด - เมอ่ื ตอ งทาํ ความสะอาด สงั เกตจากการรว ม ตวั เองในเรอ่ื งงา ยๆ ได เชน การดแู ลลง รา งกาย นกั เรยี นสามารถ กจิ กรรมประจาํ วนั รบั ประทานอาหาร เขา หอ งนา้ํ ทาํ ความสะอาดไดเ อง ปส สาวะ หยบิ จบั สง่ิ ตา งๆ ตามความตอ งการไดด ี โดยครไู มต อ งชว ยเหลอื หรอื ลดการชว ยเหลอื ลงในบาง กจิ กรรม เดก็ เรียนรชู า คูมือสําหรับครู 47 จดุ ดอ ย - ขณะรบั ประทานอาหาร - ยงั ไมส ามารถชว ยเหลอื รบั ผดิ ชอบตอ กจิ วตั ร ตวั เองไดด ี ยงั ตอ งการ ประจาํ วนั ของตวั เอง นกั เรยี นสามารถรบั ประทาน ไดเ รยี บรอ ยและเกบ็ ผดู แู ลในบางครง้ั เชน โดยไมต อ งเตอื น เศษอาหารจนสะอาดหลงั จาก รบั ประทานอาหารไดแ ต รบั ประทานเสรจ็ ยงั หกเลอะเทอะ เขา หอ งนา้ํ ไดแ ตย งั ตอ งดแู ล - เมื่อตอ งปฏิบตั ิกจิ วตั ร ประจําวัน นักเรียนสามารถ ความสะอาด เปน ตน สง การบา นและเก็บสิ่งของ - ยงั ตอ งเตอื นในการปฏบิ ตั ิ กจิ วตั รประจาํ วนั บางเรอ่ื ง ตา งๆ ไดถ กู ทโ่ี ดยครไู มต อ งเตอื น
48 เดก็ เรยี นรชู า คมู อื สําหรบั ครู 3. การวางแผนการศกึ ษา (ตอ ) ระดบั ความสามารถใน เปา หมายระยะยาว 1 ป จดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม การประเมนิ ผลปจ จบุ นั ผรู บั ผดิ ชอบ ปจ จบุ นั (เปา หมายระยะสน้ั ) ดา นภาษาและการสอ่ื สาร จดุ เดน รูจักและปฏิบัติตามคําส่ัง - นกั เรยี นสามารถสอ่ื สาร เม่อื ตองส่อื สารกับผอู ่นื นักเรียน สงั เกตจากการรว ม งา ยๆ ทไ่ี มซ บั ซอ นได โดยคาํ พดู การทาํ รปู ปาก สามารถใชก ารพดู ภาษาทา ทาง กจิ กรรมประจาํ วนั จดุ ดอ ย ตามแบบได หรือรูปภาพในการส่ือสารได ไมม เี สยี งพดู - นกั เรยี นเขา ใจคาํ ศพั ท ทกุ ครง้ั ในชวี ติ ประจาํ วนั โดย การสอ่ื สารแบบใชก ารพดู ประกอบภาพ พน้ื ฐานดา นวชิ าการ ภาษาไทย จดุ เดน - เขยี นเสน พน้ื ฐานตามรอย - เมอ่ื ใหน กั เรยี นทาํ กจิ กรรม สงั เกตจากการรว ม - สามารถเขยี นเสน พน้ื ฐาน และเสน ประพยญั ชนะ นกั เรยี นสามารถทาํ กจิ กรรม กจิ กรรมประจาํ วนั ตามรอยได ตามรอยไดเ องโดยไมม ผี ชู ว ย ไดอ ยา งมสี มาธเิ ปน เวลา 30 - มสี มาธแิ ละความสนใจ - นกั เรยี นมสี มาธใิ นการทาํ นาที ประมาณ 15 - 20 นาที กจิ กรรมตา ง ๆ อยา งนอ ย 30 นาที
3. การวางแผนการศกึ ษา (ตอ ) เดก็ เรียนรชู า คูมือสําหรับครู 49 ระดบั ความสามารถใน เปา หมายระยะยาว 1 ป จดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรม การประเมนิ ผลปจ จบุ นั ผรู บั ผดิ ชอบ ปจ จบุ นั - บอกตวั เลข 1 - 10 (เปา หมายระยะสน้ั ) จดุ ดอ ย ตามคาํ สง่ั ได - นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ติ าม ปฏบิ ตั ติ ามคาํ สง่ั ไดบ างสว น คาํ สง่ั ไดย า งถกู ตอ งอยา งนอ ย เนอ่ื งจากไมไ ดย นิ เสยี ง วนั ละ 20 คาํ สง่ั คณติ ศาสตร - เมอ่ื ใหน กั เรยี นชต้ี วั เลข สงั เกตจากการทาํ กจิ กรรม จดุ เดน 1 - 10 แบบไมเ รยี งลาํ ดบั และการทาํ แบบฝก - นกั เรยี นสามารถชต้ี วั เลขได ประจาํ วนั จดุ ดอ ย ถกู ตอ ง 8 ครง้ั จาก 10 ครง้ั - ไมร จู กั ตวั เลข และจาํ นวน - เมอ่ื ใหบ อกสนี กั เรยี นสามารถ บอกสถี กู ตอ ง 4 จาก 7 สี - ไมร จู กั สี - ชบ้ี อกสตี ามคาํ สง่ั ได - เขยี นตวั เลขโดยมี ถกู ตอ งอยา งนอ ย 7 สี - เมอ่ื ใหเ ขยี นตวั เลขนกั เรยี น สามารถเขยี นตวั เลข 1 - 10 รอยประไมไ ด - เขยี นตวั เลข 1 - 10 โดย ตามรอยไดอ ยา งถกู ตอ ง มรี อยประไดถ กู ตอ ง
4. คณะกรรมการจดั ทาํ แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ลายมอื ชอ่ื ชอ่ื ตาํ แหนง ...................... ...................... .................................................. ผอู าํ นวยการโรงเรยี น ...................... .................................................. หวั หนา งานการศกึ ษาพเิ ศษ ....................... .................................................. ครปู ระจาํ ชน้ั ....................... .................................................. ผชู ว ยครปู ระจาํ ชน้ั .................................................. ผปู กครอง ประชมุ วนั ท่ี ............... เดอื น ...................................................... พ.ศ. ............................. 5. ความคดิ เหน็ ของบดิ า/มารดา/ผปู กครองหรอื ผเู รยี น การจดั ทาํ แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คลฉบบั น้ี ขา พเจา เหน็ ดว ย ไมเ หน็ ดว ย เพราะ ............................................................... ลงชอ่ื ....................................................... ( .......................................................... ) เกย่ี วขอ งเปน ........................................... วนั ท่ี ......... เดอื น ............................. พ.ศ. .................. 50 เด็กเรียนรูช า คมู อื สําหรับครู
Search