132 1.1.5 แผ่นแปะคุมกาเนิด (ยาคุมกาเนิดชนิดแปะผิวหนัง) แผ่นแปะคุมกาเนิด เป็นวิธีคุมกาเนิดรูปแบบหนึ่งท่ีมีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 91-99 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสาหรับสาวๆ ท่ีต้องการความสะดวกสบายหรือมีปัญหาลืมรับประทานยาคุมเป็นประจา ใช้งานงา่ ย เพียงตดิ ทิ้งไว้บนผิวหนังบริเวณท้อง สะโพก หลัง หรือต้นแขน สัปดาห์ละ 1 แผน่ แต่วิธีนี้ ไม่สามารถป้องกนั โรคติดต่อทางเพศสมั พันธไ์ ด้ แผ่นแปะคุมกาเนิดประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสตินเช่นดียวกบั ยาคุมกาเนิดแบบฮอร์โมนรวม แต่ฮอร์โมนดังกลา่ วจะถูกดูดซึมผ่านผวิ หนัง เข้าสู่กระแสเลือดแทนการรับประทาน ส่งผลให้ร่างกายยับยั้งการตกไข่ และทาให้เยื่อเมือกบริเวณ ปากมดลูกก่อตวั หนาขน้ึ เพอ่ื ขัดขวางไมใ่ ห้อสจุ ปิ ฏสิ นธกิ ับไข่ พบอัตราการตัง้ ครรภ์หลงั ใช้ 0.3 - 8% ภาพท่ี 3.8 แผ่นแปะคุมกาเนดิ ท่ีมา: http://pharmaanddrug.blogspot.com 1.1.6 ยาฉีดคุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เป็นยาฉีดคุมกาเนิดที่ประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์เช่นเดียวกับยาเม็คคุมกาเนิด ชนิดฮอรโ์ มนรวม 1.1.7 ยาฉดี คุมกาเนิดชนิดโปรเจสตินอย่างเดียว เป็นยาฉีดท่ปี ระกอบด้วยฮอร์โมน โปรเจสตินอย่างเดียว มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์โดยยับย้ังการตกไข่ นอกจากนั้นยังทาให้มูกท่ี ปากมดลูกเหนียวข้น อสุจิจึงไม่สามารถเคลื่อนผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ และทาให้เยื่อบุโพรงมดลูกบาง ไม่เหมาะตอ่ การฝงั ตัวของตัวออ่ น และพบอัตราการตัง้ ครรภห์ ลงั ใช้ยาไดป้ ระมาณ 0.3 - 8% 1.1.8 ยาฝังคุมกาเนิด แบบ 1 แท่ง สามารถคุมกาเนิดได้ 3 ปี และชนิด 2 แท่ง สามารถคุมกาเนิดได้ 5 ปี กลไกการคุมกาเนิดคล้ายกับยาเม็ดชนิดท่ีมีฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว พบอัตราการต้ังครรภ์หลงั ใช้ยาประมาณ 0.05% วิธีการฝงั ยาทาโดยกรดี ผิวหนังบรเิ วณท้องแขนข้างที่ ไม่ถนัดขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร จากน้ันใช้อุปกรณ์สอดเข้าสู่ช้ันใต้ผิวหนังแล้วใส่แท่งยาตาม ไม่ต้องเย็บแผลเน่ืองจากแผลมีขนาดเล็ก ให้ใช้ผ้าพันบริเวณแผลไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ระวังไม่ให้ แผลถูกนา้ เปน็ เวลา 7 วัน
133 ภาพท่ี 3.9 ยาฝงั คุมกาเนดิ ทมี่ า: https://medthai.com 1.1.9 ห่วงคมุ กาเนิดชนิดทองแดง เป็นอปุ กรณ์พลาสตกิ ทม่ี ีขดลวดทองแดงพันโดย การใส่เข้าสู่โพรงมดลูก มีกลไกป้องกันการต้ังครรภ์โดยลดการเคล่ือนที่ของตัวอสุจิ ทาให้เกิดการ ปฏสิ นธกิ ับไข่ไดล้ าบาก ร่วมกบั ทาให้เยื่อบุโพรงมดลูกไมเ่ หมาะต่อการฝังตัวของตวั ออ่ น ระยะเวลาใน การคุมกาเนิด 3, 5 หรือ 10 ปีขนึ้ อยู่กับชนิดของห่วงคุมกาเนิด ระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการใส่ห่วง คมุ กาเนดิ คือ ช่วงวันที่ 1 - 5 ของการมีประจาเดือนเนื่องจากแน่ใจได้ว่า ชว่ งนี้ไมส่ ามารถต้ังครรภ์ได้ และเป็นชว่ งใสห่ ว่ งไดง้ ่ายเนื่องจากปากมดลูกเปดิ ทงั้ นพี้ บอตั ราต้ังครรภ์หลงั ใช้ ประมาณ 0.6-0.8% ภาพท่ี 3.10 ห่วงคมุ กาเนิดชนดิ ทองแดง ที่มา: http://knowledge-from-msu.blogspot.com
134 1.1.10 ห่วงคุมกาเนิดชนิดมีฮอร์โมนโปรเจสติน เป็นวัสดุพลาสติกท่ีมีแท่งยา ฮอร์โมนโปรเจสติน โดยแท่งยาจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมนโปรเจสตินเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย ๆ มีระยะเวลาในการคุมกาเนิด 5 ปี ระยะเวลาท่ีเหมาะสมสาหรับการใส่ห่วงคุมกาเนิดเช่นเดียวกับ หว่ งคุมกาเนดิ ชนดิ ทองแดง กลไกการปอ้ งกันการต้งั ครรภ์ โดยทาใหเ้ ยือ่ บุโพรงมดลกู บาง ไม่เหมาะต่อ การฝังตัวของตัวอ่อน ขัดขวางการฝังตัวอ่อน มูกทปี่ ากมดลูกเหนียวข้น ทาให้อสุจิไม่สามารถปฏสิ นธิ กับไข่ได้ และพบอัตราการตง้ั ครรภ์หลังใชว้ ิธีน้ีประมาณ 0.1% 1.1.11 วงแหวนคุมกาเนิด ป็นวงแหวนพลาสติกซึ่งจะค่อย ๆ ปล่อยฮอร์โมน เอสโตรเจนและโปรเจสตินเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยๆ กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์คล้ายกับยาเม็ด คุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยใส่วงแหวนคุมกาเนิดเข้าไปในช่องคลอด ให้วงแหวนคลุมปากมดลูก โดยใส่ในช่องคลอดนาน 21 วันถอดออกมา 7 วัน ในช่วงที่ไม่ได้ไส่วงแหวนคุมกาเนิด 7 วันนี้จะมี ประจาเดอื นมา หลงั จากน้ันจงึ ใส่วงแหวนคุมกาเนิดอนั ใหม่ ภาพที่ 3.11 วงแหวนคุมกาเนิด ทมี่ า: https://medthai.com 1.2 การคุมกาเนิดถาวร เป็นวิธีคุมกาเนิดที่ทาครั้งเดียวสามารถคุมกาเนิดได้ตลอด ไมส่ ามารถกลบั มาต้ังครรภ์ได้เองอีก เหมาะสาหรบั ผู้ทไี่ ม่ต้องการมีบุตรอีกแล้ว ชนดิ ของการคมุ กาเนิด ถาวร ได้แเก่ 1.2.1 การทาหมันหญิง เป็นการคุมกานิดโดยการตัดผูกท่อนาไข่ 2 ข้าง ทาให้ ตัวอสุจิไม่สามารถเข้าปฏิสนธิกับไข่ได้ จึงไม่มีการตั้งครรภ์ ซ่ึงพบอัตราการตั้งครรภ์หลังผ่าตัด ประมาณ 0.2 - 0.7%
135 ภาพท่ี 3.12 การทาหมนั หญิง ที่มา: https://medthai.com 1.2.2 การทาหมันชาย เป็นการคุมกาเนิดโดยผ่าตัดผูกหลอดนาอสุจิท่ีบริเวณ อณั ฑะ ทาให้ไมม่ ตี วั อสุจอิ อกมากับนา้ เชื้อจึงไมม่ ีการปฏสิ นธขิ องอสุจิกบั ไข่ ภาพท่ี 3.13 การทาหมนั ชาย ทมี่ า: https://medthai.com 2. วิธีการคมุ กาเนิดทเ่ี ชอื่ ถือไม่ได้ วิธีการน้ีส่วนใหญ่เป็นการปฏิบัติ ซึ่งบางคร้ังอาจไม่ได้ผล เช่น (อุทุมพร แก้วสามศรี และคณะ, 2562, น. 115-116)
136 2.1 ช่วงปลอดภัย ตามทฤษฎีสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศ ในช่วงท่ีผู้หญิงกาลังตกไข่ แต่เป็นวิธีการท่ีเชื่อถือไม่ค่อยได้ เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของ ชว่ งการตกไขข่ องแต่ละคนอาจแตกต่างกนั ไป 2.2 วิธีการหลั่งภายนอก หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเช้ืออสุจิ อาจช่วย ป้องกันการตงั้ ครรภ์ได้ อย่างไรกต็ ามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเช่ือถือนักเช้ืออสจุ ิบางส่วนอาจเลด็ ลอดเข้าไป ในช่องคลอดก่อนการหล่ังเกิดข้ึนทาให้เชื้ออสุจิท่ีผิวหนังรอบ ๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปใน ปากมดลกู ได้ การมเี พศสัมพันธ์กอ่ นแตง่ งานเปน็ เรอื่ งปกติในสังคมไทยปจั จุบนั โดยหากพงึ พอใจในกัน และกันหรือเป็นคู่รักกัน ก็สามารถมีเพศสมั พันธ์กันไดโ้ ดยไม่ต้องมีพันธะใด ๆ หรือทดลองอยู่ด้วยกัน ก่อนแต่งงานเหมือนอย่างสังคมตะวันตกส่วนใหญ่ บางคร้ังก็ไม่มีการป้องกันโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทาให้เกิดปัญหาติดโรคทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ที่มีผู้ปวยจานวนมากในปัจจุบัน และในผู้หญงิ อาจจะมีการตั้งครรภโ์ ดยไม่ต้งั ใจ อันเป็นผลให้เกดิ ปัญหาอ่นื ๆ อกี มากมาย โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ ในประวัติศาสตร์ท่ีผ่านมา เม่ือเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexual tranmitted discase/STDS) มักจะมีความเชื่อว่าป็นการลงโทษต่อพระเจ้าของผู้ป่วยท่ีกาลังจะเป็นโรคเหล่านั้น และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางอย่าง เช่น ซิฟิลิส ได้เป็นเคร่ืองมือในการกล่าวทาง เชื้อชาติหรือ ชาติพันธุ์ หรือกลุ่มในสังคมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นก็ถูกกล่าวอ้างเป็นเคร่ืองมือ ในการกล่าวหาและตาหนิ กลุ่มคนหรือสังคมอ่ืนผู้ชายเป็นมักเรียกว่าเป็น โรคผู้หญิง และผู้หญิงเป็น มักเรยี กว่า โรคผชู้ าย เปน็ ต้น ภาวการณ์ติดเช้ือทางเพศสัมพันธ์เป็นสาหตุที่สาคัญท่ีจะทาให้มีอาการเจ็บปวยเฉียบพลัน ทาให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ทุพพลภาพและอาจตายได้ ซ่ึงมีผลกระทบต่อสุภาพและจิตใจท่ีรุนแรง ต่อทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กได้ โดยเช้ือที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้มีจานวนมากกว่า 20 ชนิ ด ซ่งึ สว่ นใหญ่สามารถรักษาใหห้ ายได้ดว้ ยการรักษาให้ยาจุลชีพ ลักษณะของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขและสังคม ซ่ึงประกอบไปด้วยโรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคซิฟิลิส และ แผลริมอ่อน ซ่ึงจะกล่าวดังต่อไปน้ี (ปานเดชา ทองเลิศ, 2562, น. 52-57 และ ศิยพร กล่าทวี และประพล นลิ ใหญ่, 2562, น. 45-53)
137 1. โรคหนองใน โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งท่ีรู้จักกันมานาน เชอ้ื ท่ีทาให้เกิดโรคเป็นแบคทเี รีย มีชอื่ วา่ ไนซซ์ ีเรีย โกโนรเ์ รีย (Neisseria Gonorrhoea) ระยะฟักตัว ใชเ้ วลาประมาณ 2 - 3 วนั หรอื อาจยาวนานถงึ 1 - 2 สปั ดาห์ก็ได้ 1.1 ลักษณะอาการ โรคนี้เป็นกับบุคคลทั้งสองเพศ แต่ลักษณะจะแตกต่างกันดังนี้ อาการในผู้ชาย จะมีอาการที่รุนแรงคือ เริ่มด้วยอาการขัดเบา เจ็บแสบท่อปัสสาวะทุกครั้งท่ีถ่ายปัสสาวะ ทป่ี ลายอวัยวะเพศ ตรงปากท่อปัสสาวะจะอักเสบแดง และจะมีหนองไหลเยิ้ม บางครงั้ จะมีหนองข้น จนคล้ายเส้นขนมจีน รายที่เป็นมาก ๆ กางเกงในจะเปรอะเป้ือนไปด้วยหนอง หนองจะไหลอยู่ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่ได้รับการรักษา หนองก็จะเริ่มลดน้อยลง แต่อาการอักเสบเวลาถ่าย ปัสสาวะก็ยังคงอยู่ จะมีอาการคันภายในท่อปัสสาวะ ถ้าปล่อยให้โรคดาเนินอยู่เช่นน้ีจะกลายเป็น หนองในเร้ือรัง ต่อมน้าเหลืองจะบวมเจ็บ อาจมีอาการปวดตามข้อ บางรายจะมีผ่ืนคันตามตัวด้วย โรคอาจลุกลามต่อไป ทาใหเ้ กดิ ตอ่ มลูกหมากอกั เสบ ท่ออสจุ ิตบี ตัน และทาให้เปน็ หมันได้ อาการในผู้หญิง อาจจะไม่มีอาการอะไรเลย หรือมีแต่เพียงอาการแสบเวลา ปสั สาวะ บางรายอาจจะมีหนองไหล ซ่ึงผู้ปว่ ยมักจะใหป้ ระวตั วิ ่า ตกขาว บางรายจะไม่มีหนองปรากฎ ใหเ้ หน็ เลย บางรายอาการตกขาวมีมาก จนต้องใช้ผา้ อนามัยก็มี สว่ นใหญ่อาการในผู้หญิงจะน้อยกว่า ในผู้ชายมาก จนทาให้บางคนสาคัญผิดว่าไม่ได้เป็นโรค ซ่ึงก่อให้เกิดอันตรายในการแพร่เชื้อต่อไป โดยเฉพาะในหญิงบริการ เน่ืองจากมีอาการน้อย จึงมักไม่ใคร่รักษา โรคจึงเรื้อรังลุกลามต่อไป ทาให้ เกิดอาการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ทาให้ปีกมดลูกอักเสบ มดลูกอักเสบ ปวดมดลูก ช่องท้องอักเสบ รงั ไข่อกั เสบ ปวดเม่ือยหลังประจาเดือนมาไม่ปกติ มีไข้ ทาให้เกดิ ภาวะแทรกซ้อนต่อไปอีก คือ ทอ่ รัง ไข่ตีบตัน เกิดการต้ังครรภ์นอกมดลูก หรือเป็นหมันในท่ีสุด ถ้าเกิดมีการอักเสบในอุ้งเชิงกรานจะมี การตกขาว ซ่ึงมกี ลิ่นเหมน็ รว่ มดว้ ย มีเลือดปน มไี ข้ และมักจะมีอาการใกล้ ๆ กับระยะมีประจาเดอื น ชาวบ้านจงึ เรยี กกนั วา่ “ไข้ทับระดู” ท้ังสองเพศ หากติดเชื้อในลาคอ อาจทาให้เกิดอาการเจ็บคอ เป็นไข้ หากติดเช้ือ ในทวารหนัก อาจทาใหเ้ กดิ อาการปวดหน่วง คนั หรืออาจมีนา้ คล้ายหนองออกมา โดยเฉพาะในขณะ ขับถ่าย และหากติดเช้ือท่ีเย่ือบุตา อาจทาให้มีอาการเจ็บปวด ระคายเคือง และมีหนองไหล อยา่ งไร ก็ตาม การติดเชื้อในตาแหน่งใด ๆ ก็ตาม อาจไม่มีอาการแสดงออกมาเลยก็ได้ นอกจากอาการ ท่ีกล่าวมาแล้วยังอาจมีต่อมน้าเหลืองท่ีขาหนีบ (ไข่ดัน) บวมและเจ็บด้วย เช้ือนิสเซอร์ โกโนเรีย เป็นเช้ือแบคทีเรียชนิดแกรมลบ ตายง่ายในสภาพแวดล้อมท่ีแห้ง ภายใน 1-2 ชั่วโมง ถ้าในสภาพชื้น อุณหภมู ิ 55 เชอื้ จะตายภายใน 1 ช่ัวโมง ถ้าหากใช้แสงอัลตราไวโอเลตเช้อื จะตายภายใน 2-3 นาที
138 1.2 ภาวะแทรกซอ้ น โรคหนองในอาจกอ่ ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ หลายประการ ได้แก่ 1.2.1 โรคแพร่กระจายโดยตรงจากแหล่งที่เป็นโรคดังได้กล่าวไว้แล้ว คือ จากอวัยวะเพศไปทาให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ ต่อมบาร์โทลินในช่องคลอดอักเสบ และทอ่ นาอสจุ อิ ักเสบ 1.2.2 โรคแพร่ออกไปโดยทางอ้อม เช่น เอามือเปื้อนหนองไปเช็ดตา หรือ ใชผ้ ้าขาวม้าไปเชด็ ตาตนเอง ทาให้ตาอกั เสบเป็นหนองได้ 1.2.3 โรคแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ทาให้เกิดข้ออักเสบ มีผืนตามผิวหนัง ลน้ิ หวั ใจอกั เสบ เยอ่ื หุม้ สมองอักเสบ กล้ามเนอ้ื หัวใจอักเสบ และตับอักเสบ 1.2.4 โรคติดไปยังทารกในครรภ์ ตดิ เช้ือต้ังแต่อย่ใู นครรภ์ ทาให้คลอดก่อนกาหนด บางครงั้ จะตดิ โรคขณะคลอดผา่ นช่องคลอดทม่ี ีเชอ้ื โรค ทาใหต้ าอักเสบเป็นหนอง 1.3 การตดิ ต่อ การติดต่อท่ีสาคัญคือ การร่วมเพศโดยตรง และการกระทาเพศสัมพันธ์โดยวิธอี ื่น ๆ การสัมผัสกับเชื้อโรคโดยทางออ้ ม ไดแ้ ก่ มือเป้ือนเชื้อ ใช้เส้ือผ้าร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกางเกงใน นั่งโถสว้ มตามหลังผู้ทเ่ี ปน็ โรคเพ่งิ ใชส้ ว้ มไปใหม่ ๆ เหลา่ น้ี เป็นต้น 1.4 การรักษาเบ้ืองต้น ในการรักษาโรคหนองใน ยารับประทานหลายตัวสามารถรักษาหนองในแท้ได้ แต่ในทางปฏิบัตจิ รงิ เชือ้ เหล่านี้ดือ้ ยา จนไม่อาจใช้เป็นแนวทางรักษาได้ ต้องใช้ยาฉีดอย่างเดียว ดังนั้น ถา้ มเี พศสัมพนั ธ์ แลว้ มีอาการสงสัยว่าเปน็ โรคหนองในแท้ อย่ามัวเสยี เวลาซื้อยากนิ เอง มิฉะนน้ั มนั จะ หลบจะคดิ ว่าหายแล้ว สุดท้ายก็เกิดภาวะแทรกซ้อนจนยากทจ่ี ะเยียวยา ถ้าไม่รักษาเชอื้ อาจลามลงไป ถึงอณั ฑะจะทาใหเ้ กิดการแสบบวม เปน็ สาเหตุทท่ี าใหเ้ ป็นหมันหรืออาจลามเข้ากระแสลือด ทาให้เกิด ข้ออักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หรือแม้แต่เยื้อหุ้มสมองอักสบ บางรายเป็นก้อนหนองที่ปีกมดลูก ก็เคยมีให้เห็น ทาให้ท่อตีบตันอาจจะทาให้ท้องนอกมดลูกตามมา หรืออาจเป็นหมันไปเลยก็ได้ ซ่ึงจะนาไปสูป่ ัญหาทางสาธารณสุขตอ่ ไป 1.5 การปอ้ งกนั และควบคมุ โรค รกั ษาอนามยั ส่วนบุคคล ละเว้นการสาส่อนทางเพศ ใชถ้ ุงยางอนามัยในการรว่ มเพศ กับหญิงบริการ ไม่กระทาเพศสัมพันธ์ท่ีผิดปกติ หากมีอาการอย่างหน่ึงอย่างใดที่สงสัย แม้แต่เพียง เลก็ นอ้ ย ให้รบี ไปรบั การตรวจวินิจฉัยโรคโดยด่วน
139 2. โรคหนองในเทยี ม โรคหนองในเทียม (Non-Gonococcal Urethritis - NGU) เชื้อที่ทาให้เกิดโรค คือ คลามีเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia Trachomatis) นอกจากนี้ยังมีเช้ือยูเรียพลาสมายูเรียไลทิคุม (Urea-Plasma Urealyticum) ระยะฟักตัวนานประมาณ 7 - 14 วัน โดยจะมีอาการท่ีเกิดคล้ายกัน คือมีอาการของท่อปัสสาวะอักเสบ ถ่ายปัสสาวะขัด มีน้าใสหรือหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ในบางครั้งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อคลามีเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia Trachomatis) ร้อยละ 50 ของจานวนท่ีเป็นโรคหนองในเทียมทั้งหมด นอกจากนั้นอาจมีเช้ือยูรีพลาสมา ยูรึไลติคัม (Ureaplasma Urealyticum) แคนดิดา อัลบิแคน (Candia Albican) ทริโคโมแนส วาจินาลิส (Trichomanas Vaginalis) อะไมโคพลาสมา เจนนิทัลเลียม (Amycoplasma Genialium) โฮมินิส (M.Hominis) เฮอร์ปีส์ ชิมเพล็ก ไวรัส (Herpes Simplex Virus) และเชื้อกลุ่มสเตรปโตคอกคัส (Streptococcus) หรอื กลุ่มสตาฟิโลคอกคสั (Staphylococcus) รวมอย่ดู ้วย 2.1 ลกั ษณะอาการ ผปู้ ว่ ยมักจะมีอาการแสบหรอื รู้สึกขดั เวลาถ่ายปัสสาวะ และมหี นองใส ๆ บางรายมี อาการคันในท่อปัสสาวะ หรือมีรอยแดง ๆ บริเวณปากท่อปัสสาวะ มักมีหนองไหลในตอนเช้า ๆ ในบางรายอาจมีเชื้ออยู่โดยไม่มีอาการก็ได้ ผู้ป่วยท่ีติดเชื้อคลามีเดีย บางคนอาจมีอาการแทรกซ้อน เชน่ เกดิ การอักเสบลุกลามไปยงั ต่อมลูกหมาก ถุงอณั ฑะ ทาให้เกิดเป็นหมนั ตามมา ในหญิงทตี่ ิดเช้อื น้ี มักไม่แสดงอาการชัดเจน บางรายจะมีตกขาวมาก ตรวจพบปากมดลูกอักเสบ เชื้ออาจลุกลามเข้าสู่ อวัยวะภายใน เกิดการอักเสบของอวัยวะสืบพันธ์ุในช่องเชิงกราน ทาให้เกิดอาการไข้ ปวดท้องน้อย ท่อรังไขอ่ ักเสบตีบตัน เกดิ การต้ังครรภ์นอกมดลูก หรือเป็นหมนั นอกจากนี้ ถ้ามารดามีเชื้อท่ีบริเวณ ปากมดลกู ทารกท่คี ลอดผ่านออกมาจะไดร้ บั เชอ้ื เข้าตา ทาให้เกดิ ตาอกั เสบในระยะแรกคลอด และถ้า ทารกท่ีตาอกั เสบนไี้ ม่ได้รับการรกั ษาทถ่ี ูกต้อง จะเกดิ โรคกับอวัยวะระบบอ่นื ได้ ที่สาคญั คอื ปวดบวม 2.2 การตดิ ตอ่ ตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์ นอกจากน้ีทารกแรกเกดิ อาจไดร้ ับการตดิ เช้ือจากมารดาได้ 2.3 การรกั ษาเบื้องตน้ โรคหนองในเทยี มจะต้องพยายามแยกโรคจากโรคหนองใน ซ่ึงเปน็ การยากถ้าดจู าก อาการและอาการแสดง เพราะทั้งสองโรคมีอาการคล้ายกันจึงต้องมีการตรวจทางห้องปฏิชีวนะท่ี สามารถกาหนดเชอ้ื ที่เปน็ สาเหตุนั้น คลนิ ดามยั ซิน (Clindamycin) เซฟโฟซติ นิ (Crfoxitin) เปน็ ตน้ 2.4 การปอ้ งกันและควบคมุ โรค เมื่อพบผู้ป่วย จาเป็นต้องให้ยารักษาจนครบกาหนด และแนะนาให้นาคู่สมรส มาตรวจรักษาด้วย ในระยะที่มีอาการควรงดการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรประพฤติสาส่อนทางเพศ และ การใชถ้ ุงยางอนามยั จะช่วยป้องกันโรคได้
140 ภาพที่ 3.14 โรคหนองในเทียม ท่ีมา: https://medthai.com 3. โรคซฟิ ลิ สิ โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อท่ีมีความรุนแรงมาก โรคติดเชื้อจากการติดเช้ือ แบคทีเรียท่ีมีขนาดใหญ่ มีรูปร่างคล้ายกับเกลียวสว่าน ชอบเคลื่อนไหวไปมา สามารถไชเน้ือส่วนที่ อ่อน ๆ ได้ โดยเฉพาะจะเข้าสู่ร่างกายตรงที่เป็นแผลถลอก แม้แต่เป็นแผลถลอกเพียงเล็กน้อย เช่ือนี้มี ช่ือว่า ทรีโพนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) สามารถอยู่ในเลือดที่อุณหภูมิ 4 องศา เซลเซียสได้ ประมาณ 34 วนั เช้อื โรคชนิดนจี้ ะเข้าสู่ร่างกายทางช่องคลอด ท่อปสั สาวะ ปาก เยอ่ื บุตา หรือแผลตามร่างกาย เชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสเลือด สามารถทาให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย สามารถติดต่อได้ทางการสัมผัลเช้ือโรคทางการสัมผัสมือ นั่งโถส้วมร่วมกัน ผิวหนังที่มีแผล และการตดิ เชอื้ จากแม่สลู่ ูก (Pacental Route) จากมารดาส่เู ดก็ 3.1 ลกั ษณะอาการ โรคซิฟิลิสมีระยะการฟักตวั ประมาณ 10 วัน ถึง 10 สัปดาห์ เฉลี่ย 3 สัปดาห์ และ มรี ะยะของโรคท่ีบอกได้ 2 ระยะ คือ โรคซิฟิลิสระยะแรก (Early Syphilis) และโรคซิฟิลิสระยะหลัง (Late Syphilis) ดังนี้ 3.1.1 ระยะแรก (Early Syphilis) ซิฟิลิสระยะที่หนึ่งหลังจากท่ีผ่านการฟักตัว มาแลว้ จะมีอาการตุ่มสแี ดงคลา้ บรเิ วณทเ่ี ช้อื เข้าสรู่ ่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต่อมาต่มุ แดงจะแตก เป็นแผล แผลเดียวขอบแข็ง ไม่เจ็บมักเรียกวา่ แผลริมแข็ง (Hard Chancre) ขอบนูนแข็งมีน้าเหลือง ไหลออกมา ซฟิ ลิ ิสจานวนมาก แผลรมิ แขง็ น้จี ะหายเองในช่วงเวลาประมาณ 48 ชั่วโมง ซงึ่ ทาให้ผปู้ ว่ ย คิดว่าหายจากโรคซิฟิลิส ระยะสอง ผู้ป่วยจะมีอาการต่อมน้าเหลืองโต ปวดตามข้อ จากสาเหตุ ขอ้ อกั เสบ มีผ่ืนสีแดงน้าตาล ตามมือ เท้าแต่ไม่คัน มีหูดในบริเวณที่อบั ช้นื ของร่างกาย ผื่นสีเทาจะข้ึน
141 บริเวณปาก คอ และปากมดลูก มีอาการผมรว่ ง มไี ข้ คร่ันเนอ้ื ครั่นตัว อาการเหล่าน้ีจะเปน็ ๆ หาย ๆ ถ้าตรวจเลือดจะให้ผล VDRL (Venereal Diseases Research Laoratory) ระยะนี้เรียกว่าระยะ ออกดอก เป็นระยะที่มีเชือ้ มาก ตดิ ต่อได้ง่าย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะหายไปเอง ร้อยละ 30-40 นอกนน้ั จะเข้าสูร่ ะยะแฝง ซิฟลิ สิ ระยะแฝงแรกเร่มิ เป็นระยะทีไ่ ม่มีอาการใดๆ แตผ่ ลตรวจเลือด VDRL. ใหผ้ ลบวก ผู้ปว่ ยบางรายมีอาการทางผิวหนังใน 1 – 2 ปีตอ่ มา ทาใหแ้ พร่เชอ้ื เข้าสู่ผอู้ ่ืนได้อีก 3.1.2 โรคซิฟิลิสระยะหลัง (Late Syphilis หรือ Tertiary Syphlis) เป็นระยะที่ เกิดข้ึนหลังซิฟิลิสระยะท่ีสอง ประมาณ 3 - 30 ปี ยกเว้นผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องซ่ึงจะกินเวลา สั้นกว่า ในระยะนี้จะมีการอักเสบในระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบหัวใจ และ ระบบเส้นเลอื ดซ่ึงมักเรียกชอื่ ตามอาการ 3.2 การตดิ ตอ่ โรคน้ีสามารถติดต่อไดโ้ ดยทางใดทางหนง่ึ คือ 3.2.1 โดยการร่วมประเวณีกับผู้ท่ีกาลังเป็น ซิฟิลิสระยะแพร่เช้ือ คือ ระยะท่ี 1 สาหรับระยะท่ี 2 ถา้ ถูกตอ้ งกับนา้ เหลืองท่ีผื่นผิวหนงั (ออกดอก) กจ็ ะตดิ โรคได้เชน่ กนั 3.2.2 เป็นมาแต่กาเนิด นั่นคือ เมื่อหญิงทีก่ าลังตั้งครรภ์เป็นซิฟิลสิ ก็สามารถแพร่ เช้ือมาใหท้ ารกในครรภโ์ ดยผ่านทางรก 3.2.3 โดยเหตบุ งั เอิญ เช่น สัมผัสกับแผลซิฟิลสิ 3.3 การรักษาเบอื้ งต้น สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติ และจากอาการและอาการเเสดง และการตรวจ ทางห้องปฏิบัติการโดยการตรวจสารคัดหล่ังจากแผล โดยมีโรคซิฟิลิสระยะหน่ึง และระยะที่สอง นอกจากน้ันยงั ตรวจหาแอนติบอดี โดยวิธีอิมโมโนวิทยา (Immunology) เช่น การตรวจหาแอนตบิ อดี ชนิด Reangin ที่ไม่จาเพาะด้วยวิธี VDRL (Venereal Diseases Research Laboratory) หรือหา แอนติบอดีชนิด Treponemal Antibody เช่น Florescent Treponemal Absorption Test และ พบเเพทย์ 3.4 การปอ้ งกนั และควบคมุ โรค โรคน้ีเกิดขึ้นจากการสาส่อนทางเพศ ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะใช้ป้องกันโรค วธิ ปี ้องกันที่ให้ผลก็คือ ละเว้นพฤติกรรมสาสอ่ นทางเพศ นอกจากนี้จะตอ้ งมีระบบตดิ ตามนา ผูป้ ่วยท้ัง ท่เี ปน็ หญิงโสเภณแี ละหญิงบรกิ ารรปู อืน่ ๆ หรอื แม้แตบ่ คุ คลซ่งึ ป่วยเปน็ โรคนามารกั ษาให้หายขาด ถุงยางอนามัย เครื่องมือที่ช่วยป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน กลมุ่ คนท่ีมีความสาส่อนทางเพศ ควรจะรณรงค์ ให้มกี ารป้องกนั โดยใช้ถงุ ยางอนามัยเป็นหลัก
142 ภาพท่ี 3.15 โรคซิฟลิ ิส ทมี่ า: https://medhubnews.com 4. โรคแผลริมอ่อน แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหน่ึงท่ีพบได้บ้าง ประปราย ซึ่งเกิดจากการติดเช้ือแบคทีเรียที่ชื่อว่าฮีโมฟีลัส ดูคริอัย (Haemophilus Ducreyi) สามารถเกิดได้ท้งั ในเพศชายและเพศหญงิ และตดิ ตอ่ กนั ได้ง่ายมาก 4.1 ลกั ษณะอาการ หลังจากได้รับเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ประมาณ 3 - 7 วัน จะเกิดเป็นตุ่มนูนแดง บริเวณอวัยวะเพศ และค่อย ๆ ขยายใหญ่ข้ึนกลายเป็นแผลหนองและอาจแตกออกเมื่อถูกเสียดสี มอี าการเจ็บหรอื ปวดบริเวณแผล ผู้ที่รักษาโรคไมห่ ายขาดเกอื บครึ่งมกั มอี าการบวมของต่อมน้าเหลอื ง ท่ีขาหนีบข้างดียวหรอื อาจเป็นทง้ั 2 ข้าง อาการของแผลริมอ่อนในผ้ชู ายละผู้หญิงอาจมีความแตกตา่ ง กนั เล็กน้อย ในผู้ชายมักจะสงั เกตเห็นตุ่มแดงขนาดเล็กที่อวัยวะพศไม่ก่ีตุ่ม โดยเฉพาะบริเวณหนังหุ้ม ปลายองคชาตและถุงอัณฑะ ก่อนจะกลายเป็นแผลเปิดภายใน 1 - 2 วัน มีอาการเจ็บหรือปวดมาก สว่ นใหญ่มีแผลเพยี งจุดเดียว ในขณะที่ผหู้ ญิงจะเกิดตมุ่ แดงมากกว่าผู้ชาย พบได้บ่อยบริเวณแคมเล็ก หรือด้านนอกของอวัยวะเพศ ต้นขา ขาหนีบ และปากมดลูก มีอาการเจ็บปวดน้อยกว่า หลังจาก ตุ่มแดงหายไปจะเริ่มกลายเป็นแผลเช่นเดียวกัน แต่จานวนแผลมักมีมากกว่า 4 แผลข้ึนไป ทั้งน้ี ผู้หญิงท่ีติดเชื้อบางรายอาจไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ แต่สามารถแพร่เช้ือโรคแก่ผู้อื่นได้ จึงทาให้ผู้หญิงมักสังเกตอาการได้ค่อนข้างยากกว่าผู้ชาย เน่ืองจากลักษณะโรคมีความคล้ายคลึงกับ โรคซิฟลิ ิสหรอื โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์อ่ืน
143 4.2 การรกั ษาเบื้องต้น โรคแผลริมอ่อน ให้ไปพบแพทย์ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้ด้วยว่าดูจากอาการและ การแสดง และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้วยการย้อมสีเพ่ือตรวจหาเช้ือฮีโมฟิลัส ดูคริอัย (H. Ducreyi) โรคแผลรมิ ออ่ น สามารถรกั ษาด้วยยา Streptomycin ภาพที่ 3.16 โรคแผลรมิ ออ่ น ทีม่ า: https://warts59.wordpress.com ความรเู้ กย่ี วกบั เช้อื เอชไอวีและเอดส์ เอดส์ (AIDS) ไม่ใช่โรค แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง คาว่าเอดส์ AIDS ย่อมาจากคาว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome หมายถึงอาการภาวะภูมิคุ้มกัน บกพร่องจากการรับเช้ือเอชไอวี (HIV: Human Immunodeficiency Virus) ซึ่งจะเข้าไปทาลายเม็ด เลือดขาวท่ีเป็นแหล่งสร้างภูมิค้มุ กันโรค ทาให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทาให้ติดเชอื้ โรคฉวยโอกาส แทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้าเหลือง เย่ือหุ้มสมองอักเสบจาก เช้ือรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซ่ึงสาเหตุของการเสียชีวิตมัก เกิดข้ึนจากโรคติดเช้ือฉวยโอกาสต่างๆ เหล่านี้ ทาให้อาการจะรุนแรงและเสยี ชีวิตอย่างรวดเร็ว ดังน้ี (ปานเดชา ทองเลิศ, 2562, น. 57-60; ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 53-55 และ อุทุมพร แกว้ สามศรี และคณะ, 2562, น. 120-122) 1. การติดตอ่ และการแพร่กระจาย เช้ือไวรัสเอชไอวีนั้นจะอาศัยอยู่ในสารคัดหล่ังของผู้ป่วย ได้แก่ เลือด น้านม อสุจิ น้า หล่อลนื่ จากอวัยวะเพศชาย รวมถึงของเหลวในช่องคลอด คนท่วั ไปติดเชอ้ื เอชไอวไี ด้หากสารคัดหลั่ง
144 เหล่าน้ีสัมผัสกับผิวหนังที่มีบาดแผลหรือบริเวณเยื่อเมือกบุผิวภายในทวารหนัก ช่องคลอด องคชาติ ของเพศชาย ซงึ่ สาเหตุของการตดิ เชือ้ มดี ังน้ี 1.1 การมีเพศสมั พันธก์ ับผู้ทมี่ ีเช้ือเอชไอวี โดยทางช่องคลอด ทางทวารหนัก ส่วนการมี เพศสัมพันธ์ทางปากนั้นพบได้น้อย ท้ังชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือชายกับหญิง จะเป็นช่องทาง ธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็ตาม ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเอดส์ท้ังนั้นทั้งน้ีจากข้อมูลของสานัก ระบาดวิทยาระบุว่า ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีน้ัน ได้รบั เชอ้ื มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ท้งั ส้ิน 1.2 การรับเช้ือทางเลอื ด การตดิ เชอ้ื เอชไอวพี บได้ใน 2 กรณี คอื 1.2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกบั ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งพบบ่อยในกลมุ่ ผู้ใชส้ ารเสพตดิ หรอื ฉดี ยาเขา้ เส้น 1.2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในอดีตมี การติดเชื้อเอชไอวจี ากช่องทางน้ีคอ่ นข้างมาก เพราะยังไม่มีการตรวจเลือดที่ละเอียดนัก แต่ปัจจุบัน ได้มีการนาเลือดที่รับบริจาค ไปหาตรวจหาเชื้อก่อนทุกคร้ัง ทาให้อัตราการติดเชื้อจากการรับเลือด ลดลงอยา่ งมาก 1.3 การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก เกิดจากแม่ท่ีมีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้วตั้งครรภ์ โดยเชื้อเอชไอวี จะถ่ายทอดสู่ลกู ขณะคลอด แต่ปจั จุบันได้ค้นพบวิธกี ารป้องกนั การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกได้สาเร็จแล้ว โดยวิธีการรับประทานยา ต้านไวรัสในช่วงต้ังครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อของทารก ลงได้ 2. อาการของโรค บุคคลท่ีได้รับเช้ือเอดส์เข้าไปในร่างกายหรือบุคคลท่ีสัมผัสกับโรคเอดส์ไม่จาเป็นต้องมี การติดเช้ือเอดส์เสมอไป ข้ึนกับจานวนครั้งท่ีสัมผัสและความดุร้ายของไวรัสเอดสท์ ี่เข้าสู่ร่างกายและ ภาวะภูมิต้านทานของร่างกาย ถ้ามีการติดเช้ืออาการท่ีเกิดข้ึนมีได้หลายรูปแบบหรอื หลายระยะตาม การดาเนนิ ของโรค ระยะท่ี 1 : ระยะทไี่ มม่ ีอาการอะไร ภายใน 2 - 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเช้ือ จะมีอาการคล้าย ๆ ไข้หวัด คือ มีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้าเหลืองโต ผ่ืนขึ้น ตามตวั แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10 - 14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6 - 8 สัปดาห์ ภายหลังติดเช้ือ ถ้าตรวจเลือดจะเร่ิมพบว่า มเี ลอื ดบวกได้
145 ระยะท่ี 2 : ระยะทีเ่ รมิ่ มีอาการหรอื ระยะทม่ี อี าการสัมพันธ์กับเอดส์ เป็นระยะท่ีคนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการน้ันยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์ เต็มขั้น อาการในช่วงน้ีอาจเปน็ ไข้เรอ้ื รัง นา้ หนกั ลด หรือทอ้ งเสยี เร้ือรังโดยไมท่ ราบสาเหตุ นอกจากนี้ อาจมีเชื้อราในช่องปาก งูสวัด เริมในช่องปาก หรืออวัยวะเพศ ผ่ืนคันตามแขนขา และลาตัวคล้าย คนแพ้น้าลายยงุ จะเห็นไดว้ ่า อาการท่เี รียกว่าสัมพันธ์กบั เอดส์นนั้ ไมจ่ าเพาะสาหรับโรคเอดสเ์ สมอไป คนท่ีเป็นโรคอื่น ๆ กอ็ าจมีไข้ น้าหนักลด ท้องเสีย เช้ือราในชอ่ งปาก งสู วดั หรือเรมิ ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ วา่ ถ้ามีอาการเหลา่ น้ีจะต้องเหมาว่าตดิ เช้ือเอดส์ไปทุกราย ถ้าสงสัยควรปรึกษาแพทย์และตรวจเลือด เอดส์พิสูจน์ ระยะท่ี 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขน้ั หรอื ทภี่ าษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์ เป็นระยะท่ีภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเช้ือ จาพวกเช้ือฉกฉวยโอกาสบ่อย ๆ และเป็นมะเร็งบางชนิด เชน่ แคโปซี่ซาร์โคมา (Kaposi'ssarcoma) และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาส หมายถงึ การติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่าไม่ก่อโรค ในคนปกติแต่ถ้าคนน้ันมีภูมิต้านทานต่าลง เช่น จากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รบั ยาจะทาให้เกิด วัณโรคท่ีปอด ต่อมน้าเหลือง ตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเช้ือพยาธิที่ช่ือว่านิวโมซิสตีส-คารินิไอ ซง่ึ ทาให้เกิดปอดบวมขึน้ ได้ (มไี ข้ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ตอ่ มาเป็นเช้อื ราที่ชอื่ ครปิ โตคอคคัส ซึ่งทาให้ เยอื่ ห้มุ สมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศรี ษะ ซึมและอาเจยี น 3. วธิ ีการตรวจหาเช้ือเอชไอวี มูลนธิ ิเอ็มพลสั กล่าวถึงวธิ ีการตรวจหาเชอื้ เอชไอวี สามารถแบ่งได้ 3 วิธี ดงั นี้ 3.1 การหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือแกนในของเช้ือ (NAT หรือ Nnucleic Acid Testing) หรือท่ีเรียกกันท่ัวไปว่า NAT ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถตรวจเจอเชื่อได้หลังรับเช้ือ 1-2 สปั ดาห์ 3.2 การตรวจหาชิ้นส่วนของเช้ือไวรสั หรือเปลือกนอกของเช้ือ คือ p24 antigen เป็น วธิ ที ี่สามารถตรวจพบว่ามีเชอ้ื หลงั รบั เชื้อ 2-3 สัปดาห์ 3.3 การตรวจหาภูมิคุ้นเคย หรือบางคนเรียกภูมิคุ้มกัน (Antibody) ของร่างกายที่ สร้างขน้ึ มาเพ่ือตอบสนองการท่ีมีเช้ือเอชไอวีเขา้ สรู่ า่ งกาย การตรวจหาเช้ือเอชไอวีสามารถตรวจได้ท่ีโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศหรือคลินิก นริ นามสภากาชาดไทย ซ่ึงเป็นสถานทตี่ รวจทีม่ ีบรกิ ารให้คาปรกึ ษาแนะนาก่อนและหลังการตรวจและ มีการรักษาความลับของผู้ที่ถูกตรวจไม่ว่าจะตรวจเจอหรือตรวจไม่เจอโดยไม่ต้องบอกชื่อที่อยู่หรือ เบอรโ์ ทรศพั ท์
146 คาแนะนากอ่ นการตรวจเลือด ควรไดร้ ับคาแนะนากอ่ นการตรวจเลือดโดยขอคาแนะนา ได้จากหน่วยงานตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ห้องแล็ปหรือจากสานักงานแพทย์ สาหรับผู้อพยพล้ีภัย ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ผู้เก่ียวข้องท่ีไว้วางใจสอบถามข้อมูลเพ่ิมเติม เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ เอกสารต่าง ๆ โดยไม่ประสงค์บอกนามติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 044-4471111 หรือ เว็บไซต์ www.aids.ch ผมู้ เี ชอื้ เอดสแ์ ลว้ ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ (สมวงศ์ อไุ รวฒั นา, 2548, น. 67) 1) รับประทานอาหารท่ีมปี ระโยชน์ มสี ารอาหารครบถว้ นและหลากหลาย 2) รกั ษาสุขภาพร่างกายให้แขง็ แรงและออกกาลังกายสมา่ เสมอ 3) หากมีเพศสัมพันธ์ต้องใช้ถงุ ยางอนามยั ทุกคร้ังเพ่ือป้องกันการรบั หรอื แพรเ่ ชอื้ เอดส์ 4) งดสงิ่ เสพติดทกุ ชนดิ 5) งดบริจาคเลือดหรอื อวัยวะ 6) อยใู่ นสถานที่ทอี่ ากาศถ่ายเทได้สะดวก 7) ทาจิตใจให้สงบไมเ่ ครียด เชน่ การฝึกสมาธิ 8) รบั ประทานยาและดแู ลตนเองตามท่แี พทยแ์ นะนาอย่างเครง่ ครัด 4. วธิ ีการปฏิบตั ิตนเมอื่ ติดเชอื้ เอชไอวี วิธกี ารปฏิบตั ติ นเม่อื ติดเช้อื เอชไอวี มดี ังนี้ 4.1 สิง่ แรกในการดาเนินชีวิตเม่ือติดเช้ือเอชไอวแี ลว้ คือ ผู้ตดิ เช้ือต้องหาความรเู้ ก่ียวกับ โรคน้ีจากบุคลากรทางการแพทย์ จากหนังสือ จากอินเทอร์เน็ต หรือจากผู้ที่เคยติดเช้ือมาแล้วและ เต็มใจมาให้คาแนะนา หรือรวมกลุ่มเพ่ือช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน การมีความรู้ท่ีถูกต้องจะทาให้ ผู้ติดเชื้อไม่ต่ืนตระหนกหรือวิตกกังวลจนเกินไป และสามารถปฏิบัติตนในการป้องกันการแพร่เชื้อ และปอ้ งกันการติดเชื้อโรคอ่ืน ๆ ที่จะเข้ามาแทรกซอ้ นไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 4.2 กินยาที่ใช้ควบคมุ การเพ่มิ ปริมาณของเช้อื ไวรสั นี้ จากสถานพยาบาลอยา่ งสม่าเสมอ อย่าปล่อยใหข้ าดยา เพราะการขาดยาจะทาให้เชอ้ื เพิม่ ปริมาณมากข้ึนและเกิดการดื้อยาได้ ทาใหย้ าท่ี เคยใช้ได้ผล กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผู้ท่ีติดเชื้อแล้วไปรับยาอย่างสม่าเสมอสามารถมีชีวิตยืนยาว อยา่ งคนปกตไิ ดก้ ม็ เี ปน็ จานวนมาก 4.3 อย่าทาให้ร่างกายอ่อนแอด้วยอบายมุขต่าง ๆ เช่น การด่ืมสุรา การสูบบุหรี่ การเท่ยี วกลางคืน ทง้ั ๆ ท่ีควรจะพักผ่อนนอนหลบั ให้พอเพยี ง การใช้ยาเสพติด การที่รา่ งกายอ่อนแอ ลงจะทาใหโ้ รคกาเรบิ ได้ 4.4 ควรศึกษาวิธีการต่าง ๆ ทั้งทางจิตวิทยาและศาสนาท่ีผู้ตดิ เช้ือนับถือ มีเพ่ือน หรือ ญาติพ่ีน้องที่คอยเป็นท่ีปรึกษาและให้กาลังใจ เพื่อให้ลดความเครียดของจิตใจลงได้ ความเครียด ทมี่ ากเกินไปนั้น จะทาให้ระบบภูมคิ ุม้ กนั ตา้ นทานโรคออ่ นแอลง และเช้อื ไวรัสนสี้ ามารถเพ่มิ จานวนได้
147 4.5 อย่าซื้อยาต่าง ๆ กินเอง โดยเฉพาะยาชุดหรือยาลูกกลอนท่ีไม่รู้ที่มาหรือผู้ผลิต ที่ชัดเจน เพราะอาจจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจาพวกสเตียรอยด์ (Steroid) โดยไม่รู้ ตวั ยาพวกน้ีจะย่ิงกดภูมคิ ุ้มกันต้านทานโรค ทาใหต้ ิดเชื้อแบคทเี รีย เช้ือรา และเชอ้ื โรคอาจฉวยโอกาส ตา่ ง ๆ ไดง้ ่ายขนึ้ และอาจรนุ แรงถงึ เสียชวี ติ ได้ 4.6 ปจั จุบันมีกลุ่มผู้ติดเช้ือและองค์กรเอกชนท่ีทางานเพ่ือให้กาลังใจและชว่ ยเหลอื ผ้ตู ิด เชื้อด้วยกันหลายกลุ่ม การเข้ากลุ่มเหล่าน้ีนอกจากจะทาให้ผู้ตดิ เชื้อได้รับการช่วยเหลือแล้ว ผู้ติดเชื้อ ยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้อ่ืนในกลุ่ม ยังทาให้ผู้ติดเชื้อเกิดความสุขท่ีเกิดจากการให้ ซ่ึงมีผลดีต่อ ทงั้ รา่ งกายและจติ ใจในทางท่ีดเี ป็นอย่างย่ิง สามารถหาชอื่ องค์กรเหลา่ นี้ไดท้ างอินเทอรเ์ นต็ 4.7 หลีกเล่ียงความคิดแก้แค้น ผูกพยาบาท อยากแก้แค้นสังคมหรือผู้อ่ืนท่ีคิดว่าเป็น ต้นเหตุการติดเช้ือ การพยายามแพร่เชื้อให้ผู้อ่ืนโดยตั้งใจ ความคิดด้านลบเหล่าน้ีไม่เป็นผลดี ต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจโดยรวม 4.8 หลีกเล่ียงความคิดว่าตนเองต้องตายแน่ ตายในเวลาไม่นาน ตายโดยไม่มีคนดูแล ความคิดทางลบแบบนี้ทาให้ซมึ เศร้าและหดหู่ ไมเ่ ป็นผลดีตอ่ ระบบภูมิคมุ้ กันต้านทานโรคของร่างกาย แตอ่ ย่างใด บทสรุป สุขภาพทางเพศ เป็นการมีชีวิตทางเพศที่เป็นสุขปลอดภัย หรือรักษาร่างกายให้ปราศจาก โรคภัยไข้เจ็บ หรือผิดปกติทางเพศ ท้ังร่างกาย จิตใจ และสังคม รวมไปถึงจิตวิญญาณด้วย ซ่ึงการสืบพันธุ์ถือเป็นธรรมชาติของส่ิงมีชีวิตท่ีจะผลิตสิ่งมีชีวิต เพ่ือที่จะให้มีลูกหลาน ดารงเผ่าพันธุ์ สบื ต่อไปในกระบวนการสบื พันธ์เุ ร่ิมที่ต่อมใต้สมองภายใต้การควบคุมของสมองใหญ่จะหลั่งฮอร์โมน กระตุน้ ต่อมเพศในชายและหญงิ ให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ทาให้รา่ งกายเปล่ียนแปลงไปสคู่ วามเปน็ หนมุ่ สาว พรอ้ มทจ่ี ะสืบพันธไุ์ ด้ ต่อมเพศในชายคอื อัณฑะ สว่ นในหญิงคือ รังไข่ อวัยวะเพศเป็นอวัยวะสาคัญของร่างกายท่ีจาเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้มี สุขอนามัยทางเพศ โดยการดูแลรักษาอวัยวะเพศและอวัยวะที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในสภาพปกติ ปราศจากโรคและสามารถทาหน้าท่ีได้อย่างปกติซึ่งได้แก่ การมีสุขปฏิบัติเกี่ยวกับอวัยวะเพศ ท้ังเพศชายและเพศหญิง การคุมกาเนิดหรือการป้องกันการต้ังครรภ์ คือ การป้องกันไม่ให้มีการตั้งครรภ์เกิดข้ึน โดยมีกลไกในการป้องกันการตั้งครรภ์หลายกลไก เช่น การคุมกาเนิดชั่วคราว ได้แก่ ถุงยางอนามัย ยาเม็ดคุมกาเนิด แผ่นแปะคุมกาเนิด ยาฉีดคุมกาเนิด ยาฝังคุมกาเนิด ห่วงคุมกาเนิด และวงแหวน คมุ กาเนดิ การคุมกาเนดิ ถาวร ไดแ้ ก่ การทาหมันชาย และการทาหมันหญิง
148 โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธ์หรือกามโรคที่รู้จักกนั โดยทั่วไป สามารถเป็นได้ทัง้ ชายและหญิง ติดต่อกันด้วยการร่วมเพศ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เฉพาะโรคน้ัน อันเป็นผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจ หากเปน็ แล้วโรคบางชนิดรา้ ยแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น โรคหนองใน หนองในเทียม ซฟิ ิลิส แผลริมอ่อน และเอดส์ เป็นต้น การป้องกัน โดยการปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคติดต่อ ทางเพศสมั พันธ์เปน็ ส่งิ สาคญั ท่ีต้องทาให้ห่างไกล และพ้นจากโรคน้ีให้ได้
149 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “สะอาด สดใส ปลอดภยั ” ขั้นตอนการดาเนินการ 1. ผู้จัดการเรียนรู้ชี้แจงว่า กิจกรรจวันนี้เป็นเรื่องอวัยวะเพศ และการดูแลสุขอนามัย ทถี่ ูกวิธี ถามผู้เรียนว่า - รู้สึกอย่างไร ถ้าเราจะคุยกันเร่ืองอวัยวะเพศชายและอวัยวะเพศหญิงหรือ “จู๋” กับ “จ๋ิม” - มีคาถามหรือข้อสงสัยอะไรบ้างท่ีเก่ียวกับจู๋กับจิ๋ม (ผู้จัดการเรียนรู้จดคาถามท่ีผู้เรียน ถามไว้บนกระดาน) 2. ผู้จัดการเรียนรู้อธิบายว่า การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศ อาจทาให้บางคนรู้สึก กระดากอาย ไม่สะดวกใจ หรืออึดอัด แต่อวัยวะเพศก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเราที่จาเป็น ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เหมือนส่วนอ่ืน ๆ และช่ัวโมงเพศศึกษาก็เป็นโอกาสที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ และทาความเขา้ ใจด้วยกนั เพื่อรู้จักและรู้วิธดี ูแลตัวเอง 3. แบ่งผู้เรียนออกเป็น 6 กลุ่ม แจกปากกาสองสี (สีแดง และสีดา) ให้แต่ละกลุ่มแยกย้าย ไปประจาภาพแต่ละภาพ และใหร้ ะดมความคิดเหน็ ของกล่มุ ดังนี้ - ใช้ปากกาสดี า เขียนวิธีดูแลรักษาอวัยวะต่าง ๆ ที่อยูใ่ นภาพ - ใชป้ ากกาสแี ดง เขียนคาถามหรอื ขอ้ สงสยั ของกล่มุ ท่ีมตี ่ออวยั วะน้นั ๆ 4. ให้เวลา 3 นาที ต่อภาพ เม่ือครบกาหนดเวลา ให้ผู้จัดการเรียนรู้ส่งสัญญาณให้เปลี่ยน กลุ่ม จนครบทัง้ 6 กลุ่ม 5. เม่ือหมดเวลาให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนาเสนอภาพสดุ ท้าย และข้อความพร้อมกบั คาถาม บนภาพของกลุ่ม กลุม่ ละ 3 นาที ผู้ดาเนินกจิ กรรมต้ังขอ้ สังเกตและชวนผู้เรียนคยุ โดยเนน้ - แก้ไขข้อมลู ทไ่ี มถ่ ูกตอ้ งเก่ยี วกบั วธิ กี ารดแู ลรกั ษาอวัยวะส่วนต่าง ๆ (หากมี) - กระตนุ้ ให้ผ้เู รยี นร่วมกันตอบคาถามท่ีระดมไว้ในแต่ละภาพ 6. เม่ือทุกกลุ่มนาเสนอครบแล้ว ให้นาภาพมาต่อกันให้เป็นโครงร่างหญิงชายที่สมบูรณ์ และติดไวบ้ นกระดานหรอื ผนัง จากนั้น ผ้จู ดั การเรยี นรู้ชวนผเู้ รียนคุยโดยใช้คาถาม ดงั นี้ - เม่ือเปรียบเทียบข้อมูล/คาถาม ที่มีต่ออวัยวะเพศ และอวัยวะส่วนอื่นๆ มี ความแตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร - ข้อมูลเร่ืองการดูแลทาความสะอาดร่างกาย รวมทั้งอวัยวะเพศ เราเรียนรู้มาจาก ที่ใดบา้ ง - เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นขอ้ มลู ทีถ่ กู ตอ้ ง หรือเปน็ เพยี งความเช่อื
150 - เราสามารถหาคาตอบในเร่อื งเพศได้จากแหลง่ ใดบ้าง - เราจะรู้ได้อยา่ งไรว่าแหลง่ ขอ้ มูลใดมีความน่าเช่ือถือ 7. ผ้จู ดั การเรียนรู้สรปุ ประเด็นสาคัญ ดงั น้ี - ปัจจุบัน มีแหล่งข้อมูลมากมายที่วัยรุ่นสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งเว็บไซต์ต่าง ๆ บน อินเทอร์เน็ตท่ีเป็นแหล่งข้อมูลเพ่ือค้นหาคาตอบที่เก่ียวกับเร่ืองเพศและอวัยวะสืบพันธ์ุ แต่ข้อมูล เหล่าน้ัน อาจมีทั้งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือเป็นความเชื่อ เป็นการโฆษณาซึ่งสร้างความเข้าใจผิด และ มีท้ังที่เป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดังน้ัน วัยรุ่นจึงจาเป็นต้องรู้จักแยกแยะข้อมูลท่ีได้รับมาว่า มีความน่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด เพราะหากนาข้อมูลท่ีได้รับไปปฏิบัติโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ ก่อนอาจสง่ ผลตอ่ สขุ ภาพของตนเองได้ - หากวยั ร่นุ ร้จู กั ผู้ใหญ่ หรือบุคคลทีม่ คี วามรู้ ที่ยนิ ดีใหข้ ้อมลู และสามารถพูดคุยกันอย่าง เปิดใจ จะทาให้มีโอกาสสอบถาม แลกเปล่ียน และช่วยกันตรวจสอบข้อมูลในเรื่องเพศท่ีรับรมู้ าหรือ ที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ ทั้งน้ีเพ่ือเราจะมีข้อมูลท่ีถูกต้อง รอบด้านและนาไปสู่การดูแลตนเอง อยา่ งปลอดภัยตอ่ ไป ภาพวาดโครงร่างชายและหญิง
151 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “ท้องไหม แบบนี้” ขนั้ ตอนการดาเนนิ การ 1. ชี้แจงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ว่า กิจกรรมท้องไหม แบบนี้ เป็นกาวิเคราะห์สาเหตุของ การมเี พศสมั พันธ์ท่ีไม่ปลอดภยั ความกงั วลเรื่องการต้งั ครรภ์ และหาแนวทางการปอ้ งกนั 2. ผจู้ ดั การเรยี นรู้ชวนผู้เรยี นคุยถึงวธิ ีการคุมกาเนิดที่เรียนรมู้ าว่ามวี ธิ อี ะไรบา้ ง 3. จากนน้ั แจกแบบสอบถาม แบบน้ี...จะท้องไหม ให้ทกุ คนตอบ ให้เวลา 5 นาที แบบน้.ี ..จะทอ้ งไหม ให้กาเคร่ืองหมาย หน้าข้อความท่คี ิดว่าทอ้ ง และกาเคร่ืองหมาย X หนา้ ขอ้ ความทค่ี ิดว่าไม่ สามารถท้องได้ O ใส่ถงุ ยางอนามัยแลว้ มเี พศสมั พันธ์ในวนั ท่ไี ข่ตกพอดี อยากทราบวา่ จะมโี อกาสทอ้ งไหม? O มีอะไรกับแฟนแต่เค้าใสถ่ งุ ยาง เค้าหลง่ั ในถงุ ยาง พอเอามาดู มันกไ็ มม่ รี อยรั่ว เพราะไมม่ อี ะไร ซมึ ออกมา จะทอ้ งรึเปล่า O มอี ะไรกับแฟนโดยท่ีเขาไม่ไดส้ อดใสเ่ ข้าไป แตห่ นใู ชม้ ือทาใหเ้ ขา แล้วเขากม็ าหลั่งบนตวั หนู จะมีโอกาสท้องไหมคะ O มเี พศสมั พันธต์ อนมปี ระจาเดือนแลว้ หล่ังข้างในจะทอ้ งไหมค่ะ O มีอะไรกบั แฟนโดยไมใ่ สถ่ ุงยางแต่หลัง่ ขา้ งนอก จะมีโอกาสท้องไหม O หนูมีอะไรกับแฟนแต่ไม่ไต้เอาอวยั วะเพศของแฟนสอดเข้าไปข้างใน แต่แฟนเค้าปล่อยอสุจใิ น กางเกงใน จะทอ้ งไหมคะ O แฟนไดใ้ ช้นว้ิ ให้หนนู ะ่ ค่ะ แตร่ ะหวา่ งนั้นเขาเผลอเอามือไปจบั โดนของเคา้ นดิ หนึ่ง ไมแ่ นใ่ จวา่ มีน้าหล่อลน่ื ตติ มือหรือเปล่า แลว้ ก็ใชน้ ิ้วสอดต่ออะ่ คะ่ แบบนี้มีโอกาสท้องมั๊ย O แบบแฟนปลอ่ ยน้าเหลวๆ ขาวๆ เข้าปากนะ่ คะ่ วนั นน้ั เป็นประจาเดอื นดว้ ย อยากทราบวา่ จะ ท้องไหมคะ แล้วจะมีผลข้างเคียงไหมคะแตไ่ มไ่ ด้มีอะไรกันนะคะ แคน่ ้าเค้าเขา้ ปากแล้วเราก็ กนิ น่ะค่ะ O หนมู อี ะไรกบั เพอื่ นชาย 4 คนน่ะค่ะ แลว้ พวกเชาหล่งั ข้างในหมดทุกคน แลว้ อยา่ งนี้หนูจะทอ้ ง มากกว่าเก่าไหมคะน้าเชอื้ มากมายขนาดน้ี O มีอะไรกับแฟนกอ่ นประจาเดือนจะมา 1 วนั จะมโี อกาสทอ้ งหรือป่าว
152 4. เม่ือตอบคาถามเสรจ็ แล้ว ให้แบ่งกลมุ่ ยอ่ ย กล่มุ ละไม่เกนิ 7 คน แล้วแลกเปล่ียนกันวา่ มี ข้อใดบ้างท่ีตอบไม่ตรงกนั ให้ช่วยกนั ตัดสินใจว่าคาตอบไหนน่าจะถูกต้องที่สุด และถือวา่ เปน็ คาตอบ ของกลมุ่ ให้เวลา 10 นาที 5. เม่ือหมดเวลา ผู้จัดการเรียนรู้ถามถึงคาตอบรองผู้เรียนทีละกลุ่ม และหากมีกลุ่มใด ท่ตี อบไม่ตรงกัน ให้แลกเปล่ยี นว่าทาไมจงึ คิดเชน่ นนั้ พร้อมท้ังให้ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ ท่ถี ูกตอ้ ง 6. เมื่อครบทุกข้อ ผจู้ ดั การเรยี นรู้ใช้คาถามชวนคิดเพอ่ื เปดิ โอกาสใหแ้ ลกเปลย่ี นกัน - คดิ วา่ สถานการณท์ ั้ง 10 คาถาม คนถามกับคู่ มคี วามสัมพันธ์แบบใด - ความกังวลของคนทีถ่ ามเกดิ จากสาเหตอุ ะไรได้บา้ ง - คิดว่าทง้ั 10 คนทีถ่ ามคาถาม มีโอกาสเสย่ี งตอ่ การตดิ เช้อื เอชไอวีหรือไม่ เพราะเหตุใด - ในกรณีท่ีคนถาม เลือกวิธีการสัมผัสภายนอก การช่วยตัวเองให้กันและกัน โดยไม่ สอดใส่ คิดว่ามโี อกาสทจ่ี ะนาไปสู่การมีเพศสัมพันธแ์ บบสอดใสห่ รือไม่ เพราะเหตใุ ด - คิดว่าใครควรเป็นฝ่ายเตรียมอุปกรณ์ปอ้ งกันเพื่อการมีเพศสมั พนั ธท์ ี่ปลอดภยั ชายหรือ หญิง เพราะเหตุใด - ถา้ เราตกอยใู่ นสถานการณท์ เ่ี ส่ียงตอ่ การมีเพศสมั พนั ธ์โดยไมพ่ รอ้ ม เราจะทาอย่างไร - จาเป็นหรือไม่ ที่วัยรุ่นควรมีความรู้เร่ืองการคุมกาเนิด และเพศสัมพันธ์ท่ีปลอดภัย เพราะเหตใุ ด การมีความรู้หรือมีข้อมูลจะทาให้อยากลองมเี พศสัมพันธห์ รือไม่ อย่างไร - มีวิธีการอย่างไรบ้าง ท่ีจะทาให้วยั รุ่นสนใจ และมีข้อมูลในเรอ่ื งเพศสัมพันธ์ทป่ี ลอดภัย และวธิ ปี ้องกันการตงั้ ครรภ์ และปอ้ งกันโรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ 7. ผ้จู ัดการเรียนรชู้ วนผูเ้ รียนสรปุ วา่ เราได้อะไรจากกิจกรรมวนั น้ี และเพ่มิ เติมประเดน็ ดังนี้ - วัยรุ่นมักกังวลเพียงเร่ืองการตั้งครรภ์เม่ือพูดถึงเร่ืองการมีเพศสัมพันธ์ แต่ความจริง เรายงั ตอ้ งนึกถงึ โอกาสในการตดิ เชอื้ โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธ์อน่ื ๆ ด้วย - การเลือกว่าจะใช้วธิ ีป้องกันเพื่อเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เป็นเรื่องท่ีต้องทาความตกลง กันระหว่างคู่มากกว่าจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของคนใดคนหน่ึง ทุกคนจึงควรมีความรู้เก่ียวกับ ผลกระทบท่ีเกิดจากการต้ังครรภ์โดยไม่พร้อม การติดเชื้อเอชไอวีและเช้ือโรคติตต่อทางเพศสัมพันธ์ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ กับคนทัง้ คู่ เพอื่ ชว่ ยในการตัดสินใจ - การมีข้อมูลในเร่ืองวิธีคุมกาเนิดอย่างถูกต้อง ช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าเราควรมี เพศสัมพันธห์ รือไม่ หากไมพ่ รอ้ มท่ีจะรับผลทต่ี ามมา - การตั้งครรภ์เกิดจากการสอดใส่อวัยวะเพศชายเข้าไปในร่างกายผู้หญิงผ่านทาง ชอ่ งคลอด (ในชว่ งเวลาทไี่ ขส่ ุก พร้อมจะปฏิสนธิ) โดยฝ่ายชายอาจหล่ังน้าอสุจิหรอื ไมห่ ลั่งก็ได้ เพราะ โดยท่ัวไปเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ ร่างกายจะผลิตน้าหล่อล่ืน (น้ากาม) ซึ่งมีอสุจิปนอยู่ด้วย ดังนั้น หากมกี ารสอดใส่โดยไม่มีการป้องกนั โอกาสท่จี ะเกิดการตั้งครรภ์ย่อมมไี ด้
153 - ประจาเดือนในวัยรุ่นอาจมาไม่สม่าเสมอ เป็นๆ หายๆ เน่ืองจากฮอร์โมนในร่างกาย กาลงั ปรับตัว จึงทาใหเ้ ส่ยี งต่อการตง้ั ครรภ์ หากใช้วธิ ีนบั วนั หนา้ 7 หลัง 7 (วิธนี ับระยะปลอดภัย) - การมเี พศสัมพันรโ์ ดยไม่สวมถุงยางอนามัยในขณะท่ผี ้หู ญิงมปี ระจาเดอื น นอกจากจะมี โอกาสเสยี่ งตอ่ การตั้งครรภ์แลว้ ยังเสี่ยงต่อการติตเช้ือเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ไดง้ ่ายข้ึน อกี ดว้ ย
154 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “แลกนา้ ” ขั้นตอนการดาเนนิ การ 1. อธิบายวิธีการเลน่ “แลกน้า” ว่าเป็นการจาลองสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เช้ือ เอชไอวี ทกุ คนจะมีสว่ นรว่ มในการเลน่ กิจกรรม 2. ขออาสาสมัคร 6 คน และแจกขวดน้าพร้อมหลอดฉีดยา (ท่ีแยกเอาไว้ 6 ขวด) ให้อาสาสมัครถือไว้คนละขวด จากน้ันให้อาสาสมัครดูดน้าในขวดท่ีได้ไปประมาณครึ่งหลอดฉีดยา แล้วนาไปฉีดใสข่ วดเปล่าที่เตรียมไว้ให้ จากนั้น แยกขวดน้า 6 ขวดที่อาสาสมัครฉีดน้าของตัวเองเก็บ ไว้ตา่ งหาก บอกใหอ้ าสาสมคั รนัง่ รวมกันอยู่ด้านหน่ึงของหอ้ ง โดยยงั ไม่ตอ้ งร่วมกจิ กรรม 3. แจกขวดน้าพร้อมหลอดฉีดยาท่ีเหลือให้กับผู้เรียนทั้งหมดคนละ 1 ขวด โดยให้ผู้เรียน หยบิ เอง 4. ผู้จัดการเรียนรู้บอกให้ผู้เรียนสังเกตน้าในขวดของตัวเองว่าเหมือนกับขวดของเพื่อน หรือไม่ จากน้ันให้แต่ละคนใช้หลอดฉีดยาดูดน้าของตัวเองประมาณครึ่งหลอดไปใส่ไว้ในขวดเปล่าท่ี เตรียมไว้ให้ 5. หลงั จากทุกคนได้เก็บน้าของตวั เองแลว้ ให้ทุกคนยกเวน้ อาสาสมัครมายืนล้อมวงรวมกัน ให้ทุกคนทาความค้นุ เคยกับการดูดนา้ ในขวดของตัวเอง พร้อมท้ังสังเกตสขี องนา้ ในขวดของตวั เองด้วย วา่ เปน็ อย่างไร ตา่ งกับของเพ่ือนหรอื ไม่ 6. ผู้จัดการเรียนรู้บอกให้ผู้เรียนทุกคน (ยกเว้นอาสาสมัคร 6 คน) เลือกจับคู่กับใครก็ได้ที่ ถูกใจ เม่ือทุกคนได้คู่ครบแล้วให้หันหน้าเข้าหากัน และแต่ละคนดูดน้าของตัวเองข้ึนมา ปริมาณครึ่ง หลอด แล้วฉีดน้าในหลอดฉีดยาที่ดูดข้ึนมาใส่ในขวดของคู่ตัวเอง (ต่างฝ่ายต่างฉีดใส่ขวดกันและกัน) จากน้ันให้แต่ละคนใช้หลอดฉีดยาคนน้าในขวดของตัวเอง และสังเกตว่าน้าในขวดเปลี่ยนไปจากเดิม หรือไม่ 7. ในรอบท่ี 2, 3 และ 4 ให้ผู้เรียนแต่ละคนจับคู่กับคนใหม่ โดยไม่ให้ซ้าคนเดิม โดยผู้จัดการเรียนรู้ อธิบายให้ชัดเจนในแต่ละรอบว่า ให้หาคู่คนใหม่ ที่ไม่ใช่คนเดิมที่เคยแลกน้า กันไปแล้ว เม่ือจับคู่ได้ให้ฉีดน้าของตัวเองใส่ในขวดของคู่ ผู้จัดการเรียนรู้กระตุ้นให้ผู้เรียนจาหน้า/ ชอ่ื คนที่แลกน้าด้วยใหไ้ ด้ 8. รอบที่ 9 ให้อาสาสมัครท้ัง 6 คนเขา้ มาร่วมเล่นด้วย โดยใหอ้ าสาสมัครเลือกจบั คู่กับคน ในกลุ่มใหญ่ และห้ามอาสาสมัครจับคู่กันเอง เมื่ออาสาสมัครได้คู่แล้ว ให้คนท่ีเหลือจับคู่กันเองโดย อิสระ เม่อื ทุกคนมีคู่ครบแล้ว กใ็ ห้แลกนา้ กันอีก 1 ครั้ง จากนั้น ใหท้ ุกคนกลบั ไปน่ังท่แี ละนาขวดมาไว้ ขา้ งหนา้ ตัวเอง
155 9. ถามผูเ้ รียนว่า - หากเปรยี บเทียบกจิ กรรม “แลกน้า” กบั เร่ืองเอดส์ การแลกน้า อาจเปรยี บเทียบได้ กบั อะไร? (การจาลองภาพการมีเพศสัมพนั ธก์ นั ) - จากการ “แลกน้า” ท่ีทุกคนมีส่วนร่วม เราเห็นรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์แบบใดบ้าง (มีเพศสัมพันธ์กับคนหลายคน, มีการเปล่ียนคู่ มีคู่หลายคน, มีคู่คนเดียว, มีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียว, มีแบบไมป่ อ้ งกนั ฯลฯ) - หากมีผู้ติดเชือ้ ในวงน้ี เรารหู้ รอื ไม่ว่าเป็นใครบ้าง รไู้ ดอ้ ย่างไร โดยเปรยี บเทียบกบั ขวดน้าท่ที กุ คนถืออยู่ (เชอื่ มโยงใหเ้ ห็นเร่อื งน้าใส ๆ ดูไมอ่ อกเหมอื นมเี ชื้อเอชไอวี แตด่ ไู มอ่ อก) 10. บอกผู้เรียนว่า ในวงท่ีเราเล่นแลกน้ากันน้ีมีผู้ติดเช้ืออยู่ (ขวดน้าที่มีเช้ือ) เราบอกได้ หรือไมว่ ่ามีใครบ้าง เพราะเหตใุ ด (ยงั ไม่ต้องเฉลยว่ามีขวดต้งั ตน้ กีข่ วด) - หากมีคนท่ีมีเชื้ออยู่ในวงน้ี ใครที่คิดว่าตัวเองอาจมีโอกาสเส่ียงในการรับเช้ือบ้าง เพราะเหตุใด - เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีเชื้อเอชไอวี (วิธีเดียวท่ีจะรู้ได้ คือ การตรวจเลือดหาเช้ือ เอชไอวี) 11. ถามความสมคั รใจว่าผ้เู รียนคนใดอยากตรวจหาเชอื้ เอชไอวีบา้ ง - ถ้ามีคนอยากตรวจ เลือก 1 คน และอธิบายว่า เมื่อใช้สารทดสอบหยดลงในขวด หากน้าเปลย่ี นสีเปน็ สมี ่วง หมายถึงขวดนั้น ๆ มเี ชอื้ จากน้นั นาสารฟีนอฟทาลีนไปหยดในขวดน้า 12. เมอ่ื ตรวจพบว่านา้ ของใครเปลย่ี นสีเป็นขวดแรก ให้ชวนเจ้าของขวดพูดคุย - ถามเจ้าของขวดว่ารู้สึกอย่างไรที่น้าของตัวเองเปลี่ยนสี คิดว่าเป็นเพราะเหตุใด หากมกี ารระบวุ ่ไดร้ ับเชอ้ื จากคนอน่ื ให้ลองบอกวเ่ ป็นใคร เพราะอะไร - จากน้ันถามกลุ่มว่า ถ้าขวดน้ีเปลี่ยนสี ใครคิดว่าขวตของตัวเองจะเปล่ียนด้วยให้ยืน ข้ึน ถามกลุ่มต่อว่า เมื่อเห็นคนท่ียืนขึ้นเพราะคิดวา่ ตัวเองอาจมีโอกาสเส่ียง ใครอีกท่ีคิดว่าตนเองก็มี โอกาสเส่ียง ให้ยืนขนึ้ ถามเหตุผล และถามต่ออีก 2 - 3 รอบใหเ้ หน็ วา่ คนสว่ นใหญ่ในห้องยนื ขึน้ - ชี้ให้เห็นว่า เราเพิ่งรู้ว่า มีคนๆ เดียวในห้องน้ีที่มีเชื้อ แต่มีอีกหลายคนมากท่ีรู้สึกว่า ตนเองอาจมีโอกาสเส่ยี งด้วย ถามผู้เรยี นว่ารู้สึกหรือคิดอยา่ งไร กบั สถานการณด์ ังกลา่ ว 13. ถามว่าใครอยากตรวจอีกบ้าง ลองตรวจ โดยเมื่อเจอขวดที่เปล่ียนสีอีก 2 - 3 ขวด ลองถามว่า คิดว่าไดร้ ับจากใคร จากนั้นผู้ดาเนินการบอกว่า จะบังคับตรวจทุกคน ยกเว้นอาสาสมัคร 6 คน นับจานวนขวดท่ีเปลี่ยนสี 14. สาหรับอาสาสมคั ร ถามกล่มุ วา่ - อาสาสมัครแลกน้าก่ีครั้ง เปรียบเทียบได้กับใคร/พฤติกรรมอะไรบ้างในสังคม (มีเพศสมั พนั ธค์ ร้งั เตยี ว, มคี ร้ังแรก, มคี ูค่ นเดยี ว, รกั เดียวใจเดียว)
156 - คดิ ว่าขวดของอาสาสมคั ร มโี อกาสเปลยี่ นสีหรอื ไม่ เพราะเหตุใด - จากนั้น ตรวจอาสาสมัคร และนับจานวนขวดนา้ ท่ีเปลยี่ นสี 15. หากมีขวดน้าอาสาสมัครเปลี่ยนสี ต้ังคาถามต่อว่า รักเดียวใจเดียว มีคู่คนเดียว ปลอดภัยจากเอดส์จริงหรือไม่ อภิปรายถึงสาเหตุที่ทาให้การมีเพศสัมพันธ์คร้ังเดียวก็อาจติดเช้ือ เอชไอวี 16. เขียนแผ่นใส เพ่ือให้เห็นจานวนขวดท่ีติดเชื้อ จากจานวนขวดกลุ่มใหญ่ท้ังหมด จากการแลก 5 ครัง้ และจานวนขวดอาสาสมัครที่เปล่ยี นสใี น 6 ขวด จากการแลกน้าเพียง 1 คร้งั - โอกาสเสี่ยงของ 2 กลุ่มนเี้ หมอื นหรอื ตา่ งกันอยา่ งไร 17. ตั้งประเด็นกับผู้เรียนว่ากิจกรรมน้เี ปน็ การจาลองภาพการมเี พศสัมพันธ์ของคน 5 ครั้ง ซง่ึ มีโอกาสท่ีคนจะได้รบั เชอ้ื เอชไอวีไปจานวนหนง่ึ ตามที่ปรากฏ ถามว่าในชีวิตจริงแต่ละคนมีโอกาสมี เพศสมั พันธก์ ค่ี รงั้ และกบั คนมากกว่า 1 คนหรอื ไม่ - การเปลี่ยนคู่ หรือมีคู่นอนมากกว่า 1 คน เกิดข้ึนได้อย่างไรบ้าง มีโอกาสเกิดข้ึน ในชวี ติ เราหรือไม่ อยา่ งไร - เราจะบอกกับคู่ปัจจุบันเก่ียวกับคู่นอนในอดีตหรือไม่ เพราะเหตุใด สุ่มถามทั้งหญิง และชาย ต้ังข้อสังเกตความแตกต่างของการเปิดเผยประสบการณ์ทางเพศของหญิงชาย ใครบอก ยากงา่ ยกว่ากัน 18. ถามผ้เู รยี นวา่ จากจานวนขวดน้าทเี่ ปลีย่ นสที ั้งหมด คดิ วา่ มีขวดต้งั ต้นกี่ขวด - จากนั้น เฉลยโดยการนาสารฟีนอฟทาลีนมาหยดใส่ขวดท่ีเก็บน้าของแต่ละคน ไว้ในครั้งแรกทุกขวด ซ่ึงจะเห็นว่ามีเพียงขวดเดียวเท่าน้ันที่เปล่ียนสี อธิบายว่า กิจกรรมแลกน้าเป็น การจาลองการแพร่ระบาดของเช้ือเอชไอวี - จาก 1 ชวด แลกกัน 5 ครัง้ ทาใหน้ ้าเปลยี่ นสีไปอกี กี่ขวด ถามว่า คดิ /รสู้ ึกอยา่ งไร กบั ส่ิงท่ีเหน็ จากกิจกรรมนีบ้ า้ ง 19. ผู้จัดการเรียนรู้ชวนคุยสรุปการเรียนรู้จากกิจกรรม โดยให้ผู้เรียนช่วยกันสรุปว่า “โอกาสการติดเชื้อเอชไอวี คอื ......” โดยผู้จดั การเรียนรู้พยายามต้ังคาถามเพื่อนาไปสคู่ าตอบ (การมี เพศสมั พนั ธ์โดยไม่ป้องกนั กับคนทีม่ ีเชอื้ ซึ่งดูไมอ่ อกจากภายนอก) 20. ตัวอย่างคาถาม ที่สามารถใช้เพื่อเพิ่มเติมประเด็น หากการอภิปรายแลกเปล่ียนยังไม่ ครอบคลุมในบางประเด็น เชน่ - ในขณะที่มีการรณรงค์ใหใ้ ช้ถุงยางอนามัย ทาไมแนวโน้มการแพรร่ ะบาดของเอดส์จึง เพ่มิ ข้นึ - เรามีโอกาสติดเชอ้ื จากใครมากกวา่ กันระหวา่ งผู้ติดเชอ้ื กับผปู้ ่วยเอดส์ เพราะอะไร - ใครคือคนทีม่ ีโอกาสเสี่ยงตอ่ การติดเชอื้ เอชไอวี
157 - การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับคนท่ีเราม่ันใจ กับการใส่ถุงยางในขณะที่มี เพศสัมพันธก์ บั คนทเี่ ราคิดวา่ เปน็ กลุ่มเสยี่ ง แบบไหนมีโอกาสเสี่ยงมากกวา่ กัน - โอกาสที่หญิงและชายที่เป็นแฟนกัน/รักกัน จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เป็นไป ได้มากนอ้ ยเพยี งใด คดิ วา่ เปน็ เพศสมั พันธแ์ บบปอ้ งกันหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด - เราสามารถพูดคุยหรือสื่อสารกับคู่เรื่องประวัติทางเพศของตนเองได้หรือไม่ เพราะ อะไร - เราจะมวี ิธีการป้องกันตนเองอยา่ งไร ถา้ ไม่อยากติดเชอื้ เอชไอวี - เราจะมั่นใจในคู่ทเ่ี ราเลือกได้อยา่ งไร ในข้ันตอนน้ี ผจู้ ัดการเรยี นรู้ควรทาแผนผงั เครอื ขา่ ยการมีเพศสัมพันธ์ แสดงโอกาสการแพร่ ระบาดจากคนท่ีมเี ชื้อเอชไอวีไปยังคนอื่นๆ โดยผ่านช่องการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกบั ผู้ติดเชื้อ ซ่ึงดูไม่ออกจากภายนอก (ดังเช่นตัวอย่างข้างล่างน้ี) เพ่ือชี้ให้เห็นถึงจานวนและปริมาณของผู้ท่ีมี โอกาสรับเช้ือจากการมเี พศสัมพนั ธ์
158 กจิ กรรมการเรยี นรู้ “ระดบั ความเส่ียง QQR” ขนั้ ตอนการดาเนินการ 1. ผู้จัดการเรียนรู้ตั้งคาถามเพ่ือเชอ่ื มโยงการเรียนรู้จากกิจกรรมแลกน้ากบั กิจกรรมระดับ ความเสีย่ ง โดยใชค้ าถาม เชน่ - พฤติกรรมใดท่ีจะนาไปสู่การเกดิ โอกาสเสย่ี งตอ่ การติดเชือ้ เอชไอวบี า้ ง - เราคิดวา่ สาเหตทุ ท่ี าให้เกดิ การตดิ เชื้อเอชไอวีมอี ะไรอกี บา้ ง - เราคิดวา่ ตนเองมีโอกาสเสย่ี งต่อการติดเช้ือเอชไอวหี รือไม่ อยา่ งไร 2. ผู้จัดการเรียนรู้นาเข้าสู่กิจกรรม “ระดับความเส่ียง” โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็น 4 กลุ่ม แบบคละหญิงชาย แจกชุดบัตรความเส่ียงกลมุ่ ละ 1 ชุด อธบิ ายวิธีการเล่น “QQR” วา่ แต่ละกลุ่มจะ ได้รบั บัตรคา 21 ใบ แตล่ ะใบจะเป็นการกระทาต่างๆ กัน และบตั รระดบั ความเสี่ยง 9 ระดับ จานวน 4 ใบ 3. ให้สมาชิกภายในกล่มุ พิจารณาว่าการกระทาทร่ี ะบใุ นบัตรคาแต่ละบัตรน้ัน หากกระทา รว่ มกับผู้ติดเชือ้ เอชไอวี จะทาให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อระดับใด โดยใช้เกณฑ์ระดับความเสี่ยงท่ี กาหนดไวป้ ระกอบการพจิ ารณา 4. อธบิ ายเกณฑก์ ารจัดระดบั ความเสีย่ ง 4 ระดับ หรือฉายบนเคร่อื งฉายแผ่นใสให้ทุกคนได้ เห็นร่วมกนั - เสย่ี งมาก เปน็ ความเสีย่ งในระดบั ที่ทาให้มโี อกาสได้รับเช้อื สงู มากและ คนส่วนใหญ่ได้รับเชอื้ เอขไอวีจากความเส่ยี งนน้ั ๆ - เสีย่ งปานกลาง มีความเสี่ยงท่ีจะได้รับเชือ้ เอชไอวอี ยู่บ้าง แต่ไม่เทา่ เส่ียงมาก - เสีย่ งนอ้ ยมาก มีความเส่ียงในเชงิ ทฤษฎี แตใ่ นทางเป็นจรงิ โอกาสและ ความเปน็ ไปได้ทจ่ี ะได้รบั เชอื้ เอชไอวจี ากการกระทานัน้ ๆ แทบไม่มเี ลย และไมป่ รากฏหรือมีกรณีน้อยมากๆ วา่ มคี นไดร้ ับเช้ือเอชไอวจี ากช่อง ทางน้นั ๆ - ไม่เส่ียง เปน็ การกระทาหรือชอ่ งทางท่ไี มม่ ีโอกาสเส่ยี งตอ่ การรบั เชอื้ เอชไอวเี ลย
159 5. ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มพิจารณาร่วมกันว่า การกระทาที่ระบุในบัตรคาแต่ละบัตรน้ัน จะทาให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้ออย่างไร และให้วางบัตรคาน้ันๆ ใต้ระดับความเสี่ยงที่เป็น ความเหน็ ของกลุม่ ให้ใช้วธิ ีการใหเ้ หตุผล อธิบายในกลมุ่ ให้เวลา 15 นาที 6. เมื่อหมดเวลา ผู้จัดการเรียนรู้ชวนทุกคนในชั้นเรียนตรวจสอบการจัดระดับความเสี่ยง รว่ มกัน โดยใช้บัตรอกี ชุดหน่ึง ถามความเห็นของทุกกลุ่มต่อบัตรคาแตล่ ะใบ หากทุกกลุ่มเหน็ พ้องกัน ผู้จัดการเรียนรู้ติดบัตรคานั้นลงในช่องระดับความเสี่ยงที่ทุกกลุ่มมีความเห็นร่วมกันหากบัตรคาใด มีความเห็นไม่ตรงกนั แมเ้ พียงกลุ่มเดยี ว ให้แยกบัตรคาติดไว้ข้างนอก ถามจนครบหมดท้งั 21 บตั ร 7. ตงั้ คาถามชวนคยุ เพอ่ื ช้ีประเด็นให้เห็นว่า การลงความเห็นต่อบัตรคาแต่ละใบนั้น ตอ้ งมี ข้อมูลหรือความรูเ้ ก่ียวกบั การรับเชือ้ ชอ่ งทางการตดิ เชื้อในการพจิ ารณา เช่น - ในกล่มุ บัตรคาท่ีทุกกลุ่มเห็นด้วยกัน เราใช้เกณฑ์อะไรในการพจิ ารณา เพราะเหตุใด - การทีแ่ ต่ละกลมุ่ มีความเหน็ ไม่ตรงกนั ต่อบัตรคาจานวนหน่งึ คิดว่าเปน็ เพราะเหตุใด - ขอ้ มลู และความคดิ เห็นทแ่ี ตกต่างกันในเรือ่ งเอดส์ อาจสง่ ผลอยา่ งไรบ้าง 8. อธบิ ายหลักการ “QQR” เพ่อื ใหเ้ ข้าใจเรอ่ื งหลักการวิเคราะห์ความเส่ยี งและปัจจยั ท่ีมี ผลต่อการรบั เชอ้ื เอชไอวี และแจกเอกสารประกอบ “หลักการ QQR”
160 9. ชวนผู้เรียนร่วมกันพิจารณาบัตรคาท่ีมีความเห็นไม่ตรงกันซ่ึงติดแยกไว้โดยใช้หลักการ QQR วิเคราะห์ความเส่ียงต่อการรับเชื้อ เพื่อตัดสินว่าจัดอยู่ในความเส่ียงระดับใด และนาไปติดไว้ใน ช่องความเสี่ยงระดับน้ันจนครบหมดทกุ ใบ 10. ในระหว่างการใช้หลักการ QQR ผเู้ รียนอาจมีคาถามท่เี ปน็ เหตกุ ารณส์ มมติ เชน่ “กรณี จูบปาก ถ้าปากมีแผลเลือตออก” หรือ “กรณีใช้มีดโกนร่วมกัน - ถ้ามีดบาดจนมีเลือดอยู่ที่ใบมีโกน” เป็นต้น ในกรณีที่มีคาถาม “ถ้า...” ผู้จัดการเรยี นรู้ ควรชวนให้ผ้เู รียนพิจารณาถึงโอกาสความเป็นไป ได้ท่ีจะเกิดขึ้น เช่น การจูบปากโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีแผลซึ่งมีเลือดออก มีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์สมมติเหล่านี้ เป็นความกังวลใจจากจินตนาการ ซึ่งแทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงใน วิถีชีวิต 11. เม่อื พจิ ารณาครบทุกบตั รคา เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซักถามข้อสงสยั เพม่ิ เติม 12. ผู้จัดการเรียนรู้ชวนผู้เรียนพิจารณาให้เห็นความกังวลใจว่า ถ้าพิจารณาระดับ ความเส่ียงของบัตรคาทั้งหมด คิดว่าโดยทั่วไปคนกังวลเร่ืองการติดเชอื้ เอชไอวี จากการกระทากลุ่มใด (กลุ่มท่ีไม่เสย่ี งเลย หรือเส่ยี งน้อย) ในขณะที่การกระทาที่มโี อกาสเสี่ยงมาก คนโดยท่ัวไปกลบั ไมก่ ังวล (การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน) โดยผู้จัดการเรียนรู้เช่ือมโยงกับประเด็นในกิจกรรมแลกน้า (ความม่ันใจในคู่ที่ตนเลือก การไม่เปิดเผยประวัติทางเพศ คิดว่าตนเองและคู่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ทาให้ ประเมนิ ความเสยี่ งพลาด เป็นต้น) 13. ชวนคุยและเพ่ิมเติมความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับการได้รับเชื้อโรคติตต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ จากการมเี พศสมั พันธ์ โดยใชค้ าถาม เช่น - การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง นอกจากมีโอกาสติดเช้ือเอชไอวีแล้ว เรามีโอกาส ติดเชื้ออน่ื อีกหรือไม่ มอี ะไรบา้ ง - สามารถสังเกตอาการติดเชือ้ โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธใ์ นผหู้ ญิงและผู้ชายอย่างไร - การติดเช้อื โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์สง่ ผลกระทบอย่างไรตอ่ สุขภาพชายและหญงิ - มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง - จะเกิดผลกระทบอย่างไรหากซือ้ ยามากนิ เอง 14. ผจู้ ัดการเรียนรู้สรุปประเด็นสาคัญในเรือ่ งโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์ ดงั น้ี - การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน นอกจากอาจทาให้เกิดการต้ังครรภ์ การติดเช้ือ เอชไอวีแล้ว ยงั มโี อกาสติดเช้ือโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธอ์ ่ืน ๆ เชน่ หนองใน ฯลฯ - ในระยะ 2 - 3 ปีท่ีผ่านมาถึงปัจจุบัน (2549) พบการติดเชื้อโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์เพ่ิมขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น ทั้งที่ก่อนหน้าน้ีมีการรณรงค์เร่ืองเอดส์อย่างกว้างขวางในประเด็น การให้ใช้ถุงยางอนามัย ทาให้อัตราการตดิ เชื้อโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์ลดลงอยา่ งมาก จนแทบไม่พบ ผู้ป่วย ดังนั้นปรากฎการณ์การพบการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สะท้อนให้เห็นว่า
161 คนมีพฤติกรรมทางเพศโดยไม่ป้องกันมากข้ึน ซ่ึงหากติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ โอกาสติด เชื้อเอชไอวีก็ย่อมมีเช่นกนั - การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นปัจจัยท่ีทาให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเช้ือ เอชไอวีมากขน้ึ - การสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดข้ึนหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน จะช่วย ในการรับการตรวจรักษาเร็วข้ึน ท้ังนี้ อาการผิดปกติในกรณีท่ีติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน ผู้หญิงใช้ระยะเวลามากกวา่ เพราะเปน็ การตดิ เช้ือท่ีอวัยวะภายในซึง่ มองไมเ่ ห็นเหมอื นกรณผี ู้ชาย - ถ้าพบอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพ่ือรับการรักษา ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะควรได้รับการวนิ ิจฉัยใหช้ ัดเจนวา่ เปน็ โรคอะไร และรบั การรักษาอยา่ งถูกตอ้ ง - ควรพาคู่ไปรับการรักษาด้วย เพื่อป้องกันการติดเช้ือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนดิ อื่น และระหวา่ งการรกั ษา หากมีเพศสัมพนั ธค์ วรใช้ถงุ ยางอนามัยป้องกันทกุ คร้งั 15. ผู้จัดการเรียนรู้ อาจแจกเอกสารประกอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในผหู้ ญงิ และผชู้ าย หรือเพมิ่ เตมิ ประเด็นสาคญั จากเอกสารทแี่ จกใหก้ ับผู้เรียนด้วย 16. ผู้จัดการเรียนรู้ชวนผู้เรียนสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “การสร้างการเรียนรู้” จาก หนว่ ยนผ้ี ่านกิจกรรม แลกนา้ และระดับความเสย่ี ง QQR โดยถามวา่ - จากกิจกรรมแลกน้าและกิจกรรมระดับความเสี่ยง เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ หรือได้ เรียนรู้อะไรที่แตกตา่ งจากสง่ิ ท่ีเคยรบั รมู้ าในเรอื่ งเอดส์บ้าง - หากจะตอ้ งไปจัดการเรียนรูส้ าหรบั วยั รุ่นควรจะตอ้ งเนน้ เรอ่ื งใดบา้ ง 17. ผ้จู ดั การเรียนร้สู รปุ ใหเ้ หน็ วา่ - กิจกรรม “แลกน้า” เป็นตัวอย่างของการออกแบบกิจกรรมสร้างความตระหนัก โดยจัดประสบการณ์จาลองให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และเชื่อมโยงส่ิงที่เกิดข้ึนจากกิจกรรม การเรียนรไู้ ปเทียบเคยี งกับสถานการณ์ทอ่ี าจเกิดข้ึนในชีวติ จรงิ ของผเู้ รียน - กจิ กรรม “ระดบั ความเสี่ยง QQR” เปน็ ตวั อยา่ งการออกแบบการเรียนรูท้ ่สี อนให้เกิด การคดิ วเิ คราะห์ โดยใช้หลักการในการฝกึ คดิ วเิ คราะห์และหาคาตอบด้วยตนเอง โดยคานงึ ถึงบรบิ ท รอบขา้ ง และเขา้ ใจว่าคาตอบอาจเปลย่ี นแปลงไปตามบริบทได้ แตย่ ังใชห้ ลักการอนั เดิม
162 คาถามทา้ ยบท จงตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอธิบายพรอ้ มยกตัวอย่างประกอบ 1. สุขภาพทางเพศคอื อะไร จงอธิบาย 2. จงอธบิ ายความสาคญั ของสขุ ภาพทางเพศ 3. จงระบกุ ารปฏบิ ัติตนเพือ่ สขุ ภาพทางเพศของวยั รุน่ 4. สุขปฏิบัติเกี่ยวกับอวยั วะเพศ มแี นวทางปฏิบัติอยา่ งไร 5. จงอธิบายและยกตวั อย่างการดแู ลรักษาความสะอาดอวัยวะเพศของชายและหญิง 6. การดูแลรกั ษาความสะอาดอวยั วะเพศของชายมคี วามแตกต่างอย่างไรกบั เพศหญงิ 7. จงอธบิ ายการคมุ กาเนดิ และยกตัวอยา่ งโดยสังเขป 8. จงระบแุ ละยกตวั อยา่ งโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พนั ธ์ 9. จงอธิบายความรู้เกย่ี วกบั เชอื้ เอชไอวแี ละโรคเอดส์ได้ 10. จงอธิบายและยกตวั อยา่ งแนวทางการป้องกันการติดเชือ้ เอชไอวี
163 เอกสารอา้ งองิ กิจจา บานชน่ื ฐณิ ีวรรณ วุฒวิ กิ ัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ. (2562). เพศวถิ ีศึกษา. นนทบรุ ี: รัตนโรจน์การพิมพ์. จันทร์วภิ า ดลิ กสมั พนั ธ.์ (2548). เพศศกึ ษา. พมิ พค์ รั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ชมุ าภรณ์ ฝาชยั ภมู ิ. (2559). เพศวิถีศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยเู คชน่ั . ________. (2562). เพศวิถีศึกษา. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยเู คชน่ั . ปานเดชา ทองเลศิ . (2562). เพศวถิ ีศกึ ษา. นนทบุรี: รัตนโรจน์การพมิ พ.์ ศิยพร กลา่ ทวี และประพล นลิ ใหญ่. (2562). เพศวถิ ีศึกษา. นนทบรุ ี: รตั นโรจนก์ ารพิมพ์. สมวงศ์ อไุ รวัฒนา. (2548). “เอดส์ เข้าใจได้ไมย่ าก” 20 ปีท่รี ู้จักกัน: เรอื่ งเล่าและบทเรียนการทางาน เอดส์. กรุงเทพฯ: ศึกษิตสยาม. องคก์ ารแพธ (PATH). (2550). กา้ วย่างอยา่ งเขา้ ใจ: คู่มอื การจัดกระบวนการเรยี นรเู้ พศศกึ ษาระดับ ประกาศนยี บัตรวชิ าชพี รหัสวิชา 2000-1612. กรุงเทพฯ: Geometric. อุทุมพร แก้วสามศรี และคณะ. (2562). เพศวถิ ีศึกษา. นนทบรุ ี: รตั นโรจนก์ ารพิมพ์. Nass, Gilbert D. And Fisher Mary, Pat. (1988). Sexuality Today. 2nd ed. Boston: Jones And Bartlett Publishers.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 4 สัมพันธภาพทางเพศ วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม เมอื่ ศกึ ษาบทเรียนนี้จบแล้ว นักศกึ ษาควรมพี ฤตกิ รรมดังนี้ 1. อธบิ ายความหมาย และความสาคัญของสัมพันธภาพทางเพศได้ 2. ระบลุ กั ษณะของสมั พันธภาพทางเพศได้ 3. บอกปัจจัยท่สี นับสนุนให้เกิดสมั พันธภาพทางเพศได้ 4. อธิบายหลักพ้นื ฐานในการสร้างสัมพนั ธภาพทางเพศได้ 5. ระบอุ ารมณ์และความรู้สึกที่เกีย่ วข้องกับสัมพันธภาพทางเพศได้ 6. อธบิ ายขั้นตอนการพฒั นาสมั พนั ธภาพทางเพศได้ 7. อธบิ ายและยกตัวอย่างสมั พนั ธภาพในการวางตัวได้ 8. บอกความขดั แย้งในสมั พนั ธภาพทางเพศได้ 9. อธิบายการสมรสหรือการแต่งงานได้ เน้อื หาสาระ เนือ้ หาสาระในบทนีป้ ระกอบดว้ ย 1. ความหมายของสัมพันธภาพทางเพศ 2. ความสาคัญของสัมพนั ธภาพทางเพศ 3. ลักษณะของสัมพันธภาพทางเพศ 4. ปัจจัยที่สนบั สนุนให้เกดิ สมั พนั ธภาพทางเพศ 5. หลักพนื้ ฐานในการสรา้ งสมั พนั ธภาพทางเพศ 6. อารมณ์และความรสู้ ึกทเี่ กยี่ วขอ้ งกับสมั พันธภาพทางเพศ 7. ขั้นตอนการพัฒนาสมั พนั ธภาพทางเพศ 8. สัมพนั ธภาพในการวางตัว 9. ความขดั แย้งในสัมพันธภาพทางเพศ 10. การสมรสหรือการแตง่ งาน
166 กิจกรรมการเรียนการสอน กจิ กรรมการเรยี นการสอนเรื่องสัมพนั ธภาพทางเพศ มดี ังนี้ สัปดาหท์ ี่ 6 (3 ชั่วโมง) 1. ผู้สอนทบทวนเนื้อหาบทที่ 3 ท่ีเรยี นมาของสัปดาห์ก่อน พร้อมชี้แจงวตั ถุประสงค์ และ เน้ือหาประจาบทเรียนบทท่ี 4 เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นรับรภู้ าพรวมของเนื้อหาสาระในบทเรยี นนี้ 2. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับสัมพันธภาพทางเพศ ในหัวข้อ ความหมาย ความสาคัญ และลักษณะของสัมพันธภาพทางเพศ ปัจจัยท่ีสนับสนุนให้เกิดสัมพันธภาพทางเพศ หลักพ้ืนฐาน ในการสร้างสมั พนั ธภาพทางเพศ อารมณ์และความร้สู กึ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับสมั พันธภาพทางเพศ 3. ผูเ้ รยี นรับฟังบรรยายสรุปเนอ้ื หาสาระ รว่ มกับศึกษาเน้ือหาเรื่อง “สัมพันธภาพทางเพศ” ในหัวขอ้ ดงั กลา่ วจากเอกสารคาสอน พร้อมทงั้ ซักถามและตอบคาถามระหวา่ งการฟงั บรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “รักออกแบบได้” และ สถานการณ์จาลอง “สลับ บทบาท” แลว้ รว่ มกนั สรุปสาระสาคัญท่ีได้รบั 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเน้ือหาสัมพันธภาพทางเพศและ แนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมทง้ั เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นซกั ถามในหวั ขอ้ / ประเด็นทส่ี งสัย 6. ผสู้ อนชีแ้ จงหวั ข้อที่จะเรยี นในครัง้ ต่อไป เพ่ือให้ผเู้ รียนไปศกึ ษาก่อนลว่ งหนา้ 7. ผู้สอนเสรมิ สรา้ งคณุ ธรรมและจริยธรรมใหก้ บั นกั ศึกษาก่อนเลกิ เรยี น สัปดาหท์ ี่ 7 (3 ชัว่ โมง) 1. ผสู้ อนทบทวนเนื้อหาทเ่ี รียนมาของสปั ดาหก์ อ่ น 2. ผู้สอนบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับสัมพันธภาพทางเพศ ในหัวข้อ ขั้นตอนการพัฒนา สมั พันธภาพทางเพศ สัมพันธภาพในการวางตัวต่อเพศตรงขา้ ม ความขัดแย้งในสัมพันธภาพทางเพศ และการสมรสหรอื การแต่งงาน 3. ผู้เรยี นรบั ฟงั บรรยายสรปุ เนอ้ื หาสาระ ร่วมกับศึกษาเน้อื หาเรื่อง “สมั พันธภาพทางเพศ” ในหวั ขอ้ ดงั กลา่ วจากเอกสารคาสอน พร้อมท้ังซกั ถามและตอบคาถามระหวา่ งการฟังบรรยาย 4. ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “นิยามและความคาดหวงั ” และ การจัดการความสมั พันธ์ “อบุ ตั เิ หตรุ กั ” แล้วร่วมกันสรปุ สาระสาคญั ท่ีได้รบั 5. ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย สรุปเนื้อหาสัมพันธภาพทางเพศและ แนวทางการนาไปประยกุ ต์ใช้ รวมทงั้ เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถามในหวั ขอ้ / ประเด็นท่ีสงสยั 6. ผู้สอนมอบหมายใหผ้ ูเ้ รียนทาคาถามทา้ ยบท และกาหนดวนั ส่ง 7. ผู้สอนช้แี จงหัวข้อทจ่ี ะเรียนในครงั้ ตอ่ ไป เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นไปศกึ ษากอ่ นลว่ งหน้า
167 8. ผสู้ อนเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมใหก้ บั นักศกึ ษากอ่ นเลกิ เรยี น ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารคาสอน เพศศกึ ษาแบบองคร์ วม 2. เอกสาร ตารา หนังสอื และงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เพศศกึ ษาแบบองคร์ วม 3. สไลด์นาเสนอความรู้ประเด็นสาคัญทุกหัวข้อเรื่อง ด้วยส่ือทางคอมพิวเตอร์ Microsoft Power Point 4. วัสดแุ ละอุปกรณส์ าหรบั จดั กิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4.1 กระดาษฟลิปชารท์ 4.2 กระดาษเอส่ี 4.3 ปากกาเคมี 4.4 หนังสั้นโครงการหนงั มา่ นรดู 2 เรอื่ ง “หลังจากวนิ าทที ่เี จด็ ” 5. คาถามทา้ ยบท การวัดผลและการประเมินผล วัตถุประสงค์ วิธกี าร/เครอ่ื งมอื การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1.อธบิ ายความหมาย และความสาคญั 1. ซักถาม-ตอบคาถาม 1. นักศึกษาตอบคาถาม และ ของสัมพนั ธภาพทางเพศได้ อภิปราย แลกเปลย่ี น อภปิ รายได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ 80 2. ระบุลกั ษณะของสัมพนั ธภาพทาง และการสนทนาร่วมกนั 2. นกั ศกึ ษามคี วามสนใจ/ เพศได้ 2. สงั เกตพฤตกิ รรม ความรว่ มมือ และความ 3. บอกปัจจยั ท่ีสนบั สนุนใหเ้ กิด การรว่ มกจิ กรรม กระตือรืนรน้ ในการร่วม สมั พนั ธภาพทางเพศได้ 3. สังเกตการนาเสนอผล กจิ กรรมอยูใ่ นระดบั ดี 4. อธิบายหลกั พนื้ ฐานในการสร้าง การทางานหนา้ ชนั้ เรยี น 3. นกั ศึกษามีความพรอ้ ม/ สมั พนั ธภาพทางเพศได้ 4. ใบงานในกจิ กรรมการ ความตงั้ ใจและความกลา้ 5. ระบอุ ารมณแ์ ละความรสู้ ึกท่ี เรยี นรู้ แสดงออกในการนาเสนอผล เกยี่ วข้องกับสัมพนั ธภาพทางเพศได้ 5. คาถามท้ายบท การทางานหน้าช้นั เรยี นอย่ใู น ระดบั ดี
168 วตั ถุประสงค์ วธิ ีการ/เครือ่ งมอื การวดั ผลและการประเมินผล 6. อธิบายขั้นตอนการพัฒนา 4. นกั ศึกษาทาใบงานได้ถูกต้อง สมั พนั ธภาพทางเพศได้ ครบสมบรู ณ์ และเสรจ็ ตาม 7. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งสัมพนั ธภาพ เวลาที่กาหนด ร้อยละ 80 ในการวางตวั ได้ 5. นักศึกษาตอบคาถามท้าย 8. บอกความขัดแยง้ ในสมั พันธภาพ บทเรยี นได้ ร้อยละ 80 ทางเพศได้ 9. อธิบายการสมรสหรือการแตง่ งาน ได้
169 บทท่ี 4 สมั พันธภาพทางเพศ การมีความสัมพนั ธ์อนั ดีกบั ผู้อนื่ เปน็ สง่ิ จาเป็นในชีวิตของมนษุ ย์ เอกลกั ษณ์ของแต่ละบคุ คล ความสาเร็จในอาชีพ การค้นพบความหมายของชีวิตและสุขภาพจิต ล้วนได้รับอิทธิพลจากการมี สัมพันธภาพระหว่างบุคคลซ่ึงแต่ละคนได้ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ให้มีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมที่แตกต่างกันออกไป ดังน้ันความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คน จึงต้องอาศัย ความเข้าใจ การมีสัมพันธภาพท่ีดี การส่ือสารท่ีตรงกันและเข้าใจกันได้ ทาให้บุคคลที่เก่ียวข้อง มีความสุข รวมท้ังการสร้างสัมพันธภาพระหวา่ งเพศในวัยรนุ่ ซ่ึงในการท่ีจะเลือกสมั พันธภาพระหวา่ ง เพศแบบใดและปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมน้ัน วัยรุ่นจะต้องมีวิจารณญาณ มีสติสัมปชัญญะ และมเี หตุผลในการเลือก ความหมายของสมั พนั ธภาพทางเพศ สาหรับความหมายของสัมพนั ธภาพทางเพศ ได้มนี กั วิชาการใหค้ วามหมายไว้ดังนี้ จนั ทรว์ ิภา ดิลกสัมพนั ธ์ (2548, น. 83) ได้ใหค้ วามหมายของสัมพนั ธภาพทางเพศ หมายถึง การท่ีชายหญิงมีปฏิกิริยาต่อกันหรือมาร่วมกันทากิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ซึ่งความสัมพันธ์น้ีอาจเริม่ ต้น จากการพบปะ ติดต่อ พูดคุยกันอย่างธรรมดา จนกระทั่งมีความสัมพนธ์กันอย่างลึกซ้ึงถึงขั้นมี เพศสัมพนั ธ์ (Sexual Intercourse) กไ็ ด้ ชมุ าภรณ์ ฝาชัยภูมิ (2559) กล่าวว่า การท่ีชายหญิงมีปฏิกิริยาต่อกันหรือมาร่วมกันแสดง กิจกรรมอยา่ งใดอย่างหนงึ่ หรอื หลาย ๆ อย่าง เพ่อื แสดงออกถึงการชดเชยกันหรือช่วยเหลือเกื้อกลู กัน ระหวา่ งเพศ เปน็ ความหมายของ “สมั พันธภาพทางเพศ” สัมพันธภาพทางเพศไม่จาเป็นจะต้องมีเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซ่ึงการร่วมเพศเสมอไป นั่นคือ การปฏิบัติตนหรือการคบค้าสมาคมระหว่างเพ่ือนต่างเพศ ไม่จาเป็นต้องทาการเพ่ือ การ “จีบมาเป็นแฟน” เสมอไป แต่เป็นมารยาททางสังคมท่ีมนุษย์ต่างเพศจะปฏิบัติด้วยดีต่อกัน ความจริงแล้วสัมพันธภาพไม่ได้จากัดไว้เฉพาะระหว่างเพศเท่าน้ัน แม้แต่ในเพศเดียวกัน กม็ คี วามจาเปน็ เชน่ กนั
170 ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่ (2562, น. 74) ได้ให้ความหมายของสัมพันธภาพ ทางเพศ หมายถึง ความสัมพันธ์ของคนสองคน ซึ่งโดยปกติจะเป็นคนละเพศโดยความสัมพันธ์นี้ พฒั นามาจากการท่ีบุคคลทั้งสองคนนั้นมีความสนใจซงึ่ กนั และกัน และเมื่อคบหากันจะเกิดการเรยี นรู้ ซึ่งกันและกัน ทาให้เกิดความรู้จักกันมากข้ึน จนกลายเป็นความสนิทสนมชอบพอกัน โดยที่บุคคล ทัง้ สองจะมีความสนใจในส่งิ ต่าง ๆ ทคี่ ล้ายกัน มีทัศนคติที่ดีต่อกนั ในลักษณะใกล้เคียงกัน มีความถนัด และความชอบในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ทค่ี ล้ายกนั อกี ด้วย จากความหมายของสัมพันธภาพทางเพศข้างตน้ สามารถสรุปความหมายของสัมพนั ธภาพ ทางเพศได้ว่า สัมพันธภาพทางเพศ หมายถึง การท่ีบุคคลประพฤติหรือปฏิบัติต่อกัน เพื่อสร้าง สัมพันธภาพอันดีระหว่างกันในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ฐานะเพื่อน ฐานะคนรัก หรือฐานะคู่ครอง ภายใต้สภาพแวดล้อม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวัฒนธรรมในสังคมนนั้ ๆ ความสาคัญของสมั พันธภาพทางเพศ ความจริงในการดาเนินชีวิตน้ัน แม้จะไม่มีเร่ืองเพศเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม มนุษย์ทั้งสองเพศก็จาเป็นต้องมีความสัมพันธ์กัน อย่างที่เรียกว่า มนุษยสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ (Human Relation) ท้ังน้ีก็เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมท่ีต้องติดต่อไปมาหาสู่ และ คบค้าสมาคมกัน ซ่ึงจะเปน็ ทง้ั การติดต่อสมาคมระหว่างเพศเดียวกัน หรือเพศตรงข้าม สาหรบั เหตผุ ล ที่มนุษย์ต้องมีความสัมพันธ์กันในกิจกรรรมหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว และส่วนรวมนั้น โดยท่ัวไปก็ด้วยความมุ่งหมายท่ีสาคัญของการดาเนินชีวิต ซึ่งต้องเป็นไปตามวัฒนธรรมต่าง ๆ ดังท่ี สังคมได้กาหนดเอาไว้ อันเป็นผลทาให้มนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีวัฒนธรรมด้วย ความสงบสุข และมคี วามปลอดภยั เพิม่ มากขนึ้ นอกจากนี้ ชัยวัฒน์ ปัญจพงษ์ และคณะ (2524, น. 114) ได้สรุปความสาคัญหรือ ความจาเป็นท่ีตอ้ งมีความสมั พันธ์ทางเพศไว้ดังตอ่ ไปนี้ 1. เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านจิตวิทยา กล่าวคือ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ จะช่วยใหบ้ ังเกดิ ความพงึ พอใจเพราะชดเชยในสงิ่ ท่ตี นขาด 2. เพ่ือตอบสนองความต้องการทางด้านชีวภาพ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็น จุดเรม่ิ ตน้ ของการนาไปสูก่ ารขยายพนั ธ์ุ เพ่อื รกั ษาเผา่ พันธุข์ องตนไว้ 3. เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านสังคม กล่าวคือ มนษุ ยเ์ ป็นสตั ว์สังคม ดังน้ันมนุษย์ จึงต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานท่ีสังคมกาหนดไว้ จึงจะสามารถดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุข ความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเง่ือนไขอย่างหน่ึงท่ีถูกกาหนดโดยสังคม ดังน้ันสมาชิก ของสังคมนน้ั จงึ จาเปน็ ต้องยึดถือปฏบิ ตั สิ บื ทอดกนั มา
171 ลักษณะของสมั พนั ธภาพทางเพศ สัมพันธภาพทางเพศ มี 2 ลักษณะ คือ (ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 75) 1. สัมพันธภาพฉันท์เพื่อน เป็นความรู้สึกผูกพันอย่างเพื่อน มีความรักความปรารถนาดี ต่อกัน ให้ความช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่กันและกัน มีความเข้าใจและเห็นใจในความทุกข์หรือปัญหาท่ี เกดิ ข้ึนกบั อกี ฝา่ ยหน่งึ และพร้อมท่ีจะช่วยเหลอื แก้ไขปัญหาเหล่าน้ัน สัมพันธภาพฉันเพอ่ื นน้ีมักจะไม่มี ความร้สู กึ ทางเพศเข้ามาเก่ียวข้อง และเป็นสมั พันธภาพท่ีคงทน สร้างความสขุ และความพอใจท่ลี ึกซ้งึ ภาพท่ี 4.1 สัมพนั ธภาพฉันท์เพอ่ื น ทมี่ า: https://www.ntbdays.com/trendynews/archives/8419 2. สมั พันธภาพฉันท์คนรัก เป็นสัมพันธภาพท่ีมีพน้ื ฐานมาจากความรักแบบคู่รกั ซึ่งในช่วง วยั รุ่นเปน็ ความรกั แบบเพ้อฝัน หลงใหล เป็นความรู้สึกช่ืนชอบในรปู ลักษณ์ภายนอก เปน็ ความรูส้ ึกที่ เกดิ ข้ึนอย่างรวดเรว็ ก่อให้เกิดการเปล่ยี นแปลงท้ังทางด้านร่างกายและอารมณ์ ทางดา้ นจิตใจอารมณ์ จะมีความรู้สึกหึงหวง ต้องการอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา มีความรู้สึกเป็นเจ้าของอีกฝ่ายหน่ึงจึงเกิด ความหวงแหน ไม่ต้องการใหอ้ ีกฝ่ายหน่งึ คบหากบั คนอ่ืนต้องการให้คบหาใกล้ชดิ เฉพาะตนเองเท่าน้ัน สว่ นทางด้านรา่ งกายจะเกิดความพรอ้ ม ตืน่ ตัวต้องการมีเพศสมั พนั ธ์
172 สัมพันธภาพแบบนี้ในวัยรุ่นเป็นความสัมพันธ์ที่อาจก่อให้เกิดผลตามมา ท่ีสาคัญคือ การมีเพศสัมพนั ธ์ ซึง่ จะกอ่ ให้เกิดปัญหาตามมาอกี มากมาย เช่น การตัง้ ครรภ์ การติดโรค ดังน้นั วัยรุ่น จงึ ควรระมัดระวงั การมีสมั พันธภาพฉนั คนรัก หากเป็นการสร้างสัมพันธภาพฉันท์เพอื่ น จะกอ่ ให้เกิด ประโยชน์ เน่ืองจากสัมพันธภาพฉันท์เพื่อนไม่มีขีดจากัดเฉพาะเพื่อนคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว เท่านั้น แต่สามารถเป็นเพื่อนได้กับทุก ๆ คน หรือเป็นกลุ่มเพื่อนที่ร่วมเรียนร่วมทากิจกรรมต่าง ๆ ทมี่ ีคุณประโชน์ จะทาใหช้ ่วงชีวิตในวยั รุน่ เป็นช่วงชีวิตท่มี ีคณุ ค่าอย่างเเท้จริง ภาพท่ี 4.2 สมั พนั ธภาพฉนั ท์คนรกั ท่มี า: https://sistacafe.com/gallery/album/34017 ปจั จยั ที่สนับสนนุ ใหเ้ กิดสัมพนั ธภาพทางเพศ สัมพันธภาพของคนสองคนโดยเฉพาะคนท่ีเป็นคู่รักกัน แต่ละคนมักมีความคาดหวังว่าจะ ได้รับการตอบสนองอย่างที่ตนต้องการจากคนรัก ความจริงท่ีต้องตระหนักคือ เราและเขาเป็น คนละเพศกัน ผู้หญิงและผู้ชายมักมีความสนใจหรือให้ความสาคัญกับสิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน หรือแม้จะสนใจในสิ่งเดียวกันก็อาจมีวิธีมองส่ิงน้ันในมุมที่ต่างกัน แต่ทั้งสองก็ยังเป็นคู่รักกัน เพราะในความจริง ความแตกต่างกันอาจกลายเป็นความจริงของสัมพันธภาพท่ีต้องเรียนรู้ สาหรับปัจจัยท่ีสนับสนุนให้เกิดสัมพันธภาพทางเพศ มีดังนี้ (ศิยพร กล่าทวี และประพล นิลใหญ่, 2562, น. 74-75)
173 1. อิทธพิ ลจากตอ่ มไรท้ อ่ ในรา่ งกาย ถ้าต่อมไร้ท่อทางานผิดปกติหรือไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะมีผลให้พัฒนาการทางเพศ ดาเนินไปอย่างล่าช้า โดยเฉพาะถ้าต่อมเพศ ต่อมใต้สมอง และต่อมไทรอยด์มีความบกพร่อง ก็มผี ลโดยตรงตอ่ การตอบสนองทางเพศ 2. อทิ ธิพลทางสังคม เปน็ ภาวะท่ีสาคัญอย่างยิง่ ตอ่ การกาหนดรูปแบบการตอบสนองทางเพศ สังคมโดยทวั่ ไป มุ่งหวังที่จะให้เพศหญิงอยู่ในกรอบแห่งวัฒนธรรมอย่างเคร่งครัดกว่าเพศชาย หญิงจึงต้องรักนวล สงวนตัว ถึงจะเกิดความต้องการหรือแรงจูงใจที่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามก็จะต้องระงับหรือ เก็บกดความร้สู กึ น้ันไว้ ไมแ่ สดงออกอยา่ งชดั เจนและรนุ แรงเหมือนเพศชาย นอกจากนี้ ถ้าอยใู่ นสังคม ระดับเดียวกันหรือไม่แตกต่างกัน จะทาให้การสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทาได้ง่ายขึ้นด้วย รวมท้ัง ในเรื่องของภูมิลาเนา เช่น เป็นคนจังหวัดเดียวกัน หรือคนภาคเดียวกัน ก็จะมีความรู้สึกว่าเป็น พวกเดียวกัน หรือกลุ่มเดียวกันที่รู้เข้าใจวัฒนธรรมและวิถีการดาเนินชีวิตของกันและกัน ทาให้เกิด สมั พันธภาพทีด่ ีตอ่ กนั ไดง้ ่าย 3. สือ่ สารมวลชน ภาพยนตร์ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ ฯลฯ นับได้ว่ามีส่วนเร่งเรา้ ให้วัยรุ่น ไดเ้ รียนรูก้ ารปรับปรงุ บทบาททางเพศของเขา โดยพยายามท่ีจะปรบั เปล่ียนหรอื ลอกเลียนบทบาทของ ผูท้ ่เี ขานยิ มยกยอ่ ง (Indentification) เชน่ นักร้อง ดาราภาพยนตร์ เปน็ ตน้ 4. อายุของการมวี ุฒภิ าวะทางเพศ วฒุ ภิ าวะทางเพศจะเปน็ ตัวเร่งใหว้ ัยร่นุ เกิดความสนใจเพศตรงข้าม เดก็ ที่ย่างเขา้ สู่การมี วุฒิภาวะทางเพศเร็วกว่า ย่อมมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศก่อนที่ผู้ที่ย่างเข้าสู่วุฒิภาวะทางเพศช้า นอกจากนี้ ถ้าอยู่ในช่วงเดียวกัน มีอายุใกล้เคียงกัน จะทาให้รู้จักสนิทสนมกันได้ง่ายขึ้น การสร้าง สมั พนั ธภาพทด่ี ตี อ่ กันทาไดง้ ่ายขน้ึ 5. โอกาสในการเรียนรู้ความสัมพันธร์ ะหว่างเพศ “โอกาส” เป็นภาวะที่สาคัญอย่างหน่ึง เด็กท่ีมีเพ่ือนต่างเพศมากอย่างเพียงพอและ เหมาะสม ย่อมมีโอกาสดีกว่าเด็กที่มีเพ่ือนต่างเพศไม่ก่ีคน หรือเด็กที่ได้รับการสนับสนุนและ ไดร้ บั ข้อเสนอแนะทดี่ ีจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ก็ยอ่ มมีโอกาสในการเรียนรู้ท่ีจะปรับตวั และแกป้ ัญหา ต่าง ๆ ไดด้ ีกว่า การสร้างสัมพันธภาพระหว่างเพศในช่วงวยั รุ่น เป็นสิ่งที่ดซี ่งึ เป็นไปตามธรรมชาติของวัยรุ่น ที่ต้องการมีเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศ แต่การมีสัมพันธภาพกับเพ่ือนต่างเพศนั้นควรอยู่ใน รูปแบบทเ่ี คารพใหเ้ กยี รติซ่งึ กนั และกนั เห็นคณุ คา่ ตนเองและผูอ้ ่นื
174 หลักพ้ืนฐานในการสร้างสัมพนั ธภาพทางเพศ การท่ีมนุษย์จะมีสัมพันธภาพทางเพศกันนั้น มีพ้ืนฐานสาคัญ 3 ประการ คือ (ชุมาภรณ์ ฝาชัยภมู ิ, 2562, น. 47-48) 1. ความรู้สึกเท่าเทียมกนั เป็นความรู้สึกท่ีมีต่อผู้อ่ืนในแง่ความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับตนเอง สัมพันธภาพที่ดี จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเร่ิมต้นสัมพันธภาพด้วยความรู้สึกดูถูกอีกฝ่ายหนึ่ง ผลของสัมพันธภาพ ประเภทนี้ จะมีลักษณะต่อต้านกันและขัดแยง้ โดยปราศจากเป้าหมาย ดังน้ันถ้าต้องการสัมพันธภาพ ท่ีดีงามแลว้ ทัง้ คู่จะตอ้ งเคารพซง่ึ กนั และกัน ปฏบิ ตั ติ ่อกันอยา่ งใหเ้ กียรติ 2. ต้องมคี วามรู้สึกตอ้ งการตดิ ต่อสัมพนั ธ์กัน การทช่ี ายและหญิงท้งั 2 ฝา่ ยไม่ปรารถนาจะมีสัมพันธภาพหรอื ไมต่ อ้ งการตดิ ตอ่ กันแล้ว สัมพั น ธภาพ ไม่ว่าจะเป็น ชนิดใดก็ ตามก็จะเกิ ดข้ึน ไม่ได้ หรืออี กฝ่ายห นึ่งมีความกลัว ขาดความพยายามอย่างจรงิ จัง โดยเฉพาะบางรายที่มีอุปสรรค เมื่อไม่พยายามต่อเน่ืองก็ยากที่จะเกิด สัมพันธภาพต่อกันได้ หรือเกิดข้ึนแล้วก็ละเลยไม่ดูแลเอาใจใส่ สัมพันธภาพต่อกันและกัน จงึ ไม่มีประสทิ ธิภาพ 3. การลงมือติดตอ่ สมั พันธ์ การท่ีจะบรรลุเป้าหมายท่ีจะสร้างสัมพันธภาพกับผู้ใดน้ัน จาเป็นจะต้องใช้พลัง พอสมควร การพบอปุ สรรคในขั้นแรก ๆ น้ันอาจทาใหค้ วามกล้าลดน้อยลงไปบ้าง ถ้ายังปรารถนาที่มี สัมพันธภาพอย่างจริงจังแล้วก็ต้องพยายาม และดาเนินการอย่างต่อเน่ืองด้วยความตั้งอกต้ังใจ ซึ่งปัญหาท่เี กดิ ข้นึ ก็เหมือนกนั กับการทางานชนิดอ่นื ๆ น่นั เอง ต้องใชค้ วามอดทนและพยายาม วัยรุ่นเป็นวัยท่ีเริ่มสนใจและชอบคบหาสมาคมกับเพ่ือนต่างเพศ แต่เน่ืองด้วยยังไม่เข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงและความต้องการ จงึ จาเป็นต้องใช้แรงผลักตันของตนเองให้ถูกต้องประการหน่ึง และเนื่องด้วยอีกฝ่ายหน่ึงยังไม่เข้าใจเพศตรงข้ามดีเพียงพอ จึงเป็นการยากท่ีจะปฏิบัติตนให้ได้รับ ความพอใจในการสัมพันธร์ ะหว่างกัน อารมณแ์ ละความร้สู ึกท่เี กี่ยวข้องกบั สัมพนั ธภาพทางเพศ เม่ือเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ทางด้านร่างกายมีการเปล่ียนแปลงเกี่ยวกับขนาดและรูปร่าง สติปัญญามีการพัฒนาอย่างมาก ในด้านการคิดอยา่ งมเี หตุผล ส่วนทางด้านจติ ใจก็จะมีการเปล่ียนแปลงทางด้านอารมณ์และความรสู้ ึก
175 ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับตนเองและเพศตรงขา้ ม ซง่ึ จะเก่ยี วข้องกับอารมณค์ วามรู้สกึ 3 ประการ คือ (จันทรว์ ภิ า ดลิ กสมั พนั ธ์, 2548, น. 85-88) 1. ความพึงพอใจ (Sexual Satisfaction) เมื่อเริ่มมีสัมพันธภาพทางเพศ ความพึงพอใจในเพศตรงข้ามและเพศเดียวกันก็มักจะ เกิดขึ้นตามมาเสมอซ่ึงจัดว่าเป็นความร้สู ึกหรืออารมณ์เพศท่ีสาคัญมากสาหรับวัยรุ่นหนุ่มสาว เพราะ เป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิต และหนุ่มสาวจานวนไม่น้อยที่เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าความพึงพอใจ คือ ความรัก ท้ัง ๆ ทีค่ วามพงึ พอใจและความรักนน้ั แตกต่างกันมาก ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกท่ีเกิดความสนใจหรือพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง และ สัมผัสของเพศตรงข้ามมากเป็นพิเศษ ซ่ึงส่วนมากมักจะมีคุณสมบัติตรงกับเกณฑ์ที่ได้ต้ังไว้แล้ว ในใจของตน จึงเกิดความพออกพอใจและหลงใหลได้อย่างมาก ความพึงพอใจนี้มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงชั่วคร้ังชั่วคราว เปล่ียนแปลงได้ง่าย และเกิดขึ้นได้บ่อยคร้ัง แต่อย่างไรก็ดีความพึงพอใจ กอ็ าจนาไปสคู่ วามรักไดเ้ ชน่ กนั 2. ความรัก (Affection) ความรักมิใช่สิ่งท่ีร่างกายต้องการ แต่ความรักเป็นส่วนสนับสนุนสาคัญที่จะช่วยให้ กระบวนพัฒนาการทางจิตใจของบุคคลเป็นปกติ ความรักมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะ ในโลกนี้มีคนอีก เป็นจานวนมากที่ไม่เคยได้รู้จักกับความรักเลย แต่ความรักเป็นสิ่งท่ีต้องเรียนรู้ และเป็นผลแห่งพัฒนาการทางวัฒนธรรมด้วย ดังนั้น ความรักของมนุษย์ต่อเพศตรงข้าม จึงเป็นความสมั พันธ์ทางอารมณ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ต้องอาศัยเวลาเพ่ือการเรียนรู้ซ่งึ กันและกัน อันจะนามาซ่ึงความรู้สึกอ่อนโยน ห่วงหาอาทร ผูกพัน เช่ือม่ัน ไว้วางใจ ซ่ือสัตย์ และม่ันคง พยายามทาทุกอย่างเพื่อให้บุคคลอันเป็นท่ีรักได้รับความพอใจและมีความสุขที่สุด โดยปราศจาก ความเห็นแก่ตัว มีความต้องการท่ีจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เม่ือมีความพร้อม และความรู้สึกรักนั้น ย่อมเปล่ียนแปลงรูปแบบไปไดต้ ามระดบั อายุของมนษุ ย์ด้วย 3. ความใคร่ ความใคร่ เป็นการแสวงหาความสาราญจากผู้อ่ืน เป็นการแสดงออกถงึ ความเห็นแก่ตัว ในลักษณะต่าง ๆ และมีระดับความมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละวลา ไม่แน่นอน ท่ีมาของความใคร่ น้ันมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ใคร่หรืออารมณ์เพศ ซ่ึงมีสาเหตุมาจากตัวกระตุ้นภายนอก ได้แก่ การดู (รูป) การรู้รส (รส) การได้กลนิ่ (กล่ิน) การได้ยิน (เสยี ง) และการสัมผัส (สมั ผสั ) ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 การดู (รูป) ในผู้ชาย สิ่งท่ีทาให้เกิดอารมณ์ทางเพศมากท่ีสุดคือ การดูการร่วม ประเวณรี ะหว่างหญิงกบั ชาย การดูอวัยวะเพศหญิง และการมองผ้หู ญิง ไม่วา่ จะมเี สือ้ ผ้าหรอื ไม่ก็ตาม ส่วนในผ้หู ญิงส่ิงยั่วยกุ ามารมณจ์ ากการดูมากที่สุดคือ การอ่านหนังสอื ประเภทเก่ียวกับบทพศิ วาสของ
176 ตัวเอกในเร่ือง รองลงมาก็คือ การมองดูผู้ชาย โดยเฉพาะชายที่ตนฝังใจอยู่แล้ว หรือดูบทรักใน ภาพยนตร์ 3.2 การรู้รส (รส) การรู้รสในทางเพศเกิดจากการจุมพิตซ่ึงกันและกัน ความหวาน อันเกิดจากการดูดริมฝีปาก การดูดล้ิน และจากรสชาติของน้าลายของอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจทาให้เกิด อารมณเ์ พศได้ 3.3 การได้กลิ่น (กลิ่น) กล่ินอาจเป็นส่ิงกระตุ้นหรือกดความรู้สึก ทางเพศได้ กลนิ่ เดียวกนั อาจกระตุ้นความรูส้ กึ ของคนหน่ึง แตอ่ ีกคนอาจทาใหไ้ ม่มคี วามรสู้ ึกทางเพศเลยก็ได้ 3.4 การได้ยนิ (เสียง) เสียงอาจมีผลท้งั ในทางยั่วยแุ ละในทางยบั ย้งั อารมณ์เพศ บางครั้ง อานาจของเสียงดนตรีมคี วามสาคัญท่จี ะกอ่ ให้เกิดความรสู้ ึกทางเพศได้ 3.5 การสัมผัส (สัมผัส) ประสาทสัมผัสมีความสาคัญในทางกามารมณ์มากที่สุด ประสาทน้ีมีกระจายอยู่ท่ัวไปตามผิวหนังและเย่ือเมือก ความไวของผิวหนังแต่ละบริเวณจะ แตกต่างกัน ผลที่ได้จากการกระตุ้นทางประสาทสัมผัสขึ้นอยู่กับจิตใจ หรือความนึกคิดก่อนหน้านั้น โดยประสาทสัมผสั แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ 3.5.1 ประสาทสมั ผสั ประเภทส่งความรูส้ ึก ได้แก่ ปลายนิ้วมอื ปลายลิน้ 3.5.2 ประสาทสัมผัสประเภทรับความรู้สึก มีอยู่ตามผิวหนัง และเย่ือเมือก ของร่างกาย ถ้าผู้สัมผัสแตะต้องร่างกายเพศตรงข้ามโดยอวัยวะท่ี “ส่งความรู้สึก” โดยจงใจ และ ในขณะท่ีผู้ถูกสัมผัสกาลังอยู่ในอารมณ์ท่ีเหมาะสม การสัมผัสน้ันจะทาให้เกิดความกาหนัด อยา่ งรุนแรง ถ้าผู้สัมผัสไม่ได้จงใจ แต่ผู้ที่ถูกสัมผัสกาลังอยู่ในอารมณ์พิศวาส การแตะต้องเพียง เล็กน้อย หรือการสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่สุด ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศได้ แต่ถ้าผู้ที่ถูกสัมผัสมิได้ ยินดียนิ ร้ายอะไรตอ่ ผู้ถกู สมั ผัสเลย และก็มิได้มอี ารมณพ์ ศิ วาสอยู่กอ่ นจะไมท่ าใหเ้ กดิ ความรสู้ ึกใดๆ ได้ จากผลการศึกษาวิจัย (สุพร เกิดสว่าง, 2536) พบว่า การสัมผัสระหว่างชายและหญิง ในลักษณะต่าง ๆ จะสามารถพฒั นาไปสกู่ ารมเี พศสมั พนั ธไ์ ดด้ งั น้ี การจบั มอื ถอื แขน สามารถพัฒนาไปสกู่ ารมเี พศสมั พันธไ์ ด้ ร้อยละ 10 การกอดจูบ สามารถพฒั นาไปสูก่ ารมีเพศสัมพนั ธไ์ ด้ รอ้ ยละ 60 การลูบคลา สามารถพัฒนาไปส่กู ารมีเพศสมั พันธ์ได้ รอ้ ยละ 80 การเลา้ โลม สามารถพัฒนาไปสู่การมีเพศสมั พันธ์ได้ ร้อยละ 100 ในเรือ่ งอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ท่เี กย่ี วข้องกบั ความสมั พันธ์ระหว่างเพศนี้มวี ัยรุ่นหนุ่มสาว จานวนไมน่ ้อยท่ีมคี วามเขา้ ใจสบั สนในเรือ่ งของ “ความรกั ” และ “ความใคร่” กล่าวคือ ฝ่ายหญิงมัก มองสัมพันธภาพทางเพศในแง่ของความรัก เรียกว่า มองแบบโรแมนติค (Romantic) คือ
177 มองแบบอุดมคติ เห็นความรักเป็นส่ิงสวยงาม เป็นความอบอุ่น ความผูกพัน ความเข้าใจ ความสุข ทางใจ และในความรักจะไมม่ ีความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความรักของตนนั้นเป็นความรักท่ี แท้จริง มน่ั คง และเป็นอมตะ ควรแก่การเสียสละ ซึง่ แทจ้ ริงแล้วความรักในวัยนี้ เปน็ ความรักประเภท ที่ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของความฉาบฉวย มีแต่ความออ่ นต่อโลก เกดิ ขึน้ เพียงชว่ั ครู่ช่ัวยามแล้วจางหายไป หาความแน่นอน ความจริงจัง และความมั่นคงไม่ได้ ส่วนฝ่ายชาย มักมองสัมพันธภาพทางเพศในแง่ ของความใคร่ เรียกว่า มองแบบอีโรติค (Erotic) ซงึ่ เป็นการแสวงหาส่ิงกระตุ้นทางเพศ ความพึงพอใจ ทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์ และความสุขสุดยอดทางเพศ จึงต้องการท่ีจะสัมผัสแตะต้องและ มเี พศสัมพันธ์กับฝ่ายหญงิ เม่ือมีโอกาส โดยไม่จาเป็นตอ้ งมีความรกั เป็นพื้นฐาน มเี พียงความพึงพอใจ ถูกตาตอ้ งใจในรูปลกั ษณ์ของฝ่ายหญิงก็พอแล้ว และฝ่ายหญิงก็มักจะเข้าใจวา่ การท่ีฝ่ายชายล่วงเกิน หรอื ต้องการมีเพศสัมพนั ธก์ บั ตนนนั้ กเ็ พราะฝ่ายชายมคี วามรักในตนอย่างแทจ้ รงิ จึงยอมเสียสละตน ยินยอมมเี พศสมั พนั ธ์ด้วยเพ่ือพสิ ูจน์ความรักที่ตนมตี ่อชายนน้ั ขัน้ ตอนการพัฒนาสมั พันธภาพทางเพศ อทุ มุ พร แก้วสามศรี และคณะ (2562, น. 48-49) กล่าวถึงพฒั นาการความสัมพันธร์ ะหว่าง ผู้หญงิ กบั ผชู้ าย แบ่งได้เป็น 3 ขน้ั คือ ขั้นที่ 1 มิตรภาพ จะดารงอยู่ได้ด้วยมนุษยสัมพันธ์ท่ีดี และหลักธรรมท่ีสาคัญ คือ สังคหะวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตจริยา สมานัตตตา และพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมดตา กรุณา มทุ ิตา อุเบกขา นอกจากนัน้ ยังมขี ้อทีค่ วรปฏิบัติคอื 1. ทาตนเสมอตนเสมอปลาย กไ็ มค่ วรดูหมิ่นเหยยี ดหยามเพ่ือน ท่ีเคยชว่ ยเหลอื กันอยา่ งไร กค็ วรทาเหมอื นเดิม 2. ไม่ละทิง้ ยามวิบตั ิ เม่อื ตกทกุ ขไ์ ดย้ ากก็เจือจุนตามกาลัง 3. ซอื่ สตั ย์ต่อมิตรสหาย ไมเ่ ปน็ คนสรรเสรญิ ตอ่ หน้า นนิ ทาลับหลัง 4. นับถอื วงศาคณาญาตขิ องมิตร ทาให้ผ้ใู หญเ่ กดิ ความเอ็นดแู ละรักใคร่สนิทสนมกันยง่ิ ขึ้น ขน้ั ท่ี 2 ความรัก ความรักเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ซึง่ มนษุ ยไ์ ดแ้ สดงความรู้สกึ ในความสมั พันธ์ ต่อท้ังส่ิงที่เป็นรปู ธรรมและนามธรรม เช่น บุคคล วัตถุ สิ่งของ ลัทธิศาสนา ปรัชญา หรืออุดมการณ์ ความรกั เป็นความผูกพันทางใจท่ีอาจแบ่งออกได้หลายอย่าง เช่น รักตนเอง รกั เพื่อน รกั เพศตรงข้าม รักคนท่ีตนเทิดทูนบูชา เป็นต้น ทุกประเภทของความรักจัดเป็นสิ่งมีค่าท่ีจาเป็นสาหรับมนุษย์ และ ความรู้สึกรักน้ันย่อมเปล่ียนแปลงไปตามวัยของคนเราด้วย ความรักนามาซ่ึงความอบอุ่นใจ ความสาเร็จ และความสุขในชีวิตของคนเราได้ ทุกคนจึงต้องมีความรักเสมอ เคยมีผู้กล่าวว่า “คนท่ี น่าสมเพชมากท่สี ุด ในโลกของความรัก นั้นมิใชค่ นท่ีไม่มีใครรัก แตไ่ ด้แก่คนที่ไม่เคยรกั ใครเลย” หรือ
178 อยา่ งทกี่ ล่าวกันท่ัวไปวา่ “อกหกั ดกี วา่ รักไม่เป็น” ดงั นน้ั เร่ืองของความรักกจ็ าเปน็ ต้องมีทง้ั การรบั และ การใหค้ วามรกั ควบค่กู ันไปดว้ ยเสมอ ขั้นที่ 3 ความสัมพันธ์ทางเพศ ผู้ชายและผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกันท้ังใน ต่างเพศและเพศเดียวกนั ได้ โดยอาจจะมคี วามรักหรือไม่มีความรักเลยก็ได้ กิจจา บานชื่น ฐิณีวรรณ วุฒิวิกัยการ และวรฑา ไชยาวรรณ (2562, น. 42-43) กล่าวถึง ความสัมพันธ์ที่มีผลต่อชีวิตของเรา คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัว เพ่ือน คนรัก และคู่แต่งงาน รูปแบบความสัมพันธ์มีความหลากหลาย และสังคมมีกรอบที่กาหนดการแสดงออกต่อกัน ความแตกต่างของแต่ละบุคคลมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ ความคาดหวังจากกันและกันของพ่อแม่ลูก เพ่ือน คนที่กาลังคบหาเป็นคนรัก บทบาทในความสัมพันธ์เป็นเร่ืองของการตกลงร่วมกันและอาจมี รปู แบบท่ีแตกต่างไปในแต่ละคน ผลกระทบท่ีตามมาจากการมีรปู แบบความสัมพันธ์ท่ีต่างจากกระแส หลักสัมพันธภาพ สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา อาจจะคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงขั้นสนิทสนม และกลายเป็นสัมพันธภาพทางเพศได้ ข้ันตอนของสัมพันธภาพท่ีเกิดขึ้นอาจแบ่งได้ ตามลาดบั เชน่ 1. การวางตัว เป็นจุดเร่ิมต้นของมิตรภาพให้พัฒนาข้ึน เริ่มจากการย้ิมให้กัน ทักทายกัน ถา้ ไมม่ กี ารสานต่อความสมั พันธ์ก็จะหยุดเพยี งเทา่ น้ัน 2. การสนองตอบ มีการพูดคุย เข้าใจกัน เห็นใจกัน เอื้ออาทร เช่ือใจกัน เป็นการเริ่มต้น ของการสนทิ สนม ความสัมพันธจ์ ะดาเนนิ ต่อไป 3. ความเออ้ื อาทร ความห่วงใย เอาใจใส่ กอ่ ให้เกิดความสขุ และความพอใจ 4. ความไว้วางใจ เปน็ ขัน้ ตอนสาคัญท่ขี ยายความสัมพันธ์ และความมน่ั ใจในอีกฝ่ายหน่งึ ให้ แน่นเเฟ้นขน้ึ 5. ความรักใคร่เสน่หา เม่ือความสัมพันธ์ทางจิตใจมาถึงระดับน้ี ความต้องการจะมีการ ใกล้ชิดทางร่างกายก็เกิดขึ้น เช่น น่ังใกล้ ๆ เดินจูงมือ จับมือกัน สบตากัน กอดกัน หรืออาจจะบอก กล่าวยืนยนั เป็นคาพดู ว่า “รกั ” 6. ความสัมพนั ธท์ างเพศ เปน็ ขั้นสุดท้ายของความสมั พนั ธ์ ในระยะขน้ั ตอนต่าง ๆ ทผ่ี า่ นมา จะมีความสนิทสนม และมีการแสดงความรู้สึกทางเพศต่อกัน ในบางรายอาจจะข้ามข้ันตอน ความสัมพันธ์ทางเพศ ไปเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีความรัก บางรายสามารถที่จะมีความรักแค่ อย่างเดียว โดยไม่มเี พศสัมพนั ธเ์ ข้าร่วม คนจานวนมากไม่มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนในการตัดสินใจเร่ืองเพศสัมพันธ์ คาถามสาคัญ สาหรับทุกคนคือ “เราต้องการให้ความสัมพันธ์ทางเพศและการมีเพศสัมพันธ์มีบทบาทอย่างไร ในชวี ิต” แนวทางการประเมินตนเองเพ่ือชว่ ยในการตัดสนิ ใจเรอื่ งสัมพันธภาพทางเพศ
179 1. ถามตนเองวา่ สบายใจหรือไม่ 2. คนทว่ั ไปทาเปน็ ปกตเิ ช่นน้ีหรือไม่ 3. คณุ คา่ ของเร่อื งการมีเพศสัมพันธ์กาหนดด้วยอะไร เช่น ครอบครวั ความเชือ่ ศาสนา หรอื เพื่อน 4. มคี วามรเู้ ร่อื งการป้องกันโรคและการตั้งครรภ์หรือไม่ อยา่ งไร ถ้าตอบคาถามดังกล่าวไม่ได้ ไม่สบายใจจะทา ควรจะรักษาสัมพันธภาพไว้ในระดับเพ่ือน ท่ีมีความเอ้ืออาทรต่อกัน โดยบอกตรง ๆ ว่ายังไม่พร้อม แต่สามารถคบกันฉันท์เพ่ือนได้ การสัมผัส เน้ือตัวต้องมีขอบเขต สัมพันธภาพระหว่างคนสองคนเป็นเรื่องเฉพาะตัว การจะรักษาให้ยืนยาวได้ จะต้องเข้าใจในหลักการ นาไปสารวจตนเองเพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันตลอดไป ได้แนน่ เเฟ้นข้ึน นอกจากน้ี การมีความรักและความสัมพันธ์ทางเพศมิได้ข้ึนอยู่กับสัญชาตญาณ แต่เป็น การพัฒนาตามข้ันตอนทีเ่ กิดจากกลไกทางสมอง และปฏิสัมพนั ธท์ ่เี ก่ยี วข้อง ดงั ตอ่ ไปน้ี (IDRC, 1989, p. 136 – 137 และจนั ทรว์ ภิ า ดลิ กสัมพันธ์, 2548, น. 88-90) 1. การเกีย้ วพาราสี (Court Ship) การเก้ียวพาราสีเป็นการแสวงหาบุคคลซึ่งตรงกับที่ตนมุ่งหวังไว้มากท่ีสุดเท่าที่จะเป็น ไปได้ โดยในระยะแรก ๆ จะเปน็ การเลอื กบคุ คลท่ีตนพอใจ จนกระทั่งถึงระดับท่ีตนคดิ ว่าจะเลือกเป็น ค่คู รองมากขน้ึ การเกย้ี วพาราสจี งึ ขน้ึ อยู่กบั ความรกั ความเสน่หา และความถูกใจแบบหน่มุ สาว 2. การนัดหมาย (Dating) การนัดหมาย คือ การท่ีบุคคลสองคนนัดท่ีจะพบปะกัน เป็นการพักผ่อนหย่อนใจเพ่ือ ความเพลิดเพลิน ในระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อหมดช่วงเวลานั้นท้ังสองฝ่ายก็อาจสิ้นสุดความสัมพันธ์ โดยไม่มพี นั ธะหรอื ขอ้ ผกู พันใด ๆ ตอ่ กันก็ได้ 3. การไปมาหาสเู่ ป็นประจา (Going Steady) การไปมาหาสู่เป็นประจา เป็นการเปล่ียนจากการนัดหมายกับหลาย ๆ คน มาเป็น การพบปะกับคนเพียงคนเดียวและเที่ยวด้วยกันเป็นประจา แสดงถึงความชอบพอต่อคน หรือ มีขอ้ ผกู พนั มากกว่านน้ั และบางครงั้ อาจไม่ถึงกับเป็นความรกั 4. การหมนั้ (Engagement) การหมั้นเปน็ เง่ือนไขที่เกดิ ขน้ึ เมอื่ ทง้ั สองฝ่ายปรารถนาท่จี ะแตง่ งานอยู่รว่ มกนั ในอนาคต ชว่ ยให้หนมุ่ สาวติดต่อกันอยา่ งใกล้ชิดสนิทสนม โดยไมต่ ้องเกรงคาครหาใด ๆ ปัจจุบันการหมัน้ หมาย ที่จัดเป็นพิธีตามขนบธรรมเนียมประเพณีอาจลดน้อยลง เน่ืองจากหนุ่มสาวสามารถอยู่ใกล้ชิดและ ไปมาหาสกู่ นั ไดส้ ะดวกโดยไมไ่ ดท้ าพธิ หี ม้นั หมายเป็นทยี่ อมรบั กนั มากข้นึ
180 5. การแตง่ งานหรือการสมรส (Marriage) การแต่งงานหรือการสมรสเป็นส่ิงท่ีหนุ่มสาวที่รักและปรารถนจะอยู่ด้วยกันได้กระทา เพ่ือประกาศให้สังคมได้รับรู้อย่างเป็นทางการว่าจะอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา และเป็นความสัมพันธ์ ทางเพศในรปู แบบที่สังคมยอมรบั ในช่วงการนัดหมายและการไปมาหาสู่ ชายหญิงจะมีปฏิสัมพันธ์กันตามกระบวนการและ ข้ันตอนการเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพที่มีต่อกัน ซึ่งจะแน่นแฟ้นและลึกซ้ึงขึ้นเร่ือย ๆ โดยลาดับ (Muuss, 1990, p. 236 - 238) ดังต่อไปนี้ ข้ันตอนท่ี 1 การนัดพบที่ยงั ไม่มจี ิตผูกพนั รกั ใครเ่ ป็นพิเศษ ขน้ั ตอนท่ี 2 การนัดพบทีเ่ ร่มิ มีจติ ผกู พัน สนใจ แต่ยังไมถ่ ึงกบั รกั ข้ันตอนท่ี 3 การนดั พบทีเ่ ริม่ ตน้ ทีจ่ ะรัก ขนั้ ตอนที่ 4 การนดั พบตามลาพังสองตอ่ สอง และไดม้ คี วามรกั เกิดขึ้น ข้นั ตอนที่ 5 มคี วามรักความผกู พันทยี่ อมรับซ่ึงกันและกัน และพฤติกรรมท่ีอาจเกิดขึ้นโดยจัดลาดับจากพฤติกรรมที่น้อยท่ีสุดไปยังพฤติกรรมท่ี มากท่ีสุดของความสมั พันธ์ระหว่างชายและหญิง ได้แก่ ไมม่ ีการถูกเนื้อต้องตัว มีการจูบหน้าผากหรือ หอมแกม้ เบา ๆ ตอนลากลับ มีการโอบกอดและการจบู เลก็ ๆ น้อย ๆ แต่บอ่ ยคร้ัง มีการโอบกอดและ จูบที่ลึกซ้ึงเพิ่มข้ึน มีการกอดรัด (ในระดับท่อนบนของร่างกาย) มีการกอดรัดอย่างหนักแน่น มกี ารสาเร็จความใครใ่ ห้กนั และกนั และมเี พศสมั พันธ์กันในที่สุด ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ใน 3 ข้ันตอนแรกฝ่ายชายยอมรับหรือคาดว่าจะเกิดพฤติกรรม การกอด การจบู และอ่ืน ๆ ในแต่ละข้นั ตอนมากกว่าฝา่ ยหญิง ฝ่ายชายมีความคาดหวงั วา่ จะมีโอกาส ได้ร่วมเพศกับฝ่ายหญิงในไม่ช้า หลังจากท่ีได้สนใจ ชอบพอ ไปไหน มาไหนด้วยกันตามลาพัง สองต่อสองมาเป็นเวลาพอสมควร และฝ่ายชายมีความเห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาของ การนัดพบไม่ได้เก่ียวข้องกับการมีจิตผูกพันรักใดกับฝ้ายหญิงเลย (Schulz, et al. 1977, p. 164) ส่วนฝ่ายหญิงกลบั คิดว่าความใกล้ชิดผูกพันกันทางกายนั้นเชื่อมโยงกับความรัก การมีเพศสมั พนั ธ์เป็น การแสดงความรักและเป็นเง่ือนไขที่จะรับรองถึงพันธะรับผิดชอบที่มีต่อกันในภายหน้า (Muuss, 1990, p. 236-238; สุพร เกิดสว่าง, 2536, น. 274- 276) ท้ังนี้เน่ืองจากฝ่ายหญิงมักมอง ความสัมพันธ์ระหว่างเพศในแง่ของความรักหรือโรแมนติก (Romantic) แต่ฝ่ายชายมองในแง่ของ ความใคร่หรอื อีโรติค (Erotic) ดังไดก้ ลา่ วแล้วข้างต้น
181 สัมพนั ธภาพในการวางตัว การวางตัว หมายถงึ การที่ชายและหญงิ ประพฤติปฏิบัติต่อกัน เพอ่ื สรา้ งสัมพันธภาพอันดี ระหว่างกันในสภาพต่าง ๆ กัน การที่มีโอกาสรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนต่างเพศท่ีมีอายุรุ่นเดยี วกัน จะช่วย ใหเ้ รยี นรู้ถึงความแตกตา่ งและความสัมพันธ์ระหว่างคนรกั กับเพอื่ นต่างเพศ การวางตวั ตอ่ เพศตรงขา้ ม รวมท้ังมารยาทและการปฏิบัติตนต่อเพศตรงขา้ ม นับว่าเป็นสิ่งสาคัญท่ีช่วยทาให้เราสามารถปรับตัว ให้เข้ากับเพศตรงข้ามได้ง่ายขึ้น ในการคบเพ่ือนต่างเพศในวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่วัยรุ่นควร กระทาตัวให้อยู่ในขอบเขตท่ีเหมาะสมและเป็นท่ียอมรับของสังคม ไม่นามาคิดเป็นเร่ืองท่ีจริงจัง มากเกินไป ซ่ึงในการวางตัวต่อเพศตรงข้ามต้องคานึงและพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่าควรจะคบใน ฐานะใด แต่ตอ้ งข้นึ อย่กู บั สภาพความพรอ้ มหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ต้องคานึงถงึ จดุ หมายในชวี ิต หน้าท่ี และความรบั ผดิ ชอบของตนเอง เป็นหลักการรู้จักปรับตัวต่อเพศตรงข้าม จะชว่ ยใหเ้ ราสามารถ วางตัวได้อย่างเหมาะสม การวางตัวต่อเพศตรงข้ามจะดาเนินไปด้วยดีหรือไม่ ข้ึนกับสภาพแวดล้อมในครอบครัว ท่ีโรงเรียน และกับเพ่ือนบ้าน การมีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับเพื่อนต่างเพศซึ่งมีอายุรุ่นเดียวหรือ ใกล้เคียงกัน จะช่วยให้เราได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเพื่อนต่างเพศ การวางตวั ตอ่ เพศตรงขา้ ม รวมทงั้ มารยาทและการปฏิบัติตนต่อเพศตรงขา้ ม นับว่าเปน็ สิ่งสาคญั ท่ีชว่ ย ให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับเพศตรงข้ามได้ การวางตัวต่อเพศตรงข้าม อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ฐานะคือ การวางตัวต่อเพศตรงข้ามในฐานะเพอ่ื น และการวางตัวต่อเพศตรงข้ามในฐานะคู่รกั ดงั น้ี (ชุมาภรณ์ ฝาชยั ภูมิ, 2559, น. 52-55) 1. การวางตวั ตอ่ เพศตรงข้ามในฐานะเพื่อน 1.1 การปฏิบัตติ นของฝา่ ยชาย มดี ังน้ี 1.1.1 ควรแต่งกายใหส้ ภุ าพ สะอาดเรยี บรอ้ ย ไม่ฟุ่มเฟอื ย และไม่นาสมัยจนเกินไป ไม่ควรแตง่ กายตามสบายมากนัก 1.1.2 ใช้วาจาท่ีสุภาพ ไม่แสดงอาการก้าวร้าว เสียดสีด้วยวาจา ใช้คาพูดตาม มารยาทในการพูดในสงั คม 1.1.3 การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ต้องสุภาพเรียบร้อย ท้ังการนั่ง การยืน หรือ การเดิน และต้องมีความองอาจสมความเป็นชาย แสดงถึงบุคลิกภาพท่ีดี ควรให้เกียรติผู้หญิง ทาตัวเป็นสภุ าพบรุ ษุ และช่วยเหลือผ้หู ญงิ ตามสมควร 1.1.4 แสดงความห่วงใยในเร่ืองความปลอดภัยตา่ ง ๆ 1.1.5 การให้ความสนิทสนม ควรอยู่ในขอบเขตไม่คลุกคลีมากเกินไป ควรระลึก เสมอวา่ ต้องใหเ้ กียรติฝ่ายหญงิ ทุกโอกาสแมว้ ่าจะสนทิ สนมกนั มากเพยี งใด
182 1.2 การปฏบิ ตั ติ นของฝ่ายหญงิ มดี งั นี้ 1.2.1 แต่งกายให้สุภาพ สะอาดเรียบร้อย รัดกุม ไม่ควรแต่งตัวล่อแหลม หรือ นุ่งห่มน้อยช้ิน ถ้าพบโดยบังเอิญในขณะท่ีแต่งกายไม่เรยี บรอ้ ยก็ไม่ควรหยุดพูดคุยด้วย ต้องขอตัวไป เปลย่ี นเสอ้ื ผ้าใหเ้ รยี บรอ้ ยกอ่ น จงึ มาพดู คยุ ด้วยในภายหลัง 1.2.2 ใชว้ าจาทสี่ ุภาพเหมาะสมให้สมกบั เป็นกุลสตรี ไม่พูดหยาบคาย หรอื ส่งเสยี ง ดัง แม้จะมีความสนิทสนมกับฝ่ายชายมากก็ตาม 1.2.3 ควรแสดงกิริยาที่เหมาะสม สุภาพ ไม่สูบบุหร่ี ดื่มสุรา หรือเสพส่ิงเสพติด ต้องสารวมตนให้ดูเรียบร้อยเป็นกุลสตรี รู้จักมารยาทสังคม การเดิน การน่ัง และการยืน ตอ้ งดเู รียบร้อยสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ 1.2.4 ควรมีน้าใจเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ รู้จักแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจเมื่อได้รับ การช่วยเหลอื จากฝา่ ยชาย 1.2.5 ไมค่ วรอยลู่ าพังกับฝ่ายชายสองตอ่ สองในทลี่ ับตาคน ไมแ่ สดงกิรยิ าสนิทสนม เกนิ ขอบเขต 2. การวางตัวตอ่ เพศตรงขา้ มในฐานะครู่ ัก ชายหญิงท่ีมีความสัมพันธ์กันในฐานะคู่รัก ท้ังคู่ควรจะได้ศึกษาอุปนิสัย ค่ านิยม ความตอ้ งการ ความพอใจซ่ึงกันและกนั เพอ่ื ใหค้ วามสัมพันธพ์ ฒั นาตอ่ ไปจนถงึ การตดั สินใจทีจ่ ะสมรส และใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ควรทาความรู้จักกับญาติท้ัง 2 ฝ่าย เพื่อเรียนรู้เก่ียวกับครอบครัว และสร้าง ความสัมพันธ์ในระหว่างญาตกิ ่อนแต่งงาน ในขณะท่คี บกนั ถึงแม้จะอยู่ในฐานะท่ีเป็นคู่รักกันกต็ ้องให้ เกียรติซึ่งกันและกัน และควรจะต้องเพิ่มเติมความห่วงใยเอาใจใส่ดูแลกันให้มากขึ้น ควรให้ ความเคารพเชื่อฟังญาติผู้ใหญ่ของท้ัง 2 ฝ่าย รวมท้ังมีน้าใจต่อญาติพี่น้องของท้ัง 2 ฝ่ายด้วย และ ไม่ใหค้ วามสนิทสนมกันเกินขอบเขตของประเพณี เพราะในชว่ งของวัยรุน่ นี้ โดยธรรมชาติจะมีแรงขับ ทางเพศท่ีจะผลักดันให้มีเพศสัมพันธ์กัน จึงควรมีขอบเขตจากัดตามประเพณีและวัฒนรรมของไทย ดังนนั้ ชายหญิงจึงควรหลีกเล่ียงการอย่ดู ้วยกันตามลาพัง ไมด่ ื่มเหล้าหรือเสพของมึนเมา เพราะจะทา ให้ควบคุมตนเองไม่ได้ ควรหาทางระบายความต้องการทางเพศในทางที่เหมาะสม เช่น การเล่นกฬี า การร่วมกจิ กรรมของหมคู่ ณะ การเลน่ ดนตรี การทางานอดเิ รก หรือการทางานศลิ ปะ เป็นตน้ การวางตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์อันไม่พึงประสงค์ การที่ชายหญิงมี ความสัมพันธ์กันในฐานะคู่รักและอาจถึงขั้นการมีเพศสัมพันธ์ในขณะท่ียังไม่มีความพร้อม มีวิธีการ หลกี เลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงได้ ดงั นี้ 2.1 ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายมีโอกาสในการมีเพศสัมพันธ์ วิธีการนี้เป็นการตัดไฟ แต่ต้นลมคือ โดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายมโี อกาสในทุก ๆ เร่ือง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392