Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

Description: หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

Search

Read the Text Version

51 พระพทุ ธศาสนาในประเทศเวียดนาม อาณาจักรจัมปา (เวยี ดนามใต้ในปจั จบุ ัน) แม้ในสมยั พุทธศตวรรษที่ ๘ เรอื่ ยมา จนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษ ที่ ๒๑ จะมอี านาจมากมาย แต่ก็มผี ูส้ นใจนอ้ ยกวา่ กัมพูชาและชวา ชอ่ื อาณาจักรนี้เปน็ ชื่อในสมยั อดีต ใน ปจั จบุ ันจะรู้จกั กันอย่บู ้างกเ็ ฉพาะในวงนักศึกษาเท่าน้นั อนุสาวรียต์ ่าง ๆ ทีม่ เี หลืออยู่บ้างกม็ ีขนาดเล็กมาก เมอ่ื เทยี บกบั นครวดั นครธม ในกมั พชู า หรือโบโรบดุ รุ ์ ในอินโดนีเซีย ความโนม้ เอยี งในด้านศิลปะกห็ นักไป ในทางฮนิ ดมู ากกวา่ จะเป็นแบบพทุ ธศาสนาแต่ส่งิ ท่ีสาคญั มากกค็ ือที่อาณาจกั รจมั ปาน้ีแหละท่เี ราได้พบ ศลิ าจารึกเปน็ อักษรสันสกฤตทีเ่ ก่าแกท่ ส่ี ุด อาณาจักรจัมปา อยู่ตรงงมุมทศิ อาคเนย์ของผนื แผน่ ดนิ ใหญแ่ ห่งทวปี เอเชีย คืออยูใ่ นเขตประเทศ เวยี ดนามใตใ้ นปจั จุบนั นี้ ขอบเขตแห่งอาณาจักรน้ีไมแ่ นน่ อนนกั บางสมัยก็ขยายออกไปกวา้ งขวาง บาง สมัยก็หดแคบลงมา แต่พอจะกาหนดได้อยา่ งหยาบ ๆ กค็ ือ ถ้าพูดกนั ตามแงภ่ ูมิศาสตรป์ ัจจบุ นั ก็หมายถึง ส่วนหนง่ึ ของเวียดนามใต้ ประกอบด้วย มณฑลกวางนัม (Guang–nam) ทางตอนเหนือกับมณฑลบิน ทวน (Binh–Thuan) ทางตอนใตส้ มยั น้ัน จัมปาแบ่งออกเป็น ๓ แคว้นด้วยกัน แต่ละแคว้นไดก้ ลายเปน็ ทีต่ ้ังของอาณาจักรต่างยคุ ตา่ งสมยั กัน คอื ๑. ในมณฑลอมราวดี ซ่งึ อยู่ทางเหนอื (ปัจจบุ ันเรียกวา่ กวางนมั ) มีเมืองอินทรปรุ ะ และสีหปรุ ะ รวมอยู่ ด้วย ๒. มณฑลวชิ ยั ซึง่ อยู่ทางตอนกลาง ปจั จุบนั เรียกว่าบิงดิน (Bing – Dinh) ประกอบด้วย เมอื ง วิชัย และเมืองท่าศรวี นิ ัย ๓. แคว้นปาณฑรุ างคะ (Panduranga) รอื ปันรัน (Panran) ซึง่ ในปัจจุบันไดแ้ ก่มณฑลฟาน รงั (Phanrang) และมณฑลบนิ ทวน (Binh – Thuan) เรียกวา่ เกาธาระ (Kauthara) ซงึ่ ปจั จุบนั น้ี เรยี กว่ากันหัว (Kahnhoa) น้นั บางครัง้ ก็แยกออกไปอกี แคว้นหน่ึงต่างหาก คล้าย ๆ กับเวยี ดนามปจั จบุ นั นแี้ หละ จมั ปาเปน็ ประเทศที่อยูช่ ายทะเลเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสไดข้ ยายอาณาเขตลึกเขา้ ไปในผืน แผ่นดินใหญ่ จนถงึ ภูเขาต่าง ๆ เลย จัมปาน้ัน ความจริงเปน็ ชอื่ เก่าของเมืองเมืองหนึ่งในแควน้ เบงกอลตะวนั ตก ใกล้ ๆ กบั เมอื งภะคลั ปุ ระ (Bhagalpura) ผู้ที่มาพชิ ิตดินแดนแถบน้ีเรียกตัวเองว่า “จาม” และเป็นพวกท่ีมีวัฒนธรรมแบบ อินเดยี อยู่มาก จงึ ทาให้สนั นษิ ฐานว่า “จัมปา” หมายถงึ ดนิ แดนของพวกจามนนั่ เอง ถา้ พดู กันในแง่ของ ภาษาแลว้ พวกจามเป็นพวกมลายูผสมโปลนิ เี ซยี น (Malay–Polynesian) และการท่ีพวกนีอ้ ย่ตู าม ชายทะเล จึงทาให้สันนษิ ฐานวา่ คงบกุ รกุ เข้ามาทางชายทะเลคล้าย ๆ กบั โจรสลัดมลายูน่นั เอง ศิลา จารึกท่ีเก่าที่สุดทจ่ี ารึกเป็นภาษาจามมีมาต้งั แต่กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ ก่อนหนา้ นนั้ จารึกเปน็ ภาษา สนั สกฤต งมฉี บบั เก่าแกท่ ี่สุดสมยั กลางพุทธศตวรรษท่ี ๙ และได้อ้างถงึ พระเจา้ แผน่ ดินสมยั กอ่ นหน้าที่ จะทาศิลาจารึกดว้ ย ดงั นน้ั จึงพอจะสนั นิษฐานได้วา่ ราชวงศจ์ ามที่นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู คงจะเรม่ิ ในจมั ปา ระหว่าง พ.ศ. ๗๐๐ – ๗๕๐ แตก่ ไ็ ม่มีพยานหลักฐานใด ๆ ทแี่ สดงว่า ชนเผา่ มลายทู มี่ าตง้ั รกรากอยู่ ในจมั ปาจะถูกพวกอนิ เดียท่ีเข้ามาบุกรุกพชิ ิต และบงั คบั ให้หันมานับถือศาสนาฮินดตู ้ังแต่เม่ือไร หรอื ว่า พวกจามจะไดน้ ับถือศาสนาฮินดูต้งั แต่ก่อนหนา้ ท่ีจามจะมาถงึ จัมปาแล้ว ซ่ึงบางทีพวกจามอาจจะมาจาก

52 เกาะชวาก็ได้ การท่ีประเทศจัมปาตา่ ต้อยกวา่ กัมพชู าในด้านอารยธรรมนั้นกเ็ ป็นผลเนื่องมาจากประวตั ิศาสตร์ที่มีความ ยุ่งยากมากกวา่ กัมพูชานน่ั เอง ท้งั กัมพชู าและจมั ปาตกอยใู่ นสถานะที่นา่ ลาบากพอ ๆ กัน คือ มีประเทศ เพ่อื นบา้ นท่ีมีอานาจคอยรกุ รานอยขู่ นาบขา้ ง โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในราวปี พ.ศ. ๒๓๕๐ กต็ กอยู่ในสภาพ ที่คล้าย ๆ กบั จมั ปาในคร้ังกระโนน้ คอื ระมาณ พ.ศ. ๑๘๕๐ ก็มีกัมพูชาและเวียดนามขนาบขา้ ง เช่นกัน แตใ่ นระหวา่ ง พ.ศ. ๑๔๙๐–๑๖๙๐ เมอ่ื จัมปามโี อกาสทจี่ ะชืน่ ชมกับเสรภี าพและสนั ติสุข น้นั ประวตั ิศาสตรข์ องกัมพชู าได้บนั ทึกไวว้ ่า มกี ษตั ริย์ทีม่ ีอานาจและครองราชสมบตั นิ าน ๆ อยหู่ ลาย พระองค์ และกษัตรยิ เ์ หล่านี้สามารถท่ีจะประดบั ตกแต่งเมืองหลวงของพระองค์ใหส้ วยงามได้ และ ประกันความปลอดภัยของประเทศได้ พวกจามนีม้ ิใช่จะถูกรบกวนจากพวกเวียดนาม (Annam) เท่านั้น แต่ยังถูกจีนซึง่ อยู่ไกลมากแต่น่าเกรงขามมากกวา่ รบกวนด้วย เมืองหลวงของจัมปา แทนทีจ่ ะอยู่ ณ ท่ีใดท่ีหนง่ึ หลาย ๆ ร้อยปีอยา่ งทนี่ ครธม กลบั ตอ้ งโยกย้ายจากเมืองนไ้ี ปเมอื งโน้นอยู่ใน สามแคว้นนั้นเสมอ เลยทาให้แคว้นทัง้ สามมีความสาคัญมากขึน้ ศิลาจารกึ ท่ี โว–จนั (Vo–Can) เป็นจารกึ ที่มีขอ้ ความเป็นร้อยแก้วท่ีถกู ต้อง และบรรจุกระแสพระราช ดารสั ของพระเจ้าแผน่ ดินพระองคห์ น่งึ ซง่ึ ดเู หมอื นจะเปน็ ผูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา และเขียนในทานอง เดยี วกบั ของพระเจา้ อโศก พระองคไ์ ด้ประกาศวา่ พระองค์อยู่ในสกลุ ศรีมาร ราช (Srimararaja) ตวั หนงั สอื คล้ายกบั ศลิ าจารึกของพระเจา้ รทุ รวรมนั ที่กมิ าร์ (Gimar) และศิลาจารึก รุ่นเดียวกนั ที่ กันเหริ (Kanheri) ข้อความนนั้ ได้ขาดหายไปมากมายจนกระท่ังเราไม่ทราบทั้งนามผู้ จารึก และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระองค์กบั ตระกลู ศรมี าระ ศรีมาระคงจะเป็นผูก้ อ่ ตงั้ ราชวงศ์ และคง จะแยกตัวมาจากต้นตระกลู เดิมหลายชัว่ คนมาแลว้ นา่ สงั เกตอยู่หนอ่ ยกต็ รงที่พระนามของพระองคห์ าได้ ลงทา้ ยด้วย วรมัน เหมือนกษัตริยอ์ งค์ต่อ ๆ มาไม่ ถา้ พระองคจ์ ะมีพระชนม์อย่ใู นตอนกลางพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๘ กจ็ ะเขา้ เร่ืองกับข้อความท่ศี ิลาจารึกได้บันทึกไว้ อาณาจกั รหลนิ อ้ี (Lin–I หมายถึง อาณาจักรจัม ปา) ได้เกดิ ขนึ้ ในปี พ.ศ. ๗๓๕ นอกจากนนั้ เราก็ได้ทราบว่าฮนุ เทียน (Hun–Tien) ได้ตัง้ อาณาจักร อนิ เดยี ขึ้นในฟูนนั กอ่ น พ.ศ. ๘๐๐ และบางทีจะในระหวา่ ง พ.ศ. ๗๖๓–๘๒๓ กษัตรยิ ์องคห์ น่งึ แห่ง ประเทศฟนู นั ไดส้ ง่ ทูตคนหน่งึ ไปยงั อนิ เดยี คาว่า “ฟูนัน” อาจหมายรวมจัมปาเข้าดว้ ยก็ได้ แมว้ า่ เราจะ ทราบว่ามอี าณาจักรฮนิ ดูอย่ใู นดินแดนเหลา่ น้ีในตอนแรก ๆ แตเ่ ราก็หาทราบเกี่ยวกับอารยธรรมและ ประวัตศิ าสตรข์ องพวกนไี้ ม่ ท้ังเราก็ไม่ไดห้ ลักฐานอะไรมากนอกจากพวกนยิ ายต่าง ๆ ของจาม ซง่ึ กล่าวถึงเรื่องราชวงศ์ วา่ สบื สายมาจากสองตระกลู คือจากต้นหมากและต้นมะพร้าว หลกั ฐานทางฝ่ายจีนได้กล่าววา่ พระเจ้าแผ่นดนิ พระองค์หนงึ่ ทรงพระนามว่า ฟานหยี (Fan–yi) ได้ส่ง ทูตไปยังประเทศจนี เม่อื พ.ศ. ๘๒๗ และยังได้บอกรายนามพระเจ้าแผน่ ดนิ อีกหลายพระองคท์ ่ี ครองราชสมบัตใิ นระหว่างปี พ.ศ. ๘๗๙ ถงึ พ.ศ. ๙๘๓ กษตั ริย์องคห์ นง่ึ ทรงพระนามวา่ ฟานฮู ตา (Fan–hu–ta) คงจะหมายถึง พระเจ้าภัทรวรมนั (Bhadravarman) ซ่งึ ไดท้ รงทง้ิ ศลิ าจารกึ ภาษา สนั สกฤตไวใ้ หห้ ลายแผน่ และมอี ายุประมาณ พ.ศ. ๙๔๐ และทรงเป็นผู้สรา้ งวหิ ารแหง่ แรก ชือ่ ม–ี โซน (Mi-son)วหิ ารแห่งนไ้ี ดก้ ลายเปน็ วดั ประจาชาติของจมั ปา และไดถ้ กู เผาพนิ าศไปเม่อื ประมาณ พ.ศ. ๑๑๑๘ แตต่ ่อมาไดร้ ับการปฏสิ งั ขรณ์ขึ้นมาใหม่ พระราชโอรสของพระเจ้าภทั รวรมัน ทรง

53 พระนามวา่ คังคราช (Gangaraja) ดเู หมอื นจะทรงสละราชสมบตั ิและเสด็จเดินธดุ งค์ไปยังแม่นา้ คงคา ดอู อกจะไม่มีประโยชนอ์ ะไรนักทจ่ี ะติดตามพงศาวดารเกีย่ วกับกษัตรยิ ์ท่ีครองจัมปาโดยละเอยี ดลออ แตก่ ็ มขี ้อความบางตอนที่มปี ระโยชน์อยู่มากเหมอื นกัน ในปี พ.ศ. ๙๘๙ และอกี คร้ังหนง่ึ ในปี พ.ศ. ๑๑๔๘ ท่ี จีนไดร้ ุกรานจมั ปา ละได้ลงโทษประชาชนพลเมอื งอยา่ งทารุณโหดร้ายมาก แต่การรุกรานครัง้ ทีส่ องนนั้ มี สนั ตสิ ุขและความอดุ มสมบรู ณต์ ิดตามมาด้วย พระเจา้ ศมั ภวู รมัน (Sambuvarman) ประมาณ พ.ศ. ๑๑๗๒ ได้ทรงปฏสิ ังขรณว์ ดั มีโซน และกษตั รยิ ์ทีส่ ืบต่อมาอีก ซึ่งทรงพระนามว่า วกิ รานตวรมนั (Vikrantavarman) ทัง้ คู่ก็นับว่าทรงเป็นกษตั ริยน์ ักก่อสร้างท่ยี ิง่ ใหญ่ทงั้ สองพระองค์ กษตั รยิ ท์ ี่ครองจัม ปาต้ังแต่ พ.ศ. ๑๓๐๑ ถึง พ.ศ. ๑๔๐๒ ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ ราชวงศ์ที่ ๕ อย่ทู างภาคใต้และมีเมืองหลวงอยู่ทวี่ รี ปุ ระ การเปลย่ี นแปลงน้ดี ูออกจะมคี วามสาคญั มากอยู่เหมอื นกัน เพราะจนี ซึ่งเดมิ เรียกจัมปาว่า หลนิ - อ้ี (Lin–I) น้ันต่อมาได้เรียกว่า ฮวนหวั่ง (Huan–wang) แต่ชาวพื้นเมืองยังคงเรียกประเทศนีว้ า่ จมั ปา อยู่ พระเจา้ สตั ยวรมนั (Satyavarman) และกษัตริยพ์ ระองค์อื่นแหง่ ราชวงศ์น้ีหาได้กลา่ วถงึ วดั มโี ซนไม่ ทัง้ ๆ ทพ่ี ระองคไ์ ด้ทรงประดบั ประดาและทานุบารุงวิหารโพนคร (Po–nagar) และวิหารอื่น ๆ อกี หลายแห่งใน ภาคใต้ ในระหว่างยุคน้คี ือตัง้ แต่ พ.ศ. ๑๓๑๗ ถึง พ.ศ. ๑๓๓๐ ท่ีแคว้นเกาธาระ (Kaudhara) ไดถ้ ูกพวก โจรสลัดรุกราน ศิลาจารกึ ไดก้ ลา่ ววา่ พวกนี้เปน็ พวกปา่ เถ่ือนผิวดารูปร่างผอม ๆ เป็นพวกกนิ คน และว่า เปน็ กองทัพทยี่ กมาจากชวา พวกนไ้ี ด้ทาลายวัดวาอารามลงเสยี มาก แต่ต่อมาได้ถูกขับไลถ่ อยไป พวกนี้ อาจเปน็ พวกมลายู แตก่ ย็ ากทจ่ี ะเช่อื ว่าพวกชวาจะยงั เปน็ มนษุ ยก์ ินคนอยู่ในยคุ ดังกล่าวนน้ั เมอื งหลวงยงั คงเปล่ยี นไปเปลี่ยนมาอย่เู ร่ือย ๆ ในสมัยราชวงศ์ที่ ๖ คอื ในราวปี พ.ศ. ๑๔๐๐–๑๔๔๐ เมืองหลวงอยู่ท่ีอนิ ทรปรุ ะ ทางทิศเหนือ ในสมัยราชวงศ์ที่ ๗ คือ ในราวปี พ.ศ. ๑๔๔๐–๑๕๒๙ เมือง หลวงย้ายกลับไปอยู่ทางภาคใต้อีก และในสมัยราชวงศ์ท่ี ๘ คือ ในปี พ.ศ. ๑๕๓๒–๑๕๘๗ นนั้ เมอื ง หลวงอยู่ทีเ่ มืองวชิ ยั ในภาคกลาง การเปลยี่ นไปเปลี่ยนมาน้ีมักจะได้มีการรกุ รานจากตา่ งประเทศติดตาม มาเสมอ เขมรรกุ รานภาคใตใ้ นปี พ.ศ. ๑๔๘๘ ทางภาคเหนอื เจ้าชายชาวญวนพระองคห์ นึ่งได้ทรงตัง้ อาณาจักรข้ึนชอื่ ได–โจ–เวยี ด (Dai–co–Viet) ซง่ึ ได้กลายเปน็ หนามยอกอกจัมปาอยู่ ใน พ.ศ. ๑๕๒๕ กองทพั ไดโจเวยี ดไดท้ าลายเมืองอนิ ทรปุระ และใน พ.ศ. ๑๕๘๗ กองทัพไดโจเวียดก็ยดึ เมืองวชิ ยั ได้ ใน พ.ศ. ๑๖๑๒ พระเจา้ รุทรวรมันทรงถกู จับเป็นเชลย แตต่ ่อมาก็ไดร้ ับการปลดปล่อยโดยตอ้ งเสีย มณฑลตา่ ง ๆ ทางเหนือสดุ สามมณฑล ให้เปน็ การแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี เมืองอนิ ทรปุระได้รบั การ ปฏิสังขรณ์ขน้ึ ใหม่และมีอยสู่ มยั หนึ่งท่จี มั ปาได้ทาสงครามชนะกมั พชู า แม้ว่ากษัตรยิ ห์ ลายองค์ของจัมปา จะไม่ทรงพอพระทยั ท่ตี ้องเสยี มณฑลทางภาคเหนือให้ญวน และแม้วา่ พระเจา้ หรวิ รมนั ที่ ๓ (Harivarman III : พ.ศ. ๑๖๑๗ ๑๖๒๓) จะไดท้ รงกาชัยชนะอยู่ได้ชวั่ ระยะเวลาหนึ่ง แตก่ ห็ าไดม้ ี การสู้รบกบั ญวนจรงิ ๆ ไม่ พวกจามยังคงสง่ ทตู ไปยังประเทศญวน ยอมรบั วา่ ตนเป็นเมืองขนึ้ ของญวนอยู่ ในศตวรรษตอ่ มาการทะเลาะวิวาทอยา่ งรนุ แรงกบั กมั พูชาก็ได้ติดตามมา และในปี พ.ศ. ๑๗๓๕ จมั ปาก็ แตกออกเปน็ สองอาณาจักร คือ อาณาจกั รวชิ ัยอยู่ทางภาคเหนอื ภายใตอ้ านาจของเจา้ ชายชาวกัมพูชา อาณาจกั รปันรนั (Panran) ในภาคใตม้ เี จา้ ชายจามเปน็ ผ้ปู กครอง แต่ก็อยใู่ นอานาจของกมั พชู า เชน่ กัน การจัดการปกครองแบบนีไ้ มส่ มั ฤทธผิ ลและหลังจากทีไ่ ด้ตอ่ สู้กนั อย่างหนัก จัมปากเ็ ลยกลายเปน็

54 แคว้นหนึ่งของกัมพูชาไป แม้ว่าจะไมส่ เู้ รียบร้อยนักกต็ าม น่นั คือในปี พ.ศ. ๑๗๔๖–๑๗๖๓ ตอ่ มาความ เข้มแข็งในการรกุ รานของเขมรไดเ้ พลาลงเพราะเขมรต้องมัวทาสงครามอยกู่ บั ประเทศไทย แต่ก็หาใชเ่ ป็น โชคของจมั ปาทจี่ ะได้ต้งั อยู่ในความสงบไม่ กุบไลข่าน (Khubilai) ได้ยกกองทัพมารุกรานนบั ตัง้ แต่ พ.ศ. ๑๘๒๑ ถึง พ.ศ. ๑๘๒๘ และในปี พ.ศ. ๑๘๔๙ จัมปากเ็ สยี มณฑลโอ (O) และไล (Ly) ใหแ้ ก่ญวน ตอนน้ีแหละ ทีจ่ ัมปาได้กลายเป็นมณฑลหน่งึ ของญวนไปโดยปริยาย และในปี พ.ศ. ๑๘๖๑ กษตั รยิ จ์ ัมปา ไดท้ รงลีภ้ ยั ไปอย่ทู ช่ี วา การติดต่อกบั ชวาน้เี ป็นเรื่องที่นา่ สนใจมาก และยงั มีตัวอยา่ งอืน่ ๆ อีก พระเจา้ ชย สงิ หวรมนั ท่ี ๓ (Jaya Simhavarman III) ประมาณ พ.ศ. ๑๘๕๐ แห่งจมั ปา ได้อภิเษกสมรสกับเจ้า หญิงชวาพระนามว่า ตปสี (Tapasi) ต่อมาเราได้ทราบจากบนั ทึกของชวาว่า ในพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ เจ้า หญงิ ทราวดี (Darawti) แหง่ จัมปา ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั กษัตริย์มทั ชาปาหติ (Madjapahit)และพระ กนษิ ฐภคินขี องพระนางได้อภเิ ษกสมรสกับระเด่นรทั มัท(Raden Radmat) ซง่ึ เปน็ ครูซง่ึ นับถือศาสนา อสิ ลามที่มชี ื่อเสียงมากในชวา อานาจของพวกจามไดถ้ ูกญวนขยี้ลงอย่างย่อยยับในปี พ.ศ. ๒๐๑๓ หลงั จากสมยั น้มี าพวกจามดจู ะมี ความสาคญั ในด้านการเมืองน้อยมาก แต่ยังคงความเปน็ ชาติอย่ภู ายใต้การปกครองของพวกจามด้วย กนั เอง ใน พ.ศ. ๒๑๙๓ พวกจามไดแ้ ขง็ ข้อกับเวยี ดนาม แตท่ าการปฏวิ ตั ิไมส่ าเร็จ แถมกษตั ริย์จัมปายังถูก จับเปน็ เชลยเสียอีกดว้ ย แตม่ เหสมี ่ายของพระองค์ไดร้ บั การยกย่องอยใู่ นฐานะเป็นหนุ่ ของญวน และ พงศาวดารจามก็ยังคงระบุพระนามกษัตรยิ เ์ รื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๓๖๕ ในจัมปาก็เชน่ เดยี วกับกมั พชู า คือ ไม่มีหนังสอื ทมี่ ีอายุตัง้ แต่สมัยฮินดเู หลอื ทิ้งไวใ้ ห้เลย และบางทีคงจะมไี ม่ มากนักก็ได้ ภาษาจามปรากฏว่าหาได้ใชเ้ ป็นภาษาวรรณกรรมไม่ เท่าที่ปรากฏมักเปน็ ภาษา สนั สกฤต กษตั ริย์ท้ังหลายมักจะไดร้ บั การยกย่องว่าทรงมีความรู้ในดา้ นภาษาสนั สกฤตเปน็ อยา่ งดี ศลิ า จารกึ แผ่นหน่งึ พบท่ี โพนคร (Po–nagar) ซึง่ จารกึ เมื่อปี พ.ศ. ๑๔๖๑ ได้กลา่ วว่า พระเจ้าศรอี นิ ทรวร มัน (Sri Indravarman) ทรงรอบรู้ในลทั ธิ b]มมี ามสา [/b] (Mi – mamsa) และปรัชญาระบบอนื่ ๆ ชเิ นนทร วยากรณ์ และกาศิกา (วฤตต)ิ กบั ไศโวตตรกลั ปะ (Saivottara – Kalpa) นอกจากนนั้ ศลิ า จารึกอีกแผ่นหนง่ึ ท่ีพบทว่ี หิ ารมีโซน ไดอ้ ้างว่า พระเจ้าชยอินทรวรมะเท วะ (Jaya Indravarmadeva) ประมาณ พ.ศ. ๑๗๑๘ ทรงรอบรชู้ า่ ชองในสรรพศาสตรร์ วมทั้งความรู้ใน มหายาน และธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ คัมภีร์ นารทียะ และภารควียะ ภาษาท่ีใชใ้ นศลิ าจารกึ มักจะขาดความระมัดระวงั และไม่ค่อยถูกต้อง ซึง่ ชใ้ี ห้เห็นวา่ การศกึ ษาภาษาสันสกฤตในจัมปาไมส่ ู้เจรญิ มากนัก สใู้ นกมั พูชาไม่ได้ อนสุ าวรียท์ ป่ี รากฏวา่ มีอยู่ในจมั ปาน้นั แมว้ ่าโดยขนาดและจานวนจะมีมากมายกต็ ามแตเ่ มื่อเทยี บกับที่มอี ยู่ ในกัมพูชาแลว้ ดอ้ ยกวา่ กนั มาก อาคารวตั ถุแตล่ ะหลังกม็ ีขนาดเลก็ กวา่ และเป็นแบบธรรมดา ๆ มากกว่าที่ มีอยใู่ นกัมพชู า กล่มุ อาคารกข็ าดเอกภาพ อุปกรณ์ที่ใช้ก่อสร้างสว่ นใหญเ่ ป็นอิฐ จะมีหินบ้างกเ็ ฉพาะใน ตอนทีใ่ ช้อิฐไม่ได้เทา่ นน้ั เชน่ เทวรูป หรอื พระพทุ ธรูปและคานประตู เปน็ ตน้ สิ่งกอ่ สรา้ งแบบทธี่ รรมดา ทสี่ ดุ ก็คือรูปทรงเป็นปิรามิดส่ีดา้ นซง่ึ พวกจามเรยี กวา่ กะลัน (Kalan) ตามปรกติ “กะลนั ” จะสร้างไว้บน เนนิ เขาหรือบนพื้นที่ที่สูง ชั้นลา่ งสุดมีทางเข้า และห้องหน้ามุขอยู่ทางทิศตะวนั ออก ส่วนอกี สามด้านมี

55 ประตหู ลอก ๆ อยู่อกี สชี่ ้นั ขา้ งบนกม็ ีรปู ทรงแบบเดียวกัน แต่ขา้ งในไมม่ ีอะไรเลย เปน็ กุฏิทรงปิรามิดท่ีไม่มี ประตอู ยู่โดดเดีย่ วซึ่งจะมีแสงสว่างเข้าได้กโ็ ดยทางประตู และบางทีก็โดยอาศัยแสงตะเกียงท่ตี ั้งไวท้ ่ีตาม ซอกตามทเี่ วา้ เข้าไปในกาแพงด้านใน ตรงกลางมีฐานสาหรับรองรับลึงค์ หรอื รูปสลักซงึ่ มรี อ่ งสาหรับ เหลา้ ที่เทรดลงึ คน์ ้นั จะได้ไหลออกได้ แล้วมนั กจ็ งไหลออกไปสู่พวกยาที่อยูใ่ นกาแพง เค้าโครงขององค์ ปรางคม์ ักจะแตกต่างกนั ออกไปตามรูปสลัก และการประดับประดาตา่ ง ๆ และการแกะสลกั กด็ ูจะวิจิตร บรรจงน้อยกว่าในกมั พชู าและชวา ในสว่ นทเ่ี ก่ียวกบั ศาสนาที่สาคัญ ๆ สิง่ ก่อสร้างมากมายมักจะถูกนามารวมกนั เข้าไว้ มีกาแพงสี่เหลีย่ ม ลอ้ มรอบรั้วชน้ั ในที่จะเข้าไปไดท้ างประตู และจะมีกะลันหนึ่งแห่งหรือมากกวา่ นน้ั กไ็ ด้ และมีอาคารหลงั เลก็ ๆ อีกหลายหลงั ซึ่งคงเป็นสถานทสี่ าหรับพระสงฆ์ใช้เปน็ แน่ กอ่ นจะถึงประตเู ข้ามักจะมีหอ้ งโถงห้อง หนึง่ ซง่ึ มเี สานางจรัลคา้ อยู่มากมาย แต่ตรงด้านข้าง ๆ เปิดโลง่ หมด สถาปตั ยกรรมของจามชนิดต่าง ๆ ท่ีรู้จกั ดีนน้ั คือ วดั ปราสาทราชวงั และอาคารสิ่งก่อสร้างทางโลกอน่ื ๆ มักจะสรา้ งด้วยไม้และแลว้ ก็หายไปหมดสิ้น ในบรรดาโบสถว์ หิ ารเป็นจานวนมากที่ได้ค้นพบ นนั้ อาคารสิ่งก่อสรา้ งทน่ี า่ สังเกตมากทสี่ ุดก็คอื ทพี่ บท่วี ดั มีโซน และทีด่ องดวง (Dong Duang) ซง่ึ ท้ังคู่ น้อี ยูใ่ กล้ ๆเมืองตูเรน (Turane) และที่โพนคร (Po–Nagar) ซ่ึงอยใู่ กล้ ๆ เมืองนาตรัง (Nhatrang) วิหารมโี ซน เป็นวิหารแบบโรงละครกลางแปลงท่ีอยใู่ นท่ามกลางวงลอ้ มของภเู ขา และมวี หิ ารแบ่ง ออกเป็น ๘ หรือ ๙ กลุ่ม ซึ่งสร้างข้นึ ตา่ งกรรมต่างวาระกนั สิ่งก่อสรา้ งท่ีเก่าแก่ทสี่ ดุ ซึง่ พระเจา้ ภัทรวรมัน ที่ ๑ ได้ทรงสรา้ งขึน้ เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. ๙๔๐ ไม่ปรากฏซากอยู่เลย เข้าใจว่าคงทาด้วยไม้ เพราะเราได้ ทราบวา่ วิหารเหล่านไ้ี ดถ้ ูกไฟไหม้เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๑๑๘ พระเจา้ ศมั ภูวรมัน ได้ทรงสร้างวหิ ารใหม่ ๆ ขนึ้ อีกในระยะเวลา ๒๕ ปี ตอ่ มา และได้อุทิศถวายพระศัมภูเทรศวร ซึง่ เป็นชอื่ ทเ่ี อานามผู้สรา้ ง ผู้ ปฏิสงั ขรณแ์ ละเทพเจา้ มารวมเขา้ ดว้ ยกัน อาคารสถานเหล่าน้ยี งั มีเหลอื อยบู่ างส่วนนับว่าเปน็ ตวั แทน ศิลปะของจามทีเ่ ก่าทสี่ ดุ และดีท่สี ุด ศลิ ปะอีกแบบหนึ่งเร่มิ ในสมัยพระเจา้ วกิ รานตวรมนั ท่ี ๑ ในระหวา่ ง ปี พ.ศ. ๑๒๐๐ ถึง พ.ศ. ๑๒๒๕ รชั สมยั ของพระเจา้ วกิ รานตวรมนั น้เี ป็นยุคแห่งความเส่อื มแม้วา่ จะได้มี การก่อสร้างอาคารสถานมากมายทม่ี ีโซนในระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๓ และ ๑๔ ก็ตาม ตาแหนง่ แหง่ หนทต่ี ั้งของอาคารสถานเหล่านี้ได้ถูกปลอ่ ยปละละเลยเร่อื ยมาจนกระทัง่ ถึงรัชสมัยพระเจา้ หริวรมันท่ี ๓ (พ.ศ. ๑๖๑๗–๑๖๒๓) วัดวาอารามมากมายหลายแหง่ ได้ถูกพวกญวนทาลายลง แต่พระเจ้าหริวรมนั ท่ี ๓ ทรงเปน็ นักรบที่ย่ิงยง ทรงสามารถปฏิสงั ขรณ์วิหารต่าง ๆ เหล่าน้ีขน้ึ มาใหม่ได้ และไดท้ รงถวายพวก เชลยศึกทีท่ รงจบั มาให้แกว่ หิ าร แม้วา่ รชั สมัยของพระองคจ์ ะเปน็ สมยั ทจ่ี มั ปารงุ่ เรืองอยชู่ ั่วครูชัว่ ยามก็ ตาม แต่แบบสถาปัตยกรรมก็คงแบบเดิมไว้เพียงเลก็ น้อยเท่านนั้ สว่ นใหญ่มกั หันกลบั ไปสูแ่ บบเก่า ๆ แต่ ก็แสดงให้เหน็ แบบเกา่ ท่มี ชี ีวติ จิตใจมากกวา่ จะเป็นแบบแขง็ กระด้างแบบใหม่ ๆ ฐานะแห่งวหิ ารมีโซนหา ไดเ้ ส่ือมลงไม่ ประมาณปี พ.ศ. ๑๖๙๘ พระเจ้าชยหริวรมันท่ี ๑ ได้ทรงปฏิสังขรณ์อาคารสถานต่าง ๆ ขน้ึ ใหม่ และได้ทรงยกเชลยท่ีจับมาได้ให้เข้าวัด และไดท้ รงสร้างวัดใหมข่ น้ึ วัดหน่ึงสมตามที่ได้ทรงปฏิญาณ ไว้ แต่วา่ หลงั จากสมัยของพระองค์แลว้ บรรดาเจา้ ชายแห่งจมั ปาท้ังหลายที่ไม่มีหน้าทร่ี ับผิดชอบในตาบล มีโซน และพวกญวนท้งั หลายซึ่งดเู หมือนว่าจะไมช่ อบศาสนาของพวกจามเลยกไ็ ด้ทาลายวัดวาอาราม เหล่าน้จี นหมดส้ิน

56 วิหารโพนคร (Po Nagar) ซ่ึงอยใู่ กล้ ๆ ท่าเรือเมอื งนาตรัง และหนั หน้าไปทางทะเลนัน้ ทั้ง ๆ ทเ่ี ป็น วหิ ารที่มขี นาดเลก็ กวา่ มีโซน (Mi–Son) แต่กม็ ีเอกภาพมากกวา่ ท้งั ยงั แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามเพยี ง เลก็ น้อยเทา่ นั้นในอันท่จี ะรวมอาคารตา่ ง ๆ ลงในสถาปัตยกรรมอยา่ งเดียวกัน อาคารก่อสรา้ งเดมิ คงทา ด้วยไม้ เพราะในปี พ.ศ. ๑๓๑๗ วหิ ารโพนครนไี้ ด้ถกู พวกโจรสลัดยดึ ไดแ้ ละเอาไฟเผาเสยี ราบเรียบแล้วก็ ขนเอาพวกเทวรปู ไมไ้ ป ต่อจากนั้นไม่นานนักพระเจ้าสัตยวรมนั กไ็ ด้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ คราวนีก้ อ่ ด้วย อิฐ และหอสูงทางดา้ นใตท้ ย่ี งั คงเหลือซากอยู่นัน้ อาจจะสร้างในสมัยพระเจา้ สัตยวรมนั นกี้ ็ได้ แต่หอกลาง ใหญน่ นั้ พระเจา้ หริวรมนั ท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๓๖๐) เป็นผูส้ รา้ ง ส่วนส่งิ ก่อสรา้ งอนื่ ๆ นั้นสรา้ งทีหลัง โพนคร หรอื ยางโพนคร (Yang Po Nagar) หมายถงึ เทพธิดาประจาเมือง โดยทวั่ ไปเรยี กกัน วา่ ภควดี และถอื วา่ เปน็ ส่ิงท่ีควรแก่การเคารพสักการะมาก ทเ่ี มอื งนาตรังชาวเมืองนับถือพระนางไป พรอ้ ม ๆ กับนับถือพระศวิ ะซึ่งมชี อ่ื วา่ ภควตศี วร ในปี พ.ศ. ๑๕๙๓ พระเจา้ ปรเมศวรได้ทรงสรา้ งเทวรู ปองคห์ นึ่งซง่ึ รวมพระศวิ ะและภควดีเข้าไวด้ ้วยกันแลว้ ถวายไว้แก่วหิ ารแหง่ นี้ โดยทรงจารึกไว้ในศลิ าวา่ เทวรูปนเี้ ปน็ ตวั แทนแหง่ หลักการสาคัญของจักรวาล (Cosmic Principle) เพราะชายหญิงเป็นของคู่กัน จะพรากจากกันโดยเด็ดขาดไมไ่ ด้ เมอื่ จมั ปาถกู พชิ ติ วัดนไ้ี ดถ้ ูกขายให้แก่พวกญวนผทู้ ี่ยอมรบั วา่ พวกเขาไม่สามารถจะยอมรับได้ นอกเสีย จากว่าจะได้มีการตกลงกันเป็นพิเศษและโดยสงบเท่านน้ั แมใ้ นปัจจุบันนี้พระญวนก็ยังคงบูชาเทพธดิ าองค์ นี้อยู่ ทงั้ ๆ ทีไ่ ม่ทราบเลยวา่ เทพธิดาองค์นคี้ ือใครกนั แน่ ดอง ดวง (Dang Duang) ซ่งึ อยหู่ า่ งจากวิหารมโี ซนไปทางใตป้ ระมาณ ๒๐ กิโลเมตร แสดงวา่ เป็นที่ตง้ั เมืองอนิ ทรปรุ ะในสมัยโบราณ อนสุ รณียวัตถุ ซึง่ ทาให้คนได้รูจ้ กั น้ันต่างจากโบราณวตั ถุตา่ ง ๆ ที่กล่าว มาแล้ว ทั้งแสดงว่าเป็นแบบพุทธศาสนาดว้ ย ดองดวงประกอบดว้ ยศาล ๓ ชั้น มีกาแพงโดยรอบ และตรง ทางเข้ามีเสาหินเรียงรายโดยตลอด ชัน้ ที่ ๓ มอี าคารสถานอยู่ ๒๐ แห่ง จากศิลาจารึกซ่ึงเขยี นเมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๔๑๘ ทาใหเ้ ราทราบวา่ ทน่ี เ่ี ปน็ ซากของวหิ ารแห่งหน่ึงซึ่งพระเจา้ อนิ ทรวรมนั ไดท้ รงสร้างข้นึ และทรง อทุ ศิ ถวายแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ในนามวา่ ลกั ษมนิ ทรโลเกศวร โดยทวั่ ไปแลว้ ศาสนาในจมั ปากเ็ ปน็ แบบเดียวกบั ในกัมพูชาน่ันเอง พธิ รี ีตองหรอื ขนบธรรมเนยี มประเพณี ต่าง ๆ ท่ปี ฏิบัติกันอยใู่ นกัมพูชากค็ งมีปฏบิ ตั ิกันในจมั ปาด้วยเหมือนกนั ในสองประเทศนี้ศาสนาประจา ชาตเิ ดมิ กค็ งเป็นฮินดูเหมอื นกัน และสว่ นใหญเ่ ป็นนกิ ายไศวะ ต่อมากน็ ับถือพระพุทธศาสนาแบบ มหายานซึ่งบางครั้งก็ได้รับความอุปถัมภจ์ ากราชสานักมากกว่าศาสนาฮนิ ดู นทั้งสองประเทศน้ีความ เชอ่ื ถอื แบบพื้นบ้านท่ัวไปกห็ าไดแ้ ยกตัวออกจากศาสนาไม่ ยงั คงประพฤติปฏบิ ัตริ วม ๆ กันไปน่นั เอง บาง ทเี ทพธิดาโพนคร หรือภควดี นนั้ อาจเป็นเทพธิดาพ้ืนเมืองทนี่ ับถือกันอยู่ก่อนที่พวกฮนิ ดูจะอพยพเขา้ ไป อย่กู ็ได้ ระบบสงั คมต้งั อย่บู นฐานแหง่ วรรณะ ๔ แตบ่ นั ทกึ จดหมายเหตขุ องจีนกล่าวถึงเรื่องการแต่งงาน และการ รบั มรดกวา่ เปน็ ทางสายมารดา พระเจา้ วิกรานตวรมัน ตรัสว่าการใช้มา้ บูชายญั (อัศวเมธ) น้นั เป็นยอด

57 ของกศุ ลกรรม และการฆา่ พราหมณ์เปน็ ยอดของอกศุ ลกรรม ไดม้ ีการกลา่ วถึงพวกพราหมณ์ ปุโรหิต บณั ฑิต และนักบวชท้งั หลายว่า เป็นบุคคลทค่ี วรแกท่ ักษณิ าเสมอ พระชัน้ สงู หรอื พระประจาราชสานกั เรียกกนั วา่ ศรบี รมปุโรหิต แต่ไมป่ รากฏหลกั ฐานใด ๆ ทแ่ี สดงวา่ พระพวกนจี้ ะมอี านาจเปน็ ปกึ แผน่ อย่าง พวกศิวไกวลั ยใ์ นกัมพูชาเลย การทีจ่ ัมปาไดเ้ ปล่ยี นแปลงเมืองหลวงและราชวงศ์บ่อย ๆ นัน้ ทาใหก้ าร คณะสงฆแ์ ละรฐั เองยุง่ ยากไปด้วย ลทั ธไิ ศวะ ซึง่ เปน็ ลัทธทิ ่ีได้รับความนิยมนบั ถือมากนนั้ ก็มิไดต้ งั้ ตัวเปน็ ศตั รูของลัทธไิ วษณพ หรือ พระพทุ ธศาสนาเลย ศลิ าจารึกท่ีเกา่ ทสี่ ดุ ท่ีพบท่ี โว–จนั (Vo–can) ไดก้ ล่าวถึงพระพทุ ธศาสนาดว้ ย แตอ่ ีก ๓ แห่ง ไดก้ ล่าวถงึ พระศิวะในนามวา่ ภัเทรศวร ซง่ึ แสดงวา่ วิหารแห่งน้ัน พระเจ้าภทั รวรมันเป็น ผู้สร้าง เราจงึ เห็นไดว้ า่ การเอานามพระเจ้าแผ่นดนิ กับเทพเจ้าท่ีตนนับถือมารวมเป็นชือ่ เดียวกนั น้นั ได้ ปฏิบตั ิกนั อยู่ในจัมปาสมยั น้นั ด้วย ซึ่งกเ็ ป็นแบบท่ีปฏิบตั ิกันอยใู่ นอนิ เดยี ตอนใต้ ชวา และกัมพชู าด้วย เช่นกัน นอกจากพระศวิ ะแล้ว ศลิ าจารึกอีกแผน่ หน่ึงไดร้ ะบุพระนามพระนางอมุ า พระพรหม พระวษิ ณุ และเทพเจ้าอนื่ ๆ ไว้ด้วย พระศวิ ะมี ๘ พระนาม คือ ศรวฺ ะ (Sarva) ภวะ (Bhava) ปศุ บดี (Pasupati) อสี าน (Isana) ภมี ะ (Bhima) รทุ ระ (Rudra) มหาเทวะ(Madadeva) และอุคระ (Ugra) ในประเทศชวามผี เู้ รียกพระองค์วา่ ครุ ุ หมายถึงครูดว้ ย พระองคท์ รงเริงระบาอยู่ในท่ีสงดั เงยี บ พระองค์ได้ประทับบนหลงั โคนันที เป็นผสู้ ังหาร กามรูป เป็นตน้ นอกจากจะมีผ้สู รา้ งพระรปู พระ ศิวะไวใ้ นปางต่าง ๆ แลว้ ทีน่ ิยมนบั ถือกนั ก็คือในรูปของลึงค์ซงึ่ มีอยู่ในจัมปามากกว่าในท่ีอนื่ ๆ นอกจากนัน้ พวกจามยงั ถือว่าศวิ ลึงคม์ เิ พยี งแตเ่ ป็นสญั ลักษณข์ องพระศวิ ะเทา่ น้ัน แตย่ ังถอื เปน็ องค์ เทพเจ้าจรงิ ๆด้วย บางทีเขาก็ทาเปน็ แท่งโลหะเล็ก ๆ มหี น้าแบบมนษุ ย์หน้าหนึ่งหรือมากกว่านน้ั ซงึ่ เรยี ก กันว่ามขุ ลึงค์ (Mukhalinga)ศลิ าจารกึ แผ่นหนึ่งจารึกปี พ.ศ. ๑๗๐๖ ไดบ้ นั ทึกถึงการสร้างมุขลงึ ค์เชน่ น้ัน ไว้องคห์ น่ึง มีหา้ หนา้ อุทิศถวายพระศรศี านนภเั ทรศวร ศิลาจารึกกลา่ วว่า เทพเจ้าจะทรงสามารถประทาน พรใหแ้ ก่ดินแดนถิ่นต่าง ๆ โดยทางพระโอษฐ์ทั้ง ๕ น้ัน ซึง่ แบบนี้พระองค์ไม่เคยสามารถทาได้มาก่อน เลย แตก่ ่อนนั้นพระองค์ถูกเก็บอยู่ในฝัก (Kosha) คล้าย ๆ เอมบริโอทอี่ ยใู่ นครรภ์ จงึ เรยี กกนั ว่า หริ ัณย ครรภ (Hiranyagarbha) ศวิ ลงึ ค์ซึ่งจะมีการสลกั แบบนี้หรือไม่กต็ ามจะไดร้ บั การประดิษฐานไวบ้ นสนาน โทรณี (Snanadroni) คอื โตะ๊ หนิ ทเ่ี ขาจัดไวเ้ พ่ือรองรบั สักการวัตถุ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๙๔๐ เป็นตน้ มา ลัทธิ ไศวะอยูใ่ นฐานะท่รี งุ่ เรืองมาก หรอื จะพูดง่าย ๆ ก็วา่ ลัทธไิ ศวะไดเ้ จริญรงุ่ เรืองอย่ตู ลอดสมัย ประวัติศาสตร์จัมปาทเี ดียว และถือวา่ เปน็ ศาสนาประจาชาติดว้ ย กลา่ วกันว่าพระศิวะไดท้ รงสง่ อโุ รชะ (Uroja) มาเป็นกษัตริย์จัมปาองคแ์ รก และทรงเปน็ ผ้อู อกแบบวางรากฐานใหแ้ ก่อาณาจักรจัมปาด้วย ศิลาจารกึ ทเี่ ขียนเมื่อปี พ.ศ. ๑๓๕๔ ได้กลา่ วถึงการฉลองเทพเจา้ คู่พระนามว่า ศงั กระ–นารายณ์ (Sankara–Narayana) เป็นทีน่ า่ สงั เกตว่า พระนารายณน์ ั้นกล่าวกันวา่ อย่ทู ี่ภเู ขาโค วรรธนะ (Mt. Govardhan) และบางทีกถ็ ือวา่ เป็นองคเ์ ดียวกับพระกฤษณะ พระราม และพระกฤษณะ ได้มีกล่าวถึงในศิลาจารึกแผน่ หนงึ่ ซ่งึ จารึกเม่ือปี พ.ศ. ๑๗๐๐ ซ่ึงในศิลาจารกึ นน้ั ได้กลา่ ววา่ พระวิษณุได้ อวตารลงมาเป็นพระเจา้ ชยหริวรมนั ที่ ๑ แตม่ ีการกลา่ วถึงพระวษิ ณุหรือรูปของพระองค์น้อยมาก ครฑุ ซ่ึง เปน็ พาหนะของพระวิษณุน้ันเป็นทร่ี จู้ ักกันดเี รียกวา่ องคพ์ ระวิษณเุ อง และมกั จะปรากฏอย่ตู าม สถาปัตยกรรมต่าง ๆ เสมอ

58 ศักติ(ชายา) ของพระศวิ ะ ซ่ึงเป็นเทพเจา้ ท่ีผสมกับเทพเจ้าพ้นื เมืองอนั เป็นท่เี คารพนับถืออยา่ งมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงทน่ี าตรังนั้น มีหลายพระนามด้วยกัน คือ อุมา ภควดี ยางโพนคร (เทพธดิ าประจา เมอื ง) และเทพธดิ าแห่ง เกาธาระ (Kauthara) บางครั้งก็เรียกวา่ มละทา กุฐาระ (Maladakuthara) นอกจากน้ันกม็ ีวหิ ารพระคเณศร์ หรือ ศรีวินายกะ(Sri–Vinayaka)ทีน่ าตรงั แต่ เทวรปู ของพระคเณศร์ และพระสกนั ธ์ นัน้ ไม่ค่อยพบบ่อยนัก ภาพจาก : เวบ็ ไซตธ์ รรมจกั รดอทเน็ท พระพทุ ธศาสนาในประเทศเวียดนาม (ตอ่ ) นกั จารกิ แสวงบญุ ชาวจีนชื่อ อี้–จงิ (I–Ching) ได้เขียนไวเ้ ม่ือ พ.ศ. ๑๒๔๒ โดยรวมเอาจัมปา (หรือหลิน– อ้ี) เข้าไว้ในบัญชีรายนามประเทศตา่ ง ๆ ซึ่ง “นับถอื พระรัตนตรัยอยา่ งสงู สุด” ซง่ึ ตรงข้ามกับในประเทศ ฟูนัน ซง่ึ มีกษตั รยิ ์ท่ีทารุณโหดรา้ ยทาลายพระพุทธศาสนาเกอื บหมดสิ้น กอ่ นหนา้ น้นั ไม่นานนกั อจ้ี ิงกลา่ ว วา่ “ในประเทศ (จมั ปา) นี้ พทุ ธศาสนกิ ชนโดยท่ัว ๆ ไปยึดมน่ั ในนกิ ายอารยสัมมติ ิ (Aryasammiti) และกม็ ีผู้ทีน่ บั ถือลัทธิอารยสรวาสตวิ าทิน ด้วยเหมอื นกนั แตไ่ ม่มากนกั ” ข้อความนนี้ า่ สนใจมาก เพราะ ทา่ นอจ้ี งิ ได้บอกเราไว้ดว้ ยวา่ พวกสรวาสติวาทินเปน็ พวกท่ีกาลังเจริญรุ่งเรอื งมากในแหลมมลายแู ละในจีน ใต้ ตามบันทึกจดหมายเหตุท้งั ของทา่ นยวนฉาง (Yuan–Tsang) และท่านอีจ้ ิง บอกวา่ ศูนยก์ ลางของ พวกสมั มิตยิ ะ อย่ใู นอินเดียตะวันตก แต่ในแคว้นมคธและอนิ เดยี ตะวันออกก็มีศนู ย์กลางเหมอื นกัน งเรา ไดท้ ราบวา่ พระอนุชาและกนิษฐภคนขี องพระเจา้ หรรษะ จักรพรรดิแห่งอนิ เดียก็ทรงถือลัทธนิ กิ ายนี้ และเขา้ ใจวา่ คงเปน็ นิกายที่มีอทิ ธพิ ลมากทีเดียว แตเ่ ราหาทราบไมว่ า่ ลัทธินิกายน้ไี ด้แผเ่ ข้ามายงั ประเทศจัมปาได้อย่างไร ทั้งศลิ าจารกึ ก็หาได้ระบชุ ่ือของนิกายนไ้ี ม่ ทัง้ มไิ ดช้ ้ีแจงว่าพระพุทธศาสนาท่ี พวกเขาร้จู ักนัน้ เปน็ อย่างไร นอกจากจะวา่ เปน็ การผสมระหวา่ งลัทธิมหายานกบั ลทั ธไิ ศวะ อยา่ งที่ปรากฏ แพรห่ ลายอยู่ในกัมพชู าเทา่ น้ัน ข้อความท่ีท่านอจี้ ิงกลา่ วนั้นยากที่จะตีความว่า พระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติของจมั ปาหลงั พ.ศ. ๙๕๐ เพราะศลิ าจารึกมากมายพสิ จู น์ให้เหน็ วา่ วหิ ารมีโซนเป็นของพวกไศวะ และโพนครกก็ ล่าวกนั ว่าเปน็ วิหารแหง่ ชาติ ซง่ึ พระเจ้าแผ่นดนิ ตา่ งก็เข้าไปเคารพบูชาในนามของประชาชนอย่เู สมอมา แตศ่ ลิ า จารกึ ทโี่ ว–จนั (ประมาณ พ.ศ. ๗๙๕) แมจ้ ะไม่ไดพ้ ดู ถงึ พุทธศาสนากป็ รากฏว่าเปน็ ศลิ าจารกึ ของชาว พุทธ และอาจเป็นได้ทว่ี ่า ราชวงศ์ทีต่ ั้งขน้ึ เม่ือปี พ.ศ. ๖๙๓ นนั้ นับถอื พระพทุ ธศาสนา แตค่ วามสัมพันธ์

59 กับกัมพูชาและบางทีคงกบั อนิ เดยี ด้วยท่ีทาให้ลทั ธิไศวะมีอิทธิพลมากขนึ้ จดหมายเหตจุ นี ไดก้ ลา่ ววา่ คัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนา รวม ๑๓๕๐ เล่ม ได้ถูกขนยา้ ยไปในระหวา่ งเวลาท่ีถกู จนี รุกรานในปี พ.ศ. ๑๑๔๘ ซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ในตอนนั้นได้มีพระพุทธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรืองอยู่ในจมั ปาแล้ว และไดม้ ีหอสมดุ ตามวัด ต่าง ๆ อีกมายมาย พทุ ธศาสนาในจัมปาก็คงคล้าย ๆ กบั ในกัมพูชาน่ันเอง คือ ผู้ทนี่ ับถือคงเปน็ พวก อามาตย์ข้าราชบริพารมากกวา่ ท่จี ะเป็นพระเจ้าแผน่ ดินเอง ศลิ าจารกึ แหง่ หนึ่งซ่ึงพบท่ภี าคใต้ของจมั ปา และปรากฏว่าจารกึ เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๓๗๒ น้ันบอกถึงวธิ ีท่ีสถวรี ะผ้หู นงึ่ ช่ือพุทธนิรวาณ (Buddha) สร้าง วิหารขึ้น ๒ หลงั และเทวกลุ ๒ หลัง ถวายพระชินะ และพระศังกระ (หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ กับพระ ศิวะ) เพ่ือุทิศสว่ นกศุ ลใหแ้ ก่บดิ าของเขาท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ หลงั จากน้นั ไม่นานนกั ก็ถงึ รัชสมยั พระเจ้า อินทรวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๔๐๓–๒๔๓๓) พระเจ้าอนิ ทรวรมันที่ ๑ น้ี นบั วา่ เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวทเี่ รา ทราบวา่ นบั ถือพระพทุ ธศาสนาอย่างแรงกล้า แต่พระองค์ก็หาไดท้ รงละเลยในการทจ่ี ะยกย่องพระ ศวิ ะ ในฐานะที่พระองคท์ รงเป็นอคั รศาสนปู ถัมภกไม่ แต่พระองค์ทรงมีศรทั ธาเลอื่ มใสในพระธรรมมาก เชน่ เดียวกับพระเจา้ อโศกมหาราช พระองคท์ รงปรารถนาทจี่ ะเขา้ ใจในธรรมะทรงสร้างวดั ตา่ ง ๆ สาหรบั ใหเ้ ปน็ สถานทส่ี อนและศึกษาธรรม พระองค์ทรงปรารถนาทจ่ี ะเผยแผพ่ ระธรรม ทัง้ พระองคย์ งั ได้ตรสั ว่าเทวราชาทรงปกครองเทพเจา้ โดยอาศยั ธรรมเป็นหลกั พระองคท์ รงปรารถนาทีจ่ ะนาประชาชนของ พระองค์ไปสู่ “พทุ ธภมู ิ” และสู่ นครอมตมหานฤพาน” ตอนสุดท้ายพระองค์ได้ทรงสร้างวิหารดองดวง และทรงอุทิศถวายศรีลักษมินทรโลเกศวร คานเ้ี ปน็ ไวพจน์ ของคาว่าอวโลกิตะ ศลิ าจารกึ อกี แผน่ หนงึ่ อธบิ ายวา่ คาว่า “ลกั ษมินทร์” เป็นพระนามของพระเจ้า อนิ ทรวรมันที่ ๒ ก่อนท่ีพระองค์จะขึน้ ครองราชสมบัติ ซึ่งตอนน้นั พระองคท์ รงพระนามวา่ ลักษมนิ ทร์ ภมู ีศวร โดยเหตุน้เี องท่ีพระโพธิสัตวจ์ งึ มพี ระนามดังชื่อของกษตั ริย์ที่สรา้ งวิหารตามแบบที่นยิ มกันมากใน หมผู่ ู้ทีถ่ อื ลัทธไิ ศวะ วิหารแหง่ นี้กค็ ล้าย ๆ วหิ ารอ่ืน ๆ คือ ได้รบั ทด่ี ินสาหรับเกบ็ ดอกผลบารุงวดั และยงั ได้รบั ทาสหญงิ ชายเปน็ ของวดั เช่นเดยี วกบั เงนิ ทอง และอื่น ๆ ดว้ ย กษตั รยิ ์องคห์ นึง่ ซึ่งครองราชสมบตั ิตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๑๖๒๓ ถึง พ.ศ. ๑๖๒๙ ทรงพระนามว่า บรม โพธิสัตว์ หลงั จากนัน้ มากไ็ ม่ไดท้ ราบเรอื่ งเกีย่ วกับพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทงั่ ถึงรชั สมัยพระเจา้ ชัย อินทรเทวะ (พ.ศ. ๑๗๑๐–๑๗๓๕) และกษตั รยิ ์องค์ตอ่ มา คอื พระเจา้ สูรยวรมเทวะ กษัตรยิ ์ท้งั สอง พระองค์นี้ ขณะทบ่ี ูชาพระศิวะก็อธิบายกนั ว่า เข้าฌาน หรอื ระลกึ ถงึ ในลัทธิมหายาน แม้ว่าจะไม่มีการ กล่าวถงึ พระพุทธศาสนามากนัก แต่กท็ าใหเ้ ราตระหนักดีวา่ ลทั ธมิ หายานน้นั ถอื ว่าเปน็ สว่ นหน่ึงแห่ง ศาสนาประจาราชสานักทีเดียว พระเจ้าสูรยวรเทวะได้ทรงสรา้ งอาคารหลงั หนึง่ ชื่อ ศรีเหรกุ หรฺมฺยะ (Sri Herukaharmya) ชอื่ นน้ี า่ สนใจมากเพราะรวมเอาพระนามของ พระพุทธเจา้ เหรุกะ ของนิกาย ตนั ตระเขา้ ไวด้ ้วย ถา้ พงมา (Phong ma) ทางเหนอื สุดของจัมปา (บัดน้คี ือมณฑลกวางบนิ ) คงจะต้องเป็นพทุ ธสถานแน่ ๆ ท่นี นั่ ปรากฏวา่ มเี หรียญตรามากมายทาด้วยดินเหนยี วมีรูปพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเจ ดี (Dangbas) แตเ่ ราไม่ทราบวา่ ทาในสมัยใด ไม่ปรากฏว่าอทิ ธิพลของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทซงึ่ มากในกัมพชู านัน้ ได้แผ่เขา้ ไปสูจ่ ัมปาเลย อทิ ธพิ ล

60 น้นั ไปจากเมืองไทยและก่อนที่ไทยจะผนวกกัมพูชาไวใ้ นอานาจของญวนเสยี อกี ศาสนาและอารยธรรม ของญวนหลง่ั ไหลมาจากจีนมากกว่าจากอนิ เดีย วฒั นธรรมและการเขียนแบบจีนได้แผ่ไปจนถงึ ชายแดน กมั พชู า และหลงั จากทจ่ี ัมปาไดเ้ ส่ือมอานาจลงแล้ว กัมพชู ากเ็ ลยกลายเปน็ เขตท่ีตวั อักษรแบบอนิ เดีย และ พทุ ธศาสนาถูกกักอยู่ ไม่ไดแ้ พรส่ ะพดั เขา้ ไปส่ปู ระเทศจีน มพี วกจามมากมายท่ีหนั ไปนับถอื ศาสนาอสิ ลามในสมัยที่ทา่ นฟรอี าร์กาบรเี อ (Friargabrie) ไปเยอื นจัมปา ตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ได้พบว่าศาสนาฮินดยู ังเจริญรงุ่ เรอื งอยู่ ท่ีนับวา่ น่าสนใจควรจะทราบอยู่ บ้างก็คือ ศาสนาก็แบบเดียวกับประวัตศิ าสตร์นัน่ เอง คอื มกั จะซา้ รอยตัวเองเสมอ นน่ั คอื พวกมุสลมิ ได้ มาถงึ จมั ปาโดยอาศัยสายการเดินทางสายเดียวกับพวกท่ีฮนิ ดไู ดม้ าเมอื่ หลายศตวรรษก่อนหนา้ นน้ั ในปจั จบุ ันนี้ ยังมพี วกจามอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนามและในกมั พชู าประมาณ ๑๓๐,๐๐๐ คน ในกัมพชู า พวกจามท้ังหมดนับถอื ศาสนาอสิ ลาม ในเวียดนามยงั มีรอ่ งรอยของศาสนาฮนิ ดเู หลืออยู่บ้าง เช่น มนตใ์ น ภาษาสนั สกฤตผิด ๆ ถูก ๆ และพวกพระที่เรยี กวา่ บาไดศ์ ประวตั กิ ารเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามน้ันยงั มีข้อขดั แยง้ อยมู่ ากมายหลายตอนดว้ ยกัน ทง้ั นี้ก็ เพราะเหตวุ ่า เมื่อพระพทุ ธศาสนาเข้าสเู่ วียดนามนั้นเป็นเวลาท่ีเวียดนามตกอยใู่ ต้อานาจของจนี ถา้ หากว่าการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในเมืองจนี ถกู ต้องตามที่ทางราชการไดก้ าหนดไวค้ ือ เมอื่ ปี พ.ศ. ๖๐๖ ละก็ ทัง้ ๆ ท่ีอาจเปน็ ไปไดเ้ หมือนกนั ว่า พระพุทธศาสนาเข้าถงึ เมอื งจีนกอ่ นหนา้ น้ันโดยมาทาง ชายแดนดา้ นตะวนั ตก) พระพุทธศาสนาในเวียดนามกค็ งเร่ิมต้นในราว ๆ กลางศตวรรษที่ ๘ เป็นแน่ ประวตั ิศาสตร์ได้บันทกึ ไวว้ า่ มภี ิกษุชาวอินเดยี รูปหน่งึ ช่ือมหาชวี กะ ดม้ าประกาศพระพุทธศาสนาใน เวยี ดนามก่อนทท่ี ่านจะเดินทางตอ่ ไปยงั ประเทศจีน นน่ั คือในพุทธศตวรรษที่ ๘ ภกิ ษุอีกรูปหนึ่ง คือ ทา่ นขวองตงั หอย (Khuong Tang Hoi) ซึ่งเปน็ ชาวเมืองSeadiane และมนี ิวาสถาน อยใู่ นอินเดีย หลังจากท่ีทา่ นไดศ้ กึ ษาพระพุทธศาสนาจบตามหลกั สตู รแล้วก็ไดเ้ ดนิ ทางไปประกาศ พระพุทธศาสนาในประเทศจีนตอนใต้ และในเวยี ดนามเม่ือพุทธศตวรรษท่ี ๘ เชน่ กนั รูปท่สี ามคือ ท่านฉิโจงโหลง (Chi Cuong Luong) ซ่งึ เข้าใจว่าคงเปน็ องคเ์ ดียวกับท่านกัลยาณรุจิ ได้ เดินทางไปยังประเทศจีนและได้แปลคัมภรี ์พุทธศาสนาแล้วจงึ กลับมาเวยี ดนามเพื่อแปลคัมภรี น์ ั้นต่อไป อกี ท่านผนู้ ี้ก็เกิดในสมยั พุทธศตวรรษที่ ๘ เชน่ เดียวกัน ประวตั ิศาสตร์ยงั ไดก้ ล่าวไว้อีกวา่ ภิกษจุ ีนรูปหน่งึ ช่ือโมวเปย (Mou Peh) ได้ติดตามโยมผูห้ ญงิ มา เวียดนามเม่อื ปี พ.ศ. ๗๓๒ และได้อย่เู พื่อประกาศพระพุทธศาสนาในเวยี ดนามตลอดมา นอกจากน้ัน กม็ ภี ิกษุอีกรปู หนงึ่ ชื่อ เกาทระ(Kaudra) ซึง่ เดินทางโดยเทา้ มาจากทางทิศตะวันตกของ เวียดนาม เขา้ มาประกาศพระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทในพุทธศตวรรษที่ ๘

61 โดยเหตทุ ่ีตงั้ แต่พทุ ธศตวรรษที่ ๗ จนถงึ ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ เวยี ดนามไดต้ กอยู่ใต้อานาจของ จนี ฉะน้ันภกิ ษุในประเทศจีนทีเ่ ดินทางไปศึกษาพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดีย จงึ มักจะมาหยดุ อยู่ทเี่ วยี ดนาม ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปยังอินเดยี เสมอ และท่านกม็ ักจะทิง้ ร่องรอยแหง่ การประกาศพระพุทธศาสนา ไว้ใหเ้ หน็ เปน็ หลักฐานอยู่เสมอ แม้วา่ พระพุทธศาสนาในเวียดนามจะมหี ลายแบบหลายนกิ ายกต็ าม แต่ ท้ังหมดก็มีจดุ ม่งุ หมายร่วมกนั คือ การอุทิศตวั ใหก้ บั การศึกษาพระธรรมคาสั่งสอนของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ น่ันเอง ต้ังแตป่ ลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑ เปน็ ต้นมา เวียดนามได้มีการปกครองเป็นเอกราชอย่ปู ระมาณ ๖๕ ปี นระ หวา่ งนภ้ี ิกษชุ าวอนิ เดียรปู หนึ่งช่ือ วินตี รุจิ ซึ่งหลงั จากจบการศึกษาในฐานะเปน็ ศิษยผ์ ูห้ นงึ่ ของภกิ ษุท่ีมี ช่ือเสียงรูปหน่ึงช่ือ ตงั ซัน (Tang San) ซึง่ อยู่ในประเทศจนี แลว้ ทา่ นก็เดินทางมายงั เวียดนาม เมอื่ เผยแพรพ่ ุทธศาสนาแบบมหายาน เมื่อปี พ.ศ. ๑๑๒๓ ท่านวินตี รจุ ไิ ดพ้ กั อยู่ที่วัดฟับวาน (Phap Van Temple) ท่ตี งั้ อยู่ท่ตี าบลวานเกียบ (Van Giap) จังหวัดฮาดอง (Ha Dong) ท่านไดแ้ ปลหนงั สือ ตองตรี(Tong Tri) ได้ถ่ายทอดปัญญาญาณ (Intuitive method) ใหภ้ กิ ษุท่ีมีช่อื เสยี งรูปหน่งึ ชอ่ื ฟับ เหยี น (Phap Hien) นน่ั คอื ได้เริม่ ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานข้ึนในเวยี ดนามเปน็ คร้ังแรก ตงั้ แต่นน้ั มาพระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามก็ได้ประดิษฐานอย่างมั่นคง และไดร้ ับการเผยแผ่อยา่ งกว้างขวาง ข้ึนทุกที จนกระท่ังถงึ ตอนกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ ซึง่ เปน็ ระยะเวลาท่เี วียดนามตอ้ งตกอยู่ใต้อานาจของ จีนอีกวาระหนึ่ง . ภาพจาก : www.bloggang.com พระพุทธศาสนาในประเทศเวยี ดนาม (ตอ่ ) ลทั ธิมหายานนิกายแรก ภกิ ษุทกี่ ่อต้งั นิกายขน้ึ ชื่อ ไตนิดะรจุ ิ (Tynida Ruchi) องค์เดยี วกบั ทา่ นวินตี รุจิ ซ่งึ เปน็ ชาวพนื้ เมอื งใน อนิ เดยี ใต้ และไดเ้ ดินทางไปศึกษาพระพุทธธรรมท่ีอินเดียตะวันตกแล้วจึงไดเ้ ดนิ ทางมายงั ประเทศจนี เมื่อ

62 ปี พ.ศ. ๑๑๑๗ และได้พักอยู่ทเี่ มืองตรวงอนั (Truong An) โดยเหตุที่ในสมัยนั้นในเมืองจีน โจวหวู ตัน (Chou Wu Tan) กาลังประหัตประหารและทาลายพระพทุ ธศาสนาอยู่ ทา่ นจึงไดเ้ ดินทางกลบั มายงั ตอนใต้ของประเทศจนี และทนี่ ั่นเองทา่ นโชคดีที่ไดพ้ บผูท้ ่ีกอ่ กาเนดิ ลทั ธิมหายานรูปที่ ๓ คอื ท่าน ตังซัน (Ven. Tang San) ที่ภูเขาตุโขง (Tu Khong Mountain) ทา่ นจึงได้มอบตวั เปน็ ศษิ ยข์ องทา่ น ตงั ซัน ทา่ นตังซันได้ถา่ ยทอดปญั ญาญาณให้แก่ท่าน และไดแ้ นะนาให้ทา่ นไปประกาศพุทธศาสนาใน เวียดนาม ดังนน้ั ท่านไตนดิ ะลจุ ิ (Tynida Luu Chi) คอื องค์เดยี วกับ Tynida Ruchi นั่นเอง จึงได้ เดนิ ทางมายังเวียดนาม และไดพ้ ักอยู่ทว่ี ดั ฟับวานถงึ ๑๓ ปี แลว้ กถ็ งึ แก่มรณภาพหลงั จากทีไ่ ด้ถ่ายทอด ปัญญาญาณใหแ้ ก่ศษิ ย์ชาวเวียดนามรปู หนึง่ ชอื่ ฟบั เหียน ฟับเหียน มาจากตระกลู แซ่ โด (Do Family)ในจังหวดั โซนเตย์ (Son Tay) ทา่ นไดม้ าอุปสมบทท่วี ัดฟับ วานแล้วกห็ ลีกไปอย่ภู ูเขาโตโซน (To Son) ซ่งึ ณ ทีน่ ้นั เองท่านได้เทศนาสั่งสอนเกีย่ วกับการเข้าฌาน การเจริญกรรมฐาน (Dhyana) มกั จะมผี ู้ไปพบท่านมฝี งู วิหคนานาชนดิ และบรรดาสิงสาราสัตวท์ ง้ั หลาย แวดลอ้ มอยูเ่ ตม็ ไปหมด และทา่ นก็บาเพ็ญตนเป็นมิตรกบั บรรดาสตั ว์ตา่ ง ๆ เหล่านัน้ เปน็ อยา่ งดี ขอ้ นี้ แหละท่ชี าวบ้านในละแวกนน้ั เกดิ ความเล่ือมใสและเคารพนับถอื ท่านมากขึ้นทุกที ๆ และได้มายอมตวั เปน็ ศษิ ยข์ องท่านมากขนึ้ ตามลาดับ ตอ่ มาทา่ นไดส้ ร้างวัดขึ้นวดั หนึ่งเพอ่ื ใหเ้ ปน็ จุดศูนย์กลางในการ ประกาศพุทธธรรม ท่านได้ถ่ายทอดปญั ญาญาณต่อไปยงั ศิษย์ของท่านรูปหน่งึ ชื่อ ทันเบียน (Than Bien) แลว้ กถ็ งึ มรณภาพเมือ่ ปี พ.ศ. ๑๑๖๙ ต้ังแต่น้ันมานิกายธยานกเ็ จรญิ รงุ่ เรืองทว่ั ประเทศเวยี ดนาม ทีเดยี ว พทุ ธธรรมไดร้ ับการสง่ เสริมและเผยแพรไ่ ปอยา่ งกว้างขวางและมอี ิทธิพลเหนอื ชีวิตจติ ใจและ ขนบธรรมเนียมประเพณีของเวียดนามมาก พทุ ธศาสนิกชนในเวียดนามสมัยนัน้ ยงั รู้ภาษาบาลีเป็นอย่างดี ในตอนกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ คณะสงฆ์ได้ส่งสมณทตู คณะหนงึ่ ไปยังอนิ เดยี เพื่อเยยี่ มและนมัสการ สงั เวชนียสถาน และสถานท่ีสาคัญ ๆ ทางพระพทุ ธศาสนา คณะทตู ชดุ นี้ประกอบด้วย ๑. ทา่ นวานกี (Ven. Van Ky) ซึง่ อย่ใู นเวียดนามเหนอื ซึ่งตอ่ มาไดก้ ลบั ไปอนิ เดยี อีกและไปพักอยู่ท่ี วดั ไล (Ly Shrine) และได้มรณภาพทนี่ นั้ เม่อื อายุเพยี ง ๓๐ ปเี ท่านน้ั ๒. ทา่ นมอกโซเดบา (Ven. Moc zo De Ba) ชาวเวยี ดนามเหนอื ได้ไปเยี่ยมสถานท่ตี า่ ง ๆ ในอนิ เดยี หลายแหง่ ด้วยกนั และไดไ้ ปที่ Bodhi School (พทุ ธคยา) ด้นมัสการพระบรมสารรี ิกธาตุและได้มรณภาพ ท่ีนั่นเม่ืออายเุ พยี ง ๒๕ ปเี ท่านั้น ๓. ท่านกยุ ซงุ (Ven. Khuy Sung) หรอื อกี ชื่อหนึ่งคือ จิตรเทวะ (Citra Deva) ชาวเวยี ดนามเหนือ ได้ กลับไปอยูท่ ี่อนิ เดีย ณ Thanh Vuong Za หลงั จากท่ีได้ไปถึง Bodhi School แล้วทา่ นก็เกดิ อาพาธและ ถึงมรณภาพที่เวฬวุ ันเมื่ออายุได้ ๓๐ ปี ๔. ทา่ นเว้เดยี ม (Ven. Hue Diem) ชาวเวียดนามเหนอื ไดเ้ ดนิ ทางไปลังกาและมรณภาพท่นี ่นั ๕. ทา่ นตรหี นั ห์ (Ven. Tri Hanh) อีกชื่อหน่ึงคอื ปรัชญาเทวะ (Prajna Deva) ชาวเวียดนามภาค กลาง ได้ไปเยยี่ มสถานที่ต่าง ๆ ในอนิ เดยี และได้กลบั ใจชาวอินเดยี เปน็ จานวนมากใหห้ ันมานบั ถือ พระพทุ ธศาสนา ต่อมาทา่ นได้พานกั อยู่ทีว่ ิหารตนิ เกีย (Tin Gia Pagoda) ลมุ่ นา้ คงคา(Ganga State) และได้มรณภาพทน่ี ่นั เมือ่ อายุ ๕๐ ปี ๖. ทา่ นไดทังดงั (Ven. Dni Thang Dang) หรืออีกช่ือหนึ่งคอื มหาคณะประทีป (Managana – Pradipa) ชาวเวียดนามภาคกลาง ท่านไดเ้ ดินทางไปยงั ประเทศจนี และได้รับการอุปสมบทจากภกิ ษุเหียน

63 ตรงั (Ven. Monk Huyen Trang) แล้วทา่ นกเ็ ดินทางไปยังลังกา อินเดยี ตะวันออก อินเดยี ตอนใต้ และ พานกั อยทู่ ต่ี ามระลิปติ (Tamra Lipti) เปน็ เวลา ๑๒ ปี ท่านได้เทศนาเร่อื ง Niotancacastra และ ธรรมะอน่ื ๆ อีกมากมายด้วยกนั ต่อมาท่านได้เดินทางไปยังอนิ เดียภาคกลางพร้อมกบั ท่านเหงีย ตินห์ (Ven. Nghia Tinh) ได้เยยี่ มมหาวหิ ารนาลันทา พุทธคยา แล้วก็กลับไปยังเมืองไพศาลี ทา่ นได้ มรณภาพที่ปรินนิ นะ (Parininana) เมอ่ื อายไุ ด้ ๖๐ ปี นิกายธยานะที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๑๓๖๓ ท่านโวโงนทอง (Ven. Vo Ngon Thong) ไดเ้ ดนิ ทางมาประกาศพุทธธรรมใน เวยี ดนาม ทา่ นผ้นู ้เี กิดในสกุลตรนิ ห์ (Trinh) ในมณฑลกวางโจว (Kwangchou) ตอนเด็กๆ ท่านได้อุทิศ ตวั ให้แกพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งจรงิ จงั ตอ่ มากส็ ละบ้านเรือนมาอุปสมบทเป็นภิกษุอยูใ่ น พระพทุ ธศาสนา ทา่ นเป็นภิกษทุ ีม่ ีสติปญั ญาปราดเปรื่องมากแตไ่ มค่ ่อยชอบพดู มากนกั ดังน้นั ชาวบา้ นจึง เรยี กท่านวา่ โวโงนทอง (Vo Ngon Thong) ซงึ่ แปลว่า นักปราชญ์ที่ไม่พูด วนั หนง่ึ ขณะท่ีทา่ นบชู าพระพทุ ธปฏิมาอยนู่ ัน้ ไดม้ ภี ิกษรุ ปู หนง่ึ มากลับใจท่าน และพาท่านไปหาภิกษุทีม่ ี ช่ือเสียงมากรปู หนงึ่ ชื่อ มาโต๋ (Ma To) เมอื่ ทา่ นทัง้ สองไปถึงนน้ั ทา่ นมาโต๋มรณภาพเสยี แลว้ ทัง้ สองท่าน จงึ ตัดสินใจมอบตวั เปน็ ศษิ ย์ของท่านบักเดตรวง (Ven. Bach De Trouong) ซ่ึงท่านเองเปน็ ศิษย์ของ ทา่ นมาโต๋ด้วยเหมือนกนั โดยการแนะนาของพระภกิ ษรุ ูปน้ี ทา่ นโวโงนทองก็สามารถเขา้ ใจในสจั ธรรมเป็น อย่างดแี ล้วท่านกเ็ ดินทางกลับไปยงั ไกวโจวในปี พ.ศ. ๑๓๖๓ ท่านจึงได้เดนิ ทางมาประกาศพทุ ธธรรมท่ี เวียดนามอีก ท่านได้พกั อยทู่ ่ีวัดเกียนโส (Kien so Pagoda) ในตาบลพดู อง (Phu Dong) ซึง่ ปัจจบุ นั น้อี ยู่ ในเขตจงั หวดั บกั นนิ ห์ (Bac Ninh) ในเวียดนามเหนอื ทา่ นมักจะน่ังหันหนา้ เขา้ หากาแพงทง้ั ๆ วนั อยเู่ ปน็ เวลาหลายปจี งึ มเี พยี งแต่ท่านจัมทนั (Ven. Cam Than) เทา่ นั้นทีด่ ูจะเคารพเลื่อมใสท่านจนกระทั่งยอม มอบตวั เป็นศิษย์ ในปี พ.ศ. ๑๓๖๙ ท่านได้ถา่ ยทอดปัญญาญาณของท่านไปยังท่านจมั ทัมแลว้ ก็มรณภาพ ทา่ นจมั ทัมไดจ้ ดั พิธีฌาปนกิจศพท่านแล้วสร้างเจดยี ์ไว้องคห์ นง่ึ เปน็ ท่ีระลึกแก่ท่าน ณ เชงิ เขาเทียน ดู (Tien Du) ท่านจัมทัม ชาวพนื้ บา้ นเมยี นดู จงั หวัดบักนิน มีช่อื ทางพุทธศาสนาวา่ ลบั ดกุ (Lap Duc) ชือ่ จัมทัมน้ัน เปน็ นามท่ที า่ นโวโงนทองตงั้ ให้ทา่ น ต่อมาในปี พ.ศ. ๑๔๐๓ ทา่ นกถ็ งึ แก่มรณภาพ หลังจากทไี่ ด้ถา่ ยทอดปัญญาญาณให้ท่านเทียวหอย (Ven. Thieu Hoi) เรยี บรอ้ ยแลว้ และทา่ นเทียว หอยนไ้ี ด้ถา่ ยทอดปัญญาญาณไปให้ทา่ นเหวินฟง (Ven. Ven Phong) อีกทอดหนึง่ ในระหว่างเวลาทเ่ี วยี ดนามต้องตกอยูภ่ ายใต้อานาจของจีนเป็นคร้ังทีส่ าม คือ ในระหวา่ ง พ.ศ. ๑๑๔๖– ๑๔๘๒ น้นั พระพทุ ธศาสนาก็ยงั มผี ้ปู ระพฤตปิ ฏิบตั ิตามอยู่อย่างกว้างขวางเช่นเดิม การศึกษาภาษาบาลกี ็ ได้รับการส่งเสรมิ กนั อย่างมากมาย ท้ังน้กี ็เพราะในสมยั น้นั ในเวียดนามได้มปี ระชาชนเป็นจานวนมากที่มี ความรู้ในอักษรเจียมทันห์ (Chiem Thanh Scrip) ซง่ึ มมี ูลรากแบบเดียวกบั ภาษาบาลเี ป็นอยา่ งดี ทเี ดยี ว ภิกษุทม่ี าจากประเทศจีนเพื่อเดนิ ทางไปศึกษาพุทธธรรมทอ่ี นิ เดยี นน้ั ส่วนมากไดแ้ วะเรียนภาษา บาลีท่ีเวียดนาม และในทานองเดยี วกันภิกษชุ าวอนิ เดียท่เี ดินทางเพ่ือไปประกาศพระพุทธศาสนาใน ประเทศจนี กม็ ักมาแวะพักเพ่ือศกึ ษาภาษาจนี ในเวียดนามเสมอ ผลลพั ธก์ ็คือ พทุ ธศาสนกิ ชนในเวยี ดนาม

64 นับวา่ มีโชคดีมากที่ไดม้ โี อกาสพบภกิ ษุผเู้ ป็นนักปราชญ์และมจี ิตใจเป็นบุญเปน็ กุศลมากมาย ทาให้มีโอกาส ศกึ ษาพระพุทธศาสนาทลี่ กึ ซึ้ง และมีอุดมคตสิ งู สง่ ได้มาก นอกจากนน้ั การคมนาคมระหว่างจนี กับ เวยี ดนามกไ็ มย่ ากลาบากนกั ทาใหภ้ ิกษุท่ีมอี ายุมาก ๆ จากเวียดนามมีโอกาสเดนิ ทางไปศึกษา พระพทุ ธศาสนาในประเทศจีนมากมาย ขณะทม่ี าอยู่ในประเทศจนี พระภกิ ษุที่ไปศึกษาท่นี ่นั มิได้เรียนเพยี งพระพทุ ธศาสนาเท่านั้นแตย่ ังได้ศกึ ษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนยี มประเพณขี องจนี ด้วย บางทา่ นก็ศกึ ษาเร่ืองอุตสาหกรรมของจีน และได้นา ความรนู้ ั้นมาถา่ ยทอดใหแ้ กล่ ูกศิษย์ท่านอีกทอดหนงึ่ ข้อนี้นบั วา่ เปน็ เหตุหน่ึงท่แี สดงให้เหน็ วา่ ภกิ ษุท่มี ี ความรคู้ วามสามารถของเวยี ดนามในสมยั นน้ั มักจะเปน็ ภกิ ษแุ ก่ ๆ เสียเปน็ สว่ นมาก มาถึงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เมอื่ เกิดสงครามการเมืองขึ้นในประเทศจีน ชาวเวยี ดนามก็เลยถือโอกาส นัน้ ลกุ ขึน้ ตอ่ สู้ และโคน่ อานาจจนี ทีม่ ีอยู่เหนือเวียดนามได้สาเรจ็ เวียดนามจึงได้รับเอกราชอีกวาระ หนึ่ง แม้วา่ หลงั จากท่ีได้รับเอกราชแลว้ เวียดนามตอ้ งเผชิญกบั การจลาจล การแขง็ กระด้างคางกระเดื่อง ตดิ ๆ กัน โดยการยยุ งสง่ เสรมิ ของพวกขนุ ศกึ ตามเมืองเล็กเมืองน้อย หลงั จากที่พระเจ้าโงเควยี น (Ngo Quyen) ได้ส้ินพระชนม์แลว้ เปน็ เหตทุ าใหก้ ารเผยแผ่พระพุทธศาสนาเส่ือมโทรมลงตามลาดบั แม้ กระน้นั พุทธศาสนิกชนชาวเวียดนามก็ยังมโี ชคดอี ยูบ่ ้างทไี่ ม่ต้องตกอยู่ใตอ้ านาจของจีนอีกตอ่ ไป เมอ่ื ดินห์โบดนิ ห์ (Dinh Bo Dinh) ได้มชี ยั ชนะเหนอื ขนุ ศึกขนสาคญั ๆ ๑๒ คน และรวบรวมประเทศเข้า เปน็ อันหนึง่ อนั เดยี วกนั ได้แลว้ พระพุทธศาสนาก็กลับเจรญิ รงุ่ เรอื งยิง่ ขึน้ กวา่ ทแ่ี ล้ว ๆ มา พระเจ้าดินห์ เทยี นทอง หรอื ดนิ ห์โบหลิน (Dinh Tein Hoang หรอื Dinh Bo Linh) ได้อาราธนาบรรดาภกิ ษทุ ่มี ี ชื่อเสยี งต่าง ๆ ให้เขา้ ไปรบั ตาแหน่งสาคญั ๆ ในด้านการบริหารประเทศชาติ พระองค์ได้ทรงถวายความ เคารพเป็นพิเศษต่อท่านเชาหลู (Ven. Chua Luu) ซ่งึ เปน็ สานุศิษยข์ องทา่ นวันฟง และไดใ้ หเ้ กยี รติทา่ น เชาหลเู ปน็ กวองเวียดไทสู (Khuong Viet Thai Su) ทาหน้าที่ในฐานะที่ปรกึ ษาในกิจการท่สี าคัญ ๆ นับต้งั แตเ่ วลาท่เี วยี ดนามได้รับเอกราชไปจนถึงเวลาท่เี วยี ดนามตกอยใู่ ต้อานาจของจนี ในสมยั ราชวงศ์ หมง (Ming) ซงึ่ นับว่าเป็นการตกอยใู่ ตอ้ านาจจีนเป็นครัง้ ที่ ๔ คอื ตัง้ แต่ปี พ.ศ.๑๙๕๗ ถึง พ.ศ. ๑๙๗๐ พระมหากษัตริยท์ ุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะทมี่ ีศรัทธามั่นจรงิ ๆ ทงั้ นั้น นเี่ ป็นเหตุผลที่ว่าทาไม พระพทุ ธศาสนาจึงเกือบจะกลายเปน็ ศาสนาประจาชาติของเวยี ดนามอยแู่ ลว้ กษตั ริยท์ ัง้ สองในราชวงศ์ ดินห์ (Dinh) และราชวงศ์เล (Le) ไดอ้ าราธนาภิกษุท่ีมีความสามารถปราดเปร่อื งมาไว้ในฐานะทปี่ รกึ ษา เสมอมา กษตั รยิ ์แหง่ ราชวงศ์ดนิ ห์ไดส้ ่งสมณทูตไปขอคัมภรี ์พระพุทธศาสนาที่ประเทศจีน และน่ีเปน็ เหตุ ท่ีทาใหง้ านวรรณกรรมด้านพระพทุ ธศาสนาไดเ้ จริญรุ่งเรืองขน้ึ อย่างมากมาย ไหลจองอ้วน (Ly Cong Uan) ซึ่งตอ่ มาไดค้ รองราชสมบตั เิ ป็นกษตั ริย์ทรงพระนามว่า พระเจา้ ไหลไท โต๋ (Ly Thai To) ซึ่งเปน็ ผตู้ ัง้ ราชวงศ์ไลขึน้ นัน้ เป็นบตุ รบุญธรรมของภิกษรุ ปู หนึ่งทวี่ ดั โจ ฟบั (Co Phap) ภิกษุรปู น้ันช่ือ ไลคนั หว์ ัน (Ly Khanh van) ท่านผนู้ ้ีเป็นศิษย์ของทา่ นวัน หนั (Ven. Van Hanh) แห่งนิกายไทนติ ะลูฉิ (Tynida Luu Chi Sect)

65 โอรสของพระเจ้าไหลไทโต๋ ทรงพระนามวา่ ไหลไทตอ๋ ง (Le Thai Tong) ซง่ึ ทรงหลอกประชาชนว่า ไดท้ รงพบพระอวโลกิเตศวร (เจ้าแม่แหง่ ความเมตตากรุณา) จึงทรงรับสง่ั ใหส้ รา้ งพระเจดีย์ทรงดอกบวั อทุ ศิ ถวายแด่พระอวโลกิเตศวร เม่ือปี พ.ศ. ๑๕๙๒ นน่ั คอื พระเจดยี เ์ สาเดียว ซึ่งยงั คงเหลืออยู่ในเมอื ง ฮานอยจนถงึ ปัจจุบันนี้ ภาพจาก : board.palungjit.org นิกายธยานะทส่ี าม พระเจ้าไหลทนั ต๋อง (Ly Than Tong) โอรสพระเจา้ ไหลไทต๋อง (Ly Thai Tong) ได้ทรงจับเชลยศกึ ได้ มากมายในคราวท่ีพระองคท์ รงทาสงครามกบั แควน้ เชยี มทันห์ (Chiem Thanh) ซ่งึ อยู่ทางใต้ พระองค์ ได้ทรงมอบเชลยศึกเหลา่ นใ้ี หเ้ ป็นคนรบั ใชข้ องบรรดาขนุ นางขา้ ราชการท้ังหลายของพระองค์ วนั หนง่ึ ข้าราชการผู้หนึง่ ซ่งึ กลบั มาจากขา้ งนอกไดส้ ังเกตเหน็ วา่ หนังสอื “งูลุก” (Ngu Luc) ของท่านได้ ถกู แกไ้ วห้ ลายแหง่ ต่อมาท่านได้ทราบวา่ ในระหว่างที่ทา่ นไม่อยูเ่ ชลยศกึ คนหน่ึงได้เปน็ ผู้แก้ ขา้ ราชการผ้นู ้ี จึงไดก้ ราบทูลใหพ้ ระเจ้าไหลทันตอ๋ งทรงทราบ พระองค์ได้ทรงเรยี กนักโทษเหล่านน้ั มาสอบสวนเพอื่ หาตัว ผู้เขยี น ในที่สุดก็ทรงทราบวา่ ผเู้ ขยี นนน้ั เปน็ พระภิกษชุ าวจีนรปู หนง่ึ ช่อื เถาดวง (Thao Duong) ซง่ึ เปน็ ศิษย์ของท่านเตียตดัว (Tuyet Dau) ท่านผูน้ ้ไี ดต้ ดิ ตามอาจารย์มายงั แคว้นเชียมทนั ห์และกถ็ ูกจบั เพราะ เหตุน้ี หลังจากทพ่ี ระเจ้าไหลทนั ต๋องได้อาราธนาให้ทา่ นแสดงธรรมแล้วจงึ ไดท้ ราบว่าท่านเปน็ พระภิกษทุ ี่ ปราดเปรื่องมาก พระองคจ์ ึงได้ทรงแตง่ ตั้งให้ทา่ นเปน็ หวั หน้าพระท่สี าคัญองค์หน่ึง และต่อมาพระองคก์ ็ ได้รับการผนวชจากภกิ ษุรูปน้ี ท่านเถาดวงได้สอนอย่ทู ่ีวดั ไขควอก (Khai Quoc Pagoda) งปจั จบุ นั เรยี กว่า ตรนั ควอก (Tran Quoc) อย่ใู นฮานอย ท่านมีลกู ศษิ ย์ลูกหามากมาย และท่านได้เป็นผู้ก่อตัง้ นิกายธยานะที่ ๓ ขน้ึ ใน เวยี ดนาม ในสมยั ราชวงศ์ไล (Ly) นกิ ายนไ้ี ดเ้ จริญรงุ่ เรืองรวดเร็วมาก พระเจ้าไหลทนั ต๋อง ระเจา้ ไหล อนั ต๋อง (Anh Tong) และพระเจ้าไหลเจาต๋อง (Cao Tong) ไดท้ รงผนวชอยใู่ นนิกายนี้ และไดท้ รงรบั การ ฝกึ ฝนในดา้ นปัญญาดว้ ย ทุกทา่ นทรงถ่ายทอดปัญญาญาณได้ มีพระบรมวงศานวุ งศม์ ากมายทไ่ี ด้สละ บา้ นเรือนออกมาผนวชเปน็ ภกิ ษุอยู่ในสานกั น้ี ภิกษุทท่ี รงคุณวฒุ ิมากมาย เชน่ ทา่ นเวียนเฉียว (Vien Chieu) และทา่ นโงอัน (Ngo An) ได้ทงิ้ บทความ เก่ยี วกบั เร่ืองธยานะท่ีมีคา่ ไวม้ ากมาย แต่ในสมยั ราชวงศ์ไลน้ีแหละทม่ี ีพระเปน็ จานวนมา เช่น ท่านเกียว หวง (Giao Hoang) ท่านไดเดี๋ยน (Dai Dien) ด่านเดาหนั ห์ (Dao Hanh) และท่านมนิ ห์ของ (Minh

66 Khong) ไดห้ นั ความสนใจหนักไปในทางอภินิหาร นีเ้ ป็นเหตุหน่ึงที่ทาใหป้ ระชาชนมีความเคารพนับถือ พระพุทธศาสนาน้อยลงตามลาดบั ในราชวงศต์ รัน (Tran) พระพุทธศาสนาก็คงเจรญิ รงุ่ เรอื งเช่นเดียวกนั พระเจา้ ตรนั ไทต๋อง (Tran Thai Tong) ทรงเป็นกษตั รยิ ท์ ที่ รงเขา้ ใจในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งลึกซ้ึง และได้ทรงนิพนธ์หนงั สอื ไว้ ๒ เล่ม คอื “Guide For Dhyana” (ทางไปส่ธู ยาน) และ “Khoa Hu” ซึ่งบัดนี้ก็ยังคงเก็บรักษาไวเ้ ปน็ อยา่ งดี พระเจ้าตรนั นันตอ๋ ง (Tran Nhan Tong) เมอ่ื ตอนที่พระองคม์ พี ระชนมายุได้ ๑๗ พรรษา ได้ทรงปฏเิ สธท่ี จะเป็นกษตั ริย์ และได้ทรงขอผนวชเปน็ พระภกิ ษุ เพราะเหตุทพี่ ระราชบิดาทรงปฏิเสธไม่ยอมให้ทรงผนวช พระองค์พยายามจะหนีไปอยู่ท่ีภูเขาเย่ยี นตู๋ (Yen Tu) แตก่ ็ทรงถูกจับไดจ้ ึงถูกบังคบั ใหก้ ลบั มาครองราช สมบตั ิ ตงั้ แตน่ ั้นมาพระองค์ก็ทรงเป็นกษัตรยิ ท์ ี่มีศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาไมน่ ้อยเลย หลังจากทไ่ี ด้ทรง ขบั ไล่พวกเหงียน (Nguyen) ซ่ึงยกกองทัพมารุกรานได้หลายครงั้ หลายหนแลว้ พระเจ้าต รนั นนั ตอ๋ ง (Tran Nhan Tong) กท็ รงสละราชบลั ลังก์ใหโ้ อรสครองตอ่ ไป แลว้ พระองค์ก็เสดจ็ ไปยังภูเขา เย่ียนตู๋ และทรงผนวชทน่ี น่ั พระองคไ์ ด้ทรงเป็นศิษยข์ องท่านตวิ ตรงุ เตี๋ยนสุ (Tue Trung Thyen Su) แหง่ นกิ ายโวโงนทอง (Vo Ngon Thong Sect) ตอ่ มาท่านได้ตัง้ อนุนิกายของนิกายนีข้ น้ึ เรยี กวา่ ตรุกลัน (Truc Lan) หรือนกิ ายเวฬวุ นั ในสมยั ราชวงศ์ตรันนี้ นิกายธฺยานเจริญรุ่งเรืองมาก มปี ระชาชนมาเข้าวัดมากมาย และทุก ๆ หม่บู า้ นจะมี วัดอยวู่ ัดหนึง่ เสมอไป พระบรมวงศานุวงศ์ก็ทรงผนวชเป็นพระภิกษเุ ปน็ จานวนมากด้วย อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าเท่าทปี่ รากฏพระพุทธศาสนาในเวียดนามในตอนน้จี ะเปน็ ไปในรปู นิกายธยฺ านก็จรงิ แต่กส็ ืบสายมา จากนกิ ายตนิ ห์โตตอง (Tinh Do Tong Sect) โดยเหตทุ ่นี กิ ายนีห้ นกั ไปในทางปฏบิ ัตมิ ากกวา่ ทีจ่ ะศกึ ษาใน ด้านปริยัติ ประชาชนส่วนมากกย็ ังเชอ่ื งมงายอยูใ่ นไสยศาสตรเ์ วทมนตค์ าถา ซ่งึ เทา่ กบั เป็นการบ่นั ทอน ความเชอื่ ถือในเนื้อหาแท้ ๆ ของพระพุทธศาสนาลงไปในตัว

67 ประธานาธบิ ดี โง ดนิ ห์ เดยี ม แหง่ ประเทศเวียดนาม (ตามประวัติกล่าวว่า เป็นผู้นับถอื และเครง่ ครัดในศาสนานิกายโรมนั คาทอลิค) ภาพจาก : atcloud.com พระพทุ ธศาสนาในสมยั ที่ฝร่ังเศสปกครอง ในสมัยทฝี่ รง่ั เศสปกครองน้ัน พทุ ธศาสนิกชนไดร้ ับการดูถูกเหยยี ดหยามมาก ประชาชนถกู หา้ มไม่ให้ ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาจนเกินไป ถูกหา้ มไม่ใหน้ ่งั เจริญกรรมฐาน เจรญิ สมาธิภาวนา ผลกค็ ือ พทุ ธศาสนกิ ชนโง่เขลามากขึน้ ทุกที และเพราะเหตกุ ารณ์แวดลอ้ มอนื่ ๆ อีกหลายอยา่ งท่ีทาให้ พระพทุ ธศาสนาแบบดัง้ เดิมมีความไม่บรสิ ุทธผ์ิ ดุ ผ่องมากขึ้นตามลาดบั ศรทั ธาในพระพุทธศาสนาอย่างกวา้ งขวางของประชาชนเป็นเหตุก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในอันท่จี ะฟน้ื ฟู พระพุทธศาสนาขึ้น เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ในเวียดนามเหนอื พทุ ธสมาคมที่ตังเกีย๋ (Tonkin Buddhist Association) กไ็ ดก้ ่อเปน็ รปู ร่างข้นึ ในในเวยี ดนามใต้ (โคชินไชน่า) ไดม้ ีสมาคมค้นคว้าทาง พระพทุ ธศาสนาแหง่ โคชนิ ไชน่า (Cochinchina Buddhist Research Association) ข้ึน และใน เวยี ดนามกลาง (Annam) ก็ไดก้ อ่ ตั้งพุทธสมาคมแห่งอันนัม (Annam Buddhist Association) ขน้ึ พทุ ธสมาคมเหลา่ น้ีมจี ุดหมายปลายทางในอันท่จี ะฟืน้ ฟูพระพุทธศาสนาในเวียดนาม ขนึ้ ใหม่ แตก่ ารดาเนินงานสว่ นใหญ่ไดถ้ ูกฝรง่ั เศสกีดกันเสยี มาก หลังจากที่ไดม้ ีการปฏิวัติ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เปน็ ต้นมา ก็ได้มีการกอ่ ต้งั พทุ ธสมาคมเพ่ือความหลดุ พ้น แห่งชาติ (Vietnam National Salvation Buddhist Association) ขึ้น สมาคมน้ีไดท้ าหน้าท่หี นัก ไปในทางการเมืองเพ่ือตอ่ ต้านฝรัง่ เศส ไดท้ าหน้าท่รี บั บรจิ าคโลหิต มอบเสอ้ื ผ้า และอาหารให้แก่ กองทัพ เป็นตน้ ในเมืองใหญ่ ๆ กม็ สี าขาของพทุ ธสมาคมแบบน้ีไปต้ังอยู่ทว่ั ๆ ไป หลงั จากทไ่ี ด้รับเอกราชแล้ว สมาคมต่าง ๆ เหลา่ นี้ก็รวมกนั เป็นเอกภาพพุทธสมาคมเวยี ดนาม (Vietnam Unified Buddhist Association) ข้ึน ซึง่ สมาคมนม้ี ีอิทธพิ ลอยู่ในเวียดนามเหนอื มาก สมาคมนี้มี วตั ถุประสงค์ทจ่ี ะฟน้ื ฟูพระพุทธศาสนา ช่วยเหลอื ประชาชน รับใชป้ ติ ุภมู ิ และรักษาความสงบ เรียบรอ้ ย นอกจากนั้นท่าน นารทะ มหาเถระ แหง่ ลงั กา ซึ่งไปจาพรรษาอยู่ท่ีเวยี ดนามใต้ได้กล่าว

68 ว่า ในปัจจุบันน้ีพระพุทธศาสนาในเวยี ดนามกาลงั ไดร้ บั การฟนื้ ฟเู ปน็ อยา่ งมาก ชาวพุทธได้ตน่ื ตัวและ รจู้ ักความรบั ผดิ ชอบของตนท่ีมตี ่อศาสนามากขึน้ ชาวพทุ ธมคี วามสมคั รสมานสามัคคกี นั มากขึ้น ตามลาดับ ได้มีโรงเรียนสาหรับฝึกฝนพระและโรงเรยี นชาวพทุ ธเกิดข้ึนมากมาย หนงั สือและนิตยสารทาง พระพทุ ธศาสนากไ็ ด้รับการตีพมิ พอ์ อกเผยแผ่มากขึ้น มีภิกษหุ ลายรปู ไดเ้ ดนิ ทางไปศึกษาตอ่ ใน ต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และสหรฐั อเมรกิ า ทง้ั นีก้ ็เพื่อกลบั ไปชว่ ยดาเนินงานการศกึ ษาใหม้ ี ประสทิ ธผิ ลมากข้ึน เวลานีไ้ ด้มีกระบวน การลูกเสอื ชาวพุทธ (Buddhist Scout Movement) ขน้ึ ซง่ึ นับว่าเปน็ การเคล่อื นไหวท่แี ปลกอีกแบบหน่งึ องค์การลกู เสือชาวพุทธน้ีมีศูนย์กลางอยู่ ที่ ชวั อะลอย (Chua–a Loi) ในเมืองไซ่ง่อน ขณะนไี้ ดด้ าเนินงานแผ่ไปกว้างขวางมาก จนเกือบจะมี สาขาอย่ใู นเมืองใหญ่ทุกเมืองแล้ว กระบวนการนที้ าใหเ้ ด็ก ๆ ทั้งชายและหญิงมคี วามรู้สึกยึดมั่นในศาสนา มากขึ้น นอกจากนั้นกม็ ี “สหภาพชาวพทุ ธ” (Buddhist Union) ขึ้นสองแห่ง แห่งหนงึ่ สาหรบั เด็กผู้ชาย อีกแห่งหน่งึ สาหรบั เด็กผู้หญงิ สหภาพชาวพุทธนี้ไดก้ อ่ กาเนิดขน้ึ ที่เมือง กเี วียนตู (Ky–Vien– Tu) โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษา ปฏิบตั ิ และประกาศพุทธธรรม และยึดมัน่ ในหลกั การ ๕ ข้อ คอื ความ ยตุ ธิ รรม กรุณา บริการ บรสิ ุทธ์ิ และวินยั ในเวียดนามเวลานีม้ พี วกชีเป็นจานวนมาก และส่วนมากก็ยังอยวู่ ยั สาว แตก่ ็ยงั ไมม่ สี านักชีทดี่ ีจริง ๆ มากนัก เฉพาะในเวยี ดนามใต้ในปจั จบุ นั น้ี มีวดั พระพทุ ธศาสนารวม ๔,๗๖๖ วดั ในจานวนน้มี วี ัด ทางพ พุทธศาสนาแบบเถรวาทอยู่ ๔๐๐ วดั เศษ จงั หวัดที่มีวดั เกิน ๑๕๐ วดั คือ เมืองเว้ ๔๐๘ วัด ไซง่ อ่ น ๑๘๐ วดั เด๋นเตงิ ๒๘๓ วัด แองยาง ๓๑๓ วดั หวินลอง ๒๒๓ วัด พเู อยี ง ๑๕๔ วัด มาเชียง ๑๗๐ วัด หวางนาม (ดานงั ) ๒๑๔ วดั หวางงาย ๒๑๕ วดั หยินเมนิ่ ๒๔๙ วัด ยาเดน๋ ๒๔๖ วัด เมน่ เด๋น ๒๙๗ วัด ลาแยง ๑๗๙ วดั หวางเต๋ย ๑๗๖ วดั มีภิกษุสงฆฝ์ า่ ยเถรวาทกวา่ ๓๐๐ รปู ส่วนมากมีเชอื้ สายเขมร มพี ระภกิ ษสุ ามเณรฝ่ายมหายานกวา่ ๑๐,๐๐๐ รปู พทุ ธสมาคมซึ่งตั้งอยูท่ ่ีวดั ซาลอยเมือง ไซง่ ่อนเป็นผคู้ วบคุมดวู ดั ฝ่ายมหายานกว่า ๑,๐๐๐ วดั จึงนับว่าเปน็ นิกายใหญ่อยูใ่ นเวียดนามใต้ ส่วน นิกายอนื่ ๆ เชน่ เติ๊นด๋าวต๊า และลงุ กวา่ ตัง เปน็ ตน้ ไม่ค่อยมีอทิ ธิพลมากนัก รบั รูก้ ันเฉพาะในเวยี ดนาม ใตเ้ ท่าน้นั และพระพวกน้ีแหละทม่ี ีภรรยามีบตุ รได้เช่นเดียวกับฆราวาส ในสมยั ท่เี วยี ดนามยังอยู่ใต้ความปกครองของฝรั่งเศสน้ัน พระภกิ ษสุ ามเณรฝา่ ยเถรฝ่ายเถรวาทเช้ือสาย เขมรเหลา่ นขี้ นึ้ ตรงต่อสงั ฆนายกเขมร แต่เมอ่ื เวยี ดนามใต้ได้รบั เอกราชแล้วก็มไิ ด้ข้ึนกับทางเขมรอีก ต่อไป มีแตเ่ จา้ คณะจงั หวัดแต่ละจังหวดั ปกครองกันตามลาพัง โดยข้นึ ต่อคณะสงฆ์ฝา่ ยเถรวาทซึง่ เปน็ ชาวเวียดนามแท้ คณะสงฆฝ์ า่ ยเถรวาทของชาวเวยี ดนามเองได้ตงั้ ขนึ้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ มีสานกั งานอยู่ที่ วัดเชตวนั ไซ่งอ่ น เวลานี้มีอยู่เพียง ๑๙ วัด และมีพระภกิ ษุเพียงประมาณ ๔๐ รปู สามเณร ๑๐ กว่า รปู พทุ ธศาสนกิ ชนฝา่ ยเถรวาทท่เี ป็นชาวเวยี ดนามแท้ ๆ มีท้งั สน้ิ ประมาณ ๕,๐๐๐ คนเทา่ น้ัน แตถ่ งึ กระนน้ั คณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทกจ็ ดั การปกครองข้นึ โดยมตี าแหนง่ สังฆนายกเป็นตาแหน่งทสี่ งู สุดและมี รองสังฆนายก ๒ รูป ท่ีปรึกษา ๒ รปู เลขาธิการ ๑ รูป ผู้ชว่ ยเลขาธิการ ๑ รปู ไมม่ เี จา้ คณะจังหวดั เจ้า คณะอาเภอ เจา้ อาวาสปกครองแต่ละวัดขน้ึ ตรงต่อคณะสงฆ์ คณะกรรมการสงฆร์ วม ๗ รูปนี้ มหี นา้ ท่ี ปกครองดแู ลวดั ๑๙ วัด พระภกิ ษุ ๓๓ รูป สามเณร ๑๐ กว่ารูป พุทธศาสนิกรวม ๕,๐๐๐ คน แมว้ า่ ประชาชนชาวเวยี ดนามท่เี ป็นพุทธศาสนิกจะมกี วา่ ๘๕ % ก็ตาม แต่ถึงกระน้ันประชาชนทีเ่ ป็นชาว

69 พทุ ธส่วนใหญก่ ็หาได้รบั ความเป็นธรรมจากรฐั บาลเวยี ดนามซึ่งมีประธานาธบิ ดีนับถือศาสนาคริสตน์ ิกาย โรมันคาทอลิกไม่ ชาวพทุ ธได้รบั การเบยี ดเบียนบบี คั้นโดยตรงและโดยอ้อมเสมอมา ในสมัยฝรัง่ เศส ปกครองเวยี ดนามนั้นไดถ้ ือว่าเวยี ดนามใตเ้ ปน็ เมืองข้นึ โดยตรง ไมใ่ ชแ่ คว้นในอารกั ขาเหมือนเวียดนาม กลางและเวยี ดนามเหนือ พระภกิ ษุ ทจิ กวาง ดกึ๊ ผยู้ อมสละชีพเพ่ือปกป้องพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาในประเทศเวยี ดนาม (ตอ่ ) ในสมัยท่ีกษตั รยิ ์ราชวงศญ์ วน คอื องเชยี งสือ ไดร้ วบรวมอาณาจักรเวียดนามใต้ท้งั หมดแล้วกใ็ ห้มกี ารตงั้ สังฆราชและพระราชาคณะข้ึนที่เมอื งเว้ ศนู ยก์ ลางพระพุทธศาสนาในเวียดนามจงึ อยู่ทีเ่ มอื งเว้ เมอ่ื เวยี ดนามตกอย่ใู นความครอบครองของฝรงั่ เศส และถือเอาศาสนาครสิ ตน์ ิกายโรมันคาทอลกิ เปน็ ศาสนา ของทางราชการ ในสมยั นน้ั ผู้ที่จะได้เป็นขา้ ราชการสญั ญาบตั รในเวียดนามใต้จะต้องถือสัญชาติ ฝรงั่ เศส ผู้ที่จะโอนเปน็ ชาตฝิ รง่ั เศสได้กต็ อ้ งนับถือศาสนาคริสตน์ ิกายคาทอลิก ฉะนน้ั ในสมยั ทฝ่ี ร่งั เศส ปกครองน้ี ชาวพุทธจึงไมม่ ีโอกาสท่จี ะได้เปน็ ข้าราชการใหญโ่ ตได้ การพระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามใตจ้ ึง ไมม่ ใี ครเอาใจใส่ ขาดอคั รศาสนูปถัมภก แตถ่ ึงกระนนั้ กย็ ังคงรกั ษาตวั อยไู่ ด้ และเพ่งิ จะมีการก่อตั้งพทุ ธ สมาคมขนึ้ ได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นเี้ อง โดยมีวัดซาลอย ซ่งึ เปน็ วัดใหญท่ ่สี ุดในไซ่งอ่ นเป็นจดุ ศนู ย์กลาง

70 ในคราวทไี่ ดม้ กี ารแบ่งเวยี ดนามออกเปน็ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้น้นั ทางเวียดนามใต้ได้ อญั เชิญจกั รพรรดเิ บาได๋มาเป็นผู้สาเรจ็ ราชการ จกั รพรรดเิ บาไดห๋ าไดก้ ดี กนั ศาสนาใด ๆ ไม่ เพราะฉะน้นั ในคณะรฐั บาลของจกั รพรรดิเบาไดจ๋ งึ มีผู้ที่นบั ถอื ศาสนาต่าง ๆ หลายศาสนาด้วยกัน เช่น ศาสนาเบาไดแ๋ ละหวา่ หาว เป็นต้น เมื่อจักรพรรดเิ บาได๋ไดเ้ สด็จไปอยู่ในฝร่งั เศส ประธานาธบิ ดีโง ดนิ ห์เดียม ซง่ึ ตอนนน้ั ยงั เปน็ นายกรัฐมนตรีอยู่ก็ได้เร่มิ กวาดล้างศาสนา ทแี รกก็ทาเปน็ ญาติดีกับพวกเบา ไดก๋ ่อน เร่ืองกวาดล้างพวกมิ่นเซ่ียนซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของพุทธศาสนาแลว้ กท็ าลายกล่มุ หว่าหาว โดยจบั นายพลมากุด แมท่ ัพหวา่ หาวได้ แล้วได้ประหารชีวติ เสยี นีแ้ สดงให้เหน็ ว่ารัฐบาลโงดนิ ห์เดยี มได้ทาการ กวาดล้างพุทธศาสนามานานแล้วไมใ่ ช่จะเพิ่งมีเมอ่ื เรว็ ๆ นี้เทา่ น้นั ความไมเ่ ป็นธรรมต่าง ๆ ทร่ี ฐั บาลโงดนิ หเ์ ดียมซ่ึงมนี ายและนางโงดนิ ห์นู นอ้ งชายและน้องสะใภ้เป็น กาลงั หนุนสาคญั อยู่ ช่วยกันสร้างใหเ้ กิดความขมข่นื ในจติ ใจของชาวพุทธในเวยี ดนามตลอดมานั้นได้ค่อย ๆ คุกรุ่นอยู่ในจิตใจมาเปน็ เวลานานปี ชาวพุทธต้องหวานอมขมกลนื อยู่ด้วยความอดทนอยา่ ง ทีส่ ุด จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๕๐๖ ความคกุ รนุ่ ทสี่ ะสมมาเป็นเวลานานแลว้ น้นั ในท่ีสดุ ก็ระเบิดออกมาจน กลายเป็นการปฏิวัติ พลกิ โฉมหนา้ ประวัติศาสตร์ของเวยี ดนามในโอกาสต่อมา เหตทุ ่ที าให้ความคุกรนุ่ ในจติ ใจของชาวพทุ ธต้องระเบิดออกมาในรูปของปฏกิ ิริยาในแบบตา่ ง ๆ จนเปน็ เหตุให้เกิดการปฏวิ ัตลิ ้ม บัลลงั ก์ของประธานาธิบดีโงดินห์เดียมและพรรคพวกนั้น ก็เพราะความไร้ทศพธิ ราชธรรมของผปู้ กครอง ประเทศนั่นเอง ซ่ึงเหตกุ ารณ์ทนี่ ายพนั ธุ นยั วทิ ิต เลขาธกิ ารพทุ ธสมาคมได้สรุปไว้ในคราวทีพ่ ุทธสมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ได้จัดใหม้ ีการประชมุ เพือ่ อภปิ รายถึงกรณที ี่พุทธศาสนกิ ชนใน เวยี ดนามใตถ้ ูกบบี บังคับ และถกู จากัดเสรีภาพในการนับถือพระพุทธศาสนา เมอื่ วันที่ ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ และคณุ อดิศร อสิ ี ได้รวบรวมไว้ในหนงั สอื “อนันตรยิ กรรมในเวยี ดนามใต้” มขี ้อความ วา่ ก่อนวนั วสิ าขบูชา ๒๕๐๖ สองวัน ทา่ นอาร์คบชิ อบโงดินหถ์ ึก พช่ี ายของประธานาธบิ ดโี งดนิ ห์ เดยี ม ได้จดั ใหม้ ีพธิ ีฉลองอยา่ งเอกิ เกริกในวันสาคญั ของคริสตศ์ าสนานิกายโรมันคาทอลิกโดยทางรฐั บาล เวยี ดนามถอื วา่ เป็นวนั สาคัญของชาติดว้ ย แต่ครัน้ ถึงวันวิสาขบชู าพุทธบริษัทชาวเวียดนามใต้ชักธง ธรรมจักรเคร่ืองหมายของพุทธศาสนาบ้าง เจ้าหนา้ ท่ีตารวจก็หา้ มและเกบ็ รว้ิ ธงเหล่านท้ี ้ิงเสีย ชาวพุทธ ทั้งหลายจงึ ได้เดินขบวนร้องเรียนตอ่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผวู้ า่ ราชการจังหวดั กเ็ พิกเฉยเสยี ชาวพุทธ ทั้งหลายกเ็ ดินขบวนไปขอพูดออกอากาศทางวทิ ยุกระจายเสียงดังที่อาร์คบิชอบไดพ้ ูดในวันสาคัญของ ครสิ ตศ์ าสนาในนิกายโรมันคาทอลกิ มาแลว้ แต่ทหารและตารวจได้ขบั รถตะลยุ เขา้ ไปในกล่มุ ชาวพทุ ธทา ให้มคี นตายไป ๙ คน บาดเจ็บ ๑๖ คน แต่ทางรัฐบาลกลับออกแถลงการณว์ ่าพวกเวียดกงขวา้ งระเบดิ ทาให้คนตาย ตอ่ มาคณะสงฆ์ไดส้ ง่ ผู้แทนไปเจรจาเพ่ือใหร้ ฐั บาลเลกิ บีบคัน้ พุทธสมาคมนานาชาติ เพ่ือ ขอรับการสนบั สนุน และพระสงฆ์ประมาณ ๔๐๐ รูป ได้เดินขบวนเรยี กรอ้ งให้รัฐบาลใช้ค่าเสียหายใน การท่ีภกิ ษุ ๙ รูปต้องถงึ แก่มรณภาพในคราวนี้ ทางฝา่ ยรฐั บาลได้ใชท้ หารและตารวจออกต่อต้านโดยใช้ ดาบปลายปนื ขู่ และใชร้ ะเบิดพลาสติกขว้างชาวพทุ ธบาดเจ็บไป ๗ คน มชี าวพทุ ธจานวนมากได้อด อาหารประท้วง ต่อมาพระคาทอลกิ บางรูปได้แสดงความเห็นใจชาวพทุ ธ ส่วนนางโงดินหน์ ู น้องสะใภ้ ประธานาธบิ ดโี งดินหเ์ ดียมได้ดาเนนิ การอย่างเด็ดขาดแก่ชาวพทุ ธ โดยหาวา่ ชาวพทุ ธเหลา่ นี้เปน็ ผ้บู ่อน

71 ทาลายความมน่ั คงของประเทศ นายวลิ เลยี ม ทรฮู าร์ต อุปทูตสหรฐั ประจาเวียดนามใต้ ไดเ้ รียกรอ้ งให้ หาทางอะลมุ่ อะลว่ ยกบั ชาวพุทธเสยี พระภกิ ษุ ทจิ กวาง ด๊ึก เผาตัวเองประทว้ งรฐั บาล จนมีพระภิกษุรูปอน่ื รวมทงั้ สามเณร และแมช่ ีเผาตวั เองประทว้ งอีกหลายรปู ต่อมาในวันท่ี ๑๐ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๐๖ พระภกิ ษุและชีประมาณ ๑,๐๐๐ รูป ไดท้ าพิธสี วดมนตอ์ ุทิศ ส่วนกุศลถวายพระภิกษุที่ถึงแก่มรณภาพ ๙ รูปน้นั เสร็จแลว้ ได้เดนิ ทางไปตามถนน พอถึงหน้า สถานทูตเขมร พระภกิ ษทุ จิ กวางด๊คึ ซึง่ มีอายุ ๗๒ ปี ไดเ้ ผาตัวเองจนถึงแก่มรณภาพ ผ้ทู อี่ ยู่ในขบวนก็ จัดการนาศพไปประกอบพธิ สี วดตามประเพณที ่ีวดั ซาลอยเพื่อเป็นการเรียกร้องขอความเสมอภาคในการ ปฏบิ ัตกิ จิ การทางศาสนา และมีการชักธงทางศาสนาตามวัดต่าง ๆ ลดลงครงึ่ เสา แสดงความอาลัยแด่ พระภิกษุทิจ กวางดึ๊ค ทางรัฐบาลไดส้ ่งทหารและตารวจมาลอ้ มวดั ซาลอยไว้ วันที่ ๑๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ นายกพทุ ธสมาคมเวียดนามกับภิกษุ ๕ รูป ไดเ้ ดินทางจากเมอื งเว้ ไปเคารพศพพระภกิ ษุทิจ กวางดึค๊ ที่วดั ซาลอย ในไซง่ ่อน และได้สง่ ผู้แทนเข้าเจรจากับรัฐบาลอกี ยงั ไมเ่ ปน็ ทีต่ กลงกัน ส่วนทว่ี ัดซาลอยกม็ ีพิธกี ารสวดมนต์บาเพ็ญกุศลสกั การะศพพระภกิ ษุ ทิจ กวางด๊คึ โดยมีพุทธศาสนิกชนไปร่วมพธิ ีอีกกว่า ๒,๐๐๐ คน ไดม้ กี ารขดั ขวางไม่ให้มพี ธิ ีกรรมอยา่ ง เอิกเกรกิ แต่จะอย่างไรก็ตามพิธีก็คงดาเนนิ ต่อไปจนถึงวนั ท่ี ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ จงึ ได้นาศพ พระภกิ ษทุ ิจ กวางด๊ึค ไปไว้ ณ สสุ านแหง่ หนึง่ ในไซ่ง่อน ในวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้มีการเจรจากนั ระหว่างผ้นู าชาวพุทธกบั ผู้แทนของรัฐบาล โดย ทางฝา่ ยชาวพุทธได้เสนอข้อเรียกร้อง ๕ ประการด้วยกัน คือ ๑. อนญุ าตใหช้ าวพุทธชักธงอันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาได้

72 ๒. ให้รฐั บาลใหค้ วามเสมอภาคในการนบั ถอื และปฏบิ ตั ิพิธีกรรมทางศาสนา ๓. รัฐบาลตอ้ งประกันว่าจะให้เสรภี าพแกช่ าวพุทธในอนั ที่จะเผยแผศ่ าสนา ๔. ให้รัฐบาลเลกิ การแกล้งจับกุมพระภกิ ษุและนางชีในพระพุทธศาสนา ๕. ให้รัฐบาลลงโทษผกู้ ระทาทารณุ ต่อชาวพทุ ธ และขอให้ชดใชค้ า่ เสยี หายแกค่ รอบครวั ของชาวพุทธ เหล่าน้นั ในการเจรจากันครงั้ แรกตกลงกนั ได้เฉพาะสองข้อแรกเทา่ นั้น สว่ นอีก ๓ ขอ้ หลงั นน้ั จะต้องได้รบั อนุมัติ จากประธานาธิบดโี งดินหเ์ ดยี มเสยี ก่อน จนกระทั่งวันท่ี ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ก็มขี ่าวว่า ประธานาธบิ ดไี ด้ยอมรับข้อเสนออีก ๓ ข้อ รวมเปน็ ๕ ข้อครบบริบรู ณแ์ ล้ว พวกพทุ ธบริษัทประมาณ ๑ หมื่นคน ไดเ้ ดนิ ทางไปตามถนนเพอ่ื รวมการฌาปนกิจศพพระภกิ ษทุ ิจ กวางด๊ึค ได้มเี ยาวชนประมาณ ๔๐๐ คน ไดป้ ะทะกับตารวจ ตารวจได้เอาตะบองตี เอาปืนขู่ พวกเยาวชนก็ใช้ก้อนอิฐ ก้อนหิน และ รองเท้าขว้าง มเี ยาวชนเสยี ชวี ติ ในคราวน้ีหนงึ่ คน ตารวจไดก้ ดี กนั มิให้มีการบันทึกภาพไว้ พุทธบริษัท เช่ารถประมาณ ๖๐ คัน แล่นไปตามถนนรว่ มในพธิ งี านศพแทนการเดินขบวน แตก่ ถ็ ูกขัดขวางจาก เจา้ หนา้ ที่ตารวจ คงมีพระภกิ ษุประมาณ ๑,๐๐๐ รปู นางชปี ระมาณ ๑,๐๐๐ คน เทา่ นั้นที่ไปรว่ มในพธิ ี ฌาปนกิจศพท่ีวัดซาลอย ต่อมาได้มีการออกแถลงการณร์ ว่ มกันในตอนเชา้ วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ซงึ่ ทาใหส้ ถานการณ์ดี ขึ้น แต่ทางชาวพุทธก็ยงั ยืนยันว่า ชาวพุทธท่ถี ูกจับตัวไว้รวมท้งั เยาวชนยังไม่ได้รบั ความปลอดภยั อีก ๑๖๐ คน แตท่ างฝา่ ยตารวจบอกวา่ ปลอดภยั แลว้ ยังเหลอื อยเู่ พยี ง ๑๐ คนเทา่ นน้ั วนั ท่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖ พระภกิ ษทุ ิจ ทินเกียต หัวหนา้ ชาวพทุ ธไดส้ ่งสารถงึ ประธานาธบิ ดีโง ดนิ ห์เดยี มวา่ สถานการณ์จะย่ิงเลวลงไปอีกถ้ารฐั บาลยงั คงกีดกันชาวพุทธมใิ ห้ปฏิบตั ิพธิ กี รรมทาง ศาสนา ครน้ั วนั ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ก็มกี ารลงโฆษณาว่า ข้อตกลงลม้ เหลวเพราะรฐั บาลไม่ ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง ต่อมาประธานคณะสงฆ์พระภิกษทุ จิ ทินเกียต ก็ไดม้ ีสารลงวันท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึงรองประธานาธบิ ดเี หวียนงอกเทอ ประทว้ งวา่ รฐั บาลมิได้ปฏบิ ัติตามสัญญาท่วี ่าจะแก้ สถานการณ์ ชาวพทุ ธตา่ งพากันหว่ งในความปลอดภยั ของตนเอง ซง่ึ อาจมกี ารเดนิ ขบวนหรอื เผาตวั เอง อีก และในวนั ต่อ ๆ มากไ็ ด้มีพุทธศาสนกิ ชน รวมทงั้ พระและนางชไี ด้ไปน่ังท่ีกลางถนนหนา้ วัดเยยี กมินท์ ในไซ่ง่อน เป็นการประท้วงที่รัฐบาลไม่ปฏบิ ตั ิตามขอ้ ตกลง แม้ตารวจจะเข้าขดั ขวางก็ไม่เลกิ จึงถูกตดี ว้ ย ตะบองและลากขึ้นรถไปประมาณ ๘๐ คน การประทว้ งนี้ไดข้ ยายตวั ออกไปอีก คือในวนั ที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ พทุ ธศาสนกิ ชนรวมทั้ง พระภิกษุสามเณรและนางชีประมาณ ๑,๐๐๐ คน ไดถ้ อื แผน่ ปา้ ยโฆษณาร้องขอให้รัฐบาลปฏบิ ัติตามข้อตกลงเพ่ือแกไ้ ขสถานการณ์ใหค้ ืนดี ตารวจได้ใช้ลวด หนามกน้ั ไมใ่ ห้บคุ คลเหลา่ น้นั เดินเขา้ ไปยังวดั ซาลอย ส่วนชาวพุทธทท่ี าการประทว้ งท่ีหน้าบา้ นทูต อเมริกนั ตารวจไม่ขัดขวาง พระภิกษุทวี่ ดั ซาลอยได้พากนั อดอาหารเพ่ือประทว้ งท่ีรัฐบาลไม่ปฏบิ ัตติ าม ข้อตกลง วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้มีการชมุ นมุ ชาวพุทธอย่างสงบขึน้ ณ ท่ตี ่าง ๆ หลายแหง่ ด้วยกนั เชน่ ที่ตาบลพูลา นอกเมืองไซ่งอ่ น มีชาวพุทธไปร่วมชมุ นมุ ประมาณ ๒๐๐ คน หนา้ เจดีย์เกยี กมินท์

73 ประมาณ ๔๐๐ คน หน้าตลาดในเมืองไซ่ง่อนประมาณ ๑๐๐ คน แต่ในทุกแห่งที่ไดม้ ีการประชมุ กนั น้ี ตารวจไดเ้ ข้าขัดขวางทุบตี ลากข้นึ รถไปเปน็ จานวนมาก พอถงึ วันท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ไดม้ กี าร ประกาศทางวิทยุกระจายเสียงว่า ทางรฐั บาลจะได้ปฏิบัติตามขอ้ ตกลงโดยยอมใหช้ กั ธงพุทธศาสนาได้ โดยเสรี แตไ่ ม่พูดถึงข้ออืน่ ๆ พุทธบรษิ ทั ได้มสี ารขอร้องให้รัฐบาลปฏบิ ตั ิตามข้อตกลงทงั้ ๕ ข้อ โดย ครบถว้ น แลว้ ได้ไปร่วมชมุ นุมกนั อยู่ในวดั ซาลอยในไซ่ง่อน เจา้ หน้าทไ่ี ด้รื้อลวดหนามที่ก้ันไว้ออก แต่ เม่ือไม่มีชาวพุทธออกมาจากวัดจึงไดล้ ้อมลวดหนามไว้ตามเดิม ตอ่ มาในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ไดม้ ขี า่ ววา่ ชาวพุทธเวยี ดนามไดย้ ่ืนคาขาดไปวา่ จะปฏบิ ตั ิตามคา เรียกร้องหรือไม่ หากไม่ปฏิบัติตามก็จะได้ดาเนินการประท้วงตอ่ ไป ชาวพทุ ธทีถ่ กู จับไปได้รบั การ ปลดปลอ่ ยมาเพียง ๒๖๗ คน อีกประมาณ ๓๐๐ คน ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย แม่ชีคนหนง่ึ ซง่ึ เป็น มารดาของนายยูฮวย นักวิทยาศาสตร์ผมู้ ชี ่ือของเวียดนาม ซึง่ เป็นประธานกรรมการพลงั งานปรมาณูของ เวยี ดนามจะพลตี ัวเพื่อสนับสนนุ การเรียกร้องของชาวพทุ ธ ในวันตอ่ มามีข่าวว่า พระภิกษุและสามเณร รวม ๒ รปู จะควา้ นทอ้ งตนในท่ีสาธารณะเพอ่ื ให้ข้อเรียกร้องของชาวพทุ ธได้รับผลสาเร็จ ทหารทเ่ี ป็น ชาวพุทธกจ็ ะไดร้ ว่ มกันสวดมนต์เพ่อื ให้ความสาเร็จเกิดขึ้นตามข้อเรียกร้อง วนั ท่ี ๔ สิงหาคม ๒๕๐๖ ภิกษทุ ิจ ด๊กึ ฟง อายุ ๒๔ ปี ไดเ้ ผาตัวตายทีจ่ ตั รุ สั อนสุ าวรีย์ทหารนริ นาม เมอื งฟานเทยี ต ซงึ่ เป็นเมืองชายทะเล อยู่ไมห่ า่ งจากเมืองไซ่ง่อนมากนัก นับเป็นรูปท่ี ๒ วนั ท่ี ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๐๖ สามเณรทจิ ชนั ตู อายุ ๑๙ ปี ได้ทาการเผาตัวเองท่เี มืองเว้ ทง้ั นี้เพ่ือเป็น การประทว้ งการกีดกนั พระพุทธศาสนา ตอ่ มาประชาชนได้เดนิ ขบวนมาขอศพสามเณรทิจ ชนั ตู ไป ประกอบพธิ ฌี าปนกิจ แต่ตารวจบอกว่าญาตขิ องสามเณรทิจ ชันตู ได้มาเอาศพไปแลว้ ในการเดนิ ขบวน ครั้งน้ี ตารวจตีชาวพทุ ธบาดเจ็บ ๒๕ ราย ละตอ้ งไปรกั ษาตวั เอาเอง ท้ังนเ้ี พราะทางตารวจอา้ งวา่ ทาง รฐั บาลสงั่ ไม่ให้โรงพยาบาลรบั ชาวพุทธ ได้มีข่าวต่อมาวา่ พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ หลายจะไดป้ ระกอบพิธีฌาปนกจิ ศพสามเณรทิจ ชนั ตู ท่ีสถูปใหญต่ ูดัม ในเมืองเว้ แต่รัฐบาลต้องการใหฝ้ งั ไว้ทีส่ ถูปเจดีย์เดีย มฟกุ รฐั บาลสง่ั หา้ มไม่ใหป้ ระชาชนออกจากทีพ่ ักอาศัยในเวลา ๒๐.๐๐ น. ถงึ ๖.๐๐ น. ของวนั รุ่งขน้ึ และได้ใช้สารวตั รทหาร และทหารยานเกราะ เขา้ ประจาตามจดุ ต่าง ๆ ทัง้ ในและนอกเมืองเว้ กับได้ทา การตรวจคน้ บัตรประจาตัว ตรวจยานพาหนะ ฯลฯ ในการแย่งศพสามเณรทจิ ชนั ตนู ้ี มีขา่ วว่าทหาร ไดใ้ ช้หมวกเหล็กตีชาวพุทธบาดเจบ็ ๒๕ คน และบาดเจบ็ ขั้นสาหสั อีก ๕ คน วนั ที่ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๐๖ แมช่ ีช่ือ คอื กวาน หรอื เหยียงเทียม วัย ๒๐ ปี ดเ้ ผาตัวเองท่ีจังหวดั คาง หัว หา่ งจากเมืองไซง่ ่อน ๒๐ ไมล์ ท้งั น้ี เพอ่ื ประท้วงการกระทาของรฐั บาลท่ีได้ยึดศพสามเณรทจิ ชนั ตู ไว้ เลยกลายเปน็ เหตทุ าใหส้ ถานการณ์ในเมอื งเว้ตึงเครยี ดขึ้นมาอีก ทหารได้ล้อมวดั ตา่ ง ๆ ไว้ ทาให้วดั ต้องขาดแคลนอาหารไป วันท่ี ๑๖ สิงหาคม ๒๕๐๖ ได้มีข่าววา่ ประธานาธิบดีสหรฐั อเมริกาไดร้ บั สารจากพระนักบวชในคริสต์ ศาสนาในมลรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ราวประมาณ ๑๕,๐๐๐ รูป ซ่ึงในจานวนน้มี ีบาทหลวงของนคร นิวยอรค์ และบาทหลวงของมลรฐั แคลฟิ อรเ์ นยี รวมอย่ดู ้วย ในสารน้ันมีใจความว่า การช่วยเหลือของ

74 สหรัฐควรให้เฉพาะแกร่ ฐั หรอื ประเทศที่ใหเ้ สรภี าพในการนับถือศาสนาเทา่ น้ัน รัฐบาลไม่ควรให้การ ช่วยเหลอื เพื่อท่ีจะเป็นการสนับสนนุ ระบบซงึ่ ท่วั โลกเหน็ วา่ ไรค้ วามยุติธรรมและไมม่ ีเสรภี าพ ในวันท่ี ๑๖ สิงหาคมน้ี ทางดา้ นเวยี ดนามใต้ มขี า่ วว่าในวิหารทูดาม อนั เป็นวหิ ารทใี่ หญ่ทสี่ ุดของเมือง เว้ พระภกิ ษุทิจเตียวเยียว อายุ ๗๑ ปี ไดค้ รองผ้าอยา่ งลงสังฆกรรมแลว้ ลงไปท่สี นามของวดั แลว้ ได้ จดั การเผาตัวเองต่อหนา้ พระภิกษอุ ่นื ๆ ทหาร ๑๒,๐๐๐ คน ได้รดุ เข้าลอ้ มวัดน้ีไว้ และมีขา่ ววา่ รัฐบาล ไดป้ ระกาศใช้กฎอยั การศึก ทหารเอาปืนกลมาตัง้ ประจาตามมมุ ถนนตา่ ง ๆ ประชาชนทีเ่ ดนิ ขบวนได้ถูก ทหารใชแ้ กส๊ น้าตาขับไลแ่ ตกกระจายไป พระภกิ ษุทจิ ทินเกยี ต ประมุขของสงฆเ์ วียดนามใต้ ไดส้ ่งสารถงึ พุทธบริษัททง้ั หลายวา่ อยา่ ได้กระทา การใด ๆ ดว้ ยความผลีผลาม และได้ยกย่องสมณะ ๓ รูป ท่เี ผาตนเองวา่ เปน็ แบบฉบบั อนั รุ่งโรจน์ ยิ่ง เพราะไดแ้ สดงให้เหน็ วา่ มีศรทั ธาและความเสียสละอย่างสูงส่ง ตอ่ มาในวันท่ี ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๖ ไดม้ ีข่าวว่า อาจารยใ์ นมหาวิทยาลยั เว้ รวม ๔๐ คน ได้ขอลาออก มหาวิทยาลยั นีม้ ีนกั ศกึ ษา ๒,๘๐๐ คน ซึ่งนบั วา่ เป็นสถาบันการศึกษาท่ีกา้ วหน้าท่ีสุดของเวียดนามใต้ การลาออกของคณะอาจารย์ครง้ั นีเ้ ป็นการประทว้ งรฐั บาลโดยอา้ งเหตุว่า เพราะ ๑. รฐั บาลได้ยดึ ศพพระที่เผาตัวเองเอาไว้ ไดใ้ ช้กาลังและอาวุธปราบปรามพทุ ธบรษิ ัทและนักศึกษา ซึ่ง เหน็ ว่าจะเปน็ เหตุใหม้ ีการฆ่าตัวตายเกดิ ขนึ้ อกี ๒. รัฐบาลไมเ่ อาใจใส่ในอันทจี่ ะแก้ไขใหพ้ ุทธบริษทั ไดด้ าเนนิ ศาสนกิจตามปรกตขิ องเขาเป็นเวลาถึง ๓ เดือนแล้ว ๓. รัฐบาลไดป้ ลดอธิการบดีของมหาวิทยาลยั ชือ่ เกาวัน ออกจากตาแหน่ง ไดม้ ีข่าวต่อมาว่า นางสาวโมทอด นสิ ติ สาววัย ๑๘ ปี แหง่ มหาวทิ ยาลยั เว้ ได้ใชข้ วานสับข้อมือซ้ายเป็น การประทว้ งการกระทาทารุณกรรมทีร่ ัฐบาลไดป้ ฏบิ ตั ิต่อพุทธบริษทั ซ่งึ ต่อมาไมน่ านนกั นางสาวโมทอดก็ ถึงแก่กรรม ในระหว่างวนั ที่ ๑๙ – ๒๐ สงิ หาคม ๒๕๐๖ ได้มขี า่ วว่าพทุ ธบริษทั ประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ได้ยนื่ คา ประท้วงถึงองคก์ ารสหประชาชาติ และผู้นาโลกเสรที ง้ั หลาย กบั ถงึ สนั ตปาปา ปอลท่ี ๖ วา่ ได้มกี าร กระทาอนั เปน็ การบบี ค้ันพทุ ธบริษัทขึ้นในเวยี ดนามใตแ้ ลว้ และมีขา่ ววา่ มชี าวพทุ ธประมาณ ๑๗,๐๐๐ คน ไดป้ ระชุมกัน ณ พระเจดีย์วัดซาลอย เพ่อื เป็นการประทว้ งทร่ี ัฐบาลได้บีบคั้นชาวพทุ ธ และได้เหยยี ด หยามว่าการที่พระภิกษุสามเณรเผาตวั เองน้นั เป็นการ “ย่างสด” นอกจากน้ันก็ได้มีการอ่านสารของ พระภกิ ษุเกียวเยียงทีเ่ ผาตัวเอง ณ เมืองเว้ ว่าเป็นการยนื ยนั ตามข้อเรียกร้อง ๕ ประการ เสรจ็ แล้วชาว พุทธ ๘,๐๐๐ คน ได้พากนั อดอาหาร โดยจะอดไปถึงวนั ที่ ๒๕ นางโงดนิ หน์ ูไดก้ ลา่ วหาผูส้ อื่ ข่าวอเมริกนั ว่า รายงานขา่ วผิด ๆ เก่ยี วกบั สถานการณ์ในเวียดนามใต้ ท้งั นี้ ดว้ ยความเกลียดชงั รัฐบาลโงดนิ ห์เดียมนั่นเอง และว่านักขา่ วเหล่านนั้ ตอ้ งการควา่ รฐั บาลเวยี ดนาม ใต้ แลว้ นางยงั ได้ปฏเิ สธอยา่ งเด็ดขาดในเรื่องทว่ี า่ รัฐบาลโงดนิ ห์เดยี มได้ประหัตประหาร

75 พุทธศาสนกิ ชน นางบอกกับผู้ส่อื ขา่ วว่า “จงอย่าคดิ ว่าพวกนนั้ เปน็ ประชาชนเป็นอนั ขาด คณุ ไม่คิดหรอื วา่ คนที่เรียกวา่ ชาวพทุ ธพวกน้ันน่ะ ก็คืออนั ธพาลนี่เอง แต่เอาจีวรสงฆม์ าคลุมตัว ส่วนในกระเปา๋ กม็ ีคีม มกี อ้ นอฐิ ก้อนหิน และอน่ื ๆ เพ่อื ใช้ขวา้ งปาตารวจ” ตอ่ ข้อถามที่วา่ นางมีขอ้ พสิ ูจน์อะไรในคากล่าวหา ที่วา่ พวกผ้นู าชาวพุทธเป็นคอมมิวนิสต์ นางได้ตอบว่า “กพ็ วกพระ ๑๐ องค์ มีปนื ไรเฟิลของคอมมิวนิสต์ อยู่กระบอกหน่งึ นี่นา และก็มีประวัติวา่ เป็นคอมมวิ นิสตด์ ้วย แต่ถึงแม้จะมีหรือไมม่ ปี ระวัตเิ ปน็ คอมมิวนิสต์ การกระทาของพวกนั้นก็บอกอยู่ทนโท่แล้ว” ทไ่ี ซ่ง่อน ในวันท่ี ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๐๖ คณะผ้แู ทนองค์การสหประชาชาติ ไดเ้ รม่ิ สอบสวนข้อเท็จจรงิ ขา้ งฝา่ ยชาวพทุ ธในเวียดนามใตแ้ ล้ว โดยไดเ้ ดนิ ทางไปดเู จดียส์ าคญั ในไซง่ ่อน ซง่ึ ตารวจและทหารของโง ดินหเ์ ดียมไดบ้ ุกเข้าทาลายเม่ือวนั ที่ ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๐๖ และได้จบั พระและนางชีไปกักขังเปน็ จานวน มาก ปรากฏวา่ เม่อื ผู้แทนองค์การสหประชาชาติไปถงึ เจดียเ์ หล่าน้ี คงมีพระภกิ ษุอยเู่ พียง ๒ – ๓ รปู เท่านั้น แถมยังมีตารวจลับของรัฐบาลคุมเชงิ อย่อู ีก พทุ ธศาสนิกชนจานวนมากทเ่ี คยอย่ทู ่เี จดยี น์ ไ้ี ด้ หายไปหมด ไม่ทราบว่าทางการได้ใชอ้ านาจบงั คบั ใหห้ ายไปหรอื อยา่ งใด ซ่ึงก็อาจเป็นได้ ท้งั น้กี เ็ พื่อว่า คณะกรรมการองค์การสหประชาชาตจิ ะได้ไม่มโี อกาสรบั ฟังเรอ่ื งราวทแ่ี ทจ้ ริงท่ีเกดิ ข้นึ เกี่ยวกับการที่ รัฐบาลประหัตประหารชาวพุทธ ภายในเจดีย์วดั ซาลอยก็เงยี บเชยี บราวกบั สสุ าน ไมม่ เี จา้ หน้าที่คนใดมาตอ้ นรับเจา้ หน้าที่องค์การ สหประชาชาติเลย จนกระทงั่ ทหารเวียดนามใตท้ ี่ติดตามไปนน้ั ออกค้นหาก็ได้พบพระ ๒ รูป อยหู่ ลังองค์ พระเจดีย์ จงึ ไดพ้ ามาพบเจ้าหนา้ ที่องค์การสหประชาชาติ แตน่ ายปาซวัค หวั หน้าผู้แทนซึ่งเป็นชาว อาฟกานิสถาน มไิ ดส้ อบสวนอะไรจรงิ จัง เพราะเกรงวา่ คงจะไม่ได้ข้อเท็จจริงอะไรเกยี่ วกบั เร่อื งที่ เกิดขึน้ เมื่อวันทีท่ หารบุกพระเจดีย์ซาลอย เมื่อวันที่ ๑๓ สงิ หาคม ๒๕๐๖ วันท่ี ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๖ พระภกิ ษุทิจ เทียนมี อายุ ๔๒ ปี ได้เผาตัวตายทไ่ี ซ่งอ่ น นับเปน็ รปู ที่ ๗ ความทารุณต่าง ๆ ที่รฐั บาลโงดนิ ห์เดียมได้กระทาต่อชาวพุทธผูต้ ั้งอย่ใู นสนั ติและปราศจากอาวธุ นน้ั ได้ ก่อใหเ้ กิดความไม่พอใจและเศรา้ ใจแก่ประชาชนชาวโลกท้ังมวล และความชวั่ ทั้งหลายท่ีรฐั บาลโงดินห์ เดียมได้สร้างข้นึ มาในครั้งนีห้ าไดเ้ ป็นครงั้ แรกไม่ รฐั บาลโงดินหเ์ ดยี มได้เคยเบียดเบียนศาสนามาตั้งแต่ ตน้ อกศุ ลกรรมซ่งึ ประธานาธิบดแี ละญาตพิ นี่ อ้ งทไี่ ดส้ ง่ั สมไวน้ ้ีได้คอ่ ย ๆ ทวีมากข้นึ ตามลาดับ จนกระท่ังใช้วธิ ีทารณุ ตา่ ง ๆ นานาแกผ่ ูบ้ ริสทุ ธ์ิ กรรมนีเ้ รยี กวา่ เป็น ครกุ รรม เป็นบาปกรรมท่ี ใหญ่หลวง ใหญม่ ากจนกระทั่งความดีทป่ี ระธานาธิบดีได้สร้างไวน้ น้ั ไม่สามารถทานนา้ หนักของความ ชว่ั ซ่ึงนบั วา่ เป็นครกุ รรมได้ คือ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๐๖ เวลา ๑๓.๐๕ น. คณะทหาร โดย การนาของ นายพลเดืองวันมินห์ ซึ่งเปน็ ชาวพทุ ธกก็ ่อการปฏิวตั ิโค่นรฐั บาลโงดินห์เดียมลงได้ และใน วันท่ี ๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๐๖ ประธานาธบิ ดีโงดนิ หเ์ ดียม และโงดนิ ห์นู น้องชาย ซ่งึ หนไี ปอาศัยอยู่ใน โบสถ์ท่ีซาลองก็ถูกจบั ได้ และไดจ้ บชีวติ ลงในวันน้ันเอง แต่นางโงดินห์นูผ้มู บี ทบาทอนั สาคัญยงิ่ ในการ ทาลายพระพุทธศาสนานน้ั รอดชวี ติ ไปได้ เพราะขณะท่รี ัฐบาลโงดินห์เดยี มถูกโคน่ น้ัน นางยงั ทอ่ งเทย่ี ว อยู่ในสหรฐั อเมริกาอย่างสาราญ

76 . ภาพจาก : programtour.com พระพุทธศาสนาในประเทศเวยี ดนาม (ตอ่ ) ถ้าเราจะมาลองคน้ หาดูสาเหตุทรี่ ัฐบาลเวียดนามใต้ ในการนาของประธานาธิบดีโงดินห์เดียมตอ้ งตัดสินใจ อยา่ งผิดพลาดเก่ยี วกับพระพุทธศาสนาน้ี เรากค็ งจะทราบสาเหตุบ้างว่าอะไรท่ีเปน็ เบอื้ งหลงั หรือพนื้ ฐานที่ ทาใหป้ ระธานาธิบดีโงดนิ ห์เดียมได้ปฏบิ ตั ิไปเช่นน้นั ในเร่ืองน้ีเราต้องศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ยอ้ นหลังกลบั ไป อีก ซ่งึ ในข้อนี้ ศาสตราจารย์ พอล มสุ (Paul Mus) แห่ง College de France และมหาวทิ ยาลยั เยลแหง่ สหรฐั อเมริกา ได้เขียนลงในหนังสือพิมพญ์ ปี่ นุ่ ช่ือ The YOMIURI ฉบบั วันที่ ๓๑ สงิ หาคม ๑๙๖๓ (๒๕๐๖) ไว้อย่างน่าฟังทเี ดยี ว ท่านศาสตราจารยผ์ ู้นีเ้ คยอยใู่ นเวยี ดนามนานถึง ๒๗ ปี มคี วามรูเ้ ชีย่ วชาญในด้าน พระพุทธศาสนา และศิลปโบราณคดเี ปน็ พเิ ศษ ท่านไดใ้ ห้ข้อคิดเหน็ ไวด้ งั นี้ ๑. ถา้ วา่ โดยภาคปฏิวตั แิ ล้วโลกภายนอกยังคงไม่ทราบอะไรเกีย่ วกับพระพุทธศาสนาในเวยี ดนามเลย นอกจากวา่ รฐั บาลเวยี ดนามใต้ชุดปัจจุบัน (ชุดโงดนิ หเ์ ดยี ม) ไดป้ ระณามผนู้ าทางพระพุทธศาสนาวา่ เป็น กาลงั แหง่ ความชว่ั ร้าย และอ้างวา่ ผูน้ าชาวพุทธเหล่านนั้ หลอกลวง และนาประชาชนส่วนใหญ่ไปในทางที่ ผิดๆ (อยา่ งน้อยทีส่ ดุ ก็ ๘๐–๘๕ % ของประชาชนชาวเวยี ดนามใต้ท้ังหมด) สถานการณน์ ี้เป็นผล เน่อื งมาจากความจริงท่ีว่า พระพุทธศาสนาในเวียดนามใตถ้ ูกละเลย และถูกเขา้ ใจไปในทางผดิ ๆ นนั่ เอง เน่อื งด้วยสาเหตตุ า่ งๆ คอื ก. ในเวลาทีผ่ า่ นมาไม่นานนี้ (๘๐ ปีมาแล้ว) เจา้ หน้าทีป่ กครองเมืองขน้ึ ชาวฝร่ังเศสท้ังหมดนับถือศาสนา ครสิ ต์นิกายคาทอลิก มไี มก่ ่ีคนทน่ี ับถือพระพุทธศาสนา เขาเหลา่ นี้พิจารณาเหน็ ว่าพระพุทธศาสนาเป็น เพยี งความอยากรอู้ ยากเหน็ ที่มีติดต่อกันมาต้ังแต่โบราณกาลเทา่ น้นั เอง ข. ด้วยเหตผุ ลอยา่ งเดียวกนั น้ันเอง ขา้ ราชการชาวเวียดนามทปี่ ฏิบตั งิ านอยภู่ ายในขอบเขตการบรหิ าร อาณานิคมของฝรั่งเศส หรือไดร้ ับการสนับสนนุ จากองค์การบริหารนน้ั พวกนเี้ หน็ ว่าพระพุทธศาสนาเปน็ เรือ่ งที่ไมท่ ันสมัย เป็นเรอื่ งล้าหลังในดา้ นวฒั นธรรม ค. ตลอดประวตั ิศาสตร์ของเวยี ดนาม นับต้ังแต่การตง้ั ราชวงศ์เล (พุทธศตวรรษท่ี ๒๑) เป็นตน้ มา นักศึกษาทน่ี ับถือลทั ธิขงจอ๊ื และขา้ ราชสานกั พิจารณาเห็นว่า พระพทุ ธศาสนานนั้ เปน็ เรื่องอภินิหารที่ เหมาะกับคนแกๆ่ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ พวกผหู้ ญิงและพวกวายร้ายทยี่ ากจนท้ังหลาย พวกท่ถี ือลัทธิขงจอ๊ื มี จานวนเพียง ๒–๓ % ของประชาชนทัง้ หมดเท่านั้น

77 ง. พวกบาทหลวงคาทอลิกทีเ่ หน็ ว่าพระพุทธศาสนาเป็นปีศาจร้าย ขอไดโ้ ปรดอา่ นขอ้ ความท่ี Paul Claudel คาทอลิกที่เข้มแข็งประกาศไว้ (ท่านผู้น้ใี นประเทศญ่ปี นุ่ เปน็ ที่รู้จักกันดีวา่ เปน็ นักการทูตและนัก ประพนั ธอ์ ีกด้วย) ในคานาหนังสือของ Maurice Percheronในตอนทีเ่ กีย่ วกบั พระพทุ ธศาสนาวา่ “ขา้ พเจ้าไดเ้ หน็ ปีศาจร้าย ปศี าจรา้ ยนั้น คือพระพทุ ธเจา้ ..... รปู รา่ งของพระองคก์ ็คือรปู ร่างของหนอนใน ลาไส้ตัวมหึมาน่ันเอง” เขาหมายถงึ พระพทุ ธรปู ปางปรินิพพานขนาดใหญ่ทล่ี ังกา ๒. อย่างไรกต็ าม พระพุทธศาสนาตลอดระยะสมัยนนั้ ก. เป็นศาสนาของประชาชนหลายล้านคน ซ่ึงพวกทีถ่ ือลทั ธิขงจอ๊ื ถือว่าเป็น “ประชาชนโง่เขลา” (หยู– หมนิ่ ) ข. ไดผ้ ลติ พระอรหนั ต์ (Saint) แมจ้ ะไม่กร่ี ปู แตก่ ็มชี ่ือเสยี งเปน็ เดน่ และประชาชนสว่ นใหญม่ คี วามจรงิ เปน็ พิเศษในเมืองเว้ ซึง่ เป็นเมอื งหลวงของราชวงศ์เหงยี น (นบั ตงั้ แตต่ อนกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ จนถึง สมัยเบาไดท๋ ่ีมีหวั หนกั ไปทางตะวันตก ซง่ึ ในสมัยราชวงศ์เหงียนน้พี ระพุทธศาสนาได้เจรญิ ถงึ ข้ันสูงสุดทั้งใน ดา้ นปัญญาและในด้านการเสียสละ) เมื่อสมยั ท่ีข้าพเจ้า (พอล มสุ ) ยังเป็นเด็กอยู่นน้ั ในฮานอยข้าพเจา้ ไดท้ ราบจากพวกคนรับใช้ชาวเวียดนาม ถึงเรือ่ ง (บางทีอาจไมเ่ คยไดบ้ ันทึกไวใ้ นหลกั ฐานของฝร่ังเศส) ภกิ ษุเวียดนามในเมืองเว้ซง่ึ มีอายุ ๘๐ ปี บรบิ ูรณ์ ไดอ้ บรมสง่ั สอนศิษย์ซ่งึ เป็นภกิ ษทุ ้ังสน้ิ รวม ๘๐ รูป ท่านได้เรียกบรรดาศษิ ย์เหล่านัน้ มาประชมุ กนั ในตอนเย็นของวันเกดิ ของท่าน และได้กลา่ วอาลาศิษยเ์ หล่านน้ั ด้วยคาทส่ี ุภาพออ่ นโยนว่า “บัดน้ีขา้ พเจ้ามี อายุครบ ๘๐ ปี เทา่ พระชนมายุของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ” ทั้งนี้เพราะพระพทุ ธเจา้ ทรงเองมีพระชนม์อยู่เพียง ๘๐ พรรษาเท่านนั้ ท่านได้น่ังตัวตรงและเข้าสมาธอิ ย่างลึกซ้งึ สานศุ ิษยข์ องทา่ นไดน้ ั่งลอ้ มรอบท่าน “คลา้ ยกลบี บวั ” ทา่ นไดส้ ั่งศิษยท์ ้ังหลายใหเ้ อาตะเกียงออกไปเสยี รตั ตกิ าลได้ยา่ งเขา้ มาแลว้ ก็ผ่านไป ชายแก่ผกู้ ล้าหาญน้ันได้นงั่ นง่ิ เปน็ หนิ ทเี ดยี ว ไมม่ ใี ครไปรบกวนทา่ นเลย ในตอนสวา่ ง พวกสานุศิษยไ์ ด้ พบว่าทา่ นไดถ้ งึ แก่มรณภาพไปเสยี แล้ว และไม่ทราบว่าท่านไดม้ รณภาพเม่ือไร “ทา่ นไดร้ ะงบั เหตทุ ่จี ะทา ให้มชี ีวติ อยูต่ ่อไปไดแ้ ลว้ ” นี้เปน็ พระพุทธศาสนาทดี่ ที ส่ี ดุ ในสายตาของมหาชนท่ีมีศรทั ธามคี วามเคารพนบั ถือ ซ่ึงเขาถือว่าเปน็ การสรา้ งอานาจเหนือจติ ใจ และรา่ งกายของตนเองไดอ้ ย่างเด็ดขาด มีความวางเฉยใน ตวั เอง ท้ังการสรา้ งสรรคแ์ ละแนะนาผูอ้ นื่ ในวิถีทางทสี่ งู สดุ ค. ในสถานการณ์ปจั จุบันน้ี สามญั ชนทัง้ หลายมีความเคารพตอ่ การปกครองของราชสานกั ข้าพเจ้า หมายถึงในสมยั ก่อนท่ีฝรงั่ เศสจะเขา้ มามีอานาจ ซึง่ พวกข้าราชสานักถ้าหากวา่ ไมม่ ีอะไรเกิดข้นึ ก็จะอุทิศ ชวี ิตใหแ้ ก่ภารธรุ ะของตนอย่างเตม็ ความสามารถ แตเ่ ม่อื เกิดมวี กิ ฤติการณ์ทน่ี ่าเศรา้ สลดเกดิ ขึน้ ใน ประเทศชาติ พวกเขากจ็ ะแสวงหาทีพ่ ่งึ และการแนะนาท่ีมีคณุ ค่าอันสงู สง่ ของพระพุทธศาสนาเชน่ เดียวกนั จะต้องเขา้ ไปพึ่งพาต่อตัวแทนของพระพทุ ธศาสนาท่มี ีคณุ ค่าสงู ส่งและบริสุทธ์ิผดุ ผอ่ ง ๓. ประจกั ษพ์ ยานและการขาดความเข้าใจอยา่ งน่าเศร้าสลดระหวา่ งประธานาธบิ ดีโงดนิ หเ์ ดยี มกับ พระพทุ ธศาสนานั้นเราเข้าใจกันวา่ เนื่องมาจากการทที่ ่านเปน็ คาทอลิก และเปน็ คาทอลิกชนิดทีบ่ า้ คล่ัง ทเี ดยี ว ซึ่งพอจะแยกแยะออกไปได้ดังน้คี ือ

78 ก. เราไม่เขา้ ใจกันดนี ักว่า บคุ ลกิ ลกั ษณะส่วนตัวอันเข้มแข้งและมเี สน่หน์ ่ารกั อยา่ งไม่มใี ครเทยี บน้นั เปน็ หนี้ ตอ่ มโนคติอันสูงสง่ แต่แคบ แห่งความเป็นขา้ ราชการทีเ่ คร่งครัดในลทั ธขิ งจื๊อ มโนคตแิ บบจีนได้ฝังรากอยา่ ง ลึกซึง้ อยู่ในจติ ใจแห่งครอบครัวของพวกผู้ดชี าวเวียดนาม แมว้ ่าในเวลาตอ่ มาจะหนั มานับถอื ครสิ ต์ศาสนา นิกายคาทอลกิ ก็ตาม ดังนน้ั เราจึงอาจเรยี กโงดินห์เดยี มได้อยา่ งไม่ผิดวา่ เปน็ ชาวคาทอลกิ ทนี่ บั ถือลทั ธิ ขงจอื๊ ข. ท้งั หมดนีย้ อ่ มแสดงใหเ้ ห็นมโนคตอิ นั สงู สง่ แห่งศรทั ธาในศาสนาและการอุทศิ ชวี ติ ใหแ้ กป่ ระชาชน แตช่ ัย ชนะแห่งศรทั ธาของโงดนิ ห์เดียมเองนัน้ ได้เคยเปน็ จุดหมายปลายทางขั้นสุดท้ายของเขาเสมอมา และ ความรู้สกึ เชน่ นน้ั สมควรที่จะได้รับนามว่าเป็นลทั ธคิ าทอลิกชนดิ ท่ีมุ่งเผยแพร่ศาสนาซ่ึงเป็นการเคลือ่ นไหว ในด้านประวตั ศิ าสตร์ทีม่ ีอานาจมากแบบหน่ึง โดยมีวตั ถุประสงค์ทีจ่ ะเปลย่ี นจิตใจของคนทง้ั ปวงในโลกให้ หันมานบั ถือครสิ ต์ศาสนา ค. ไม่เปน็ ท่นี า่ ประหลาดใจอะไรเลยทีว่ ่านโยบายของโงดนิ หเ์ ดยี มควรจะปรากฏวา่ เปน็ นโยบายที่ล้าสมัย ท้ังน้ีโดยมไิ ดเ้ พ่งถงึ ความตั้งใจดีของเขาเลยเพราะวา่ ในเบ้ืองหลังชวี ติ ของเขานน้ั มีอยู่มากมายหลายอยา่ งที่ เกิดจากสมัยล่าเมอื งขน้ึ ความรู้สึกอยา่ งนักเผยแพร่ศาสนา และความเป็นขา้ ราชการทีถ่ ือลัทธิขงจอ๊ื ท้งั สามอย่างนี้เปน็ เรื่องอดีตทั้งสน้ิ ง. โงดินหเ์ ดียมผดิ หวัง ไมใ่ ชใ่ นฐานะเปน็ คาทอลิกคนหนึ่งแตใ่ นฐานะทเ่ี ป็นคาทอลกิ ที่พ้นสมัยแลว้ เป็น แบบท่เี ลิกใช้นับแต่ พ.ศ. ๒๔๕๙ มาแล้ว ซ่งึ เป็นปีท่สี านกั วาตกิ นั ได้แสดงให้ปรากฏออกมาวา่ กาลเวลา สาหรบั การปฏิบตั ิงานของพวกมชิ ชันนารีนั้นไดล้ ดน้อยลงทุกที โดยการแต่งตั้งบิชอบชาวเอเชียชุดแรกข้ึน แทนที่จะพยายามจะรวมชาวเอเชยี ท้งั ปวงเข้าสู่ความเปน็ คาทอลกิ คล้ายกับสมัยกลาง โดยให้รฐั อยูภ่ ายใต้ อานาจของฝา่ ยศาสนจกั รโดยเฉพาะ ๔. ในการจัดรปู ทางดา้ นประวัติศาสตรแ์ ละทางการเมอื งน้ี การเลอื กปฏิบัติต่อต้านเฉพาะพระพุทธศาสนา และการส่งเสรมิ ขา้ ราชการพลเรือนและข้าราชการที่มไิ ด้เป็นชาวพทุ ธ หาไดเ้ ปน็ เรอื่ งเลก็ นอ้ ยไม่ ในสายตา ของมหาชนซ่งึ มจี านวนหลายลา้ นคนเป็นต้นเหตทุ ่ที าใหแ้ ลเหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั ๆ วา่ จะนาประเทศไปสู่ วิกฤติการณ์เพ่ิมจากสงครามการเมืองต่อต้านคอมมิวนิสต์ การเลือกปฏิบัติหรือการเลือกที่รักผลกั ท่ีชงั เช่นนนั้ นับว่าเป็นลางรา้ ย ซงึ่ ผเู้ ช่ียวชาญของศาสนาอืน่ ซึง่ มาจากตะวนั ตกได้พยายามท่ีจะทาให้ผู้ทน่ี ับถือ พทุ ธศาสนาเป็นพลเมืองชน้ั สอง ทาใหช้ นเจา้ ของประเทศเหลา่ นน้ั กลายเป็นชนตา่ งด้าวในประเทศของตน ไป ๕. แล้วอะไรเล่าท่ีได้เป็นและอาจจะเปน็ ปฏิกริ ิยาของชาวพุทธ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงของคณะสงฆ์ทางพุทธ ศาสนา ก. สถานการณน์ บั วา่ เปน็ อนั ตรายอย่างร้ายแรงตอ่ พระพุทธศาสนามาก ดังที่ได้เคยเห็นกันมาแล้ววา่ เมอื่ เกดิ วิกฤติการณ์ข้ึนมาประชาชนนับล้านจะหนั เข้าหาผู้นาในทางศาสนาในฐานะ “เป็นผ้นู าทางในยาม ฉุกเฉนิ ” เสมอมา นับว่าเปน็ การปฏเิ สธในอันทจ่ี ะตอบปัญหาท้ังหลายในทัศนะของผู้นาชาวพทุ ธแล้วถอื ว่า เป็นการมงุ่ ทาลายพุทธศาสนา ซ่ึงประธานาธิบดีโงดนิ ห์เดียมกไ็ ม่ปฏิเสธในแง่น้ี ข. ในประเทศที่มิได้นบั ถือพระพุทธศาสนาสว่ นมากเห็นว่าการเคล่ือนไหวทานองนนั้ จะก่อใหเ้ กดิ ความ รุนแรงและฆาตกรทางการเมืองข้นึ แตส่ าหรบั ในข้อนพ้ี ระพุทธศาสนาพยายามทจี่ ะหลกี เลี่ยงเสมอมา ค. การท่ยี งั ไม่มปี ฏกิ ริ ิยาอย่างรนุ แรงเชน่ น้ัน เม่ือพจิ ารณาถึงอิทธิพลท่ีแท้จรงิ แห่งความเห็นระหวา่ งชาตใิ น

79 ส่วนทเ่ี ก่ยี วกบั เรอ่ื งภายในประเทศทั่วโลกในปัจจุบนั นแ้ี ลว้ การท่พี ระพุทธศาสนาไมม่ ีปฏิกิริยาน้นั จะทาให้ ชาวเวียดนามเป็นผู้ทีถ่ กู ทอดทง้ิ โดยไม่มีใครชว่ ยเหลือเลย ง. ในสถานการณ์เช่นนั้น การเผาตัวเองดูเหมือนว่าจะเปน็ ความพยายามอยา่ งทรหดที่จะส่งคาเตือนไปยัง ชาวโลกภายนอก ในนามของประชาชนของตนไม่ให้กลายเป็นผ้ฆู ่าเขาดว้ ย เพราะคาสอนในพุทธศาสนาที่ ถกู ต้องน้นั ถือวา่ ไม่ควรทาลายส่ิงที่มชี ีวิตใหต้ กลว่ งไป ควรสละชีวติ ของตนเพื่อรักษาชวี ติ ของผู้อ่ืนเสมอ ๖. ในการที่มิได้มีรายงานท่ีพอจะเชือ่ ถือได้โดยละเอียดนน้ี ับวา่ เป็นการยากลาบากมากที่จะเกดิ ความ คิดเห็นทีแ่ จ่มแจ้งเกย่ี วกบั เรอ่ื งราวทกี่ อ่ ให้เกิดวิกฤติการณ์ในปัจจุบนั น้ี เราอาจกล่าวได้ว่าพระภิกษแุ ละนาง ชีในพระพุทธศาสนาท่ีได้อุทิศตัวเองใหแ้ ก่ศาสนาที่ตนเคารพนับถือและในนามของเพื่อนรว่ มชาตสิ ว่ นใหญ่ ผทู้ ม่ี ีความเช่ือถือในพระพุทธศาสนา ท้ังได้มีประสบการณ์ในสิง่ ทพี่ วกตนถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางใน เบอื้ งตน้ แลว้ อย่างไรก็ดี ทา่ นทงั้ หลายเหล่าน้นั ไดร้ ะงบั การนองเลอื ดไดใ้ นขั้นตน้ โดยการเอาชวี ิตของตน เข้าแลกซึ่งนบั ว่าเป็นนมิ ติ อนั เป็นอันตรายต่อชาวโลกท้งั ปวงทเี ดียว ในข้ันตอ่ ไป คุณคา่ ในชีวิตทง้ั หลายส่วนใหญจ่ ะขึ้นอยู่กบั วา่ มนั จะทาให้รัฐบาลเวยี ดนามใต้เขา้ ใจไดอ้ ย่างไร ว่าปฏกิ ริ ิยาของมหาชนในการงดเวน้ จากความรุนแรง และในการตอ่ ต้านการกระทาที่รุนแรงนน้ั เท่ากบั เปน็ การแจ้งมติของผู้นาพระพุทธศาสนาทั้งหลายว่าเป็นการรับผดิ ชอบในด้านศีลธรรมท่ีสูงสุดในประเทศ และสาหรบั คณุ ค่าขน้ั สดุ ทา้ ยในชวี ติ ของมนษุ ย์ ส่วนใหญ่นนั้ จะต้องขน้ึ อยู่กบั ว่าจะกินเวลานานเท่าไร ท่ีจะ ทาใหโ้ งดนิ หเ์ ดยี มได้เขา้ ใจถงึ ความจรงิ นน้ั นอกจากนัน้ น.ส.พ. The Yomiwei ยงั ไดอ้ ุทิศหน้า ๓ เกอื บท้ังหนา้ ให้แกเ่ รื่องของเวยี ดนามใต้โดยเฉพาะ อีก ซงึ่ แตล่ ะเร่ืองไดใ้ ห้ทรรศนะเก่ียวกับโงดนิ ห์เดยี ม และเวียดนามใต้ไวอ้ ย่างนา่ ฟัง ซ่งึ ขา้ พเจ้าจะนาเสนอ ทา่ นผ้อู า่ นเพ่ือเปรยี บเทียบดูดังต่อไปนี้ ในเรือ่ ง “พวกตระกูลโง : รปู หน้าเสยี้ วของตระกูลทป่ี กครองเวยี ดนาม” นัน้ ได้มีการกล่าวถึงตระกูลโงที่มี อานาจเตม็ ท่ซี ่ึงปกครองเวียดนามท่ีกาลงั รบราฆ่าฟนั กนั อยู่น้ันว่ นบั ต้ังแต่สมัยบอร์จะ (Borgias) มา ไมม่ ี ตระกลู ใดอกี แล้วท่ีจะมีอานาจเช่นตระกลู โง” ในทีส่ ดุ ประวัติศาสตร์เทา่ น้นั ทจี่ ะบอกว่า สมัยการปกครองของประธานาธบิ ดีโงดินหเ์ ดยี มและวงศาคณา ญาติ ท้งั โดยสายเลือดและการแตง่ งานเป็นวิวัฒนาการทน่ี ่ากลวั อยา่ งเหลอื ลน้ หรือไม่ แตส่ มัยปัจจบุ นั นี้เกือบจะเป็นไปไม่ไดท้ จ่ี ะหาตระกลู ทีป่ กครองบา้ นเมืองโดยไมไ่ ดร้ ับการสนับสนนุ จาก ประชาชนซ่งึ นบั วา่ เป็นเรอื่ งที่นา่ กลัวมาก แต่ถงึ กระน้ันก็มีอานาจเหนอื ชีวิตทางดา้ นเศรษฐกจิ และ การเมืองของประเทศไดเ้ สยี ด้วย สมาชิกตระกลู โงทีเ่ กี่ยวข้องกันโดยสายเลือดได้ก่อให้เกิดเป็นดจุ ดา้ ยพุง่ และด้ายยืนของผืนผ้า คอื ชีวิต ของชาวเวียดนามใต้ และในแผน่ ผา้ แหง่ ความมีอยูข่ องชาติทกี่ ระจดั กระจายเพราะการสงครามนั้น มาดาม

80 โงดินห์นซู ่งึ เป็นนอ้ งสะใภข้ องประธานาธบิ ดีโงดินหเ์ ดยี มก็ได้พ่งุ ดา้ ยคอื อานาจและอิทธพิ ลดจุ มังกรของนาง ทอเป็นผืนผ้าน้นั ขึน้ มา พวกตระกูลโงน้ันมีมากมายและจะรวมกันอยา่ งใกลช้ ดิ สนิทสนม นอกเสยี จากวา่ จะเกิดมีความยุง่ ยาก เกี่ยวกบั เขยสะใภข้ ้ึนมาเทา่ นั้น ได้เกิดมีลมหนาวเหนบ็ เกิดขนึ้ ในความเปน็ ปึกแผ่นของครอบครัวในคราวที่ บดิ าของมาดามโงดนิ ห์นชู ื่อ ตรนั วนั ชวง ไดล้ าออกจากตาแหนง่ เอกอคั รราชทตู เวียดนามประจา สหรฐั อเมริกา เพราะรัฐบาลเดยี มซึง่ ได้รับการยยุ งสง่ เสรมิ จากบุตรสาวของตนได้โจมตีพระพุทธศาสนา อย่างทารุณโหดรา้ ยและทาให้ประเทศชาติต้องตกอยู่ในความป่ันปว่ น พวกตระกูลโงห้าพ่ีน้องที่กอ่ รูปเป็นใจกลางของชาตใิ นเอเชียอาคเนย์ที่เป็นตระกูลเดยี วที่เป็นผปู้ กครอง ประเทศทัง้ หมดน้ันเปน็ พวกต่อต้านคอมมวิ นสิ ต์อย่างแทจ้ ริง และก็คลา้ ยกบั บดิ าซ่ึงเปน็ ชาวจนี ไวห้ นวด เครายาว ช่ือโงดินห์ขา่ ซ่ึงเป็นคนท่ีต่อต้านจกั รวรรดนิ ยิ มอย่างดุเดอื ด ฉะนนั้ เมื่อฝรงั่ เศสได้กลายเป็นเจา้ เหนอื หัวของเวียดนามเม่ือ ๒๐๐ ปมี าแล้ว ตระกลู โงก็หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลกิ ซง่ึ เปน็ ศาสนาท่ชี าวฝรั่งเศสนบั ถือกันอยู่ ตอ่ มาโงดินหข์ า่ ได้เกลียดทกุ ส่ิงทุกอยา่ งท่ีเปน็ ฝร่งั เศส ซึ่งทาให้เขาใน ฐานะท่ีเปน็ ข้าราชการของราชสานกั หุ่นตอ้ งคลอนแคลนไป พวกพน่ี ้องเหลา่ น้ปี ระวตั ชิ วี ติ ย่อ ๆ คือ ประธานาธบิ ดโี งดินห์เดยี ม อายุ ๖๒ ปี ไดถ้ กู บังคับใหเ้ นรเทศตัวไปอยู่สหรฐั อเมริกาและในยโุ รปในฐานะ ที่เปน็ ปฏิปักษท์ ั้งต่อฝรั่งเศสและพวกเวยี ดมนิ ห์ซงึ่ เปน็ คอมมิวนสิ ต์ ซึง่ หลงั สงครามโลกคร้ังทส่ี องได้ พยายามที่จะครอบครองอินโดจีนทง้ั หมด ฝรัง่ เศสซง่ึ เอือมระอาต่อการทาสงครามได้นาโงดนิ ห์เดียมกลบั มาเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และได้ใหอ้ สิ ภาพแก่เวียดนาม แต่ได้แบ่งแยกเป็นฝา่ ยคอมมิวนิสต์ และที่มใิ ช่ คอมมิวนสิ ต์ โงดินหเ์ ดียมเป็นพวกโรมนั คาทอลิกทเี่ คร่งครัด เป็นพวกเพยี วรแิ ตน (Puritanical) เป็นผ้ทู ีไ่ ม่ ตรงต่อบคุ คลภายนอก เป็นชายโสดท่มี ักจะเส่ียงออกจากวงั ในไซง่ ่อนเสมอ โงดินหน์ ู อายุ ๕๒ ปี พรอ้ มกับภรรยา เข้าใจกนั วา่ เป็นผู้กมุ อานาจอยู่เบอื้ งหลงั บลั ลังกข์ องโงดินห์เดยี ม เปน็ หวั หนา้ ตารวจลบั และหวั หน้าพรรคปฏิวตั ิกรรมกรซ่ึงมีสมาชิก ๗๐,๐๐๐ คน ทที่ าหนา้ ทีส่ ่วนใหญเ่ ป็น สายลับเพ่อื คอยดูความเคล่ือนไหวของคนอื่นๆ มกี ารทางานประสานกนั เปน็ สายใยเพ่ือผลประโยชน์ส่วน ตน นับวา่ เปน็ “รเิ ฌลิ ยุตะวันออก” (de Richelieu ผ้เู ป็นราชาคณะและรฐั บุรุษของฝรง่ั เศส พ.ศ. ๒๑๒๙ – ๒๑๘๕) ปรชั ญาเกี่ยวกับ การเป็นส่วนเฉพาะตัว” ของโงดนิ ห์นู ปรอทผสมกับลัทธขิ งจอ๊ื ทัศนะในแง่ ศลี ธรรมตามแบบโรมันคาทอลิก ลัทธิอตั ตาธิปไตย เหลา่ นี้นับวา่ เปน็ กฎหมายกง่ึ ทางการของรัฐบาลโงดนิ ห์ เดยี ม สังฆราชโงดนิ ห์ถกึ อายุ ๖๖ ปี พวกนักสังเกตการณบ์ างส่วนในไซง่ ่อนเขา้ ใจกันว่าท่านไม่พอใจสานัก วาตกิ นั ซงึ่ ได้ปฏิเสธคาร้องขอของประธานาธิบดีโงดนิ ห์เดยี มในอนั ที่จะให้แต่งต้งั ตัวท่านใหเ้ ป็นผู้ดารง ตาแหน่งอาร์คบิชอบของไซง่ ่อน แตก่ ลับไดเ้ ป็นเพยี งอาร์คบิชอบของเมืองเวเ้ ทา่ น้นั และครอบครอง ทรัพยส์ มบตั ิอนั มากมายมหาศาลในนามของศาสนา

81 โงดนิ ห์คาม อายุ ๕๕ ปกครองภาคกลางของเวยี ดนามใต้ดุจดังอาณาจกั รทาสสว่ นตวั โดยตั้งศูนย์กลางไว้ ท่ีเมืองเว้ นับเป็นฉากทีช่ าวพุทธได้ก่อการจลาจล เปน็ เหตใุ ห้ถกู ตารวจยิงคนตายไป ๙ คน เม่อื ปลายเดือน มถิ นุ ายน ๒๕๐๖ การจลาจลไดก้ ระทบกระเทือนต่อการทีโ่ งดินหค์ านจะต่อสู้กบั พวกคอมมิวนิสตเ์ วยี ดกง มากทเี ดียว และทาให้ฐานะของพวกเวียดกงดีข้ึน โงดินห์เหลยี น อายุ ๔๘ ปี เป็นบคุ คลที่ตระกลู ไมป่ รารถนาซึ่งเปน็ เหตใุ หเ้ ขาต้องไปอยทู่ ่ีอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ในฐานะเป็นเอกอคั ราชทตู โดยอาศัยมาดามโงดินหน์ ู ซง่ึ ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ สภุ าพสตรเี วยี ดนามหมายเลข ๑ ของประธานาธบิ ดี ซ่งึ เปน็ พ่ี สามนี ้เี องที่ทาให้ครอบครวั ซ่งึ มงั่ คัง่ ของตรนั วนั ชวง อดีตเอกอัครราชทูตประจาสหรัฐอเมริกาได้ถกู นาเข้าสู่ วงการปกครองของโงดินหเ์ ดยี ม ลงุ ของมาดามโงดินหน์ ูชื่อ ตรนั วนั โด ก็เปน็ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวง ต่างประเทศคนแรกของโงดนิ ห์เดียม เมอ่ื ไม่คานึงถึงความจริงท่นี างไดใ้ ชอ้ ิทธพิ ลของตนนาวงศาคณาญาตขิ องตนเข้ามามีอาชพี ในทางการเมือง แลว้ มาดามโงดนิ หน์ ขู าดความยับยัง้ ชัง่ ใจและได้เปดิ เผยความจริงที่วา่ นางไดเ้ หยียดหยามบคุ คลเหลา่ น้นั ครัง้ หนึ่งนางได้ปลดบิดาจากตาแหนง่ ในฐานะที่ “ขข้ี ลาด” มารดาของนางซึ่งไดล้ าออกจากตาแหนง่ ผู้ สังเกตการณ์องค์การสหประชาชาติก็ถกู นางกลา่ วหาว่าเปน็ ชาวพุทธ “ผคู้ ล่งั ศาสนา” ซง่ึ “ไม่รู้ ประสีประสาอะไรมากไปกวา่ เด็กอายุ ๕ ขวบเลย” กลา่ วกันวา่ มาดามโงดนิ หน์ ู น้ันมีอทิ ธิพลต่อนโยบายของเวียดนามมากมายจนไมน่ ่าเชือ่ แม้จนกระทง่ั ว่า นางไดส้ ่ังการแกโ่ งดินหเ์ ดียมดุจไม่ใช่พ่ีสามขี องนาง แต่ดุจดังวา่ โงดนิ หเ์ ดยี มเปน็ ลูกเขยทีอ่ ้อนวอนขอรอ้ ง อย่างถ่อมตนตอ่ แม่ยายซึ่งโหดรา้ ยฉะน้นั นางเปน็ หญงิ ท่สี วยงาม มีสติปัญญา มจี ติ ใจแขง็ กระด้าง ปากจดั เปน็ ผู้หญิงทเ่ี กือบจะว่าเปน็ พวกบ้าระห่า เข้าใจกันว่านางเป็นผู้บงการอย่เู บ้อื งหลังการ ทร่ี ฐั บาลโงดินห์เดียม เบยี ดเบียนพระพทุ ธศาสนา และถา้ หากวา่ เปน็ จรงิ เช่นนนั้ นางก็อยู่ตรงศูนยก์ ลาง พายแุ ห่งสถานการณ์อันวนุ่ วายซง่ึ ล้อมรอบเวยี ดนามอยู่ บดิ าของมาดามโงดินหน์ ู ซง่ึ นบั ถือลัทธิขงจื๊อ และมีหัวกระเดียดมาทางพทุ ธศาสนาเล็กน้อย ทาใหม้ าดา มนมู โี อกาสได้รับทุกสิง่ ทุกอย่างในฐานะเป็นลูกสาวคนม่งั มี นางศึกษาทีป่ ระเทศฝร่งั เศสและมคี นใช้ สว่ นตัวอยทู่ ่บี ้านถึง ๒ คน แต่นางเปน็ ดจุ เงาตามตวั มารดาซ่ึงเปน็ หญงิ ทีส่ วยงามและชอบงานดา้ นน้ี มาก คร้ังหนึ่งมารดาของนางไดเ้ ป็นประธานการประชุมเก่ียวกับวรรณกรรมในไซง่ ่อน นางไดต้ ดิ ตาม มารดาไปและได้พบโงดนิ หน์ ูในงานอาหารค่าครงั้ หนึ่ง ซ่ึงมารดานางจดั ขน้ึ และท้งั สองได้แต่งงานกันเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ บัดนี้นางมีอายุ ๓๘ ปี อ่อนกว่าสามี ๑๔ ปี และมบี ตุ รธดิ าดว้ ยกัน ๔ คน เมอ่ื ประธานาธบิ ดีโงดินห์เดียมถูกเนรเทศน้ัน นางและสามีซ่ึงเคยถูกคอมมิวนิสต์คุมขงั ได้ทางานเพ่ือให้ ครอบครวั เข้ามาครองอานาจในระยะน้ซี ึ่งเริ่มต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เปน็ ต้นมา นางไดเ้ รมิ่ ทาลาย ขนบประเพณีของเวยี ดนามในอันท่จี ะต้องมคี วามสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกบั ญาติพีน่ ้อง นางไดเ้ ลกิ รับเงนิ ทอง

82 จากบดิ าผูเ้ ป็นนักกฎหมายทง้ั ๆ ที่นางและบุตรยังทามาหากินอะไรไมไ่ ด้ นางได้สละศาสนาพทุ ธไปนบั ถือ ศาสนาคริสตน์ กิ ายโรมนั คาทอลิกตามสามี ในทันใดที่โงดนิ ห์เดยี มกลบั มามีอานาจ นางกค็ งยืนเคยี งบ่าเคียงไหลด่ ้วยท้ังๆ ทที่ รพั ย์สมบตั ขิ องบิดาเธอได้ ถูกเวนคนื มาเปน็ ของรฐั เมื่อ ๗ ปมี านเ้ี อง บิดาของนางไดร้ ับการทาขวัญด้วยการมอบตาแหนง่ เอกอคั รราชทตู ประจาวอชงิ ตัน และเป็นตาแหนง่ ทีล่ ูกสาวจะถอดออกเสียเมอื่ ใดก็ได้ มาดามโงดินหน์ ูเป็นฟนั เฟืองอันสาคญั ในระบบท่ีมีความกระชับแน่นทางครอบครัวซงึ่ ปกครองเวยี ดนามใต้ อยู่ นางเป็นสมาชิกคนหน่งึ ของสภาแหง่ ชาติทค่ี วบคมุ นางอยู่ โดยอาศัยตาแหน่งนเี้ องนางไดเ้ พิ่มจานวน สมาชกิ สภาผ้แู ทนหญงิ ใหม้ ากข้นึ และทาใหก้ ารเคลือ่ นไหวของสตรีดูเขม้ แขง็ กระปรีก้ ระเปร่า ซงึ่ บรรดา สตรเี หลา่ น้ีได้ทาหนา้ ท่ีดจุ เป็นสายลบั ของนาง ซึ่งนับว่าทางานประสานกนั เปน็ อยา่ งดีด้วย การงานอนั สบั สนผสมกับการประสานงานด้านการสืบราชการลับของโงดนิ หน์ ผู ้เู ปน็ สามี นับว่าเปน็ เครือ่ งมืออัน สาคัญของโงดนิ ห์เดยี มในการควบคมุ ชาวเวียดนามใหต้ กอยู่ใตอ้ านาจการปกครองของตน แมว้ า่ ตระกลู โงจะชืน่ ชมยนิ ดีต่อการสนบั สนนุ ของประชาชนในตอนต้นๆ เปน็ อยา่ งดี แต่ความเชอ่ื มัน่ ใน ดา้ นการปกครองทป่ี ระชาชนมตี อ่ รฐั บาลนั้นนับวนั จะคลอนแคลนยิ่งขึน้ ในฐานะท่ีเป็นพวกโรมนั คาทอลิก และมีหวั เอนเอยี งไปทางตะวันตกมากน้เี อง ตระกลู โงได้อาศัยอานาจบริหารทาการเปลี่ยนแปลงวฒั นธรรม แบบตะวันออกซง่ึ มีอายุหลายศตวรรษอย่างรุนแรงมาก ภายใตก้ ารบงการของมาดามโงดนิ หน์ ู ระบบการปกครองของโงดนิ ห์เดียมได้ถือว่าเป็นประเพณที ่เี ปน็ หลกั มนั่ ของเวียดนาม เชน่ การมภี รรยาหลายคน การมีนางบาเรอ การหย่าร้าง และโสเภณีนั้น เป็นเร่ืองผิด กฎหมายเปน็ ต้น มาดามโงดินห์นยู ังมีความเห็นวา่ ควรจะมีกฎหมายห้ามการคมุ กาเนิด การทาแทง้ รวมทงั้ การเอาสัตว์มาสู้กัน และการเต้นราด้วย ความเคลอื่ นไหวท้งั หมดนเ้ี ปน็ แบบตะวันตกซึง่ ทาให้ประชาชนชาวเวียดนาม ๗๐% ซึง่ เปน็ ชาวพุทธตก ตะลึงและไม่พอใจเปน็ อย่างมาก มาตรการหลายอยา่ งท่ใี ชใ้ นการบบี ค้ันรังแกพระพทุ ธศาสนาไดก้ ่อใหเ้ กิด ความไม่พอใจเพ่ิมข้นึ เร่ือยๆ พรอ้ มกันนัน้ ก็ไดเ้ กดิ เป็นข่าวลือแพรส่ ะพัดไปว่าครอบครวั ของโงดินห์เดยี ม โดยเฉพาะโงดนิ หน์ ูและภรรยาได้ใชต้ าแหน่งหน้าทอ่ี ันสูงส่งของพวกตนแสวงหาประโยชนส์ ว่ นตวั จากสองสามเร่ืองนี้ กท็ าใหเ้ ราพอจะเห็นเบ้ืองหลังทางด้านครอบครัวและดา้ นการเมืองแล้ววา่ ใครท่มี ี อานาจท่ีแท้จริงในเวยี ดนาม และอะไรเป็นต้นเหตุท่ีทาใหเ้ กิดความยุง่ ยากท่ัวไปทกุ หนทุกแหง่ จนกระท่ัง เกิดปฏิวตั ริ ฐั ประหาร ทาใหผ้ ู้ท่ีมอี านาจอยู่วานนี้พอมาถึงวันน้ีในบ้านของตนก็ไม่มีที่จะซุกหวั นอน และ บา้ งก็ถึงแก่ความตายไปอย่างน่าอนาถทสี่ ดุ นแี่ หละเป็นเพราะผ้หู ญิงคนเดยี วเท่าน้ันแท้ๆ เมอ่ื เข้ายุง่ กับ การบ้านการเมืองก็พลอยทาให้บ้านเมืองต้องยุ่งยากไปทว่ั ไมใ่ ชล่ าบากเฉพาะตวั คนเดียวยังนาความ ลาบากมาสูป่ ระชาชนท้ังชาติด้วย ความยุ่งยากนมี้ ผี ลแผ่ขยายเขา้ ไปส่ปู ระเทศอ่นื ดว้ ยไม่มากก็น้อย สาหรบั มาดามโงดนิ ห์นนู น้ั แม้ว่าบางคร้ังจะทาความเจริญให้แก่ประเทศชาติ แต่ถา้ การกระทาน้ันประชาชนไม่ เห็นดว้ ยกไ็ ปไมร่ อด อยา่ งหา้ มตไี ก่ กดั ปลา ชนววั อะไรทานองนี้ แม้นางจะทาดว้ ยความหวงั ดี แตเ่ มอื่

83 ไม่ไดร้ ับความเห็นชอบจากมหาชนก็กลายเป็นโทษไปเพราะเท่ากับเปน็ การ “ขม่ เขาโคขนื ให้กนิ หญ้า” แต่ การกระทาบางอยา่ งก็เป็นแบบตะวันตกมากเกนิ ไป อยา่ งเช่น การห้ามมีอนภุ รรยาหรือนางบาเรอ แมจ้ ะ เป็นการกระทาท่ีดี แต่เมื่อขนบธรรมเนียมประเพณีเขาไม่ถือว่าเสียหาย นางก็พยายามจะใชอ้ านาจหา้ ม โดยถอื ว่าเป็นการผดิ กฎหมายนน้ั ก็เท่ากับเปน็ การ “หกั ดา้ มพร้าดว้ ยเขา่ ” ในทส่ี ดุ กเ็ ขา่ หกั การกระทาท่ีไม่ คานึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณเี สียบา้ งเลยจะใหเ้ ป็นฝรัง่ อยา่ งตนไปหมดนนั้ จึงก่อใหเ้ กิดความไมพ่ อใจ ขึน้ ในหมู่ชนสว่ นใหญ่ เมอ่ื ผสมกับความไม่พอใจในด้านการศาสนา และการใช้อานาจที่เกินขอบเขตแลว้ ในทสี่ ดุ กก็ ลายเปน็ การ ปฏิวตั ิรัฐประหารดังที่ได้ทราบอยแู่ ล้วนั้น การกระทาของนางโงดินหน์ นู ไี้ ม่ใชจ่ ะสร้างความไมพ่ ึงพอใจและ ความโกรธแคน้ ให้แกป่ ระชาชนโดยเฉพาะชาวพทุ ธเท่านนั้ แมบ้ ดิ ามารดาของนางเองก็ไม่พอใจถงึ กับ ลาออกจากตาแหน่งเอกอคั รราชทตู และผสู้ งั เกตการณป์ ระจาองค์การสหประชาชาติ และไดป้ ระณาม ตระกลู โงว่า “บ้าอานาจ” ดงั ที่หนังสอื พิมพ์ THE YOMIURI ได้เขยี นข้อความในตอนน้วี ่า บทความอกี เรื่องหนงึ่ ในหน้าเดยี วกันและในหนังสือพิมพ์ Yomiuri ฉบับเดียวกนั น้ันไดก้ ลา่ วถึงตรันวนั ชอง เอกอคั รราชทูตเวียดนามใตป้ ระจาสหรัฐอเมรกิ า และเปน็ พอ่ ตาของโงดินห์นูว่า ท่านผนู้ ไ้ี มพ่ อใจต่อการ กระทาของรัฐบาลโงดินหเ์ ดียมเปน็ อยา่ งมากถงึ กับได้ขอลาออกจากตาแหน่งเอกอัครราชทตู เวยี ดนาม ประจาสหรัฐอเมริกา และยงั ได้วพิ ากษว์ จิ ารณ์เรือ่ งการเกิดปฏิวัตใิ นเวียดนามใต้ว่าเป็นการสะทอ้ นภาพให้ เหน็ ความไม่พอใจทางด้านการเมืองของประเทศชาติซง่ึ ได้มีปฏกิ ริ ยิ าต่อความไม่ยุติธรรม และความไร้ ประสทิ ธภิ าพของรัฐที่อยูภ่ ายใต้อานาจตารวจ ตรันวนั ชวงไดใ้ หค้ วามเห็นวา่ เวียดนามใต้ แมจ้ ะมโี งดินหเ์ ดียมเป็นประมุข แตท่ ว่าอานาจท่ีแทจ้ ริงนนั้ อยู่ท่ี โงดินหน์ ซู งึ่ เปน็ บตุ รเขยของตรนั วนั ชอง และสาหรบั โงดนิ ห์เดียมและโงดนิ หน์ ูต่างก็เปน็ คาทอลิกท่ีอยู่ใน ประเทศทีป่ ระชาชนส่วนใหญ่นบั ถอื พระพุทธศาสน ส่วนตวั ตรันวันชองเองน้นั นบั ถือลทั ธิขงจือ๊ ตรันผนู้ ี้ กล่าวว่ารฐั บาลของโงดินหเ์ ดยี มไดท้ าความผิดอยา่ งโงเ่ ขลาในเรอ่ื งเกย่ี วกับพระพุทธศาสนา แตท่ วา่ ใน ความเหน็ ของชวงนน้ั ศาสนามิได้เปน็ สิง่ ท่ีก่อใหเ้ กดิ วิกฤติการณ์อยา่ งรวดเร็วในเวียดนามใตเ้ ลย ทา่ นเห็น วา่ โงดินห์นูไดต้ ดั โงดินหเ์ ดียมออกจากโลกภายนอก และได้ทาตัวเองเป็นดจุ แนวทางชวี ิตของโงดินห์ เดียม เมอื่ พดู ถงึ วิกฤติการณ์ทางพระพุทธศาสนาแลว้ ตรนั วนั ชวงถือวา่ วิกฤตกิ ารณ์นั้นเป็นเพยี งผลแห่ง ระบบอนั ชั่วรา้ ยของโงดินห์เดียมเทา่ นั้นเอง หาไดเ้ ปน็ สาเหตุไม่ นอกจากนน้ั มลั คอลม์ ดับบลิว. บราวน์ (Malcolm W. Browne) ยงั ได้วิจารณ์ไวใ้ น หนงั สือพมิ พ์ Yomiuri น้ันเอง เก่ยี วกับการที่ทหารและตารวจต้องจับกมุ ทาร้ายชาวพุทธทงั้ คฤหัสถ์และ บรรพชิตนัน้ ว่าเป็นเพราะความเร่งเร้าและคาส่ังของโงดนิ ห์นู ลาพงั กองทัพบกเองนน้ั หาไดม้ ีความ ปรารถนาที่จะทารนุ แรงอะไรเช่นน้ันเลย แมว้ า่ วกิ ฤติการณ์ทางด้านการเมืองจะผ่อนคลายลงบา้ งเพราะรัฐบาลโงดินหเ์ ดียมหมดอานาจ ตัวโงดนิ ห์ เดยี มและโงดนิ ห์นูน้องชายก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว และมาดามโงดนิ ห์นกู ็ตอ้ งเนรเทศตัวเองไปอยูใ่ นฝร่งั เศส แล้ว ในระยะแรก ๆ กไ็ มส่ ู้มีเหตุการณ์อะไรนกั เพราะคณะทหารในบัญชาการของนายพลเดอื งวนั มินหไ์ ด้

84 เข้าครองอานาจ และต่อมานายพลเดอื งวนั มินห์และคณะมีท่าทีหนั เหไปทางท่ีจะถือนโยบายเปน็ กลางตาม คาแนะนาของประธานาธบิ ดีเดอโกลแห่งฝรงั่ เศส ทาให้นายทหารหนมุ่ กล่มุ หนงึ่ มคี วามไม่พอใจอย่างมาก ในทีส่ ดุ พวกนายพลหนุ่มโดยการนาของนายพลเหงยี นคานห์ก็ทาปฏวิ ตั ิซ้อนได้สาเรจ็ และตงั้ ตัวเป็นใหญ่ ขึ้นมา แต่โดยเหตทุ ตี่ นเองยังไม่มบี ารมมี ากพอจึงต้องเอานายพลเดืองวนั มินหเ์ ป็นตวั เชิดไว้ก่อน แตท่ ว่าใน วงการทหารแล้วนายพลเหงียนคานหม์ ีอิทธิพลเหนอื กวา่ นายพลเดืองวันมนิ ห์มาก แตน่ ายพลเดืองวันมินห์ คุมเสยี งประชาชนไดม้ ากกวา่ เพราะเป็นวรี บุรุษในการนากาลงั โค่นรัฐบาลโงดนิ ห์เดียม เมื่อนายพลเหงียนคานห์ทาการปฏิวัติซ้อน โดยอ้างวา่ พวกนายพลเดอื งวันมินห์จะหันไปถือนโยบายเป็น กลางนั้น นายพลเหงยี นคานห์ได้รับการสนบั สนุนจากทหารมาก และประชาชนพอสมควร และต่อมากไ็ ด้ เปน็ หัวหนา้ รฐั บาลบรหิ ารประเทศ ในระยะนี้คะแนนนยิ มของนายพลเหงยี นคานหท์ วยี ง่ิ ขึน้ ทกุ ที เพราะ เหงยี นคานหร์ จู้ กั จิตวิทยาในการทาตัวให้เปน็ ที่พออกพอใจของทุกฝา่ ย ไม่ด้ือดงึ ร้จู กั แพ้ ร้จู ักชนะ และทา ตัวเปน็ ผู้ร่วมทุกขร์ ว่ มสุขกับทหารในแนวหนา้ เพราะออกตรวจแนวรบเสมอ บรรดาลกู นอ้ งทง้ั หลายก็คงจะ ยกยอ่ งกนั ใหญ่ ในทีส่ ุดสภาปฏิวตั ขิ องเวยี ดนามใต้กไ็ ด้คะแนนเสียงโหวตให้นายพลเหงียนคานห์เป็น ประธานาธิบดขี องเวยี ดนามใต้ เมื่อวันท่ี ๑๖ สงิ หาคม พ.ศ ๒๕๐๗ ซ่ึงการเข้าดารงตาแหน่งของเหงียน คานห์น้ี พวกชาวพุทธบริษทั ท้ังหลายไม่พอใจเพราะเกรงว่าเหงียนคานหจ์ ะมีอานาจจนเกินไปซงึ่ อาจทาให้ เกดิ ประวัติศาสตรซ์ ้ารอยขึน้ มาอีกได้ ส่วนพวกครสิ ต์ศาสนิกชนส่วนมากเห็นด้วยเพราะเห็นว่านายพล เหงียนคานหพ์ อจะเขา้ กับพวกชาวครสิ ตท์ ั้งหลายไดด้ ีกว่าคนอืน่ ๆ และเปน็ ผทู้ ่ีมีนโยบายไปในทางทไ่ี มใ่ ช้ อานาจรุนแรงนัก ภาพจาก : www.biz.co.th พระพทุ ธศาสนาในประเทศเวียดนาม (จบ) การท่ีนายพลเหงยี นคานห์ได้กา้ วจากตาแหนง่ นายกรฐั มนตรโี ดยมนี ายพลเดืองวนั มนิ ห์เปน็ ประมขุ ของรฐั มาเปน็ ประธานาธบิ ดี ซึง่ คมุ อานาจท้งั หมดเสียเองนท้ี าใหน้ ายพลเหงียนคานห์สามารถที่จะทาอะไรได้ สะดวกยิ่งขึ้น เท่ากบั เป็นเผด็จการกลาย นน้ั เอง แมว้ า่ นายพลเหงยี นคานหจ์ ะยนื ยันให้เหน็ ว่าการกระทา ต่างๆ ท่แี ลว้ มามิได้สอ่ ว่าตนเปน็ ผู้เผด็จการเลย แต่ทว่าการทาให้นายพลเดืองวนั มินหห์ มดอานาจไปนัน้ ก็ ทาให้นายพลเหงียนคานหต์ กอยใู่ นฐานะทลี่ าบากมากเหมือนกนั เพราะในสภาปฏวิ ตั นิ ัน้ ก็มีสมาชกิ ถึง ๗ คน (ใน ๕๗ คน) ไดล้ งคะแนนเสยี งคัดคา้ นในเร่ืองทีจ่ ะให้นายพลเหงียนคานห์เปน็ ประธานาธิบดี นาย พลเดอื งวนั มนิ ห์แม้จะหมดอานาจแตก่ ค็ งเปน็ ทเี่ คารพรักของชาวนาและชาวพทุ ธท้ังหลายทีก่ ลัวการท่ีจะ

85 เกดิ มีลทั ธิ “เดียมใหม่” ข้ึนมาอีก เหตุการณ์ที่น่าสลดใจทีเ่ คยเกิดมมี าครัง้ หนึ่งเพราะการทพี่ ระในพระพุทธศาสนาเขา้ ไปยุ่งกบั การเมืองเพื่อ โคน่ รฐั บาลโงดินหเ์ ดียมซ่งึ ครง้ั น้ันได้รับความเหน็ ใจจากชาวโลกท้งั มวลนั้น มาบัดนีเ้ หตุการณแ์ บบนั้นก็ ไดเ้ กดิ ขึ้นมาอีก ในเมอ่ื ชาวพุทธทง้ั หลายโดยการนาของพวกพระได้กอ่ ความวุ่นวายขนึ้ หลังจากท่ีนายพล เหงียนคานห์ไดด้ ารงตาแหน่งเป็นประธานาธบิ ดเี พยี งวนั เดียว ท้งั น้ไี ด้มีนกั ศกึ ษาของประเทศประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ได้ชมุ นุมกันเดินขบวนคัดคา้ นนายพลเหงียนคานห์ ไดเ้ กิดมีความว่นุ วายขน้ึ จนกลายเปน็ เหตุการณร์ ุนแรงถงึ ขนาดเปน็ ศึกศาสนาระหว่างพุทธบริษัทกบั คริสตศ์ าสนิกชนในเวยี ดนามใต้ ยิง่ กว่าน้ัน หลงั จากที่ไดเ้ กดิ ปะทะกนั ระหวา่ งศาสนิกชนท้ังสองฝา่ ยเป็นเหตุให้มผี เู้ สียชีวติ ในไซ่ง่อน ๑๒ คน ในเมอื งดานังและเมืองเว้อีก ๘ คน และบาดเจ็บอีกราว ๑๕๐ คน แลว้ เหตุการณ์กส็ งบลงชั่วคราว เพ่ือใหเ้ วลาคณะผบู้ รหิ ารประเทศเวียดนามใตป้ ฏิรูปการปกครองเสยี ใหม่แลว้ พุทธบริษทั ก็ประกาศ ร่วมกบั คณะนักศกึ ษาเวียดนามใตอ้ ีกว่า จะเดนิ ขบวนต่อต้านรฐั บาลอกี ถา้ หากการปฏริ ปู การปกครอง ของรัฐบาลไมเ่ ปน็ ทน่ี า่ พอใจ ในการประทว้ งรฐั บาลครง้ั น้ี ภกิ ษทุ ัมเชา ซึ่งเปน็ พระภิกษุอาวโุ สและเป็นประธานคณะกรรมการผสมของ พระพทุ ธศาสนานิกายตา่ งๆ ไดเ้ ปน็ หวั หน้าใหญใ่ นการดาเนินการประท้วงครั้งน้ี นายพลเหงียนคานหซ์ ึ่ง เป็นบคุ คลทีม่ ีนโยบายประนีประนอมอยแู่ ล้วถงึ กับยอมยินดีลาออกจากตาแหน่งประธานาธิบดีท่ีตนเพิ่ง ไดร้ บั แตง่ ต้ังใหม่ๆ ซ่ึงการลาออกของนายพลเหงยี นคานห์นี้เปน็ เหตุกอ่ ให้เกิดการปกครองระบบท่มี ี หวั หน้าใหญ่สามคนเป็นผบู้ รหิ ารประเทศรว่ มกนั นัน่ คือตวั นายพลเหงียนคานห์เอง นายพลเดืองวนั มิน และนายพลตรนั เทยี นเงียม ซ่ึงนบั ถือคริสตศ์ าสนานิกายโรมันคาทอลิก นายพลตรนั เทียนเงียมกร็ ู้สึก เอือมระอาต่อการทพี่ ระสงฆ์ทางพระพทุ ธศาสนาเข้ามายุ่งเก่ียวแทรกแซงทางการเมืองมากเกินไปจนดู พรา่ เพรื่อ ในทส่ี ุดเลยลาออกจากตาแหนง่ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงกลาโลม จงึ เป็นอนั วา่ ในระยะนี้ ทหาร พระทางพระพทุ ธศาสนา และนักศึกษากลายเป็นหนว่ ยสาคัญของวงการเมืองของเวียดนามใต้ไปแลว้ แม้นายพลเหงยี นคานห์จะยอมสละตาแหน่งประธานาธิบดีมาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเดิมแลว้ แต่พวก พระและนักศกึ ษากย็ งั คงไมพ่ อใจอยู่นั่นเอง พวกพระและนักศกึ ษาต้องการให้มรี ฐั บาลพลเรอื นปกครอง ประเทศเพ่ือทหารจะได้ไปรบไดเ้ ต็มท่ี และไม่ต้องมายุ่งกับการเมืองอีกต่อไป ในที่สุดทางฝา่ ยสภาปฏิวตั ิ ทหารก็เลือกนายผา่ มคคั ชูขน้ึ ดารงตาแหน่งประมขุ คนใหม่ของรัฐ และในปลายเดือนตุลาคม ๒๕๐๗ น่ันเอง นายผา่ มคคั ชกู ็เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหมเ่ สนอคณะมนตรสี ูงสดุ ของชาติ เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๗ และคณะมนตรฯี ก็ไดอ้ นมุ ัติผู้ท่ีถูกเลือกขึ้นมาเป็นหัวหน้ารฐั บาลใหมข่ องเวยี ดนามใต้ คอื นายต รันวันฮวง นายกเทศมนตรีนครไซ่ง่อนน่นั เอง นายกรัฐมนตรคี นใหม่นีม้ ปี ระชาชนยกย่องนบั ถือมาก เพราะมีความเป็นอยู่งา่ ยๆ เปน็ คนทีร่ ักษาศักด์ิศรีของตนอยา่ งมนั่ คง ไมย่ อมรับสิทธิพิเศษอะไรท้งั หมด และไดเ้ คยเป็นปฏปิ กั ษ์คนสาคัญของอดีตประธานาธิบดีโงดินห์เดียมมาแลว้ ถึงขนาดว่าเมือ่ ไมเ่ ห็นดว้ ย แลว้ เปน็ ไมย่ อมทาตามอย่างเดด็ ขาด ออกเป็นออกกนั ทีเดียว พอตรันวนั ฮวงซึ่งเป็นพลเรอื นได้เขา้ ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรีสมตามประสงค์ของพทุ ธบรษิ ัทและ

86 นกั ศึกษาแล้วเรื่องจะยตุ ิลงเพียงแค่น้นั ก็หาไม่ วนั พุธที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ นายกรฐั มนตรตี รันวันฮวง กจ็ ดั ต้ังคณะรัฐบาลขนึ้ ไดส้ าเร็จ รฐั มนตรที ั้งหมดล้วนเปน็ พลเรือนท้งั สิน้ และเป็นนักวชิ าการเสียมากกวา่ ที่จะเปน็ นักการเมืองซ่ึงดูออกจะอ่อนแอเกินไปสกั หน่อย เพียงชั่วระยะเวลาไม่ถงึ ๒๔ ช่ัวโมง รฐั บาลพล เรือนชุดใหมก่ ็ต้องเผชิญกบั มรสุมทางการเมอื งอยา่ งหนกั เป็นเหตุทาให้ ดร. เหงียน ชวนจู ประธานคณะ มนตรีสูงสุดแหง่ ชาติ ได้ขอลาออกจากตาแหน่งทันที เพ่ือเป็นการประทว้ งรฐั บาลของนายตรนั วนั ฮวงน้นั จะไม่ได้รับการสนบั สนุนจากประชาชนเปน็ อันขาด นอกจากนั้นบรรดาหนงั สือพมิ พท์ ้ังหลายในเวยี ดนาม ใต้ ผนู้ าฝ่ายศาสนา และผูน้ านกั ศึกษาตา่ งกไ็ มพ่ อใจรฐั บาลชดุ นี้ทง้ั น้ัน นายกรัฐมนตรตี รันวนั ฮวงกล่าวว่า เขายงั มองไมเ่ หน็ เลยว่าเหตุใดรฐั บาลจงึ ต้องตกเป็น “นกั โทษ” ของกล่มุ บุคคลท่เี คยบบี คั้นอย่นู ้ัน รัฐบาล ของเขาจะไม่เขา้ ไปผูกพันกับผลประโยชนข์ องกลมุ่ ชนนน้ั ๆ และได้ยนื ยนั วา่ จะไม่ขอปรับปรงุ คณะรัฐบาล ใหม่ด้วย เสยี งวิพากวิจารณ์สว่ นใหญ่ก็ว่ารฐั มนตรีในรัฐบาลชดุ นี้สว่ นใหญ่เป็นนักวิชาการท่ีไม่ประสีประสาทาง การเมืองเลย ดแี ตว่ ่ามีนายพลเหงียนคานห์ ผู้บญั ชาการทหารสูงสดุ สนบั สนนุ อย่เู ทา่ นน้ั เองจึงเสยี งแข็งได้ พอถงึ วันศุกร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ วกนกั ศกึ ษาก็ได้พากนั เดนิ ขบวน จนกระท่ังได้เกิดปะทะกับ กาลงั ฝา่ ยปราบปรามอย่างรนุ แรง และในตอนเย็นวันท่ี ๑๓ พฤศจิกายน นน้ั เอง นายกรัฐมนตรตี รันวันฮ วงกไ็ ดเ้ ข้าร่วมประชุมคณะมนตรีสูงสดุ และบรรดาผสู้ ื่อขา่ วเป็นเวลา ๕ ชวั่ โมงคร่ึง ในการประชมุ ครง้ั นมี้ ี เสยี งโจมตรี ฐั บาลอย่างเผด็ ร้อน นายกรฐั มนตรีฮวงกย็ ังคงยืนกรานไม่ยอมปรับปรงุ รฐั บาลอยู่นัน่ เอง ถึงกบั สมาชิกคณะมนตรีแหง่ ชาตคิ นหนงึ่ ลุกขึ้นตะโกนบอกนายกรฐั มนตรีวา่ “ขา้ พเจ้าขอใหท้ า่ นจดั การ ปรบั ปรงุ คณะรัฐมนตรีของทา่ นเสยี โดยด่วน ประชาชนไดเ้ รียกร้องเช่นน้มี าห้าวันแล้ว โดยอาศัยรัฐบาล ชุดนเี้ ราไม่มที างส้คู อมมวิ นสิ ต์ไดเ้ ลย” บรรดาสมาชกิ คณะมนตรีแหง่ ชาตไิ มย่ อมรบั ฟังคาวิงวอนของนายกรัฐมนตรีฮวงทข่ี อให้รฐั บาลของเขา ควรมเี วลาพสิ จู น์ตวั เองก่อน ขอ้ คัดคา้ นของนักศึกษาและหนังสือพิมพ์กม็ ีอยู่ว่า นอกจากตวั บคุ คลจะเข้า มาเป็นรัฐมนตรีหลายคนไมป่ ระสปี ระสาทางการเมืองแลว้ รฐั บาลชุดนี้ยังจะกันการเมืองมิใหย้ ่งุ เก่ียวกับ ศาสนาและสถาบันการศกึ ษาอีกดว้ ย และขอ้ ทจ่ี ุดความไม่พอใจอย่างมากแก่วงการท่วั ๆ ไป คือ มี รัฐมนตรหี ลายคนเคยเปน็ รฐั มนตรอี ยู่ในระบบการปกครองของอดีตประธานาธบิ ดโี งดินห์เดยี ม ซึ่งวงการ ทง้ั หลายพากันชงิ ชงั อยูม่ าก เม่ือนายกรฐั มนตรีตรนั วนั ฮวงไมย่ อมปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหมก่ ็มีการเดนิ ขบวนเปน็ การประท้วงกนั ทวั่ ไปเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ทงั้ นกี้ เ็ พราะเนื่องจากพิธีการทาศพเด็กหนุ่มซึง่ ถูกฆา่ ในการเดนิ ขบวน เมือ่ วนั ท่ี ๒๕ พฤศจกิ ายน คราวน้ที หารพลร่มของรฐั บาลบุกเข้าชิงหบี ศพเด็กหนมุ่ คนหนึ่งขณะทศ่ี พถูก นาไปท่ีวัด ถึงขนาดมีการใช้ปืนหวดซ้ายป่ายขวาตอ่ พวกท่ีเข้าขบวนแห่ศพ จากน้นั กม็ กี ารชุมนุม เดนิ ขบวนแอนต้ีรฐั บาลและถูกทหารพลร่มบกุ แตกกระจายไป มผี ูถ้ ูกจับกมุ ตั ๘๙ คน ขา้ หลวงทหารประจาเขตไซ่ง่อนได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาวา่ เพราะพวกคอมมิวนิสต์ยยุ ง ทางฝ่าย หัวหน้าชาวพทุ ธกก็ ลา่ วหาว่า พวกทหารกอ่ กวนพธิ กี รรมของชาวพุทธเมอ่ื วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน นี้ ณ สานกั งานใหญ่ของชาวพทุ ธได้มใี บปลวิ กลา่ วหานายกรฐั มนตรวี า่ เพกิ เฉยไม่ตอบคาประท้วงของชาว

87 พุทธแจกจ่ายไปท่ัวและมีธงเขียนปา้ ยประกาศว่าจะเปิดสานักงานต้ังแต่วันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ เป็นต้นไป เป็นการประทว้ งการปฏิบัติก่อกวนชาวพทุ ธของนายกรฐั มนตรี นายตรนั วันฮวงไดย้ นื ยนั ว่า จะไมย่ อมอ่อนข้อตอ่ ความกดดันใดๆ เป็นอนั ขาด และจะปรับปรุง คณะรฐั มนตรกี ็ต่อเม่ือความตึงเครียดไดผ้ ่อนคลายลง และเมอ่ื รู้สึกว่ามีความจาเป็นเท่าน้ัน พร้อมกนั นัน้ นายพลเหงียนคานห์ก็ตกอยู่ภายใตค้ วามกดดันอย่างแรงกลา้ จากพวกนายทหารหนุม่ มใิ ห้เข้าไปเกยี่ วข้อง กับชาวพุทธซง่ึ กาลงั แอนต้รี ัฐบาลอยู่ในขณะนน้ั และขอให้นายพลเหงียนคานห์ทาหนา้ ที่ทหารแต่ฝ่าย เดียว และเม่ือวนั ที่ ๖ ธนั วาคม ๒๕๐๗ กไ็ ด้มกี ารประชุมพวกแม่ทัพนายกองคนสาคญั ของเวียดนามใต้ เพอื่ บบี บังคบั ให้นายพลเหงียนคานหใ์ หค้ าม่นั สัญญาอยา่ งแน่นแฟน้ วา่ จะสนับสนนุ นายกรัฐมนตรตี รนั วันฮวงภายในวนั ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ น้ัน มฉิ ะนั้นกใ็ ห้นายพลเหงยี นคานหล์ าออกไปเสยี การทส่ี หรฐั อเมริกาสนับสนนุ รฐั บาลของนายตรนั วันฮวงนั้นทาใหพ้ ุทธศาสนิกชนทั้งหลายไมพ่ อใจมาก ชาวพทุ ธทัง้ หลายซึ่งไดเ้ ปดิ สถาบันทางพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ช่อื เวียนโฮวเดา๋ ข้นึ มาใหม่ สถาบันแห่ง นเ้ี ปน็ ศูนย์กลางการปฏบิ ตั งิ านทแ่ี อนต้ีรฐั บาล พวกพระไดเ้ สนอใหน้ ายพลเทเลอร์ เอกอัครราชทูต อเมริกันประจาเวียดนามใตช้ ่วยเหลือตนกาจดั รฐั บาลนายตรันวันฮวงออกไปเสยี และได้เตือนนายพลเท เลอร์วา่ ถ้าไมช่ ่วยชาวพทุ ธกาจดั รฐั บาลนายตรันวันฮวงแล้ว การรณรงค์เพอ่ื แอนต้ีตรันวนั ฮวงนั่นแหละจะ กลบั มาเปน็ แอนตี้อเมรกิ าไป ถึงวนั ท่ี ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗ ณ ศนู ย์สถาบันทางพระพุทธศาสนาในเมืองไซง่ ่อน ไดม้ ีพระเถระชั้นผใู้ หญ่ ชือ่ ทัมจูว และไตรกวาง ผนู้ าพทุ ธบริษัทได้เร่มิ กอ่ การประท้วงดว้ ยการอดอาหาร ในขณะเดียวกนั น้ัน รฐั บาลพลเรือนของนายตรันวันฮวงกก็ าลังแตกแยกกนั เพราะการบีบคั้นของพทุ ธบรษิ ทั ท่านทัมจวู ได้ ประกาศว่าการประทว้ งคร้ังใหญ่กาลงั จะมีต่อไป ถา้ หากนายกรฐั มนตรีตรนั วันฮวงยังคงกลา่ วโปป้ ดใส่ร้าย ชาวพุทธต่อไป ท่านไดป้ ระกาศต่อสงฆ์และชปี ระมาณ ๕๐๐ รูป ทอี่ ดอาหารวา่ นายกรัฐมนตรีฮวงได้ กลายเปน็ ผนู้ าเผดจ็ การเหมือนโงดนิ ห์เดียมแล้ว การต่อต้านรฐั บาลคร้ังน้ี ทา่ นทมั จูวได้แถลงว่าเปน็ การ ตอ่ ตา้ นในรูปท่ีไม่มีนยิ มความรนุ แรง และในรูปที่ไมย่ อมใหค้ วามรว่ มมือกบั รัฐบาล การต่อต้านจะดาเนนิ ต่อไปจนกว่าจะมีการเปลยี่ นแปลงรัฐบาล ท่านทัมจูวผ้นู ้ียังได้ส่งจดหมายไปถงึ ประธานาธบิ ดจี อหน์ สัน แหง่ สหรัฐอเมริกาบอกว่า การสนบั สนุนรัฐบาลตรันวนั ฮวงน้นั จะก่อใหเ้ กิดความวนุ่ วายและไรเ้ สถียรภาพ ขึน้ ในเวียดนามตลอดกาล ทา่ นทัมจวู เปน็ ตัวตั้งตัวตีในการแอนตีร้ ฐั บาลชดุ ของนายตรันวนั ฮวง ไดเ้ ขา้ พบนายผา่ มคัคซู ประมุขของ ชาตทิ ว่ี งั ยาลอง เม่ือวันที่ ๑๙ ธนั วาคม ๒๕๐๗ ทัง้ นนี้ ับวา่ เป็นการเคลอื่ นไหวในอันทจ่ี ะผ่อนคลาย วิกฤตกิ ารณ์ทางการเมืองใหเ้ บาบางลง การตดิ ต่อระหวา่ งผ้นู าชาวพุทธกับประมุขของรัฐครง้ั นกี้ ็เพ่ือ หาทางปรองดองกนั ระหวา่ งพุทธบรษิ ัทกบั รฐั บาล และการเจรจายังคงมีอย่ตู อ่ ไป ความเคลอ่ื นไหวเพือ่ ความปรองดองกันน้ี ความจริงมหี ลายวันแล้วแตไ่ ม่เป็นทีเ่ ปิดเผย ทางฝา่ ยพุทธบรษิ ัทต้องการใหร้ ฐั บาล รับรู้ว่าไดม้ กี ารเขา้ ใจผดิ ในการดาเนินการของพทุ ธบรษิ ทั และใหร้ ัฐบาลออกประกาศมาให้ชดั แจ้งแนน่ อน ถึงเวลาทีจ่ ะจดั ต้ังสภาแห่งชาตเิ พ่อื จะทาหนา้ ท่ีเปน็ ฝา่ ยนิติบญั ญตั ติ อ่ ไป

88 ไดท้ ราบว่านายกรฐั มนตรตี รนั วันฮวงได้ขอรอ้ งพุทธบริษัทในไซ่ง่อนให้ยดึ ถือกฎหมายเป็นหลัก และให้ พระเถระผ้นู าพุทธบริษทั เลกิ ตง้ั ตวั เป็นรฐั ซ้อนรฐั เสยี แสดงว่าทง้ั สองฝ่ายตา่ งกม็ ีทฐิ ิมานะอย่ใู นที จงึ ทาให้ การออมชอมกนั มีทางทาได้น้อยมาก ในไซง่ ่อนเองกเ็ กรงกันวา่ ถ้าฝ่ายพุทธบริษัทไม่สามารถบรรลผุ ลตามความพอใจของตน ท้ังในการปกครอง และทางการเมืองแล้วก็อาจเรียกรอ้ งให้มกี ารปฏิวตั ขิ ้นึ ในเวียดนามภาคกลางได้ ทางฝ่ายคณะทหารก็ไดม้ กี ารประชมุ กนั หาทางท่ีจะลดอานาจนายพลเหงียนคานห์และได้มกี ารประชุมลบั กนั อย่เู สมอ มีอย่เู รื่องหนึ่งที่คณะทหารไดม้ ีมตวิ า่ ผทู้ ี่รับราชการเกนิ ๒๕ ปีแล้วจะต้องลาออกจากราชการ และได้เสนอเร่ืองน้ไี ปยังนายกรฐั มนตรีตรันวันฮวง และนายกรัฐมนตรีกเ็ หน็ ชอบด้วย แตเ่ มือ่ ไปถึงมอื นายผ่ามคัคซูประมุขของชาติและสภาแห่งชาตแิ ลว้ สภามีความเหน็ วา่ ถา้ รับมตนิ ก้ี ็เทา่ กับเป็นการปลด นายพลเดอื งวันมนิ หอ์ อกน่ันเอง และน่ันหมายถงึ จะเกิดความย่งุ ยากกันใหญ่ เพราะนายพลเดืองวนั มนิ ห์ นั้นไดร้ บั ความสนบั สนนุ จากพุทธบริษัทมาก ตอ่ มาในคืนวันท่ี ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๗ พวกนายทหารหน่มุ หรอื “ยังเตอร์ก” ได้ทารัฐประหารล้มสภา แห่งชาติ (High National Council) และจบั กุมนักการเมืองทีม่ ีช่ือเสียงไว้หลายคน ทางสถานทตู อเมริกนั ไดข้ อใหป้ ล่อยตวั นักการเมอื งที่ถูกจบั เหล่าน้ันเสีย มฉิ ะนั้นอเมรกิ าอาจต้องพิจารณาเรื่องการใหค้ วาม ชว่ ยเหลือเวยี ดนามเสยี ใหม่ จุดมุง่ หมายของคณะเตอร์กหนุ่มเหลา่ นีก้ ็เพื่อโคน่ คณะรัฐบาลชดุ นายตรนั วนั ฮวงและสภาแห่งชาติลง สว่ นตวั ผ้เู ป็นประมขุ ของชาติและตวั นายกรัฐมนตรเี องน้นั คณะทหารยังคง ขอใหด้ ารงตาแหนง่ ต่อไป ซ่ึงการทารฐั ประหารน้ยี ่อมเป็นการแสดงให้เห็นวา่ คณะทหารยังคงมีอานาจ เต็มท่ี ทางสหรฐั อเมรกิ าก็พยายามทจี่ ะหาทางให้พวกนายทหารท้ังหลายเหล่านแ้ี ยกตัวออกจากการเมือง และหาทางให้พวกผนู้ าทางฝา่ ยพลเรือน ฝ่ายทหาร และฝ่ายพุทธบริษัทปรองดองกนั เพื่อรว่ มกนั ต่อสู้กบั พวกเวียดกงต่อไป ฝ่ายนายพลเหงยี นคานห์ก็กล่าวหาวา่ สหรัฐอเมรกิ าเป็นผสู้ นับสนนุ การรัฐประหารคร้งั นเี้ พ่อื ลิดรอน อานาจของต ตอนนแ้ี สดงใหเ้ ห็นว่านายพลเหงียนคานห์ไดร้ ะแวงสหรัฐอเมริกามาก นายพลเหงยี นคานห์ จงึ พยายามพดู แอนตี้อเมริกาและนายพลเทเลอรเอกอคั รราชทูตมาก แตโ่ ดยทว่ั ๆ ไปแล้วก็ไมค่ ่อยมี ข้าราชการทแ่ี อนต้ีอเมริกา การทีน่ ายพลเหงียนคานห์แอนตี้อเมรกิ าจงึ เปน็ การกระทาเพ่อื รักษา ผลประโยชน์ของตนเทา่ น้นั เอง วิธีหนึง่ ท่ีนายพลเหงยี นคานห์นามาใช้ก็คือ พยายามเรยี กร้องให้ สหรัฐอเมรกิ าเรยี กตัวนายพลเทเลอร์กลับ อเมรกิ าก็ยนื ยันที่จะใหท้ างทหารรบั รองว่าจะไมบ่ ีบบังคับ รัฐบาลพลเรอื นต่อไป หลังจากเกิดรฐั ประหารแล้ว ฝ่ายพทุ ธบริษัทก็เก็บตัวเงียบชวั่ ขณะหนึง่ ในระยะนมี้ ิไดแ้ สดงการกระทา ใดๆ ทีเ่ ป็นการตอ่ ต้านรฐั บาลเลย เป็นเพยี งการสงบตวั ดูท่าทกี อ่ นเทา่ นนั้ เอง ต่อมาในวนั ที่ ๓ มกราคม ๒๕๐๘ ได้มีพทุ ธบริษัทและนักศึกษาประมาณ ๑,๕๐๐ คน ไดเ้ ดินขบวนในใจกลางเมืองไซง่ อ่ นใกลๆ้ บ้านพักของนายพลเหงยี นคานห์ แต่ได้ถูกตารวจและทหารต่อตา้ นไว้

89 ทเี่ มืองเว้ซึง่ เปน็ เมืองท่ีใหญ่เป็นท่สี องนัน้ พุทธบริษทั กไ็ ด้เริ่มเดินขบวนคัดค้านรฐั บาลมาตงั้ แตว่ ันท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๐๗ แลว้ รา้ นคา้ สว่ นมากก็ปดิ เพ่ือเป็นการประทว้ งรัฐบาล ในวันท่ี ๔ มกราคม ๒๕๐๗ พวก นกั ศกึ ษาไซง่ ่อนกไ็ ดเ้ ดินขบวนเป็นปฏปิ ักษ์ต่อรฐั บาล และไดถ้ อื ป้ายประกาศบอกความเป็นปฏิปกั ษ์ต่อ อเมรกิ าดว้ ย ในประกาศนัน้ ได้มขี อ้ ความประณามการท่ีอเมริกาและเอกอคั รราชทูต แมกซเ์ วลล์ ดี. เท เลอร์ เขา้ ไปกา้ วก่ายในเรื่องของเวยี ดนาม หลังจากท่ไี ด้มวี ิกฤตกิ ารณ์ทางการเมืองอยูเ่ ป็นเวลา ๓ สัปดาห์ ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๐๘ ทางฝ่าย ทหารก็ยอมโอนอานาจคนื ให้รัฐบาลพลเรอื น โดยทางคณะทหารสัญญาว่าจะให้อานาจทางการเมืองให้แก่ รฐั บาลฝ่ายพลเรอื น แต่ไม่ได้ตกลงกนั ว่าจะฟนื้ สภาแหง่ ชาติขน้ึ มาใหม่อีกหรอื ไม่ แตใ่ นเวลานน้ั ได้มอบ อานาจฝ่ายนิตบิ ัญญัติใหก้ ับประมุขของรัฐ รฐั บาลพลเรือนจะรับหนา้ ที่จัดตั้งสภาผแู้ ทนราษฎรแหง่ ชาติ ข้ึนโดยมีการออกเสยี งลงคะแนนโดยทางอ้อม และไดป้ ระกาศวา่ สมาชิกสภาแห่งชาติที่ถูกจับไป ๗ใน ๑๕ คน เม่อื คราวรัฐประหารคืนวันท่ี ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๗ นน้ั จะได้รบั การปล่อยตัวทันที แต่มิไดบ้ อกว่า นกั การเมืองคนอืน่ ๆ และพวกนกั ศึกษาทถี่ ูกจบั ไปจะไดร้ ับการปล่อยตวั ออกมาหรอื ไม่ วันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๐๗ กองทหารเปน็ จานวนมากไดไ้ ปรายล้อมสานักงานใหญ่ทางพระพทุ ธศาสนาไว้ หลังจากทีภ่ ิกษุและนางชที ้ังหลายไดล้ งมตทิ ่จี ะรณรงคเ์ พ่อื ล้มรัฐบาลนายตรนั วันฮวงโดยพวกทหารเขา้ ใจ วา่ ฝา่ ยพทุ ธบริษทั จะเดนิ ขบวนในวันท่ี ๑๕ มกราคม แต่ทางฝา่ ยพทุ ธบรษิ ัทได้แจ้งวา่ การเดินขบวน คดั ค้านอาจมีเม่ือไ และอาจเป็นท่ีใดทห่ี นง่ึ ในเมืองไซง่ อ่ นก็ได้ แตจ่ ะต้องมกี ารเดนิ ขบวนอยา่ งแนน่ อน เพราะพวกพระและนางชรี าว ๖๐๐ รูป ได้บอกไวอ้ ยา่ งนน้ั และการประทว้ งนี้อาจรวมไปถึงการเผาตวั ตายของพระและนางชเี ชน่ เดยี วกับในคราวล้มลา้ งรัฐบาลโงดินห์เดียมด้วยถ้าหากว่ามคี วามจาเป็น กาลังทหารสว่ นใหญ่ได้ล้อมสานกั งานใหญ่นี้ไว้ถึง ๒ ชัว่ โมง และกล็ ่าถอยไป ท้งิ กาลงั สว่ นนอ้ ยไวก้ วา่ ๔ ชว่ั โมง แตก่ ็ไม่มเี หตุการณ์อะไรเกิดข้นึ ภิกษุนัตเทียนได้กลา่ ววา่ พวกพระและนางชจี ะร่วมกบั นกั ศึกษา เดินขบวนประทว้ งอยา่ งเด็ดขาด และไมต่ อ้ งการเจรจากบั นายตรนั วนั ฮวงดว้ ย ตอ้ งการจะเจรจาเฉพาะ กับนายผ่ามคัคซปู ระมขุ ของชาติเท่านัน้ ซึ่งพวกพระเหน็ วา่ จะร่วมก่อตงั้ รัฐบาลใหม่ที่เข้มแข็งและยุติธรรม และสามารถจะต่อสูก้ บั พวกเวียดกงได้ กลมุ่ ศาสนาท่ีอย่เู บ้ืองหลงั การทาให้รฐั บาลพลเรอื นของรัฐบาลนายตรนั วันฮวงตอ้ งหมดอานาจไปนั้น มี กลุม่ ใหญ่อยู่ ๔ กลุ่มดว้ ยกัน คือ กลมุ่ พุทธบริษัท กลุม่ คาทอลิก กลุ่มฮัวเหา และกลุ่มเกาได๋ กลมุ่ ศาสนา ทัง้ ๔ กลมุ่ นี้ ไดต้ กลงกนั ว่าจะยตุ ิเร่อื งความยุ่งยากทางการเมืองเสียที ต้องการใหป้ ระเทศชาตเิ ปน็ ประเทศประชาธปิ ไตยยง่ิ ขน้ึ และให้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ไดเ้ ด็ดขาดยิ่งขึน้ พวกพุทธบริษทั เป็นกล่มุ ท่ีใหญ่ทส่ี ุดท่สี ามารถก่อให้เกิดการปฏิวัติลม้ ล้างรฐั บาลของประธานาธบิ ดโี งดนิ ห์ เดยี มได้ พวกคาทอลิกได้รวมเอาพวกที่อพยพจากญวนเหนืออีกหลายพนั เข้าไว้ดว้ ยนั้น มบี ุคคลท่ีไดร้ บั การศึกษาดที ่ีสุดของประเทศรวมอยใู่ นกล่มุ นี้มากมายทีเดยี ว ส่วนพวกฮัวเหาและเกาไดน๋ นั้ เป็นนกิ าย พืน้ เมือง มีประชาชนทางภาคใตน้ ับถือมาก ในสมัยท่เี วียดนามเปน็ อาณานิคมของฝรงั่ เศสน้ัน นกิ ายท้งั สองนไ้ี ด้จดั ต้ังกองทัพของตนข้ึนตอ่ ตา้ นฝรั่งเศส แต่ภายหลงั ถูกประธานาธบิ ดโี งดินห์เดยี มปราบเสยี ราบ

90 คาบ ผนู้ าทางทหารท่สี าคญั ของนกิ ายฮวั เหาคนสดุ ท้าย คือ บาจู (Ba Cu) ซ่งึ เขาไว้ผมยาว เขาได้ถูก กองทพั โงดนิ หเ์ ดยี มจบั ได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ และถกู ประหารชวี ติ ดว้ ยกโิ ยตนิ สว่ นนิกายเกาได๋นนั้ ไดร้ วม คนสาคัญทางด้านศาสนาต่างๆ ไว้ดว้ ย เชน่ พวกเยซคู ริสต์ และฮวิ โก เปน็ ต้น กลมุ่ ศาสนาทั้ง ๔ กลุ่มนี้ ได้ประชมุ กนั เมื่อวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๘ ได้ร่วมกันประกาศหลกั การสาคัญๆ คอื ๑. เพอ่ื ทาให้ประเทศชาตดิ าเนินไปตามครรลองแห่งเสรีภาพและประชาธปิ ไตยอยา่ งเต็มท่ี ๒. เพอ่ื ดาเนนิ การปราบปรามพวกเวยี ดกงอยา่ งเด็ดขาด ๓. เพอื่ รว่ มกันสร้างสรรค์ระบบการปกครองทางด้านการเมืองแบบประชาธิปไตย และสงั คมที่มีความ ยตุ ิธรรม ๔. เพ่ือให้ความค้มุ ครองเสรภี าพในการถือและปฏิบัตติ ามศาสนา ในขอ้ ตกลงเหลา่ นม้ี ิไดร้ ะบวุ ่าจะเลิกวิธกี ารแอนต้ีรัฐบาลพลเรอื นของนายตรนั วันฮวงเลย และในวนั เดียวกันนั้นทางฝ่ายทหารกม็ ีการประชมุ เชน่ เดยี วกนั โดยมีแมท่ ัพอากาศนายพลเหงียนเกากีเปน็ ประธาน อยา่ งไรกต็ าม ในท่ีสุดนายตรันวันฮวงกไ็ ด้รบั มอบหมายให้เปน็ ผจู้ ดั ต้งั รฐั บาลใหม่อีกครั้งหน่งึ ซึ่งครงั้ น้ีได้ รวมเอานายทหารคนสาคัญไวด้ ว้ ยหลายคน คือ นายพลเหงียนเกากี นายพลเหงียนวันเทียม นายพลตรนั วันมินท์ และนายพลหลนิ กวางเวียน โดยเฉพาะนายพลเหงียนเกากีไม่เต็มใจรบั ตาแหน่งเลยแตเ่ พ่อื ความ มนั่ คงของรฐั บาลชดุ น้ี นายพลเหงยี นเกากีจึงได้รบั ตาแหนง่ นายกรัฐมนต และคงดารงตาแหนง่ แม่ทัพ อากาศอยตู่ ่อไปด้วย คณะรัฐมนตรีชุดนไี้ ดเ้ ขา้ ทาพธิ ีสาบานตัวเมื่อวนั ท่ี ๒๐ มกราคม ๒๕๐๘ ในวนั เดยี วกนั กบั ทรี่ ฐั บาลชุดนายตรนั วนั ฮวงไดท้ าพธิ ีสาบานตวั นน้ั สานักงานกลางของพุทธบรษิ ทั ใน ไซ่ง่อนมปี ระชาชนราว ๒๐๐ คน ไดช้ ุมนมุ จะเดินขบวนแอนต้รี ฐั บาล แตไ่ ดถ้ ูกทหารพลรม่ หนึ่งกองพันใช้ แก๊สนา้ ตาและพานท้ายปนื เข้าไลแ่ ตกกระเจิงไป ก่อนหน้านั้นเล็กนอ้ ยพระผู้นาพทุ ธบริษัท ๔ รูป ไดแ้ ถลง ต่อหน้าพุทธศาสนกิ ชนราว ๑๕,๐๐๐ คน วา่ จะทาการอดอาหารจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ ถ้าหากวา่ รัฐบาลของนายกรฐั มนตรตี รันวันฮวงยังไมล่ าออก ในวนั ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๐๘ ได้มีการขวา้ งปาโรงเรยี นสองแห่งในไซ่ง่อน ตลาดในเมืองราว ๒๕% ได้ปดิ เงยี บเพราะพุทธบริษทั ทาการรณรงคเ์ พอื่ ขบั ไลร่ ฐั บาลชดุ ใหม่นี้ พวกพลร่มและตารวจได้ต้ังม่นั อยู่ตาม โรงเรยี นและสถานทร่ี าชการหลายแห่ง ซ่ึงการกระทานีเ้ นื่องมาจากเม่ือวนั ท่ี ๒๒ มกราคม ภิกษุรปู หนึ่งได้ ถอื ธงนาประชาชนเดินขบวนขว้างปากระจกและหน้าต่างของหอ้ งสมดุ อเมริกัน ช่ือ อบั ราฮัม ลินคอล์น ปรากฏว่าในการเดินขบวนน้มี ีภกิ ษรุ ว่ มอยู่ ๔ รปู ด้วยกัน แต่มิไดม้ ีส่วนร่วมในการขวา้ งปาสถานทตู ได้มีชาวพทุ ธรวมทั้งภกิ ษุณีและนางชีอีกหลายรอ้ ยคนไดต้ ่อสู้กับกองทหารและตารวจซง่ึ อยู่ห่างจาก สถานทตู อเมริกันราวครึ่งไมล์ ชาวพุทธบรษิ ัทท้งั หลายได้ถือป้าย และรอ้ งตะโกนคัดคา้ นการทส่ี หรัฐได้ให้ การสนบั สนนุ แก่รฐั บาลเวียดนามใตช้ ุดนี้ กองทหารได้เอาลวดหนามมาขึงและตงั้ ขวางทางไว้ ปรากฏว่า ในการนี้มีภกิ ษแุ ละนางชีไดร้ บั บาดเจ็บประมาณ ๖๐ รปู ตารวจไดจ้ ับผู้เดินขบวนไป ๑๒๐ คน ซ่ึงรวม

91 ภิกษุ ๑๒ รูป และนางชี ๘ รปู อยูด่ ้วย ในคนื วันท่ี ๒๒ มกราคม นน้ั พวกพระได้ประกาศขอใหเ้ จา้ ของ ร้านคา้ ท้ังหมดทาการสไตรคห์ ยดุ ขายของไมม่ ีกาหนดเวลา วันที่ ๒๓ มกราคม พุทธบริษทั ทงั้ หลายก็ พยายามท่จี ะเดินขบวนอีก แต่ก็ไดร้ ับการต่อต้านจากพวกทหารพลร่ม ทหารพลร่มไดข้ ว้างลูกระเบดิ แก๊ส นา้ ตาเขา้ ไปในศูนย์กลางพทุ ธบริษทั ซง่ึ เปน็ ท่ีทภ่ี ิกษชุ น้ั นา ๕ รปู ไดอ้ ดอาหารประท้วงเป็นวนั ที่ ๔ เพอ่ื โคน่ รัฐบาลนายตรนั วันฮวง ได้มกี ารปะทะระหวา่ งนักศึกษากบั ตารวจหลายแหง่ ดว้ ยกนั และมเี ด็กหนุ่มได้ ถูกจบั ไปไม่ต่ากว่า ๑๒ คน บรรยากาศในเมอื งไซง่ ่อนคราวนีก้ ็คลา้ ยๆ กับกอ่ นท่รี ฐั บาลโงดินห์เดยี มจะถูก โคน่ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ นนั่ เอง อยา่ งไรก็ดี การเดนิ ขบวนคัดคา้ นในคราวนี้จากัดวงอย่เู ฉพาะในหมูพ่ ุทธ ศาสนิกท่ีมีศรัทธาแกก่ ลา้ จริงๆ และที่หวั แข็งอยสู่ ักหน่อยเทา่ น้นั ประชาชนชาวพุทธส่วนใหญม่ ิไดร้ ่วมมอื ดว้ ยอยา่ งใกล้ชิดเลย พอถงึ วันท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๐๘ พวกนายพลของเวียดนามใต้กเ็ ลิกใหก้ ารสนบั สนนุ รฐั บาลนายตรัน วันฮวง และได้ยึดอานาจอกี ครง้ั และได้ประกาศตั้งให้นายพลเหงียนคานห์เป็นผ้บู ัญชาการทหารสูงสดุ และให้ทาหนา้ ท่ีแกป้ ัญหาวกิ ฤติการณ์ทางการเมอื งท่เี กิดจากการท่ีพุทธบรษิ ัทต่อตา้ นรัฐบาลของนายตรนั วนั ฮวง นายพลเหงียนคานห์ได้ตั้งสภาท่ีประกอบดว้ ยสมาชิกฝา่ ยทหารและพลเรือนรวม ๒๐ คน เป็นท่ี ปรึกษาของรฐั บาลในเรื่องทส่ี าคัญๆ ซึง่ สภานี้จะให้มสี มาชิกซ่ึงเป็นตวั แทนของกลุ่มศาสนาตา่ งๆ ด้วย พวกนายพลท้ังหลายท่ีทาการยดึ อานาจคร้ังนี้อ้างเหตุผลวา่ รัฐบาลไมอ่ าจแกว้ ิกฤตกิ ารณ์ตา่ งๆ ได้ การยึด อานาจคร้ังนีเ้ ทา่ กบั เปน็ การปลดนายผา่ มคัคซู และนายตรันวนั ฮวงจากตาแหน่งประมุขของชาติ และ ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีดว้ ยแต่สาหรบั นายผ่ามคัคซูนนั้ ได้รับแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหน่งประมขุ ของชาติ ตอ่ ไปอีกครงั้ หนง่ึ นายพลเหงยี นคานห์แจ้งใหท้ างสถานทตู สหรฐั อเมริกาทราบวา่ การยึดอานาจคร้งั น้ีเปน็ ท่ีพอใจของพุทธ บริษัทมาก และพวกพุทธบรษิ ัทกต็ กลงระงับการกระทาใดๆ ที่เปน็ การแอนตี้รฐั บาลเป็นการชั่วคราว การ ยดึ อานาจครัง้ นี้นบั ว่าเปน็ ชยั ชนะของชาวพุทธทสี่ ามารถคว่ารัฐบาลของนายตรนั วนั ฮวงลงได้ การท่พี วกพระท้ังหลายได้พยายามนักหนาท่จี ะโคน่ รัฐบาลของนายตรนั วันฮวงน้ี ในวงการผู้สงั เกตการณ์ ชาวเวียดนาม และชาวตา่ งประเทศเห็นพ้องต้องกนั วา่ ไมใ่ ช่เพราะผู้นาพทุ ธบรษิ ัททัง้ หลายต้องการจะเข้า ดารงตาแหน่งในคณะรฐั บาลเสยี เองเลย แต่เป็นเพราะต้องการให้บุคคลทต่ี นสามารถควบคมุ หรอื จะ ปฏบิ ัตติ ามความปรารถนาของตนไดเ้ ข้าดารงตาแหน่งมากกวา่ แมก้ ารเรียกร้องของพทุ ธบรษิ ัทข้อหนึ่ง ต้องการใหร้ ัฐบาลปราบปรามพวกเวยี ดกงอย่างเด็ดขาดกต็ าม แตก่ ารกระทาความยุ่งยากใหแ้ กร่ ัฐบาลอยู่ ตลอดเวลานน้ั เท่ากับเปน็ ฝา่ ยสนบั สนุนชว่ ยเหลือพวกเวยี ดกงใหป้ ฏิบัตงิ านไดเ้ ข้มแข็งมากขึ้น น่ันเอง ทงั้ นเี้ พราะทหารฝ่ายรฐั บาลตอ้ งมาเปน็ กงั วลกบั การรักษาความสงบภายในเมืองไซง่ อ่ นเสยี จึง ต้องทง้ิ หน้าท่กี ารปราบปรามพวกเวียดกงไป ทาให้พวกเวียดกงฉวยโอกาสโจมตีและทาความเสียหาย ให้แกท่ หารฝ่ายรัฐบาลไดม้ ากข้นึ ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๘ เวียดนามใต้ก็ได้ผ้รู กั ษาการในตาแหนง่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ เหงยี น ซวนง้วน ซึง่ เคยเป็นนายกรฐั มนตรีมาครงั้ หนง่ึ สืบต่อจากนายพลเหงยี นคานห์คราวกอ่ นน้ัน และในวันนี้ เองก็เปน็ วนั ทนี่ ายพลเหงยี นคานหไ์ ด้มโี อกาสพบกบั พระท่เี ปน็ ผูน้ าพุทธบรษิ ทั คนสาคัญในการแอนตี้ รัฐบาล ณ ศูนย์กลางทางพระพทุ ธศาสนาในกรุงไซ่ง่อน โดยท่านตรีกวาง และท่านตัมเชา ได้ใหก้ าร

92 ตอ้ นรับอย่างฉันมติ รเป็นอยา่ งดียง่ิ แมว้ ่าพุทธบรษิ ัทและคณะสงฆใ์ นเวียดนามจะสามารถโค่นรัฐบาลของนายกรฐั มนตรตี รันวันฮวงได้สาเรจ็ แลว้ เราก็ยังไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกดิ ขึ้นต่อไปในอนาคตอกี ทง้ั นี้เพราะพุทธบรษิ ัทและพวกพระเหลา่ นีซ้ ่ึง ได้หนั มาสนใจทางการเมืองและไดป้ ระสบผลสาเร็จทางด้านการเมืองครั้งสาคัญๆ หลายหนแล้วอาจติดใจ ในอานาจ และหลงเข้าใจวา่ ตนเป็นผู้มีอานาจท่ีแทจ้ ริงในอันท่จี ะบันดาลใหเ้ กดิ อะไรขนึ้ ก็ได้ แล้วกจ็ ะหา่ ง จากกจิ และวินยั ของสงฆม์ ากทุกที จนกลายเปน็ พระการเมืองไปกไ็ ดซ้ ่ึงอาจเป็นเหตหุ นึง่ ท่ีพระพทุ ธศาสนา จะต้องกลายเปน็ เคร่ืองมือในดา้ นการเมืองไป ซงึ่ เร่อื งกาลเวลาจะเปน็ ผูต้ ัดสนิ เอง

93 พระพุทธศาสนาในราชอาณาจกั รลาว ชนชาติลาว ซ่ึงความจริงกค็ ือคนเผา่ หนึ่ง ซึ่งเดิมกอ็ ยู่ทางตอนใต้ของประเทศจนี เช่นเดียวกบั คนไทย นั่นเอง ในสมัยโบราณนัน้ คนลาวนบั ถอื ผีฟา้ ผแี ถน ผพี ่อ ผแี ม่ ผถี ้าแบบเดียวกบั คนไทยและคนจนี นัน่ เอง การท่ดี ินแดนของพวกลาวหรือไทยสมยั ก่อนอย่ตู ิดต่อกับดินแดนของชนชาตจิ นี น้ัน ทาให้ลาวกับจนี มกี าร สงั คมตดิ ต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน จนถงึ กบั เข้าใจกนั ว่าคนชาตลิ าวได้นบั ถือพระพทุ ธศาสนามาตงั้ แตส่ มยั ทีอ่ ยู่ในประเทศจนี ในสมยั แผ่นดนิ ขนุ หลวงลีเมา (พ.ศ. ๖๑๒) อยูน่ ครงายลาว อาณาจักรหนองแสแล้ว พระพุทธศาสนาที่ชนชาติลาวได้นบั ถืออยู่ในสมัยน้นั เปน็ ลทั ธมิ หายาน ต่อมาอีกหลายร้อยปีเมื่อคนลาวได้ ถกู จีนรุกรานต้องถอยร่นมาอยใู่ นเมอื งลานชา้ ง (พ.ศ. ๑๒๙๐) การนับถือพระพุทธศาสนาแบบเก่าก็ค่อยๆ จางหายไป ทั้งนี้คงเปน็ เพราะพระพุทธศาสนานั้นเป็นทรี่ ู้จักนบั ถือกันเฉพาะในหมชู่ นชนั้ สูงเทา่ น้ัน สว่ น ประชาชนโดยทั่วๆ ไปคงนบั ถือผสี างเทวดาอยู่ ดังนั้น เมื่อบ้านเมอื งต้องแตกฉานซา่ นเซ็น บรรดา ผู้ปกครองประเทศก็มกั พะวงอยูก่ บั การศึกสงคราม การสรา้ งบา้ นเมืองใหม่ จงึ ไม่มีโอกาสที่จะปฏบิ ตั ิ ทางด้านศาสนามากนัก ในท่ีสุดประชาชนรวมทงั้ ผปู้ กครองประเทศกห็ ันกลบั ไปทางศาสนาเดิมของตนคือ การนบั ถือผีสางดังกลา่ วแลว้ เม่อื พระยาสวุ รรณคาผงขนึ้ ครองราชสมบตั ิเมื่อ พ.ศ. ๑๘๕๙–๑๘๙๖ น้ัน พระองค์ทรงมีโอรสองคห์ น่ึง พระนามวา่ เจา้ ผฟี า้ เจ้าผฟี ้ามีโอรส ๖ องค์ คือ ฟ้างมุ้ ฟ้าเงี้ยว ฟ้ายาน คานคา ฟ้าก่า ฟา้ ขาว สาหรบั เจ้าฟา้ งมุ้ นัน้ มลี ักษณะประหลาดกว่าคนทง้ั หลายเพราะเม่ือประสตู ิมาก็มีพระทนต์เต็มปากมาแต่ในพระ ครรภ์แลว้ โหรในราชสานกั ได้พยากรณ์ว่าเป็นเดก็ กาลีบ้านกาลเี มอื ง เวลาบรรทมเจ้าฟ้างุ้มทรงกรนเสียง ดังไพเราะเหมอื นกบั เสียงดนตรี พระเจา้ ฟ้าเงียว (ขนุ ผีฟ้าพระราชบดิ า) ทรงรับสง่ั ให้เสนาอามาตย์เอาใส่ แพลอยนา้ จากกรุงลานชา้ งไปตามยถากรรมพร้อมด้วยพ่ีเล้ียงและนางนม เมือ่ แพไดล้ อ่ งลอยไปถงึ แกง่ หลี ผี เจ้าฟ้างมุ้ พร้อมดว้ ยพี่เลีย้ งและนางนมกไ็ ด้ทรงเดินทางเข้าสอู่ ินทปตั ถนครจนถงึ เมอื งนครธมของขอม หวงั จะขอเข้าพ่ึงพระบรมโพธิสมภารของเจา้ ผู้ครองนคร จึงไดเ้ ข้าไปอาศัยอยกู่ บั พระวัดหนึง่ ซงึ่ มี พระ มหาปาสมนั ตเถระ เปน็ เจ้าอาวาส พระมหาปาสมนั ตเถระเป็นผ้มู ีความรอบรู้ในเหตุการณ์ภายภาค หน้า ทราบว่าเจ้าฟา้ งุ้มจะมบี ุญวาสนาเปน็ กษตั รยิ เ์ รืองอานาจต่อไปในอนาคตจงึ นาเจา้ ฟ้างมุ้ ซึง่ มีพระ ชนม์ได้ ๑๐ พรรษา เข้าไปฝากเปน็ มหาดเล็กศกึ ษาศลิ ปะวทิ ยาการในราชสานักของพระเจา้ กรุงอนิ ทปัตถ์ เจ้าฟา้ งมุ้ ได้รับราชการในราชสานักขอมจนเป็นที่โปรดปรานของพระเจา้ แผน่ ดนิ มากถงึ กับยกพระราช ธิดาพระนามว่า พระนางแก้วเกงยา หรือ พระนางแกว้ ยอดฟ้า (ไทยเรยี ก พระนางคายักบา้ ง เจ้าหญิง คาหยาดบ้าง) เปน็ ชายา สมยั น้นั ราชอาณาจักรของขอมกาลงั เส่อื มอานาจลง ชนชาติไทยทางกรุงศรี อยุธยากาลงั เรืองอานาจข้ึนทุกวัน ทรงหวังจะป้องกันกรุงอินทปตั ถนครใหพ้ น้ จากการรุกรานของไทย จงึ ให้เจา้ ฟา้ งุ้มราชบุตรเขยไปยดึ ครองกรงุ ลานช้าง (หลวงพระบาง) ไวเ้ ปน็ กาลังปอ้ งกนั กรุงศรีอยธุ ยาสบื ไป พ.ศ. ๑๘๙๔ เจ้ากรงุ อินทปัตถนคร ไดจ้ ดั กองพลมีกาลงั พลพร้อมสรรพด้วยศัตราวุธประมาณ ๑๐,๐๐๐ ยกไปตีเมอื งหลวงพระบางเจา้ ฟา้ งุม้ ทรงตไี ด้หวั เมอื งใหญน่ ้อยขึ้นไปตามลาแมน่ ้าโขง จนถึงเมืองปากซนั

94 แล้วก็ไดก้ าลังสนบั สนนุ จากเจ้าเมืองเชยี งคาจึงไดย้ กกองทพั ไปตเี มืองหลวงพระบางเม่อื พ.ศ. ๑๘๙๖ เจา้ ฟ้าคาเอยี ง พระปิตุจฉา (อา) เมอ่ื ทรงทราบว่าพระราชนัดดาของพระองค์เองเปน็ ผู้ยกทัพมากท็ รง เตรียมป้องกันเมืองอยา่ งเข้มแข็ง เมื่อเจ้าฟา้ งุ้มทรงยกกองทัพถงึ เขตเมืองหลวงพระบางแลว้ กท็ รงมีพระ ราชสาสนไ์ ปถวายพระเจา้ ฟา้ คาเฮียง ทลู ขอราชสมบตั ิ แต่เจา้ ฟา้ คาเฮยี งไมย่ อมยกให้จงึ เกิดรบพุ่งกัน ใน ที่สดุ เจ้าฟ้าคาเฮียงเปน็ ฝ่ายพ่ายแพ้ ทรงมีความเสียพระทัยมากถึงกับเสวยยาพิษสวรรคตอยูใ่ นพระราชวัง เชียงทองในเมอื งหลวงพระบาง เมือ่ พ.ศ. ๑๘๙๖ พระเจ้าฟ้างุ้ม (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๖ – ๑๙๑๖) นับว่าทรงเป็นวีรกษัตรยิ ์ของลาวพระองคแ์ รกที่ สามารถรวบรวมหวั เมอื งอนั อยใู่ นลมุ่ แมน่ ้าโขงทงั้ สองฝัง่ ใหเ้ ปน็ อันหน่ึงอนั เดยี วกันได้สาเร็จ พระองคท์ รง ประสตู ิที่เมืองลานช้าง หลวงพระบาง เม่ือ พ.ศ. ๑๘๕๙ นบั วา่ เปน็ กษตั ริย์องค์ท่ี ๒๓ แห่งราชวงศล์ าน ชา้ ง พระองคท์ รงพระนามวา่ “สมเดจ็ พระเจา้ ฟ้างุ้มแหล่งหลา้ ธรณี” นับวา่ ทรงเป็นมหาราชองค์แรก ของลาว ทรงพยายามรวบรวมหวั เมอื งตา่ งๆ ในลุ่มแมน่ า้ โขงใหเ้ ป็นอนั หนง่ึ อันเดยี วกันและทรงแผ่ อานุภาพออกไปได้อย่างกว้างขวาง สมัยนนั้ ประชาชนก็ยังคงนบั ถือผีฟ้า ผแี ถนอยู่ เม่ือพระนางแกว้ เกงยาไดท้ อดพระเนตรเห็นไพร่ฟ้า ประชาชนตลอดจนเสนาอามาตย์ราชมนตรี และเจ้าขนุ มูลนายทั้งในและนอกพระราชวังพากันนบั ถือผี ทาพลีกรรม ฆา่ ชา้ ง ฆ่าววั ฆา่ ควาย บชู าผีถา้ ก็ทรงสงั เวชพระทัย ด้วยเหตุท่ีพระนางเคยไดน้ บั ถอื พระพุทธศาสนา เคยได้สมาทานศลี กนิ ทานมาต้ังแต่ยังอยู่ในประเทศเขมรแลว้ เม่ือพระนางไดม้ าเห็น พลเมืองลาวประพฤติปฏบิ ตั เิ ชน่ น้นั กม็ ิสามารถปฏบิ ตั ิตามได้ พระนางจึงเขา้ ไปเฝ้าพระสวามีทูลขอร้องให้ นาเอาพระพทุ ธศาสนาจากประเทศกมั พูชาไปประดษิ ฐานในประเทศลาว เพื่อพระนางจะไดป้ ระพฤติ ปฏิบตั ติ ามศาสนประเพณขี องตน มฉิ ะนั้นแลว้ พระนางกจ็ ะขอทลู ลากลับคนื ไปอยู่กบั พระราชบดิ าใน ประเทศกัมพูชาตอ่ ไป สมเดจ็ พระยาฟา้ หล้าธรณีมหาราช ฟ้างมุ้ ไดท้ รงทราบดงั น้ันก็ทรงมีพระทัยโสมนสั จงึ จัดคณะทูตเชิญพระ ราชสาสน์และเครื่องมงคลราชบรรณาการ มเี งนิ ๓ แสน ทองคา ๓ หมนื่ และเพชรนลิ จินดา อันมีค่า มากมายไปถวายกษตั รยิ ์กรุงกัมพชู าผเู้ ปน็ พระสสั สรุ ะ (พอ่ ตา)ขอให้ส่งพระสงฆ์ผูท้ รงคณุ วุฒแิ ละ พระไตรปฎิ กไปเผยแผ่ในประเทศลาว พระมหากษัตริย์แหง่ กรุงกัมพูชา เมื่อได้ทรงสดับแลว้ ก็ทรงปีติ โสมนสั และได้ทรงอาราธนา พระมหาปาสมนั ตเถระ และพระมหาเทพลงั กา พร้อมดว้ ยพระสงฆอ์ ีก ๒๐ รูป และนักปราชญ์ผ้เู รยี นจบพระไตรปิฎกอีก ๓ ทา่ น คือ นรสงิ ห์ นรเดช และนรศาสตร์ ให้นาเอา พระพุทธศาสนาไปประดษิ ฐานในประเทศลาว พร้อมกันน้นั พระองค์ก็ได้พระราชทานพระพทุ ธรปู ปญั จ โลหะองคห์ นง่ึ พระนามวา่ “พระบาง” หรอื “พระบางพทุ ธลาวนั ต์” หรือ “พระปางหา้ มญาติ” ใหไ้ ป เปน็ ท่ีสกั การะบูชา พร้อมท้ังพระไตรปฎิ ก และหน่อพระศรีมหาโพธ์ิ นอกจากนัน้ ยังพระราชทานพวก ชา่ งตา่ งๆ ไปดว้ ยเปน็ อันมาก คือ ช่างหลอ่ พระพุทธรูป ช่างเหล็ก ชา่ งทอง เป็นต้น ตลอดจนเครอื่ งดุริย ดนตรี ปี่พาทย์ ระนาด ฆ้องวง และเครื่องเลน่ ทุกอย่างด้วย กษตั ริยแ์ ห่งกัมพชู าไดแ้ ต่งคนชาวเขมรให้ไป กับพระมหาปาสมันตเถรเจา้ ในคราวนัน้ ดว้ ย มคี น ๔ หมบู่ า้ น รวมได้ ๕,๐๐๐ คน คอื ให้เป็นโยมอปุ ฐาก

95 พระภกิ ษุ ๑,๐๐๐ คน เป็นบริวารของนกั ปราชญ์ ๓ คน คนละพนั รวมเป็น ๓,๐๐๐ คน และเป็นบรวิ าร แมน่ มของพระนางแกว้ เกงยา หรือพระนางแกว้ ยอดฟา้ อีก ๑,๐๐๐ คน สาหรับพระมหาปาสมันตเถรเจ้านนั้ เปน็ บุคคลทมี่ ีความสาคญั ตอ่ พระมหากษัตริย์ลาวมากเพราะเมื่อ คราวทเี่ จา้ ฟา้ งมุ้ มหาราชและพ่ีเลยี้ งนางนมล้ีภยั การเมอื งไปอยูใ่ นราชสานักกมั พชู านน้ั เจ้าฟา้ งมุ้ ในเวลา น้นั ไดไ้ ปอย่กู ับพระมหาปาสมันตเถระเปน็ เวลานาน จงึ มีความเคารพนบั ถือในพระเถระมาก ฉะนนั้ การที่ พระมหากษัตริย์แหง่ กัมพชู าทรงสง่ พระเถระไปในคราวนี้กเ็ พอ่ื ให้เป็นการสะดวกต่อการเผยแผพ่ ระ ศาสนาและมีผลในทางการเมืองน่ันเอง แต่หลกั ฐานบางแห่งกบ็ อกว่า เม่ือพระนางแก้วเกงยา หรือแก้วยอดฟ้าได้ไปอยู่ในราชอาณาจกั รลาวแล้ว เหน็ ว่ามหาราชฟ้างุ้มเปน็ บุคคลทีโ่ หดรา้ ยและประชาชนก็มีจิตใจทารณุ โหดเห้ยี ม จึงมสี ารไปกราบทูลให้ พระราชบิดาทรงทราบ พระมหากษตั ริยแ์ หง่ กรุงกัมพูชาจงึ รับส่ังให้มหาราชฟ้างุ้มไปเฝา้ และพระองคก์ ็ได้ ประทานโอวาทและให้สมาทานศลี ๕ แลว้ จงึ ใหก้ ลับบ้านเมืองพร้อมกบั พระสงฆ์ แต่พงศาวดารลาวยืนยัน ขอ้ ความที่กลา่ วมาแล้วขา้ งต้นมากกว่า พ.ศ. ๑๙๐๒ พระมหาปาสมนั ตเถระกับนกั ปราชญ์และญาติโยมก็ได้เดนิ ทางจากนครหลวงของกมั พชู าไป ตามลาดับจนถึงเมืองแก (ไม่ทราบวา่ อยู่ที่ใด แต่สนั นิษฐานว่าคงจะเป็นอาเภอนาแก จังหวัดนครพนม ใน ประเทศไทย) พระนมของพระนางแกว้ เกงยากเ็ กดิ ไม่สบายขนึ้ มาเดนิ ทางต่อไปไม่ได้ หมื่นแกเจ้าเมืองแก จึงใหแ้ ม่นมกบั บริวารเข้าพักอยู่ทีบ่ า้ นไผห่ นามได้ ๒ เดือน พระนมของพระนางจึงหายป่วย ฝา่ ยสมเด็จพระเจ้าฟ้างุ้มครนั้ ได้ทรงทราบว่าพระมหาปาสมันตเถระมาถงึ เมืองแกแล้วก็ทรงรับส่ังใหเ้ สนา อามาตม์ลงไปรับถงึ เมืองแก แล้วพระมหาเถรเจ้าก็พาบริวารแหแ่ หนพระบางขนึ้ มาตามแม่น้าโขงจนถงึ เวียงจันทน์ หมน่ื จนั เจ้านครเวียงจันทร์กอ็ อกไปต้อนรับและนิมนต์พระเถรเจา้ พร้อมดว้ ยบรวิ ารใหไ้ ปพัก ท่ีดอนจนั ทน์ ชาวนครเวยี งจันทน์ก็พากันไปสกั การะสมโภชพระบางอยู่ถึง ๓ วนั ๓ คืน เมอื่ ครบกาหนด แล้วพระมหาปาสมนั ตเถระก็อัญเชิญพระบางเดนิ ทางต่อไปจนถงึ เมืองเวียงคา เจ้านครเวยี งคาออกมา ตอ้ นรับและอาราธนาพระมหาปาสมนั ตเถระเข้าไปในเมือง ชาวเมอื งเวียงคาก็ทาการสักการะบูชาสมโภช พระบางตลอดเวลา ๓ วัน ๓ คนื ครนั้ ครบกาหนดสามวนั แล้ว จงึ ไดอ้ ัญเชญิ พระบางข้ึนไปยงั เมอื งเชียงทอง เดิมทีนั้นใช้คนหามพระบาง เพยี งแปดคนเท่าน้นั แตใ่ นวนั นั้นคนแปดคนหามพระบางไม่ขนึ้ พระเถรเจ้าจึงจดั คนเพ่ิมขึ้นเปน็ ๑๖ คน จนถึง ๒๔ คน แต่กย็ งั คงยกพระบางไมข่ นึ้ อยนู่ ัน่ เอง นกั ปราชญ์ทั้งสามท่รี ักษาพระบางมานั้นเหน็ เป็น อัศจรรยจ์ ึงให้จับสลากเส่ียงทายดู ในสลากนน้ั บอกว่า เทพเจ้าผูร้ กั ษาพระบางมีความประสงค์จะให้พระ บางสถิตอยู่ที่เวียงคาน้ีกอ่ น พระมหาเถรเจ้าทราบเจตนาของเทพยดาฉะนน้ั ก็มอบหมายพระบางให้เจ้า เมอื งเวยี งคารกั ษาไว้และใหท้ าสักการบชู า แลว้ พระเถรเจ้าและนกั ปราชญ์พร้อมทง้ั บรวิ ารกเ็ ดนิ ทางไปยัง เมอื งเชยี งทองโดยทางบก

96 เมื่อพระมหาปาสมันตเถระได้ไปถึงเมืองเชยี งทองแล้วก็ไดเ้ ข้าไปถวายพระพรพระเจ้าฟ้าง้มุ ให้ทรงทราบ ความเป็นมาทุกประการต้ังตง้ั ตน้ จนจบ พระเจ้าฟา้ ง้มุ พระอคั รมเหสี จงึ อาราธนาพระมหาปาสมนั ตเถระ ให้ไปต้งั อาศรมอยเู่ หนือปากห้วยโฮบ และวัดน้นั เลยช่ือวา่ วดั ปาสมัน มาจนถึงทุกวนั นี้ และหนอ่ พระศรี มหาโพธ์กิ ท็ รงพระกรณุ าให้ปลูกไว้ที่อารามนั้นเชน่ เดยี วกัน แตน่ ัน้ มาพระมหาเถรเจา้ พร้อมท้งั บริวารกไ็ ด้ แนะนาสง่ั สอนประชาชนลาวใหห้ ันมานับถอื พระพุทธศาสนา โดยมพี ระนางแกว้ เกงยาหรือแกว้ ยอดฟา้ เปน็ องค์อคั รศาสนูปถัมภิกา พระพทุ ธศาสนาไดต้ ัง้ มนั่ อยู่ในประเทศลานชา้ ง หรอื ราชอาณาจกั รลาว ต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นต้นมา ในรชั สมัยของพระเจ้าสามแสนไทไตรภูวนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๑๖ – ๑๙๕๙) ทรงเปน็ กษตั ริยท์ ี่ใฝ่ สันติ ทรงเป็นองคอ์ ปุ ถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ทาให้พระพุทธศาสนารงุ่ เรอื งย่ิงกว่าในรัชสมยั พระเจา้ ฟา้ งมุ้ พระราชบดิ าเสียอีก พระองคย์ งั ได้ทรงสรา้ งวดั มโนรมย์ วัดอุโบสถ หอสมุด และโรงเรียนปรยิ ตั ธิ รรม อีกดว้ ย ตอ่ มาในรชั สมัยพระเจ้าไชยจักรพรรดแิ ผน่ แผว้ (ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๘๑ – ๒๐๒๒) พระองค์ไดท้ รง อัญเชญิ พระบางซง่ึ เป็นพระพุทธรปู ศักด์ิสทิ ธิค์ ู่บ้านคู่เมืองจากนครเวยี งคาจะไปประดิษฐานท่เี มอื งเชยี ง ทอง (หลวงพระบาง) แต่พอไปถึงแก่งจันทน์เรือกล็ ่มลง พระบางจมน้าหายไป ตานานบอกว่าต่อมาพระ บางไดส้ าแดงปาฏหิ ารยิ ์กลับคืนไปอยู่เมอื งเวยี งคา กลา่ วกนั ว่าทเ่ี ปน็ เช่นนั้นก็เพราะว่าพระบางร้วู า่ ญวน จะยกกองทัพมายา่ ยีเมืองหลวงพระบาง ดังนน้ั เม่ืออัญเชญิ ท่านจากเมืองเวยี งคาไปเมืองเชียงทอง (หลวง พระบาง) ทา่ นจึงไมเ่ สดจ็ ในรชั สมัยพระเจา้ วิชุลราชาธิปัต (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๔๔ – ๒๐๖๓) ตามพงศาวดารวา่ ขณะทที่ รง อภิเษกเปน็ พระเจ้าแผ่นดินน้ันมปี รากฏการณ์คือ บังเกดิ รัศมสี ่องแสงไปทว่ั ทุกทิศ เพราะบุญญาภินหิ าร ของพระองค์ บรรดาเสนามาตยร์ าชบรพิ ารทั้งหลายจงึ ถวายพระนามพระองคว์ ่า พระเจ้าวชิ ุลราชาธปิ ัต ต่อมา พ.ศ. ๒๐๔๙ พระองค์ทรงมโี อรสพระองคห์ น่งึ กอ่ นทพี่ ระราชกมุ ารจะประสตู ิตานานกล่าววา่ พระองค์ทรงพระสบุ ินนิมติ วา่ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ ตน้ โพธใิ์ หญ่ต้นหนึง่ ออกผลเต็มต้น มีฝงู วหิ คมาพง่ึ พา อาศัยอยมู่ ากมายส่งเสยี งเจื้อยแจว้ อยู่ โหราจารย์ไดท้ ูลทานายว่าพระองค์จะไดพ้ ระโอรสท่ปี ระกอบดว้ ย บญุ ญาธิการมากเปน็ เชอื้ พระโพธสิ ตั ว์ ดงั นั้น เมือ่ พระกุมารประสตู ิแลว้ พระองคจ์ ึงพระราชทานพระนาม ให้ว่า “พระโพธสิ ารราชกุมาร” ในรัชสมัยของพระเจ้าวชิ ุลราชาธิปตั บา้ นเมืองอุดมสมบรู ณ์ไปด้วยพชื พรรณธญั ญาหาร สงบราบคาบ พระองค์ไดท้ รงทานุบารงุ พระพทุ ธศาสนา ทรงสรา้ งวดั ไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั เชียงทอง วัดที่สาคัญคือ วัดวชิ ลุ ราช ใน พ.ศ. ๒๐๔๕ พระองค์ไดท้ รงอัญเชญิ พระบางมาจากเมืองเวียงคาขน้ึ ไปเมืองเชยี งทอง (หลวงพระบาง โดยทางบกและได้อญั เชิญไปประดิษฐใ์ นวัดมโนรมย์ และใน พ.ศ. ๒๐๔๖ ได้อัญเชิญไป ประดษิ ฐานไว้ทว่ี ัดวิชุลราชนี้ ตอ่ มาไดท้ รงสรา้ งวัดโพธิ์สบใหเ้ ป็นอนสุ รณ์แด่พระราชธดิ าสุดทีร่ กั ของ พระองค์ซึ่งได้สนิ้ พระชนม์เสยี ตงั้ แต่ยังทรงพระเยาว์

97 เมือ่ พระเจา้ วิชลุ ราชาธปิ ตั สวรรคตแลว้ พระเจา้ โพธสิ าร (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๐) ผู้เปน็ พระ ราชโอรสกไ็ ดค้ รองราชสมบัติสบื ตอ่ มา พระองค์ทรงเปน็ กษัตริยท์ ี่เครง่ ครดั ในพระพุทธศาสนามากไดท้ รง มพี ระราชโองการให้พลเมืองเลกิ นับถือผสี างเทวดา ให้เลิกทรงเจา้ เข้าผที ั่วพระราชอาณาจกั ร ทรงใหร้ อื้ ศาลเจ้าหลวง ศาลเจ้าผเี สอ้ื เมืองทรงเมอื ง และให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาแทน ทรงสรา้ งวัดสวุ รรณ เทวโลก แต่อย่างไรกต็ ามประเพณีการนบั ถือผีน้นั มมี าแตโ่ บราณกาล และไดฝ้ ังแนน่ อย่ใู นจิตใจของ ประชาชนท่วั ไปแล้ว การทจี่ ะให้เลกิ นบั ถือโดยเดด็ ขาดจึงเป็นไปไม่ได้ ดงั นนั้ การนับถือผีและการทรงเจ้า ก็ยงั คงมีอยใู่ นประเทศลาวสบื มาจนกระทง่ั ถึงทกุ วนั น้ี พระเจา้ โพธสิ ารราชได้เจรญิ ทางพระราชไมตรีกบั ทางลานนาจนถึงกับพระเจ้าเชยี งใหม่ได้สง่ พระนางยอด คาทพิ ย์ พระราชธิดาพร้อมด้วยข้าทาสบริวารไปถวายให้เป็นพระมเหสขี องพระเจ้ากรุงลานชา้ ง ทาให้ พระนครท้ังสองนมี้ ีความสัมพันธก์ นั อย่างแน่นแฟ้น ในรัชสมัยของพระองคน์ ที้ รงโปรดให้สร้างพระราชวังข้นึ อีกแห่งหนง่ึ คือ ทน่ี ครเวียงจนั ทน์ พระองค์ทรง เปน็ กษตั รยิ ล์ าวองค์แรกทเ่ี สด็จไปประทับอยู่ในพระราชวังที่เวยี งจันทร์เป็นเวลานานพอสมควรตอ่ มา พ.ศ. ๒๐๘๙ พระเจ้าพรหมราช พระเจ้ากรงุ ลานนาได้สวรรคต ไม่มีผ้ใู ดเหมาะสมจะสบื ราชสมบตั ิ มุข อามาตย์มนตรีจงึ ปรกึ ษาหารือกันแล้วพร้อมใจกันเห็นวา่ เจา้ เชษฐวังโส โอรสของพระเจ้าโพธสิ ารราช ซึ่งเกดิ จากพระนางยอดคาทพิ ย์ สมควรไดร้ บั ราชสมบัตใิ นกรงุ ลานนา จงึ ได้มาเฝา้ พระเจา้ กรุงลานช้าง ขอ เจ้าเชษฐวังโสกมุ ารขนึ้ ไปครองนครเชยี งใหม่ พระเจา้ โพธสิ ารราชได้เสด็จไปร่วมในพระราชพิธอี ภเิ ษกเจ้าเชษฐวงั โสเป็นกษตั ริย์แห่งล้านนาสบื ต่อจาก พระเจา้ พรหมราช ผเู้ ปน็ พระเจา้ ตาดว้ ย และเมื่อเสด็จกลับกท็ รงใหแ้ สนหม่ืนเมืองอยู่ช่วยราชการเจ้า เชษฐวังโสในเมอื งเชยี งใหม่นั้น พ.ศ. ๒๐๙๐ พระเจา้ โพธิสารราช ซึง่ เสวยราชสมบตั อิ ยู่ ๒๑ พรรษา ก็สวรรคต เนือ่ งจากพระองค์ได้เสดจ็ ไปประพาสปา่ ถูกชา้ งลม้ ทบั คร้นั กลับถึงพระนครเพียง ๓ สัปดาห์ กส็ วรรคตในพระราชวงั เชยี งทอง นั่นเอง เมอ่ื พระเจา้ โพธิสารราชสวรรคตแล้ว ราชอาณาจักรลาวได้แตกแยกออกเปน็ ๒ อาณาจักร คืออาณาจักร ฝ่ายเหนอื ตง้ั แตเ่ มอื งเชียงคานขึน้ ไปกับอาณาจักรฝ่ายใตต้ ั้งแตเ่ มอื งเชยี งคานลงมา ทั้งนี้เพราะราชโอรส ของพระเจา้ โพธสิ ารราชตา่ งก็แย่งกนั เป็นใหญ่ เหตุการณเ์ ช่นน้ีบรรดาเสนาบดีตา่ งก็ไมเ่ ห็นชอบด้วยจงึ ได้ แต่งหนังสือไปทูลเจา้ เชษฐวงั โส ณ กรงุ ลานนา โดยเล่าพฤติการณ์ต่างๆ ถวายใหท้ รงทราบรายละเอยี ด เม่ือพระองคเ์ สด็จมายงั กรุงลานช้างได้ทรงอญั เชิญพระแก้วมรกตซ่ึงประดิษฐานอยทู่ ี่วัดบปุ ผาราม เมืองเชียงใหม่ และพระพุทธสหิ ิงค์ (พระสงิ ค์) พระแก้วขาว ไปด้วย เมอื่ เสด็จไปถึงลานช้างเจา้ ผู้ครอง อาณาจักรทัง้ ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ต่างก็มอบราชสมบัตถิ วายเจ้าเชษฐวังโส พระองค์จึงได้ขึน้ ครองราช สมบัตกิ รุงศรสี ัตนาคนหุตทรงพระนามว่า “พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช” เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑

98 พระราชานสุ าวรยี ์ พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช หน้าวดั พระธาตหุ ลวง เวียงจันทน์ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช ทรงเปน็ มหาราชองค์ที่ ๒ ของอาณาจักรลาว พระองคท์ รงเป็นนกั ปราชญ์ ในทางการเมืองการปกครอง พระองค์ทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถ ทรงเปน็ เจา้ ของตาราการทา สงครามแบบกองโจรหรือกองทะลวงทใี่ ชร้ บในปา่ และตามภเู ขา หรือในการทาศกึ เวลาท่ีมีกาลงั ทัพนอ้ ย กว่าข้าศึก พระองคท์ รงเป็นนักการปกครองทีด่ เี ลศิ และทรงเป็นนักการเมอื งทม่ี สี ายตาไกล ทรงมองเหน็ เหตุการณ์ไกลไดถ้ กู ต้อง ทรงดาเนินนโยบายทางการเมอื งอันถกู ต้องในขณะท่ีบา้ นเมืองตกอย่ใู น วกิ ฤติการณย์ งุ่ ยาก พระองค์กท็ รงนาประเทศชาติประชาชนชาวลาวของพระองคใ์ หไ้ ปตลอดรอดฝ่งั พน้ ภยั พบิ ตั ิได้ ในรชั สมัยของพระองค์ แม้ว่าพม่าจะสามารถรบชนะอาณาจกั รลานนาและกรงุ ศรีอยธุ ยา แต่ก็ไม่สามารถ ตีอาณาจักรลานช้างไว้ในอานาจได้ นอกจากพระองค์จะทรงเปน็ วรี กษัตรยิ ใ์ นการสงครามและเป็น นกั ปราชญ์ทางด้านการปกครองแล้ว พระองค์ยังทรงเปน็ เอกอคั รศาสนปู ถัมภกท่ีดเี ลศิ พระพทุ ธศาสนา ในรชั สมยั ของพระองคน์ ับวา่ รงุ่ เรืองอย่างที่สดุ พระองค์ไดท้ รงสร้างวัดท่สี าคญั ๆ หลายวดั คือ วดั ปา่ รอื ศรีสงิ ขร อุโมงคใ์ ต้ธาตุพระอรหันต์ท่ปี า่ มหาพุทธวงั วัดป่ากันทอง วดั หนองยาง ฯลฯ ทรงสรา้ งพระธาตุ ศรีโคตรบรู ทรงสรา้ งพระพทุ ธรปู ท่ีสาคญั ๆ คือ พระองคต์ ื้อ พระสกุ พระเสรมิ พระใส ฯลฯ ในกาแพง พระนครมวี ดั น้อยใหญป่ ระมาณ ๑๒๐ วัด ภายในพระนครจึงเตม็ ไปด้วยวัดวาอารามและเจติยสถานที่ วิจิตรงดงามมาก นอกจากน้ันก็มีวดั พระแก้ว ซ่ึงเป็นท่ปี ระดิษฐานของพระแก้วมรกตที่พระองคท์ รงนามา จากเมืองเชยี งใหม่อีกด้วย ในด้านการศึกษาพระองคไ์ ด้ทรงสง่ เสริมการศึกษาพระปริยัตธิ รรมให้เจรญิ อย่างกว้างขวางมาก จนมี นักปราชญส์ ามารถแตง่ คัมภีร์ฎีกาต่างๆ และวรรณคดลี าวหลายเรอ่ื งได้เกดิ ขึ้นในกรงุ ลาน ช้าง เวยี งจนั ทน์ เชน่ เร่อื งสงั สนิ ชยั (สงั ขศ์ ลิ ป์ชัย) กาฬเกด ขุนทงึ อินทรญาณสอนลูก ปู่สอน หลา หลานสอนปู่ ขุนลูนางอั้ว กา่ กาดา สุรวิ งศ์ พระลกั พระลาม (พระลกั ษณ์พระราม) นางแตงอ่อน คัท นาม และอนื่ ๆ อีกมากมาย ในรัชสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชนี้ ได้มีการสร้างสมั พันธไมตรีกับกรุงศรอี ยธุ ยาอย่างแน่นแฟน้ ถงึ กบั ได้ มพี ระราชสาสนม์ าขอพระเทพกษตั รี ราชธิดาของสมเด็จพระมหาจกั รพรรดทิ พ่ี ระสตู ิแตส่ มเดจ็ พระศรี สรุ ิโยทยั โดยให้ราชทูตนาพระราชสาสนพ์ ร้อมด้วยเคร่ืองราชบรรณาการไปถวาย ณ กรุงศรีอยธุ ยา เม่ือ พ.ศ. ๒๑๐๖ ซง่ึ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิก็ทรงเห็นชอบด้วย แตไ่ ด้ถกู กองทพั พมา่ รดุ มาซุม่ แยง่ ตัว พระเทพกษัตรีนาไปถวายพระเจ้าหงสาวดเี สียก่อน พระองคท์ รงสรา้ งสัมพนั ธไมตรกี ับกรงุ ศรอี ยธุ ยาก็ เพ่อื รวมกาลังกันต่อสูพ้ มา่ จึงได้ทรงสร้างเจดีย์ร่วมกนั เรียกว่า “พระธาตุศรสี องรกั ” อยูใ่ นเขตอาเภอ ด่านซา้ ย จ. เลย ทกุ ฤดูกาลเดอื น ๖ ขึ้น ๑๕ ค่า กษัตรยิ ์ทั้งสองจะเสด็จไปทาบุญฉลองร่วมกัน พระธาตุ องคน์ จ้ี งึ มีความหมายถึงว่า “ศรอี ยธุ ยา” กบั “ศรสี ตั นาคนหุต” รกั กันมากจงึ ช่อื ว่า “ศรีสองรกั ”

99 พระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรลาวไดม้ าเจริญรุง่ เรืองมากก็ในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธริ าชนเ่ี อง ซง่ึ เปน็ มหาราชองค์ท่ี ๒ ของลาว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๙๑ – ๒๑๑๔) พระองคเ์ คยข้นึ ครองราชสมบตั ทิ ่ี เมอื งเชยี งใหม่ ในสมยั ที่พระองคม์ ีพระชนมายเุ พียง ๑๒ พรรษา แตต่ ่อมาเม่ือไดท้ ราบว่าพระราชบิดาของ พระองค์ คือ พระเจา้ โพธสิ ารราช สวรรคตเมอื่ พ.ศ. ๒๐๙๐ ในขณะทีท่ รงล่าสตั วอ์ ยูจ่ ึงได้เสดจ็ กลบั ลาน ช้าง และได้นาเอาพระแกว้ มรกตจากเมืองเชียงใหม่ไปประดิษฐานไว้ท่เี มืองหลวงพระบางด้วย ต่อมา พระองค์ทรงย้ายเมืองหลวงมาอยทู่ ี่เมืองเวียงจันทน์ พระองค์ไดน้ าพระแกว้ มรกตและพระแซกคาไป ประดิษฐานไวท้ เ่ี วยี งจนั ทน์ เรียกว่า เวียงจนั ทนล์ ้านช้าง ส่วนพระบางประดิษฐานไว้ทเี่ มอื งเชียงทอง จึง ไดช้ ื่อวา่ “หลวงพระบาง” ต้ังแต่บดั น้นั จนถงึ ปจั จุบันน้ี หรือเรียกวา่ ล้านชา้ งหลวงพระบาง และได้ทรง สรา้ งพระธาตุหลวง ซง่ึ นบั เป็นสถาปตั ยกรรมช้ินยอดเยี่ยมของลาวดว้ ย เมอื่ พ.ศ. ๒๑๐๙ พระธาตุหลวง ได้ถูกพวกปล้นจากแคว้นยูนนานทาลายเสียหายมาก เมอื่ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชได้เสด็จจากเชยี งใหม่เพ่อื ปลงพระศพพระราชบิดาแลว้ พระองคก์ ็ทรง ปกครองท้ังอาณาจกั รลานนา และอาณาจกั รลา้ นชา้ ง นอกจากพระองค์จะทรงสร้างพระธาตุหลวงแล้วยงั ทรงสรา้ งพระธาตอุ นื่ ๆ และพระพทุ ธรปู ทส่ี าคญั ๆ อกี มากมาย เช่น พระเจ้าองค์ต้ือ ท่เี วียงจนั ทน์ พระเจ้า องค์ต้ือ ที่ อ.ท่าบอ่ จ.หนองคาย พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระอรณุ พระองค์แสน สร้างวัดพระธาตุ ท่ี จ.หนองคาย และพระธาตทุ จ่ี มนา้ โขงอยู่ พระธาตุบังงควร อ.เมือง จ.หนองคาย สร้าง วดั ศรีเมอื ง จ.หนองคาย และพระประธานในโบสถ์ นามว่า พระไชยเชษฐา พระธาตุศรีโคตรบูรที่แขวงคา ม่วน พระธาตอุ ิงรัง ทแี่ ขวงสวรรณเขต (สวุ รรณเขต) พระธาตุศรีสองรกั อ.ดา่ นซา้ ย จ.เลย และทรง ปฏสิ ังขรณ์พระธาตพุ นม เป็นต้น นบั วา่ การพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรลาวในสมยั พระเจา้ ไชย เชษฐาธิราชได้รุ่งเรืองมาก หลงั รัชสมยั พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราชมา พระพุทธศาสนาในราชอาณาจกั รลาวกค็ งเปน็ ไปตาม ปรกติ จนกระท่ังลาวตกอยู่ในความปกครองของฝรัง่ เศส พระพุทธศาสนากต็ กอยใู่ นสถานะเสอื่ มโทรมไป บา้ ง พระพทุ ธศาสนาทตี่ ั้งมัน่ ในประเทศลาวนนั้ แมล้ าวจะไดร้ บั ไปจากประเทศกัมพูชา แต่กัมพูชาเองก็ได้รับ อิทธิพลทางพระพุทธศาสนาไปจากลงั กาและไทยอีกทอดหนงึ่ เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธศาสนาทลี่ าวได้รบั ไป จากกัมพชู านนั้ จงึ ไมแ่ ตกตา่ งจากพระพุทธศาสนาในเมืองไทยมากนกั เพราะเปน็ นกิ ายหนิ ยานแบบลงั กา วงศ์ ซ่ึงเคยแผเ่ ข้ามาในสยาม ยุคท่ี ๔ (พ.ศ. ๑๖๙๖) แตก่ ัมพชู าหาไดม้ ีอานาจเหนือลาวอยูน่ านนกั ไม่ ท้ังน้ีเพราะวา่ ตง้ั แตส่ โุ ขทัยรุง่ เรืองขึน้ มา เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เรือ่ ยมา จนกระท่ังถึงสมยั กรุงศรี อยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และกรุงรตั นโกสนิ ทรน์ ั้น ไม่เคยปรากฏวา่ กัมพชู ามีอานาจเหนือไทยเลย มีแต่ตอ้ ง เสยี อานาจและอาณาเขตให้แกไ่ ทยอยเู่ รื่อยๆ บางครั้งกมั พูชาก็ตกอยู่ภายใต้อานาจของไทยและอทิ ธพิ ล ของไทย โดยเฉพาะอย่างย่งิ อิทธิพลของไทยทางดา้ นศาสนามเี หนือกัมพูชามากขน้ึ ทกุ ที จนในท่สี ุด พระพุทธศาสนาในกมั พูชาก็กลายเปน็ แบบไทยอยา่ งสิน้ เชงิ ส่วนไทยกับลาวนั้นมีความสัมพันธ์กนั หลายช้ันหลายเชงิ ท้ังนเี้ พราะไทยกับลาวก็มีสายเลือดเป็นชนเผ่า

100 เดยี วกนั มาแต่บรรพบรุ ษุ (ขุนบรม และขนุ ลอ มอี าณาเขตอยู่ตดิ ต่อกัน พูดภาษาอยา่ งเดียวกัน มี ความรสู้ ึกรักกันฉันพีน่ ้องอยา่ งแยกไมอ่ อก แม้ว่าจะมแี ม่นา้ โขงเป็นแดนกั้นอยู่ แต่แม่น้าโขงก็ไม่สามารถ แยกจติ ใจของพีน่ ้องชาวไทยและลาวไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด เวลาลาวเดือดรอ้ นกจ็ ะอพยพขา้ มแดนมาพ่ึงพระ บรมโพธิสมภารประเทศไทย เมอื่ บ้านเมืองสงบราบคาบแล้วก็จะกลับไปยงั ประเทศลาวอีก พน่ี ้องสองฝัง่ แมน่ ้าโขงยังมีการติดต่อค้าขายกนั อยู่ตลอดเวลาและผทู้ ่เี ป็นสื่อกลางสรา้ งความสัมพันธ์กนั แน่นแฟน้ ก็คอื พระภกิ ษสุ งฆ์ในพระพทุ ธศาสนา เมอื งไทยและลาวต่างกน็ บั ถือพระพทุ ธศาสนาด้วยกัน ไทยเป็นประเทศ ใหญ่กว่าและเป็นเอกราช มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมากกว่าลาว ลาวกพ็ ยายามเอาอย่างไทยไม่โดยตรงก็โดย ออ้ มอยู่ตลอดเวลา ความเจริญรงุ่ เรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศลาวแมจ้ ะไม่คอ่ ยมีหลกั ฐานทางด้าน หนังสอื ปรากฏอยู่มากนักแต่ก็พอจะอนุมานได้จากข้อเทจ็ จริงที่ประจักษ์อยู่ทกุ วนั นี้ โดยเหตทุ ี่ไทยกบั เขมรต่างก็มีความสัมพันธก์ ับลาว แตไ่ ทยมีภาษีดกี ว่าเพราะมสี ายเลอื ดและภาษาอย่าง เดยี วกนั เพราะฉะน้นั เมื่อเขมรเส่อื มอานาจลง ลาวก็ตอ้ งหันมาพึง่ ไทยมากกว่าประเทศอ่ืนๆ ซ่งึ เป็นคนละ สายเลอื ขอ้ น้ีเป็นเหตผุ ลท่สี าคญั ยิง่ ท่ีทาใหพ้ ระพุทธศาสนาในประเทศลาวคลา้ ยคลึงกับในประเทศไทย มาก ไมว่ ่าจะเปน็ ในดา้ นการศึกษา การปกครอง หรอื อน่ื ใดกต็ าม อย่างในดา้ นการศึกษา คณะสงฆล์ าวก็ มกี ารศึกษาพระปริยัตธิ รรมท้ังบาลีและนักธรรมแบบไทย และใชห้ ลักสตู รอย่างเดยี วกับการศกึ ษาของ คณะสงฆ์ไทยเกือบทุกอยา่ ง ในด้านการปกครอง คณะสงฆ์ลาวกจ็ ัดระบบการปกครองคลา้ ยกบั คณะสงฆ์ ไทยเพยี งแต่ชอ่ื เทา่ นัน้ ที่อาจผิดเพย้ี นกันไปบา้ ง การท่ีพระพุทธศาสนาในประเทศลาวได้ดาเนนิ ไปอย่าง ล่มุ ๆ ดอนๆ เปน็ สว่ นใหญ่กเ็ พราะวา่ การเมืองของลาวขาดเสถยี รภาพ บา้ นเมืองไมค่ ่อยมีความสงบสุข การทจี่ ะจัดการปกครองบ้านเมอื งและคณะสงฆ์ใหเ้ ปน็ ระเบียบเรยี บร้อยจึงทาไดย้ าก พระเถรานุเถระของ ลาวสว่ นมากกไ็ ดร้ ับการศึกษาไปจากเมืองไทย เม่ือไปจดั การศึกษาของคณะสงฆ์ในประเทศลาวก็มักจะจัด ตามแบบไทย แต่การจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ยังไม่ได้มาตรฐานทนี่ ่าพึงพอใจนัก ยิ่งในระหวา่ งทอี่ ยู่ใน ความปกครองของฝร่ังเศสด้วยแล้ว การคณะสงฆต์ ้องตกอยู่ในสถานะที่นา่ สงสาร ความอยรู่ อดของ พระพทุ ธศาสนาจงึ ขึ้นกับพระเถระและพุทธบริษทั ท้ังหลาย แต่เมอ่ื ขาดความอปุ ถัมภ์บารงุ จากบ้านเมือง เทา่ ทคี่ วรแล้ว การที่จะให้พระพุทธศาสนาเจรญิ รุดหนา้ ไปเทา่ ทค่ี วรจงึ เปน็ ไปไดย้ ากมาก พระพุทธศาสนาในราชอาณาจกั รลาว (จบ) ในด้านการปกครอง เมื่อลาวได้รบั เอกราชแล้วก็ไดด้ าเนินการปกครองโดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์ ประมขุ และมีสงั ฆนายกกบั สังฆมนตรีวา่ การ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องคก์ ารเผยแผ่ และ องค์การปฏิสงั ขรณ์ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๘๘ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๕๐๒ ไดย้ ุบเลิกองค์การสงฆ์แบบนี้แลว้ มาตั้งที่ ปรกึ ษาสงฆ์ ๔ องคแ์ ทน โดยมสี มเด็จพระสงั ฆราชเป็นองค์ประมุขของศาสนา คณะทป่ี รึกษาก็คลา้ ยๆ กบั มหาเถรสมาคมของคณะสงฆไ์ ทย นอกจากนัน้ ก็มีเจ้าคณะแขวง(เทยี บเท่าเจ้าคณะจังหวดั ของไทย) เจา้ คณะเมือง(เทียบเท่าเจา้ คณะอาเภอ) เจ้าคณะตาแสง(เทยี บเท่าเจ้าคณะตาบล) และเจ้าอธิการ คือ สมภารวดั ชัน้ ยศแหง่ พระภกิ ษใุ นราชอาณาจกั รลาวมี ๖ ชั้นดว้ ยกนั คอื ๑. พระยอดแกว้ คือ สมเดจ็ พระสังฆราช ๒. พระลูกแกว้ คือ สมเด็จพระราชาคณะ ๓. พระหลักคา คือ พระราชาคณะ ๔. พระครู ผเู้ ป็นพระครูได้ต้องมีพรรษาครบ ๑๐ แล้ว