Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

Description: จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

Search

Read the Text Version

89 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 5 ความเครียดทางการกฬี า (Stress in Sport) หวั ข้อเนอื้ หา 1. ความหมายของความเครยี ดทางการกฬี า 2. กระบวนการเกิดความเครยี ด 3. สาเหตขุ องความเครยี ดทางการกฬี า 4. ประเภทของความเครียดทางการกฬี า 5. แนวทางการจดั การความเครยี ดทางการกีฬา 6. วธิ ีจดั การกับความเครียดทางการกฬี า 7. หลักปฏบิ ตั ใิ นการควบคุมอารมณเ์ ครียด วัตถปุ ระสงค์ทั่วไป 1. เพ่ือใหน้ กั ศึกษาทราบถึงความหมายของความเครียดทางการกีฬา 2. เพ่ือใหน้ กั ศึกษาทราบถงึ สาเหตุและกระบวนการของการเกดิ ความเครียดทางการกฬี า 3. เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาทราบถึงแนวทางและวธิ ีการจดั การกบั ความเครียดทางการกฬี า 4. เพื่อใหน้ ักศกึ ษาทราบถงึ หลักปฏิบัติในการควบคมุ อารมณเ์ ครียดทางการกีฬา วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นักศึกษาสามารถระบุความหมายของความเครียดทางการกฬี า 2. นักศกึ ษาสามารถระบสุ าเหตแุ ละกระบวนการของการเกดิ ความเครยี ดทางการกีฬา 3. นกั ศกึ ษาสามารถอธบิ ายแนวทางและวธิ กี ารจัดการกบั ความเครยี ดทางการกีฬา 4. นกั ศึกษาสามารถระบุหลักปฏบิ ัตใิ นการควบคุมอารมณ์เครียดทางการกีฬา กิจกรรมการเรยี นการสอน 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั เน้อื หาความรเู้ ก่ยี วกับความเครียดทางการกีฬา 2. นาเข้าสู่บทเรยี นด้วยการสนทนาเร่อื งท่เี กยี่ วข้องกับความเครียดทางการกีฬา 3. ให้นกั ศึกษาไดแ้ สดงความคดิ เห็น ซกั ถามปญั หา ขอ้ สงสัย 4. อธิบายหลักการ ความสาคญั เกย่ี วกบั วิธกี ารลดความเครียดทางการกฬี า 5. อาจารยอ์ ธิบาย ตอบคาถาม และสรปุ เน้อื หาเกี่ยวกับความเครยี ดทางการกีฬา 6. ศึกษาจากเอกสารตา่ งๆ เพิ่มเติม ส่อื การสอน 1. คลิปวดี ที ศั น์เกย่ี วกบั ความเครียดทางการกฬี า 2. เอกสารการสอนจติ วทิ ยาการกีฬาและการออกกาลงั กาย บทที่ 5 ความเครยี ดทางการกีฬา 3. ภาพประกอบจากเอกสารการสอนจิตวิทยาการกีฬาและการออกกาลงั กายบทที่ 5

90 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตการสนใจ ความต้งั ใจ 2. พิจารณาจากการอภปิ ราย ถาม-ตอบ เสนอความคดิ เห็น 3. ใหน้ ักศึกษาแสดงความคิดเหน็ เสนอแนะฯ 4. พิจารณาจากงาน ความรับผดิ ชอบ 5. การตอบคาถามทา้ ยบท

91 บทที่ 5 ความเครียดทางการกฬี า (Stress in Sport) มนุษย์เกิดมาเพ่ือเป็นส่วนหน่ึงของสังคมและส่ิงแวดล้อม ไม่ว่าส่ิงแวดล้อมหรือสังคมจะเป็นเช่นใด มนุษย์ต้องมีชีวิตอยูใ่ หไ้ ด้อยา่ งมีความสขุ แต่ในความเปน็ จริงมนุษย์ไมส่ ามารถประสบกับความสุขได้ตลอดเวลา เพราะมบี างสงิ่ บางอย่างทีอ่ ยู่เหนือการควบคุมของจิตใจ ซง่ึ ล้วนแตส่ ามารถนาไปสคู่ วามทุกข์ใจได้ทง้ั สนิ้ ในสถานการณ์กีฬาก็เช่นเดียวกันมักมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของ นักกีฬาตลอดเวลา จนทาให้การปฏิบัติทักษะหรือการแสดงความสามารถทางการกีฬาที่เคยทาได้ดีกลับลด ประสิทธิภาพลง สาเหตุดังกล่าวเกิดจากการท่ีนักกีฬาปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆ มีอิทธิพลต่อกระบวนการ ความคิดและไม่สามารถจัดการให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสมได้ จึงทาให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกหวาดกลัว และกระวนกระวายใจตอ่ สง่ิ ทีเ่ กดิ ข้นึ ลักษณะความคิดท่ีเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าที่ยังไม่เกิดข้ึนเรียกว่า “ความวิตกกังวล” (Anxiety) และหากนักกีฬาไมส่ ามารถปรบั ตัวตอ่ ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ของร่างกายท่ีเรียกว่า “ความเครียด” (Stress) ซ่ึงจะนาไปสู่การตอบสนองภายในร่างกายและทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น กล้ามเน้ือเกร็งตัว ท้องผูก นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูงข้ึน ระดับน้าตาลใน เลอื ดสงู ขึน้ หากสภาวะดังกลา่ วไม่ไดร้ บั การบรรเทาใหล้ ดลงหรือได้รับการจัดการท่ีดีแล้ว ย่อมก่อให้เกิดปัญหา เรื้อรังและมีแนวโน้มที่จะนาไปสู่การเจ็บป่วยและเลิกเล่นกีฬาในท่ีสุด นักกีฬาต้องทราบระดับการกระตุ้นของ ตนเองเพอ่ื เพ่มิ หรอื ลดระดับของความรสู้ ึกหรือความคิดให้อยใู่ นสภาวะทเี่ หมาะสมต่อสถานการณ์ ความเครียดระดับต่าและเกิดข้ึนไม่นานจนเกินไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลทาสิ่งต่างๆ ด้วย ความกระตือรือร้นมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหามีความรู้สึกเชื่อมั่น และไม่มีผลให้เกิดการหลั่งของ ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol hormone) ที่ไปกดการทางานของ ต่อมใต้สมองในนักกีฬาสตรีจะมีผลต่อการรบกวนการหลั่งฮอร์โมนท่ีกระตุ้นการทางานของรังไข่ ทาให้เกิด ภาวะประจาเดอื นผิดปกติได้ ภาพที่ 5.1 ความเครยี ดทางการกีฬา ทมี่ า: http://www.ok3sports.com/stress-can-actually-help-athletes/

92 ความหมายของความเครยี ดทางการกฬี า ความเครียดทางการกฬี า เปน็ สภาวะที่นักกีฬาไม่สามารถจัดการกับสิ่งเร้าท่ีมากระทบจิตใจและส่งผล ต่อการปรับตัว อันมีผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรม จนทาให้การแสดงความสามารถ ทางการกีฬาลดลง สาหรับกระบวนการเกิดความเครียด สาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียด และวิธีการจัดการกับ ความเครียดต่างๆ โดยสรุปมีดงั ตอ่ ไปนี้ กระบวนการเกิดความเครียด กระบวนการเกดิ ความเครียดทางการกีฬา อธิบายได้ด้วย 4 ข้ันตอน คือ ความเครียดขั้น ที่ 1 การมองสถานการณ์ในขณะฝึกซ้อมหรือแข่งขันกีฬานักกีฬาจะมองสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นในมุมมองท่ีแตกต่างกัน ซ่ึงนักกีฬาแต่ละคนเป็นผู้กาหนดความแตกต่างของสิ่งที่จะเกิดข้ึนเอง เช่น นักกีฬาบางคนอยากจะแข่งขันกับนักกีฬาที่มีความสามารถสูง แต่ในทางกลับกันนักกีฬาบางคนไม่อยากจะ แขง่ ขนั ด้วย ความเครียดขั้นท่ี 2 เป็นการประเมินหรือเปรียบเทียบระหว่างสถานการณ์หรือความสามารถของ คู่แข่งกับความสามารถของตนเองหรือทีม บางคนรู้สึกว่าการเปรียบเทียบความสามารถเป็นส่ิงดีเพราะทาให้ เกดิ ความท้าทาย แตน่ ักกฬี าบางคนรู้สึกว่าการเปรียบเทียบความสามารถระหว่างคู่แข่งขันกับตนเอง ทาให้เกิด ความร้สู ึกเครียด กลวั ประหมา่ และคดิ วา่ อาจจะแพ้มากกว่าชนะ ความเครียดข้ัน ท่ี 3 คือ การตอบสนองของนักกีฬาต่อการประเมินสถานการณ์ซ่ึงมีความแตกต่าง กันออกไปในแต่ละคนท้ังการเปล่ียนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น การเต้นของหัวใจ การหล่ังเหงื่อท่ีฝ่ามือ และ ระดบั ความวติ กกงั วลที่เกิดขน้ึ ความเครียดข้ันท่ี 4 คือ ผลของความเครียดหรือการตอบสนองท่ีเกิดข้ึนและส่งผลกระทบต่อ พฤตกิ รรมของนักกฬี า เช่น ทาให้นักกฬี าเล่นได้ไม่ดี แสดงความสามารถไดไ้ มเ่ ต็มศักยภาพของตนเอง ภาพท่ี 5.2 กระบวนการเกิดความเครียดทางการกีฬา ทีม่ า: Weinberg and Gould (2011)

93 สาเหตขุ องความเครยี ดทางการกีฬา สาเหตขุ องความเครียดทางการกีฬา อาจมาจากโปรแกรมการฝึกซ้อมที่หนักและต่อเนื่อง การแข่งขัน ทม่ี ีอยู่ตลอดเวลา การเดินทางที่ยาวไกล การดาเนินชีวิตท่ีต้องทาแต่ส่ิงเดิมๆ คือ ฝึกซ้อมและแข่งขัน การขาด เวลาส่วนตัว เวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ความสัมพันธ์อันดีภายในทีมกีฬาไม่เกิดขึ้น เป็นต้น ท้ังนี้สามารถสรุป สาเหตขุ องความเครียดทางการกฬี าได้ 3 กล่มุ หลักๆ คือ 1. สาเหตุจากตนเอง เป็นความเครียดที่เป็นผลมาจากความคิด ความรู้สึกที่มีต่อตนเอง เช่น การรับรู้ วา่ ตนเองไม่มคี วามสามารถ สู้คนอน่ื ไม่ได้ ขาดความเชอื่ มน่ั ในตนเอง 2. สาเหตุจากสถานการณ์ เป็นความเครียดที่เป็นผลมาจากการประเมินสถานการณ์หรือส่ิงแวดล้อม เชน่ รับรู้ว่าตนเองไมม่ คี วามสาคัญตอ่ ทมี เพราะไม่ได้รับการดูแลจากผู้ฝึกสอนเหมือนเพ่ือนร่วมทีมคนอื่น หรือ ในกีฬาบางประเภท เช่น กีฬากอล์ฟที่ต้องเล่นในสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งอาจพบว่าวันนี้ฝนตก สนามแฉะ ลมแรง ทาใหเ้ ลน่ ยาก เป็นตน้ 3. สาเหตุจากบุคคลอ่ืน เป็นความเครียดท่ีเป็นผลมาจากการให้ความสาคัญกับบุคคลอ่ืนมากกว่า การให้ความสาคัญกับตนเอง มักอยู่ในภาวะยินยอมให้บุคคลอื่นเข้ามามีอิทธิพลต่อตนเอง เพราะฉะน้ันหาก นักกีฬาเกิดความเครียดท่ีมีสาเหตุมาจากบุคคลอื่น จึงมักขจัดความเครียดออกจากตนเองไม่ได้หมด อย่างแทจ้ รงิ เพราะเมื่อนักกีฬาต้องกลบั มาพบเจอบคุ คลเดิม ความเครยี ดจะเกดิ ขน้ึ อกี จากการศึกษาความเครียดและการขจัดความเครียดของทีมเรือพายประเภทยัค – แคนู ทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ครั้งท่ี 24 ของ นิพวรรณ (2551) พบว่านักกีฬาเรือพายมีระดับความเครียดโดยรวมในช่วงก่อน การเข้าค่ายเก็บตัว พฤติกรรมเผชิญความเครียด และการขจัดความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง แต่เมื่อเข้า ค่ายเก็บตัวฝึกซ้อมแล้ว ระดับความเครียดโดยรวม พฤติกรรมเผชิญความเครียด และการขจัดความเครียดอยู่ ในระดับระดับต่า จึงเป็นท่ีน่าสังเกตว่านักกีฬาเรือพาย เมื่อเข้าสู่ช่วงการเก็บตัวฝึกซ้อมแล้วระดับความเครียด ลดลงจากก่อนการเข้าค่ายเก็บตัว ซ่ึงอาจเกิดจากการท่ีนักกีฬาได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์การฝึกซ้อม อยา่ งจรงิ จงั แลว้ ไมต่ ้องคิดคาดเดาสิ่งทจ่ี ะเกดิ ข้นึ กบั ตนเองอกี ตอ่ ไป สิ่งที่ผู้ฝึกสอนต้องพึงระวัง คือ แม้ระดับความเครียดของนักกีฬาจะอยู่ในระดับต่าแต่พฤติกรรม การเผชิญความเครียดและการขจัดความเครียดของนักกีฬาอยู่ในระดับต่าเช่นเดียวกัน ดังนั้นควรให้ ความสาคัญกับการให้ความรู้และช่วยเหลือนักกีฬาให้มีพฤติกรรมการเผชิญความเครียดและการขจัด ความเครียดท่ีถูกต้องและเหมาะสมเพ่ือป้องกันไม่ให้ระดับความเครียดสูงขึ้นจนส่งผลเสียต่อการฝึกซ้อมและ การแข่งขนั ประเภทของความเครียดทางการกีฬา ความเครียดที่เกิดขึ้นทางการกีฬา มักมีสาเหตุไม่แตกต่างกับความเครียดที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวัน มากนัก ซึ่งความเครียดที่เกิดข้ึนล้วนส่งผลกระทบต่อท้ังร่างกายและจิตใจ ทาให้การทางานหรือการแสดง ความสามารถทางการกีฬาลดลงเป็นผลให้โอกาสท่ีจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันย่อมมีน้อยลงด้วยเช่นกัน ลกั ษณะของความเครยี ดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. ความเครียดทางบวก เป็น ความเครียดในทางดี เป็นส่ิง ที่มนุษย์พยายามแสวงหา เม่ือมีความ ตั้งใจท่ีจะทาดีมากๆ เช่น ดีใจ ตื่นเต้น หรือเมื่อมีความสุขมากๆ เมื่อต้องข้ึนรับเหรียญรางวัล เพราะเป็นความ กดดันจึงพยายามจะทาให้ดีที่สุด ความเครียดทางบวกถ้ามีระดับไม่สูงมากจนเกินไปจะช่วยให้นักกีฬาแสดง ความสามารถทางการกีฬาดขี นึ้

94 2. ความเครียดทางลบ เป็นความเครียดในทางไม่ดีเป็นสิ่งท่ีมนุษย์พยายามหลีกเล่ียง เป็นการ ตอบสนองของร่างกายท่ีไม่เฉพาะเจาะจงตอ่ ขอ้ เรียกร้องต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นรอบตัว เป็นความรู้สึกต่อความกดดันท่ี มคี วามคับขอ้ งใจ สับสน ความกลวั ความกงั วลใจทจี่ ะทาผิดพลาดหรอื ทาไมไ่ ด้ ถ้ามคี วามเครยี ดทางลบระดับสูง หรือต่ามากเกินไปจะทาให้นักกีฬาแสดงความสามารถทางการกีฬาลดลงกว่ามาตรฐานของตนเองร่างกายจะ เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียด โดยความเครียดที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่ออวัยวะภายในร่างกายทาให้เกิด การตอบสนอง ดงั ต่อไปนี้ 1. การตอบสนองของระบบกล้ามเน้ือ การเคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อทาให้เกิดการแสดงออกทาง ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเคล่ือนไหวด้วยความสนุกสนานหรือหลีกหนีอันตราย โดยการเคล่ือนไหวของ กล้ามเน้ือมี 2 ลกั ษณะคอื 1.1 การหดตัวของกล้ามเนื้อ ในสภาวะท่ีร่างกายเกิดความเครียดจะส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิด ความตึงตัวมากกว่าปกติ ซ่ึงเม่ือร่างกายได้รับการกระตุ้นจะส่งผลให้ระบบประสาทอัตโนมัติสั่งการไปยัง ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) ให้หล่ังฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งมีผลต่อการไหลเวียนเลือดและการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อ ทาให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดถูกส่งไปยังกล้ามเน้ือส่วนต่างๆ มากข้ึน จึงเกิดอาการเกร็ง ของกลา้ มเน้ือ 1.2 การคลายตัวของกล้ามเนื้อ ในภาวะท่ีร่างกายผ่อนคลายกล้ามเน้ือต่างๆ จะทางาน ตามปกติไม่มีความตึงเครียดเกิดขึ้นแต่ในบางสถานการณ์หากกล้ามเนื้อผ่อนคลายมากเกินพอดีอาจส่งผลให้ ไมส่ ามารถควบคุมการทางานของกลา้ มเน้ือมัดนั้นๆ ได้ดีเท่าที่ควร (บริเวณท่ีมีการตอบสนองต่อการผ่อนคลาย กลา้ มเน้ืออยา่ งชัดเจน ไดแ้ ก่ น้ิว ขา และลาคอ) 2. การตอบสนองของระบบย่อยอาหาร เป็นการเคล่ือนไหวของกระเพาะอาหารและลาไส้ เพ่ือทา หนา้ ที่ยอ่ ยอาหารและดูดซมึ สารอาหารเข้าสู่กระแสเลอื ดโดยมอี าการทีส่ ังเกตได้ 2 ลกั ษณะ คอื 2.1 ท้องเสีย เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของลาไส้อย่างรวดเร็ว ทาให้ไม่สามารถดูดซึมน้า ได้ทัน ซึ่งอาจพบเห็นได้ในกรณีที่นักกีฬามีความเครียดสูงก่อนการแข่งขัน จะมีอาการปวดท้องและท้องเสีย ตามมา 2.2 ทอ้ งผูก เกิดข้นึ จากการเคลือ่ นไหวของลาไสเ้ ป็นไปอยา่ งชา้ ๆ ทาให้เกิดการอุดตันในลาไส้ มักเกิดข้ึนกับนักกีฬาที่มีความเครียดเร้ือรัง โดยไม่ได้รับการบาบัดหรือช่วยเหลือใดๆ เพ่ือให้ความเครียดนั้น หายไป จนกระทั่งส่งผลต่อระบบการทางานของระบบย่อยอาหารและมีอาการท้องผูกตามมา อาการท้องผูก มักพบในช่วงการฝึกซ้อมหรือการเกบ็ ตวั ยาวนาน โดยปราศจากการผ่อนคลายรา่ งกายและจิตใจทเ่ี หมาะสม 3. การตอบสนองของระบบสมอง สามารถตรวจสอบได้จากการบันทึกค่าการเปลี่ยนแปลงคล่ืนไฟฟ้า สมอง โดยวัดออกมาเป็นคา่ ความถม่ี ีหน่วยเป็นจานวนรอบต่อวินาที (Cycle / Second) นอกจากนี้ยังสามารถ บอกถึงขนาดของคล่ืน (Amplitude) ด้วยคล่ืนไฟฟ้าสมองที่ปรากฏข้ึน สามารถอธิบายตามลักษณะของ คลืน่ ไฟฟา้ โดยเชื่อมโยงไปส่คู วามคดิ และพฤติกรรมของบคุ คลได้ดงั นคี้ ือ 3.1 คล่ืนเบต้า (Beta – wave) เป็นคล่ืนท่ีมีความเร็วมาก ความถ่ีสูงมากกว่า 14 รอบ / วินาที บางครั้งอาจมีความถ่ีสูงถึง 50 รอบ / วินาที ลักษณะคล่ืนมีขนาดต่า (Low amplitude) จะพบคล่ืน เบตา้ ชนิดนี้มากในภาวะทบี่ คุ คลมคี วามตืน่ ตวั หรือต่นื เต้น หรอื ภาวะทีส่ มองมีการถกู กระตุ้นมาก (Alert) 3.2 คล่นื อัลฟา (Alpha – wave) เป็นคลื่นที่มีระเบียบ ความถี่ระหว่าง 8 - 13 รอบ / วินาที จะพบคลื่นอัลฟามากในช่วงทบ่ี ุคคลมคี วามสงบผ่อนคลาย (Relax) ในขณะตื่นอยู่ 3.3 คล่ืนทีต้า (Theta - wave) เป็นคล่ืนช้า ความถี่ระหว่าง 4 – 7 รอบ / วินาที ลักษณะ คลื่นมขี นาดสงู (High amplitude) จะพบมากในช่วงที่บุคคลหลบั หรือมีความเครยี ดและผิดหวัง

95 3.4 คลื่นเดลต้า (Delta - wave) เป็นคลื่นที่มีความถี่น้อยกว่า 4 รอบ / วินาที บางครั้งอาจ ชา้ ถึง 1 รอบ / 2 – 3 วินาที จะพบในชว่ งทบี่ คุ คลอย่ใู นภาวะหลับสนทิ ภาพที่ 5.3 ลกั ษณะคล่ืนไฟฟ้าสมอง ทีม่ า: กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา (2556) 4. การตอบสนองของระบบหลอดเลือดและหัวใจ เม่ือร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงจะมีการกระตุ้น การทางานของระบบหลอดเลือดและหัวใจ ซ่งึ มผี ลตอ่ การทางานของอวยั วะตา่ งๆ 3 ลักษณะคือ 4.1 กลไกการเอาตวั รอด โดยหัวใจจะทางานมากข้ึนเพื่อทาให้ความสามารถในการกระทาสิ่ง ต่างๆ เพิ่มข้ึนเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริง เมื่ออยู่ในภาวะตึงเครียดร่างกายจะเตรียม ความพร้อมเพ่ือ “สู้” หรือ “หนี” ร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็วข้ึนเพื่อ สูบฉีดเลือดในการนาออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย พร้อมกับขจัดของเสียออกจาก กระแสเลือดอย่างเร็ว การหายใจถ่ีข้ึนแต่เป็นการหายใจตื้นๆ มีการขับฮอร์โมนอะดรีนาลีน และฮอร์โมนอ่ืนๆ เข้าสู่กระแสเลือด ม่านตาขยายเพ่ือให้ได้รับแสงมากข้ึน กล้ามเนื้อหดเกร็งเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหว เตรยี มการส้หู รือหนี เส้นเลอื ดบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว เหง่ือออก เพราะมีการเผาผลาญอาหารมากข้ึน มีผลใหอ้ ุณหภูมิของรา่ งกายเพม่ิ ขน้ึ เมอ่ื วิกฤตการณผ์ ่านไปร่างกายจะกลบั สภู่ าวะปกติได้ 4.2 ระดับความดันโลหิตสูงข้ึน เนื่องจากการคั่งของน้าและเกลือโซเดียมปริมาณของเลือด เพ่มิ ขึ้น หวั ใจทางานหนักข้ึน ชพี จรเต้นแรง อาจพบวา่ มอี าการหัวใจเต้นผดิ ปกตหิ รอื มอี าการใจสัน่ ได้ 4.3 เกิดการเผาผลาญไขมันสะสม เช่น คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ เม่ือร่างกายเกิด ความเครยี ดจะกระต้นุ ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) ใหห้ ล่ังฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol hormone) ซ่ึงจะ ทาหน้าที่เปล่ยี นไขมนั ใหเ้ ปน็ กลโู คสมากข้นึ จงึ มผี ลให้ระดับน้าตาลในเลือดสงู ข้นึ ได้ 5. การตอบสนองของผิวหนัง เช่น อุณหภูมิภายใต้ผิวหนังลดลง ผิวหนังแห้งซึ่งเกิดจากการมีเลือดไป หลอ่ เลีย้ งบรเิ วณผิวหนังน้อยเกนิ ไป แนวทางการจดั การความเครียดทางการกฬี า การจัดการความเครียดทางการกีฬา หมายถึง กระบวนการที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด หรือจิตใจและพฤติกรรมของนักกีฬา โดยพยายามจัดการกับส่ิงที่เข้ามารบกวนท้ังจากภายในและภายนอก สามารถแบ่งประเภทการจดั การความเครียดทางการกฬี าได้ 2 ประการคือ

96 1. การจัดการความเครียดที่มุ่งปัญหา เป็นความพยายามที่จะเปล่ียนแปลงหรือจัดการกับปัญหาท่ี เป็นสาเหตุให้เกิดความเครียด โดยมีวิธีจัดการ เช่น การสังเกตพฤติกรรมท่ีตอบสนองต่อปัญหาท่ีเกิดขึ้น การตรวจสอบการตั้งเป้าหมายของนกั กีฬาเพอื่ ทราบว่านกั กฬี ามแี นวคดิ ตอ่ ปญั หาอย่างไร 2. การจัดการความเครียดท่ีมุ่งอารมณ์ เป็นความพยายามท่ีจะจัดการกับการตอบสนองทางอารมณ์ ที่เป็นผลมาจากปัญหาท่ีทาให้เกิดความเครียดในแต่ละบุคคล ประกอบด้วย การต้ังสมาธิ และการผ่อนคลาย โดยพยายามให้มีการเปล่ียนแปลงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของสถานการณ์ (แต่ต้องไม่ใช่ปัญหาหรือ สภาพแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นจริง) การจัดการความเครียดท่ีมุ่งปัญหาจะนาไปใช้เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ท่ีมีการ ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ (ปัญหานั้นแก้ไขได้) ส่วนการจัดการความเครียดที่มุ่งอารมณ์จะมีประโยชน์ อยา่ งมากเมอื่ นาไปใชก้ ับสถานการณท์ ่ีไมย่ อมให้เกดิ การเปลย่ี นแปลง (ปัญหานน้ั แก้ไขไมไ่ ด้) วิธีจดั การกบั ความเครยี ดทางการกีฬา 1. การควบคุมความคดิ 2. การมุ่งจดุ สนใจไปในส่งิ ทกี่ าลงั ปฏบิ ตั ิอยู่ 3. การใช้เหตผุ ลในการคิดและพดู กับตนเอง 4. การมงุ่ จดุ สนใจไปในทางทดี่ ี และการปรับตวั ให้เข้ากับสงิ่ แวดลอ้ ม 5. การไดร้ ับการสนบั สนุนจากสังคมหรือสภาพแวดล้อมรอบตัว 6. การเตรยี มสภาพจติ ใจใหพ้ ร้อมกอ่ นการแขง่ ขัน 7. ค้นหาระยะเวลาที่เหมาะสมของตนเองในการจัดการกับความเครียด 8. ฝกึ วิธีการจัดการความเครียดอย่างสม่าเสมอ เคล็ดลับการนาไปสู่การผอ่ นคลายความเครยี ด 1. สามารถยมิ้ ได้ เมอ่ื รู้สึกว่าความเครยี ดกาลังจะมาถงึ 2. มคี วามสขุ และเปดิ ใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกดิ ขึ้นด้วยความรู้สกึ สนกุ และทา้ ทาย 3. มีการฝึกซ้อมภายใต้สถานการณ์กดดัน (อาจเป็นการจาลองสถานการณ์ฝึกซ้อมให้เหมือนกับการ แขง่ ขันจรงิ ) เพ่ือใหเ้ กิดความคุ้นเคย 4. ทาเวลาใหช้ า้ ลง (ปฏิบัตทิ กั ษะกีฬาด้วยความมสี ติ ค่อยๆ ปฏบิ ัติ ไม่ตอ้ งรบี เร่ง) 5. มงุ่ ความสนใจอย่ทู ีส่ ถานการณ์ปจั จบุ นั 6. การเตรยี มตัวให้พรอ้ มและวางแผนการเล่นที่ดี 7. การเพิ่มแรงกระตุ้น บางคร้ังนักกีฬาอาจมีความรู้สึกเซ่ืองซึม ง่วงเหงาอาจต้องหาส่ิงเร้าเข้ามาช่วย กระต้นุ จติ ใจ เพ่อื ใหน้ กั กีฬารู้สกึ กระปรก้ี ระเปร่า และพร้อมเขา้ สู่การแขง่ ขนั 8. การควบคมุ และการมุ่งจดุ สนใจไปทีก่ ารหายใจ 9. การระบายอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง รวมไปถึงการพดู กบั ตนเองทางบวก 10. การฟังดนตรีทีต่ นเองช่ืนชอบ เพื่อใหเ้ กิดความผ่อนคลาย 11. การจินตภาพทักษะกีฬาต่างๆ เพ่ือสร้างความเช่ือม่ันในตนเอง หรือการจินตภาพสิ่งที่ทาให้รู้สึก ผอ่ นคลาย

97 หลกั ปฏบิ ัติในการควบคมุ อารมณ์เครียด 1. เม่ือมีปัญหาเกิดขึ้นอย่าเก็บไว้คนเดียว ให้พยายามพูดหรือระบายความรู้สึกอย่างสมเหตุสมผลกับ บุคคลทเ่ี ราเชื่อถอื และไวว้ างใจ 2. พยายามอย่าให้ตนเองมีอารมณ์โกรธเกิดข้ึนง่ายๆ รู้จักอดทนอดกลั้นพร้อมท้ังรู้จักรับพิจารณา ความคดิ และการวจิ ารณ์ของผู้อน่ื ดว้ ยความอดทนเสมอ 3. เม่ือมีปัญหามากมายเข้ามาและมีความวุ่นวาย เคร่งเครียด ให้หนีความยุ่งเหยิงนั้นช่ัวขณะ เพื่อ ผอ่ นคลายอารมณเ์ ครยี ดทเ่ี กดิ ขนึ้ และมเี วลาปรบั อารมณใ์ หเ้ ข้าสภู่ าวะปกติ 4. รู้จักยอมแพเ้ ป็นผแู้ พท้ ดี่ บี า้ งบางโอกาสไมใ่ ช่จะต้องเป็นผู้ชนะทกุ คร้งั เสมอไป 5. รู้จักใช้เวลาว่างด้วยกิจกรรมนันทนาการที่ตนเองชอบและพอใจ เป็นกิจกรรมยามว่างประจาวัน เพ่ือเปน็ การผอ่ นคลายอารมณ์เครยี ด ทาให้จิตใจแจ่มใสเบกิ บาน 6. พยายามฝกึ การทางานให้เสรจ็ เปน็ อย่างๆ เพราะถ้าทางานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะทาให้เกิด ความยงุ่ เหยิงและสับสนวนุ่ วายได้ 7. อย่าคิดว่าทุกคนจะมีความสามารถทาทุกส่ิงทุกอย่างได้ แต่ละคนย่อมมีความถนัด และ ความสามารถแตกต่างกนั ออกไป 8. ฝกึ การวิพากษว์ จิ ารณเ์ ร่อื งต่างๆ ด้วยการใช้เหตผุ ลเสมอ 9. รูจ้ ักให้ความรว่ มมอื กับบคุ คลอน่ื เพือ่ ให้งานสว่ นรวมดาเนินไปได้ด้วยดี 10. รู้จกั บาเพญ็ ตนใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อบคุ คลอื่นบ้างตามโอกาสอันควรเสมอ 11. ฝึกหัดให้มีการตัดสินใจที่ดีและไม่ให้เกิดความลังเลใจ เพื่อเป็นการขจัดความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึน ภายในจติ ใจ 12. อย่าพยายามหมกมุ่นอยู่กบั กจิ กรรมใดกจิ กรรมหน่งึ มากจนเกนิ ไป 13. รูจ้ ักความพอดีทงั้ ดา้ นส่วนตวั และดา้ นสังคม 14. พยายามปรบั ตัวและการประกอบกจิ กรรมต่างๆ ในชวี ิตประจาวนั ดว้ ยความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ หลักปฏบิ ัตเิ พอ่ื ควบคมุ อารมณ์เครียดดงั กล่าวถือเปน็ สง่ิ ทม่ี ีความจาเปน็ และมีความสาคัญอย่างมากต่อ นกั กฬี าหรอื ผู้ฝกึ สอนกฬี า ในการนาไปประยกุ ตใ์ ช้เพอ่ื ปรบั สภาพอารมณ์ นอกจากจะทราบหลักการปฏิบัติเพื่อ ควบคุมอารมณ์แล้วควรทาความเข้าใจกับชนิดต่างๆ ของอารมณ์และลักษณะความผิดปกติของอารมณ์ ประกอบกันด้วย เพื่อจะไดแ้ กไ้ ขปัญหาของนักกีฬาได้ตรงกบั สาเหตุท่ที าให้เกิดความผดิ ปกตขิ องพฤตกิ รรมขึ้น พรรณพิไล และสุจิตรา (2549) ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจไว้ว่าความเครียดนอกจากส่งผล กระทบต่อสัมฤทธิ์ทางการกีฬาของนักกีฬาสตรีแล้วยังส่งกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของ นักกีฬา โดยด้านร่างกายนั้นความเครียดทางจิตใจเป็นปัจจัยหน่ึงที่มีส่วนทาให้นักกีฬาสตรีเกิดความผิดปกติ ของประจาเดือน ซ่ึงความผิดปกติของประจาเดือนในนักกีฬาสตรีมีอุบัติการณ์ตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 66 (นักกีฬาสตรีชาวตะวันตก) สาหรับประเทศไทยจากการศึกษาในนักกีฬาสตรีประเภทบาสเกตบอลและ วอลเลย์บอล พบว่ามีอัตราความผิดปกตขิ องประจาเดอื นมากถงึ รอ้ ยละ 44.4 ความเครียดทางร่างกายที่มาจาก การออกกาลังกายอย่างหนักและเป็นระยะเวลานาน และความเครียดทางจิตใจท่ีมาจากความกดดันในการ ฝึกซ้อมและการแข่งขัน หรือเรื่องอื่นๆ มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะไปกระตุ้น Paraventricular nucleus ให้หล่ัง Corticotropin Releasing Hormone (CRH) และ Vasopressin ซ่ึงฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ จะไปกระตุ้นการหล่ัง Adrenocorticotropin Hormone (ACTH) ทาให้ Adrenal cortex หลั่งฮอร์โมน

98 คอร์ติซอล ซึ่งมีผลรบกวนการหลั่ง Gonadotropin Releasing Hormone (GnRH) จากฮัยโปทาลามัส ทาให้ การหลั่ง Follicle Stimulating Hormone (FSH) และ Luteinizing Hormone (LH) ที่ควบคุมการทางาน ของรังไข่ลดน้อยลงหรือไม่มีการหล่ัง การทางานของรังไข่ จึงถูกกดจนกระทั่งไม่มีการตกไข่ มีผลให้เกิด ความผิดปกติของประจาเดือน ได้แก่ ประจาเดือนมาไม่สม่าเสมอ ประจาเดือนขาด จนถึงประจาเดือนไม่มา เป็นต้นผลการวิจัยเก่ียวกับความเครียดและภาวะการมีประจาเดือนในนักกีฬาสตรีระดับอุดมศึกษาท่ีเข้าร่วม การแขง่ ขันกฬี ามหาวทิ ยาลัย ประจาปี พ.ศ.2547 (พรรณพิไล และสุจิตรา, 2549) พบว่า 1. นักกีฬาสตรีระดับอุดมศึกษา ร้อยละ 46.3 มีระดับความเครียดอยู่ในระดับน้อย และร้อยละ 10.3 อย่ใู นระดับมาก โดยมีความเครยี ดดา้ นการศกึ ษา และด้านสภาพอารมณ์จิตใจ อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้าน ความสมบรู ณข์ องร่างกายและการเล่นกฬี า ดา้ นความสมั พันธ์กบั บคุ คลใกล้ชิด ความสัมพนั ธ์กบั ทีมและเพื่อน นกั กฬี า และดา้ นทอี่ ยอู่ าศยั อยใู่ นระดบั นอ้ ย 2. นักกีฬาสตรรี ะดบั อุดมศกึ ษา รอ้ ยละ 66.7 มปี ระจาเดือนปกติ ร้อยละ 32.6 มีประจาเดือนผิดปกติ ซงึ่ ในกล่มุ ทม่ี ปี ระจาเดือนผดิ ปกตพิ บว่า ร้อยละ 66.7 มปี ระจาเดือนกระปรบิ กะปรอย (Oligomenorrhea) จากทีก่ ลา่ วมาขา้ งต้นจะเห็นไดว้ ่าควรให้ความสาคญั กบั การปอ้ งกันการเกิดภาวะความเครียด ด้วยการ หาวิธีการบาบัดหรือบรรเทาความเครียดนั้นไม่ควรปล่อยให้นักกีฬาต้องประสบกับความเครียดเป็นระยะ เวลานานๆ ถึงแม้จะเป็นความเครียดระดับต่าก็ตาม เพราะสามารถยกระดับเป็นความเครียดเร้ือรัง ซึ่งยากต่อ การให้ความชว่ ยเหลอื และกลบั คนื สู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ซึ่งแนน่ อนวา่ ยอ่ มสง่ ผลเสียตอ่ ความสามารถทางการ กีฬาท่ีลดลงด้วย และหากนักกีฬามีความเครียดระดับสูงหรือความเครียดเรื้อรังย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และแน่นอนว่ายอ่ มสง่ ผลเสียต่อสุขภาพจิตด้วย ภาพท่ี 5.4 อวัยวะภายในร่างกายที่ได้รบั ผลกระทบจากความเครียด ท่มี า: กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2556)

99 สรปุ ความเครยี ดทางการกีฬา เปน็ สภาวะท่ีนักกีฬาไม่สามารถจัดการกับส่ิงเร้าท่ีมากระทบจิตใจและส่งผล ต่อการปรับตัว อันมีผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรม จนทาให้การแสดงความสามารถ ทางการกีฬาลดลง สาเหตุของความเครียดทางการกีฬา อาจมาจากโปรแกรมการฝึกซ้อมท่ีหนักและต่อเน่ือง การแข่งขันท่ีมีอยู่ตลอดเวลา การเดินทางท่ียาวไกล การดาเนินชีวิตท่ีต้องทาแต่สิ่งเดิมๆ คือ ฝึกซ้อมและ แข่งขัน การขาดเวลาส่วนตัว เวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ความสัมพันธ์อันดีภายในทีมกีฬาไม่เกิดขึ้น เป็นต้น ความเครียดที่เกิดขึ้นทางการกีฬา มักมีสาเหตุไม่แตกต่างกับความเครียดที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวันมากนัก ซ่งึ ความเครียดท่เี กดิ ขึ้นล้วนสง่ ผลกระทบตอ่ ท้งั ร่างกายและจิตใจ ทาให้การทางานหรือการแสดงความสามารถ ทางการกีฬาลดลงเป็นผลให้โอกาสที่จะได้รับชัยชนะในการแข่งขันย่อมมีน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจัดการ ความเครียดทางการกีฬาจรงิ เป็นสิ่งท่ีสาคญั โดยส่งิ น้เี ปน็ กระบวนการท่ที าใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงทางความคิด หรอื จติ ใจและพฤตกิ รรมของนกั กฬี า โดยพยายามจดั การกบั สิง่ ท่ีเข้ามารบกวนท้ังจากภายในและภายนอก คาถามทา้ ยบทที่ 5 หลังจากได้ศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอาศัยหลักวิชาการและ ความคดิ เห็นของนักศึกษาประกอบในการตอบคาถาม 1. จงอธิบายถงึ ความหมายของความเครียดทางการกฬี า 2. จงระบถุ งึ สาเหตุและกระบวนการของการเกดิ ความเครียดทางการกฬี า 3. จงอธบิ ายแนวทางและวิธีการจัดการกบั ความเครียดทางการกฬี า 4. จงระบหุ ลักปฏบิ ตั ิในการควบคมุ อารมณเ์ ครยี ดทางการกฬี า

100 เอกสารอ้างอิง นิพวรรณ ใจทะนง. 2551. ความเครียดและการขจัดความเครยี ดของทีมเรือพายประเภทยัค – แคนู ทมี ชาตไิ ทย ชุดซีเกมส์ ครงั้ ท่ี 24. การคน้ คว้าอสิ ระ สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. พรรณพิไล ศรอี าภรณ์ และสจุ ติ รา เทียนสวสั ด์ิ. 2549. ความเครยี ดและภาวการณม์ ีประจาเดอื นในนักกีฬา สตรีระดับอุดมศึกษา. พยาบาลสาร, 33(2). 74-85. พลศึกษา, กรม. 2556. จติ วทิ ยาการกีฬา. กรงุ เทพฯ : สานกั งานกจิ การโรงพมิ พ์องค์การสงเคราะหท์ หาร ผา่ นศึกในพระบรมราชูปถมั ภ์. Ok3sports. 2016. How stress can actually help athletes. (Online). Available: http://www.ok3sports.com/stress-can-actually-help-athletes/ Weinberg, R.S. & Gould, D. 2011. Foundations of sport and exercise psychology. 5th ed. Illinois. Human Kinetics.

101 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 6 แรงจูงใจทางการกฬี า (Motivation in Sport) หัวข้อเนื้อหา 1. ความหมายของแรงจูงใจ 2. ความสาคัญของแรงจูงใจ 3. ทฤษฎีแรงจงู ใจ 4. ประเภทของแรงจงู ใจ 5. องคป์ ระกอบทม่ี ีผลต่อแรงจูงใจ 6. แรงจูงใจกับการกฬี าและการออกกาลงั กาย 7. ทฤษฎแี รงจูงใจทางการกีฬา 8. แรงจงู ใจกับความสาเร็จในการแข่งขนั กีฬา วัตถุประสงค์ท่ัวไป 1. เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาทราบถงึ ความหมายของแรงจงู ใจ 2. เพอ่ื ให้นักศึกษาทราบถึงความสาคัญของแรงจูงใจ 3. เพ่ือให้นักศกึ ษาทราบถึงทฤษฎแี รงจูงใจทางการกฬี า 4. เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาทราบถงึ ประเภทของแรงจงู ใจและองคป์ ระกอบทม่ี ผี ลตอ่ แรงจูงใจ 5. เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาทราบถึงแรงจูงใจกบั การกีฬาและการออกกาลังกาย 6. เพื่อให้นกั ศึกษาทราบถึงแรงจูงใจกับความสาเรจ็ ในการแข่งขนั กฬี า วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศึกษาสามารถระบุความหมายของแรงจูงใจ 2. นักศกึ ษาสามารถระบุความสาคญั ของแรงจงู ใจ 3. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายทฤษฎีแรงจูงใจทางการกฬี า 4. นักศกึ ษาสามารถระบุประเภทของแรงจงู ใจและองคป์ ระกอบทม่ี ผี ลตอ่ แรงจงู ใจ 5. นักศึกษาสามารถอธิบายแรงจงู ใจกบั การกีฬาและการออกกาลงั กาย 6. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายแรงจงู ใจกบั ความสาเรจ็ ในการแขง่ ขนั กีฬา กิจกรรมการเรียนการสอน 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั เนอื้ หาความร้เู กี่ยวกบั แรงจงู ใจทางการกีฬา 2. นาเขา้ สบู่ ทเรียนดว้ ยการสนทนาเร่อื งทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั แรงจงู ใจทางการกฬี า 3. ให้นักศกึ ษาได้แสดงความคิดเหน็ ซกั ถามปญั หา ข้อสงสัย 4. อาจารย์อธบิ าย ตอบคาถาม และสรปุ เนือ้ หาเก่ียวกับแรงจงู ใจทางการกีฬา 5. ศกึ ษาจากเอกสารตา่ งๆ เพมิ่ เติม

102 สอ่ื การสอน 1. คลปิ วดี ที ศั น์เกีย่ วกบั แรงจูงใจทางการกีฬา 2. เอกสารการสอนจติ วทิ ยาการกีฬาและการออกกาลงั กาย บทที่ 6 แรงจงู ใจทางการกฬี า 1. ภาพประกอบจากเอกสารการสอนจิตวิทยาการกฬี าและการออกกาลงั กายบทท่ี 6 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตการสนใจ ความต้งั ใจ 2. พจิ ารณาจากการอภปิ ราย ถาม-ตอบ เสนอความคิดเห็น 3. ให้นักศกึ ษาแสดงความคิดเห็น เสนอแนะฯ 4. พิจารณาจากงาน ความรบั ผิดชอบ 5. การตอบคาถามทา้ ยบท

103 บทท่ี 6 แรงจูงใจทางการกฬี า (Motivation in Sport) ความหมายของแรงจูงใจ มีผ้ใู หค้ วามหมายของแรงจงู ใจไว้หลายทา่ น ดังน้ี แมร์ (พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา. 2542 ; อ้างอิงจาก Maire. n.d.) กล่าวว่า การจูงใจเป็นกระบวนการ ซึง่ การแสดงออกของพฤติกรรมไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากจุดมุ่งหมายท่ีพฤตกิ รรมนัน้ มุ่งไปสู่จดุ หมาย กลูเอ็ด (Gluecx. 1982) ได้ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า เป็นสภาวะภายในของบุคคลซึ่งจะเป็น ตัวกาหนดทิศทาง และระดับของพฤติกรรมทาให้เกิดการทางานของแต่ละบุคคลมีพลังมากข้ึน และดาเนิน เร่อื ยไปอยา่ งต่อเน่อื งจนบรรลุความตอ้ งการของตน อารีย์ พันธุ์มณี (2534 ; อ้างอิงจาก Mouley. n.d.) กล่าวว่า แรงจูงใจ หมายถึง สภาพท่ีอินทรีย์เกิด ความต้องการ หรืออยู่ในสภาวะขาดสมดุลก็จะทาให้เกิดแรงขับหรือแรงจูงใจเพื่อผลักดันให้เกิดพฤติกรรมมา เพ่ือทดแทนภาวการณ์ขาดหรือทาให้อินทรีย์อยู่ในภาวะสมดุลแรงจูงใจจึงเป็นส่ิงจาเป็นเบ้ืองต้นในการเรียนรู้ และเป็นสิ่งกาหนดทิศทาง และความเขม้ ของพฤติกรรมใหเ้ กดิ ขึน้ อร่าม ตง้ั ใจ (2539) กลา่ วว่า แรงจูงใจในการกฬี า หมายถงึ สง่ิ ที่กระต้นุ เร้าให้เราต้องมีส่วนร่วมในการ กฬี า การท่ีคนเราอยากหรือไมอ่ ยากเล่นกีฬานัน้ ไม่ได้ทาให้สมรรถภาพทางการกีฬาดีข้ึน แต่ถ้าอยากเล่น พอใจ ท่จี ะเลน่ ทาให้มีความพยายาม มกี ารพฒั นาให้ดขี นึ้ เมอื่ พบอุปสรรคกไ็ มห่ ยดุ เล่นกีฬาไปงา่ ยๆ พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2542) กล่าวว่า การจูงใจเป็นกระบวนการท่ีอินทรีย์ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าให้มี พฤติกรรมมุง่ ไปสู่จดุ มงุ่ หมายปลายทาง ถา้ มีแรงจูงใจมากพฤตกิ รรมจะมีมาก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของมนษุ ย์จงึ เกดิ จากแรงจูงใจเป็นสาคัญ ลักขณา สรีวัฒน์ (2530) กล่าวว่า การท่ีคนเรามีความต้องการส่ิงใดสิ่งหน่ึงแสดงว่าขาดส่ิงน้ัน ความต้องการจะเป็นแรงผลักดันให้แสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้สิ่งนั้นๆ มาเมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการแล้วจะหยุด พฤตกิ รรมนัน้ ๆ แต่เนอื่ งจากมนุษย์มีความตอ้ งการไม่มที ส่ี ิน้ สุดจึงมีการแสดงพฤตกิ รรมอยู่ตลอดเวลา สบื สาย บญุ วีรบตุ ร (2541) กล่าววา่ แรงจงู ใจ คอื สงิ่ ท่กี าหนดทศิ ทางและระดับความตั้งใจที่จะกระทา หรือประพฤติ (Direction and intensity) ในการเลือกและการคงไว้ของพฤติกรรมมนุษย์ แรงจูงใจเป็น ตัวกากับพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ทีจ่ ะให้ถอยหนีหรือเผชิญหน้าต่อสถานการณ์ต่างๆ และความต้ังใจที่จะประพฤติ หรือพยายามท่ีจะบรรลุตามเป้าประสงค์ ดังนั้นแรงจูงใจจึงเป็นตัวกาหนดทิศทางและระดับความต้ังใจ ความพยายามที่จะกระทามีความมุ่งมั่นที่จะกระทา หรือปฏิบัติในการกีฬาแรงจูงใจจึงเป็นปัจจัยท่ีสาคัญต่อ คุณภาพและความสามารถ ในการเลน่ และแขง่ ขนั กีฬา จากท่ีกล่าวมาข้างต้น พอสรุปความหมายของแรงจูงใจได้ว่า เป็นการกระตุ้น หรือ เร้าเพื่อช่วยให้เกิด การกระทาส่ิงใดส่ิงหนึ่งสาเร็จบรรลุเป้าหมาย มีแนวทางอันแน่นอน ซึ่งอาจจะเกิดจากความต้องการของตัว ผู้กระทาเองหรือผู้กระทาได้รับส่ิงเร้าภายนอก การแสดงพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจาก แรงจูงใจเป็นส่ิงสาคัญ เพ่ือให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนของมนุษย์ จึงจาเป็นต้อง ศึกษาถงึ ทฤษฎีของแรงจงู ใจและทฤษฎีท่เี ก่ียวขอ้ งในการแสดงพฤตกิ รรม

104 ความสาคัญของแรงจงู ใจ แรงจูงใจ มีความสาคัญโดยตรงต่อพฤติกรรมของบุคคล เพราะแรงจูงใจจะเป็นทั้งสภาวะท่ีผลักดัน และดึงให้บุคคลแสดงพฤติกรรมแตกต่างกัน ซึ่งการที่จะเข้าใจพฤติกรรมของบุคคลจึงต้องทาความเข้าใจกับ แรงจูงใจของคนๆ นั้น ว่าบุคคลนั้นมีแรงจูงใจอยู่ในประเภทใด ระดับใด (มุกดา ศรียงค์, 2540) ดังน้ัน การทา ความเข้าใจกับกระบวนการจูงใจ แนวคิดและทฤษฎีของแรงจูงใจจะช่วยให้บุคคลได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ คอื 1. เข้าใจในพฤติกรรมของตนเองจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมตนให้สามารถเลือกพฤติกรรมให้ เหมาะสม และบังคับมใิ ห้ตนเองแสดงพฤติกรรมท่ไี ม่เหมาะสมออกมาได้ 2. เข้าใจในพฤติกรรมของผูอ้ ื่น อนั จะชว่ ยให้คนเราควบคุมพฤตกิ รรมของบคุ คลอ่นื ได้ด้วย 3. เข้าใจในพฤติกรรมของกลุ่มสังคม เพ่ือสร้างสถานการณ์ จูงใจให้กลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมไปใน แนวทางทีถ่ ูกตอ้ ง ดังน้ัน การแสดงพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ล้วนแต่มีสาเหตุมาจากแรงจูงใจท้ังสิ้นเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนของมนุษย์ จึงจาเป็นที่จะต้องศึกษาถึงทฤษฎีของแรงจูงใจและ ทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้องในการแสดงพฤตกิ รรมของมนุษย์ การจูงใจไม่ใช่ตัวพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ท่ีสามารถมองเห็นได้โดยตรงแต่เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง ท่ีช่วยอธิบายข้ันตอนการเกิดพฤติกรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การจูงใจมีลักษณะท่ีสาคัญ 3 ประการ คือ (พนมไพร ไชยยงค์, 2542) 1. ให้พลังกระตุ้นต่อการแสดงพฤติกรรม หรือความเข้มของกาลังตอบสนองที่จะแสดงพฤติกรรรม เมื่อกระหายน้ามาก เราจะเดินอย่างเร็ว หรือวิ่งเพอื่ เสาะแสวงหาน้าแก้ความกระหายแต่ถ้าเราไม่กระหาย หรือ กระหายเพยี งเลก็ น้อยเราอาจจะเดินช้า ๆ พดู คยุ กบั เพือ่ นอยา่ งไม่รบี รอ้ นเปน็ ต้น 2. กาหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรม เช่น เม่ือหิวก็จะมีพฤติกรรมท่ีมุ่งไปสู่การแสวงหา อาหาร เชน่ เดินไปรา้ นขา้ วแกง ฝากเพือ่ นไปซ้อื หรือว่าจะเลือกทาอย่างไรดี เพราะมีทางเลือกหลายทางเพ่ือให้ ได้อาหารมาบาบดั ความหวิ การได้รบั ประทานอาหารจึงเป็นจุดหมายปลายทาง หรือทิศทางของพฤติกรรม 3. กาหนดระดับความพยายาม หรือความมุ่งหน้าไม่ลดละของพฤติกรรมน่ัน คือ จะใช้ความอดทน หรือมานะพยายามในการกระทาพฤติกรรมน้ันได้นานเพียงใด เช่น เม่ือเราหิวเราจะเข้าครัวค้นหาของ รับประทาน ถ้าในครัวไมม่ อี ะไรรบั ประทานได้ เรากจ็ ะออกไปนอกบ้านเพ่ือซ้ือของรับประทาน ถ้าร้านแรกท่ีไป ถึงปิดร้าน แต่ความหิวเรายังสูงอยู่ เราก็จะไปหาร้านอ่ืน ๆ ต่อไปอีกอาจจะเป็นร้านท่ี 5 หรือ 6 จนกว่าจะได้ อาหารรับประทาน น่ันคือ ระดบั ความพยายาม หรอื ความมุง่ หน้าไม่ลดละท่ีจะแสดงพฤติกรรมกส็ งู ตามไปดว้ ย ดังนั้น เม่ือกลา่ วถึงพฤติกรรมการจูงใจ จะต้องมีลักษณะท่ีสาคัญ 3 ประการ คือ ให้พลังแก่พฤติกรรม มีทิศทาง และมุ่งหน้าพยายามไม่ลดละ พฤติกรรมจูงใจจึงเป็นพฤติกรรมท่ีมีเป้าหมายและเจ้าตัวมีความ พยายามทีจ่ ะใหบ้ รรลุเป้าหมายนัน้ ประโยชน์ของแรงจูงใจ มุกดา ศรียงค์ (2540) ได้กล่าวไว้ว่า การท่ีจะเข้าใจพฤติกรรมของบุคคลจึงต้องทาความเข้าใจกับ แรงจงู ใจของคนนน้ั ๆ ว่าบุคคลน้มี ีแรงจงู ใจอยใู่ นประเภทใด ระดับใด ดังน้ันการทาความเข้าใจกับกระบวนการ จงู ใจ แนวคดิ และทฤษฎีของแรงจูงใจจะชว่ ยให้บุคคลไดร้ ับประโยชน์ในด้านตา่ งๆ คอื 1. เข้าใจในพฤติกรรมของตนเองจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมตนให้สามารถเลือกพฤติกรรมให้ เหมาะสมและบงั คบั มใิ ห้ตนเองแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาได้ 2. เขา้ ใจในพฤตกิ รรมของผูอ้ น่ื อันจะช่วยใหค้ นเราควบคมุ พฤตกิ รรมของบคุ คลอน่ื ได้

105 3. เข้าใจในพฤติกรรมของกลุ่มสังคม เพ่ือสร้างสถานการณ์ จูงใจให้กลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมไปใน แนวทางที่ถูกต้องดังนั้นควรศึกษาทฤษฎีแรงจูงใจและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์มีผล มาจากแรงจูงใจ และเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจพฤตกิ รรมของมนษุ ย์มากยิง่ ขน้ึ ทฤษฎีแรงจูงใจ นักจิตวิทยาไดน้ าองค์ประกอบทางด้านความต้องการพื้นฐานด้านชีววิทยา ด้านอารมณ์ด้านสติปัญญา และองค์ประกอบด้านสังคม มาเป็นแนวคิดในการสร้างทฤษฎี เพื่ออธิบายว่าทาไมมนุษย์จึงแสดงพฤติกรรมที่ แสดงอยู่ ความเปน็ จริงแลว้ ไมม่ ที ฤษฎใี ดทฤษฎหี นึง่ ท่สี ามารถอธบิ ายทุกด้านของแรงจูงใจ ได้ท้ังหมดดังทฤษฎี แรงจูงใจต่างๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว (Hedonistic Theory) (อบรม สินภิบาล, ม.ป.ป.) ทฤษฎีนี้ กล่าวว่า คนทุกคนมีความต้องการแสวงหาความสุขส่วนตัว ลักษณะความต้องการแสวงหาความสุข จึงเป็น แรงจูงใจหรือตัวเร้าท่ีทาให้บุคคลได้มีการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา แต่ลักษณะการแสดงออก ของพฤตกิ รรมในแต่ละบุคคลน้ันมีการแสดงออกมาแตกต่างกนั 2. ทฤษฎีสัญชาตญาณ (Instinctual Theory) (สุชาดา สุธรรมรักษ์, 2531) ทฤษฎีน้ีกล่าวว่า สัญชาตญาณเป็นสิ่งท่ีติดตัวคนมาตั้งแต่กาเนิด ทาให้บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่างๆ โดยไม่จาเป็น จะตอ้ งมกี ารเรยี นรู้ สญั ชาตญาณจงึ เปน็ ปฏิกิริยาท่มี ีผลตอ่ แรงจงู ใจใหบ้ ุคคลได้กระทาพฤติกรรมต่างๆ ลักษณะ ของ สัญชาตญาณมีหลายประเภท คือสัญชาตญาณเกี่ยวกับการดารงชีวิต เม่ือร่างกายอยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุล ความไม่สมดลุ ทางด้านร่างกายจะเป็นตัวเร้า หรือเป็นแรงจูงใจให้ร่างกายมีพฤติกรรมต่างๆ เกิดข้ึน อันเป็นผล ทาให้บคุ คลสามารถดารงชีวติ ต่อไปได้ สญั ชาตญาณ เกีย่ วกบั ความตายบุคคลทุกคนมักจะเกรงกลัวว่าตนเองจะ ถงึ แก่ความตาย จึงทาให้สนใจสขุ ภาพของตนเอง ในด้านของสัญชาตญาณทางสังคม บุคคลย่อมจะมีการเรียนรู้ มีการลอกเลียนแบบจากประสบการณ์ตามสภาพสังคมของแต่ละแห่ง ทาให้สัญชาตญาณทางสังคมของแต่ละ บุคคลในแต่ละทอ้ งถน่ิ มีความแตกต่างกนั 3. ทฤษฎีแรงขับ (Drive Theory) (โยธิน ศันสนยุทธ, 2531) ทฤษฎีนี้กล่าวว่า พฤติกรรมและการ กระทาของคนมีส่วนสัมพันธ์แรงขับภายในของแต่ละบุคคล แรงขับมีลักษณะท่ีสาคัญ 2 ลักษณะ คือ แรงขับ ภายในร่างกาย เป็นแรงขับท่ีเกิดจากความต้องการของร่างกาย และแรงขับภายนอกร่างกาย เป็นแรงขับที่เกิด จากความต้องการทางสติปัญญา อารมณ์และสังคม ซึ่งลักษณะดังกล่าว จะมีผลทาให้คนมีพฤติกรรมที่ต่างกัน แรงขบั สามารถแยกออกเป็นแรงขบั เพอ่ื การอยรู่ อดของชีวิต แรงขับฉุกเฉิน แรงขับเพื่อการสืบพันธ์ุ แรงขับเพื่อ การศึกษา บคุ คลจะตอ้ งมีแรงขับเพ่อื การอย่รู อดของชวี ติ ก่อน 4. ทฤษฎีความคาดหวัง (The Theory of Expectancy) (Hilgard, 1962) ทฤษฎีน้ีกล่าวว่า ถ้าความคาดหวังกับสิ่งที่ได้รับแตกต่างมาก คนเราจะเกิดความผิดหวังหมดกาลังใจ การจัดความคาดหวังหรือ การต้ังจุดมุ่งหมายของคนเราให้อยู่ในระดับความสามารถที่เขาจะทาได้สาเร็จ จะทาให้คนมีกาลังใจที่จะทา กิจกรรมให้สาเร็จตามความมุ่งหมาย จะเห็นได้ว่าในทฤษฎีนี้ความเข้าใจหรือการคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้า เปน็ สิ่งตดั สินหรอื ประเมินค่าพฤติกรรมท่ีบุคคลแสดงออกมาน่ันคือ พฤติกรรมที่ได้รับการจูงใจให้แสดงออกมา ขึน้ อยูก่ ับการประเมนิ ผลพฤตกิ รรมท่ีเคยแสดงออกมา 5. ทฤษฎีลาดับขั้นแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow, 1970) เป็นทฤษฎีที่มีช่ือเสียงของมาสโลว์ อธิบายว่า แรงจูงใจของมนุษย์มีลาดับข้ันตอนต้ังแต่ขั้นต่าจนถึงขั้นสูงมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ความต้องการทางสรีรวิทยา (Physiological Needs) ความต้องการความม่ันคงปลอดภัย (Safety Needs) ความต้องการเป็นเจ้าของและความต้องการความรัก (Belongingness and Love Needs) ความต้องการมี

106 ศักดิ์ศรีจากตนเองและผู้อื่น (Esteem Needs from Oneself and Others) ความต้องการเป็นมนุษย์โดย สมบูรณ์ (Self Actualized Needs) แรงจูงใจลาดับต้นต้องได้รับการตอบสนองก่อน แรงจูงใจลาดับสูง จึงจะ พฒั นาตามมาโดยลาดบั ดังภาพประกอบ 1 ภาพท่ี 6.1 ทฤษฎีลาดับขั้นแรงจงู ใจของมาสโลว์ (Maslow) ทีม่ า: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Maslow%27s_hierarchy_of_needs.svg แรงจูงใจลาดับท่ี 1 คือ แรงจูงใจพื้นฐานท่ีมนุษย์ต้องได้รับการตอบสนองเป็นแรงจูงใจทางสรีรวิทยา เชน่ มีอาหารรับประทานไม่โหยหิว มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรคมีเครื่องนุ่งห่ม กันร้อนกันหนาว ฯลฯ จึงพัฒนา ความตอ้ งการประเภทอ่นื ๆ ตามมาได้ ถ้าความตอ้ งการอันดับแรก ยังไม่ได้รับการตอบสนองพอเพียง แรงจูงใจ ประเภทอืน่ ๆ กย็ ากที่จะบงั เกดิ ขน้ึ ได้ แรงจูงใจลาดับท่ี 2 คือ แรงจูงใจเพื่อความปลอดภัยแห่งตนเอง และทรัพย์สินเมื่อต้องการอันดับแรก ได้รบั การตอบสนองแลว้ ก็เกดิ ความตอ้ งการที่จะรักษาชีวิต ทรพั ย์สินและสิ่งอืน่ ๆ ของตนใหม้ น่ั คงปลอดภัย แรงจูงใจอันดับที่ 3 คือ แรงจูงใจเพ่ือเป็นเจ้าของ เช่น ความรู้สึกว่าตนมีชาติตระกูล มีครอบครัว มีสถาบัน มีครู มีโรงเรียน มีท่ีทางาน ฯลฯ กับความต้องการถูกรักและได้รักผู้อ่ืน เช่น ต้องการให้มีผู้มาอาทร ห่วงใยและกต็ ้องการห่วงใยอาทรเกือ้ กลู ดแู ลผู้อน่ื เชน่ กัน แรงจงู ใจอันดบั ที่ 4 คอื แรงจงู ใจเพ่อื การแสวงหาและรกั ศักด์ศิ รีเกียรตยิ ศทงั้ ด้วยสานึกของตนเองและ ด้วยการกล่าวขวัญยกย่องเชิดชูจากผู้อื่น เช่น ความต้องการมีเกียรติมีหน้ามีตา มีชื่อเสียงเป็นท่ียกย่อง ความรสู้ ึกนับถอื ตนเองเชดิ ชูตนเอง แรงจูงใจลาดับที่ 5 คือ แรงจูงใจเพ่ือตระหนักรู้ความสามารถของตนกับประพฤติปฏิบัติตน ตามความสามารถและสุดความสามารถ โดยเพ่งเล็งประโยชน์ของบุคคลอ่ืนและของสังคมส่วนรวมเป็นสาคัญ มาสโลว์ เชอื่ วา่ คนทุกคนมีความมุ่งหมายของชีวิตเพอื่ จะเปน็ คนโดยสมบรู ณใ์ นระดับนที้ ง้ั สิน้ 6. ทฤษฎีความต้องการตามหลักการของเมอร์เรย์ (อารี พันธ์ุมณี, 2534 ; อ้างอิงจาก Murray, n.d.) เมอร์เรย์ มคี วามคดิ เหน็ วา่ ความต้องการนี้บางคร้ังเกิดขึ้นเนื่องจากกระตุ้นภายในของบุคคล และบางคร้ังอาจ เกดิ ความตอ้ งการอันเนอ่ื งจากสภาพสังคมหรอื แรงกระตุ้นภายนอกก็ได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความต้องการเป็น สิง่ ทีเ่ กิดขึ้นอนั เนื่องมาจากสภาพทางร่างกายและสภาพทางจิตใจนั่นเอง ทฤษฎีความต้องการตามหลักการของ เมอรเ์ รยส์ ามารถสรปุ ไดด้ งั นี้

107 1. ความต้องการท่ีจะเอาชนะด้วยการแสดงความก้าวร้าวออกมา (Need for Aggression) เป็นความต้องการที่จะเอาชนะผู้อ่ืน เอาชนะสิ่งขัดขวางท้ังปวงด้วยความรุนแรงมีการต่อสู่ การแก้แค้น การทา รา้ ยร่างกายหรอื การฆา่ ฟนั กัน เช่น การพูดประชดประชนั กับเพ่อื นท่ไี มช่ อบ เปน็ ตน้ 2. ความต้องการท่ีจะเอาชนะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ (Need for Counteraction) เป็นความต้องการ ทจ่ี ะฟันฝ่าอุปสรรค ความล้มเหลวตา่ งๆ ดว้ ยการสรา้ งความพยายามขึ้น เช่น เมื่อได้รับคาดูถูกดูหม่ิน ผู้ท่ีได้รับ จะเกดิ ความพากเพียรพยายามเอาชนะคาสบประมาทจนประสบผลสาเรจ็ เป็นต้น 3. ความต้องการท่ีจะยอมแพ้ (Need for Abasement) เป็นความต้องการท่ีจะยอมแพ้ ยอมรับผิด ยอมรบั คาวพิ ากษ์วจิ ารณ์ หรือยอมรับการถูกลงโทษ เช่น การเผาตวั ตายเพ่อื ประทว้ งการปกครอง เปน็ ตน้ 4. ความต้องการป้องกันตนเอง (Need for Defense) เป็นความต้องการที่จะป้องกันตนเองจากคา วิพากษ์วิจารณ์ การตาหนิติเตียนซ่ึงเป็นการป้องกันทางด้านจิตใจพยายามหาเหตุผลมาอธิบายการกระทา ของตน มีการปอ้ งกันตนเองเพอื่ ใหพ้ ้นผดิ จากการกระทาต่างๆท้งั ปวง 5. ความต้องการเป็นอิสระ (Need for Autonomy) เป็นความต้องการจะเป็นอิสระจากสิ่งกดขี่ ทั้งปวง ต้องการท่จี ะต่อสูด้ ้นิ รนเพอื่ เป็นตวั ของตัวเอง 6. ความต้องการความสาเร็จ (Need for Achievement) เป็นความต้องการที่จะกระทาสิ่งต่างๆ ท่ียากลาบากให้ประสบความสาเร็จ พยายามเอาชนะอุปสรรคท้ังปวงเพ่ือให้การทางานของตนประสบ ความสาเรจ็ 7. ความต้องการสร้างมิตรภาพกบั บุคคลอื่น (Need for Affiliation) เป็นความต้องการที่จะทาให้ผู้อ่ืน รักใคร่ ต้องการรู้จัก หรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มีความซ่ือสัตย์ต่อเพ่ือน พยายามสร้างความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับบุคคลอืน่ 8. ความต้องการความสนุกสนาน (Need for Play) เป็นความต้องการที่จะแสดงความสนุกสนาน ตอ้ งการหวั เราะเพ่ือผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด มกี ารสรา้ งหรือเล่าเรื่องตลกขบขัน มีการพักผ่อนหย่อนใจ มีการ เลน่ เกมกีฬา เปน็ ต้น 9. ความต้องการแยกตนเองจากผู้อ่ืน (Need for Rejection) เป็นความต้องการหรือเป็น ความปรารถนาของบุคคลในการที่จะแยกตนเองออกจากผู้อ่ืน ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายกับบุคคลอื่น ต้องการ เมนิ เฉยจากผู้อ่นื 10. ความต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลอ่ืน (Need for Succedanea) เป็นความต้องการให้ บุคคลอ่ืนมีความสุข เห็นอกเห็นใจ มีความสงสาร ต้องการได้รับความช่วยเหลือการดูแลและคาแนะนาจาก บคุ คลอืน่ 11. ความต้องการท่ีจะให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลอื่น (Need for Nurturance) เป็นความต้องการมี ส่วนรว่ มในการทากิจกรรมกับบุคคลอื่น โดยการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลท่ีไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ หรอื ให้ความชว่ ยเหลอื ใหบ้ ุคคลอนื่ พน้ จากภยั อนั ตรายตา่ งๆ 12. ความต้องการสร้างความประทับใจในตนเองให้แก่ผู้อ่ืน (Need for Exhibition) เป็นความ ต้องการให้บุคคลอืน่ ไดเ้ หน็ ไดย้ ินเกีย่ วกบั เรื่องราวของตัวเอง ต้องการให้ผู้อ่ืนมีความสนใจสนุกสนาน แปลกใจ หรอื ต่ืนเต้นในเรือ่ งราวของตน 13. ความต้องการมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น (Need for Dominance) เป็นความต้องการให้บุคคลอ่ืน ทาตามคาสัง่ ของตน ทาใหเ้ กิดความรูส้ ึกว่าตนมีอทิ ธพิ ลเหนอื กว่าบุคคลอ่ืน

108 14. ความต้องการท่ีจะยอมรับนับถือผู้อาวุโส (Need for Deference) เป็นความต้องการยอมรับ นับถือผู้ที่มีอาวุโสว่าด้วยความยินดี รวมทั้งนิยมชมชอบในบุคคลที่มีอานาจเหนือกว่า พร้อมที่จะให้ ความรว่ มมอื ช่วยเหลอื ด้วยความยินดี 15. ความต้องการหลีกเลี่ยงความรู้สึกล้มเหลว (Need for Avoidance or Inferiority) เป็นความ ตอ้ งการหลกี เล่ยี งใหพ้ ้นจากความอบั อาย หลีกเลี่ยงการดถู ูก หรือการกระทาต่างๆ ที่ทาให้เกิดความละอายใจ 16. ความต้องการท่ีจะหลีกเลี่ยงจากอันตราย (Need for Avoidance Harm) เป็นความต้องการ หลกี เลย่ี งความเจบ็ ปวดทางดา้ นร่างกาย ตอ้ งการได้รบั ความปลอดภัยจากอันตราย 17. ความต้องการหลีกเลี่ยงจากการถูกตาหนิหรือถูกลงโทษ (Need for Avoidance of Blame) เป็นความต้องการหลีกเลี่ยงการลงโทษด้วยการคล้อยตามกลุ่มหรือยอมรับคาสั่งหรือปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ ของกลมุ่ เพราะกลวั ถกู ลงโทษ 18. ความตอ้ งการความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย (Need for Orderliness) เป็นความต้องการจัดส่ิงของ ต่างๆ ใหอ้ ยใู่ นสภาพทเี่ ปน็ ระเบียบเรียบร้อย มคี วามประณตี งดงาม 19. ความตอ้ งการที่จะรกั ษาชื่อเสียง (Need for Inviolacy) เปน็ ความต้องการท่ีจะรักษาช่ือเสียงของ ตนทม่ี ีอยไู่ วจ้ นสดุ ความสามารถ 20. ความต้องการให้ตนเองแตกต่างจากบุคคลอ่ืน (Need for Contrariness) เป็นความต้องการให้ ตนเองไม่เหมอื นกบั บุคคลอืน่ จากทฤษฎีที่ผู้วิจัยได้กล่าวมาทั้งหมดน้ี จัดว่าเป็นทฤษฎีแรงจูงใจและเป็นทฤษฎีท่ีมีผลต่อพฤติกรรม หรือการกระทาของบุคคลทั้งส้ิน แต่ละทฤษฎีจะมีพ้ืนฐานความเชื่อ และแนวความคิดท่ีแตกต่างกันออกไป การนามาใช้เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องศึกษาในหลายๆ ทฤษฎีและวิเคราะห์แนวความคิดของแต่ละ ทฤษฎใี หเ้ ขา้ ใจ ทฤษฎแี รงจูงใจ คือ หลกั การกาหนดทศิ ทางการแสดงออกถงึ พฤตกิ รรมของนักกีฬา ซึ่งมีผลกระทบต่อ ความสาเร็จ หรือความล้มเหลวของนักกีฬา ทฤษฎีแรงจูงใจที่เกี่ยวข้องกับการกีฬามี 4 ทฤษฎี คือ (สุปราณี ขวญั บุญจนั ทร์, 2541) 1. ทฤษฎีแรงจูงใจภายในและการประเมินความรู้ (Intrinsic Motivation and Cognitive Evaluation Theory) แรงจูงใจภายในเป็นแรงจูงใจท่ีเกิดขึ้นจากภายในโดยไม่มีรางวัล หรือสิ่งล่อใจภายนอก มาเปน็ แรงกระต้นุ ใหก้ ระทาสิง่ นัน้ ๆ แรงจงู ใจภายในเปน็ แรงจูงใจในการเล่นกีฬาเพื่อความสนุก และสนุกที่จะ ได้เล่น โดยไม่มีอิทธิพลจากภายนอกมาเก่ียวข้อง เพราะแรงจูงใจภายในเกิดข้ึนจากแรงขับภายในที่ต้องการ ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานเท่าน้ันส่วนทฤษฎีการประเมินความรู้เป็นแรงจูงใจที่เกิดจากการรับรู้ว่า ตนเองมีความสามารถ(Perceive Competence) และการตัดสินใจด้วยตนเอง (Self-determining) องค์ประกอบทสี่ าคัญของทฤษฎีการประเมนิ ความรู้ คอื 1.1 การรับรู้ในการควบคุม (Perceive Controlling) หมายถึง นักกีฬาต้องรับรู้ว่าอะไรเป็น แหล่งสาเหตุ (Locus of Causality) ในการจูงใจให้นักกีฬาเล่นกีฬา ซ่ึงประกอบด้วยความสนใจอยากเล่น (แรงจูงใจภายใน) โดยไม่ได้หวังสิ่งล่อใจ คือ เงิน รางวัล หรือสิ่งของ (แรงจูงใจภายนอก)แต่เมื่อเล่นกีฬาไปได้ นาน ๆ อาจจะมีแรงจูงใจภายนอกเข้ามามีส่วนในการเล่นกีฬาของนักกีฬาได้ เพราะฉะนั้นนักกีฬาต้องรับรู้ใน การควบคุมใหไ้ ดว้ า่ ทาไมจึงเล่นกีฬาและเลน่ กฬี าเพราะอะไร 1.2 กระบวนการประเมินผล (Information Process) หมายถึง กระบวนการที่รับรู้ประเมิน ว่า แรงจูงใจภายใน หรือแรงจูงใจภายนอกท่ีมีผลต่อความสามารถในการเล่นกีฬากระบวนการประเมินข้อมูล เป็นองค์ประกอบสาคัญในการรับรู้ถึงความสามารถ และการตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้านักกีฬามีกระบวนการ

109 ประเมินข้อมูลท่ีดีแล้ว จะสามารถประเมินข้อมูลได้เลยว่าแรงจูงใจภายใน หรือแรงจูงใจภายนอกท่ีมีอิทธิพล ตอ่ การเลน่ กฬี า 2. ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motivation Theory) หมายถึง แรงจูงใจท่ีมีลักษณะ นิสัยเผชิญหน้า หรือถอยหนีท้ังในขณะฝึกซ้อมและแข่งขัน รวมท้ังความมุ่งม่ันเพ่ือความเป็นเลิศ แรงจูงใจ ใฝ่สมั ฤทธ์ิเป็นองค์ประกอบทีเ่ กิดจากความต้องการที่จะประสบความสาเร็จ ลบด้วยความต้องการที่จะถอยหนี ความลม้ เหลว สิง่ ทจี่ ะไดเ้ พิ่มจากผลลบ คือแรงจูงใจภายนอกท่ีเข้ามามีอิทธิพลและความเป็นไปได้ที่จะประสบ ความสาเร็จ ตามทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของฮาเตอร์ (Harter’s Competence Motivation Theory) โดยอธิบายว่า แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ คือแรงจูงใจท่ีเกิดจากความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถมีความพยายามท่ี จะทาส่ิงที่ยากข้ึน (Mastery) และมีความต้องการท่ีจะฝึกสิ่งที่ยากข้ึนไปเรื่อย ๆ รับรู้ว่าตนเองประสบ ความสาเร็จ และสามารถทาในส่ิงท่ียากขึ้นได้ แต่ในทางตรงข้าม นักกีฬาไม่อยากทาส่ิงท่ียากข้ึน เม่ือรับรู้ว่า ทาแลว้ จะไม่ประสบความสาเร็จ ดังนั้นในการฝึกซ้อมหรือแข่งขันกีฬา นักกีฬาที่มีการรับรู้หรือถูกทาให้รับรู้ว่า ตนเองมีความสามารถก็จะเกิดความมั่นใจ มีความต้องการท่ีจะฝึกซ้อมในสิ่งท่ียากยิ่งข้ึน และมีแรงจูงใจท่ีจะ กระทาสิง่ ท่ยี ากมากขน้ึ 3. ทฤษฎีการอ้างสาเหตุ (Attribution Theory) อธิบายว่า ความพยายามของมนุษย์ในการอ้างสิ่ง ต่างๆ เพ่ือจะให้เกิดความเข้าใจการกาหนดพฤติกรรม และเหตุการณ์ต่าง ๆ ของตนเองจะทาให้แรงจูงใจใน การกระทานน้ั ม่นั คงย่ิงข้ึนนอกจากนั้นยังสามารถใช้อธิบายความสามารถของตนเองด้วยทฤษฎีการอ้างสาเหตุ ของไฮเดอร์ ประกอบด้วย ปัจจัยประกอบส่วนบุคคล คือ ความสามารถ (Ability) และความพยายาม (Effort) และปัจจัยประกอบสิ่งแวดล้อม คือ ความยากของงาน (Task Difficulty) และโชค (Luck) การอ้างสาเหตุใน การกระทาของนักกีฬาสืบเน่ืองมาจากความเข้าใจในปัจจัยประกอบส่วนบุคคล คือ ความสามารถและ ความพยายาม และปัจจัยประกอบส่ิงแวดล้อมคือ ความยากของงานและโชค เช่น นักกีฬาอ้างถึงสาเหตุของ การแพ้การแข่งขนั เพราะทมี คแู่ ข่งขนั เก่งกว่าฝมี ือเก่งกว่า 4. ทฤษฎีการกาหนดเปา้ หมาย (Goal Setting Theory) เป้าหมาย คือ บางส่ิงบางอย่างที่เราต้องการ จะกระทาให้สาเร็จ ซึ่งเป้าหมายมอี ทิ ธิพลในการเพิม่ ประสิทธิภาพของงาน 4 ประการ คอื 4.1 เป็นส่ิงบ่งชี้ถึงความต้ังใจและการกระทาโดยตรง (Direct Attention and Action) ผู้ฝึกสอนกาหนดเป้าหมายในการฝึกซ้อม หรือแข่งขันให้แก่นักกีฬา การกาหนดเป้าหมายเป็นสิ่งกาหนด พฤติกรรมและความต้ังใจของนกั กฬี า และเป็นแรงจงู ใจให้กบั นกั กฬี าตง้ั ใจในการฝึกซอ้ มและตั้งใจเขา้ แข่งขัน 4.2 การใช้พลังในการเล่นหรือแข่งขัน (Mobilized Expenditure) ขณะท่ีนักกีฬามี ความตั้งใจ และทาการเตรียมตัวเพื่อกระทากิจกรรมที่กาหนดไว้นั้น นักกีฬาควรกาหนดพลังท่ีตนเองใช้หรือ ทุ่มเทให้แก่กจิ กรรมนน้ั ไดอ้ ย่างเหมาะสมดว้ ย 4.3 ความพยายามต่องานระยะยาว (Prolong Effort) การกาหนดเป้าหมายของกิจกรรม จะส่งผลถึงความอดทน หรือความเพียรพยายามในการปฏิบัติกิจกรรมนั้นด้วย นักกีฬาท่ีกาหนดเป้าหมายไว้ ล่วงหน้าจะมีความอดทน และความพยายามในการบรรลุเป้าหมายได้ยาวนานกว่านักกีฬาที่ไม่มีการกาหนด เปา้ หมาย 4.4 การพัฒนายทุ ธวธิ สี รา้ งแรงจงู ใจ (Motivates Strategy Development) การกระตุ้นให้ นักกีฬาพัฒนายุทธวิธีในการฝึกซ้อม การางแผนในการฝึกซ้อม และการแข่งขันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น ผู้ฝึกสอนมีวิธีปฏิบัติ คือควรกระตุ้นให้นักกีฬารู้จักการจัดตารางเวลาของตนเองกับตารางการฝึกซ้อมให้ เหมาะสมเพ่ือช่วยให้นักกีฬาได้รู้จักการจัดการกับตนเอง โดยรู้ว่าเวลาไหนควรฝึกซ้อมหรือทากิจกรรมอ่ืนๆ ที่เหมาะสม

110 ประเภทของแรงจูงใจ แรงจูงใจไม่เพียงแต่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรมท่ีต่างกันเท่าน้ัน แรงจูงใจยังเป็นสิ่งสาคัญที่ก่อให้เกิด ความต้องการ หรอื ความโน้มเอียงทจี่ ะทาใหบ้ คุ คลมพี ฤติกรรมมุ่งจุดมุ่งหมายอีกด้วยจากเหตุผลน้ีเองจึงทาให้มี ผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจเป็นอย่างมาก และได้พยายามจาแนกประเภทของแรงจูงใจไปตามแรงจูงใจ ตา่ งๆ ดังนี้ นักจิตวิทยาได้พยายามใช้หลักเกณฑ์ต่างๆ ในการจาแนกประเภทของแรงจูงใจวิธีการหนึ่งคือ การแบ่งออกตามพื้นฐานของการเกดิ แรงจูงใจ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. แรงจูงใจข้ันปฐมภูมิ (Primary Motives) เป็นแรงจูงใจที่มีพ้ืนฐานทางด้านร่างกายติดตัวมา แตก่ าเนิด ไมใ่ ช่การเรียนรหู้ รือประสบการณ์ 2. แรงจูงใจข้ันทุติยภูมิ (Secondary Motives) เป็นแรงจูงใจท่ีมีพื้นฐานมาจากสังคมและการเรียนรู้ หรอื ประสบการณ์ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2530) ได้แบ่งประเภทแรงจูงใจที่อยู่เบ้ืองหลังของการแสดงออกของพฤติกรรม ออกเป็น Motivation 2 ประเภท ดังน้ี 1. แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เป็นภาวะท่ีบุคคลเห็นคุณค่าของกิจกรรมท่ีดีทาด้วย ความเตม็ ใจ โดยถอื วา่ การบรรลใุ นกจิ กรรมน้นั เป็นรางวัลอยแู่ ลว้ 2. แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) เป็นภาวะที่บคุ คลแสดงพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกมาเพราะ มีส่ิงใดสิ่งหน่ึงมาเร้า ไม่ได้ทาเพื่อความสาเร็จในสิ่งนั้นเลย เช่น การกระทาเพื่อต้องการรางวัล ตาแหน่ง และ เกรด เปน็ ต้น สุชา จันทรเ์ อม (2527) ได้แบ่งทฤษฏีแรงจูงใจตามแหลง่ ทมี่ าของแรงจงู ใจออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1. แรงจูงใจทางสรีรวิทยา (Physiological Motivation) แรงจูงใจด้านนี้เกิดข้ึนเพื่อสนองความ ตอ้ งการทางด้านร่างกายท้ังหมด เพื่อให้บุคคลมีชีวิตอยู่ได้ เป็นความต้องการที่จาเป็นทางธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่ ต้องการน้า อาหาร ต้องการพักผ่อนและปราศจากโรค เราสามารถวัดระดับความต้องการทางสรีระได้ จากการสังเกตพฤติกรรมการกระทาของคนเรา โดยวัดจากความมากน้อยของการกระทา การเลือกกระทา การโต้ตอบส่งิ มาขัดขวาง 2. แรงจูงใจทางจิตวิทยา (Psychological Motivation) มีความสาคัญน้อยกว่าแรงจูงใจทางด้าน สรีรวิทยา เพราะจาเป็นในการดารงชีวิตน้อยกว่า แต่จะช่วยคนเราทางด้างจิตใจจะทาให้มีสุขภาพจิตดีและ สดช่ืน แรงจูงใจประเภทนี้ ได้แก่ ความอยากรู้อยากเห็นและการตอบสนองต่อส่ิงแวดล้อม ความต้องการ ความรัก และความเอาใจใส่ใกลช้ ิดจากผู้อ่ืน 3. แรงจูงใจทางสังคมหรือแรงจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้ (Social Motivation) แรงจูงใจชนิดนี้มี จุดเริ่มต้นส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ทางสังคมในอดีตของบุคคล และจุดมุ่งหมายของแรงจูงใจชนิดนี้มี ความสัมพันธ์กับการแสดงปฏิกิริยาของบุคคลอ่ืนๆ ที่มีต่อเราแรงจูงใจทางสังคมท่ีมีความสาคัญต่อการดาเนิน ชวี ิตของคนเรา ไดแ้ ก่ 3.1 แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ิ (Achievement Motivation) เป็นความปรารถนาของบุคคลที่จะทา กิจกรรมต่างๆ ให้ดีและประสบความสาเร็จ ซ่ึงได้รับการส่งเสริมมาต้ังแต่วัยเด็กจากผลของการวิจัยพบว่า เด็กทไี่ ด้รับการอบรมเลย้ี งดอู ย่างอสิ ระเปน็ ตวั ของตวั เอง ฝึกหดั การช่วยเหลือตัวเองตามวัย จะเจริญเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ท่ีมีความต้องการความสาเร็จในชีวิตสูง การฝึกให้บุคคลมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงจึงต้องเริ่มต้นจาก ครอบครัว

111 3.2 แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motivation) เป็นแรงจูงใจท่ีทาให้บุคคลปฏิบัติตนให้ เป็นท่ยี อมรับของบุคคลอื่น ตอ้ งการความเอาใจใส่ ตอ้ งการความรกั จากผู้อื่น 3.3 แรงจูงใจต่อความนับถือตนเอง (Self-Esteem Motivation) เป็นแรงจูงใจท่ีบุคคล ที่ปรารถนาเป็นท่ียอมรับของสังคม มีชื่อเสียงเป็นท่ีรู้จักของคนโดยท่ัวไป ต้องการได้รับการยกย่องจากสังคม ซึง่ จะนาไปสู่ความนบั ถอื ตัวเอง พงษพ์ นั ธ์ พงษ์โสภา (2542) จาแนกแรงจงู ใจออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1. แรงจูงใจเพื่อความอยู่รอด (Survival Motives) เป็นแรงจูงใจท่ีช่วยให้คนเราสามารถดารงชีวิต อยู่ได้ แรงจูงใจชนิดนี้มักจะสัมพันธ์กับส่ิงเบื้องต้นที่คนเราต้องการในชีวิต เช่น อาหาร น้า อากาศ และ การขบั ถา่ ย 2. แรงจูงใจทางสังคม (Social Motives) เป็นแรงจูงใจที่เกิดข้ึนจากการเรียนรู้ในสังคมอาจได้รับ อิทธิพลโดยตรงจากส่ิงเร้าท่ีบุคคล หรือจากวัตถุที่มองเห็นได้ จับต้องได้ หรือมาจากภาวะสังคมท่ีมองไม่เห็น ก็ได้ เชน่ การมอี ิทธิพลเหนือผู้อ่นื การเปน็ ผ้นู า การสร้างมิตร เป็นต้น 3. แรงจูงใจเกยี่ วกบั ตนเอง (Self Motives) แรงจูงใจชนิดนี้ค่อนข้างจะซับซ้อน และผลักดันให้คนเรา พยายามปรบั ตวั ไปในทางท่ีดขี นึ้ เชน่ แรงจงู ใจทเ่ี กี่ยวกับความสาเร็จในหนา้ ที่การงาน หรือ ความสาเร็จในชีวิต เป็นตน้ แรงจงู ใจเกี่ยวกบั ตนเองและสงั คมอาจจาแนกได้ ดงั นี้ 1. แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธ์ิ (Achievement Motive) 2. แรงจงู ใจใฝ่สมั พนั ธ์ (Affiliation Motive) 3. แรงจูงใจใฝ่อานาจ (Power Motive) 4. แรงจูงใจใฝก่ า้ วรา้ ว (Aggression Motive) 1. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) เป็นแรงจูงใจท่ีทาให้บุคคลมีความต้องการท่ีจะ กระทาส่ิงต่างๆ ทั้งในหน้าท่ีการงาน และเรื่องราวส่วนตัวให้สาเร็จลุล่วง จากผลการวิจัยพบว่าพ่อแม่ท่ีมี แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงย่อมมีอิทธิพลท่ีจะทาให้เด็กเป็นผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิสูงตามด้วยท้ังน้ี เพราะพ่อแม่ จะเอาใจใส่เกี่ยวกับการกระทาของเด็ก มาต้ังแต่เล็ก ๆ โดยการแสดงความรักใคร่ต้ังมาตรฐานการกระทาใน สง่ิ ต่างๆ ตลอดจนคอยกระตุน้ แนะนาใหก้ าลังใจแกเ่ ดก็ ในการทากจิ กรรมอยูต่ ลอดเวลา ลักษณะของผูท้ ่ีมแี รงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ 1. เปน็ ผทู้ ่มี คี วามบากบั่น พยายาม อดทนเพอ่ื จะทางานใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย 2. ตอ้ งการทางานให้ดที สี่ ุด โดยเนน้ ถงึ มาตรฐานท่ีดเี ลศิ ของความสาเร็จ 3. ชอบความท้าทายของงาน โดยมงุ่ ทางานท่สี าคญั ให้ประสบความสาเร็จ 4. ชอบแสดงออกถงึ ความรบั ผดิ ชอบเกย่ี วกบั งาน 5. ชอบแสดงออกถึงความคิดสรา้ งสรรค์ 6. ทางานอย่างมีหลกั เกณฑเ์ ปน็ ขน้ั ตอน และมีการวางแผน 7. ชอบยกเหตุผลมาประกอบคาพูดอย่เู สมอ 8. อยากใหผ้ อู้ ืน่ ยกย่องวา่ ทางานเก่ง 2. แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliation Motive) เป็นแรงจูงใจที่ทาให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้มา ซ่ึงการยอมรับ เป็นท่ีรักใคร่ของเพื่อนฝูง และได้รับความนิยมจากบุคคลในกลุ่มพัฒนาการของแรงจูงใจ ใฝ่สัมพันธ์จะเร่ิมตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะในครอบครัวท่ีมีความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น พ่อแม่ที่ไม่มี ลักษณะการก้าวร้าว ขมขู่ หรือครอบครัวที่ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในพี่น้อง ส่ิงเหล่านี้จะช่วยพัฒนา

112 บุคลกิ ภาพของเดก็ เม่อื เตบิ โตขึน้ มา จะทาให้เป็นคนท่ีทาอะไรเพ่ือให้ผู้อ่ืนพอใจเสมอลักษณะของผู้ที่มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมพันธ์สูง 1. ชอบผูกมติ รใหม่ 2. ชอบคบเพ่อื นอยา่ งสนทิ สนม 3. ชอบคบเพือ่ นมากๆ 4. ชอบพดู ถึงมติ รภาพ ความใกลช้ ดิ สนิทสนมที่มีตอ่ กัน 5. ชอบแสดงออกถึงอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน เช่น เสียใจ เม่ือมีการพลัดพรากหรือหวานซึ้ง เมื่ออยใู่ กลก้ ัน 6. แสดงออกถงึ การให้ความสนใจ และยกย่องผูอ้ ืน่ 7. จะเน้นถงึ การได้รบั ความชน่ื ชมจากบคุ คลอ่นื 8. ชอบทาตนเป็นเพอื่ นทีซ่ ่ือสัตย์ 3. แรงจูงใจใฝ่อานาจ (Power Motive) เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทาให้มนุษย์ต้องการที่จะมีอิทธิพล เหนือผู้อ่ืน สามารถบงการผู้อ่ืนได้ พยายามกระทาทุกวิถีทาง เพื่อให้ผู้อ่ืนอยู่ใต้อานาจตนพัฒนาการของ ความต้องการท่ีจะมีอานาจเหนือผู้อ่ืนอาจมาจากความรู้สึกที่ต่าต้อยไม่ทัดเทียมผู้อื่นมีความรู้สึกว่าตนเอง “ขาด” ท้ังในด้านความเป็นอยู่ และฐานะทางสังคมเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า “ปมด้อย” ซ่ึงความรู้สึกชนิดนี้ ยิ่งมีมากเท่าไร ก็จะยิ่งพยายามสร้าง “ปมเด่น” โดยการแสดงความยิ่งใหญ่ ด้วยการก้าวร้าวออกมาเพื่อลบ “ปมดอ้ ย” น้ัน ลักษณะของผ้ทู ่ีมีแรงจูงใจใฝ่อานาจสูง 1. ชอบวางตนเปน็ หวั หนา้ กลุ่ม หรือแสดงอานาจเหนือผ้อู ื่น 2. ชอบบงการ ชน้ี ้ิว บังคบั ควบคุมให้ผู้อน่ื คดิ หรอื กระทาตาม 3. ชอบวางแนวทางการกระทาของกลุ่ม และโนม้ นา้ วใหผ้ ู้อ่นื กระทาตาม 4. ชอบพูดถึงความสัมพันธ์กับผูอ้ น่ื แต่จะพูดในความหมายทเี่ หนือผู้อื่น 5. ชอบสมั พันธ์กับคนทม่ี าออ่ นนอ้ ม ถอ่ มตน หรอื มาประจบสอพลอ 6. บางคร้ังชอบการตดั สนิ ใจกระทาการเสี่ยงภยั อยา่ งบา้ บ่ิน 7. หลกี เลี่ยงการแสดงความออ่ นแอออกมาใหป้ รากฏ 8. ชอบโตเ้ ถยี งกับผอู้ นื่ ทีม่ ีความคดิ เหน็ ขัดแยง้ กบั ตน 4. แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive) เป็นแรงจูงใจชนิดหนึ่งที่มนุษย์แสดงออกโดยวาจาหรือ ท่าทาง เพื่อขจัดความคับข้องใจ หรือความโกรธที่เกิดขึ้น พฤติกรรมก้าวร้าวน้ี บางครั้งผู้แสดงออกจะพบว่า เมื่อแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกไปแล้ว จะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของตนเองในขณะน้ันลงไป พัฒนาการของ ความก้าวร้าวจะเร่ิมเกิดต้ังแต่ในช่วงวัยเด็ก โดยการเลียนแบบจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดที่อบรมเล้ียงดู การท่ี บุคคลมีความก้าวร้าว หรือมีบุคลิกภาพแบบ “ถือตนเองเป็นใหญ่” (Authoritarian) นั้น เน่ืองมาจากการ อบรมเล้ียงดูท่ีเข้มงวดกวดขันมากเกินไปทาอะไรผิดนิดหน่อยก็จะถูกดุดด่าเฆี่ยนตีทาให้เด็กเกิดความรู้สึก โกรธแค้น ขุ่นเคือง แต่เด็กก็ไม่กล้าแสดงอาการตอบโต้โดยตรงแต่จะไปแสดงความก้าวร้าวออกมากับ คนรอบข้าง โดยเฉพาะกับบุคคลที่ด้อยกว่า พฤติกรรมก้าวร้าวนี้ เมื่อเกิดข้ึนแล้วก็ยากที่จะหยุดได้ แต่เรา สามารถแก้ไขพฤติกรรมก้าวร้าวให้ลดลงได้ โดยผู้ใหญ่จะต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง ไม่แสดง ความก้าวร้าวเอาแต่ใจตนเอง ไม่ใช้คาพูดในเชิงขู่บังคับ แต่พยายามจะสร้างความสัมพันธ์กับเด็ก เพื่อให้เด็ก เกิดความรู้สึกอบอุ่นและไว้เน้ือเชื่อใจว่า เราคือผู้ให้ความช่วยเหลือให้คาแนะนามิใช่ผู้ควบคุม หากกระทาได้ ดังน้ี พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กก็จะลดลง ดังนั้นกล่าวโดยสรุปประเภทของแรงจูงใจแบ่งเป็นลักษณะที่สาคัญ

113 2 ประการคือ แรงจูงใจที่มาจากภายในร่างกาย เป็นพื้นฐานของบุคคลคนน้ัน และแรงจูงใจจากภายนอกหรือ แรงจูงใจท่มี พี นื้ ฐานจากสังคม โดยแรงจูงใจทางร่างกายก็มี 2 ด้านคือ แรงจูงใจที่มาจากความต้องการทางด้าน สรีรวิทยา และแรงจูงใจที่มาจากจิตใจ เม่ือศึกษาประเภทของแรงจูงใจให้เข้าใจอย่างถูกต้องก็จะสามารถใช้ ความรนู้ ้นี าไปสรา้ งแรงจูงใจใหส้ อดคลอ้ งกบั ความต้องการของแตล่ ะประเภทได้ องค์ประกอบทม่ี ีผลตอ่ แรงจูงใจ อารี พันธุ์มณี (2534) กล่าวว่า แรงจูงใจจัดว่ามีผลต่อการเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลเป็น อนั มาก เพราะการที่บุคคลเกิดแรงจูงใจในการที่จะกระทาพฤติกรรมย่อมจะทาให้พฤติกรรมหรือการเรียนรู้ใน ส่ิงน้ันๆ ย่อมมีประสิทธิภาพและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าบุคคลที่ไม่เกิดแรงจูงใจ ลักษณะของแรงจูงใจ ของบคุ คลจงึ ขึน้ อยกู่ บั องคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ธรรมชาติของแต่ละบุคคล ทุกคนมีธรรมชาติของคนแตกต่างกับคนอ่ืน หรือ มีลักษณะเป็น เอกลกั ษณข์ องตนเอง ซ่ึงประกอบด้วย 1.1 แรงขับ แรงขับของบุคคลจัดว่า เป็นพ้ืนฐานเบ้ืองต้นของการเกิดพฤติกรรมแรงขับ เป็นสภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลภายในร่างกายของมนุษย์ เช่น สภาวะความต้องการอาหาร น้า สภาวะ ความตึงเครียด ความรู้สึกเจ็บปวด เปน็ ตน้ แรงขบั เกิดข้นึ ไดจ้ ากลกั ษณะ 2 ประการ คือ แรงขับภายในร่างกาย เช่น ความหิว ความกระหาย ความง่วงนอน เป็นต้น และแรงขับท่ีเกิดขึ้นภายนอกร่างกาย เช่น การได้รับ ความเจบ็ ปวดจากสิง่ เรา้ ภายนอก สภาวะความกดดันจนทาให้เกดิ ความตึงเครยี ด 1.2 ความวิตกกังวล ความวิตกกังวลมีผลต่อการเรียนรู้ หรือการกระทาพฤติกรรม ความวิตกกังวลจะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการเรียนรู้ของแต่ละ บุคคล เม่ือบุคคลมีอายุที่เพิ่มมากข้ึน มีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น ย่อมจะเกิดความวิตกกังวลเพ่ิมมากข้ึน เด็กเล็กๆ จะไม่มีความวิตกกังวลแต่จะมีความกลัว เมื่ออายุเพ่ิมมากข้ึนความกลัวจะลดลง กลายเป็น ความวติ กกงั วลเพิ่มข้ึนมาทนั ที 2. สถานการณต์ า่ งๆ ในส่งิ แวดลอ้ ม ย่อมจะสง่ ผลทาใหบ้ คุ คลเกิดแรงจงู ใจแตกต่างกนั เปน็ ต้นว่า ส่งผล ให้บุคคลเกิดความสับสนวุ่นวายหรืออื่นๆ และวัฒนธรรมแต่ละสังคมย่อมจะส่งผลให้พัฒนาการของผู้เรียน แตกต่างกนั ด้วย ลักษณะสถานการณต์ ่างๆ ทีม่ ีผลต่อแรงจูงใจไดแ้ ก่ 2.1 การแข่งขัน หมายถึง พฤติกรมของบุคคลท่ีมีต่อความปรารถนาจะเอาชนะผู้อื่นต้องการ ทาให้ตนมีสถานภาพเกิดขึ้น ลักษณะการแข่งขันมีลักษณะท่ีสาคัญ 2 ลักษณะ คือ การแข่งขันกับตัวเองเป็น การแข่งขันท่ีทาให้ตนเองดีขึ้นด้วยความเต็มใจ และความต้องการของคนไม่มีใครมาบังคับ การแข่งขันกับ บุคคลอ่ืน เป็นความที่ต้องการเอาชนะบุคคลอื่น ให้ตนอยู่เหนือกว่าคนอื่น มักจะพยายามทาทุกวิถีทางเพ่ือให้ ตนชนะผู้อ่นื เสมอ 2.2 ความร่วมมือ หมายถึง แรงจูงใจท่ีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับแรงผลักดันทางสังคม มีพฤติกรรมแบบประนีประนอม ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ เป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันเพ่ือให้งานหรือพฤติกรรม ท่ีมุ่งปรารถนาสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ฉะน้ันความร่วมมือของบุคคลจึงจัดว่าเป็นแรงจูงใจที่สาคัญที่ทาให้บุคคล เกดิ พฤติกรรมตา่ งๆ ขน้ึ 2.3 การต้ังจุดมุ่งหมาย หมายถึง การท่ีบุคคลได้มีการต้ังจุดมุ่งหมายในชีวิตไว้ มีผลทาให้ บุคคลมีความพยายามท่ีจะกระทาสิ่งต่างๆ เพ่ือจะให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตนต้ังไว้ แต่ในบางคร้ังแม้จะมีการ ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ บุคคลก็ไม่มีความสามารถกระทาเพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตนตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุน้ี

114 การต้ังจุดมุ่งหมายในชีวิตจึงเป็นแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ลักษณะของการจัดต้ังจุดมุ่งหมายมี 2 ลกั ษณะ คอื 2.3.1 การต้ังจุดมุ่งหมายรวม เป็นจุดมุ่งหมายท่ีมักจะมีจุดมุ่งหมายย่อยๆ มาเก่ยี วขอ้ ง เช่น การตัง้ จดุ มงุ่ หมายของชีวติ วา่ จะเป็นนักวาดรูปที่มีช่ือเสียงของโลกแต่ขณะน้ีอายุยังน้อยจึงมี เป้าหมายย่อยๆ หลายจุดมุ่งหมายมารวมกันคือ จะวาดรูปให้ชนะการแข่งขัน จะวาดรูปให้ได้รับคาชมจากครู จะวาดรปู ใหเ้ พอื่ นๆ ยอมรบั 2.3.2 การต้ังจุดมุ่งหมายระยะไกล เพื่อจุดมุ่งหมายใดจุดมุ่งหมายหนึ่งโดยเฉพาะ การตั้งจดุ มุ่งหมายระยะไกลจะเกิดข้นึ กบั คนท่ีมีวฒุ ิภาวะทางดา้ นสมองพอสมควรจะไมเ่ กดิ ในเดก็ เลก็ 2.4 การต้ังความทะเยอทะยาน เป็นการตั้งความหวังสูงไว้และมีความพยายามมุมานะ อย่างมากท่ีจะทาให้สาเร็จ การตั้งความหวังหรือเกิดความทะเยอทะยาน จึงเป็นแรงจูงใจที่ผลักดันให้เกิด พฤติกรรมข้ึน ถ้าบุคคลต้ังความทะเยอทะยานไว้สูงเกินความสามารถของตนเองจะทาให้บุคคลเกิด ความลม้ เหลวได้งา่ ย ทาใหไ้ ม่มแี รงจงู ใจในการทางานนั้น ๆ หรือเกิดการท้อถอย หรือถ้าตั้งความหวังไว้ต่ากว่า ความสามารถก็ไมม่ ีแรงจงู ใจพอท่จี ะกระทา เพราะวา่ ตนประสบความสาเร็จในงานนั้น ๆ ง่ายเกินไป ความยาก งา่ ยของงานจึงสง่ ผลต่อแรงจูงใจ การตั้งเป้าหมายข้ึนอย่กู ับส่งิ ตอ่ ไปน้ี 2.4.1 ความยาก งานน้นั มีความยากมาก จนกระทัง่ บคุ คลไมส่ ามารถมองเห็นหนทาง ทจ่ี ะทางานสาเร็จได้ 2.4.2 ความงา่ ย งานนัน้ มีความงา่ ยจนเกนิ ไป ทาให้ไม่มีความรู้สกึ อยากจะทางาน 2.4.3 ความมั่นใจ บุคคลขาดความมั่นใจที่จะต้ังเป้าหมายในชีวิต หรือขาด ความม่นั ใจท่จี ะต้ังความหวังหรอื ความทะเยอทะยาน 2.4.4 ความมุ่งหมายต่า ผู้เรียนต้ังจุดมุ่งหมายในชีวิตไว้ต่าเกินความเป็นจริงหรือ ต่ากวา่ ความสามารถของบคุ คล 2.4.5 คาแนะนา บุคคลมักจะขาดคาช้ีแนะอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการตั้งความหวัง หรือการตง้ั เปา้ หมายในชีวิต 3. ความเข้มแข็งของแรงจูงใจลักษณะของความเข้มแข็งของแรงจูงใจ ในแต่ละบุคคลย่อมจะมี แตกต่างกัน และข้นึ อยู่กบั ลักษณะดังต่อไปนี้ ก. การเสริมแรง หมายถึง การส่งเสริมบุคคลอ่ืนให้แสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้วให้มี ความคงทนถาวร หรอื เกิดซา้ ๆ การเสรมิ แรงมี 2 ลักษณะ คอื 1. การเสรมิ แรงทางบวก หมายถึง การทอี่ ินทรีย์ไดร้ บั สิ่งเร้า แลว้ เกิดพอใจ เช่น การให้รางวัล การยกย่อง ชมเชย การสร้างแรงบวกน้ันอาจจะมีผลดีและผลเสีย ฉะนั้น ในเรื่องของรางวัลจึงมีข้อควรระวัง ดังน้ี 1.1 การให้รางวัลจะมีผลทาให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆเพื่อต้องการรางวัล หรือ ยดึ ติดกับรางวลั 1.2 ถ้าปราศจากรางวัลแม้จะมีผลทาใหป้ ระสิทธภิ าพในการเรียนลดลงอย่างรวดเรว็ 2. การเสริมแรงทางลบ หมายถึง การที่อินทรีย์ถูกนาส่ิงท่ีไม่พอใจออกไปแล้วให้อินทรีย์พอใจ เช่น การลงโทษ ซ่งึ จะทาให้เกิดความรสู้ ึกเจ็บปวด ความอับอาย ความรู้สึกไม่พอใจข้อสังเกตในการใช้การเสริมแรง ทางลบ คือ 2.1 การลงโทษจะเป็นการป้องกันมิให้พฤติกรรมน้ันเกดิ ขน้ึ อกี ต่อไป 2.2 การลงโทษจะมผี ลทาให้พฤตกิ รรมอืน่ เขา้ มาแทนที่

115 ข. ความสนใจ หมายถึง ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งหน่ึงสิ่งใด การท่ีบุคคลจะกระทาพฤติกรรมใดๆ ได้ดีเพียงใดน้ัน ขึ้นอยู่กับความสนใจกับบุคคลน้ันประการหนึ่งถ้าบุคคลนั้นไม่มีความสนใจย่อมจะทาให้ พฤติกรรมตา่ งๆ ไดค้ ่อนขา้ งยาก สาเหตุทที่ าใหบ้ คุ คลเกิดความสนใจ ไดแ้ ก่ 1. ความถนัดหรือพรสวรรค์ เป็นความสามารถที่อยู่ในตัวของบุคคลตั้งแต่กาเนิด ความสนใจลักษณะนี้ถ้าได้รับการสนับสนุนหรือได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้องจะทาให้บุคคลสามารถ ทางานหรือมพี ฤติกรรมทดี่ มี ปี ระสิทธิภาพมากท่ีสดุ 2. ความสาเร็จ เป็นความสนใจท่ีเกิดข้ึนเมื่อได้รับความสาเร็จในส่ิงใดส่ิงหนึ่งทาให้บุคคลได้ หันมาใหค้ วามสนใจในส่ิงทต่ี นไดร้ ับความสาเร็จ แรงจงู ใจกบั การกีฬาและการออกกาลงั กาย คาถามหลกั ในการศึกษาถึงแรงจูงใจกับการเลน่ กีฬา คือ 1. ทาไม หรอื แรงจูงใจ อะไรทท่ี าให้คนเร่มิ เลน่ กีฬาหรอื การออกกาลังกาย 2. ทาไม หรอื แรงจูงใจ อะไรทที่ าใหค้ นยงั คงเล่นกีฬาอยู่หรือการออกกาลังกาย 3. ทาไม หรอื แรงจงู ใจ อะไรทีท่ าใหค้ นหยดุ หรอื เลิกเลน่ กีฬาหรือออกาลังกาย จากการศึกษาโดยกว้าง ๆ เพือ่ ให้ทราบคาตอบหรือสาเหตุของคาถาม ดงั นี้ 1. แรงจูงใจที่ทาให้คนเร่ิมเล่นกีฬาและ/หรือการออกกาลังกาย (Motives to initiate participating sport and/or exercise) คอื 1.1 เหตุผลเกี่ยวข้องกับความสวยงาม (Physical appearance) และสมรรถภาพทางกาย ต้องการมีร่างกายเป็นกล้ามเนื้อ ได้สัดส่วนเป็นท่ีสนใจจากเพศตรงข้าม และต้องการมีสมรรถภาพทางกายดี ร่างกายแขง็ แรง 1.2 เหตุผลทางการแพทย์ (Medical reasons) แพทยส์ ัง่ ให้ออกกาลงั กายและความเจ็บป่วย เรือ้ รงั 1.2.1 มีอาการท่ีจะนาไปสโู่ รคต่าง ๆ เช่น ปริมาณโคเลสโตรอลสูง ความดันเลือดสูง เครยี ด 1.2.2 มีอาการบาดเจ็บเรือ้ รงั เชน่ เจบ็ หลัง ปวดหัวไหลเ่ รื้อรงั 1.2.3 เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย หรือหลังจากท่ี อวัยวะหยดุ เคลือ่ นไหวนานๆ 1.2.4 เพือ่ คลายเครียดและลดความวติ กกงั วลจากการทางานประจา 1.3 เป็นเหตุผลทางสงั คม (Affiliation) 1.3.1 ตอ้ งการพบเพือ่ นใหม่ รจู้ กั คนใหม่ โดยใชก้ ิจกรรมกฬี าเปน็ สอื่ ในการเขา้ สงั คม 1.3.2 ตอ้ งการใช้เวลารว่ มกบั เพือ่ น และคนใกล้ชิดโดยใช้กิจกรรมการออกกาลังกาย เปน็ สอ่ื 1.3.3 ตอ้ งการให้ตนเองเป็นท่ียอมรับหรือเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่มกีฬาได้ถูกนามาเป็น ส่ือประสานระหวา่ งสมาชกิ กลมุ่ เช่น การเล่นกอลฟ์ ระหว่างผู้บรหิ าร 1.3.4 เพ่ือยกระดับสถานะทางสังคม (Social status) เพื่อสรา้ งชื่อเสียงทางการกีฬา เชน่ การเป็นทมี ชาติ เพ่ือให้ได้เงินและการยอมรับจากสังคมรอบขา้ ง 1.3.5 ไดร้ บั การสนับสนนุ สง่ เสรมิ จากคนใกล้ชิด พอ่ แม่ พี่นอ้ ง ค่คู รอง

116 1.4 การมีทศั นคตทิ ดี่ ตี อ่ กีฬา (Attitude toward Sports) 1.4.1 การเห็นประโยชน์ ความสาคัญและความจาเป็นของการเล่นกีฬาหรือ ออกกาลงั กาย 1.4.2 มกี ารศึกษาและการมีประสบการณ์เดมิ ท่ดี ตี อ่ การออกกาลงั กาย 1.4.3 ชอบและสนกุ กบั การออกกาลังกายกจิ กรรมนั้นท้าทายความสามารถ 2. แรงจูงใจท่ีทาให้คนยังคงเล่นกีฬาและ/หรือการออกกาลังกาย (Motives to continue participating sport and/or exercise) คอื 2.1 เหตผุ ลทางจิตวทิ ยา (Psychological Reasons) 2.1.1 มีแรงจูงใจในตนเอง (Self-motivation) ลักษณะของบุคลิกภาพแบบ A (Type A) ที่ชอบสังคม ชอบการมีเพ่ือน ชอบความท้าทาย การเส่ียง ชอบการแข่งขัน มักร่วมกิจกรรม การออกกาลังกาย 2.1.2 ทาให้เกิดความรู้สึกท่ีดี (It feels good) มีความสนุกสนาน ท้าทาย ความสามารถ คลายเครียด ลดความวิตกกังวล มีการรับรู้ตัวว่าตนมีความสามารถ (self-efficacy) ประสบ ผลสาเร็จ (Perceive competence) เป็นที่ยอมรับจากคนท่ัวไป ทาให้มีความช่ือมั่น มีความภาคภูมิใจใน ตวั เอง (Self-esteem) จากการเล่นกีฬา 2.2 เหตุผลทางสรีรวิทยา (Physiological Body Composition Reasons) 2.2.1 เกิดการเปล่ียนแปลงทางร่างกาย เช่น ร่างกายได้สัดส่วน กล้ามเน้ือแข็งแรง ร่างกายกระฉบั กระเฉง ทางานไดน้ านขึน้ เหนอื่ ยนอ้ ยลงและหายเหน่อื ยเร็วขนึ้ อารมณ์แจ่มใส สขุ ภาพจติ ดี 2.2.2 สถานภาพสุขภาพดีข้ึน (Health Status) เช่น มีการเจ็บป่วยน้อยลงปริมาณ ไขมันในเสน้ เลอื ดและความดันเลอื ดลดลง ลดความเครยี ด 2.2.3 พัฒนาสมรรถภาพแบบแอโรบิก (Aerobic fitness) ระบบหายใจ และ ไหลเวยี นโลหติ ดีข้นึ 2.3 เหตผุ ลทางส่งิ แวดล้อมและสังคม (Situational Reasons) 2.3.1 สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ อยู่ในสภาวะครอบครัวที่มีเศรษฐกิจที่ดี พอควรจงึ มีโอกาสที่จะเขา้ ร่วมกิจกรรมมากกวา่ คนท่มี ีฐานะทางการเงนิ ตา่ 2.3.2 อาชพี และการทางาน เอ้ือใหเ้ ล่นกฬี า หรือการออกกาลงั กาย 2.3.3 มเี วลาและมีความสะดวกสบายในการเล่นกฬี าหรือออกกาลงั กาย 2.3.4 การไดพ้ บเพอ่ื นใหม่ สังคมใหมท่ ี่ต่างไปจากชวี ิตประจาวัน 2.3.5 เปน็ กจิ กรรมใหม่ ได้เรียนรูส้ ่งิ ใหมต่ ่างไปจากที่เคยจาเจ 2.3.6 อย่ใู นครอบครวั ทร่ี ักการเลน่ กฬี าหรือเป็นสังคมท่ีสนบั สนนุ ให้เล่นกฬี า 3. แรงจงู ใจทท่ี าให้คนเลิกเล่นกีฬาและ/หรือออกกาลังกาย (Motive to discontinue participating sport and/or exercise) คอื 3.1 มีปัญหาสว่ นตวั (Personal Factors) 3.1.1 พฤตกิ รรมสขุ ภาพส่วนตัวไม่เหมาะสม ทาให้หยุด หรือเลิกเล่นกีฬา เช่น คนที่ สูบบุหรี่ หรืออ้วน หรือมีโรคที่เกิดอันตรายได้เม่ือออกกาลังกาย เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคตับ ทาให้ ออกกาลังกายได้อย่างมขี อ้ จากัด

117 3.1.2 ศาสนา และวัฒนธรรมความเชื่อและวัฒนธรรมบางท้องถ่ินไม่เอื้อให้ ออกกาลังกาย รวมทั้งอายุ เพศ ล้วนมีผลต่อการออกกาลังกายและเล่นกีฬา หลายคนมีความเช่ือที่ผิดว่า การออกกาลังกายหรอื การเล่นกีฬาเปน็ กิจกรรมของคนหนุ่มสาว หรอื ของเพศชายเท่าน้ัน 3.1.3 มีทศั นคติทไ่ี ม่ดีต่อการออกกาลังกาย เพราะมีประสบการณ์เดิมไม่ดีไม่ประสบ ผลสาเร็จตามจดุ ม่งุ หมายทีต่ ง้ั ไวห้ รอื ได้รบั บาดเจบ็ จากการออกกาลงั กายหรือเลน่ กีฬา 3.2 เหตผุ ลจากสถานการณแ์ ละสงิ่ แวดล้อมโดยรอบ (Environmental Factors) 3.2.1 เวลาและการจัดการไม่ดี ทาให้ไม่มีเวลาหรือไม่จัดสรรเวลาให้กับการ ออกกาลงั กาย 3.2.2 ไม่ได้รบั การสนบั สนนุ จากบุคคลใกลช้ ิด เชน่ โค้ช ครู พ่อแม่ พนี่ อ้ งและเพ่อื น 3.2.3 บรรยากาศในช้ันเรียน ลักษณะการจัดกิจกรรมนั้น ๆ ไม่สนุก ไม่เป็นไป ตามจุดมุ่งหมายทีต่ ้องการ 3.2.4 ราคาค่าบริการในการออกกาลงั กายหรอื เล่นกฬี า มีราคาแพง 3.3 เหตผุ ลเกีย่ วกบั การจดั กจิ กรรม (Activity variables) 3.3.1 ความเขม้ ของกิจกรรม หรอื ความหนกั หน่วงในการฝึกซอ้ มไมเ่ ป็นท่พี อใจ เชน่ เบาเกินไปหรือหนักเกินไป หรือไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ต้ังไว้หรือทาให้เสียการเรียน การทางาน หรือ สังคมส่วนอน่ื ๆ 3.3.2 ไดร้ บั บาดเจ็บจากกิจกรรมนั้นๆ 3.3.3 กิจกรรมนา่ เบ่ือ ไมห่ ลากหลาย ไมม่ ีตัวใหเ้ ลือกตามท่ตี ้องการ 3.3.4 สนใจกิจกรรมอ่ืน จึงเลิกเล่นกีฬาหรือออกกาลังกายน้ันๆ โดยเฉพาะเด็กหรือ เยาวชนทม่ี กั เปลี่ยนความสนใจตลอดเวลา 3.3.5 ไมป่ ระสบผลสาเร็จตามที่ต้งั ใจไว้ในการเข้าร่วมกิจกรรม แรงจงู ใจนับวา่ มีบทบาทสาคญั มากต่อการเล่นการเตรียมทีมและการฝึกซ้อมกีฬานักจิตวิทยาการกีฬา ให้ทัศนะต่อแรงจูงใจแตกต่างกัน สรุปแล้วพอจะกล่าวได้ว่า แรงจูงใจเป็นกระบวนการที่มีอยู่ในตัวนักกีฬาเอง แต่ละคนซ่ึงพร้อมท่ีจะได้รับการกระตุ้นจากภายนอกให้มีกาลังแรงข้ึน เพื่อให้อยากกระทาส่ิงนั้นๆ มากข้ึน หมายความว่านักกีฬาทุกคนต่างก็มีแรงจูงใจภายในตัวเองอยู่แล้ว หน้าท่ีของผู้ฝึกสอนกีฬามีเพียงแต่ค้นหาวิธี ที่จะกระตุ้นจากภายนอกเพ่ือให้เกิดกาลังแรงอีกเท่าน้ัน การสร้างแรงจูงใจนี้มีความเก่ียวพันกับความต้องการ มากที่สุด ความต้องการดังกล่าวนี้เป็นความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นในการฝึกซ้อมกีฬา แต่ละครั้ง หากว่าผู้ฝึกสอนได้เล็งเห็นความสาคัญเหล่าน้ี แล้วนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์จะเป็นพื้นฐานใน การฝึกซ้อมกีฬาที่ดี และยังสามารถที่จะสร้างแรงจูงใจในระดับสูงข้ึนไปได้อีกด้วยในการคัดเลือกตัวนักกีฬา เพื่อให้ได้ตัวนักกีฬาตามลักษณะและคุณสมบัติของการเป็นตัวนักกีฬาที่แท้จริงน้ัน เทเวศร์ พิริยะพฤนท์ (2529) ได้กล่าวไว้ว่า ต้องคานึงถึงเพราะนักกีฬาท่ีมีความปรารถนาท่ีจะเล่นกีฬาให้ได้ดีน้ันจะมีแรงจูงใจสูง ซ่ึงจะมีผลทาให้นักกีฬาคนนั้น ๆ ทาการฝึกซ้อมอย่างต้ังใจ มีวินัยในตนเอง ขยันขันแข็งในการฝึกซ้อม พิชิต เมืองนาโพธิ์ (2534) ได้กล่าวถึงลักษณะนิสัยของนักกีฬาท่ีประสบความสาเร็จไว้ว่านักกีฬาต้องมี ความกังวลใจน้อย สมาธิดี เช่ือม่ันในตนเอง มองผลงานของตนเองเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด มีแรงจูงใจมาก ดังน้ัน พลังของแรงจูงใจจึงเป็นส่ิงท่ีผู้ฝึกสอนควรคานึงถึงเป็นอย่างมาก และเป็นหน้าที่ของผู้ฝึกสอนท่ีจะต้องหาวิธี กระตนุ้ หรือสร้างแรงจงู ใจให้เกดิ กับนกั กีฬาของตน

118 วรศักดิ์ เพียรชอบ (2534) ได้สรุปแนวคิดเก่ียวกับการเตรียมตัวด้านจิตวิทยาก่อนการแข่งขัน โดยนาเสนอปจั จยั ในการเตรียมตวั นกั กฬี าด้านจิตวทิ ยาเพือ่ เข้าทาการแข่งขนั ใหไ้ ด้ประสบความสาเร็จไว้ดงั นี้ 1. ควรให้แรงเสริมและผลย้อนกลับที่เหมาะสมแก่นักกีฬาในความสามารถทาได้ซึ่งการใช้แรงเสริม ที่สามารถทาได้โดยง่ายคือ คาชมเชยและกล่าวคาที่เป็นลักษณะสร้างสรรค์ของผู้ฝึก เป็นต้น ส่วนผลย้อนกลับ ทาได้ โดยท่ผี ฝู้ ึกบอกผลท่นี ักกฬี าสามารถทาได้ 2. ควรใช้แรงจูงใจโดยการที่ครูผู้ฝึกสอนจะต้องรู้จักการสร้างสภาพการฝึกซ้อมเป็นท่ีน่าสนใจ มีความ สนใจ มีความสนุกสนาน มีความท้าทาย และสภาพการฝึกซ้อมก็ต้องคล้ายคลึงกับการแข่งขันจริง เพื่อให้ นักกีฬาสามารถยืนหยดั ฝึกซ้อมให้ได้มากที่สุด และดที ี่สุด 3. ควรจะลดความตื่นเต้น และความฮึกโหมในการแข่งขันให้เหมาะสมและถูกต้อง เช่น การน่ังสมาธิ และการสะกดจิต 4. การจดั สภาพการฝกึ ซอ้ มใหค้ ลา้ ยคลึงกับสภาพการแขง่ ขนั จริงใหม้ ากท่ีสุด 5. ผู้ฝึกสอนต้องมีความเข้าใจความแตกตา่ งของนักกีฬาแต่ละคนเปน็ สาคญั 6. ผู้ฝึกซ้อมควรจะหาทางช่วยเหลือนักกีฬาให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีมโนทัศน์ท่ีถูกต้อง โดยการจัดสภาพการณ์ให้นักกีฬามีประสบการณ์ในความสาเร็จหรือประสบการณ์ท่ีดีในการฝึกซ้อม และการ ให้แรงเสรมิ 7. การใช้ความเช่ือม่ันบางอย่างให้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกซ้อมเช่น ความเชื่อว่าได้สูดออกซิเจน ก่อนการฝกึ ซ้อม จะทาใหม้ ีความรสู้ กึ ว่ามกี าลังวงั ชาข้นึ 8. ควรเปลยี่ นบรรยากาศและสง่ิ แวดลอ้ มทาใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อการฝึกซอ้ ม 9. ผฝู้ ึกสอนควรมรี ูปแบบการเป็นผู้นาทีเ่ ป็นประโยชนต์ ่อการฝกึ ซ้อมเช่น ผ้นู าแบบประชาธิปไตย และ ผู้นาแบบอัตตาธิปไตย 10. โปรแกรมการฝึกซ้อมและวิธีการฝึกซ้อมควรจะเป็นส่ิงที่มีความหมายต่อนักกีฬาโดยท่ีโปรแกรม การฝกึ ซอ้ มและวิธกี ารฝกึ ซ้อมทน่ี กั กฬี าเห็นวา่ สามารถท่ีจะเปน็ ไปไดแ้ ละปฏิบัตไิ ด้ 11. การใช้แรงจูงใจที่เกิดจากการเห็นคุณค่าของการเล่นกีฬาเป็นสิ่งท่ีดีและเป็นที่พึงปรารถนา เช่น ความรูส้ กึ ภาคภมู ใิ จในการเล่นกีฬาและเปน็ นกั กฬี า หรือการเห็นคุณค่าและประโยชน์ของกีฬา 12. ผู้ฝึกสอนควรจะมีความเข้าใจในความสัมพันธ์กันระหว่างผู้ฝึกสอนและผู้ดู และความสามารถ ทน่ี กั กีฬาสามารถทาได้ โดยการมผี ู้ทฝ่ี ึกซ้อมจะทาใหน้ กั กฬี าไดใ้ ชค้ วามพยายามมากกว่าการฝึกซ้อมคนเดียว 13. การสรา้ งความกงั วลใจ และการลดความตงึ เครยี ดในตัวนักกฬี า 14. สุขภาพจิตของนักกีฬา โดยเฉพาะอย่างย่ิงการปฐมพยาบาลทางจิตและอารมณ์ของนักกีฬา หลังการแขง่ ขัน ทฤษฎแี รงจงู ใจทางการกีฬา ทฤษฎีรวมถึงโมเดลแรงจูงใจต่างๆ เป็นการอธิบายความต้องการของมนุษย์ว่ามีโครงสร้างอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจ ส่ิงสาคัญในการพิจารณาลักษณะแรงจูงใจของนักกีฬา คือ ระดับ ความมากนอ้ ยของการปฏิบัติ (Intensity) ทิศทางที่จะไปสู่เป้าหมาย (Direction) และความต่อเนื่องสม่าเสมอ (Persistence) พฤติกรรมที่แสดงออกของนักกีฬามีผลกระทบโดยตรงต่อความสาเร็จหรือความล้มเหลวของ นักกีฬาได้ ทฤษฎีแรงจูงใจเกี่ยวกับการกีฬามีอยู่หลากหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีแรงจูงใจภายในและ การประเมินความรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทฤษฎีการอ้างสาเหตุและทฤษฎีการกาหนดเป้าหมาย โดยสรุป มาพอสังเขปดงั ตอ่ ไปนี้

119 ทฤษฎีแรงจูงใจภายในและการประเมินความรู้ (Intrinsic motivation and cognitive evaluation theory) เป็นการอธิบายลักษณะแรงจูงใจว่าสามารถเกิดข้ึนเองได้ โดยไม่มีรางวัลหรือสาเหตุ ภายนอกมาเกี่ยวข้อง เป็นการเล่นกีฬาเพื่อความสนุกสนาน ซึ่งแรงจูงใจภายในเกิดได้อย่างไร เพิ่มได้อย่างไร ไม่สามารถอธิบายได้ จึงต้องมีทฤษฎีแรงจูงใจแบบประเมินความรู้ขึ้น แรงจูงใจแบบประเมินความรู้ถือ เป็นแรงจูงใจประเภทหน่ึงที่เกิดจากภายในตัวบุคคลท่ีมีองค์ประกอบสาคัญ คือ การรับรู้การควบคุม นักกีฬา ต้องรับรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุจูงใจให้เล่นกีฬาเพ่ือควบคุมสาเหตุนั้นให้คงอยู่ตลอด และกระบวนการ ประเมินขอ้ มลู เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ในการรบั รคู้ วามสามารถ และการตัดสนิ ใจดว้ ยตนเอง โดยสรปุ แรงจงู ใจภายใน เปน็ แรงจงู ใจท่เี กิดขึ้นโดยไม่มีรางวัลหรือส่ิงล่อใจภายนอกมาเป็นตัวกระตุ้น ให้เกดิ การแสดงพฤติกรรม แต่มักเกิดจากแรงขับภายในที่ต้องการตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน ส่วนการ ประเมินความรู้เป็นแรงจงู ใจทเ่ี กิดจากการรบั รู้ตนเองวา่ มีความสามารถ และสามารถตดั สนิ ใจดว้ ยตนเองได้ ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement motivation theory) เป็นการอธิบายแรงขับหรือ สิ่งเร้าท่ีทาให้บุคคลมีความพยายามมุ่งมั่นท่ีจะไปถึงเป้าหมายในการฝึกซ้อมหรือแข่งขันกีฬา หากนักกีฬารับรู้ ว่าตนเองมีความสามารถจะทาให้เกิดความเชื่อม่ันในตนเอง และมีความต้องการท่ีจะฝึกซ้อมในสิ่งที่ยากขึ้น โดยมีแรงจูงใจท่จี ะกระทาให้มากขึ้นด้วย แต่ในทางตรงกันข้ามหากนักกีฬารับรู้ว่าตนเองไม่ประสบความสาเร็จ และรู้สึกความมีคุณค่าในตนเองลดลง จะทาให้แรงจูงใจในการฝึกซ้อมและแข่งขันลดลง ซ่ึงอาจมีผลสืบเน่ือง ต่อไปถึงการเลิกเล่นกีฬาได้ ดังน้ันหากผู้ฝึกสอนทราบกลไกการเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิจะสามารถหาวิธีการ ช่วยเหลือและปอ้ งกันไมใ่ ห้นักกฬี าเกิดความร้สู กึ ว่าตนเองไม่ประสบความสาเร็จในการแข่งขันได้ ขณะเดียวกัน ควรเน้น ให้นักกีฬารับรู้ว่าตนเองมีความสามารถหรือมีทักษะในการเล่นกีฬาได้ดีเพียงใดมากกว่ามุ่งผล การแข่งขนั แพห้ รือชนะเพยี งอย่างเดียว ภาพที่ 6.2 ทฤษฎแี รงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ท่ีมา: นฤพนธ์ วงศจ์ ตุรภทั ร และศรตุ ี ศรีจันทวงศ์ (2550)

120 ภาพที่ 6.3 สามข้นั ของการพัฒนาแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทีม่ า: Weinberg and Gould (2011) ทฤษฎีการอ้างสาเหตุ (Attribution theory) เป็นการอธิบายการอ้างสาเหตุของนักกีฬา โดยเน้นที่ การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง เพ่ือรักษาความภาคภูมิใจในตนเอง ซ่ึงเป็นแรงจูงใจท่ีสาคัญในการเล่นกีฬา โดยอธิบายเหตุปัจจัยท่ีนักกีฬามักนามาใช้อยู่เสมอ คือ ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ผู้ฝึกสอน เป็นบุคคลสาคัญที่สามารถช่วยปรับการอ้างสาเหตุต่างๆ ของนักกีฬาได้โดยเม่ือนักกีฬาประสบผลสาเร็จให้ อ้างสาเหตุจาก ปัจจัยส่วนบุคคล คือ ความสามารถ (Ability) และความพยายาม (Effort) เป็นหลักเพื่อสร้าง ความเชอื่ มน่ั ในตนเองว่าสามารถทาได้ หากประสบความลม้ เหลวจะอ้างสาเหตุเดิมไม่ได้ เพราะเป็นการทาลาย ความเช่ือม่ันและแรงจูงใจของนักกีฬา แต่ควรอ้างสาเหตุท่ีมาจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม คือ ความยากของงาน (Task difficulty) เช่น ความสามารถของคู่แข่งขัน ซ่ึงเป็นปัจจัยที่นักกีฬาไม่สามารถควบคุมได้ และโชค (Luck) ซ่ึงเป็นสิ่งที่ไม่คงท่ี ดังนั้นนักกีฬาควรมีความพยายามมากข้ึน เพ่ือมุ่งหวังให้ประสบความสาเร็จด้วย ปจั จัยส่วนบคุ คลเป็นหลกั ภาพท่ี 6.4 ทฤษฎกี ารอา้ งสาเหตุ ทม่ี า: นฤพนธ์ วงศจ์ ตรุ ภทั ร และศรตุ ี ศรจี นั ทวงศ์ (2550)

121 จากการศึกษาการระบุสาเหตุจากผลการแข่งขันของนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชียน อินดอร์เกมส์ คร้ังท่ี 1 ณ ประเทศไทย จานวน 9 ชนิดกีฬาของ นฤพนธ์ และศรุตี (2550) พบว่าโชคเป็น เหตุผลประการแรกท่ีนักกีฬามองว่าตัวเองประสบความสาเร็จหรือล้มเหลว ขณะที่ความพยายามเป็นสาเหตุ สดุ ทา้ ยและพบวา่ เพศชายและเพศหญิงใหเ้ หตุผลต่อความสาเร็จหรอื ล้มเหลวแตกต่างกันน้อยจากผลการศึกษา คร้ังน้ีแสดงให้เห็นว่าควรให้ความสาคัญกับการระบุสาเหตุที่มุ่งเน้นปัจจัยที่มาจากส่วนบุคคล คือ ความพยายามหรือความสามารถของตนเองมากกว่าจะให้ความสาคัญกับปัจจัยท่ีมาจากส่ิงแวดล้อมซ่ึงนักกีฬา ไม่สามารถควบคุมได้เช่น โชค เพราะไม่ใช่การส่งเสริมให้นักกีฬาได้พัฒนาความสามารถให้ดีในอนาคต อีกทั้ง ยงั ไมไ่ ด้เนน้ ใหน้ กั กีฬารับรคู้ วามสาเร็จท่มี าจากความเพยี รพยายามในการฝกึ ซอ้ มอยา่ งหนกั ซึ่งเป็นส่ิงที่นักกีฬา ควรภาคภูมิใจในความสาเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่นความอดทน ความพยายามในการฝึกซ้อมจนประสบ ความสาเรจ็ ในการแขง่ ขนั ทฤษฎกี ารกาหนดเป้าหมาย (Goal setting theory) การกาหนดเป้าหมายเป็นวิธีการอย่างหน่ึงใน การรักษาระดับแรงจงู ใจของนักกีฬา เมอ่ื มกี ารกาหนดเป้าหมายตอ้ งคานึงถึงความเป็น ไปได้ของเป้าหมายด้วย ไม่เช่นน้ันการกาหนดเป้าหมายจะทาให้แรงจูงใจลดลง และเพิ่มความคับข้องใจมากขึ้น การกาหนดเป้าหมาย ท่ีดีควรมีความเฉพาะเจาะจงและทาได้ยากข้ึนกว่าปกติ ท่ีสาคัญคือต้องมีการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เป็นระยะๆ ซึ่งทาให้นักกีฬาเกิดความพยายามและมีพัฒนาการฝึกซ้อมท่ีดีกว่าเม่ือนักกีฬามีเป้าหมายชัดเจน จะทาให้เกิดความพยายามและต้องการไปถึงส่ิงที่ตนเองกาหนดไว้ ผลที่นักกีฬาจะได้รับจากการกาหนด เป้าหมาย คือ ช่วยสร้างบรรยากาศการฝึกซ้อมร่วมกันเป็นทีม สร้างความเข้าใจระหว่างกันภายในทีมเกิดการ พัฒนาตนเอง และเพิ่มโอกาสประสบความสาเร็จทางการกีฬาได้นักกีฬาหลายคนให้ข้อมูลว่าตนเองมีการ กาหนดเป้าหมายอยู่แล้ว คือ “การทาให้ดีที่สุด” หากอธิบายไม่ได้ว่าองค์ประกอบของการทาดีท่ีสุดคือ อะไรบ้างก็ยังไม่ใช่การกาหนดเป้าหมายท่ีดี เพราะการกาหนดเป้าหมายที่ดีต้องให้ความสาคัญกับรายละเอียด ที่มีความเฉพาะเจาะจงรวมถึงระยะเวลาที่ต้องการประสบความสาเร็จร่วมด้วยเสมอ การจูงใจนักกีฬา เพ่ือให้ เกดิ ส่ิงลอ่ ใจไปสเู่ ป้าหมายทีต่ อ้ งการ มปี ระเด็นที่ต้องหาคาตอบ คือ 1. การค้นหาว่าแรงจูงใจของนักกีฬามาจากอะไร เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่นักกีฬาต้องการให้ ชัดเจนขึ้น เช่น นักกีฬามีแรงจูงใจที่มาจากความชอบ ความสนุก ความท้าทาย ดังน้ันจึงต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ ให้เกดิ ขึ้นตลอดเวลา 2. เม่ือทราบท่ีมาของแรงจูงใจแล้ว ต้องประเมินว่านักกีฬามีระดับแรงจูงใจมากน้อยเพียงใด โดยประเมนิ จากความพยายาม ความทมุ่ เท ความมงุ่ มน่ั การตรงต่อเวลา เปน็ ต้น แรงจงู ใจกับความสาเรจ็ ในการแข่งขนั กฬี า การสร้างแรงจูงใจหรือการสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นกับนักกีฬาขณะทาการฝึกซ้อมน้ันย่อม เป็นเหตุท่ีสาคัญ ชาญชัย โพธ์ิคลัง (2532) ได้กล่าวถึงนักกีฬาท่ีประสบความสาเร็จในการฝึกซ้อมและแข่งขัน น้นั ยอ่ มมเี หตผุ ลซึง่ เกดิ จากการสรา้ งแรงจงู ใจท่ีแตกตา่ งกันความพอใจที่ทาให้เขาประสบความสาเร็จท่ีซ้อนเร้น อยู่ภายใต้จติ สานึกคอื 1. ความรู้สกึ เกิดความภาคภูมิใจ (Personal Pride) ความภาคภูมิใจเป็นแรงจูงใจอย่างหน่ึงที่ซ่อนเร้น อยู่ที่มีกับนักกีฬาทุกคน เมื่อนักกีฬาเกิดความรู้สึกเช่นน้ีก็จะขยันซ้อมเพ่ือท่ีจะให้ตนมีขีดความสามารถสูงสุด ที่จะสามารถสงู สุด เพื่อความสาเร็จในการแขง่ ขนั 2. ความรู้สึกเพ้อฝัน (Self Image) มนุษย์เราท่ีเกิดมาไม่ว่าจะแยกความอยากหรือเป็นนักกีฬาก็ตาม ย่อมจะมีความเพ้อฝัน ความอยาก ด้วยกันท้ังนั้น หากจะแยกความอยากหรือความรู้สึกเพ้อฝันท่ีเกี่ยวกับ

122 นักกีฬาแล้ว สามารถแยกความรู้สึกออกได้เป็น 2 ทางด้วยกันคือความรู้สึกอยากที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และ ความร้สู กึ ท่มี ีตอ่ บุคคลอ่นื พิชิต เมืองนาโพธิ์ (2534) ได้กล่าวถึงวิธีการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดความสาเร็จในการแข่งขันกีฬา ไวว้ ่า 1. ให้นักกีฬาได้รับประสบการณ์แห่งการประสบความสาเร็จทั่วถึงกันในการกีฬาการจัด สภาพแวดล้อมในการกีฬาควรจัดให้นักกีฬาได้รับความสาเร็จซึ่งทาให้เพ่ิมแรงจูงใจในการเล่นกีฬามากยิ่งข้ึน เชน่ การลดความสงู ของแปน้ บาสเกตบอลให้เด็กเล็ก 2. ให้นักกีฬามีโอกาสรับผิดชอบในการต้ังกฎเกณฑ์ในการตัดสินใจทาให้นักกีฬามีโอกาสควบคุม ความประพฤตขิ องตนเอง และเกิดความร้สู กึ สาเร็จ 3. ให้คาชมเชยทั้งคาพูด และท่าทาง และควรใช้บ่อย ๆ ให้นักกีฬาได้รับรู้ถึงการมีส่วนช่วยเหลือกัน เน้นบทบาทสาคัญของแต่ละคนทีม่ คี วามสาเร็จของทมี ทาใหน้ กั กฬี ามคี วามรู้สึกวา่ ตวั เองมีค่า 4. การตงั้ จุดมุ่งหมายต้องเปน็ จดุ มุง่ หมายทีเ่ ป็นจรงิ และสามารถทาได้ด้วยความพยายามมีการประเมิน และการปรับปรงุ ว่านักกีฬาไดบ้ รรลุจุดมุ่งหมายแค่ไหน 5. มีการเปล่ียนแปลงรูปแบบการฝึก ทาให้ไม่เกิดความเบ่ือหน่าย ทาให้การฝึกซ้อมเกิด ความสนกุ สนาน ทาใหน้ ักกีฬาเกดิ พบส่งิ ใหม่ ๆ 6. การทาให้เกิดความสนุกสนาน เกิดความสมดุลระหว่างความสามารถของนักกีฬากับความยากง่าย ของการฝกึ ท้าทายความสามารถ เกดิ อยากลองเลน่ ซอ้ ม และอยากแข่งขนั ภาพที่ 6.5 มอี ิทธพิ ลจากสง่ิ ต่างๆ มากมายทส่ี ่งผลต่อแรงจงู ใจ ที่มา: Weinberg and Gould (2011)

123 สรุป แรงจูงใจ เป็นการกระตุ้นหรือเร้าเพ่ือช่วยให้เกิดการกระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งสาเร็จบรรลุเป้าหมาย มีแนวทางอันแน่นอน ซ่ึงอาจจะเกิดจากความต้องการของตัวผู้กระทาเองหรือผู้กระทาได้รับส่ิงเร้าภายนอก การแสดงพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากแรงจูงใจเป็นส่ิงสาคัญ แรงจูงใจจัดว่ามีผลต่อการ เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลเป็นอันมาก เพราะการท่ีบุคคลเกิดแรงจูงใจในการท่ีจะกระทาพฤติกรรม ย่อมจะทาให้พฤตกิ รรมหรือการเรียนรใู้ นสิ่งน้ันๆ ย่อมมีประสิทธิภาพและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าบุคคล ท่ไี ม่เกิดแรงจงู ใจ แรงจูงใจนับวา่ มบี ทบาทสาคัญมากต่อการเล่นการเตรียมทีมและการฝึกซ้อมกีฬานักจิตวิทยาการกีฬา ให้ทัศนะต่อแรงจูงใจแตกต่างกัน สรุปแล้วพอจะกล่าวได้ว่า แรงจูงใจเป็นกระบวนการท่ีมีอยู่ในตัวนักกีฬาเอง แต่ละคนซึ่งพร้อมท่ีจะได้รับการกระตุ้นจากภายนอกให้มีกาลังแรงข้ึน เพ่ือให้อยากกระทาสิ่งนั้นๆ มากข้ึน หมายความว่านักกีฬาทุกคนต่างก็มีแรงจูงใจภายในตัวเองอยู่แล้ว หน้าท่ีของผู้ฝึกสอนกีฬามีเพียงแต่ค้นหาวิธี ที่จะกระตุ้นจากภายนอกเพ่ือให้เกิดกาลังแรงอีกเท่านั้น การสร้างแรงจูงใจนี้มีความเกี่ยวพันกับความต้องการ มากท่ีสุด ความต้องการดังกล่าวนี้เป็นความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นในการฝึกซ้อมกีฬา แต่ละคร้ัง หากว่าผู้ฝึกสอนได้เล็งเห็นความสาคัญเหล่านี้ แล้วนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์จะเป็นพ้ืนฐานใน การฝึกซ้อมกีฬาท่ีดี และยังสามารถที่จะสร้างแรงจูงใจในระดับสูงขึ้นไปได้อีกด้วยในการคัดเลือกตัวนักกีฬา เพือ่ ให้ได้ตวั นกั กฬี าตามลักษณะและคณุ สมบัติของการเป็นตวั นกั กฬี าที่แท้จรงิ น้นั คาถามทา้ ยบทที่ 6 หลังจากได้ศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอาศัยหลักวิชาการและ ความคดิ เหน็ ของนกั ศกึ ษาประกอบในการตอบคาถาม 1. จงอธบิ ายถึงความหมายของแรงจูงใจทางการกีฬา 2. จงระบถุ งึ ความสาคญั ของแรงจงู ใจ 3. จงอธิบายถงึ ทฤษฎแี รงจงู ใจทางการกีฬา 4. จงระบถุ ึงประเภทของแรงจงู ใจและองค์ประกอบท่มี ีผลต่อแรงจงู ใจ 5. จงอธิบายถงึ ความสมั พนั ธข์ องแรงจงู ใจกับความสาเร็จในการแขง่ ขันกีฬา

124 เอกสารอา้ งอิง ชาญชยั โพธคิ์ ลัง. 2532. หลกั พื้นฐานทางวิทยาศาสตรใ์ นการฝกึ กีฬา. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์. เทเวศร์ พิริยะพฤนท์. 2529. หลกั การฝึกกีฬาวา่ ยนา้ . กรุงเทพฯ : สยามบรรณาการพิมพ์. นฤพนธ์ วงศจ์ ตุรภัทร และศรุตี ศรีจันทวงศ์. 2550. การศึกษาการระบุสาเหตุจากผลการแขง่ ขันของนักกีฬา ทเ่ี ขา้ รว่ มการแขง่ ขันกีฬาเอเช่ียนอินดอร์เกมส์ ครง้ั ที่ 1 ณ ประเทศไทย. กองวจิ ยั และพัฒนา ฝา่ ยวิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแหง่ ประเทศไทย. พงษ์พนั ธ์ พงษโ์ สภา. 2542. จติ วทิ ยาการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศึกษา. พนมไพร ไชยยงค์. 2542. เอกสารประกอบการสอนวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว. สพุ รรณบรุ ี : วิทยาลัยพลศกึ ษาจังหวดั สพุ รรณบรุ ี. พิชิต เมืองนาโพธ์ิ. 2534. เอกสารประกอบการสอน พล 437 จติ วทิ ยาการกีฬา. กรงุ เทพฯ : ภาควชิ า พลศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. มุกดา ศรยี งค์. 2540. จติ วทิ ยาท่วั ไป. กรุงเทพฯ: ภาควิชาจติ วิทยา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย รามคาแหง. โยธนิ ศนั สนยุทธ. 2531. เอกสารคา้ สอนจิตรวทิ ยา. กรุงเทพฯ : คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ลักขณา สรวิ ฒั น.์ 2530. จิตวทิ ยาเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์. วรศักด์ิ เพยี รชอบ. 2534. บทบาทของจิตวทิ ยาการกีฬาที่มตี อ่ การสอนและพลศกึ ษา. วารสารจติ วิทยา การกีฬา. สชุ า จันทนห์ อม. 2527. จติ วทิ ยาทั่วไป. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สชุ าดา สุธรรมรกั ษ.์ 2531. เอกสารประกอบการสอนวิชา จต 101 จติ วทิ ยาเบอื้ งตน้ . ภาควชิ าการแนะแนว และจิตวิทยาการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. สืบสาย บญุ วรี บตุ ร. (2541). จติ วิทยาการกีฬา. ชลบรุ ี : ชลบรุ ีการพิมพ์. อร่าม ตัง้ ใจ. 2539. จิตวทิ ยาการกีฬา (แรงจูงใจ), การฝึกสมรรถภาพทางกาย. กรงุ เทพฯ : ไทยมติ ร การพิมพ์. อารยี ์ พนั ธุ์มณี. 2534. จติ วิทยาการสอน. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ต้นอ้อจากดั . อบรม สนิ ภบิ าล. (ม.ป.ป). รวมทฤษฎจี ิตวิทยา. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์. Gluecx, W.F. 1982. Personal : A Diagnostic Approach. Hilgard, Ernest R. 1962. Introduction to Psychology. New York : Hart Court, Brace World Inc. Maslow, Abraham H. 1970. Motivation and Personality. 2nd ed. New York: Harper & Row. Weinberg, R.S. & Gould, D. 2011. Foundations of sport and exercise psychology. 5th ed. Illinois. Human Kinetics.

125 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7 ความเช่ือมั่นทางการกฬี า (Sport Confidence) หัวข้อเนือ้ หา 1. ความหมายของความเชอ่ื มนั่ ทางการกีฬา 2. ประโยชนข์ องความเช่ือมัน่ ในตนเอง 3. ประเภทของความเชือ่ มนั่ ทางการกฬี า 4. ทฤษฎคี วามเชอื่ มนั่ ทางการกฬี า 5. แหลง่ ความเชอื่ ม่ันทางการกีฬา 6. ทฤษฎีความเชอื่ มั่นในความสามารถของตนเอง วัตถปุ ระสงค์ท่ัวไป 1. เพื่อใหน้ กั ศกึ ษาทราบถึงความหมายของความเชอ่ื ม่ันทางการกฬี า 2. เพอื่ ใหน้ ักศกึ ษาทราบถงึ ประเภทของความเช่ือม่นั ทางการกฬี า 3. เพื่อให้นักศกึ ษาทราบถึงทฤษฎีความเชอ่ื มั่นทางการกฬี า 4. เพ่ือใหน้ ักศกึ ษาทราบถงึ แหล่งความเช่ือม่ันทางการกีฬา 5. เพ่ือใหน้ ักศกึ ษาทราบถงึ ทฤษฎคี วามเชอ่ื ม่นั ในความสามารถของตนเอง 6. เพอ่ื ให้นักศกึ ษาทราบถงึ วิธกี ารสรา้ งความเช่ือม่ันในตนเอง วตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. นักศึกษาสามารถระบคุ วามหมายของความเช่ือม่นั ทางการกฬี า 2. นกั ศกึ ษาสามารถระบุประเภทของความเชื่อม่นั ทางการกฬี า 3. นักศกึ ษาสามารถอธบิ ายทฤษฎคี วามเชื่อมนั่ ทางการกฬี า 4. นกั ศึกษาสามารถอธิบายแหล่งความเชอื่ มัน่ ทางการกีฬา 5. นกั ศึกษาสามารถอธบิ ายทฤษฎคี วามเช่อื มน่ั ในความสามารถของตนเอง 6. นักศกึ ษาสามารถระบวุ ธิ กี ารสร้างความเชอื่ ม่นั ในตนเอง กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. ให้นกั ศึกษาดคู ลปิ วดี ีทัศน์ท่เี ก่ียวข้องกับบุคคลทมี่ คี วามเช่อื มั่นทางการกฬี า 2. อธิบายความหมาย ความสาคัญ เน้อื หาความรูเ้ กีย่ วกบั ความเช่ือมน่ั ทางการกีฬา 3. ใหน้ กั ศึกษาได้แสดงความคดิ เหน็ ซักถามปญั หา ข้อสงสัย 4. อาจารยอ์ ธิบาย ตอบคาถาม และสรปุ เนื้อหาเกีย่ วกบั ความเชื่อมั่นทางการกีฬา 5. ศึกษาจากเอกสารต่างๆ เพม่ิ เติม 6. ตอบคาถามทา้ ยบท

126 สอ่ื การสอน 1. คลิปวีดที ัศนเ์ กยี่ วกับความเชอ่ื มั่นทางการกีฬา 2. เอกสารการสอนจิตวทิ ยาการกฬี าและการออกกาลงั กาย บทท่ี 7 ความเชือ่ มั่นทางการกีฬา 3. ภาพประกอบจากเอกสารการสอนจิตวิทยาการกีฬาและการออกกาลังกายบทที่ 7 การวัดและการประเมนิ ผล 1. สงั เกตการสนใจ ความต้งั ใจ 2. พจิ ารณาจากการอภปิ ราย ถาม-ตอบ เสนอความคดิ เห็น 3. ให้นกั ศกึ ษาแสดงความคิดเห็น เสนอแนะฯ 4. พิจารณาจากงาน ความรับผิดชอบ 5. การตอบคาถามท้ายบท

127 บทท่ี 7 ความเช่อื มั่นทางการกีฬา (Sport Confidence) ความเชื่อม่ันทางการกีฬาเป็นส่ิงที่มีความสาคัญในการทาให้นักกีฬาประสบความสาเร็จสูงสุด หากนกั กฬี ามีความเช่อื มนั่ ในตนเองอย่างเหมาะสมจะทาให้การแสดงความสามารถทางการกีฬาออกมาดี ความหมายของความเชือ่ มน่ั ทางการกีฬา ความเช่ือมั่นทางการกีฬา เป็นลักษณะความม่ันใจในตนเองเป็นความเชื่อท่ีมีอยู่ในตนเอง (Belief) และเป็นความแน่ใจในตนเองโดยปราศจากความคับข้องใจต่างๆ หรือเป็นลักษณะความเช่ือในความสามารถ ของตนเองท่จี ะประสบความสาเรจ็ ทางการกีฬา นักจิตวิทยาและนักการศึกษาท้ังในประเทศและต่างประเทศได้ให้ความหมายของความเช่ือม่ันใน ตนเองเอาไวต้ ่างกัน ดังต่อไปนี้ สมาคมการศึกษาเกี่ยวกับเด็กแห่งสหรัฐอเมริกา (Child Study Association of America) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า ความเชื่อมั่นในตนเองจะเกิดข้ึนกับบุคคลท่ีสาเร็จ ในการกระทาสิ่งต่างๆ เสมอๆ เมื่อบุคคล มีความเช่อื มน่ั ในตนเอง เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกข่มขู่จากผู้อ่ืน อันเป็นผลทาให้ความยุ่งยากใจต่างๆ ลดลงไป ทาใหม้ คี วามสามารถทจี่ ะกระทาสงิ่ ต่างๆ ให้ไดผ้ ลดีย่ิงขึน้ มาสโลว์ (Maslow, 1954) ได้กล่าวว่า ทุกคนในสังคมมีความปรารถนาท่ีจะได้รับ ความสาเร็จ ความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-Esteem) และต้องการให้คนอื่นยอมรับนับถือใน ความสาเร็จของตนเองด้วย ถ้าความต้องการนี้ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอจะทาให้บุคคลนั้นมี ความเชื่อม่ันในตนเองสูง รู้สึกว่า ตนเองมีค่า มีประโยชนต่อสังคม แต่ถ้าความต้องการน้ีถูกขัดขวาง ทา ให้เกิดความรู้สึกว่ามีปมด้อยหรือ เสยี ความภาคภมู ิใจในตนเองได้ อิทธิพลของครอบครัวและสังคมมีผล ต่อจิตใจของเด็ก การได้รับการยอมรับจากสังคมและครอบครัว จะเป็นสาเหตุสาคัญอย่างหนึ่งที่ทาให้ บุคคลนั้นสามารถท่ีจะพัฒนาความคิดเรื่อง การนับถือตนเอง และ ความเช่ือม่ันในตนเองบุคคลที่มีความเช่ือมั่นในตนเองจะมีความสามารถในการควบคุมตนเอง มีความ รับผิดชอบ และสามารถแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย สาเหตุสาคัญอีกประการหนึ่งท่ีทาให้ เดก็ เกิดความเชอ่ื ม่ันในตนเอง ได้แก่ การฝึกฝนเพิ่มเติมเป็นพิเศษอยู่เสมอๆ จนมีทักษะและมีความสามารถสูง ในที่สุดจะทาให้เกิดความเชื่อม่ันในตนเองขึ้น นอกจากนี้ความเชื่อม่ันในตนเองยังข้ึนอยู่กับระดับอายุ ระดับ พัฒนาการ และกลุ่มที่เด็กร่วมเล่นหรือร่วมทางานตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ ที่กาลังเผชิญอยู่ บุคคลที่ขาด ความเช่ือม่ันในตนเอง คือบุคคลที่ไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ ไม่กระปรี้กระเปร่า ในการกระทา สิ่งต่างๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั ตนเอง ความเชือ่ ม่นั ในตนเองวา่ หมายถึง การพึงพอใจในตนเอง ความภูมใิ จในตนเองหรือ การยอมรับตนเอง ความเช่อื มนั่ ในตนเองจะมมี ากนอ้ ยเพยี งใดน้ันสามารถพิจารณาไดจ้ ากความขัดแย้งท่เี กดิ ขึ้นมาก จะเป็นสาเหตุ ใหร้ สู้ กึ วา่ ตนเองไม่มคี า่ ไมเ่ หมาะสมและไม่พงึ พอใจในตนเอง บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง คือบุคคลท่ีไม่ยอมจานนต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงโดยส้ินเชิงทีเดียวต่างกับคน ท่ีเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง คือมีความขลาดกลัว และไม่แน่ใจในตนเอง ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปในทางนึก วาดภาพเอาเองในส่ิงที่ตนต้องการหรือปรารถนา ไม่ทาตามลาดับขั้นของความเป็นจริง เนื่องจากเกิด ความหวาดกลัว หว่ันวิตกจน กลายเป็นคนทาอะไรไม่เป็นเลย อาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยท่ีสาคัญท่ีทาให้คนเรา

128 ขาดความเชื่อมั่นในตนเองคือ ขาดความรู้ ขาดความกล้าหาญในทางท่ีชอบธรรม และมีความเกียจคร้าน นอกจากนยี้ ังอาจเน่ืองมาจากความเชอ่ื ท่ีฝังลึกอยู่ในจติ ใจหรอื บางทกี เ็ ปน็ ผลจากความล้มเหลวในอดีต คนท่ีมีความเชื่อม่ันในตนเอง หมายถึง คนท่ียอมรับ สภาพการณ์ใหม่ๆ ท่ีตนประสบโดยปราศจาก ความกลัวความล้มเหลวจะเป็นบุคคลท่ีมีความกล้าที่จะเผชิญต่อสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความม่ันใจ ว่า สภาพการณ์น้ันๆ จะไม่ทาให้เขาได้รับความเดือดร้อน ไม่สบายใจ บุคคลใดก็ตามที่กระทาตาม ความต้องการ หรือคุณธรรมที่สังคมวางไว้นั้นย่อมสบายใจมีความเช่ือม่ันในตนเองว่าส่ิงท่ีตนกระทาไปน้ัน เปน็ สงิ่ ที่ดีงาม ความเชื่อมั่นในตนเองนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ดังที่ วีลีย์ (Vealey) กล่าวไว้ว่า ความเชื่อม่ันในตัวเองนี้ทั้งที่เป็นนิสัย คือความเช่ือมั่นในตัวเอง ทั่วไปตามปกติ กับความเชื่อมั่นในตัวเอง เฉพาะกาล หรือสถานการณ์ ซ่ึงจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตาม ความเป็นไปของสถานการณ์ ท่ีกาลังเผชิญหน้าอยู่ ในเวลานนั้ ประโยชน์ของความเชอ่ื ม่ันในตนเอง 1. ความเชือ่ มน่ั ในตนเองจะกระตุน้ ให้เกิดอารมณ์ทางบวก นกั กฬี าจะสามารถรักษาระดับความสงบ และสามารถผ่อนคลายตนเองภายใต้สถานการณ์กดดันได้มากข้ึน สภาวะของร่างกายและจิตใจจะกระตุ้นให้ เกิดการตัดสินใจซึ่งจะส่งผลให้นักกีฬามีจิตใจหนักแน่น ม่ันใจ แม้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ก็ตาม 2. ความเชื่อม่ันในตนเองทาให้เกิดสมาธิ เม่ือนักกีฬามีความเช่ือมั่นในตนเอง จิตใจของนักกีฬาจะ จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตนเองกาลังทาเพียงอย่างเดียวตรงข้ามกับนักกีฬาที่ขาดความเช่ือมั่นในตนเองจะพะวงอยู่กับ ความคิดว่าจะทาดีหรือไม่หรือทาแล้วผลจะเป็นอย่างไร หรือพะวงกับคนอ่ืนว่าจะคิดกับตนเองอย่างไร ซ่ึงการ หมกมุ่นอยู่กับการหลีกเล่ียงความพ่ายแพ้จะเป็นตัวทาลายสมาธิและความตั้งใจจนทาให้นักกีฬามีจิตใจว้าวุ่น และทาให้เกิดอาการกระสับกระส่ายความเชอ่ื มน่ั ทางการกีฬา 3. ความเช่ือม่ันในตนเองมีผลกระทบโดยตรงต่อการกาหนดเป้าหมาย นักกีฬาที่มีความเช่ือม่ันใน ตนเองจะกาหนดเปา้ หมายที่มีความทา้ ทายและลงมือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งการมีความเช่ือมั่นในตนเอง จะเป็นสิ่งท่ีทาให้นักกีฬากล้าท่ีจะเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเต็มศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ แต่หากนักกีฬาไม่มี ความเช่ือม่ันในตนเองมักจะกาหนดเป้าหมายง่ายๆ เพื่อให้สามารถทาได้แน่นอน โดยไม่มีความท้าทาย ขาดความกล้าที่จะแสดงความสามารถในการแข่งขันอย่างเต็มศักยภาพของตนเองและไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา ความสามารถที่ต้องการจะใหด้ ีข้นึ ในอนาคตด้วย 4. ความเชื่อมั่นในตนเองมีผลต่อการเพิ่มความพยายาม นักกีฬาท่ีมีความเช่ือม่ันในตนเองจะมี ความอดทนและความพยายามในการกระทาตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ เม่ือนักกีฬามีความสามารถเท่ากันผู้ที่ ชนะในการแข่งขัน คือ ผู้ที่มีความเช่ือม่ันในตนเอง โดยเฉพาะกีฬาท่ีต้องใช้ความต่อเนื่องในการเล่น เช่น ว่ิง มาราธอน เทนนิส หรือแม้กระท่ังช่วงการฟ้ืนฟูการบาดเจ็บ นักกีฬาที่มีความเชื่อม่ันในตนเองว่าจะหายจาก อาการบาดเจบ็ และกลับไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิมจะกลับคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่านักกีฬาท่ีไม่มีความเช่ือม่ัน ในตนเอง 5. ความเชื่อมั่นในตนเองมีผลต่อการใช้กลยุทธ์ในการแข่งขัน นักกีฬาท่ีมีความเช่ือมั่นในตนเองจะ กล้าเส่ยี ง กล้าเล่น มากกวา่ นกั กฬี าทีไ่ ม่มีความเช่ือม่ันในตนเอง เพราะนักกีฬาท่ีมีความเช่ือมั่นในตนเองจะเล่น เพื่อชนะจึงไม่กลัวท่ีจะสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ดังน้ันจึงสามารถควบคุมการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบ

129 ตลอดเวลาแต่นักกีฬาท่ีไม่มีความเชื่อม่ันในตนเองจะเล่นไม่ให้แพ้จึงพยายามเล่นให้ผิดพลาดน้อยที่สุด ดังนั้น พฤตกิ รรมการแสดงความสามารถทางการกฬี าจึงแตกตา่ งกนั 6. ความเชื่อม่ันในตนเองท่ีมีผลต่อโมเมนตัมในการแข่งขัน โมเมนตัมในการแข่งขันกีฬาเป็น ตัวกาหนดการแพ้หรือชนะในการแข่งขันได้ ขึ้นอยู่กับว่าในเหตุการณ์นั้นนักกีฬาจะทาให้ตนเองมีโมเมนตัม ทางบวกหรือทางลบ หากนักกีฬาสามารถดึงโมเมนตัมทางบวกไว้กับตนเองได้ โอกาสที่จะได้รับชัยชนะใน การแข่งขนั ยอ่ มมสี ูง เม่ือนกั กีฬามคี วามเชื่อมน่ั ในตนเองจะมีเจตคติท่ีไม่ยอมแพ้ต่อสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนจะมอง อปุ สรรคต่างๆ เป็นความท้าทาย และมีความมุ่งม่ันในการตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นๆ อย่างมีสติ ตรงกันข้าม กับนักกีฬาท่ีไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะมองอุปสรรคเป็นปัญหาท่ีแก้ไขไม่ได้และยังนาปัญหาน้ันมาสร้าง ความเครยี ดใหก้ ับตนเองอกี ด้วย ประเภทของความเช่ือมั่นทางการกีฬา 1. ความเช่ือม่ันทางการกีฬาตามลักษณะนิสัย หมายถึง ระดับความเชื่อมั่นท่ีมีอยู่ในแต่ละบุคคล ตามปกตทิ ่ัวไปทเี่ กีย่ วกับความสามารถในการประสบความสาเรจ็ ทางการกฬี า 2. ความเช่ือมั่นทางการกีฬาตามสถานการณ์ หมายถึง ระดับความเชื่อม่ันที่มีอยู่ในบางช่วงเวลา เกย่ี วกบั ความสามารถในการประสบความสาเร็จทางการกฬี า ทฤษฎคี วามเชื่อมน่ั ทางการกฬี า ความเช่ือม่ันทางการกีฬาเป็นส่ิงสาคัญและมีผลต่อการแสดงความสามารถของนักกีฬา ท้ังในขณะ ฝกึ ซอ้ มและขณะแข่งขัน เนื่องจากความเช่ือม่ันมีบทบาทต่อกระบวนการทางความคิด ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเกิด แรงจูงใจและมีผลกระทบต่อความสามารถทางการกีฬา ทฤษฎีความเชื่อมั่น ทางการกีฬามีจุดเร่ิมต้นจาก ทฤษฎีความเช่ือม่ันเฉพาะอย่าง และทฤษฎีความวิตกกังวลตามสถานการณ์แบบหลายมิติซึ่งท้ายที่สุดได้มี การศึกษาและสร้างกรอบทฤษฎีความเชื่อมั่นทางการกีฬาอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งสามารถอธิบาย ได้ว่าหากนกั กฬี ามีระดบั ความเชื่อมนั่ ทางการกฬี าทเ่ี หมาะสมจะส่งผลตอ่ ความสามารถทางการกฬี าสงู สุด การมีความเชื่อม่ันทางการกีฬาท่ีดี ประกอบด้วย ปัจจัยที่มาจากภายนอกซ่ึงนักกีฬา ไม่สามารถ ควบคุมได้และปัจจัยจากภายในตัวนักกีฬาเอง ปัจจัยภายนอกอาจเป็นสิ่งท่ีควบคุมได้ยาก แต่ปัจจัยภายใน ถือเปน็ ส่ิงจาเป็นและมีความสาคัญที่นักกีฬาต้องสร้างและควบคุมให้ได้ การท่ีนักกีฬาหรือผู้ฝึกสอนไม่ทราบว่า อะไรคือแหล่งที่มาของความเช่ือมั่นทางการกีฬาจึงเป็นเหตุให้การช่วยเหลือและสนับสนุนให้นักกีฬามี ความเชื่อมนั่ ทางการกฬี าไม่สัมฤทธผิ์ ลเท่าทค่ี วร

130 ภาพที่ 7.1 รูปแบบของความเชอื่ มั่นทางการกีฬา ท่มี า: Morris and Summers (2004) แหลง่ ความเช่ือมั่นทางการกีฬา จากผลการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างนักกีฬาต่างประเทศ พบว่าแหล่งความเชื่อมั่นทางการกีฬา ประกอบดว้ ย 3 ดา้ น จานวน 9 องค์ประกอบ (Vealey et al., 1998) ดังนี้คอื 1. ด้านความสาเร็จในงานที่กระทา หมายถึง ความเช่ือม่ันในทักษะหรือความชานาญของตนเอง สามารถเปน็ ได้ทั้งความสามารถหรือความเชี่ยวชาญในการพัฒนาความสามารถของตนเอง หรือความสามารถ จากการได้รบั ชยั ชนะจากการแขง่ ขัน ประกอบดว้ ย 1.1 ความเชีย่ วชาญทางทกั ษะกฬี า หมายถงึ การกระทาหรือการปฏิบัติทักษะต่างๆ จนเกิด ความชานาญและสามารถพฒั นาความสามารถของตนเองทมี่ ีอยูใ่ ห้ดยี ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป (การเปรยี บเทียบกับตนเอง) 1.2 การแสดงความสามารถ หมายถึง การที่นักกีฬาได้แสดงศักยภาพท่ีตนเองมีอยู่ให้ผู้อ่ืน ไดร้ ับรู้และเห็นว่าตนเองมีความสามารถเหนือผู้อ่ืน หรือแสดงให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถจัดอยู่ในกลุ่มที่มี ความสามารถสูง (การเปรียบเทยี บกับคนอน่ื ) 2. ด้านการกากับตนเอง หมายถงึ กระบวนการที่นักกีฬาเป็นผู้เลือกเป้าหมายตลอดจนวิธีดาเนินการ ทง้ั หมดเพอ่ื ทจ่ี ะบรรลเุ ป้าหมายนั้น ประกอบดว้ ย 2.1 การเตรยี มความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ หมายถึง การท่ีนักกีฬามีการเตรียมตัวให้ พร้อมสาหรับการแข่งขัน ทั้งด้านร่างกายท่ีต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเหมาะสมกับชนิดกีฬา และจิตใจที่เข้มแข็ง ม่งุ มน่ั พร้อมจะตอ่ สู้กับสถานการณ์ที่ตอ้ งเผชิญ 2.2 การนาเสนอตนเองทางร่างกาย หมายถึง การรับรู้และมีความพึงพอใจต่อร่างกาย ตนเอง เป็นส่ิงที่เก่ียวข้องกับการรับรู้ภาพลักษณ์ทางร่างกาย เช่น รู้สึกว่ารูปร่างตนเองดูดี มีความม่ันใจใน รูปรา่ งทสี่ มสว่ น สวยงาม เป็นต้น 3. ด้านวัฒนธรรมสังคม เป็นการมุ่งเน้นท่ีกระบวนการทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งท่ีมีอยู่ในธรรมชาติและมี สว่ นเกี่ยวขอ้ งกับสถานการณค์ วามสาเร็จทางการกีฬาเปน็ ลักษณะการให้ข้อมูลย้อนกลับทางบวกและการได้รับ

131 การสนับสนุนจากผู้ฝึกสอนเพื่อนร่วมทีม และพ่อแม่ โดยจะเป็นประโยชน์อย่างมากในกระบวนการรับรู้ของ นักกีฬาโดยเฉพาะอย่างย่ิงในนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจะมีความเครียดสูง ซึ่งต้องการกาลังใจและความเข้าใจ จากบุคคลรอบข้าง เพือ่ ช่วยลดความเครยี ดที่มีต่ออาการบาดเจ็บของตนเองและช่วยสร้างแรงจูงใจในการฟื้นฟู การบาดเจบ็ ให้กลับสูส่ ภาวะปกติไดเ้ ร็วขน้ึ 3.1 การสนับสนุนจากสังคม หมายถึง การท่ีนักกีฬารับรู้ได้จากสิ่งหน่ึงสิ่งใดที่มีความสาคัญและเป็น แหล่งของความเชื่อม่ันได้ เช่น การที่นักกีฬาได้รับข้อมูลย้อนกลับทางบวกจากบุคคลรอบข้าง เช่น พ่อแม่ ผู้ฝึกสอน เพ่ือนร่วมทีม โดยเฉพาะนักกีฬาวัยรุ่น การสนับสนุนจากสังคมจะมีความสาคัญมากต่อการประสบ ความสาเร็จทางการกฬี า 3.2 ความเป็นผู้นาของผู้ฝึกสอน เป็นการเน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกสอนกับนักกีฬา ในท่ีน้ี ความเป็นผู้นาของผู้ฝึกสอน หมายถึง ความเช่ือม่ันของนักกีฬาท่ีมีต่อผู้ฝึกสอนของตนเองในด้านความรู้ ความสามารถ ภาวะความเปน็ ผ้นู า และการตดั สนิ ใจท่ีดี 3.3 การมปี ระสบการณ์ผ่านผอู้ ่ืน หมายถึง การไดเ้ ห็นผอู้ ืน่ แสดงความสามารถจนประสบความสาเร็จ เช่น เพ่ือนร่วมทีมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างดี จึงมีความเชื่อมั่นว่าตนเองน่าจะมีศักยภาพได้ เชน่ เดยี วกับเพือ่ น 3.4 การได้รับความสะดวกสบายจากสภาพแวดล้อม หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยให้ นักกฬี าสามารถทาการแขง่ ขันได้อย่างสะดวกสบาย เช่น สภาพของสนามมีความพรอ้ มสาหรับการแขง่ ขัน 3.5 ความพึงพอใจต่อสถานการณ์ หมายถึง เหตุการณ์ท่ีทาให้นักกีฬาพึงพอใจ เช่น รับรู้ว่าทุกอย่าง ได้วางแผนมาอย่างดี และไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นสาหรับประเทศไทย สุพัชรินทร์ และ นฤพนธ์ (2551) พบว่า แหล่งความเชื่อมั่นทางการกีฬาของนักกีฬาระดับอุดมศึกษาไทย ประกอบด้วย 3 ด้าน จานวน 11 องค์ประกอบ ดงั น้ี 1. ด้านความสาเร็จในงานที่กระทา ประกอบด้วย ความเชี่ยวชาญทางทักษะกีฬาและการแสดง ความสามารถ 2. ด้านการกากับตนเอง ประกอบด้วย การนาเสนอตนเองทางร่างกายการเตรียมพร้อมด้านร่างกาย และจิตใจ และการบาดเจ็บของตนเอง 3. ด้านวัฒนธรรมสังคม ประกอบด้วย การสนับสนุนจากสังคม ความเป็นผู้นาของผู้ฝึกสอน การมี ประสบการณ์ผ่านผู้อื่น การได้รับความสะดวกสบายจากสภาพแวดล้อมความพึงพอใจต่อสถานการณ์ และ อุปกรณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับการแข่งขันผู้ฝึกสอนกีฬาของมหาวิทยาลัยอินเดียนา กล่าวถึงการสร้างความเชื่อมั่น ทางการกีฬาโดยผ่านกระบวนการจูงใจว่าสิ่งที่ต้องคานึง คือ ความแตกต่างระหว่างบุคคล สภาพแวดล้อม (คนดู กองเชียร์ เสียงดนตรี) อุปกรณ์ สนามท่ีใช้ในการฝึกซ้อมหรือแข่งขัน และลักษณะของผู้ฝึกสอน (บุคลิกภาพ สภาพอารมณ์ ความรู้สึก กิริยาท่าทางกฎเกณฑ์ ความสามารถในการเป็นผู้นา การเผชิญความ กดดันและความเครียดต่างๆ) (Billingsley, 2007) จากการศกึ ษาวิจยั ท่ผี า่ นมาพบวา่ เพศ ชนิดกีฬา และระดับ การแข่งขัน มีความสัมพันธ์กับแหล่งความเช่ือมั่นทางการกีฬาท่ีแตกต่างกันออกไป (Huang, et al., 2004) ดงั นคี้ อื 1. เพศชายจะรับรู้ถึงการสนับสนุนจากสังคม การรับรู้ถึงเทคนิควิธีการการเล่นและมีประสบการณ์ ในการเหน็ ผอู้ ื่นประสบความความสาเร็จมากกวา่ เพศหญงิ 2. นักกฬี าระดบั ดีเยีย่ มใหค้ วามสาคัญกบั การเตรียมความพร้อมดา้ นรา่ งกายและจิตใจมากกว่านักกีฬา ท่ไี ม่ใช่ระดับดเี ยย่ี ม

132 3. นักกีฬาที่ไม่ใช่ระดับดีเยี่ยมให้ความสาคัญกับภาวะความเป็นผู้นาของผู้ฝึกสอนมากกว่านักกีฬา ระดบั ดีเยี่ยม 4. นักกีฬาประเภทบุคคลให้ความสาคัญกับการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจการนาเสนอ ตนเองทางรา่ งกาย และการเหน็ ผู้อื่นประสบความสาเรจ็ มากกวา่ นกั กีฬาประเภททมี 5. นักกีฬาประเภททีมให้ความสาคัญกับการเห็นผู้อื่นประสบความสาเร็จและการได้รับการสนับสนุน จากสังคมมากกว่านักกีฬาประเภทบุคคลนอกจากจะมีการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักกีฬาแล้ว ยังพบว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษากับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของประเทศสิงคโปร์ท่ีมีอายุและชนิดกีฬาต่างกัน จะมีผลต่อแหล่งความเชื่อมั่นทางการกีฬาแตกต่างกันด้วย คือ นักกีฬาระดับมัธยมศึกษามีแหล่งความเชื่อม่ัน ทางการกีฬา ประกอบด้วย ความเชี่ยวชาญทางทักษะกีฬา การเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ และ ภาวะความเป็นผู้นาของผู้ฝึกสอนมากกว่านักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และนักกีฬาประเภททีมต้องการได้รับ การสนับสนุนจากสังคมมากกว่านักกีฬาประเภทบุคคล (Poh & Smith, 2001) จากตัวอย่างการศึกษา ท่ผี ่านมา ทาให้ทราบว่าข้อมูลพ้ืนฐานของแต่ละบุคคล เช่น อายุ เพศ ระดับการแข่งขัน และวัฒนธรรมองค์กร ท่แี ตกตา่ งกนั ยอ่ มสง่ ผลต่อบคุ ลิกภาพ ความมคี ณุ ค่าในตนเอง และเจตคติที่แตกต่างกัน นอกจากน้ันยังมีผลต่อ ความรูส้ กึ ทางลบต่อการปฏิบัติกจิ กรรมนน้ั ๆ ดว้ ย ดังนน้ั ปจั จยั ดา้ น เพศ อายุ และระดับการแข่งกัน จึงมีผลต่อ การรบั ร้แู หล่งความเช่ือมนั่ ทางการกฬี า ปจั จยั ด้านวฒั นธรรมสงั คม ปัจจัยด้านวัฒนธรรมสังคม ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของแหล่งความเชื่อม่ันทางการกีฬานั้น หมายถึง ทุกสิ่ง ทกุ อยา่ งที่มนุษย์ในสังคมมีอยู่และสร้างขึ้นเพ่ือสนองความต้องการท้ังด้านร่างกายและจิตใจ โดยมีบรรทัดฐาน ของสังคมควบคุมเพ่ือให้เกิดความสงบสุขและเรียบร้อย ในบริบททางการกีฬาก็เช่นเดียวกันนักกีฬาย่อม แสวงหาสิ่งที่จะตอบสนองความต้องการของตนเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจเ พ่ือให้ประสบความสาเร็จ ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยต้องอยู่ในกรอบของกฎกติกาที่แต่ละชนิดกีฬากาหนดขึ้น ดังน้ันในการแข่งขันกีฬา ไม่ว่าจะระดบั การแขง่ ขันใด กีฬาประเภทใดจะมีความเป็นลักษณะเฉพาะตัว มีแบบแผนเชิงพฤติกรรมที่บุคคล ใชร้ ว่ มกัน เพ่ือบ่งบอกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกหล่อหลอมมาเป็นลักษณะเฉพาะตัว ของนกั กฬี าแต่ละบุคคลหรือเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ เช่น การเห็นคุณค่าในตนเองเจตคติ ซ่ึงนาไปสู่การมี ความเชอื่ มน่ั ทางการกฬี าได้ ทฤษฎคี วามเชื่อม่นั ในความสามารถของตนเอง ทฤษฎีความเช่ือม่ันในความสามารถของตนเองของแบนดูรา พัฒนาขึ้นมาจาก ทฤษฎีปัญญา สังคม (Social Cognitive Therory) ที่มีทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social learning Theory) เป็นพ้ืนฐาน ในระยะแรกนั้น แบนดูรา ได้เสนอความคิดความคาดหวัง ในความสามารถของตน (Efficacy Expectation) โดยให้ความหมายว่า เป็นความคาดหวังเก่ียวกับ ความสามารถของตนเองในลักษณะท่ีเฉพาะเจาะจงและ ความคาดหวังน้ีเองเป็นตัวกาหนดการแสดงออกของพฤติกรรม (Bandura, 1977) ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 แบนดูรา ใช้คาว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Perceived Self-Efficacy) โดยให้คาจากัดความว่า เป็นการตัดสินของบุคคลเก่ียวกับความสามารถของตนเอง ท่ี จะจัดการและดาเนินการกระทาพฤติกรรมให้ บรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ (Bandura, 1986) และ ในระยะหลัง แบนดูรา นาเสนอคาว่าความเช่ือใน ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) ซึ่งเป็น ความเช่ือเก่ียวกับความสามารถของตนเองของบุคคลในการ จัดการและบริหารพฤตกิ รรมใน สถานการณท์ เ่ี ขาเผชิญอยู่

133 ทฤษฎคี วามเชื่อมนั่ ในความสามารถของตนเอง แบนดูราเช่ือว่าการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของคนเรานั้น เป็นผลมาจากปัจจัย 3 ประการ ด้วยกัน ได้แก่ องค์ประกอบส่วนบุคคล พฤติกรรม และอิทธิพลของสิ่งแวดลอ้ ม (Bandura, 1986) พฤติกรรม ปญั ญา และองคป์ ระกอบสว่ นบคุ คล และ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ต่างก็เป็นตัวกาหนดที่มี อิทธิพลซึ่งกันและกันในเชิงเหตุและผลนั่น หมายความว่าถ้าองค์ประกอบใดเปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลให้ องคป์ ระกอบอนื่ ๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แบนดูราเชื่อว่า บุคคลสองคนแม้จะมีความสามารถไม่ต่างกันแต่แสดงออกในคุณภาพท่ีต่างกันได้ หากคนสองคนนี้ มีความเชื่อในความสามารถของตนเองแตกต่างกัน หรือแม้แต่ในบุคคล เดียวกัน ก็อาจมี ความเชื่อในความสามารถของตนเองแตกต่างกันได้ หากสถานการณ์น้ันแตกต่างกัน ก็ทาให้บุคคลนั้นแสดง พฤติกรรมที่ต่างจากสถานการณ์เดิมได้ แบนดูรายังได้ให้ความเห็นว่าความสามารถของบุคคลไม่ตายตัวแต่ ยดื หยุน่ ได้ตามสถานการณ์ ดังน้นั สิ่งทีจ่ ะเปน็ ตวั กาหนดประสทิ ธิภาพของการแสดงออก จึงข้ึนอยู่กับความเช่ือ ในความสามารถของตนเองในสถานภาพการณ์ นั้นๆ (สมโภชน์ เอยี่ มสุภาษิต, 2536) การทบี่ คุ คลตัดสินใจวา่ จะกระทาพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่น้ัน ส่วนหน่ึงข้ึนอยู่กับ ความเชื่อ ในความสามารถของตนเอง และอีกส่วนหน่ึงขึ้นอยู่กับของตนเอง และอีกส่วนหนึ่งข้ึนอยู่กับ ความคาดหวังใน ผลท่ีจะเกดิ ข้นึ ตวั แปรท่สี าคัญในการตัดสินพฤติกรรมของบุคคล จึงเป็นความเชื่อใน ความสามารถของตนเอง มากกวา่ ความคาดหวงั ในผลทเ่ี กิดข้ึน ความเชื่อมั่นในความสามารถขอตนเอง เป็นการตัดสิน ความสามารถของตนเองว่าสามารถทางานได้ ระดับใด ในขณะท่ีความคาดหวังเก่ียวกับผลท่ีเกิดข้ึนน้ัน เป็นการตัดสินว่าสิ่งใด จะเกิดข้ึนจากการกระทา พฤติกรรมดังกลา่ ว วิลาสลักษณ์ ชัววาลี (2538) กล่าวว่า ความเช่ือม่ันในความสามารถของตนเองเป็นตัวกาหนด พฤติกรรม การเลือก การใช้ความพยายามและยืนหยัดพากเพียร แบบแผนของการคิดและการตอบสนอง ทางอารมณ์ เช่น การสอบชิงทุนเพอื่ การศกึ ษาต่อ หากบุคคลมคี วามเชือ่ ว่าตนไม่มีความสามารถพอท่ีจะสอบได้ แนวโน้มท่ีเขาจะไปสมัครสอบจะน้อยลง หรืออาจตัดสินใจไม่ไปสอบเพ่ือ หลีกเล่ียงความผิดหวัง ระดับ ความมั่นใจในความสามารถของตนเองในแต่ละบุคคลยังเป็นตัวบ่งช้ีว่า บุคคลจะพยายามทางานน้ันมากน้อย เพียงใด ถ้าเชื่อว่าตนไม่มีความสามารถท่ีจะกระทากิจกรรมให้ สาเร็จได้ก็จะเกิดความกลัวและพยายาม หลีกเล่ียงกิจกรรมนั้นๆ ในทางตรงกันข้ามคนท่ีเช่ือว่าตนมีความสามรถที่จะกระทากิจกรรมให้สาเร็จได้จะไม่ รู้สึกหวาดหว่ันล่วงหน้าและทาให้เกิดความพยายามไม่ท้อถอยเม่ือพบอุปสรรค บุคคลที่มีความเช่ือใน ความสามารถของตนเองในระดับสูง จะย่ิงมีความพยายามและกระตือรือร้นในการทางานให้สาเร็จมากขึ้น แม้ จะตกอยู่ในสภาพการณ์ที่บีบบังคับ ทาให้เกิดความกลัวน้อยลงเม่ือต้องประสบกับสภาพการณ์เดิม แต่หาก บคุ คลนัน้ เลกิ ล้มการทางานโดยงา่ ย เขาจะมีความเช่ือในความสามารถของตนเองในระดับที่ต่า และมีความกลัว ต่องานนนั้ มากข้นึ แบนดูรา (Bandura, 1986) ยังได้นาเสนอว่า ความเชื่อในความสามารถของตนเองนี้ เป็นตัวกาหนด องคป์ ระกอบตา่ งๆ ในการปฏิบัตกิ จิ กรรม ดงั ต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมทางเลือก (Choice Behavior) บุคคลมีแนวโน้มท่ีจะหลีกเล่ียงงานในสภาพการณ์ท่ีเขา เช่ือว่ายากเกินความสามารถของตนเอง และจะกระทากิจกรรมท่ีแน่ใจว่าตนมีความสามารถท่ีจะทา การประเมนิ ความสามารถของตนสูงเกินความเปน็ จรงิ แล้วเลือกทากิจกรรมทีเ่ กินความสามารถจะทาให้พบกับ ความยากลาบากและเป็นทุกข์จากความล้มเหลว ส่วนการประเมินความสามารถของตนเองท่ีต่าเกินไปก็จะ จากัดตัวเอง ทาให้ขาดประสบการณ์ท่ีจะได้รับส่ิงที่ดีๆ การประเมินท่ีดี คือ ประเมินสูงกว่าความสามารถที่ตน

134 จะทาได้เพียงเล็กน้อยจะทาให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมท่ียากพอเหมาะและท้าทายความสามารถได้ ส่วนการ ประเมนิ ทแี่ มน่ ยาตรงกบั ความสามารถจะส่งผลให้กจิ กรรมที่เลือกมแี นวโน้มท่ีจะประสบความสาเร็จสงู ข้ึน 2. การใช้ความพยายามและความคงทนในการกระทาพฤติกรรม (Effort Expenditure and Persistence) เป็นตัวกาหนดว่าบุคคลจะใช้ความพยายามของตนเองมากแค่ไหน และจะคงทนทากิจกรรมไป ได้นานเพียงใดเม่ือพบอุปสรรคหรือประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจซึ่งความพยายามท่ีใช้ในช่วงการเรียนรู้กับ ชว่ งนาทกั ษะไปใช้มีความแตกตา่ งกนั ในชว่ งการเรียนรู้ 3. แบบแผนของความคิดและการตอบสนองทางอารมณ์ (Thought Pattern and Emotions Reactions) ความเช่ือในความสามารถของตนเองมีอิทธิพลต่อแบบแผนการคิด และการตอบสนอง ทางอารมณ์ของบุคคลคนที่ตัดสินว่าตนไร้ความสามารถ จะมีความวิตกกังวลมากกว่าความเป็นจริง เม่ือต้อง เจอสภาพการณท์ ่เี ปน็ อปุ สรรค ท้งั ยังกระตุ้นให้ใช้ความพยายามมากขึ้น นอกจากน้ีความเชื่อ ในความสามารถ ของตนเองยังมีอิทธิพลต่อความคิดในการแก้ปัญหาท่ียากคนที่เช่ือว่าตนเองมีความสามารถสูงมีแนวโน้มท่ีจะ พิจารณาว่าความล้มเหลวเกิดจากความพยายามไม่เพียงพอ ในขณะท่ีคนท่ีมีทักษะระดับเดียวกันแต่มี ความเชอื่ ในความสามารถของตนเองตา่ จะมองว่าความลม้ เหลวเกิดจากการดอ้ ยความสามารถของตนเอง วธิ ีการสร้างความเช่ือมน่ั ในตนเอง 1. มกี ารกาหนดเป้าหมายที่เป็นจริง และสามารถทาได้อยา่ งทา้ ทาย 2. มกี ารฝึกทักษะทางจติ ใจท่ีถูกต้อง 3. มกี ารปรับความคดิ และพฤติกรรมของนกั กฬี าให้เปน็ ที่พึงประสงค์ของสังคม 4. มกี ารให้การสนับสนนุ ทด่ี จี ากบุคคลใกลช้ ิด 5. มีการสรา้ งประสบการณ์ความสาเร็จใหก้ บั นกั กฬี า 6. มกี ารจัดโปรแกรมการฝึกซอ้ มกีฬาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพ ลกั ษณะของนกั กีฬาทมี่ ีความเชือ่ ม่ันในตนเอง 1. กลา้ คดิ กล้าพดู และกลา้ ทา 2. จิตใจม่นั คง มเี หตุผล 3. มคี วามรอบคอบ มีการวางแผนงาน 4. มีความคิดสรา้ งสรรค์ ชอบทาสงิ่ แปลกใหม่ 5. กล้าเส่ียง (กลา้ ได้กล้าเสยี ) 6. ชอบแสดงตวั 7. มีภาวะผู้นา 8. รักความยุตธิ รรม 9. ชอบช่วยเหลือผอู้ น่ื 10. ชอบอิสระ 11. ตั้งเป้าหมายสูง และคิดวา่ ตนเองสามารถทาสาเรจ็ ได้ 12. ไม่วติ กกงั วลจนเกินกว่าเหตุ

135 สรปุ ความเชื่อมั่นทางการกีฬา เป็นลักษณะความมั่นใจในตนเองเป็นความเชื่อท่ีมีอยู่ในตนเอง (Belief) และเป็นความแน่ใจในตนเองโดยปราศจากความคับข้องใจต่างๆ หรือเป็นลักษณะความเช่ือในความสามารถ ของตนเองที่จะประสบความสาเร็จทางการกีฬา บุคคลที่มีความเช่ือม่ันในตนเอง คือบุคคลท่ีไม่ยอมจานนต่อ สิ่งใดส่ิงหนึ่งโดยส้ินเชิงทีเดียวต่างกับคน ท่ีเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง คือมีความขลาดกลัว และไม่แน่ใจใน ตนเอง ซ่ึงใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปในทางนึกวาดภาพเอาเองในสิ่งที่ตนต้องการหรือปรารถนา ไม่ทาตามลาดับขั้น ของความเป็นจริง เนื่องจากเกิดความหวาดกลัว หว่ันวิตกจนกลายเป็นคนทาอะไรไม่เป็นเลย อาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยที่สาคัญที่ทาให้คนเรา ขาดความเชื่อมั่นในตนเองคือ ขาดความรู้ ขาดความกล้าหาญในทางที่ชอบธรรม และมีความเกียจคร้าน นอกจากนี้ยังอาจเน่ืองมาจากความเช่ือท่ีฝังลึกอยู่ในจิตใจหรือบางทีก็เป็นผลจาก ความล้มเหลวในอดีต การมีความเชื่อม่ันทางการกีฬาท่ีดี ประกอบด้วย ปัจจัยที่มาจากภายนอกซ่ึงนักกีฬาไม่สามารถ ควบคุมได้และปัจจัยจากภายในตัวนักกีฬาเอง ปัจจัยภายนอกอาจเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก แต่ปัจจัยภายใน ถือเปน็ ส่งิ จาเปน็ และมีความสาคัญท่ีนักกีฬาต้องสร้างและควบคุมให้ได้ การที่นักกีฬาหรือผู้ฝึกสอนไม่ทราบว่า อะไรคือแหล่งที่มาของความเช่ือมั่นทางการกีฬาจึงเป็นเหตุให้การช่วยเหลือและสนับสนุนให้นักกีฬามี ความเชื่อม่ันทางการกฬี าไมส่ ัมฤทธิผ์ ลเท่าท่ีควร คาถามทา้ ยบทท่ี 7 หลังจากได้ศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอาศัยหลักวิชาการและ ความคิดเหน็ ของนักศกึ ษาประกอบในการตอบคาถาม 1. จงอธิบายความหมายของความเชื่อมั่นทางการกฬี า 2. จงระบถุ ึงประเภทของความเช่ือมั่นทางการกฬี ามาใหค้ รบถว้ น 3. จงอธิบายทฤษฎีความเช่อื มนั่ ทางการกีฬามาให้เขา้ ใจ 4. จงอธิบายถึงแหลง่ ความเชอื่ ม่นั ทางการกีฬามาให้ครบถ้วน 5. จงระบถุ ึงวธิ ีการสร้างความเช่อื มั่นในตนเองมาใหเ้ ขา้ ใจ

136 เอกสารอา้ งองิ พลศึกษา, กรม. 2556. จติ วทิ ยาการกีฬา. กรุงเทพฯ : สานักงานกิจการโรงพมิ พ์องค์การสงเคราะหท์ หาร ผา่ นศึกในพระบรมราชปู ถัมภ์. วลิ าสลักษณ์ ชวั วาล.ี 2538. การรบั รูค้ วามสามารถของตนเองในเรื่องอาชีพ : ตวั แปรที่น่าสนใจในการศกึ ษา เก่ยี วกับอาชีพและการทางาน; จิตวทิ ยา.2(1) : 92-109 สมโภชน์ เอ่ียมสภุ าษิต. 2536. ทฤษฎแี ละเทคนิคการปรับพฤติกรรม. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สุพัชรินทร์ ปานอทุ ยั และนฤพนธ์ วงศ์จตรุ ภัทร. 2551. การพัฒนาและวเิ คราะห์องค์ประกอบแหล่ง ความเช่อื มั่นทางการกฬี าของนักกฬี าระดับอุดมศกึ ษาไทย. วารสารวิทยาศาสตร์การออกกาลังกาย และกีฬา, 1(6), น. 82 – 97. Bandura, A. 1997. Self-efficacy : Toward a unifying theory of behaviour change. psychological review. 84:191-215. ________. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice-Hall. ________. (1986). Social Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive Theory. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice-Hall. Billingsley, H. 2007. Building confidence through motivation. Retrieved April,13, 2007, from the United State Professional Diving Coaches Association, Retrieved December 20, 2009. Huang, C.J., Wang, P.T. & Hsu, C.Y. 2004. The influence of athletes’ attributes on source of sport confidence., 11, 1-17. Retrieved December 30, 2006, from the Chinese Electronic Periodical Services. Maslow, A.H. 1954. Motivation and Personality. New York : Harper. Morris, T. & Summers, J. 2004. Sport psychology: Theory, applications and issues. Australia : John Wiley & Sons. Poh, Y.K. & Smith, D. 2001. Effect of age, gender and sport – type on source of sport confidence. Master’ s thesis. National Institute of Education, Nanyang Technological University. Vealey, R.S., Hayashi S.W., Garner, H.G. & Giacobbi, P. 1998. Source of sport confidence: Conceptualization and instrument development. Journal of Sport and Exercise Psychology, 20, 54-80.

137 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 8 ความกา้ วร้าวทางการกฬี า (Aggression in Sport) หัวข้อเน้ือหา 1. ความหมายของความกา้ วรา้ วทางการกฬี า 2. ลกั ษณะของความก้าวร้าว 3. ทฤษฎพี น้ื ฐานของความกา้ วร้าว 4. การเสริมแรงทาให้เกดิ ความคงอย่ขู องความก้าวรา้ ว วตั ถปุ ระสงค์ทั่วไป 1. เพื่อให้นักศกึ ษาทราบถึงความหมายของความก้าวร้าวทางการกีฬา 2. เพ่ือให้นกั ศึกษาทราบถึงลกั ษณะของความกา้ วร้าว 3. เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาทราบถงึ ทฤษฎพี นื้ ฐานของความกา้ วร้าว 4. เพ่ือให้นกั ศึกษาทราบถึงวิธีการเสรมิ แรงทาใหเ้ กิดความคงอยูข่ องความก้าวรา้ ว วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นักศึกษาสามารถระบุความหมายของความก้าวร้าวทางการกีฬา 2. นกั ศกึ ษาสามารถระบุลักษณะของความก้าวร้าว 3. นักศกึ ษาสามารถอธิบายทฤษฎพี ้นื ฐานของความกา้ วร้าว 4. นักศกึ ษาสามารถอธบิ ายวธิ ีการเสรมิ แรงทาใหเ้ กดิ ความคงอยขู่ องความกา้ วร้าว กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. อธิบายความหมาย ความสาคัญ เน้ือหาความรู้เก่ยี วกับความก้าวร้าวทางการกีฬา 2. ให้นกั ศึกษาดูคลิปวดี ที ัศน์ทเี่ กี่ยวข้องกับความกา้ วรา้ วทางการกีฬา 3. นาเข้าสบู่ ทเรยี นดว้ ยการสนทนาเรื่องท่เี กยี่ วข้องกับความก้าวร้าวทางการกฬี า 4. ให้นกั ศกึ ษาได้แสดงความคดิ เหน็ ซกั ถามปัญหา ขอ้ สงสยั 5. อาจารยอ์ ธบิ าย ตอบคาถาม และสรปุ เนือ้ หาเกี่ยวกบั ความกา้ วรา้ วทางการกฬี า 6. ศกึ ษาจากเอกสารต่างๆ เพ่มิ เติม สือ่ การสอน 1. คลิปวดี ที ัศนท์ ่เี ก่ยี วข้องกับความกา้ วรา้ วทางการกฬี า 2. เอกสารการสอนจติ วิทยาการกฬี าและการออกกาลงั กาย บทท่ี 8 ความก้าวรา้ วทางการกฬี า 3. ภาพประกอบจากเอกสารการสอนจติ วทิ ยาการกีฬาและการออกกาลังกายบทท่ี 8 การวดั และการประเมินผล 1. สังเกตการสนใจ ความตัง้ ใจ 2. พิจารณาจากการอภปิ ราย ถาม-ตอบ เสนอความคดิ เห็น

138 3. ใหน้ ักศกึ ษาแสดงความคิดเหน็ เสนอแนะฯ 4. พิจารณาจากงาน ความรบั ผิดชอบ 5. การตอบคาถามท้ายบท