Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

Description: จิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย

Search

Read the Text Version

189 1.2.3 การสัมผัส เป็นการสัมผัสด้วยอวัยวะต่างๆ เช่น การตบไหล่เบาๆ การวางมือ ท่หี นา้ ขาขณะที่น่ังสนทนาร่วมกัน เพ่ือเป็นการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจหรือแสดงความเข้าใจในสิ่งท่ีที่ นักกีฬาแสดงออกมา การสัมผสั เป็นสง่ิ ท่ที าใหเ้ กิดความรู้สึกอบอนุ่ ปลอดภัย และก่อให้เกิดความรสู้ ึกมนั่ คง 1.2.4 น้าเสยี ง น้าเสียงทน่ี ามามาใช้ควรเป็นน้าเสียงท่ีนุ่มนวลแต่มีความชัดเจน และ หนักแน่น หลีกเล่ียงการใช้น้าเสียงท่ีแข็งกระด้าง เสียงดังเหมือนพูดตะโกนตลอดเวลา เพราะจะทาให้เกิด ความรู้สึกไม่ไว้วางใจ อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกกลัวมากกว่าความรู้สึกสงบ สบายใจ และการระบายความรู้สึก ท่ีคับขอ้ งใจของนักกีฬาได้ 1.2.5 ตาแหน่งรา่ งกาย การจดั วางตาแหน่งของรา่ งกาย เช่น การยืน การน่ัง การสบ สายตา ควรมีระยะท่เี หมาะสมไมใ่ กล้จนร้สู กึ อดึ อัด ขาดความเป็นสว่ นตัวหรือไกลจนไม่สามารถส่งความรู้สึกต่อ กนั ได้ การนงั่ หรอื การยนื ควรมีระยะห่างพอประมาณหรือหนง่ึ ชว่ งไหล่ เพ่ือไม่ต้องใช้วธิ ีการตะโกนคุยกันและ ขณะเดยี วกันยงั เปิดโอกาสใหม้ ีการสัมผสั รา่ งกายอย่างเหมาะสมได้ในระยะทพี่ อดี 1.3 เนื้อหาและสภาพอารมณ์ เนื้อหาหรือข้อความท่ีส่งออกไปควรเป็นเนื้อหาที่มีสาระ เหมาะสมกับเร่ืองที่หยิบยกมาสนทนาร่วมกัน หากการสนทนาครั้งน้ันยังไม่สามารถเริ่มต้นด้วยเนื้อหาใดเป็น หลักได้ อาจให้เลือกประเด็นท่ีเป็นความสนใจร่วมกันมาเป็นประเด็นเปิดการสนทนา เพราะจะเป็นส่ิงท่ีง่าย ที่สุดสาหรับการเร่ิมต้นพึงระลึกว่าไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาสาระในเรื่องใดก็ตามขอเพียงให้มีเนื้อหาและเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนานักกีฬาให้ไปสู่ความสาเร็จ นอกจากเนื้อหาที่ต้องมีสาระและเป็นประโยชน์แล้ว ทุกขณะทีม่ ีการส่งข้อความต้องให้ความสาคัญกับสภาพอารมณ์ในขณะน้ันด้วยว่ามีความรู้สึกและแสดงออกไป อย่างสมเหตุสมผลกับสถานการณ์นั้นหรือไม่ เช่น นักกีฬาเกิดการบาดเจ็บ แพทย์แนะนาให้พักรักษาตัวและ งดการเล่นกีฬาเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งถือเป็นส่ิงที่ทาให้นักกีฬาเกิดความเครียดเป็นอย่างมากผู้ฝึกสอนกีฬาท่ีดี ควรแสดงอารมณ์ที่บ่งชี้ถึงความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจและร่วมกันหาทางออกร่วมกัน หรือแม้บางครั้งผู้ฝึกสอน กีฬามีอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจนักกีฬาก็ยังไม่สมควรแสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมา แต่ควรใช้วิธีการผ่อนคลาย ตนเองต่อสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ตนเองสงบลงแล้ว จึงกลับมาพูดคุยกับนักกีฬาอีกครั้งด้วย เหตุผลต่อไป โดยสรุป คือ ผู้ฝึกสอนกีฬาควรส่งข้อความที่มีเน้ือหาและสภาพอารมณ์ท่ีสอดคล้องออกมาให้ เปน็ ไปในทิศทางเดยี วกันให้ได้ ข้ันตอนการสือ่ สารที่มปี ระสิทธภิ าพระหวา่ งผฝู้ กึ สอนกฬี ากบั นกั กฬี า เป้าหมายของการสื่อสาร คือ การทาความเข้าใจร่วมกันระหว่างบุคคลท่ีส่งข้อความและบุคคลท่ีรับ ขอ้ ความ โดยกระบวนการสง่ ข้อความจากผู้ฝกึ สอนกีฬาไปยังนักกฬี ามี 6 ขน้ั ตอนด้วยกนั คือ 1. ผฝู้ กึ สอนกีฬาคดิ ในสงิ่ ทีจ่ ะนาไปถา่ ยทอดกบั นักกีฬา 2. ผู้ฝึกสอนกีฬาทาการแปลในสิ่งที่คิดให้เป็นข้อความที่เหมาะสมสาหรับการส่งต่อข้อความน้ัน สูน่ ักกีฬา 3. ผู้ฝึกสอนกีฬาถ่ายทอดข้อความในรูปแบบของการส่ือสารแบบใดแบบหน่ึงกับนักกีฬา (ภาษาพูด หรอื ภาษาท่าทาง) 4. นกั กฬี ารบั ข้อความทผ่ี ู้ฝกึ สอนกฬี าถา่ ยทอดมา (ถ้านกั กฬี าใหค้ วามสนใจ) 5. นกั กฬี าตีความหมายข้อความที่ไดร้ ับจากผฝู้ ึกสอนกีฬา 6. นักกฬี าตอบสนองตอ่ ขอ้ ความท่ีได้รับจากผ้ฝู กึ สอนกีฬา

190 สาเหตุที่ทาให้การสอื่ สารขาดประสทิ ธภิ าพระหวา่ งผ้ฝู ึกสอนกีฬากับนักกีฬา 1. เนื้อหาทสี่ อ่ื ออกไปไมเ่ หมาะสมกับสถานการณ์ 2. การถา่ ยทอดขอ้ ความไม่มภี าษาพดู หรอื ภาษาท่าทางท่ดี พี อ 3. นักกฬี าไม่ได้รบั ข้อความทีส่ ง่ ไปเพราะขาดความสนใจ 4. นักกีฬาขาดการฟงั หรอื ทักษะการส่อื สารด้วยภาษาท่าทางทาให้ตีความหมายของข้อความผิดพลาด หรอื ไม่เข้าใจขอ้ ความน้นั 5. นกั กฬี าเข้าใจความหมายของข้อความ แต่ตคี วามหมายขอ้ ความนนั้ ผิดพลาดไปจากความเปน็ จรงิ 6. ขอ้ ความที่ผู้ฝึกสอนกฬี าส่งไปขาดประสทิ ธภิ าพ นักกฬี าสบั สนเกย่ี วกบั ความหมาย 2. การสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬา แรงจูงใจมีอิทธิพลต่อรูปแบบการคิดและผลักดันให้เกิดพฤติกรรม นอกจากนนั้ แรงจงู ใจยังเปน็ ตัวขบั เคล่อื นพฤติกรรมเพอื่ ตอบสนองความต้องการทพ่ี ึงปรารถนา นกั จิตวิทยาการกีฬาเรียนร้วู ่าส่ิงท่นี ักกีฬาต้องการมากท่ีสุดมี 2 ประการ คือ ความสนุก ซึ่งเป็นส่ิงท่ีทา ให้เกดิ การปลุกเร้าหรือเป็นการกระตุ้นและสร้างความต่ืนเต้นและความรู้สึกว่าตนเอง มีคุณค่า รู้สึกว่าตนเองมี ความสามารถและมีโอกาสทป่ี ระสบความสาเรจ็ ได้ 3. การสรา้ งความสนุกสนานให้นักกีฬา มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความต้องการในการปลุกเร้าและความ ต่ืนเต้น ซ่ึงในทางกีฬาได้คานึงถึงระดับการกระตุ้นที่เหมาะสมและการมีประสบการณ์ไหลล่ืน ซึ่งระดับของ ความท้าทายที่เหมาะสมย่อมนาไปสู่ความสนุกในการฝึกซ้อม การสร้างความสนุกในการฝึกซ้อมจาเป็นต้อง คานงึ ถงึ แหลง่ ท่ีมาของความสนกุ ร่วมด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งของความสนุกต้องมาจากการยอมรับเหตุผลสาหรับการ เข้าร่วมกิจกรรมกีฬา ต้องมีการสร้างกิจกรรมท่ีสร้างสรรค์ส่ิงแวดล้อมภายในทีมให้เกิดความน่าสนใจ ท้าทาย และนา่ ต่ืนเตน้ อย่เู สมอ 4. นักกฬี าต้องการความรู้สึกวา่ ตนเองมคี ณุ ค่า ผฝู้ ึกสอนกีฬาตอ้ งสร้างให้นักกีฬาเกิดการเรียนรู้และให้ ความสาคัญกับการมองเห็นคุณค่าในตนเองไม่ว่าผลการแข่งขันจะแพ้หรือชนะก็ตาม นักกีฬาต้องตระหนักว่า ตนเองมีคุณค่าอยูเ่ สมอเปิดโอกาสให้นักกฬี าไดใ้ ช้ความคดิ ในการจินตนาการเกยี่ วกับตนเองในทกุ สถานการณ์ ท่ีจะเกิดขึ้นจริง และเตรียมพร้อมรับกับสิ่งที่อาจเกิดข้ึนได้เสมอ ให้ความสาคัญกับความคิดของนักกีฬาว่า นักกีฬาคิดอย่างไรเมื่อได้รับชัยชนะและนักกีฬาคิดอย่างไรเมื่อได้รับความพ่ายแพ้ คาตอบของนักกีฬาจะเป็น สิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและการมองเห็นคุณค่าในตนเองเป็นอย่างดี นักกีฬาท่ีได้รับการฝึกฝนทักษะ ทางจิตใจมาอย่างดีไม่ว่าตนเองจะประสบความสาเร็จหรือประสบความพ่ายแพ้มักมีคาตอบให้ตนเองทางบวก อยู่เสมอ เมื่อพ่ายแพ้ไม่สมหวังในสิ่งท่ีตั้งใจคงปฏิเสธที่จะเสียใจไม่ได้แต่นักกีฬาจะสามารถฟันฝ่าความเสียใจ ความท้อแท้ และเขา้ สู่กระบวนการคดิ ทางบวกได้อย่างรวดเร็ว การคดิ ทางบวกเป็นบ่อเกิดของสิ่งสร้างสรรค์ที่ดี ต่อไปในอนาคตเสมอ ตวั อยา่ งความคิดท่มี ักเกดิ ขึน้ กบั นักกฬี า คอื การคิดอย่างผชู้ นะ เช่น “ความสาเรจ็ คอื สงิ่ ท่ีสร้างความมน่ั ใจวา่ จะทาไดอ้ ีก” “ความล้มเหลวคอื แรงผลักดนั ท่จี ะทาให้สาเรจ็ ” “เชอ่ื มั่นและเห็นคุณค่าความสามารถของตนเอง” การคิดอย่างผูแ้ พ้ เชน่ “ความพยายามไม่ได้ชว่ ยทาให้อะไรดขี ้ึน” “ปัญหาของความล้มเหลวอยู่ท่ีความสามารถฉันต่าเอง จึงไม่มีเหตุผลอะไรท่ีจะ พยายามทาใหด้ ี หรือ ทาให้มากข้ึน”

191 นักกีฬาท่ีมีความคิดอย่างผู้แพ้ มักมีกลไกการป้องกันตนเองอยู่เสมอ คือ มักหลีกเลี่ยงการแสดง ความสามารถอย่างเตม็ ท่ี ชอบแก้ตัว เช่น ขาฉันเจ็บทาให้เลน่ ไม่ดีหรือมีบางอย่างเข้าตาฉันก่อนยิงลูกโทษ และ มกั ปฏเิ สธความสาเร็จทตี่ นเองตอ้ งการ แนวทางการสรา้ งแรงจงู ใจให้กบั นกั กีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬาควรหล่อหลอมให้นักกีฬาตระหนักอยู่เสมอว่าความสาเร็จไม่ใช่อยู่ท่ีชัยชนะเพียง อย่างเดียว แต่อยู่ที่ความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่น อุตสาหะในการฝึกซ้อม และได้รับประสบการณ์ท่ี แปลกใหม่ในสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ สิ่งท่ีเกิดข้ึนเป็นสิ่งที่ทาให้เกิดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาต่อไป ผู้ฝึกสอน กีฬาควรกระตุ้นให้นักกีฬามีการกาหนดเป้าหมายของตนเองท่ีตรงตามสภาพความเป็นจริง และย้าเตือนให้ ปฏิบัติตามสิ่งท่ีตนเองกาหนดไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบและปรับปรุงเป้าหมายของตนเอง อย่างสม่าเสมอ และต้องยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้ฝึกสอนกีฬา เพ่ือน ผู้ชม ผู้ปกครอง และผู้ท่ี เก่ียวข้องอื่นๆ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพจิตแก่นักกีฬาได้เป็นอย่างมาก แต่ควรต้องทาอย่างสม่าเสมอ และตอ่ เนอื่ งโดยใชก้ ระบวนการและวิธกี ารดังต่อไปนี้ 1. การให้คาชมเชย ยกยอ่ ง แสดงออกซงึ่ การยอมรับซึ่งกันและกัน 2. การใหค้ วามอบอุ่นและความสมั พันธท์ ี่ดี 3. การให้กาลังใจ การไปร่วมเชยี รเ์ ม่อื มีการแขง่ ขนั 4. การฝึกทักษะทางจิตใจ เช่น การกาหนดเป้าหมาย การควบคุมอารมณ์การลดความวิตกกังวล การสรา้ งจนิ ตภาพ เปน็ ตน้ 5. การจดั สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ให้เอื้อต่อความพึงพอใจของนักกีฬาสอน แนะนา หล่อหลอมให้ มคี วามร้สู กึ นึกคิดเชิงสรา้ งสรรค์อยูเ่ สมอ 6. จัดกระบวนการฝึกซ้อมให้เกิดการสร้างเสริมสุขภาพจิตท่ีดี เช่นการให้โอกาสประสบผลสาเร็จ ให้ทราบความก้าวหน้าหรือพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการฝึกซ้อม เพื่อสะสมความสุขและความพึงพอใจ ทลี ะเล็กละน้อย 7. สร้างความมัน่ คงในอนาคตแกน่ กั กีฬา เชน่ ความมั่นคงในการเรยี นความมนั่ คงในการดาเนนิ ชีวติ สรปุ การเปน็ ผู้ฝกึ สอนกฬี าทด่ี ี ตอ้ งมีความสามารถในการนาทีมหรือนักกีฬาของตนเองไปสู่เป้าหมายสูงสุด ได้ และต้องมีความสามารถในการจัดการปัญหาที่อาจเกิดข้ึนได้ในทุกสถานการณ์ อาจไม่ใช่เร่ืองง่ายนักใน บทบาทหนา้ ท่ีซง่ึ ตอ้ งรับผิดชอบแต่หากมคี วามเข้าใจลักษณะความแตกต่างของนักกีฬาแต่ละบุคคลอย่างดีแล้ว ปญั หาทกุ อยา่ งจะสามารถจัดการแก้ไขไดโ้ ดยงา่ ย การทาความเข้าใจกับหลักของพฤติกรรมเป็นสิ่งท่ีผู้ฝึกสอนกีฬาต้องเรียนรู้และเข้าใจ มีคากล่าวท่ีว่า ผู้ฝึกสอนกีฬาที่ประสบความสาเร็จคือผู้ที่ทาหน้าท่ีเป็นนักจิตวิทยาการกีฬาที่ดี เพราะองค์ความรู้เกี่ยวกับ จิตวิทยาการกีฬาเป็นการอธิบายพฤติกรรมของบุคคลซ่ึงล้วนมาจากความคิดและความรู้สึกท่ีอยู่ภายในตัว บุคคลนั้น ดังน้ันความสามารถในการทาความเข้าใจและปรับพฤติกรรมของนักกีฬาได้จึงเป็นสิ่งจาเป็นซึ่ง ประเด็นหลักที่ควรคานึงถึงในการทาหน้าที่ผู้ฝึกสอนกีฬาให้มีประสิทธิภาพ คือ การทาหน้าที่เป็นผู้ส่ือสารท่ีดี

192 โดยเป้าหมายของการสื่อสาร คือ การทาความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับข่าวสาร ผู้ฝึกสอนกีฬาต้อง สามารถสร้างแรงจูงใจและจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักกีฬาได้ โดยแนวทางการจัดการกับ พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของนักกีฬา ประกอบด้วย การเป็นผู้ส่ือสารท่ีดี การสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬา และ การทาใหน้ กั กีฬารู้สกึ สนกุ กบั การเล่นกฬี า คาถามท้ายบทท่ี 11 หลังจากได้ศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปน้ี โดยอาศัยหลักวิชาการและ ความคิดเหน็ ของนกั ศึกษาประกอบในการตอบคาถาม 1. จงระบถุ ึงบทบาทของผู้ฝกึ สอนกีฬามาให้เข้าใจ 2. จงระบถุ งึ พฤติกรรมทไ่ี มพ่ งึ ประสงคท์ เี่ ก่ยี วข้องกับผูฝ้ กึ สอนกฬี ากบั นักกฬี า 3. จงระบถุ งึ ข้นั ตอนการสือ่ สารทีม่ ปี ระสิทธิภาพระหว่างผู้ฝึกสอนกฬี ากับนกั กีฬา 4. จงระบถุ ึงสาเหตุทท่ี าใหก้ ารสอื่ สารขาดประสิทธิภาพระหว่างผ้ฝู กึ สอนกฬี ากบั นกั กฬี า 5. จงอธบิ ายถงึ แนวทางการสรา้ งแรงจูงใจให้กบั นกั กฬี า เอกสารอ้างอิง ฉัตรกมล สิงห์นอ้ ย. 2547. ปัญหาการใช้จิตวิทยาการกีฬาในปัจจุบันของประเทศไทย. สารวทิ ยาศาสตร์ การกีฬา, 5(56), 4-6. พลศกึ ษา, กรม. 2556. จิตวิทยาการกีฬา. กรงุ เทพฯ : สานักงานกจิ การโรงพมิ พ์องค์การสงเคราะห์ทหาร ผา่ นศกึ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์. Weinberg, R.S. & Gould, D. 2011. Foundations of sport and exercise psychology. 5th ed. Illinois. Human Kinetics.

193 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 12 จติ วิทยาการออกกาลังกาย: แรงจูงใจและอปุ สรรคในการออกกาลังกาย (Exercise Psychology: Motivation and Barrier in Exercise) หวั ข้อเนอื้ หา 1. แรงจงู ใจในการออกกาลงั กาย 2. อุปสรรคในการออกกาลังกาย 3. แบบจาลองความเช่อื ทางสขุ ภาพ (The Health Belief Model) 4. ทฤษฎปี ญั ญาทางสังคม (Social Cognitive Theory) 5. ทฤษฎีพฤตกิ รรมตามแผน (The Theory of Planned Behavior) 6. แบบจาลองทฤษฎขี ้นั ของการเปลี่ยนแปลง (The Transtheoretical Model) 7. การนาแบบจาลองทฤษฎขี ้ันของการเปล่ียนแปลงไปใช้สรา้ งแรงจูงใจใหค้ นออกกาลงั กาย วัตถปุ ระสงค์ทั่วไป 1. เพอ่ื ให้นกั ศึกษาทราบถงึ แรงจูงใจในการออกกาลงั กาย 2. เพ่อื ให้นกั ศึกษาทราบถึงอุปสรรคในการออกกาลังกาย 3. เพ่อื ใหน้ ักศึกษาทราบถงึ ทฤษฎที ีเ่ กย่ี วข้องกับจิตวทิ ยาการออกกาลงั กาย 4. เพอ่ื ใหน้ กั ศกึ ษาทราบถึงการนาแบบจาลองทฤษฎีขั้นของการเปลี่ยนแปลงไปใช้สร้างแรงจูงใจให้ คนออกกาลังกาย วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศกึ ษาสามารถทราบถึงแรงจงู ใจในการออกกาลงั กาย 2. นักศึกษาสามารถทราบถงึ อปุ สรรคในการออกกาลังกาย 3. นกั ศึกษาสามารถทราบถงึ ทฤษฎที ี่เกีย่ วขอ้ งกบั จิตวิทยาการออกกาลงั กาย 4. นักศึกษาสามารถทราบถึงการนาแบบจาลองทฤษฎีขั้นของการเปลี่ยนแปลงไปใช้สร้างแรงจูงใจ ใหค้ นออกกาลงั กาย กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. ใหน้ ักศกึ ษาดคู ลปิ วีดีทัศนเ์ ก่ียวกบั แรงจูงใจและอุปสรรคในการออกกาลงั กาย 2. อธิบายความหมาย ความสาคัญ เน้ือหาความรู้เก่ียวกับจิตวิทยาการออกกาลังกายและทฤษฎี ที่เกย่ี วขอ้ ง 3. ให้นักศึกษาไดแ้ สดงความคดิ เห็น ซักถามปญั หา ขอ้ สงสัย 4. อาจารย์อธิบาย ตอบคาถาม และสรุปเนื้อหาเก่ียวกับจิตวิทยาการออกกาลังกายและทฤษฎี ทเ่ี กยี่ วข้อง 5. ศกึ ษาจากเอกสารต่างๆ เพิ่มเติม

194 ส่ือการสอน 1. คลปิ วีดีทัศน์เก่ียวกบั แรงจงู ใจและอุปสรรคในการออกกาลงั กาย 2. เอกสารการสอนจิตวิทยาการกีฬาและการออกกาลังกาย บทที่ 12 จิตวิทยาการออกกาลังกาย: แรงจงู ใจและอุปสรรคในการออกกาลังกาย 3. ภาพประกอบจากเอกสารการสอนจติ วทิ ยาการกฬี าและการออกกาลงั กายบทท่ี 12 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตการสนใจ ความตง้ั ใจ 2. พจิ ารณาจากการอภิปราย ถาม-ตอบ เสนอความคิดเหน็ 3. ให้นกั ศึกษาแสดงความคดิ เหน็ เสนอแนะฯ 4. พจิ ารณาจากงาน ความรบั ผิดชอบ 5. การตอบคาถามท้ายบท

195 บทท่ี 12 จิตวิทยาการออกกาลงั กาย: แรงจงู ใจและอุปสรรคในการออกกาลังกาย (Exercise Psychology: Motivation and Barrier in Exercise) การท่ีบุคคลจะกระทากิจกรรมใดๆ น้ันในที่น้ีก็คือการออกกาลังกาย สิ่งสาคัญที่สุดคือบุคคลจะต้อง มีความต้องการ และมีแรงจูงใจท่ีจะทา บุคคลที่ไม่มีแรงจูงใจท่ีจะออกกาลังกาย บุคคลนี้จะไม่มีเป้าหมายและ ไมม่ ีแรงผลกั ดนั สุดท้ายกค็ อื ไม่เลอื กที่จะออกกาลงั กาย อีกทงั้ บคุ คลทอี่ อกกาลังกายมาแล้วเม่ือขาดแรงจูงใจใน การออกกาลงั กายกอ็ าจจะสง่ ผลใหเ้ ลิกทากิจกรรมไดใ้ นอนาคต การทาความเขา้ ใจว่าจะทาอย่างไรใหบ้ ุคคลเรม่ิ มนี ิสยั ในการออกกาลังกายซง่ึ เป็นเรื่องท่ีมีความท้าทาย ยิ่งนัก แต่การทาความเข้าใจที่จะรักษาสภาพนิสัยในการออกกาลังกายของบุคคลน้ันให้คงพฤติกรรมต่อไป เป็นเรอ่ื งทย่ี ากยิ่งกวา่ ดงั นั้นเป้าหมายสาคญั ท่สี ดุ ทสี่ ง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลออกกาลังกายคือทาให้เขาเหล่าน้ันเกิดการ ยึดม่ันต่อพฤติกรรม การยึดม่ันในการออกกาลังกาย (exercise adherence) ซึ่ง Rand and Weeks (1998 cited in Anshall, 2007) ได้ให้ความหมายของ คาว่า “adherence” ไว้คือ “ระดับของพฤติกรรมของผู้ป่วย ท่ีเห็นพ้องกับคาแนะนาทางคลินิกในการดูแลสุขภาพ” โดยนิยามอื่นๆ ของคานี้ ประกอบด้วย การเกาะติด (sticking to) เป็นความศรัทธายึดมั่น (faithfully) ในการรักษามาตรฐานของพฤติกรรมด้วยเหตุผลโดยมี เป้าหมายในใจ ปัจจุบันคาว่า “compliance” มักจะถูกใช้แทนสลับสับเปล่ียนกับคาว่า “adherence” แต่ใน ความเป็นจริงแล้วทั้งสองคานี้มีความหมายตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ “compliance” หมายถึงพฤติกรรมที่ เก่ยี วขอ้ งกบั ความยินยอมด้วยความรู้สึกว่า ต้องทาตามคาสั่งและเชื่อฟัง ดังน้ันบุคคลผู้ซึ่งเร่ิมปฏิบัติและรักษา สภาพในโปรแกรมการออกกาลังกายควรจะยึดม่นั เลอ่ื มใส (are adhering) มากกว่ายินยอม (are complying) ท่ีปฏิบัติตามโปรแกรมน้ันๆ โดย Yoo (1991) กล่าวว่า พฤติกรรมการยึดมั่นในการออกกาลังกายเป็นการ ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก (complex) ของการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างปัจจัยด้านบุคคล (individual factors) ปัจจัยด้านสังคม (social factors) และปัจจัยด้านความคิด (cognitive factors) โดยมี ความสอดคล้องกับ Irwin et al. (2004) ท่ีกล่าวว่า การจะส่งเสริมให้บุคคลยึดม่ันพฤติกรรมการเข้าร่วม โปรแกรมการออกกาลังกายได้เป็นระยะเวลานานๆ น้ัน ต้องเข้าใจว่าเป็นผลมาจากอิทธิพลของตัวแปรทาง ข้อมลู พน้ื ฐานทางประชากร (demographic) ตัวแปรทางสรีรศาสตร์ (physiologic) และตัวแปรทางจิตสังคม (psychosocial) โดยสิ่งสาคัญที่สุดท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการยึดม่ันต่อการออกกาลังกายคือบุคคลจะต้องมี ความต้องการ (need) และมีแรงจูงใจ (motivation) ท่ีจะกระทาบุคคลที่ไม่มีแรงจูงใจที่จะออกกาลังกายจะ ทาให้ไม่มีเป้าหมายและไม่มีแรงผลักดัน สุดท้ายก็คือไม่เลือกท่ีจะออกกาลังกาย อีกทั้งบุคคลท่ีออกกาลังกาย มาแล้ว เมือ่ ขาดแรงจูงใจในการออกกาลงั กายก็อาจจะส่งผลใหเ้ ลกิ ทากจิ กรรมได้ในอนาคต

196 แรงจงู ใจในการออกกาลงั กาย Anshel (2007) ไดอ้ ธบิ ายความหมายของ แรงจูงใจ (motivation) ไว้วา่ แรงจูงใจมาจากภาษาละติน (movere) ที่แปลว่า “การเคลื่อนไหว” (to move) โดยเป็นแนวโน้มของพฤติกรรมมนุษย์ท่ีมีทิศทางและมี การเลือกเฟ้นเองในการท่ีจะกระทาส่ิงใดส่ิงหน่ึงแนวโน้มของพฤติกรรมดังกล่าวจะยังคงอยู่ได้โดยจะต้องมี เป้าหมาย (goal) เพื่อการใฝ่สัมฤทธ์ิ ดังนั้นการตัดสินใจของบุคคลท่ีจะออกกาลังกายจึงสะท้อนไปถึงการให้ ความสาคัญไปท่ีความต้องการและการใฝ่สัมฤทธ์ิที่แสดงออกมา โดยมีแหล่งที่มาท่ีหลากหลายของเหตุผลของ แรงจูงใจในการออกกาลังกายอันประกอบด้วย การออกกาลังกายเพ่ือที่จะปรับปรุงสมรรถภาพทางกาย การออกกาลังกายเพ่ือสุขภาพ รูปลักษณ์ทางร่างกายที่ดูดี การควบคุมน้าหนักตัว การลดความเครียด การเข้า สังคม เปน็ ตน้ ในทางตรงกันข้ามของแรงจูงใจ (motivation) คือการขาดแรงจูงใจ (amotivation) โดยบุคคลที่ ขาดแรงจูงใจในการออกกาลังกายจะส่งผลทางลบต่อการยึดม่ันหรือการรักษาสภาพในการออกกาลังกาย ซึ่งท้ายที่สุดจะทาให้บุคคลเลิกออกกาลังกาย Berger et al. (2002) กล่าวถึงคาแก้ตัวและข้ออ้างของการ ไม่ออกกาลังกายไว้ว่า “ไม่มีเวลา” โดยจะเป็นเหตุผลทั่วๆ ไปของแต่ละบุคคล ตามมาด้วย “ไม่มีพลังงาน” และ “ขาดแรงจูงใจ” ส่ิงเหล่าน้ีเป็นข้ออ้างหลักที่สาคัญซ่ึงเป็นอุปสรรคต่อการออกกาลังกาย อุปสรรค รองลงมาประกอบด้วย การขาดค่าใช้สอย การบาดเจ็บ ขาดส่ิงอานวยความสะดวก ความรู้สึกท่ี ไม่สะดวกสบาย การขาดทักษะในการออกกาลังกาย และการกลัวการบาดเจ็บ อุปสรรคเล็กน้อย คือ การขาด สถานท่ีท่ีปลอดภัย การขาดการดูแลเด็ก การขาดคู่หู โปรแกรมการออกกาลังกายไม่เพียงพอ ขาดการ สนับสนนุ และขาดระบบการเดินทางทดี่ ี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคาแก้ตัวท่ีเป็นอุปสรรคต่อการออกกาลังกายท้ังสิ้น โดยเหตุผลเหล่านี้จะส่งผลต่อกระบวนการทางความคิดและยุทธวิธีทางพฤติกรรมต่อการเร่ิมและการรักษา สภาพตอ่ นิสยั ในการออกกาลงั กาย ซึ่งอุปสรรคเป็นตัวแปรสาคัญสามารถทานายการกระทาไม่ให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้ บุคคลจะประเมินระหว่างประโยชน์ที่ได้รับกับอุปสรรคท่ีเกิดข้ึน ก่อนการตัดสินใจ โดยอุปสรรคคือสิ่งท่ีทาให้เกิดความ ไม่สบายใจ เป็นส่ิงท่ีทาให้เกิดความลาบากในการเกิด การกระทาใดๆ หรือเป็นสง่ิ ทข่ี ัดขวางการกระทาของบคุ คล อุปสรรคในการออกกาลังกาย อุปสรรคตามแนวคิดของ Pender (2002) คือเป็นการรับรู้ถึงสิ่งท่ีมาขัดขวางต่อพฤติกรรม อาจเป็น สิ่งท่ีเกิดข้ึนจริงหรือคาดคะเน อุปสรรคเปรียบเสมือนสิ่งขัดขวางไม่ให้บุคคลปฏิบัติพฤติกรรม หรือจูงใจให้ หลีกเล่ียงที่จะปฏิบัติพฤติกรรมเป็นปัจจัยด้านสติปัญญาและความรู้สึกที่เฉพาะต่อพฤติกรรม เมื่อบุคคลมี ความพรอ้ มในการกระทาต่าและมีอุปสรรคมาก การกระทาน้ันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามีความพร้อมในการกระทา สูงและมีอปุ สรรคน้อยความเป็นไปได้ในการกระทาก็มากข้ึน โดยอุปสรรคเป็นตัวแปรที่สาคัญที่สามารถทานาย พฤตกิ รรมทางสุขภาพได้ โดย Phillips และคณะ กล่าวว่า อุปสรรคในการออกกาลังกายสามารถแบ่งออกเป็น

197 2 ประเภท คือ อุปสรรคท่ีเกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ การได้รับบาดเจ็บ รูปลักษณ์ภายนอก ทักษะในการ ออกกาลงั กาย เปน็ ตน้ และอุปสรรคท่ีเกิดจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การไม่มีรายได้ การเดินทาง สภาพอากาศ เพือ่ นร่วมออกกาลังกายส่ิงอานวยความสะดวกในการออกกาลังกาย เป็นต้น Pender et al. (2006) ยังกล่าว อีกว่า การรับรู้อุปสรรคเป็นการรับรู้ด้านลบ หรือเป็นการรับรู้ต่อส่ิงที่ขัดขวางต่างๆ ที่ทาให้ไม่สามารถกระทา พฤติกรรมใดๆ ได้ เน่ืองจากความไม่สะดวกด้านสภาพแวดล้อม ค่าใช้จ่าย และการไม่มีเวลาท่ีจะปฏิบัติ กิจกรรมน้ันๆ ความพึงพอใจในบริการที่ได้รับการปฏิบัติกิจกรรมทางด้านสุขภาพทาให้ขาดรายได้จากการ ประกอบอาชีพ และขาดการสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น โดยการรับรู้อุปสรรคของการกระทาเป็นปัจจัยหน่ึง ท่ีนาเสนอครั้งแรกในรูปแบบความเช่ือด้านสุขภาพ (Health Belief Model) และจากผลการศึกษาหลาย การศึกษาพบว่า การรับรู้อุปสรรคเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการทานายการปฏิบัติกิจกรรมสุขภาพ (Janz and Becker, 1984 cited in Pender, 1996) โดยเฉพาะการศกึ ษาท่เี ก่ียวกับการออกกาลังกาย การพัฒนากรอบความคิดในการทาความเข้าใจถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมและ การคงอยู่ในการออกกาลังกายจาเป็นต้องอาศัยความรู้ทางทฤษฎีและรูปแบบต่างๆ ที่ค้นพบมาก่อน เพ่ือท่ีจะ ช่วยอธิบายถึงรายละเอียดปลีกย่อย การทานายพฤติกรรม อีกท้ังทฤษฎี ทาให้รู้ถึงแนวทางและผลท่ีอาจจะ เกิดข้ึนต่อไป ในการศึกษาทฤษฎีทางจิตวิทยาการออกกาลังกาย ทฤษฎีและรูปแบบที่จะกล่าวต่อไป มีความสาคัญมาก ต้ังแต่ทฤษฎีที่ทาให้เข้าใจว่ามนุษย์มาออกกาลังกายก็เพราะมีความสอดคล้องต่อความเช่ือ ทางสุขภาพ (The Health Belief Model) อีกท้ังในงานช้ินนี้จะกล่าวถึงทฤษฎี 3 ทฤษฎี ที่ทาการศึกษากัน อย่างแพร่หลาย แถบทวีปยุโรปในปัจจุบัน (Biddle., and Fuchs., 2009) ก็คือ ทฤษฎีปัญญาทางสังคม (Social Cognitive Theory) ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (The Theory of Planned Behavior) และ แบบจาลองทฤษฎีขั้นของการเปล่ียนแปลง (The Transtheoretical Model) โดยในทุกทฤษฎีมีความสาคัญ ยิง่ ตอ่ การทาความเข้าใจในประเดน็ ทวี่ ่าบุคคลมาออกกาลังกายอย่างไรตามหลักทางจิตวิทยาการออกกาลังกาย โดยในท้ายที่สุดได้นาแบบจาลองทฤษฎีข้ันของการเปล่ียนแปลงมาประยุกต์ใช้ต่อการท่ีจะช่วยให้บุคคลท่ีมี ความเกยี่ วขอ้ งในการให้คาแนะนาให้คาปรกึ ษา ใชเ้ ป็นแนวทางใหบ้ ุคคลมาออกกาลังกาย แบบจาลองความเชื่อทางสขุ ภาพ (The Health Belief Model) แบบจาลองนี้ อธิบายถึงตัวบุคคลผู้ซ่ึงมีความเชื่อเก่ียวกับพฤติกรรมท่ีกระทาจะสอดคล้องต่อสุขภาพ ที่ดีของตน บุคคลจะรู้สึกว่าการเร่ิมโปรแกรมการออกกาลังกายจะป้องกันหรือควบคุมความรู้สึกที่แย่ๆ ต่อ สุขภาพ เช่น สุขภาพท่ีแย่ การมีน้าหนักเกิน ซึ่งท้ังหมดน้ีเป็นเร่ืองของการรับรู้ในแง่มุมต่างๆ ของบุคคล และ การรับรนู้ ้นั จะสง่ ผลตอ่ พฤติกรรมต่อมาทีจ่ ะออกกาลังกาย

198 การรับรคู้ วามอ่อนแอ ความพร้อม ความตงั้ ใจ (Perceived Vulnerability) (Readiness, Intentions) การรบั รคู้ วามรุนแรง (Perceived Severity) การรับรปู้ ระโยชน์ (Perceived Benefits) การรบั รอู้ ปุ สรรคในการกระทา (Perceived Barriers to Action) ภาพที่ 12.1 แบบจาลองความเชื่อทางสังคม ทีม่ า: Hagger and Chatzisarantis (2005) ทฤษฎปี ญั ญาทางสงั คม (Social Cognitive Theory) กุญแจสาคัญของทฤษฎีปัญญาทางสังคมคือ ความเช่ือในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) โดย Albert Bandura ได้พัฒนาแนวความคิดน้ีมาจากงานทางจิตวิทยาคลินิกโดยศึกษาจากผู้ป่วย ภายใต้ ปฏิสั มพัน ธ์กัน ของ อิทธิ พลท างบุ คคล ( Personal) พ ฤติก รรม (Behavioral) แล ะสิ่ง แว ด ล้อ ม (Environmental) ส่ิงสาคัญของทฤษฎีปัญญาทางสังคมประกอบด้วย ความสามารถของมนุษย์ในการคิด เกีย่ วกบั เหตุทจ่ี ะกระทาในอนาคตภายใตเ้ ป้าหมาย ความคดิ และความรู้สกึ ความเชอ่ื ในความสามารถของตนเองเป็นความม่ันใจของบุคคลที่เฉพาะตามสถานการณ์ ที่ส่งผลต่อ พฤตกิ รรมของคนโดยเปน็ ความเชอื่ ในประสิทธภิ าพและความคาดหวงั ภายใตแ้ หล่งของข้อมูลหลักส่ีอย่าง ท่ีจะ พัฒนาระดับของความเช่ือในความสามารถของตนเองน้ันก็คือ พฤติกรรมท่ีมีมาก่อนหน้าน้ี (ความสาเร็จและ การบรรลุความสามารถ) การดูสิ่งอื่นๆ (การเลียนแบบและรูปแบบจาลอง) การให้กาลังใจ (คาพูดและการชัก จูงทางสังคม) และการสร้างความรู้สึกของการผ่อนคลายและยกระดับอารมณ์ (ตัดสินจากความพร้อมทาง ร่างกาย) โดยท้ังหมดน้ีจะเป็นตัวส่ือกลาง ท่ีจะส่งผลต่อไปในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Biddle., and Fuchs., 2009)

199 แหล่ง ความเชื่อในความสามารถของตวั เอง การแสดงออก (Sources) (Self-efficacy) (Outcomes) ประสบการณ์ ความเชอื่ ในความสามารถของตวั เอง การแสดงออกทางจิตวิทยา - ความสาเร็จจากการ - ความเฉพาะทางสถานการณ์ - เกดิ เป้าหมาย กระทา - ความเช่ือในความสามารถสง่ ผลต่อการ - การแสดงออกทางอารมณ์ แสดงออก - การอ้างสาเหตุ - การไดเ้ ห็น - ความเช่ือเก่ียวกบั การแสดงออก ประสบการณ์ของผู้อื่น การแสดงออกทางพฤติกรรม -ทางเลือก อิทธิพลปจั จบุ นั - ความพยายาม - การชกั จูงดว้ ยคาพดู - การคงอยู่ - สภาวะทางจติ ใจ ภาพที่ 12.2 ความสมั พันธ์ระหว่างแหลง่ ของข้อมลู ความเช่ือในความสามารถของตนเองและการแสดงออก ทางจิตวิทยาและทางพฤติกรรม ท่มี า : Bandura (1977 อ้างถึงใน Hagger., and Chatzisarantis., 2005) ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (The Theory of Planned Behavior) ทฤษฎีน้อี ธิบายภายใต้พื้นฐานของความตั้งใจในการตัดสินใจของพฤติกรรมท่ีเปล่ียนแปลง ความตั้งใจ สามารถทานายจาก ทัศนคติ (Attitude) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (Subjective norm) และการรับรู้การ ควบคุมพฤติกรรม (Perceptions of behavioral control) ทัศนคติเป็นความเชื่อเก่ียวกับพฤติกรรมและการ ประเมินในคณุ ค่าของผลทจ่ี ะแสดงออกมาในการพฒั นาพฤติกรรมการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง เป็นความเช่ือของ นัยอ่ืนๆ และขอบเขตความปรารถนาที่เป็นไปตามความเช่ือ การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม เป็นการรับรู้ของ ความยากหรือง่ายในการกระทาพฤติกรรม

200 ทศั นคติ (Attitudes) ความเชือ่ ในเรอ่ื งพฤตกิ รรม (Beliefs regarding behavior) การประเมินของผลที่ตามมา (Evaluation of outcomes) ความเชือ่ ทีว่ า่ ความสาคัญอน่ื การคล้อยตามกลมุ่ อ้างองิ ความตัง้ ใจ พฤตกิ รรม (Beliefs that important others (Subjective Norms) (Intentions) (Behavior) have) การรบั รกู้ ารควบคมุ พฤติกรรม (Perceived Behavioral แรงจูงใจท่ีทาตามเกยี่ วกับความสาคัญอื่น Control) (Motivation to comply with important others) ตวั แปรควบคมุ (Control variables) กาลงั เหนอื ปจั จยั ควบคุม (Power over control factors) ภาพท่ี 12.3 ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ท่ีมา : Biddle and Fuchs (2009) แบบจาลองทฤษฎขี ้ันของการเปลยี่ นแปลง (The Transtheoretical Model) แบบจาลองนี้เป็นรูปแบบที่นามาอธิบายถึงแรงจูงใจของบุคคลสาหรับการเปลี่ยนนิสัยในการ ออกกาลงั กาย สิง่ ขดั ขวางในการเปล่ียน ประโยชนข์ องการเปลย่ี น และยทุ ธวิธขี องวิธีการเฉพาะสาหรับส่งเสริม การเปล่ียน โดยแบบจาลองน้ีสามารถนามาประเมินลักษณะทางกายภาพและจิตใจเพื่อท่ีจะช่วยสร้างยุทธวิธี สาหรบั เปล่ยี นแปลงพฤติกรรมภายใตร้ ะดบั ทีแ่ ตกตา่ งกันของแรงจูงใจทจ่ี ะเปลีย่ น

201 The Transtheoretical Model หรอื TTM เปน็ รูปแบบจาลองที่อธิบายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปตามลาดับขั้นและกระบวนการพัฒนาให้เป็นไปตามข้ัน ในแง่คิดว่าเมื่อไหร่ (When) และอย่างไร (How) โดยจะมตี ัวสอื่ กลางทีส่ ง่ ผลต่อการเปลยี่ นกค็ ือ ดุลยภาพในการตดั สนิ ใจ (Decisional Balance) ซึ่งเป็น เรื่องของแนวความคิดในการไดป้ ระโยชน์ (Pros) กับการเสียประโยชน์ (Cons) ของการที่จะเปลี่ยน และอีกส่ิง ก็คอื ความเช่ือในความสามารถของตนเอง (Self-efficacy) (Biddle., and Fuchs., 2009) ข้นั รกั ษาสภาพ ขั้นการเตรยี มการ ข้นั ปฏิบัติ ข้นั พิจารณา ขน้ั ก่อนพจิ ารณา ภาพท่ี 12.4 วงจรขัน้ ของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ในภาพท่ี จะเห็นว่าขั้นของการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้อยู่ในรูปเชิงเส้นตรงแต่อยู่ในรูปของวงจร Prochaska และคณะ (1992) (อ้างถึงใน Biddle., and Mutrie., 2008) อธิบายไว้ว่ากระบวนการของการ ที่พัฒนาในแต่ละขั้นของการเปล่ียนแปลงนั้นต้องเข้าใจว่าบุคคลยังมีภาวะเสี่ยงที่จะตกมายั งขั้นที่ต่าลงมาของ พฤตกิ รรมการออกกาลงั กาย ขั้นของการเปล่ียนแปลงน้ันจะประกอบไปด้วย 5 ขั้นคือ 1) ขั้นก่อนพิจารณา 2) ข้ันพิจารณา 3) ขั้น เตรยี มการ 4) ขน้ั ปฏบิ ัติ และ 5) ขน้ั รกั ษาสภาพ

202 ขั้นของการเปล่ยี นแปลง การออกกาลังกาย (Exercise) (Stages of Change) ข้นั ก่อนพิจารณา ยงั ไมไ่ ดอ้ อกกาลงั กายและไม่มกี ารวางแผนหรือไม่มคี วามตง้ั ใจทจ่ี ะเปล่ียนแปลง (Precontemplation) พฤตกิ รรมการออกกาลงั กายภายในเวลา 6 เดือน ขา้ งหนา้ ขัน้ พจิ ารณา ยังไม่ไดอ้ อกกาลังกายแตม่ ีการวางแผนและมคี วามตัง้ ใจทีจ่ ะเปล่ียนแปลงพฤติกรรม (Contemplation) การออกกาลังกายภายในเวลา 6 เดอื น ข้างหนา้ ขั้นการเตรยี มการ ยงั ไมไ่ ด้ออกกาลังกายแตม่ ีการวางแผนและมคี วามตง้ั ใจท่จี ะเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม (Preparation) การออกกาลังกายในอนาคตอันใกลภ้ ายในเวลา 1 เดือน ขนั้ ปฏบิ ตั ิ ได้ออกกาลังกายแล้วแต่ออกกาลงั กายมานอ้ ยกว่า 6 เดอื น (Action) ข้นั รักษาสภาพ ไดอ้ อกกาลังกายมาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 6 เดอื น (Maintenance) ข้ันของการเปลีย่ นแปลงจะมลี าดบั ของพฤติกรรมการเปล่ียนไปตามกระบวนการของการเปลี่ยน ซึ่งจะ สามารถนามาอธิบายว่า เมื่อไหร่ (When) และอย่างไร (How) บุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงเป็นยุทธวิธีท่ีจะช่วยให้บุคคลบรรลุความสาเร็จไปตามข้ันที่แตกต่างกัน กระบวนการของการเปล่ียนจะประกอบไปด้วย 10 กระบวนการ โดยแบ่งได้เป็น 5 กระบวนการแรกซึ่งเป็น เรื่องของยุทธวิธีทางความคิดของบุคคล และอีก 5 กระบวนการหลังอันเป็นยุทธวิธีทางพฤติกรรมหรือส่ิงที่ทา ของบุคคล มีงานวิจัย (Marshell., & Biddle., 2001) รองรับว่า กระบวนการทางความคิด ซึ่งเป็น 5 กระบวนการแรกนน้ั วิธกี ารอย่างเชน่ การเพ่ิมความรูก้ ารพึงตระหนักของความเส่ียงต่อโรค จะมีค่าท่ีสูงที่สุด ขณะขั้นของการปฏิบัติ (Action) ในขณะที่กระบวนการทางพฤติกรรม เช่น มีการสนับสนุนทางสังคม จะสูง ท่ีสุดในขั้นรกั ษาสภาพ (Maintenance) ยุทธวิธีอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้บุคคลทาพฤติกรรมการเปล่ียนแปลงสาเร็จ ก็คือ การให้น้าหนักทาง ความคิดในการได้ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง (Pros) ซ่ึงนามาใช้ต่อต้านความคิดในการเสียประโยชน์ของ การเปล่ียนแปลง (Cons) สิ่งนี้ก็คือ ดุลยภาพในการตัดสินใจ (Decisional Balance) งานวิจัย (Marshell., & Biddle., 2001) สนับสนุนแนวความคิดว่าในขั้นของพฤติกรรมการเปล่ียนแปลงแรกๆ น้ัน จะมีแนวคิดในการ เสียประโยชน์มากกว่าการได้ประโยชน์ที่จะมาออกกาลังกาย ในข้ันเตรียมการ จะดูเหมือนว่ามีความเท่ากัน ระหวา่ งการได้ประโยชน์กับการเสียประโยชน์ และสุดที่ท้ายในทางตรงกันข้าม ขั้นรักษาสภาพจะมีการรับรู้ถึง การได้ประโยชนม์ ากกว่าการเสยี ประโยชน์

203 1.8 การไดป้ ระโยชน์ 1.6 การเสยี ประโยชน์ 1.4 1.2 ขั้นพิจารณา ข้ันเตรยี มการ ขนั้ ปฏิบัติ ขน้ั คงสภาพ 1 0.8 0.6 0.4 0.2 0 ขัน้ ก่อน พจิ ารณา ภาพท่ี 12.5 การเปลีย่ นแปลงหรือความแตกตา่ งของการได้ประโยชน์และเสยี ประโยชนต์ ามลาดบั ข้นั ที่มา : Marshell and Biddle (2001. อา้ งถงึ ใน Biddle., and Mutrie., 2008) การวิจัยของ Marshall และ Biddle (2001) พบว่า ความเช่ือในความสามารถของตนเอง (Self- efficacy) จะเพิ่มข้ึนตามขน้ั ของการเปล่ียนแปลง แต่รูปแบบของการเพ่มิ นั้นไม่เป็นไปในลักษณะเชิงเส้น (Non linear) 2.5 ขนั้ พจิ ารณา ขนั้ เตรียมการ ขนั้ ปฏิบตั ิ ขนั้ คงสภาพ 2 1.5 1 0.5 0 ขนั้ ก่อนพิจารณา ภาพท่ี 12.6 การเปล่ยี นแปลงในลักษณะไมใ่ ชเ่ ชิงเส้นของความเชื่อในความสามารถของตนเองตามลาดบั ขน้ั ท่มี า : Marshell and Biddle (2001. อ้างถึงใน Biddle., and Mutrie., 2008)

204 การนาแบบจาลองทฤษฎีข้นั ของการเปลย่ี นแปลงไปใชส้ ร้างแรงจงู ใจใหค้ นออกกาลังกาย ข้ันท่ี 1 บุคคลที่อยู่ในขั้นก่อนพิจารณา บุคคลท่ีอยู่ในขั้นน้ีไม่มีความตั้งใจท่ีจะเปล่ียน พวกเขาไม่ได้ ออกกาลงั กายอกี ท้ังยังไม่ตงั้ ใจทจ่ี ะเรม่ิ ออกกาลังกายดว้ ย พวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่านิสัยในการใช้ชีวิตประจาวัน ของเขาอย่างเช่น งานท่ีทาซ่ึงเป็นงานนั่งโต๊ะ จะเป็นปัญหาต่อสุขภาพ มีนักวิจัยหลายท่าน(อ้างถึงใน Marcus., and Forsyth., 2003) ศึกษาบุคคลท่ีอยู่ในขั้นนี้โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ บุคคลท่ีมีความเช่ือกับไม่มี ความเช่ือ ในส่วนของบุคคลท่ีไม่มี ความเชือ่ พวกเขาจะไมเ่ หน็ คณุ ค่าในการเปล่ยี นการใชช้ ีวติ อีกทั้งไม่สนใจว่า ถ้าไม่ได้ออกกาลังกายแล้วจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้ อย่างเช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน เป็นตน้ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ พวกเขาอาจจะมีความเขา้ ใจท่ีผดิ หรือคลาดเคลอ่ื นเกยี่ วกับผลของการ ออกกาลงั กาย ในกลุ่มท่ีมีความเชอ่ื ว่าการออกกาลังกายมีคุณค่าแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ใน กลุ่มนยี้ ังตอ้ งการข้อมูลขา่ วสารจากส่ือต่างๆ อีก อีกทั้งยังมีแนวคิดว่าการใช้ชีวิต แบบน่ังโต๊ะนั้น มีอิทธิพลต่อ ตัวเขามากกว่าแนวคิดของประโยชน์ในการออกกาลังกาย แล้วจะช่วยเขาเหล่าน้ันได้อย่างไร วิธีการท่ีดีที่สุด ก็คอื การให้ความรู้ คณุ ไมม่ ที างที่จะทาให้เขาเหล่าน้ี เปลี่ยนแปลงจากมีความตั้งใจไปสู่การทากิจกรรม แต่คุณ สามารถท่ีจะให้ข้อมูลเพื่อช่วยให้เขาเกิดความต้ังใจได้ การให้ข้อมูลอย่างง่าย เช่น แผ่นพับ ถ้าเป็นไปได้ คุณต้องเข้าไปคุยกับพวกเขาท้ังแบบบุคคลและแบบเป็นกลุ่มเพ่ือให้เขาค้นหาแง่คิดท่ีดีเกี่ยวกับการ ออกกาลงั กาย ข้ันที่ 2 บุคคลท่ีอยู่ในขั้นพิจารณา บุคคลในข้ันนี้เป็นคนที่ยังไม่ได้ออกกาลังกายแต่คิดท่ีจะ ออกกาลังกาย พวกเขาทราบถึงผลของการลงทุนในการทากิจกรรมว่าเป็นเร่ืองของผลกาไรและการขาดทุนใน การออกกาลังกาย แล้วจะช่วยบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร เหมือนเช่นกลุ่มที่เป็นขั้นก่อนพิจารณา บุคคลในขั้นน้ี ต้องการข้อมูล ถ้าโชคดีได้คุยกันแบบตัวต่อตัว เมื่อคุณมีการซักถามพูดคุยกับบุคคลเหล่าน้ี คุณจะสามารถพบ แนวคิดในเร่ืองการได้กาไรกับการขาดทุนในการออกกาลังกาย คุณเพียงแต่สร้างความเช่ือที่ถูกต้อง เช่น การออกกาลังกายจะสามารถช่วยให้ลดน้าหนักได้ 4 กิโลกรัมภายใน 30 วัน และเสริมแรงจูงใจด้วยข้อมูล ที่ถูกต้อง เช่น การออกกาลังกายควบคู่กับการกินอย่างมีเหตุผลจะช่วยให้คุณมีน้าหนักท่ีลดลงในอัตราที่ช้า แต่ว่าคุณจะเป็นผู้ท่ีมีสุขภาพดี คุณสามารถน่ังคุยกับเขาถึงการเสียประโยชน์หรือการขาดทุนเม่ือมา ออกกาลงั กายไดแ้ ลว้ หาทางออกรว่ มกนั ข้ันที่ 3 บุคคลท่ีอยู่ในข้ันเตรียมการ บุคคลในกลุ่มนี้ ตัดสินใจที่จะออกกาลังกายและการ ออกกาลังกายเป็นส่วนหน่ึงของชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความพร้อมที่จะเร่ิม บุคคลเหล่าน้ีอาจจะไปซ้ือ รองเท้าใหม่หรือเตรียมไปลงทะเบียนสมัครสมาชิกในสโมสรกีฬา ท่ีสาคัญ เขาเชื่อว่าการออกกาลังกาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพบุคคลกลุ่มนี้สามารถขายค่าสมัครสมาชิกสถานออกกาลังกายได้ง่ายแต่ยังมีความเส่ียงที่ สูงที่พวกเขาจะหยุดเล่นถ้ากิจกรรมที่เขาจะได้รับน้ันไม่ส่งผลจริงต่อส่ิงท่ีตั้งใจไว้ก่อนมาสมัครเขาก็จะเลิกเ ล่น คณุ สามารถท่ีจะพดู คยุ เปน็ การส่วนตัวหรือแบบเป็นกลุ่ม คุณสามารถท่ีจะช่วยเขาในเรื่องการต้ังเป้าหมายและ

205 การคาดหวัง เป้าหมายของคุณจะช่วยให้เขายังคงอยู่และเช่ือในความสาคัญในการออกกาลังกายและช้ีแจงถึง ว่า การออกกาลังกายอย่างเป็นประจาจะมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพในระยะยาวและการป้องกันโรคภัย ไข้เจ็บทีอ่ าจจะเกดิ ขน้ึ ขั้นท่ี 4 บุคคลท่ีอยู่ในขั้นปฏิบัติ บุคคลในกลุ่มน้ีได้เริ่มออกกาลังกายแล้ว แต่ยังไม่ได้คงอยู่กับการ ออกกาลังกายมาเกิน 6 เดือน นักวิจัยเชื่อว่า 6 เดือนแรก ของโปรแกรมการออกกาลังกายน้ันมีความยากมาก ส่งิ ทจ่ี ะช่วยไดใ้ นบุคคลกลุ่มน้ีจะคล้ายกับกลุ่มที่เป็นข้ันเตรียมการก็คือ การให้ความรู้อย่างต่อเนื่องท่ีจะนาไปสู่ ความเชื่อในการออกกาลังกายในด้านของการได้ประโยชน์และทาให้เขามีความเชื่อท่ีน้อยลงในความคิดของ การเสียประโยชน์ อีกท้ังสร้างความเชื่อท่ีถูกต้องท่ีว่าการออกกาลังกายท่ีมีความหนักกว่าการออกกาลังกายที่ ระดบั เบาจะสง่ ผลที่ดีกว่าในระดับของการลดชีพจรเป้าหมาย ท้ังน้ีเป็นเรื่องของการช่วยกันวางแผนร่วมมือกัน อยา่ งถูกตอ้ งในโปรแกรมการออกกาลงั กาย อีกท้ังการที่จะช่วยพวกเขาเหล่านี้ยังต้องคานึงถึงส่ิงที่จะมาเป็นตัว ขดั ขวางตา่ งๆ เชน่ ความคิดว่า “ฉนั ไม่มเี วลา ฉันเหนื่อยมามาก” เช่นนี้แล้วคุณจะต้องให้ข้อมูลในรายละเอียด ของประโยชน์ของการออกกาลังกาย เช่น การออกกาลังกายภายหลังเลิกงานทาให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับ สบาย และใสเ่ สื้อผา้ แลว้ ดูดีขึ้น ขั้นที่ 5 บุคคลท่ีอยู่ในข้ันรักษาสภาพ บุคคลในกลุ่มน้ียังคงการออกกาลังกายมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน แต่บคุ คลนีก้ ็ยังมคี วามเสย่ี งที่จะกลับไปใช้นิสัยเดิมๆ เช่น การออกกาลังกายที่น้อยลง ส่ิงท่ีจะช่วยได้คือ ให้เขา มกี ารวางแผนไปในทศิ ทางขา้ งหน้า สร้างการพบปะพูดคุยกัน และเสริมแรงในความคิดของการได้ประโยชน์ใน การออกกาลังกาย พูดคุยกันเกี่ยวกับสมรรถภาพทางกายและสุขภาพที่เปล่ียนแปลงไปในด้านอารมณ์ ถ้าเขา เบ่ือก็ควรแนะนาให้ลองทากิจกรรมใหม่ๆ ท่ีได้ประโยชน์คล้ายๆ กัน บางคร้ังบุคคลในกลุ่มนี้ก็ต้องการผู้ที่คอย ให้คาแนะนาเพ่ือยกระดับจติ ใจในการรักษาสภาพของกิจกรรม ดังท่ีกล่าวมาท้ังหมดนี้จะเห็นได้ว่า บุคคลในยุคปัจจุบันขาดการออกกาลังกายท่ีเพียงพอ โดยที่ทราบ กันดีแล้วว่าการออกกาลังกายจะช่วยให้บุคคลได้ประโยชน์ มีสุขภาพที่แข็งแรงข้ึน หลีกเล่ียงโรคภัยไข้เจ็บท่ี อาจจะเกดิ ขึน้ ถา้ ขาดการออกกาลังกาย อีกท้ังยังช้ีให้เห็นถึงทฤษฎีที่เก่ียวข้อง ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการทาความ เข้าใจและอธิบายถึงพฤติกรรมการออกกาลังกายของบุคคล โดยทฤษฎีดังกล่าวนั้นเป็นทฤษฎีท่ีใช้กัน อย่างแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป และท้ายที่สุดก็คือ การนารูปแบบทฤษฎีลาดับขั้นของการเปลี่ยนแปลง มาใชก้ ับบคุ คลเพอื่ จูงใจให้บุคคลออกกาลงั กายอันเป็นสาระสาคญั ทส่ี ุดตอ่ ไป สรปุ แรงจูงใจเป็นแนวโน้มของพฤติกรรมมนุษย์ท่ีมีทิศทางและมีการเลือกเฟ้นเองในการท่ีจะกระทาส่ิงใด ส่ิงหนึ่งแนวโน้มของพฤติกรรมดังกล่าวจะยังคงอยู่ได้โดยจะต้องมีเป้าหมาย (goal) เพ่ือการใฝ่สัมฤทธิ์ ดังนั้น การตัดสินใจของบุคคลท่ีจะออกกาลังกายจึงสะท้อนไปถึงการให้ความสาคัญไปที่ความ ต้องการและการ ใฝ่สัมฤทธิ์ที่แสดงออกมา อุปสรรคเป็นการรับรู้ถึงสิ่งที่มาขัดขวางต่อพฤติกรรม อาจเป็น สิ่งที่เกิดข้ึนจริงหรือ คาดคะเน อุปสรรคเปรียบเสมือนสิ่งขัดขวางไม่ให้บุคคลปฏิบัติพฤติกรรม หรือจูงใจให้หลีกเล่ียงที่จะปฏิบัติ

206 พฤติกรรมเป็นปัจจยั ดา้ นสติปญั ญาและความรูส้ กึ ท่ีเฉพาะต่อพฤติกรรม เม่ือบุคคลมี ความพร้อมในการกระทา ต่าและมีอุปสรรคมาก การกระทาน้ันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามีความพร้อมในการกระทาสูงและมีอุปสรรคน้อย ความเป็นไปไดใ้ นการกระทากม็ ากขน้ึ โดยอปุ สรรคเปน็ ตัวแปรท่ีสาคัญที่สามารถทานายพฤติกรรมทางสุขภาพ ได้ คาถามท้ายบทที่ 12 หลังจากได้ศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ โดยอาศัยหลักวิชาการและ ความคดิ เห็นของนกั ศกึ ษาประกอบในการตอบคาถาม 1. จงอธบิ ายถึงประโยชนข์ องแรงจูงใจในการออกกาลังกายมาใหเ้ ข้าใจ 2. จงอธิบายถงึ ผลของอปุ สรรคในการออกกาลงั กายมาให้เข้าใจ 3. จงอธิบายถึงทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั จิตวทิ ยาการออกกาลงั กายมาให้ครบถว้ น 4. จงอธิบายถงึ หลกั การและประโยชน์ของการนาแบบจาลองทฤษฎีขน้ั ของการเปล่ียนแปลงไปใช้ใน การสร้างแรงจูงใจให้คนออกกาลงั กายมาใหเ้ ข้าใจ

207 เอกสารอา้ งอิง Anshel, M. 2007. Conceptualizing applied exercise psychology. The Journal of the American Board of Sport Psychology. Volume 1-2007. Berger, B. G., D. Pargman, and R.S. Weinberg. 2002. Foundations of exercise psychology. Fitness Information Technology, Morgantown, WV. Biddle, S. J. H. and Fuchs, R. 2009. Exercise psychology: A view from Europe. Psychology of Sport and Exercise. xxx: 1-10. Biddle, S. J. H. and Mutrie, N. 2008. Psychology of physical activity: determinants, well-being, and interventions. 2nd ed. Routledge, New York. Hagger, M. and Chatzisarantis, N. 2005. The social psychology of exercise and sport. 1st ed. Open University Press, England. Irwin, M. L., S.S. Tworoger, Y. Yasui, B. Rajan, L. McVarish, 2004. Influence of demographic, physiologic, and psychosocial variables on adherence to a yearlong moderate-intensity exercise trial in postmenopausal women. Preventive Medicine 39: 1080-1086. Marcus, B. H. and Forsyth, L. H. 2003. Motivating people to be physically active. Human Kinetics, United States. Marshall, S. J. and Biddle, S. J. H. 2001. The transtheoretical model of behavior change: A meta-analysis of applications to physical activity and exercise. Annals of Behavioral Medicine 23: 229-246. Pender, N. J., 1996. Health Promotion in Nursing Practice. 2nd ed. Norwalk. Conn: Appleton and Lenge.

208 Pender, N. J., & Stein, K. F. 2002. Social support, the self system, and adolescents health and health behavior. In L. L. Hayman, M. M. Mahoo, & J. R. Turner (Eds.), Health and behavior in childhood and adolescence (4th ed., pp. 37-68). New York: Springer. Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A. 2002. Health Promotion in Nursing Practice. 4th (ed). New Jersey : Pearson Education, Inc. Yoo, J. 1991. Analyses of multidimentional factors influencing adherence to exercise. Korean Journal of Sport Science 3: 84-93.

209 บรรณานกุ รม กระทรวงสาธารณสุข. กรมสขุ ภาพจติ . 2541. การพัฒนาแบบประเมินและวเิ คราะหค์ วามเครียดดว้ ยตนเอง สาหรับประชาชนไทยด้วยคอมพวิ เตอร์. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ทีคอม. กณุ ฑล สนั ทัดการ. 2549. พฤติกรรมการใช้จติ วิทยาการกีฬาของผู้ฝกึ สอนบาสเกตบอลในการแข่งขนั กฬี า นักเรยี นนักศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 27. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. กรงุ เทพฯ : บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. อัดสาเนา. จรลั พงษ์ สาหรา่ ยทอง. 2551. ผลการฝึกดว้ ยโปรแกรมการฝกึ ยิงประตบู าสเกตบอลควบคกู่ ับการฝึก จนิ ตภาพและการฝึกควบคมุ การหายใจ ท่ีมีต่อความแมน่ ยาในการยงิ ประตบู าสเกตบอล 3 คะแนน. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรงุ เทพฯ : บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. เจริญ กระบวนรตั น์. 2525. การฝึกจิตวทิ ยาก่อนการแข่งขัน. วารสารการกฬี า. 16(6) : 38-39. ฉตั รกมล สงิ ห์นอ้ ย. 2547. ปญั หาการใช้จิตวิทยาการกีฬาในปจั จุบันของประเทศไทย. สารวทิ ยาศาสตร์ การกีฬา, 5(56), 4-6. ฉัตรกมล สงิ ห์น้อย และ นฤพนธ์ วงศจ์ ตุรภทั ร. 2551. ความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตขุ องปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อการ หมดไฟในนกั กฬี า. วารสารวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารกฬี า, 8(1). เฉลิม ทรพับ. 2534. ผลของการฝึกผอ่ นคลายความเครยี ดของกล้ามเน้ือทมี่ ีต่อความสามารถในการเสิร์ฟ วอลเลยบ์ อลแบบมือบนเหนือศรษี ะ. ปริญญานพิ นธ์ ศศ.ม. กรงุ เทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. อัดสาเนา. ชวนชม บารุงเสนา. 2546. มหศั จรรยก์ ารสงั่ จติ เพอื่ บาบัดและเพ่ิมศักยภาพ. สงขลา : โรงพมิ พช์ านเมือง. ชาญชัย โพธิ์คลัง. 2532. หลกั พน้ื ฐานทางวิทยาศาสตร์ในการฝกึ การกีฬา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. เชวงพจน์ ครองธานนิ ทร์. 2549. ความวติ กกงั วลตามสถานการณข์ องนักกีฬายงิ ปืนในการแขง่ ขันกีฬา มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย คร้ังที่ 33. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ : บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. ชศู กั ด์ิ พฒั นมนตรี. 2546. จิตวทิ ยาการกีฬาและการนาไปใช้. สารวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา. 4(43) : 14-15. เทเวศร์ พิรยิ ะพฤนท์. 2529. หลักการฝึกกีฬาว่ายนา้ . กรงุ เทพฯ : สยามบรรณาการพิมพ์. ธงชัย สุขดี. 2532. ความวติ กกังวลของนักกีฬาประเภทบุคคล ประเภททีม และประเภทตอ่ สปู้ ้องกันตวั . ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. อัดสาเนา. ธนะรตั น์ หงส์เจรญิ . 2539. เทคนคิ การสอน: การจัดการแขง่ ขัน แบดมินตัน. กรงุ เทพมหานคร : ศูนย์หนังสอื จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ธวชั ชยั มศี รี. 2542. ผลของการฝึกด้วยการสร้างจินตภาพและการกาหนดเป้าหมายท่มี ีต่อความแม่นยาใน การโยนโทษบาสเกตบอล. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาโท, มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมิตร. ประทกั ษ์ ลขิ ติ เลอสรวง. 2545. เทคนคิ การคลายเครยี ดฉกุ เฉนิ . (ออนไลน์). แหลง่ ท่ีมา http://www.vichaiyut.co.th/jul/22_02-2545/22_02_2545_p62-65.pdf ปราณี อยู่ศริ ิ. 2542. ความสัมพนั ธ์ระหว่างความวติ กกังวลอนั เปน็ ลักษณะนิสัยและเจตคติที่เกีย่ วข้องกับงาน และตนเองท่ีมีต่อการเลน่ กีฬาของนักกีฬามหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (พลศึกษา). กรงุ เทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร.

210 นฤพนธ์ วงศ์จตุรภทั ร. 2537. ความรสู้ กึ ที่ดีต่อตนเอง. (เอกสารการสอนวิชาจติ วิทยาการกฬี า). ชลบรุ ี : ภาควชิ าพลศึกษา มหาวทิ ยาลยั บูรพา. ______. 2539. จติ วิทยาการกฬี า. เอกสารการสอน. ชลบรุ ี : ภาควชิ าพลศกึ ษาและสันทนาการ คณะ ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา. นฤพนธ์ วงศ์จตรุ ภัทร และศรุตี ศรจี นั ทวงศ์. 2550. การศึกษาการระบสุ าเหตจุ ากผลการแขง่ ขนั ของนักกีฬา ท่ีเขา้ ร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอรเ์ กมส์ คร้ังที่ 1 ณ ประเทศไทย. กองวจิ ยั และพัฒนา ฝ่ายวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา การกฬี าแห่งประเทศไทย. นัยนา บพุ พวงศ์. 2540. จติ วิทยาการกีฬา. (เอกสารการสอนวิชาจติ วิทยาการกีฬา). สพุ รรณบรุ ี : วทิ ยาลัย พลศกึ ษา จังหวดั สุพรรณบุรี. นริศ กิจเพิ่มพนู . 2533. บทบาททางจติ วทิ ยาการกีฬาต่อการปรับปรุงพฤตกิ รรมนักกฬี าในทัศนผูบ้ ริหารและ ผู้ฝกึ สอน. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. ชลบรุ ี: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั บรู พา. อัดสาเนา. นิพวรรณ ใจทะนง. 2551. ความเครียดและการขจดั ความเครยี ดของทีมเรือพายประเภทยคั – แคนู ทีมชาตไิ ทย ชดุ ซีเกมส์ ครงั้ ท่ี 24. การค้นคว้าอิสระ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. ประเสรฐิ ไชย สขุ สอาด. 2540. ปจั จัยทค่ี ดั สรรที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความก้าวรา้ วในการกฬี าของนักกีฬา มหาวทิ ยาลัยทม่ี ีความสามารถแตกต่างกัน. วารสารสุขศึกษาพลศึกษาและสนั ทนาการ. 28(3-4) : 63-76. พงศ์ปกรณ์ พิชติ ฉัตรธนา. 2549. สะกดจิตบาบัด. ปรญิ ญานิพนธ์ วท.ม (จิตวิทยาการใหค้ าปรึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวทิ ยาลัยมหาวิทยาลยั รามคาแหง. ถา่ ยเอกสาร. พงษ์พันธ์ พงษโ์ สภา. 2542. จติ วทิ ยาการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา. พนมไพร ไชยยงค์. 2542. เอกสารประกอบการสอนวิชาจิตวทิ ยาการศึกษาและการแนะแนว. สุพรรณบุรี : วิทยาลัยพลศกึ ษาจังหวดั สุพรรณบุรี. พรรณพิไล ศรอี าภรณ์ และสุจติ รา เทียนสวัสด์ิ. 2549. ความเครียดและภาวการณม์ ปี ระจาเดอื นในนักกีฬา สตรรี ะดับอุดมศึกษา. พยาบาลสาร, 33(2). 74-85. พลศึกษา, กรม. 2527. จติ วทิ ยาการกีฬาเบื้องตน้ . กรงุ เทพฯ : ธนประดษิ ฐก์ ารพิมพ์. พลศกึ ษา, กรม. 2556. จติ วิทยาการกีฬา. กรุงเทพฯ : สานกั งานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะหท์ หาร ผ่านศกึ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์. พงษ์พันธ์ สนุ ทรสิต. 2535. อาวธุ ลับของผู้ฝึกสอนกีฬา. วารสารจติ วิทยาการกีฬา. 3(1-3) : 34-36. วัชรนิ ทร์ เสมามอญ. 2540. นักกีฬากับการต้งั เปา้ หมาย. วารสารวทิ ยาศาสตร์การออกกาลังกายและกีฬา. 1(2) : 86. พิชิต เมืองนาโพธิ์. 2534. เอกสารประกอบการสอน พล 437 จติ วิทยาการกฬี า. กรุงเทพฯ : ภาควชิ า พลศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. ______. 2542. “การจดั การกบั ความเครยี ด”. ในเอกสารประกอบการบรรยาย การอบรมเชิง ปฎิบัตกิ ารวิทยาศาสตร์การกีฬา : กรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. ______. 2543. ความสัมพันธร์ ะหว่างความวติ กกังวลกบั ระดบั การแสดงความสามารถในการแข่งขันของ นกั กีฬาเซปกั ตะกร้อหญิงโรงเรียนกีฬา จังหวดั สพุ รรณบุรี. รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ นครนายก. ______ . 2545. สมรรถภาพทางจิต. จุลสารกีฬา. (กรกฎาคม) : 13.

211 ______ . 2551. จิตวทิ ยาการกีฬา เทคนคิ การเอาชนะ นักกฬี าไทยยังไมค่ ่อยมี. (ออนไลน์). แหลง่ ที่มา http://pe.swu.ac.th/cms/index.php?option=com_content&view มกุ ดา ศรยี งค์. 2540. จติ วทิ ยาท่วั ไป. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าจิตวทิ ยา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. โยธิน ศนั สนยุทธ. 2531. เอกสารคาสอนจติ รวทิ ยา. กรุงเทพฯ : คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ลกั ขณา สริวฒั น.์ 2530. จติ วทิ ยาเบ้อื งต้น. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์. ณัฐชา สันติปาตี. 2549. ศึกษาความสมั พันธ์ของความวิตกกังวลทางกาย โดยการใชแ้ บบทดสอบ CSAI-2R และ Polar S810i. ปรญิ ญานิพนธ์ วท.ม. (วทิ ยาศาสตรก์ ารกฬี า). กรงุ เทพฯ : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. ศราวธุ อินทราพงษ์. 2543. การนาจิตวทิ ยาการกฬี าไปใช้สาหรบั ผฝู้ ึกสอนที่เคยและไม่เคยได้รับการอบรม ทางดา้ นจติ วทิ ยาการกีฬา. วทิ ยานพิ นธ์ วท.ม. ชลบรุ ี : บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั บูรพา. อัดสาเนา. ศิริพร จิรวัฒน์กลุ . 2530. “ครกู ับการชว่ ยเหลอื นักเรียนที่ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉนิ ทางจติ เวช,” วารสาร แนะแนว. กรงุ เทพฯ. ศิลปชยั สวุ รรณธาดา. 2532. จติ วทิ ยาการกีฬา (เอกสารชมรมจติ วิทยาการกฬี าแห่งประเทศไทย). กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ______. 2533. การเรยี นรู้ทกั ษะการเคลอื่ นไหว ( ทฤษฎีและการปฏิบตั กิ าร ). ภาควชิ าพลศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ______ . 2548. การสะกดจติ กับการกีฬา. (ออนไลน์). แหลง่ ทม่ี า http://www.thaihypno.com/doc/window.php?topicid=74 วรศักด์ิ เพยี รชอบ. 2532. การเตรยี มตัวนักกีฬาดา้ นจิตวิทยาก่อนเข้าแข่งขนั . (เอกสารวิชาการชมรม จิตวทิ ยาแหง่ ประเทศไทย. กรุงเทพฯ. ______. 2534. บทบาทของจติ วิทยาการกีฬาที่มีต่อการสอนและพลศกึ ษา. วารสารจิตวิทยาการกีฬา. วนิชชา ศรีตะปัญญะ. 2552. การวจิ ยั ดา้ นจิตวิทยาการออกกาลังกายและการกีฬาในประเทศไทย. คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวทิ ยาลยั บรู พา. วิทวสั ศรีโนนยางค์. 2552. การศกึ ษาความเขม้ แขง็ ทางจิตใจของนักกีฬาทีมชาตไิ ทยประเภททมี และประเภท บคุ คลที่เข้ารว่ มการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครง้ั ท่ี 24 ณ จงั หวดั นครราชสมี า. ปริญญานพิ นธ์ วท.ม. กรงุ เทพฯ : บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. อัดสาเนา. วลิ าสลกั ษณ์ ชวั วาล.ี 2538. การรบั ร้คู วามสามารถของตนเองในเร่ืองอาชีพ : ตวั แปรทนี่ ่าสนใจในการศึกษา เกยี่ วกบั อาชีพและการทางาน; จติ วิทยา.2(1) : 92-109 สมบัติ กาญจนกจิ . 2532. จติ วทิ ยาการกีฬา (เอกสารการสอนวชิ าจติ วิทยาการกีฬา). กรุงเทพฯ: ภาควชิ า พลศกึ ษา คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมบตั ิ กาญจนกจิ และ สมหญิง จันทรุไทย. 2542. จติ วิทยาการกีฬา แนวคดิ ทฤษฎีสกู่ ารบฏิบตั ิ. พิมพค์ ร้ังที่ 1. กรงุ เทพฯ : สทุ ธาการพิมพ.์ สมบูรณ์ ลขิ ิตยง่ิ วรา. 2548. การศึกษาความเขม้ แขง็ ทางจิตใจของนักวิ่งและนักจกั รยานเสอื ภูเขาทเี่ ข้าร่วม การแข่งขันจอมบึงมาราธอน ครัง้ ที่ 16 และจักรยานเสือภูเขา ครั้งท่ี 8. ปรญิ ญานิพนธ์ ค.ม. (คณะครุศาสตร์). ราชบุรี : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ . ถา่ ยเอกสาร.

212 สมโภชน์ เอ่ยี มสภุ าษิต. 2536. ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรับพฤติกรรม. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. สชุ า จันทนห์ อม. 2527. จิตวทิ ยาทั่วไป. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ . สชุ าดา สุธรรมรกั ษ.์ 2531. เอกสารประกอบการสอนวิชา จต 101 จิตวทิ ยาเบ้ืองต้น. ภาควชิ าการแนะแนว และจิตวทิ ยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ. สปุ ราณี ขวัญบุญจนั ทร์. 2541. จิตวิทยาการกฬี า. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ จากัด. สพุ ัชรินทร์ ปานอุทัย และนฤพนธ์ วงศจ์ ตรุ ภทั ร. 2551. การพัฒนาและวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบแหลง่ ความเช่ือมน่ั ทางการกีฬาของนักกีฬาระดบั อุดมศึกษาไทย. วารสารวิทยาศาสตรก์ ารออกกาลงั กาย และกีฬา, 1(6), น. 82 – 97. สพุ ติ ร สมาหิโต. 2546. จิตวทิ ยาการกีฬาสาหรบั ผูฝ้ ึกสอนและนกั กีฬา. สารวิทยาศาสตรก์ ารกีฬา. 1, 35 (มีนาคม) : 11-17. สรุ นิ ทร์ สทุ ธธิ าทพิ ย์. 2539. ความเครียดและการจดั การความเครยี ด (เอกสารการสอนวิชาจติ วทิ ยา การกีฬา). ชลบรุ ี : ภาควิชาการแนะแนวและจิตวทิ ยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. อัดสาเนา. สบื สาย บุญวรี บุตร. 2539. ประวตั ิจิตวิทยาการกีฬา. วารสารจติ วิทยาการกีฬา. หน้า 28-30. ชลบรุ ี : วทิ ยาลัยพลศกึ ษา จงั หวัดชลบุรี. ______. 2540. จิตวิทยาการกฬี ากบั การประยุกต์ใช้สาหรับผู้ฝกึ สอน. (เอกสารการสอนวิชาจิตวิทยา การกีฬา). ชลบรุ ี : วิทยาลัยพลศกึ ษา จังหวัดชลบุร.ี ถ่ายเอกสาร. ______. 2541. จติ วทิ ยาการกีฬา. ชลบุรี : ชลบรุ ีการพมิ พ์. ______. 2542. จิตวิทยาการกีฬา. เอกสารประกอบการบรรยาย ในการอบรมเชงิ ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ การกีฬา เรื่อง การพัฒนาวิทยาศาสตรก์ ารกฬี าเพ่ือเตรยี มพรอ้ มเขา้ สูศ่ ตวรรษท่ี 21. โรงแรมสยาม อินเตอร์คอนติเนนตลั และโรงแรมโซลทวินทาวเวอร์ กรงุ เทพมหานคร, 2-6 สงิ หาคม. สน่นั สนธเิ มอื ง. 2536. การศกึ ษาเทคนิคจติ วิทยาการกีฬาของผูฝ้ ึกสอนทีมชาติไทยและกีฬามหาวทิ ยาลยั . วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (พลศึกษา). กรงุ เทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ถา่ ยเอกสาร. อบรม สินภบิ าล. (ม.ป.ป). รวมทฤษฎจี ิตวทิ ยา. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์. อมรรตั น์ ศิริพงศ์. 2540. การศึกษาความเข้มแข็งทางจิตใจของนักกีฬาทเี่ ข้ารว่ มในการแข่งขนั กีฬาแหง่ ชาติ ครั้งที่ 30. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถา่ ยเอกสาร. อร่าม ตัง้ ใจ. 2539. จติ วิทยาการกีฬา (แรงจงู ใจ), การฝกึ สมรรถภาพทางกาย. กรุงเทพฯ : ไทยมิตร การพมิ พ์. อารยี ์ พันธุม์ ณี. 2534. จติ วิทยาการสอน. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ต้นอ้อจากัด. Anshel, M. 2007. Conceptualizing applied exercise psychology. The Journal of the American Board of Sport Psychology. Volume 1-2007. Bandura, A. 1997. Self-efficacy : Toward a unifying theory of behaviour change. psychological review. 84:191-215. ________. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice-Hall. ________. (1986). Social Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive Theory. Englewood Cliffs. New Jersey : Prentice-Hall.

213 Berger, B. G., D. Pargman, and R.S. Weinberg. 2002. Foundations of exercise psychology. Fitness Information Technology, Morgantown, WV. Biddle, S. J. H. and Fuchs, R. 2009. Exercise psychology: A view from Europe. Psychology of Sport and Exercise. xxx: 1-10. Biddle, S. J. H. and Mutrie, N. 2008. Psychology of physical activity: determinants, well-being, and interventions. 2nd ed. Routledge, New York. Billingsley, H. 2007. Building confidence through motivation. Retrieved April,13, 2007, from the United State Professional Diving Coaches Association, Retrieved December 20, 2009. Butler, R.J. 1997. Sport Psychology in Performance. Oxford : Butterworth-Heinemann. Cox, R.H. 2012. Sport psychology : Concept and Applications. 7th edition. McGraw – Hill Company, USA. Cresswell, S. L. 2002. KEY QUESTIONS ON MENTAL TOUGHNESS, Australia. Department of Human Movement and Exercise Science, University of Western Australia. Edward Maupin. 2001. Concentration and Hypnosis. (Online). Available: http://www.geocities.com/seaoutsiders/sakodjid1.htm Fourie, S.;& Potgieter, J. R. 2001. The nature of mental toughness in sport. Journal for Research in Sport, Physical Education and Recreation, 23, 63-72. Gluecx, W.F. 1982. Personal : A Diagnostic Approach. Goldberg, A. 2002. Improve mental toughness focus concentration : Sport Psychologist Dr Alan Goldberg. The Sportcoach.com. (Online). Hagger, M. and Chatzisarantis, N. 2005. The social psychology of exercise and sport. 1st ed. Open University Press, England. Hilgard, Ernest R. 1962. Introduction to Psychology. New York : Hart Court, Brace World Inc. Hoover, Andrea J. 2006. A Study of Student-athletes and Coaches Views on Mental Toughness : Master Thesis, M.A.(Art) Marietta. College Marietta College. Huang, C.J., Wang, P.T. & Hsu, C.Y. 2004. The influence of athletes’ attributes on source of sport confidence., 11, 1-17. Retrieved December 30, 2006, from the Chinese Electronic Periodical Services. Irwin, M. L., S.S. Tworoger, Y. Yasui, B. Rajan, L. McVarish, 2004. Influence of demographic, physiologic, and psychosocial variables on adherence to a yearlong moderate- intensity exercise trial in postmenopausal women. Preventive Medicine 39: 1080-1086. Jones, G.;& Connaughton, D. 2002. What is this thing called mental toughness? An investigation of elite sport performers. Journal of Applied Sport Psychology. 14 : 205-218.

214 Kentta, G., Hassmen, P., & Raglin, J.S. 2001. Training practices and overtraining syndrome in Swedish age group athletes. International Journal of Sport Medicine, 22, 1-6. Locke, E.A. and Latham, G.P. 1985. The Application of Goal Setting to Sport. Journal of Sports Psychology. 1985. 7 : 205 – 222. Marcus, B. H. and Forsyth, L. H. 2003. Motivating people to be physically active. Human Kinetics, United States. Marshall, S. J. and Biddle, S. J. H. 2001. The transtheoretical model of behavior change: A meta-analysis of applications to physical activity and exercise. Annals of Behavioral Medicine 23: 229-246. Maslow, A.H. 1954. Motivation and Personality. New York : Harper. Maslow, Abraham H. 1970. Motivation and Personality. 2nd ed. New York: Harper & Row. Middleton, S.C. ;& et al. 2003. Mental Toughness: Is the mental toughness test tough enough? International Journal of Sport and Exercise Science. Molinero, O., Salguero, A., Tuero, C., Alvarez, E., & Marquez, S. 2006. Dropout reasons in young Spanish athletes: relationship to gender, type of sport and level of competition. Journal of Sport Behavior, 29, 255-269. Morris, T. & Summers, J. 2004. Sport psychology: Theory, applications and issues. Australia : John Wiley & Sons. Pender, N. J., 1996. Health Promotion in Nursing Practice. 2nd ed. Norwalk. Conn: Appleton and Lenge. Pender, N. J., & Stein, K. F. 2002. Social support, the self system, and adolescents health and health behavior. In L. L. Hayman, M. M. Mahoo, & J. R. Turner (Eds.), Health and behavior in childhood and adolescence (4th ed., pp. 37-68). New York: Springer. Pender, N.J., Murdaugh, C.L. & Parsons, M.A. 2002. Health Promotion in Nursing Practice.4th(ed). New Jersey : Pearson Education, Inc. Poh, Y.K. & Smith, D. 2001. Effect of age, gender and sport – type on source of sport confidence. Master’ s thesis. National Institute of Education, Nanyang Technological University. Rainer_Martens” Martens, R. 2004. Successful Coaching. 3rd edition. Human Kinetics book, Illinois. Raglin, J. D., and Wilson, G. S. 2000. Overtraining in athletes. In Y. L. Hanin (Ed.), Emotions in sport (pp. 191-207). Champaign, IL: Human Kinetics. Vealey, R.S., Hayashi S.W., Garner, H.G. & Giacobbi, P. 1998. Source of sport confidence: Conceptualization and instrument development. Journal of Sport and Exercise Psychology, 20, 54-80. Weinberg, R.S. & Gould, D. 2007. Foundations of sport and exercise psychology. 4th ed. Illinois. Human Kinetics.

215 Weinberg, R.S. & Gould, D. 2011. Foundations of sport and exercise psychology. 5th ed. Illinois. Human Kinetics. Yoo, J. 1991. Analyses of multidimentional factors influencing adherence to exercise. Korean Journal of Sport Science 3: 84-93.