Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู

ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู

Description: ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู

Search

Read the Text Version

๓๖ ๘) เจาะรูของท่อเสียงแต่ละท่อ โดยน้าท่อมาเทียบกับน้าเต้าแล้วใช้มือวางทาบให้พอดี กระชบั กับมือ ใชม้ ีดขดู ผิวน้าเต้าเพื่อท้าเครื่องหมาย จากนนั ใช้มีดปลายแหลมเจาะรู ๙) น้าลินมาวัดกับท่ออีลิลิเพื่อ หาขนาดช่องส้าหรับใส่ลิน จากนัน เจาะท่อเสียงให้ได้ขนาด ตามท่วี ัด น้าขีชันโรงตดิ ในช่องของท่อให้อยู่ตรงกลางของช่อง เพ่ือกันเสียงให้มากระทบกับลินจากนัน น้าลินมาวางติดกับท่อเสียงอีลิลิ ใช้ขีชันโรงติดขอบลินกับท่ออีลิลิให้แน่นสนิท หากขีชันโรงติดมือ มี วิธีแก้ไขโดย ใช้นิวหัวแม่มือ กับนิวชีถูบริเวณหน้า จมูก หรือ คาง เพื่อให้ได้น้ามันจากผิวหน้าป้องกัน การตดิ มือของขชี ันโรงได้เป็นอย่างดี ภาพท่ี ๒.๓๐ ลนิ เมอ่ื ตดิ กับท่อ ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ การใส่ลินเร่ิมจากการใส่ลงไปที่ท่อเสียงตามล้าดับดังนี ท่ออีลิลิ ท่ออีผ่าหมู่ ท่ออีมาหมู่ ท่ออี แลแล และ ท่ออฮี าฮา เมื่อติดลินเข้ากับท่อเสียงเสร็จ ต้องลองเป่าดูว่าถ้าเสียงสูงไปให้ขูดลินออกเล็กน้อยโดยน้าไม้ ขนาดเล็กสอดมาจากทางหัวท่อเสียงผ่านทะลุมาค้าลินแล้วจึงใช้ส่ิวขูดผิวลินออกอีก หรือถ้าเสียงต่้า เกินไปใช้ขีผึงขนาดเล็ก ๆ ถ่วงไว้ท่ีบนลิน การเทียบเสียงนัน ต้องใช้ทักษะการฟัง สามารถจ้าเสียงได้ ต้องมปี ระสบการณใ์ นการบรรเลงฝู่หลูไดด้ ้วย

๓๗ ภาพที่ ๒.๓๑ ประกอบทอ่ เสยี งเขา้ ไปในนา้ เต้า โดยใหล้ ินอยู่ขา้ งใน ทม่ี า: องอาจ อินทนิเวศ ๓.๔ ลักษณะการบรรเลงฝหู่ ลู ฝหู่ ลู เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเครอ่ื งลม ก้าเนดิ เสียงโดยการเปา่ หรือดูด แลว้ ใช้ปลายนิวปิด รูท่อท่ีต้องการเพ่ือให้เกิดเสียง ส่วนท่อไหนท่ีไม่ปิดรู เสียงก็จะไม่เกิดในการบรรเลงฝู่หลูนัน ผู้เป่า จะตอ้ งเตน้ ร้าไปดว้ ยขณะเป่า ซง่ึ มีรายละเอียดของลักษณะการบรรเลง ดงั นี ๑) การจับเคร่อื ง การจับฝู่หลู เป็นสิ่งท่ีต้องให้ความส้าคัญเป็นอันดับแรก เน่ืองจาก จะมีผลต่อการ บรรเลง และความไพเราะของเสียงที่เป่าออกมา การจับต้องจับให้กระชับ สบาย ไม่ แนน่ หรอื หลวมจนเกนิ ไป หากจบั แนน่ ไปจะท้าใหไ้ มค่ ลอ่ งตัวในการเปลี่ยนนิว และหาก จับหลวมเกนิ ไปจะทา้ ใหเ้ ครือ่ งหลุดมอื ได้ เพราะเม่ือบรรเลงฝู่หลูในสถานการณ์จริงนัน จะต้องมีการเตน้ เคล่อื นไหวเทา้ ประกอบไปดว้ ย จงึ อาจท้าให้หลุดมือได้ ๒) การวางนวิ การวางนิวของปาลฝิ ู่หลู มือซ้ายเป็นมือที่ส้าคัญในการควบคุมการเปลี่ยนเสียง คือจะใช้นิวปิดรูท่อต่างๆ เพ่ือให้เกิด เสียงไปตามท้านองเพลง และยังช่วยประคองตัวเคร่ืองอีกด้วย การวางมือจะใช้อุ้งมือประคองท่ีตัว น้าเต้า และใช้นิวกลางวางพาดใต้ท่ออีแลแล และอีฮาฮา เป็นการประคองท่อเสียง ส่วนนิวโป้ง นิวชี และนิวนาง ท้าหนา้ ท่เี ปดิ ปิดรทู ่อเสยี ง เพ่อื ควบคมุ การเปล่ยี นแปลงเสยี ง โดยนิวโป้งจะวางท่ีรูท่อ อีผ่า หมู่ นิวชีวางอยูท่ อ่ อีมาหมู่ และนิวนางวางพาดท่รี ูท่อ อีฮาฮา และอีแลแล ใช้เปิดปิดทีละรูหรือสองรูก็ ไดแ้ ลว้ แตท่ า้ นองเพลง

๓๘ นอกจากนียังมีข้อสังเกตว่า นิวท่ีใช้ปิดท่ออีมาหมู่ ยังมีหน้าที่ในการประคองฝู่หลูด้วย เพราะ ในทุกเพลง เสียงอีมาหมู่เปน็ เสยี งหลักในการประสานเสียง จึงต้องปิดไว้เกือบตลอดทังเพลงท้าให้นิวชี มีสว่ นชว่ ยในการจับฝู่หลูได้กระชับขึน ส้าหรับในบางช่วงของเพลงที่ไม่มีเสียงอีมาหมู่ก็ใช้เสียงอีผ่าหมู่ กจ็ ะมีนิวโป้งปดิ ท่ออผี า่ หมู่มาคอยกระชับตวั ฝู่หลแู ทน มือขวา มีหน้าที่หลักในการรองรับน้าหนักของตัวฝู่หลู โดยวางการวางมือจะให้นิวชี นิวกลาง นิวนาง และนิวก้อยประคองไว้ที่ข้างตัวน้าเต้า กระชับตัวน้าเต้าไว้ระหว่างอุ้งมือซ้าย และนิวทังสี่ของ มือขวา และนวิ กลางจะมหี น้าท่เี ปิดปิดรทู ่อ อีลิลิ ด้วย สว่ นนวิ โป้งจะตอ้ งเปิดปดิ หรือ ตี ที่ท้ายท่ออีผ่า หมู่ เพือ่ เปน็ การสรา้ งจงั หวะใหบ้ ทเพลง และก้ากับจงั หวะการกา้ วขาในการเตน้ รา้ นิวโป้ง ของมือขวา นอกจากตีเพ่ือให้เกิดจังหวะแล้ว ยังใช้สร้างความไพเราะให้กับบทเพลง คอื ใช้การสะบดั ท่ีปลายท่ออีลิลิ และอีหม่าหมู่เพ่ือเน้นเสียง โดยการสะบัดนีจะวางนิวโป้งไว้ท่ีท้ายท่อ ให้ห่างพอสมควร แล้วขยับขึนลงไปมาเพื่อให้เกิดเสียงส่ัน (Vibrato) การสะบัดจะท้าทีละเสียง ตาม เสียงของทอ่ ทีต่ ้องการเนน้ (ช้างตน้ กุญชร ณ อยุธยา, ๒๕๔๓: ๗๐-๗๔) การวางนิวของฝู่หลแู ลแล มอื ซา้ ยใช้นวิ หัวแม่มอื ปดิ รูของท่อ อีผ่าหมู่ นิวกลางวางพาดท่ออีมาหมู่เพื่อกดรูของท่ออีฮา ฮา นิวนางกดทรี่ ขู องทอ่ อีแลแล สว่ นนิวชี และ นิวกอ้ ยไมก่ ดแต่ชว่ ยประคองฝหู่ ลแู ลแล ส่วนมอื ขวา จับส่วนล่างของตัวน้าเต้า ใช้นิวชี หรือนิวกลาง กดรูของท่ออีลิลิ ส่วนนิวนาง นิวกอ้ ย นวิ หัวแมม่ อื ใชต้ บท้ายท่ออผี ่าหมู่ และอีแลแล (นริ ตุ ร์ แก้วหล้า, ๒๕๕๐: ๗๗) ๓) การเปา่ วิธีการควบคุมลม เป็นวิธีที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างช้านาญ การบรรเลงแต่ละเพลงนันศิลปิน ใช้ลมเข้า ออก สัน หรือยาว ตามความเหมาะสมของเพลงนัน ๆ เพลงที่มีการเต้นกระทืบเท้าต้อง บังคับลมใหแ้ รงกวา่ บทเพลงทไ่ี ม่มีการเตน้ กระทบื เท้า การควบคุมลมในการบรรเลงฝู่หลูนันขึนอยู่กับผู้บรรเลง ซึ่งจะเป่าช่วงไหน หรือดูดช่วงไหน เพื่อให้ท้านองของบทเพลงเป็นไปอย่างต่อเน่ือง ผู้บรรเลงต้องฝึกทักษะการเป่าและการดูด การใช้ลม สัน การใช้ลมยาว ๆ ให้เหมาะสมกับบทเพลงต่าง ๆ นอกจากการควบคุมลมแล้ว ต้องควบคุมความ หนัก – เบา ของลม เพ่ือให้เพลงเกิดความไพเราะ มีสีสัน เช่นในบทเพลงประกอบการเต้นร้าท่ีมีการ กระทืบเท้า มีการกระโดด ต้องบังคับลมให้มีความหนักกว่าลมปกติ การเน้นลมนันไม่เน้นทุกจังหวะ เน้นจงั หวะที่กระทืบเท้าเท่านัน บทเพลงของฝู่หลูแลแลส่วนมากไม่ค่อยมีจังหวะท่ีเน้นเสียงหนักเบา สันยาว มากเท่าไร ทังนี เน่ืองจากลักษณะทางกายภาพของฝู่หลูแลแลมีท่อท่ีใหญ่ ยาว มีน้าเต้าที่ใหญ่ ท้าให้เปลืองลมขณะ บรรเลง ฉะนนั บทเพลงที่บรรเลงโดยฝูห่ ลแู ลแลจึงไม่ค่อยโลดโผนเหมือนบรรเลงโดยปาลิฝู่หลู แต่ทังนี ทงั นนั แลว้ แต่ว่าผูบ้ รรเลงน้าการเต้นร้าให้โลดโผน เนน้ หนักเบา สันยาวของลม ก็ท่ีสามารถท้าได้ การฝึกเปา่ ลม การดูดลม ท่ีนาย เกียรติศักด์ิ แซ่ลี (สัมภาษณ์. ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ อ้าง ในนิรุตร์ แก้วหล้า, ๒๕๕๐: ๗๗) แนะน้าคือ ให้ฝึกจากจากเป่าลมเปล่า ๆ ไม่เป่ากับเครื่องดนตรี อ้า ปากแล้วพูดค้าว่า “อู” โดยบังคับลมจากท้อง แล้วกระแทกลมออกมา ให้เกิดเสียง อู ท้องต้องแฟบ

๓๙ การดูดลมเข้า ให้กระแทกลมที่เป่าออกไป เข้ามาให้เต็มท้อง ท้องต้องป่อง ท้าสลับกัน ไปมาเป็นการ ฝึกลมเขา้ ออกทดี่ ี จังหวะทสี่ ม้า่ เสมอ และ ความแข็งแรงของกล้ามเนอื ท้อง การฝกึ ของอาซือหว่าเต๋อ แซ่หยี เน้นให้ผู้ฝึกใช้การเป่าจริงกับเครื่องดนตรี โดยผู้สอนกดรูท่อ ต่าง ๆ ให้ ผ้ฝู ึกเพยี งแต่เป่า และ ดูด ให้สัมพันธ์กับเพลงท่ีผู้สอนกดให้ การฝึกแบบนีเห็นผลได้รวดเร็ว กว่าการฝกึ ดว้ ยตัวเอง (สัมภาษณ์. ๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๐ อ้างในนริ ตุ ร์ แก้วหล้า, ๒๕๕๐: ๗๗). ๓.๕ ระบบเสยี ง ระบบเสยี งท่ีแสดงนวี ดั จากเสียงของฝหู่ ลูของนักดนตรีท่ีพบ จากนันน้ามาเทียบเสียงกับกีตาร์ เพอ่ื หาระดับบนั ไดเสยี ง สามารถนา้ เสนอได้ ดังนี ระดับเสียงปาลิฝู่หลู แสดงโน้ตที่ใช้ในบทเพลงจากปาลิฝู่หลู ของนายสมคิด แซ่จู บ้านดอยล้าน อยู่ในกลุ่มบันได เสียง อี แฟลช เมเจอร์ สเกล (Eb Major Scale) แสดงโนต้ ท่ใี ช้ในบทเพลง จากปาลิฝ่หู ลขู องนายอาเบล ยนั จา บ้านเฮโก อยู่ในกลุ่มบันไดเสียง เอ เมเจอร์ สเกล (A Major Scale) ฝหู่ ลูแลแล แสดงโนต้ ท่ีใช้ในบทเพลง จากปาลิฝหู่ ลูของนายอาเบล ยนั จา บ้านเฮโก อยู่ในกลุ่มบันไดเสียง จี ไมเนอร์ สเกล (G Minor Scale) แสดงโนต้ ทใ่ี ชใ้ นบทเพลง จากปาลฝิ ู่หลขู องนายอาเบล ยันจา บ้านเฮโก อยู่ในกลุ่มบันไดเสียง เอ เมเจอร์ สเกล (E Minor Scale)

๔๐ ฝหู ลนู าอุ แสดงโน้ตที่ใช้ในบทเพลง จากปาลิฝู่หลูของนายนาปุ๊ เลาหมู่ บ้านใหม่สหสัมพันธ์ อยู่ในกลุ่ม บนั ไดเสยี ง ซี เมเจอร์ สเกล (C Major Scale) ๔. หยลื่ ุ หยื่ลุ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันกับขลุ่ย ซึ่งจัดอยู่ในเคร่ืองดนตรีตระกูลเคร่ืองลม (Areophone) ใช้การเป่าผิวเพ่ือให้เกิดเสียง มีรูส้าหรับไล่ระดับเสียง ๖ รู การเป่ามีทังแบบเป่าข้าง และเปา่ ปลาย ตามแต่ผู้บรรเลงจะถนัด และนิยมบรรเลงในงานรน่ื เรงิ เท่านัน ๔.๑ ประวัตคิ วามเป็นมา จากการสอบถามนักดนตรี และช่างผู้ผลิตหยื่ลุต่างให้ข้อมูลในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ เป็น เคร่ืองดนตรีท่ีเห็นมาตังแต่บรรพบุรุษ (ประมาณ ๕๐ ปีก่อนหน้านี) และไม่ทราบถึงที่ไปท่ีมาของการ สร้าง ทส่ี รา้ งเครือ่ งไดใ้ นปัจจุบันก็สืบทอดมาจากบิดา หรือปราชญ์ในชุมชน ส่วนบทเพลงก็จ้าสืบทอด กนั มาเชน่ กนั นายอาเบล โดโ่ ด้ บ้านเฮโก กล่าวว่า หย่ืลุเป็นเคร่ืองดนตรีที่ตนพบเห็นมาตังแต่เด็กๆ เห็นมา พรอ้ มกับซอื บอื และฝู่หลู นายอาเซอหว่าเต๋อ กล่าวว่า ขลุ่ยหย่ืลุ เป็นเคร่ืองดนตรีของชาวลีซูที่ตนเห็นคนในหมู่บ้าน เล่นกนั มาตงั แต่สมัยตนเองยังเปน็ เด็ก เปน็ เครื่องดนตรีทเ่ี ล่นไดโ้ ดยง่าย บทเพลงก็มไี มม่ าก นายค้ารณ งัวยา กลา่ ววา่ ตงั แต่เกิดมากเ็ ห็นขลยุ่ หยื่ลุแล้ว ไม่ร้ทู ม่ี าที่ไป เห็นบิดาเป่ามาตังแต่ ตอนเดก็ ๆ ไม่เคยถามว่าเกิดมาจากทีไ่ หน อย่างไร จ้าได้แต่บทเพลง ๔.๒ ลักษณะทางกายภาพ หย่ืลุ เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีท้ามาจากไม้ไผ่รวก หรือวัสดุดัดแปลงเป็นรูปท่ออ่ืนๆ ได้ มี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ เชนติเมตร ยาวประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร ปลายด้านที่เป่าจะปิดตัน ส่วนปลายอีกด้านจะเปิดโล่ง มีรูเป่าเพื่อปรับระดับเสียง ๖ รู ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้ท่อพลาสติก หรือด้ามไม้ถูพืนมาดัดแปลงเป็นเคร่ืองดนตรีแทน เนื่องจากหาได้ง่ายและไม่มีปัญหาเร่ืองของมอดกิน เนอื ไม้

๔๑ ภาพท่ี ๒.๓๒ ขลุย่ หย่ืลุ ทีม่ า: องอาจ อนิ ทนิเวศ ๔.๓ ข้นั ตอนการสรา้ ง ก่อนการผลิตเครือ่ งดนตรี ตอ้ งมีการเตรียมวัสดุท่ีใช้ในการท้า ได้แก่ ไม้ที่ใช้ส้าหรับเป็นเครื่อง ดนตรี กว้าง/ยาวตามขนาดท่ีก้าหนด กองไฟที่ร้อนจัด และแท่งเหล็กแหลมท่ีใช้ส้าหรับแทงไม้เพ่ือให้ เกิดรู ขนั ตอนการทา้ ๑. กอ่ กองไฟ และนา้ เหลก็ แหลมเผาไฟ ทงิ ไว้ประมาณ ๓๐ นาที จนเหล็กรอ้ นแดง ๒. ก้าหนดระยะของรูเสียงแตล่ ะรู โดยมกี ารกา้ หนดระยะหา่ งของแต่ละรู ดังนี ๒.๑ (กรณี หยล่ื ุ แบบเป่าข้าง) รูที่ใช้เป่า วัดจากความกว้างของนิวทังสามนิววางเรียงกันจาก ขอบไม้เขา้ มาจะไดร้ ูส้าหรบั เปา่ (ประมาณ ๕ เซนติเมตร) และให้ปิดปลายรูด้านท่ีเป่าด้วยดิน เหนียว หรอื วสั ดอุ ืน่ เช่น ยาง กระดาษอัด ขีเลอื่ ย เป็นต้น ๒.๒ (กรณี หย่ืลุ แบบเป่าปลาย) รูที่ใช้เป่าให้หาไม้มาสอดเข้าไปโดยให้เหลือช่องส้าหรับเป่า ลมเขา้ ไดไ้ ว้ ๒.๓ รู ส้าหรับกดเปลี่ยนระดับเสยี งของปลายอีกด้านหนึ่ง กระท้าเร่ิมต้นเช่นเดียวกันโดยให้รู แรกสุดมรี ะยะหา่ งเขา้ มาสามนวิ มือเชน่ กนั ๒.๔ รู กดเสยี งต่อๆ ไป ใชร้ ะยะหา่ งประมาณสองนิวมอื (ประมาณ ๓ เซนตเิ มตร) เรียงกันขึน ไป จนครบหกรู ๓. การเจาะรูให้น้าเหล็กที่ใช้แทงไม้เพ่ือให้เกิดรูเสียง ท่ีเผาไฟจนเหล็กแดง แทงที่ไม้เพ่ือให้เกิดรู แต่ละรมู ีขนาดความกว้าง เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ ๘ มลิ ลิเมตร

๔๒ ภาพท่ี ๒.๓๓ ช่องเป่าของขลุ่ยหยลื่ ุ ทมี่ า: องอาจ อินทนิเวศ ๔.๔ ระบบเสียง ระบบเสียงท่ีแสดงนีวัดจากเสียงของขลุ่ยหย่ืลุของนักดนตรีที่พบ จากนันน้ามาเทียบเสียงกับ กีตาร์ เพ่ือหาระดับบันไดเสียง และน้าไฟล์เสียงท่ีบันทึกเข้าโปรแกรม Wave Lab เพ่ือวิเคราะห์หา ค่าความถ่อี ย่างละเอยี ดอีกครงั หนึง่ สามารถน้าเสนอได้ ดังนี บันไดเสียงท่ีวัดได้จากการวิเคราะห์บทเพลง พบว่าขลุ่ยหย่ืลุมีระดับเสียง คือ บันไดเสียง อี เพนทาโทนกิ ไมเนอร์ (E Pentatonic Minor)

๔๓ ดนตรีในพิธีกรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธลุ์ ีซู ๑) พิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง งานประเพณวี ันปีใหม่ “กเู่ ฉีย” งานประเพณวี นั ปใี หม่ หรือ “กเู่ ฉีย” ถอื เปน็ งานฉลองทีใ่ หญ่ทส่ี ุดของชาวลีซู เป็นวันที่สาคัญ มากของชาวลซี ู เพราะเชอื่ ว่าเปน็ วันเร่ิมตน้ สาหรับชีวติ และสิ่งใหมๆ่ ใหส้ ่งิ เกา่ ๆ ท่ไี มด่ ีหมดไปกับปีเก่า จึงต้องมีการเฉลิมฉลองด้วยการจัดงานรื่นเริงและพิธีกรรม ได้แก่ การทาบุญศาลเจ้าประจาหมู่บ้าน การไหว้บรรพบุรุษ การขอพรจากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน การร้องเพลง การเล่นดนตรี การเต้นรา บางคน เรียกว่า งานกินวอ ซ่ึงหมายถึงงานปีใหม่ นั่นเอง งานวันปีใหม่น้ีจะจัดปลายเดือนมกราคม หรือต้น เดือนกมุ ภาพันธ์ โดยจะจดั ตรงกับวนั ตรุษจีน ซึ่งตรงกับการจัดงานวันปีใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ แต่ ในปัจจุบันบางหมู่บ้านมีการจัดงานวันปีใหม่ก่อนช่วงวันตรุษจีน เพ่ือหลีกเล่ียงการจัดงานพร้อมกันใน หลายหมบู่ ้านซ่งึ ทาให้การไปเทย่ี วหากนั ไมท่ ่วั ถงึ ดังนั้นหมบู่ ้านที่มีความพร้อมจึงสามารถจัดงานปีใหม่ ไดก้ ่อนชว่ งวันตรษุ จีน แตท่ งั้ นก้ี ารจดั งานกอ่ นนนั้ จะอยูป่ ระมาณหนงึ่ เดอื นก่อนหน้าวันตรษุ จีน เมอื่ ไดว้ ันจัดงานปใี หม่แล้วนน้ั ในช่วงงานประเพณีปีใหม่ ก่อนวันปีใหม่ ๑ วัน เรียกว่า วันซึลุ คอื วันเตรยี ม หรือวนั สน้ิ ปี ชาวลซี ูทกุ หลงั คาจะเตรียมต้มเหลา้ ทกี่ ล่นั มาจากข้าวโพด ซงึ่ บรรยากาศการ ทาจะเป็นท่ีสนุกสนานครื้นเครงกันทุกหลังคาเรือน ชาวบ้านโดยเฉพาะหนุ่มสาว และเด็กจะออกมา เตน้ ราทห่ี น้าบา้ นของแตล่ ะบ้านเวียนกันไปทุกบ้าน ท่ัวท้ังหมู่บ้าน ซ่ึงเม่ือครบทั้งหมู่บ้านก็ใกล้เช้าพอดี คงเหลอื แต่ผู้ชายและนักดนตรี กจ็ ะพากนั ไปนอนที่ศาลเจา้ เพื่อรอทาพิธีกรรมในช่วงเช้าต่ออีกคร้ังหนึ่ง ส่วนฝ่ายหญิงน้ันจะเตรียมอาหาร และเครื่องสังเวยเพื่อนาไปในฝ่ายชายประกอบพิธีกรรมท่ีศาลเจ้า นอกจากน้ยี ังมกี ารทาข้าวปุ๊ก หรอื ปาปาตี เปน็ ข้าวเหนยี วตาละเอียดแล้วเอามาน่ึงใหส้ กุ แล้วนามาตา ผสมกับงา ปน้ั เปน็ ลูกกลมๆ วางบนใบตอง เมอื่ จะรับประทานให้นาไปปงิ้ ไฟให้รอ้ นอกี ครง้ั ในวนั เริ่มต้นของงานวันข้ึนปีใหม่ เรียกเป็นภาษาถิ่นว่า “อาพูวท่ีงี” ทุกบ้านจะต้องต่ืนแต่เช้า เพือ่ เตรียมข้าวของไปประกอบพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ มีการยิงปืนขึ้นฟ้า และเสียงตะโกนว่า “ข้อชึปิ ลดั ” แปลวา่ ถงึ ปใี หมแ่ ล้ว ชาวบา้ นจะนาเคร่ืองเซน่ ท่เี ตรยี มไว้ ได้แก่ หมู ไก่ต้มสุก ขนมข้าวปุ๊ก สุรา ๑ ขวด ถ้วยสุรา ใบชา ธูป เทียน และกระดาษเงินกระดาษทอง เพ่ือนาไปเซ่นดวงวิญญาณบรรพบุรุษ หรือผีเรือน ณ แท่นบูชาภายในบ้าน มีการกล่าวคาอันเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษมารับเครื่องสังเวย แสดงการคาราวะโดยการรินสุรา และนา้ ชาราดลงท่พี ้ืน จากนั้นรอสักครู่ ประมาณธปู ที่จุดหมดเล่ม จึง นาอาหารทสี่ ังเวยมารับประทานกนั ส่วนการเตรียมสถานท่ีการทากิจกรรมฉลองงานปีใหม่ จะใช้พ้ืนที่ลานหน้าบ้านของผู้นา หมู่บ้านเช่นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้อาวุโสที่ชาวบ้านให้การนับถือในหมู่บ้าน โดยการจัดนี้ จะเวียนไปแต่ละวนั แต่ละบ้าน ท้งั นี้ชาวลซี จู ะมีการนดั หมายกันข้ามหมู่บ้านเพื่อให้วันไม่ตรงกันจะได้มี โอกาสไปร่วมงานกบั หมูบ่ ้านใกล้เคยี งได้

๔๔ ในลานจัดกิจกรรมเจ้าบ้านจะตัดก่ิงไม้สน หรือก่ิงไม้ที่เป็นพุ่มสูง เสียบไว้ในดินกลางลาน กิจกรรม เรียกว่าต้นปีใหม่ หรือเรียกเป็นภาษาลีซูว่า “ขุฉือแล้ซือ” และจะมีโต๊ะสาหรับวางของที่ ชาวบ้านนามาให้เจ้าของบ้าน อันประกอบไปด้วย อาหารแห้ง ดอกไม้ นอกจากน้ียังมีดอกไม้ธูปเทียน วางไว้ด้วย จากนั้นจะมีกิจกรรมท่ีชาวบ้านมาจับมือล้อมกันไว้เป็นวงกลมรอบต้นไม้ปีใหม่ท่ีเสียบไว้ กลางลาน และจะเตน้ วนไปรอบๆ โดยมีนกั ดนตรีที่บรรเลงเพลงอยู่ด้านใน นักดนตรีจะพลัดเปลี่ยนกัน เข้ามาเล่นดนตรีเพื่อใหผ้ เู้ ตน้ ได้เต้นตลอดทั้งวนั ท้งั คนื ในบางที่มีนักดนตรีหลายคนจะไม่มีการหยุดเต้น เลยแม้ขณะพักรบั ประทานอาหาร ซึ่งจะมีการสลับสับเปลี่ยนกนั บรรเลงเพลงตลอด ตานานเกีย่ วกบั ประเพณี “กู่เฉีย” มีนิทานปรัมปราท่ีเล่าสืบทอดกันมาเกี่ยวกับความสาคัญและที่มาของประเพณีกู่เฉีย และ ประเพณีฉ่อื แปกว๊ะ ของคนลีซอ โดยมเี รื่องราววา่ “ ... กาลคร้ังหนึ่ง มีสองพ่ีน้อง มีความประสงค์ท่ีจะปกครองคนลีซูทั้งหมด ทั้งสองมีแนว ทางการปกครองท่ีแตกต่างกันโดยส้ินเชิง คนพ่ี (ต๋าฝู) ต้องการให้คนทุกคนเสมอภาคกัน ไม่ให้ใคร ร่ารวยกว่าคนอ่ืน ให้ทุกคนมีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีใครต้องเกิดมาเป็นคนพิการ หรือยากจนขัดสน ส่วนผู้น้อง (เอ๋อฝู) มีแนวทางการปกครองที่ให้แตกต่างกัน ยอมให้มีคนร่ารวยและ คนยากจน คนฉลาดและคนโง่ คนแข็งแรงและคนพิการ ฯลฯ การที่ท้ังคู่มีแนวทางการปกครอง แตกต่างกันน้ี ท่าให้ท้ังสองก่าหนดกติกาแข่งขันกัน เพ่ือจะตัดสินว่า ใครควรจะได้ปกครองคนลีซูตาม วถิ ที างของตน วิธีการคอื ให้ปลูกต้นไม้คนละหน่ึงต้น ในตอนเช้าของวันรุ่งข้ึน หากต้นไม้ของใครมีดอก เป็นโลหะเงิน ผู้น้ันเป็นผู้ชนะ และจะได้ปกครองชาวลีซูทั้งมวล ในตอนเช้า เอ๋อฝูรีบตื่นไปดูต้นที่ ตนเองปลูกไว้ ปรากฏว่าไม่มีดอก ส่วนต้นที่พี่ปลูกเอาไว้ ปรากฏว่ามีกดอกไม้เงินหนึ่งดอก ผู้น้องจึง จัดแจงเด็ดเอามาเสียบกับต้นท่ีตนเองปลูก ดังนั้นเม่ือถึงเวลาไปดูต้นไม้ปรากฏว่าผู้น้องเป็นผู้ชนะการ แข่งขนั ผ้พู ีจ่ ึงยอมใหค้ นนอ้ งเป็นผู้ควบคุมและปกครองคนลีซู ส่วนตัวเขาขอเวลาปีละ ๗ วัน เพื่อท่ีจะ ปกครองดูแลคนลีซูตามวิถีทางของเขา นั้นคือ ๔ วันในช่วงพิธีปีใหม่ และ ๓ วันในช่วงพิธีกินข้าวโพด ใหม่ ทจ่ี ะท่าให้คนลซี ูทงั้ หมดเสมอภาคกัน ...” (ทวิช จตุวรพฤกษ์, ๒๕๔๑: ๑๙๖-๑๙๗) ดงั นัน้ ในช่วงพิธีปใี หม่ (เรม่ิ ในวนั ท่ี ๑ เดอื น ๑ ของชาวลีซู) และพิธกี นิ ข้างโพดใหม่ (เริ่มต้ังแต่ วันท่ี ๑ เดือน ๗ ของชาวลีซู) ชาวลีซูถือเอาช่วงเวลาดังกล่าวแสดงออกถึงความเสมอภาค ความอุดม สมบูรณ์ และความสนุกสนานรื่นเริงในท้ังสองเทศกาล พวกเขาถือว่าไม่มีคนรวย คนจน ไม่มีใครอด อยาก และไม่มีความขัดแย้ง ทุกครอบครัวมีอาหารมากมาย ทุกหลังคาบ้านมีความยินดี และรู้สึกเป็น เกียรติท่ีได้ต้อนรับหรือเลี้ยงดูแขกที่มาเยือนและอวยพร ด้วยสุราและอาหารอย่างดี ซ่ึงช่วงนี้จะเป็น โอกาสพเิ ศษสาหรบั การประกอบพธิ กี รรมของครวั เรือนและบคุ คลอีกดว้ ย

๔๕ ภาพท่ี ๒.๓๔ คนื วันสิ้นปี ชาวลีซจู ะไปเตน้ ทหี่ นา้ ลานบ้านของทุกบ้านในหม่บู ้าน ท่ีมา: องอาจ อนิ ทนิเวศ ภาพที่ ๒.๓๕ เชา้ วนั ปีใหม่พอ่ จะตอ้ งแตง่ ตัวใหล้ ูก ทีม่ า: องอาจ อนิ ทนิเวศ

๔๖ ภาพที่ ๒.๓๖ เครื่องสังเวยท่ีแตล่ ะครอบครัวนาไปไหว้ทีศ่ าลเจา้ ท่ีมา: องอาจ อนิ ทนิเวศ ภาพที่ ๒.๓๗ ศาลเจา้ และเครอ่ื งสงั เวยทช่ี าวบ้านนามาถวาย ท่ีมา: องอาจ อนิ ทนิเวศ

๔๗ ภาพท่ี ๒.๓๘ หลงั จากประกอบพิธกี รรมเสรจ็ จะรบั ประทานอาหาร (ขา้ วปุ๊ก) รว่ มกนั ทศี่ าลเจา้ ท่ีมา: จริ ะ วิจิตรธงชยั ภาพที่ ๒.๓๙ ชาวลซี ูเตน้ ราท่ีลานหน้าบา้ น ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ

๔๘ ภาพท่ี ๒.๔๐ ต้นปีใหม่ หรือ ขุฉือแลซ้ อื ท่ีมา: องอาจ อินทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๔๑ ฝ่ายหญิงกลุ่มแมบ่ ้าน เตรยี มอาหารเพ่ือเลี้ยงทกุ คน ทีม่ า: องอาจ อินทนิเวศ

๔๙ ภาพที่ ๒.๔๒ บางกลุม่ ที่ไม่ได้เตน้ รา กน็ งั่ ดูบรรยากาศ กนิ อาหารว่าง เชน่ ถ่ัวหรอื เมลด็ ทานตะวนั ทม่ี า: องอาจ อนิ ทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๔๓ หญงิ สาวชาวลีซใู นชดุ ลีซสู มบรู ณ์แบบสาหรับวนั ปใี หม่ ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ

๕๐ งานแตง่ งาน ผู้ชายลีซูเม่ือมีอายุพอสมควรจะต้องมีการแต่งงานกับหญิงสาวท่ีตนถูกใจ โดยผู้ที่จะมาเป็น เจ้าสาวของเขาน้ันต้องไม่เป็นเครือญาติร่วมวงค์ตระกูลเดียวกันโดยเด็ดขาด ในอดีตนั้นการเลือก คคู่ รองอาจทาไดโ้ ดยการเลือกผูห้ ญิงในหมู่บ้าน หรือหมู่บ้านใกล้เคียง แต่ปัจจุบันชายหนุ่มลีซูได้เข้ามา ศึกษาเล่าเรียนในตัวเมืองเป็นส่วนใหญ่ ทาให้มีโอกาสพบหญิงสาวหลากหลายมากขึ้น แต่การเลือก คู่ครองที่เป็นชาวลีซู หรือหญิงสาวชาวลาหู่ซึ่งมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันยังมีให้พบเห็นได้ท่ัวไปใน ปัจจบุ นั ตามธรรมเนียมการแต่งงานของชาวลีซู ชายหนุ่มจะแอบพาหญิงสาวไปอยู่บ้านตนล่วงหน้า ก่อน โดยจะให้ผู้แทนซึ่งอาจเป็นญาติ หรือเพื่อนสนิทของตนอยู่รับหน้ากับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเพื่อ เจรจาสู่ขอ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันกว่าพ่อแม่ของหญิงสาวจะยอม กล่าวคือ จะต้องพูดถึงความดีของ ฝ่ายชาย และความรักของท้ังคู่ที่มีให้กัน ความสามารถในการทามาหากินและสร้างครอบครัวท่ี เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งพ่อแม่ของฝ่ายหญิงยินยอม ซ่ึงจะแสดงออกมาโดยการด่ืมเหล้าที่ฝ่ายชาย นามาขอขมา (ขอให้ยกโทษให้) จากน้ันตัวแทนฝ่ายชายจะรีบไปบอกกับเจ้าบ่าวให้มาพบพ่อแม่ของ หญิงสาว เพื่อตกลงสินสอดและกาหนดวนั จดั พิธแี ต่งงานต่อไป ในวนั แตง่ งาน เพอ่ื นบา้ นจะมาช่วยทาอาหารเลี้ยงแขกท่ีเข้ามาร่วมงาน มีการให้ศีลให้พรจาก ผใู้ หญ่ฝ่ายตา่ งๆ และมีการบรรเลงซือบือ และเคร่ืองดนตรีประเภทอื่นๆ ของชาวลีซูตลอดท้ังกลางวัน และกลางคืน การเข้าจัดงานพิธีแต่งงานของชาวลีซู ฝ่ายชายจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัด พิธี โดยค่าสินสอดของหญิงสาว และค่าน้า จะมอบให้กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ค่าสินสอดหญิงสาว ชาวลซี อู ยทู่ ป่ี ระมาณ ๕๐,๐๐๐ บาท (อาจจะมากหรือน้อยกว่าน้ีตามตกลง) ทั้งน้ีเม่ือแต่งงานแล้วฝ่าย หญิงจะต้องย้ายไปอยู่กับฝ่ายชาย และจะต้องช่วยทางานทุกอย่างทั้งในบ้าน นอกบ้าน ซ่ึงถือเป็นงาน หนกั สาหรบั หญงิ สาวชาวลซี ู ขนบธรรมเนียมการแต่งงานนี้มีข้อปฏิบัติอย่างหนึ่ง คือ ถ้าครอบครัวใดมีบุตรสาวเพียงคน เดียว ชายหนุ่มจะต้องไปอยู่บ้านหญิงสาวหลังจากแต่งงานแล้ว เพื่อเป็นการสืบสกุลให้ฝ่ายหญิง ใน กรณเี ชน่ น้ฝี ่ายชายไมต่ อ้ งเสียเงนิ ในการจดั งานแต่งงานเลย เปรยี บเสมือนการแลกเปลีย่ นกัน ตามธรรมเนียมปฏบิ ัติของหนุ่มสาวลีซูในอดีตน้ันนิยมหาคู่กันรอบ ๆ ครกตาข้าวในยามค่าคืน สาวๆ จะชุมนมุ กนั ตาขา้ วไว้หงุ หนุม่ ๆ จะใช้โอกาสน้ีไปอาสาช่วยตาขา้ วแล้วพูดคุยต่อปากต่อคาหยอก เย้าเกี้ยวพา พอสาวหยุดพักหนุ่มก็พาคนท่ีถูกใจไปนั่งพร่าพรอดกัน โดยบางคู่ก็ถึงข้ันแลกกาไล หรือ สัญลกั ษณเ์ สน่หาอนื่ ๆ ซง่ึ ตา่ งฝา่ ยกจ็ ะพกตดิ ตวั ไวใ้ นกระเปา๋ เสอ้ื แนบในหัวใจ บ่อยครั้งการเกี้ยวพาจะ ทากันอย่างครึกครื้น เม่ือถึงเวลาทางานในนา หรือในไร่สาวจะส่งข่าวไปนัดหมายหนุ่มๆ ว่าวันน้ีจะไป นาไหนแลว้ ทงั้ สาว ท้ังหนุ่มจะแต่งตัวชุดใหญ่ไป “เล่นเพลง” กันนั่นคือ แม่เพลงว่าบทแรก แล้วลูกคู่ก็ ร้องรับกนั ทั้งหมจู่ นจบบท แลว้ พอ่ เพลงก็ตอบบทแรกให้ลูกคู่ก็รับจนจบบท ตอบโต้กันไปตอบโต้กันมา

๕๑ ด้วยความหมายเก้ียวพา ทั้งลูกล่อลูกชน ด้วยเพลง “…เดือนหกฝนตกแค่พราๆ พอเดือนเก้าฟ้าจะล่ม เสยี ใหไ้ ด้เมือ่ เดอื นหกอกพีก่ แ็ คเ่ สยี ว ๆ ตก เดือนเกา้ ราวกบั เคียวกรีดหัวใจ...” ฝ่ายใดติด หรือจนมุมให้ อีกฝ่ายไปต่อเองได้เป็นอันว่าแพ้เด็ดขาดจบเกมในวันน้ัน ข่าวก็จะแพร่สะพัดไปทั้งหมู่บ้านทาให้ฝ่าย แพร้ สู้ กึ อายและเสียหน้า ส่วนผู้ใหญ่ในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายจะรู้ว่าลูกชาย ลูกสาวรักชอบกัน พอ ถึงเวลาควรมีคู่ได้แล้วจะให้แต่งงานกัน ลีซูเปรียบเทียบชายเหมือนลาต้น และก่ิงไม้ส่วนผู้หญิงเหมือน ใบ เมอ่ื ลาต้นร้สู ึกวา่ ใบกาลงั จะถูกแย่งชิงไปก็จาเป็นจะตอ้ งปอ้ งกนั พธิ แี ต่งงาน ขนบธรรมเนียมประเพณีในพิธีแต่งงานของชาวลีซูน้ัน ค่าสินสอดของหญิงสาวและค่าน้านม จะมอบใหก้ บั พ่อแมข่ องฝา่ ยหญิงฝ่ายเดียว คา่ สินสอดสาวลีซจู ะค่อนข้างแพง อาจแพงกว่าสาวบางเผ่า เพราะเม่ือแต่งงานแลว้ ฝา่ ยหญงิ จะตอ้ งไปอยกู่ ับทางฝ่ายชาย และจะต้องช่วยทางานทุกสิ่ง ทุกอย่างท้ัง งานในบ้าน และงานนอกบ้าน เช่น งานทาไร่ทาสวน หุงหาอาหาร ปักเย็บเสื้อผ้า การเลี้ยงลูก และ สมาชิกในครอบครัว สาหรับเงินค่าตัวของฝ่ายหญิงนั้น ทางพ่อแม่ของฝ่ายชายจะเป็นคนออกให้ ท้ังหมด วิธีการสู่ขอมีหลายข้ันตอน ซ่ึงทางฝ่ายชายท่ีจะมาขอสามารถท่ีจะต่อรองราคาสินสอดให้ ลดลงได้ โดยเริ่มต้นด้วยหนุ่มสาวตกลงปลงใจ ว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างแน่นอน ถ้าเป็นต่างหมู่บ้าน ฝ่ายชายจะนัดวันท่ีจะพาหญิงสาวหนีเมื่อถึงวันกาหนดนัดก็มารับตัวคนรักของตนไป โดยเอาตัวหญิง สาวไปแอบซ่อนไว้ท่ีบ้านของญาติไว้ก่อน พอวันรุ่งเช้า ฝ่ายญาติของเจ้าบ่าว ซึ่งอาจจะเป็นลุง หรืออา พร้อมกับกลุ่มพ่อส่ืออีกสองสามคน ยกขบวนมายังหมู่บ้านของฝ่ายหญิง พร้อมท้ังญาติมิตร พอมาถึง บา้ นฝา่ ยหญงิ กเ็ ปิดฉากใหพ้ อ่ แมฝ่ า่ ยหญิงได้รูเ้ ร่ืองราวและสาเหตุท่ีลกู สาวหายตัวไป บอกให้พ่อแม่ของ ฝ่ายหญิงว่าไม่ต้องห่วงที่หายตัวไป ปลอดภัยทุกประการ และมีความสุขดี การท่ีได้ยกขบวนกันมาใน วันน้ีก็ด้วยปรารถนาอยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับคนในบ้านน้ี เมื่อการเจรจาสู่ขอเรียบร้อยตกลง กันได้แล้ว กรณีการสู่ขอ ทางฝ่ายชายวางเงินค่าตัวให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงเอาไว้ก่อน ส่วนท่ีเหลือจะ ชาระให้วันหลัง แต่ว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นผู้นัดหมายเวลาว่าให้ชาระในวันไหน และเดือนไหน เมื่อถึง เวลาแล้วต้องจ่ายให้หมด ถ้าจ่ายไม่หมดต้องเอาลูกสาวของตนเองกลับคืนมา ถ้าหากฝ่ายชายมีฐานะ ค่อนข้างดีก็จะจ่ายค่าสินสอดให้หมด เม่ือมาถึงการนัดวันและเดือนของพิธีแต่งงาน พ่อแม่ของฝ่าย หญิงเป็นคนนัดเองว่าให้แต่งวันไหน เดือนไหน ส่วนพิธีจะจัดขึ้นท่ีบ้านของฝ่ายหญิง ซ่ึงก็จะเชิญแขก และญาติพี่น้องท้ังสองฝ่ายมากันพร้อมหน้าพร้อมตา ท้ังสองฝ่ายต้องช่วยกันเตรียมทั้งสุรา อาหาร พรอ้ มทง้ั เครื่องเล่นต่าง ๆ ให้พร้อมเพรียง เวลาที่แต่งน้ันจะอยู่ในช่วงสายๆ ก่อนเท่ียง โดยจะจัดข้ึนที่ หน้าหง้ิ ผีบรรพบรุ ุษภายในบา้ น ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาน่ังคุกเข่าคู่กันที่บนพื้นที่ปูเส่ือไว้ จากน้ันผู้อาวุโส ชายซง่ึ เปน็ ผ้ปู ระกอบพิธีการเซน่ ไหวผ้ บี รรพบุรษุ พรอ้ มเคร่อื งเซ่นไหว้ ประกอบด้วย หวั หมู ข้าว เหล้า นา้ ธูป พร้อมทั้งบอกกล่าวใหไ้ ด้ทราบถงึ สมาชิกคนใหม่ท่ีจะมาเป็นลูกเขยของบ้านหลังนี้จากนั้นนาน้า ในถ้วยบนหิ้งให้คู่บ่าวสาวได้ดื่มกัน เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นพรจากบรรพบุรุษ การคานับผี

๕๒ บรรพบรุ ุษของทั้งสองฝ่ายน้ัน ทั้งคู่บ่าว-สาวจะน่ังคุกเข่าวางมือทั้งสองแตะลงบนพ้ืนด้านหน้า แล้วก้ม ศีรษะให้หน้าผากแตะพ้ืนคนละ ๓ ครั้ง ขณะท่ีผู้อาวุโสกาลังให้ศีลให้พร เจ้าสาวจะก้มหน้าอยู่กับพ้ืน สว่ นเจา้ บา่ วจะคานับดว้ ยการกางมือทั้งสองข้างออกแล้ววางแตะพื้นข้างหน้าก้มศีรษะให้หน้าผากแตะ พ้นื คล้ายๆ กบั ลกั ษณะการไหวค้ รูของนกั มวยไทย เสร็จพธิ ีแล้วผู้อาวุโสท่ีประกอบพิธีจะนาเงินท้ังหมด ทไี่ ดร้ บั จากแขกผมู้ ารว่ มงาน มอบให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วจัดใส่ในขันน้าใส่น้า จากนั้นให้เจ้าบ่าวได้ ดื่ม ๓ อึกเพื่อให้มีแต่ความร่ารวยด้วยทรัพย์สินเงินทองตลอดไป แล้วจึงเทเงินในขันทั้งหมดใส่ในมือ ของเจ้าบ่าวที่คอยรับอยู่แล้ว เจ้าบ่าวก็จะเทเงินทั้งหมดใส่ในที่ชายผ้าโพกศีรษะของเจ้าสาวที่คอย ประคองรับอยู่แล้วเช่นกัน จากน้ันก็เชิญญาติพ่ีน้อง และแขกท่ีมาร่วมงานร่วมวงรับประทานอาหาร ทุกคนจะดื่ม จะกินอย่างสนุกสนานอย่างเต็มที่ เจ้าภาพจะทยอยนาอาหารมาบริการอย่างไม่ขาด พอ ตกกลางคืนกม็ าถงึ รายการของความสนุกสนานน้ันคือ การจบั กลมุ่ เต้นรากนั หน้าบ้านของเจ้าภาพ เป็น การจับมือต่อๆ กันไปเป็นวงกลม ท้ังเด็ก หนุ่มสาว และผู้ใหญ่ก็มาเต้นด้วยกันมีทั้งจังหวะช้า และเร็ว นอกจากน้ันก็มีการร้องเพลง เพลงที่ร้องก็มี ๒ แบบ มีเพลงใหญ่ หมายถึง การร้องในบ้านหน้าห้ิง บรรพบรุ ุษ และเพลงเลก็ หมายถงึ การร้องแบบโต้กลับไป โตก้ ลบั มา ของฝา่ ยชาย และฝ่ายหญงิ ๒) ขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเชือ่ สิ่งศักดิส์ ิทธิ์ในหม่บู ้าน (ศาลอ่าปาโหม่ฮ)ี ในหมู่บ้านของชาวลีซูท่ีนับถือผีบรรพบุรุษทุกหมู่บ้านจะมีศาลเจ้าประจาหมู่บ้าน ๑ แห่ง ภาษาลีซูเรียกว่า “อ่าปาโหม่ฮี” หรือ “อ่าปาโหม่” ซึ่งจะต้ังอยู่บนเนินเขาอยู่สูงกว่าหมู่บ้าน ห่างจาก หมูบ่ า้ นประมาณ ๕๐-๑๐๐เมตร หากหาสถานที่ท่ีต้งั อ่าปาโหม่ฮีไม่ได้ก็อาจจะใช้บริเวณกลางหมู่บ้าน การสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยของอ่าปาโหม่ฮีจะทากันเม่ือก่อตั้งหมู่บ้าน และคัดเลือกผู้นาศาสนา เรียกวา่ \"เหมอเมอผา่ \" ลกั ษณะบ้านของอ่าปาโหม่ฮีจะปลูกสร้างเป็นเพิงแหงน หันหน้าไปทางหมู่บ้าน มีหิ้งบูชาตั้งอยู่ตรงกลาง โดยปักเสาทาเป็นหิ้งสูงประมาณ ๑-๒ เมตร และมีถ้วยชาจีนวางเรียงอยู่ รอบๆ จะมตี ้นไมอ้ ่าปาโหม่ ชอบอยทู่ ีร่ ม่ เย็น และในบรเิ วณทต่ี ง้ั อ่าปาโหม่ฮหี า้ มตัดต้นไม้ นอกจากจะมีอาปาโหม่ฮีประจาหมู่บ้านแล้วยังมีศาลที่สาคัญอีกแห่งหนึ่ง มีช่ือว่า“อ๊ิดะมา” อ๊ิดะมา เป็นน้องชายของอาปาโหม่ สาหรับท่ีอยู่หรือที่ต้ังของอ๊ิดะมา จะตั้งอยู่ด้านหลังห่างออกไป ประมาณ ๕-๑๐ เมตร มีสัญลักษณ์คล้ายกับ อ่าปาโหม่ฮีคือมีห้ิงบูชาและมีถ้วยชาจีนวางอยู่บนหิ้ง มี กระดาษสาตดั ทาเป็นธงเลก็ ๆ เป็นรปู ลวดลายต่างๆ นามาปักไว้ข้างต้นเสาหรือต้นไม้รอบๆ จะมีต้นไม้ ทหี่ ้ามไม่ไห้ตดั อยู่รอบๆ อด๊ิ ะมา ลซี ูมคี วามเชื่อว่า อิด๊ ะมา ชอบอย่ทู ี่มีต้นไม้เยอะๆและชอบอยู่ที่ร่มเย็น บุคคลท่ดี ูแลรักษาสถานที่ศาลประจาหมู่บ้าน\"อ่าปาโหม่ฮี\" คือ ผู้นาศาสนาของหมู่บ้าน (เหมอเมอผ่า) ทุกๆวันศีล เหมอเมอผ่าต้องมาทาความสะอาดห้ิงบูชา ณ “อ่าปาโหม่ฮี”และจุดธูปบูชาเปล่ียนน้าใน ถ้วย บอกกล่าวให้อ่าปาโหม่ฮี ได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันศีล ขอให้ดูแลปกป้องสมาชิกในหมู่บ้านทุกคน

๕๓ และสัตว์เล้ียงให้มีชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดไป พิธีกรรมต่างๆ เช่น วันปีใหม่ วันกินข้าวโพดใหม่ วัน แต่งงาน และพิธีกรรมต่างๆจะจัดข้ึน ณ อ่าปาโหม่ฮี ซึ่งจะเป็นหน้าท่ีเฉพาะของผู้ชาย ผู้หญิงจะถูก หา้ มไมใ่ หเ้ ขา้ ไปในบริเวณอา่ ปาโหม่ฮี ความเช่อื ของชาวลซี เู กย่ี วกับศาลเจ้าประจาหมู่บา้ น หรือ อ่าปาโหม่ ที่นับถือน้ันเป็นผีท่ีดีไม่มี การให้โทษ ผีทท่ี าหน้าท่ีคอยดูแล ปกปักษร์ กั ษาชีวิตมนุษยแ์ ละสัตว์เล้ียงท่ีอยู่ในหมู่บ้าน ให้พ้นจากภัย อันตรายต่างๆ และดลบันดาลให้สมาชิกในหมู่บ้าน มีแต่ความสุข ความเจริญและมีสุขภาพร่างกายท่ี แข็งแรงมีจิตใจสดใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยการเซ่นไหว้บูชา อ่าปาโหม่ประจาหมู่บ้าน เพ่ือเป็น การตอบแทนบญุ คุณและระลกึ ถึงความเมตตากรณุ า ท่ีเผื่อแผ่ถงึ สมาชิกของคนในหมู่บ้าน ภาพท่ี ๒.๔๔ ด้านหนา้ บริเวณประตูทางเข้าอา่ ปาโหม่ฮี ท่ืมา: นายองอาจ อินทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๔๕ อา่ ปาโหมฮ่ ี หรือ อาปาโหม่ พร้อมเครื่องสงั เวย ทม่ื า: นายองอาจ อินทนเิ วศ

๕๔ ภาพที่ ๒.๔๖ หนมุ่ ชาวลีซูกาลังรนิ เหล้าเพอ่ื บชู าศาลอด๊ิ ะมา ซึง่ ต้ังอยู่ด้านหลงั ศาลอาปาโหม่ ทมื่ า: นายองอาจ อนิ ทนิเวศ ผนู้ าทางศาสนาประจาหมบู่ า้ น (เหมอเมอผา่ ) เหมอเมอผ่า หรือ หมอเมือง เป็นผู้นาของชุมชนในด้านการประกอบพิธีกรรมและเป็นผู้ ปฏิบัติการประกอบพิธีกรรมตามกาหนดเวลาประจาปี ซ่ึงเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติตามจารีต ประเพณีของชุมชน คุณสมบัติของการเป็นหมอเมือง คือ เป็นชายหัวหน้าครัวเรือนมีความรู้ในจารีต และขนบประเพณีเป็นอย่างดี รู้จักพิธีการและการประกอบพิธีกรรมของส่วนรวมและมีความสมัครใจ เข้าร่วมคัดเลือก การคัดเลือกหมอเมืองกระทากันท่ีอาปาโหม่ฮี โดยการโยนไม้เส่ียงทาย ผู้ได้รับการ คัดเลือกจะมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดชีวิต ตาแหน่งเหมอเมอผ่า ไม่มีการสืบทอดถึงบุตร หลาน การคัดเลือกจะเกิดขึ้นต่อเม่ือ มีการต้ังชุมชนใหม่ หมอเมืองคนเก่าตายไป เปล่ียนศาสนา หรือ ย้ายออกจากชมุ ชน เหมอเมอผา่ เป็นผนู้ าในการประกอบพธิ กี รรมต่างๆของชาวลซี ู ตลอดจนเม่ือถึงวันสาคัญต่างๆ เหมอเมอผ่าก็จะไปรับการปรึกษาจากบรรดาผู้สูงอายุในหมู่บ้าน คือทุกๆ ๑๕ วัน ในข้ึน ๑๕ ค่าหรือ แรม ๑๕ คา่ เป็นวันศลี หรอื วันหยุดงานของลีซู เหมอเมอผ่าจะตอ้ งไปทาความสะอาดปัดกวาดเช็ดถ่ีหิ้ง ที่ อาปาโหม่ และจุดธูป เปล่ยี นน้าแล้วก็บอกกล่าวให้อาปาโหม่รับรู้ว่าวันนี้เป็นวันศีล ขอให้อาปาโหม่ ชว่ ยเมตตาดแู ลคุ้มครองบรรดาลกู หลาน และสัตว์เลยี้ งทง้ั หลายในหมู่บ้าน เหมอเมอผ่า หรือ หมอเมือง มีสถานภาพสูงในสังคมลีซู เน่ืองจากเป็นตัวแทนหรือเป็น สัญลักษณ์ของความเป็นชุมชนในการยึดม่ันใน “อ๊ิหลี่” หรือจารีตประเพณีร่วมกัน การท่ีชาวบ้านไป รวมตวั กันพรอ้ มด้วยสุราอาหารเพื่ออวยพรหมอเมืองในวันปีใหม่ การยอมรับในการตัดสินกรณีพิพาท หรือความขัดแย้งระหว่างชาวบ้าน และการเคารพเชื่อฟังหรือดาเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรพชน เท่ากับได้สร้างพันธะ และเป็นการเสริมอานาจให้ธรรมชาติด้วยโดยเฉพาะผีอารักษ์ การที่หมอเมืองดี

๕๕ คนในชุมชนให้ความเคารพนับถือ จะทาให้ได้ผลผลิตดีและมีอาหารสาหรับจัดงานเล้ียงแก่ชาวบ้าน ท้ังหมดได้เป็นประจาทุกปี แสดงว่าชุมชนมีภูมิคุ้มกันหรือได้รับพร และการคุ้มภัยจากผีอารักษ์เป็น อยา่ งดี อนั เป็นผลมาจากการมีวตั รปฏบิ ตั ิทเี่ หมาะสมและสอดคล้องกนั ของสว่ นรวม ภาพที่ ๒.๔๗ นายอาเล้ผ่า งัวยา เหมอเมอผ่า บา้ นเฮโก ต.แมจ่ ัน กาลงั เดนิ ประกอบพธิ กี ่อนวนั กเู่ ฉีย ท่มี า: นายองอาจ อนิ ทนเิ วศ หมอผี \"หนผี่ ะ\" หมอผีหรือในภาษาลีซูเรียกว่า \"หนี่ผะ\" (หน่ี คือ ผี ผะ คือ ชาย) ซ่ึงจะทาหน้าท่ีทาพิธีกรรม ตา่ งๆในบา้ นที่เก่ียวกับความโชคร้าย และปัญหาในการดาเนินชีวิตประจาวัน ทาหน้าที่ติดต่อส่ือกลาง ระหว่างคนกับผี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีบรรพบุรุษและผีอารักษ์ท่ีอยู่ในบ้าน หมอผีจึงมีอานาจจากัด เฉพาะแวดวงไม่เกินระดับเครือญาติ ระดับครอบครัว ขอบเขตอานาจจะจากัดเฉพาะเรื่องท่ีเก่ียวกับ โชคร้ายและความเจบ็ ป่วยที่เกิดขึน้ เป็นครัง้ คราว ในการทามาหากินตามปกติหรือการมีชีวิตประจาวัน ของชาวบา้ นเทา่ นั้น เหนือกวา่ นัน้ เปน็ อานาจของหมอเมอื ง ผู้ท่ีจะมาเป็นหน่ีผะได้นั้นจะต้องมีเหตุเกิดขึ้นในลักษณะที่ผีบรรพบุรุษต้องการ จะเข้าทรงใน รา่ งของบคุ คลนน้ั ๆ โดยจะมาเขา้ ฝันหรือมีอาการเจ็บป่วยบ่อยๆ ตัวสั่นและจะสวดบทเพลงโดยไม่รู้ตัว จติ จะอ่อนลง รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เม่ือรู้ตัวว่าผีบรรพบุรุษจะมาเข้าทรง ชาวลีซูมีความเช่ือว่า ถ้าบุคคล

๕๖ ใดหลีกเล่ียงด้วยการไม่ยอมเป็นหน่ีผะ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นบ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุจึง จาเป็นต้องเป็นหนี่ผะตามความประสงค์ของผีบรรพบุรุษ คนท่ีเป็นหน่ีผะจะสามารถเข้าใจ รู้พิธีกรรม ต่างๆ บทสวดโดยไมต่ ้องเรียนรู้กบั ผอู้ ่ืน เพราะหนี่ผะสามารถติดตอ่ กบั ผีและวิญญาณของบรรพบรุ ษุ ได้ หนี่ผะจะเป็นคนหนุ่มหรือคนเฒ่าก็ได้ไม่จากัดอายุแต่ผู้ท่ีถูกเลือกจากผีบรรพบุรุษจะเป็น เฉพาะผู้ชายเท่าน้ัน แต่ละหมู่บ้านจะมีหน่ีผะ ๑-๒ คน ถ้าหมู่บ้านไหนไม่มีและเม่ือต้องการทาพิธี เขา้ ทรงกต็ อ้ งไปเชิญผู้ทเ่ี ป็นหน่ผี ะจากหมู่บ้านอ่ืนมาทาพิธีให้ก่อน เจ้าของบ้านจะต้องเปลี่ยนถ้วยน้าที่ หิ้งบูชาในบ้านและเตรียมใบไม้ ภาษาลีซูเรียกว่าใบ“โลขว่า”ใบไม้ชนิดน้ีใช้ทาพิธีทุกพิธีกรรม หมอผี หรือหนี่ผะจะจุดธูป เทียน หน้าห้ิงบูชาแล้วก้มค้อมลงเล็กน้อย แล้วจะสวดเป็นเสียงเพลงภาษาลีซู จากน้ันผีบรรพบรุ ษุ ก็จะมาเขา้ ทรง ตัวหน่ผี ะจะสน่ั พดู จาเสยี งผิดเพี้ยนไปจากเดิม พอสวดจบแล้ว หนี่ ผะก็จะกลับสู่สภาพปกติ ญาติหรือผู้ใกล้ชิดจะช่วยกันประคองร่างของหน่ีผะไว้มิให้ล้มลงสู่พ้ืนดิน หลังจากหนีผ่ ะฟื้นสสู่ ภาพปกตมิ ีสติคนื มา ก็จะจาไม่ได้ว่าตนไดท้ าอะไรหรอื พูดอะไรไปบ้าง การเป็นหมอผีหรือหน่ีผะไม่จากัดวา่ เปน็ เพศหญิงหรือเพศชาย และไม่จากัดจานวนในหมู่บ้าน ส่วนหมอเมือง หรือเหมอเมอผ่ะเป็นเอกสิทธ์ิเฉพาะผู้ชาย และมีได้หมู่บ้านละเพียงคนเดียวเท่าน้ัน ทั้งน้ีทั้งสองแบบยังไม่จากัดอายุ ไม่จาเป็นต้องผ่านการแต่งงานหรือเป็นหัวหน้าครัวเรือน และไม่สืบ ทอดถึงบุตรหลาน การเป็นหมอผีจึงขึ้นอยู่กับว่า ผีบรรพบุรุษจะเลือกใครเป็นร่างทรง หมอผีอาวุโส ของหมู่บา้ นใดระบุถงึ คณุ สมบัติสาคัญของการเปน็ หมอผี คือ มีจิตใจม่ันคง มีความอดทน มีน้าใจ ยินดี ช่วยเหลือผู้ที่กาลังประสบปัญหาเดือดร้อนเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง และไม่ดื่มเหล้า การเป็นหมอผีจึง ต้องผา่ นกระบวนการฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อเพ่ิมพูนประสบการณ์ โดยมีหมอผีอาวุโส ที่มีประสบการณ์มา นานกวา่ เป็นพี่เล้ยี งและให้คาแนะนาระยะหน่ึง กอ่ นจะให้บริการชาวบา้ นไดด้ ว้ ยตนเอง ภาพท่ี ๒.๔๘ นายอาฉือหนผี ะ งวั ผะ (ซา้ ย) หน่ีผะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กบั เดก็ ๆ ในหมบู่ า้ นเฮโก ท่มี า: นายองอาจ อินทนิเวศ

๕๗ พิธเี รียกขวัญท่ีอาปาโหม่ฮขี องประจาหม่บู า้ น พิธีเรียกขวัญศาลอาปาโหม่ฮี หรือท่ีเรียกว่า \"อาปาโหม่ฮีชือหญ่าดี่ชัว\" พิธีกรรมนี้นิยมทากับ คนทวั่ ไป โดยไม่ไดเ้ จาะจงว่าจะตอ้ งเป็นหญิงมคี รรภ์เท่านั้น อาปาโหมฮ่ เี ปน็ ศาลเจา้ ประจาหมู่บ้านของ ชนเผ่าลีซู ลีซูที่นับถือบรรพบุรุษหรือนับถือผีจะต้องให้ความเคารพอาปาโหม่ฮีถ้าใครเจ็บป่วยหรือไม่ สบายก็จะทาพิธีขอพร ขอให้อาปาโหม่ฮีช่วยคุ้มครอง และให้ปลอดภัยจากโรคภัยตลอดจนสิ่งช่ัวร้าย ต่าง ๆ จากน้ันก็เสกบทคาถาลงในด้ายสายสิญจน์แล้วนากลับมาให้กับคนที่ไม่สบายผูกท่ีคอหรือที่ ข้อมือ ส่วนอุปกรณ์ในการทาพิธี ประกอบด้วย ด้ายสายสิญจน์ ไก่ต้มสุก ๑ ตัว ธูป ๒ คู่ ข้าวสุก ๒ ถว้ ย และนา้ ๒ จอก จากนั้นนาไก่ต้มมาจัดใส่ถาดท่ีเตรียมไว้เอาข้าวสุก ๒ ถ้วย มาวางข้างๆไก่ข้างละ ๑ ถ้วย แล้วเอาน้าท่ีใส่น้าไว้มาวางกับถ้วยข้าวสุกข้างละ ๑ จอก จุดธูป ๒ คู่ มาวางข้างไก่ข้างละคู่ แล้วนาด้ายสายสิญจน์มาวางบนถาด ผู้ที่ทาพิธีกรรมเหล่านี้ต้องไปสวดขอพรที่อาปาโหม่ฮี ลีซูมีความ เช่ือกันวา่ อาปาโหม่ฮเี ป็นหวั หน้าบรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว ถ้าอาปาโหม่ฮีดูแลภัยร้ายต่างๆ ก็ไม่กล้า มารังควาญ หรือกรณีท่ีจะมีการเดินทางไกลหรือเดินทางไปค้างแรงในป่า จะมีการภาวนาหรืออธิฐาน ใหอ้ าปาโหมฮี่ ช่วยคุ้มครองใหต้ นเองไมใ่ หเ้ กิดอันตรายใด ๆ ทั้งส้ิน สถานท่ีต้ังอาปาโหม่ฮีต้องอยู่เหนือ หมบู่ ้าน ชาวลซี เู องกไ็ ม่นยิ มที่จะสรา้ งบ้านใหอ้ ยใู่ นบรเิ วณเหนือกวา่ อาปาโหม่ฮีเพราะถือว่าอาปาโหมฮี่ จะต้องอยู่เหนือกวา่ ลกู หลาน (คนในหมบู่ า้ น) สังคมของชาวลีซูเป็นสังคมเกษตรกรรม ทาไร่ทาสวนอยู่บนดอย เม่ือถึงเวลามีพิธีกรรมจะ ช่วยกันทาและเป็นวันท่ีสาคัญอีกหนึ่งวัน ชาวลีซูค่อนข้างให้ความสาคัญกับงานพิธีกรรมต่างๆ เช่น มี งานศพ พธิ แี ต่งงาน หรือการประกอบพิธีกรรมของแต่ละครัวเรือน คือ อยู่ที่แต่ละครอบเรือนว่าจะจัด วนั ไหนไมส่ ามรถทจี่ ะกาหนดได้ ส่วนพิธีกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการเกษตรนั้นสามารถ กาหนดเวลาข้ึนได้ เพราะร้วู า่ ช่วงเวลาการทาไร่ทาสวน ไร่ข้าว ข้าวโพด พืชผักต่าง ๆ เป็นต้น และปัจจุบันนี้ชาวลีซูเริ่มมี การเกษตรผสมผสานมากข้ึน ท้งั สวนผลไมแ้ ละสวนกาแฟ ตลอดจนประกอบอาชีพอน่ื มาเสริมด้วย การซ่อมแซมศาลเจ้า (เฮอ้ ยป่ี า) จะจัดข้ึนในวันท่ี ๗ ของเดือน “เฮ้อยีปา” (เดือน ๒ ของลีซู หรือเดือนมีนาคม) พิธีจัดข้ึนที่ ศาลเจ้า “อาปาโหม่\" โดยมีการทาพิธีเซ่นไหว้“อาปาโหม่\" และพัฒนาศาลเจ้า เม่ือเสร็จแล้วจะมีการ กินขา้ วร่วมกัน ร้องเพลง เต้นรา และมีการเสวนาแลกเปลี่ยนต่างๆ กัน ซ่ึงผู้เข้าร่วมพิธีนี้จะมีแต่ผู้ชาย เท่านั้น เพราะถือว่า “เฮ้อยีปา” เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ของผู้ชาย มีเรื่องเล่ากันว่าในอดีตช่วงที่มี เทศกาลปีใหมน่ ั้น ผู้ชายทงั้ หลายตอ้ งออกไปสู้รบกัน เหลือแต่ผู้หญิงท่ีอยู่ร่วมพิธีในวันปีใหม่ดังน้ันหลัง ปีใหม่ ๑ เดอื น พวกผูช้ ายไดก้ ลับมา และไดจ้ ดั งานปใี หมอ่ ีกคร้ังหนง่ึ เป็นการทดแทน

๕๘ ภาพท่ี ๒.๔๙ หน่มุ ชาวลซี รู วมตัวกันในบรเิ วณศาลเจ้าของหม่บู า้ น โดยมีพ่อเฒา่ กาลงั บวงสรวงเทพเจา้ ท่ีมา: องอาจ อินทนิเวศ พธิ ีขอบคุณเทพเจา้ (ฉอ่ื แปกว๊ะ) มีข้ึนในวันท่ี ๑๒-๑๔ เดือน ๗ “ซยี่ฮา” เป็นพิธีแสดงความขอบคุณเทพเจ้า ท่ีช่วยดูแลรักษา พืชพรรณธัญญาหารของชุมชน ให้มีความอุดมสมบูรณ์เจริญเติบโตจนได้ผลผลิตดี ในช่วงตลอดปีท่ี ผา่ นมา พิธีกรรมจะไม่เหมอื นกนั เพราะว่าแต่ละตระกูลจะมีรายละเอียดของการประกอบพิธีกรรมที่ไม่ เหมือนกัน โดยรวม ๆ แล้วในวันแรกจะมีการนาผลผลิต พืชผลต่าง ๆ เช่น กล้วย แตงกวา ข้าวโพด ออ้ ย และดอกไม้ต่าง ๆ มาประดับประดาบนหิ้งบูชาบรรพบุรุษ และทาพิธีสวดบทสักการะแก่เทพเจ้า ต่างๆ ซึ่งในเทศกาลนี้ทุกบ้านจะต้องทาความสะอาดบ้านและร่างกายของตัวเอง เพ่ือเป็นสิริมงคลกับ บ้านและตนเอง ไม่มีการไปทางานหรือทาธุระนอกบ้าน หากไม่จาเป็น จากน้ันในวันที่ ๓ จึงนาพืชผล และดอกไม้ต่าง ๆ ออกจากหิง้ บูชา ตอนเย็นเปล่ยี นน้าและจดุ ธปู อนั เปน็ ว่าจบพิธี พธิ เี ซน่ ไหวเ้ ทพเจ้า (หงัว่ ฮาหวู่) มีข้ึนในวันที่ ๕ เดือน “หง่ัวฮา” (ประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม) ในวันน้ีจะมีการทาพิธี เซ่นไหว้เทพ “อาปาโหม่” และมีการพัฒนาศาลเจ้า ตลอดจนมีการขอศีลขอพรจากเทพอาปาโหม่ เพ่ือให้พืชผักเจริญงอกงาม เชื่อกันว่าหากเพาะปลูก ในวันนี้จะทาให้พืชผักเจริญงอกงามมาก แม้แต่ การหายาสมุนไพรกต็ าม เชอื่ กนั ว่าในวนั นี้ตวั ยาจะมฤี ทธแ์ิ รง สามารถรกั ษาโรคได้ดีกว่าวันอน่ื ๆ พิธเี รียกขวญั ข้ามสะพาน “กู่จียู กั๊วะ” ชาวลีซูมีความเช่ือกันว่า โลกของวิญญาณกับโลกของมนุษย์น้ันอยู่กับคนละภพ พิธีกรรมนี้ นิยมทากับคนขวัญอ่อนและคนท่ีสุขภาพไม่แข็งแรง สุขภาพจิตไม่ค่อยดี ฝันร้ายบ่อยๆ มีความเช่ือกัน

๕๙ ว่าขวัญ (โชฮา) ไม่อยู่กับร่างของเจ้าของ ผีกาลังจะมาเอาดวงวิญญาณไป ทาให้สุขภาพและจิตใจไม่ คอ่ ยสงบ พธิ ีกรรมนจี้ ะทาหนา้ บา้ นตรงบริเวณทางเข้าบา้ น การเตรียมสะพานไม้เป็นหน้าท่ีของผู้รู้หรือหัวหน้าครอบครัว (บิดา) ไปตัดไม้มาผ่าครึ่งแล้ว นามาวางคู่กันที่พ้ืนทางเข้าบ้าน ท่ีหัวสะพานจะเสียบต้นไม้เล็กๆหรือกิ่งไม้ข้างละ ๑ ต้น แล้วนาใบไม้ มาทาเป็นกรวย ๒ อนั นาข้าวสกุ มาใสข่ า้ งละ ๑ ถว้ ย และเอาน้ามาใส่ข้างละ ๑ จอก ส่วนธูปจะจุดหัว สะพานขา้ งละ ๑ คู่ ผู้รู้หรือหัวหน้าครอบครัวผู้ทาพิธีจะยกเครื่องเซ่นไหว้ที่เตรียมไว้ไปต้ังที่หัวสะพาน การเรียกขวัญจะมีการบอกให้ดวงวิญญาณของผู้ป่วยให้กลับมาร่างของผู้ป่วยดังเดิม เม่ือบอกดวง วิญญาณ เสร็จแล้วแบ่งตับไก่กับข้าวสุก และน้าใส่ในกรวยใบไม้ท้ัง ๒ อัน อย่างละนิด เชิญขวัญ กลับมากินเคร่ืองเซ่นไหว้พร้อมกับเข้าบ้านและเชิญให้ขวัญกลับเข้าบ้านด้วย แล้วผู้ป่วยต้องน่ังคุกเข่า ใหผ้ ทู้ าประกอบพธิ ีสวดชว่ ยมดั มือหรือมัดคอให้อันเป็นจบพธิ เี รยี กขวัญ พธิ เี รียกขวัญใหญ่“โชฮาควู ” พิธีในครั้งนี้จะทาขึ้นเพ่ือเรียกขวัญให้กลับคืนมาร่างของตนเอง ผู้ท่ีขวัญอ่อนและผู้ท่ีขวัญ ล่องลอยออกจากร่าง จนทาให้ร่างกายไม่สบายมีความเชื่อกันว่า ขวัญผู้หญิงจะมี ๗ ดวงส่วนขวัญ ผู้ชายจะมี ๙ ดวง หากหายไปดวงใดดวงหน่ึง จะทาให้ไม่สบายได้ พิธีกรรมน้ีจะทาข้ึนภายในบ้านของ ผู้ป่วย อุปกรณ์และเครื่องเซ่น ประกอบดว้ ย เงินเหรยี ญ ข้าวสุก หัวหมู ไก่ น้า เหล้า ข้าวโพด ธูป ด้าย สายสญิ จน์ และ(ฟบู ) จะนาสร้อยเงินห้อยคอเครื่องประดับของผู้ป่วยวางบนกองเสื้อผ้าของผู้ป่วยแล้ว ก็จะวางบนขนั โตกอีกทีและตงั้ ไว้ข้างๆประตูทางขวามือ ๒ ชดุ และซา้ ยมือ ๑ ชุด ใช้วางเครื่องเซ่นไหว้ ที่จะเซ่นสังเวย โดยหกั กง่ิ ไมเ้ ล็กๆ ๔ ก่งิ นามาเสยี บปักไว้บนโตก เพื่อสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับป่า นอกหมู่บ้านท่ีผีร้ายอาศัยอยู่ แล้วเอาน้าเหล้า ข้าว ธูป และไข่1 ฟอง เริ่มพิธีโดยหมอผี (หน่ีผะ) จะ สวดมนต์ภาวนาให้ผีร้ายที่กักขวัญของผู้ป่วยน้ัน ให้ปล่อยขวัญกลับมาสูร่างกายของผู้ป่วยเสร็จแล้ว หมอผีออกไปยืนท่ีประตูบ้านในมือถือไข่และด้ายสายสิญจน์สวดมนตร์ให้ผีบรรพบุรุษมากินอาหารท่ี เตรียมเอาไว้ให้ จากน้ันหมอผีเข้ามาในบ้านทาพิธีมัดคอมัดข้อมือของผู้ป่วยด้วยด้ายสายสิญจน์เป็น การรบั ขวญั ท่กี ลบั มาสูร่างกายเรยี บร้อยแลว้ เปน็ อันจบพิธี เซ่นไหว้หลมุ ศพ ลีซเู รียกว่า“หลี่ฮชี วั ” หลงั จากปีใหมผ่ า่ นไปสกั สองเดอื นกวา่ ๆ พิธนี ้ีจะจัดข้ึน ณ สุสานหรือหลุมฝังศพ ชาวลีซูมีการ เซ่นไหว้ที่ หลุมฝังศพของพ่อแม่ พิธีกรรมนี้จะทาทุกๆปี ตืดต่อกัน ๓ ครั้ง หลังจากน้ันเซ่นไหว้ครบ ๓ ครั้งแล้วไม่ต้องทา ลีซูมีความเช่ือว่าวิญญาณไปเกิดใหม่แล้ว ถ้าครอบครัวไหนอยากจะทาต่อสามารถ ทาได้ พิธีน้ีทาได้เฉพาะคนท่ีมีลูกชาย เช่น เวลาพ่อและแม่เสียชีวิตไป ลูกชายก็จะทาพิธี“หล่ีฮีชัว”ให้ พอ่ แม่ท่ีเสียไปแล้ว ถ้าครอบครัวไหนไม่มีลูกชายมีแต่ลูกสาวไม่สามารถที่จะทาพิธีนี้ได้เพราะผู้หญิงไม่ สามารถทาพิธีกรรมได้นอกจากผู้ชายการเซ่นไหว้ให้กับคนตายที่สุสาน หมอผีลีซู (หนี่ผะ) จะเป็นคน

๖๐ สวดบทบริเวณหลุมฝังศพ เพ่ือให้ทราบว่าวันนี้มาทาพิธีและสร้างบ้านใหม่ให้ก็จะมีการฆ่าหมูและไก่ ทาอาหารเลี้ยงแขกที่มาช่วยงาน ณ บริเวณหลุมฝังศพ มีการละเล่น คือ ใช้โคลนหรือข้ีหม่ินก้นหม้อ และก้นกะทะ ท่ีมีสีดาๆ มาทาหน้ากันและทาเสื้อผ้า ทั้งชายหญิงและผู้ท่ีไปร่วมพิธีกรรม ลีซูมีความ เช่ือว่า ถ้าใครไม่ทาหน้าสกปรกผีร้ายสามารถเอาชีวิตไปได้จาเป็นต้องมีการละเล่นสิ่งสกปรก จะได้จา หนา้ ไมไ่ ดไ้ ม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผรี า้ ยจะได้ไม่เอาชวี ิตไปด้วย กจิ กรรมในรอบปี วถิ ีชีวติ ประเพณตี า่ งๆ ชว่ งเดอื น ถางไรเ่ ผาไร่ เก็บเศษไมห้ ญ้า ประเพณปี ใี หม่ (กเู่ ฉีย) มกราคม–กุมภาพนั ธ์ เผาไร่ เกบ็ เศษไม้เรม่ิ ทาไร่ทาสวน พธิ ีกรรมซ่อมแซมศาลเจ้า (เอ้อยี่ปา) มนี าคม- เมษายน ข้าว พืชผักตา่ งๆ ปลูกข้าวโพด พิธที าบญุ (หลีฮ่ ีฉวั ) พฤษภาคม-มถิ ุนายน ดแู ลถางหญ้าในไร่ เก็บเก่ยี วผลผลิต พธิ ขี อบคุณเทพ (ฉวอื แป๊ะกั๊วะ) กรกฎาคม –สิงหาคม เร่ิมถางหญ้าในไร่ เผา่ ไร่ ทาไร่ทาสวนรอบทส่ี องตอ่ กันยายน –ตลุ าคม เกบ็ เกี่ยวข้าวไร่ และเก็บผลผลิต พืชผักต่างๆ ต่อ - ตลุ าคม –พฤศจกิ ายน เก็บเกย่ี วพืชต่างๆและไปสารวจหาพ้นื ทที่ าไร่ทใ่ี หม่และเร่ิมตดั เยบ็ ผา้ เตรียม ธันวาคม –มกราคม ชดุ ใหม่ ประดับเส้ือผ้า ปกั ผ้า เตรยี มอุปกรณ์ใชใ้ นงานฉลองเทศกาลปีใหม่ โนต้ เพลง ๑) เพลงประกอบการขับร้อง เพลงรอ้ งของชาวลซี ู เปน็ เพลงท่ใี ช้ในการเกี้ยวพาราสีกันของหนุ่มสาวชาวลีซู และผู้อาวุโส มี ทงั้ แบบรอ้ งเดยี่ ว และรอ้ งเป็นกลุ่ม ทานองที่ใชเ้ ปน็ ทานองเดียว และจะเปน็ เน้ือร้องไปได้เร่ือยๆ แต่ละ เพลงไม่มีชื่อ ผู้ร้องจะร้องด้นเน้ือร้องไปเร่ือยๆ โดยใช้ปฏิภาณไหวพริบในการเกี้ยวพาราสีหญิงสาว และหญิงก็จะต้องใช้ปฏิภาณไหวพรบิ ในการโต้ตอบเชน่ กนั ทานองทีใ่ ช้ในการร้องเพลงโมะกวั่ กวั ตว๋ั มีทงั้ สิน้ ๔ ทานอง ไดแ้ ก่ ๑) ทานองมวั่ โกะดามะ ๒) ทานองฮโ้ี กะขมู่ ่ัวโกะ และ โชโมะม่ัวโกะ ๓) ทานองหนโี่ ฉ่วมว่ั โกะ ๔) ทานองญ่ีผอื แป้มว่ั โกะ หมายเหตุ โนต้ ทานองนาเสนอในภาคผนวก

๖๑ ๒) บทเพลงบรรเลง บทเพลงของชาวลีซู เป็นบทเพลงส้ันๆ โดยมากเป็นเพลงท่อนเดียว มีปรากฏเพลงสองท่อน บา้ งแตไ่ ม่มาก การเลน่ บทเพลงจะเล่นวนซ้าไปเร่ือยๆ มีความหมายสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดข้ึนใน ชีวติ ประจาวัน หรือการเกย้ี วพาราสี เปรยี บเปรยความหมายต่างๆ กนั ไป บทเพลงของชาวลีซูที่ลงไว้น้ีเป็นเพียงแค่ส่วนหน่ึง (ส่วนใหญ่) ของบทเพลงท่ีเล่นกันอยู่ แต่ก็ ถือได้ว่าเป็นเพลงที่ครบและใช้เล่นกันแพร่หลาย บางเพลงเหลือผู้ที่เล่นได้ไม่กี่คน หรือเหลือเพียงคน เดียวเท่านนั้ รายชอื่ บทเพลงของซอื บือ มปี รากฏในพืน้ ท่ีทั้งส้ิน ๔๓ เพลง แบง่ ตามการตัง้ สายของเคร่ือง ๕ ประเภท ไดแ้ ก่ ระบบเสยี งหลวั เตยี ว ๑. อาซาซือม่า ๒. อี้จุงโจจือชาไป๋ปงั๋ ๓. จ๊ิจีลุลุ ๔. เปอ๋ ไซลชู แุ ป๋จะ ๕. หย่าพิวี ไขข่วยขวะ ๖. จะซาโฉชุ ๗. เหมอลุ ซาลหุ ละ ๘. หงวั หงู แทะแซะงัวตะ๊ ๙. อะทะเดะกผู ่ะ ๑๐.อาโต ซูผะ ลีซูผะ ๑๑.เซยี ชงั กวั โชะ ๑๒.อายหม่ีดาจ๊ะ ตวหี่ ลิ ๑๓.เกอเตอโขะโขะ เกอเตอโขะ ๑๔.ตาโหน่ ตาฮะ ๑๕.กวัวถือ อะเทหลา ๑๖.ฉอื แกะรแู ถะฉือเลอะ ๑๗.กวาเฉดะชหู มา่ จุ ๑๘.กวาเบลถเี ต๊อะ ขือซา่ โขะ ๑๙.เผีย้ ข่ือลุลุ ๒๐.แนฉือโกบาจ๊ิจีสะ

๖๒ ระบบเสียงจเู ตยี ว ๒๑.อูตี๋อูปะลางฉู ึ ๒๒.จะลุก่ะ ๒๓.อือบ่าเป๋ ๒๔.โต๋โบ เมยี ขุ ๒๕.โบโลฟู ๒๖.จูเตยี ว 1 (ไม่ปรากฏช่ือเพลง) ระบบเสยี งออื เตยี ว ๒๗.ลาเขอเออเนกวั ๒๘.แถะแถะซอื มะ ๒๙.กัวเฉยาชหุ ม่าโจะ ๓๐.ยาลยู าลู ๓๑.ยากลอเลอยะมา (เพลงรอ้ งประกอบ) ๓๒.แท้แทซ้ ึมา ๓๓.อามาเฉยี เออนนู ูฉวย (เพลงร้องประกอบ) ๓๔.ซเิ ผยี ะลวั เผยี ะ ๓๕.(ไมท่ ราบชือ่ เพลง) ๓๖.(ไม่ทราบช่อื เพลง) ๓๗.อาโกโหลตะ๊ อาโหลปะ๊ ระบบเสยี งซังโจโ่ ก๊ะ ๓๘.ซังโจ่โกะ๊ /กวัวซิหม่าโกะ๊ ๓๙.ชิชงิ ือซือกวาเชลา (เพลงรอ้ งประกอบ) ๔๐.ชชิ เิ จวเจวเต่นาโฉ ๔๑.อาซโึ บ่โบ๊ ระบบเสยี งไม่ปรากฏช่อื ๔๒.หลาซิตกี๋ ัว ๔๓.เป๋กัว หมายเหตุ โนต้ เพลงนาเสนอในภาคผนวก

๖๓ รายช่อื บทเพลงของปาลิฝู่หลู มีปรากฏท้ังส้ิน ๒๔ เพลง ไดแ้ ก่ ๑. กวาตอื ตอื ๒. เป๋กัว่ ๓. โต๋โบเมยี ขุ ๔. หลาซติ ๋กี วั่ ๕. ฉือกวั่ ๖. ลขู ู่ยา้ หละ่ ๗. หลา่ เป๋ หล่าเป๋ ลาโมฟุ๊ ๘. อยอู่ ยโู่ นะ๊ โน๊ะ ๙. หลา่ เปน๋ านา โหล๋ตา๋ ฟุ๊ ๑๐.กวาสือสือ ๑๑.ซาจือ ๑๒.ซาจอื (๒) ๑๓.ทซิ กิ วาจือ ๑๔.เป๋กั่ว (๒) ๑๕.เทหม่าอสู ึ ๑๖.เทสึจอื เปโงะโงะ ๑๗.ทปิ ันยา อิฉึทลี า ๑๘.เผียแตม้ า ๑๙.มามาตซิ ือ ๒๐.เทเนไหมเอยี เบเนสึ หมายเหตุ โน้ตเพลงนาเสนอในภาคผนวก รายชื่อบทเพลงของฝหู่ ลแู ลแล มีปรากฏทงั้ ส้นิ ๒๓ เพลง ได้แก่ ๑. กวาตอื ตือ ๒. อาญา่ สือแผะ ๓. สอื ผาหลา ดามายู้ยุ สอื มาปที ะกทู่ ุ ๔. อาแหละเซอผะ อายะเซอผะ ๕. เป๋กั่ว ๖. โกบะ ทะบะ ๗. ปาฝู่ชีฮ้ ฝ้ี าหวะ

๖๔ ๘. ลือฉหี ยาซะ ซือคแู หซ่า ๙. จิ๊จลิ ุลุ ๑๐.ซอื เผียลวั เผยี ๑๑.ซือลผี ่า หล่ายามายือ ๑๒.นากู่ทาทา ๑๓.ฉือชีตาหยา่ ๑๔.ฝ่าทูผ่า ๑๕.หล่ามาหล่าโทย่า ๑๖.ชัวบุ ๑๗.อาแหละเซอผะ อายะเซอผะหม่าจะ ๑๘.จจ๊ิ ลิ ลุ ุ หม่าซาโตโต๊ะกวา่ เฉวะ หมายเหตุ โนต้ เพลงนาเสนอในภาคผนวก รายช่อื บทเพลงของฝหู ลนู่ าโอ่ มปี รากฏท้งั สน้ิ ๒ เพลง ไดแ้ ก่ ๑. อผู า่ นาขุ๊ แห นาคู ๒. อาปาลมิ า้ หลาลิมา หมายเหตุ โน้ตเพลงนาเสนอในภาคผนวก รายช่อื บทเพลงของหยื่ลุ มีปรากฏทง้ั สน้ิ ๙ เพลง ไดแ้ ก่ ๑. ตงั งา ซอื หล่ี ๒. ตา๋ โวซาโกโก๊ ๓. (ไมท่ ราบชอ่ื ) ๔. ยะพิวโละซา ๕. อาซาเผา่ ๖. ทแี ยลิ ๗. เป๋กวั่ ๘. (ไมท่ ราบชอ่ื ) ๙. อาแวโลโงะโละ หมายเหตุ โนต้ เพลงนาเสนอในภาคผนวก

๖๕ ฐานขอ้ มูลนักดนตรี ฐานข้อมูลนกั ดนตรนี ี้ เป็นข้อมูลทสี่ ารวจ เมอ่ื ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ในจังหวัดเชียงราย ที่ ชอื่ -สกุล อายุ เครอ่ื งดนตรีท่เี ล่นได้ บ้านหว้ ยส้านลซี ู หมู่ ๑ ตาบลห้วยชมภู อาเภอเมอื ง จังหวดั เชียงราย ๑ นายชยั ศรี ทพิ สิริวิวัฒน์ ๕๔ ซอื บือ / ปาลฝิ ู่หลู / หยื่ลุ ๒ นายอาปาผละ ขุนเขาเกรียงไกร ๕๐ ซือบอื / ปาลฝิ ู่หลู ๓ นายจะเบลอ แซจ่ ู ๔๔ ซอื บอื / ปาลฝิ หู่ ลู ๔ นายภิรมย์ แมวปา่ ๕๕ ซอื บือ / ปาลิฝหู่ ลู / หยื่ลุ ๕ นายหญายแบ แซย่ า่ ง ๕๐ ซอื บอื / ปาลิฝหู่ ลู ๖ นายบญุ มี ตาหมี่ ๔๕ ซอื บือ / ปาลฝิ ู่หลู / หยล่ื ุ บา้ นเวยี งกลางลีซู หมูท่ ่ี ๒๑ ตาบลแม่ขา้ วต้ม อาเภอเมือง จงั หวัดเชียงราย ๗ นายอาจิงฉ่าย ยอดเมคาวงศ์ ๕๖ ซือบอื / ฝหู่ ลนู าโอ่ /ฝหู่ ลแู ลแล / ปาลฝิ ู่หลู / หยลื่ ุ ๘ นายอาฝู่ฉา่ ย แซย่ ่าง ๖๑ ซอื บอื / ฝู่หลแู ลแล / ปาลฝิ ู่หลู / หยลื่ ุ ๙ นายปากทู ู แสนเหลยี ว ๕๐ ซือบอื / ปาลิฝหู่ ลู ๑๐ นายเชียวจุง แซล่ ี ๕๐ ซอื บอื / ปาลิฝหู่ ลู ๑๑ นายโหลตา๋ กู่ แสนเหลยี ว ๕๐ ซอื บอื / ปาลฝิ ู่หลู บ้านเฮโก หมูท่ ี่ ๑๙ ตาบลป่าตึง อาเภอแม่จนั จังหวัดเชยี งราย ๑๒ นายอาเบล ยนั จา ๖๘ ซอื บอื / ฝู่หลูนาโอ่ /ฝหู่ ลแู ลแล / ปาลฝิ ู่หลู / หย่ลื ุ ๑๓ นายอาเบล โดโ่ ด้ ๕๕ ซอื บอื / ฝู่หลแู ลแล / ปาลฝิ ูห่ ลู / หย่ลื ุ ๑๔ นายคารณ งวั ยา ๔๐ ซือบือ / ปาลิฝหู่ ลู / หย่ลื ุ ๑๕ นายอาวู แซจ่ า ๖๐ ซือบือ / ปาลฝิ ่หู ลู / หยืล่ ุ บา้ นหัวแม่คา หมู่ ๔ ตาบลแมส่ ลองใน อาเภอแมฟ่ ้าหลวง จงั หวดั เชียงราย ๑๖ นายอาซอื หวา่ เตอ๋ แซ่หยี่ ๕๑ ฝหู่ ลูแลแล / ปาลฝิ ู่หลู / หยืล่ ุ ๑๗ นายสอื จโี ปะ แซห่ ย่ี ๕๕ ซือบือ ๑๘ นายจะเหวย แสนเจอว ๕๐ ซอื บอื ๑๙ นายอา่ เอ๋อ แสงล่ี ๔๕ ปาลฝิ ู่หลู ๒๐ นายอาเบล แซ่ไฉ ๒๗ ปาลิฝหู่ ลู ๒๑ นายอาหลู่ แซห่ ย่ี ๔๐ ปาลฝิ ู่หลู ๒๒ นายอาเบล แซล่ ่ี ๓๓ ปาลิฝ่หู ลู ๒๓ นายอาหวู่ แซห่ ยี่ ๔๖ ปาลิฝหู่ ลู ๒๔ นายอานาจ แสนเหลยี ว ๔๒ ซอื บือ / ปาลิฝหู่ ลู

๖๖ ที่ ชื่อ-สกุล อายุ เคร่ืองดนตรีท่ีเล่นได้ บา้ นดอยช้าง หมู่ ๓ ตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จงั หวดั เชยี งราย ๒๕ นายศักด์ิชัย เชาว์สวุ รรณวไิ ล ๕๘ ปาลิฝหู่ ลู ๒๖ นายอาเบโน๊ะ หลจี า ๗๕ ซอื บอื ๒๗ นายอาปาผะ ตาม่ี ๗๐ หยืล่ ุ ๒๘ นายสรุ ชัย เลายป่ี า๋ ๗๑ ฝหู่ ลแู ลแล / ปาลิฝ่หู ลู / หยล่ื ุ ๒๙ นายเบยี ก๊ิ สหี มี ๘๐ ซอื บือ / ฝู่หลูนาโอ่ /ฝหู่ ลแู ลแล / ปาลิฝหู่ ลู / หย่ลื ุ บา้ นดอยลา้ น หมู่ ๔ ตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จงั หวดั เชยี งราย ๓๐ นายสมคิด แซจ่ ู ๕๘ ซือบือ /ฝหู่ ลูแลแล / ปาลิฝ่หู ลู / หยลื่ ุ ๓๑ นายอาเลขู่เมอ๊ ะ แซย่ ่าง ๗๐ ฝหู่ ลนู าโอ่ /ฝหู่ ลแู ลแล / ปาลฝิ ูห่ ลู / หยื่ลุ ๓๒ นายมนตรี การะเกด ๕๕ ซอื บือ / หยืล่ ุ ๓๓ นายหลา้ ปาลีวงศา ๖๔ ฝ่หู ลูแลแล / ปาลฝิ หู่ ลู / หยืล่ ุ ๓๔ นายสรุ ชยั รตั นานพิ นธ์ ๗๕ ซือบอื / ปาลฝิ ู่หลู ๓๕ นายเลา่ ต๋า แซย่ ่าง ๗๕ ปาลิฝ่หู ลู ๓๖ นายอาซาผะ สนิ มี่ ๕๕ ซือบอื / ปาลฝิ ู่หลู ๓๗ นายอาเบลผ่า ตามี่ ๗๕ ปาลิฝู่หลู ๓๘ นายดวงแกว้ แซ่จา๋ ว ๕๐ ปาลิฝหู่ ลู บา้ นปางสา ตาบลปา่ ตงึ อาเภอแม่จัน จังหวดั เชียงราย ๓๙ นายชลาดล เบยี ผะ ๕๔ ซอื บอื ๔๐ นายวิทยา แซ่ลี้ ๖๑ ซอื บือ บ้านหว้ ยไคร้ หมู่ ๑๓ ตาบลวาวี อาเภอแมส่ รวย จังหวัดเชียงราย ๔๑ นายอะเลเนอะ ครี คี ามสุข ๗๒ ฝู่หลูแลแล / ปาลฝิ หู่ ลู ๔๒ นายนกิ ะ คีรคี ามสุข ๔๒ ซอื บอื / ฝูห่ ลแู ลแล / ปาลิฝูห่ ลู / หยล่ื ุ ๔๓ นายสรุ จั แซจ่ าง ๖๐ ฝหู่ ลูแลแล / ปาลฝิ หู่ ลู / ๔๔ นายจอปุ แซ่ยา่ ง ๖๐ ซอื บอื / ฝ่หู ลแู ลแล / ปาลฝิ ูห่ ลู / หย่ลื ุ ๔๕ นายอาหวู่ผะ หลจี า ๖๐ ซอื บอื / ฝหู่ ลูแลแล / ปาลฝิ ู่หลู / หย่ลื ุ

๖๗ ฐานขอ้ มูลชา่ งผู้ผลิตเครอ่ื งดนตรี ๑) นายอาเบล โดโ่ ด้ บ้านเฮโก นายอาเบล โด่โด้ อายุ ๕๕ ปี เป็นช่างทาเคร่ือง ดนตรี อาศัยอยู่ท่ี บ้านเฮโก ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ. เชียงราย เร่ิมเรียนการเล่นเครื่องดนตรีจากคนเฒ่า คนแกใ่ นหมบู่ า้ น (บ้านเดิมอยู่บ้านหัวแม่คา) จากนั้น สนใจในการทาเครื่องดนตรีจงึ ไดฝ้ ึกหัดทาจนชานาญ สามารถทาเคร่ืองดนตรลี ซี ไู ด้ทกุ ประเภท เช่น ซือบือ ปาลิฝูห่ ลู ฝหู ลูแลแล และขล่ยุ หยืล่ ุ ๒) นายอาซอื หว่อเตอ แซห่ ย่ี บ้านหวั แมค่ า นายอาซือหว่อเตอ แซ่หยี่ อายุ ๕๑ ปี (เกิดปี พ.ศ. ๒๕๐๔) นับถือศาสาพุทธ ประกอบอาชีพเกษตรกร อยู่บ้านเลขที่ ๖/พ หมู่ ๔ บ้านหัวแม่คา ตาบลแม่ สลองใน อาเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มี ความสามารถสร้างเคร่ืองดนตรีลีซูได้ทุกชนิด ยก เว้นฝู่หลูนาโอ่ เพราะจาเสียงไม่ได้ ได้รับการสืบ ทอดมาจากบิดา และผู้รู้ในหมู่บ้าน (นายอาเบล โด่ โด้) มีความคิดสร้างสรรค์สามารถทาเครื่องดนตรี อ่ืนๆ ได้ ซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าได้ และเป็นครูสอน เพลงพื้นบ้านลีซูให้กับเยาวชนในหมู่บ้านหัวแม่คา อีกด้วย ปัจจุบันทาการเกษตรน้อยลง หันมาทา เคร่ืองดนตรีลีซูเพื่อจาหน่ายมีรายได้ท่ีดีกว่า และมี ความสุขกับชีวติ บนยอดดอยหัวแมค่ า

๖๘ ๓) นายอาเบล ยนั จา บ้านเฮโก นายอาเบล ยันจา ปัจจุบันอายุ ๖๗ ปี (เกิดปี พ.ศ.๒๔๘๘) นักดนตรีชาวลีซู ผู้มี ความสามารถด้านดนตรีลีซูสูง เริ่มหัดเล่นซือ ต้ังแต่เด็ก เล่นเคร่ืองดนตรีลีซูได้ทุกประเภท ได้รับการสืบทอดบทเพลงจากคนเฒ่าคนแก่ใน หมู่บ้าน มีความสามารถสร้างเคร่ืองดนตรีลีซูได้ ทกุ ชนดิ ยกเว้น ซือบือ เป็นปราชญ์หมู่บ้าน สอน ดนตรีให้กับเด็กชาวลีซู และผู้สนใจ ปัจจุบันเลี้ยง หลานอยู่ทบี่ ้าน ไม่ไดป้ ระกอบอาชพี ใด อาศัยอยู่ที่ บ้านเฮโก ต.ปา่ ตงึ อ.แมจ่ นั จ.เชียงราย

๖๙ ๔) นายคารณ งัวยา บา้ นเฮโก นายคารณ งัวยา ปัจจบุ ันอายุ ๔๐ ปี (เกดิ ปี พ.ศ.๒๕๑๖) เป็นนักดนตรี และนักพัฒนาชาวลีซู ผู้มีความสามารถด้านดนตรีลีซู (หยื่ลุ) ได้รับการถ่ายทอดบทเพลงลีซูมาจากบิดา (นายอาเล้ผ่า งัวยา เหมอเมอผ่า บ้านเฮโก) มีความสามารถในการสร้างเคร่ืองดนตรีหย่ืลุ เคยทาโครงการสอนดนตรีลีซู ให้กบั เด็กในโรงเรยี นบา้ นรว่ มใจ อ.แมจ่ ัน จ.เชยี งราย เปน็ ตัวแทนชุมชนบ้านเฮโกดา้ นวฒั นธรรม การถา่ ยทอดและการสบื ทอด ลักษณะการถ่ายทอดทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู มีลักษณะคล้ายกับดนตรีพ้ืนบ้าน โดยท่วั ไป กลา่ วคอื เปน็ การต่อเพลงโดยการบอกต่อๆกัน หรือท่ีเรียกว่า “มุขปาฐะ” ผู้เรียนจะต้องจา บทเพลง และฝึกหัดตามให้ถูกต้องตามที่ผู้ถ่ายทอดสาธิตให้ดูท่ีละประโยคเพลง ท้ังน้ีผู้สอนจะมี รายละเอียดวิธีการบอกเพลงแตกตา่ งๆ กนั ไป ตามแต่วิธีการของตน แต่ท่ีสาคัญการฝึกหัดบทเพลงลีซู ผ้ฝู กึ หัดต้องรู้จักบทเพลง และความหมายของบทเพลง จึงจะสามารถเข้าใจจังหวะการเต้นราประกอบ เพลงได้ ในปัจจุบันการถ่ายทอดดนตรีของลีซูเปลี่ยนแปลงไป ในด้านของการเข้าถึงความหมายของ บทเพลง บางคร้งั ผ้บู รรเลงอาจไม่รู้จักเพลง ไม่เข้าใจถึงความหมายของทานอง แต่เข้าใจถึงจังหวะของ เพลง เพราะได้ฟงั เพลงนแี้ ลว้ รสู้ กึ ชอบ หรือได้บรรเลงมากับเพ่ือนในงานปีใหม่ ซึ่งการบรรเลงลักษณะ น้ีใช้วิธจี าต่อๆ กันมา โดยจะจาเสียง จาทานองเพลงแลว้ กบ็ รรเลงต่อๆ กัน

ขอ้ มูลของผู้บอกรายละเอยี ด ๗๐ ภาพ รายละเอียด นายอาเบโน๊ะ หลจี า (ปราชญ์ชมุ ชน) อายุ ๗๕ ปี อาศัยอยู่ท่ีบ้านดอยช้าง ในอดีตเป็นแพทย์ ประจาตาบล และเป็นผู้นาชุมชน ปัจจุบันเป็นท่ีปรึกษา ด้านวัฒนธรรม และการเกษตรให้กบั ชุมชน นายอาเล้ผ่า งัวยา เหมอเมอผ่าหรือหมอเมอื งบ้านเฮโก ปัจจุบันอายุ ๗๗ ปี เป็นผูเ้ ชย่ี วชาญดา้ นพิธีกรรมของลซี ู

๗๑ ภาพ รายละเอยี ด นายสมคิด แซจ่ ู เหมอเมอผ่าหรือหมอเมือง บ้านดอยล้าน อายุ ๕๘ ปี เป็นผู้สืบสานวัฒนธรรมลีซู มีความเข้าใจวัฒนธรรม พิธีกรรม และดนตรีของลีซู ปัจจุบันอาศัยอยู่ท่ี บ้าน ดอยล้าน หมู่ ๔ ตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จังหวัด เชียงราย นายชยั วัฒน์ แซย่ า่ ง อายุ ๔๕ ปี เป็นผ้นู าชมุ ชนบ้านเวียงกลาง มีความมุ่งม่ัน ในการทางานสูง ส่งเสริมให้ชาวบ้านรักษาวัฒนธรรม รากเหง้าของบรรพบุรุษ ผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจ พอเพียง

๗๒ ภาพ รายละเอยี ด นายวสันต์ แซห่ ย่ี อายุ ๔๕ ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านหัวแม่คา เป็นผู้นาชุมชน บ้านหัวแม่คา มุ่งม่ันในการศึกษาระบบเกษตรทฤษฎี ใหม่ และระบบเศรษฐกจิ พอเพียง นายปรชี า กนกนาฎกลุ อายุ ๓๘ ปี กานันตาบลห้วยชมพู และผู้ใหญ่บ้าน บ้าน ห้วยส้านลีซู เป็นผู้มุ่งม่ันในการทางานสูง ช่วยเหลือ ชาวบ้านทุกหมู่บ้าน ปัจจุบันอยู่บ้านห้วยส้านลีซู ตาบล หว้ ยชมพู จังหวดั เชียงราย

๗๓ ภาพ รายละเอียด นางอรอนงค์ แสนยากลุ อายุ ๔๕ ปี เป็นผู้รวบรวมและจัดต้ังกลุ่มชาวบ้านดอย ช้างเพ่ือประกอบธุรกิจชุมชน (กาแฟลีซูดอยช้าง) และ เปน็ ทป่ี รกึ ษาดา้ นอาชีพแก่เยาวชน และสตรีลีซู ปัจจุบัน อาศัยอยู่ที่ บา้ นดอยช้าง นายวันชยั จะเรพนาเวช ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครอง อายุ ๓๘ ปี มีความ มุ่งมั่นในการทางานด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมลีซู เชย่ี วชาญในพน้ื ท่ี ปัจจบุ ันอาศัยอยู่ท่ี บา้ นดอยล้าน

๗๔ ภาพ รายละเอียด นายอาเลเนอะ หล่ีจา (ครี คี ามสขุ ) อายุ ๗๒ ปี (น้องชายอาเบโน๊ะ) ปราชญ์ชุมชน และผู้รู้ วัฒนธรรมลีซู กรรมการโครงการสื่อภูมิปัญญาชาวบ้าน กรรมการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของ ชาวไทยภูเขา มีผลงานเรียบเรียงหนังสือเก่ียวกับเพลง ร้องของชาวลซี ู เปน็ หนังสอื ภาษาลซี แู ละภาษาองั กฤษ ปัจจุบันอาศัยอยู่ท่ี บ้านห้วยไคร้ หมู่ ๑๓ ต.วาวี อ.แม่ สรวย จ.เชยี งราย นายนิกะ ครี คี ามสขุ อายุ ๔๒ ปี เป็นผู้มุ่งมั่นในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และ เป็นผู้สืบสานวัฒนธรรมลีซู มีความสามารถด้านการ แสดงหลายด้าน ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านห้วยไคร้ ต.วาวี อ.แมส่ รวย จ.เชียงราย

บทท่ี ๓ เงือ่ นไขภาวะวิกฤติของดนตรชี าตพิ นั ธุใ์ นจังหวัดเชียงราย ๓.๑ สถานะภาพของดนตรลี ซี ใู นปจั จบุ ัน หากกล่าวถึง “ดนตรี” สาหรับคนลีซูในอดีตนั้นแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นของคู่กัน ที่ชายหนุ่ม จะต้องมีเครื่องดนตรีคู่กาย เพ่ือใช้บรรเลงยามเหงาเมื่อตอนเดินทางเข้าป่าเพื่อหาของป่ามาขาย และ อาหารที่ต้องนามาเล้ียงคนในครอบครัว นอกจากการพกเคร่ืองดนตรีติดตัวเป็นประจาในยามเข้าป่า แล้ว เม่ืออยู่บ้านการบรรเลงเครื่องดนตรีเพ่ือกล่อมเกลาจิตใจ หรือประกอบกิจกรรมรื่นเริงต่างๆ ใน หมูบ่ ้านจะมีให้เห็นอยู่เปน็ ประจาในหมู่บ้านของชาวลีซู ซึ่งเครื่องดนตรีท่ีนิยมบรรเลงกัน ได้แก่ ซือบือ ปาลิฝู่หลู ฝู่หลูแลแล หย่ืลุ และ ฝู่หลูนาอุ เมื่อใดท่ีนักดนตรีบรรเลง ก็จะมีชาวบ้านเข้าร่วมร่วมเต้น ประกอบจังหวะตามเสียงเพลงนั้นๆ อย่างกลมกลืน เสียงกระทืบเท้าลงพ้ืนดินอย่างพร้อมเพรียง เป็น การบ่งบอกอย่างมีนัยสาคัญถึงความเข้าใจในความหมาย และบทเพลงท่ีส่ือออกมาโดยปราศจากคา ร้องแตอ่ ยา่ งใด ดนตรขี องลีซู แมไ้ ม่มเี น้ือรอ้ ง แตผ่ ้คู นจะจาความหมายของเพลงจากช่ือเพลง และจังหวะการ เต้นราประกอบของนักดนตรีเป็นสาคัญ ดังที่ นายสมคิด แซ่จู เหมอเมอผ่าบ้านดอยล้าน (สัมภาษณ์, ธันวาคม ๒๕๕๕) ไดก้ ล่าวไว้ว่า “... ถ้าจะฝึกเป่าฝู่หลู ต้องรู้จักเพลง รู้จักจังหวะก่อน ถึงจะเป่าได้ ...” ท้ังน้ีหากการบรรเลงเครื่องดนตรีโดยไม่เข้าใจก็จะขาดอรรถรส และทาให้เข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของ ความเป็นลซี ูอย่างแทจ้ รงิ สถานะภาพของดนตรีลีซูในปจั จุบัน ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้เน่ืองจากดนตรี เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกิจกรรมงานประเพณี (งานปใี หม่ลีซู) ซง่ึ จดั ขึ้นเป็นประจาทุกปี ท่ีทุกหมู่บ้านให้ความ สนใจยึดถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ แต่ในสภาพการณ์จริงของดนตรีท่ีได้รับความนิยมน้ี มีข้อสังเกต และนา่ ศึกษาอย่างน่าเป็นห่วงถึงสถานะที่เป็นอยู่ กล่าวคือ ความลดลง และเส่ือมถอยของดนตรี จาก ปัญหาการขาดความสนใจฝึกหัดเล่นเคร่ืองดนตรีที่สั่งสมมา ทาให้ขาดนักดนตรีที่จะมาสืบทอดบท เพลง ทาให้บทเพลงบางเพลงหายไป หรือตัดทอนไป บางเพลงมีการเสริมเติมแต่งขึ้น หรือแม้แต่การ บรรเลงเพ่ือให้เกิดเสียง โดยมิได้คานึงถึงความหมายของบทเพลงน้ันๆ อย่างแท้จริง ซ่ึงหากในการ เพิม่ เตมิ แตง่ บทเพลงโดยมีการใหค้ วามหมายอยา่ งชดั เจนกย็ งั ถือว่าอนุโลมได้ แต่บางเพลงเป็นเพียงแค่ ทานองท่ีเคยฟังมาแล้วนามาบรรเลงตามท่ีใจคิด ก็ไม่อาจอธิบายถึงความเป็นมา หรือความหมายของ บทเพลงนนั้ ได้ ซึ่งต้องยอมรบั ว่าเป็นวิถีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีท่ีมิได้มีการจดบันทึก หรือ ยดึ ถือรูปแบบตายตวั แต่อย่างใด

๗๖ ๓.๒ สถานะภาพของนักดนตรชี าตพิ นั ธลุ์ ซี ูในปัจจบุ นั จากการสารวจในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ของสถาบันวิจัยชาวเขา พบว่ามีชาวลีซู อยู่ ๓๐,๙๔๐ คน ๑๕๑ หมู่บ้าน ๕,๑๑๔ ครัวเรือน คิดเป็น ร้อยละ ๔.๑๑ ของประชากรชาวเขาท้ังหมด อาศัยอยู่ใน จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และกระจายทั่วไปในจังหวัด พะเยา ตาก กาแพงเพชร เพชรบูรณ์ สุโขทัย ปัจจุบันมีการสารวจจากสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทย ภูเขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท) พบวา่ มชี าวลซี ูอย่ปู ระมาณ ๕๐,๐๐๐ คน ทัว่ ประเทศ จากการศึกษาเก็บข้อมลู ภาคสนาม และไดส้ ารวจโดยคนในชุมชนชาวลีซูถึงจานวนนักดนตรีท่ี ปรากฏในพ้ืนที่จงั หวดั เชียงราย พบว่า มจี านวนประชากรชาวลซี ูท่ีสามารถบรรเลงดนตรีของชาวลีซูได้ เปน็ เพศชายท้ังหมด มีจานวนประมาณ ๖๐ คน เฉล่ียอายุที่ ๕๐-๗๐ ปี สถานะภาพของนักดนตรีลีซูในปัจจุบัน จากการบอกเล่าของนักดนตรีในชุมชนที่เข้าศึกษา และการเสวนาร่วมกันในหลายชุมชน หลายหมู่บ้าน ต่างให้ข้อมูลถึงสภาพของนักดนตรีในปัจจุบันว่า ต่างมีสถานภาพที่แตกต่างกันออกไป ตามลักษณะพื้นฐานของการใช้ชีวิตในครอบครัว ทั้งน้ีโดยส่วน ใหญ่ประกอบอาชีพหาของป่า และทาไร่ การที่จะได้บรรเลงดนตรีมีเฉพาะในช่วงเทศกาล หรืองาน โอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน เท่าน้ัน และหากฝ่ายหญิงแต่งงานกับคนเมือง หรือท่ีไม่ใช่ชาวลีซู ดว้ ยกัน หรือชาวต่างชาติ บางครั้งอาจจะไมไ่ ด้จดั พธิ ีในรปู แบบของลซี ูเลย ในสภาพของนักดนตรีลีซูถือเป็นปัจจัยสาคัญในการอนุรักษ์บทเพลง และถ่ายทอดให้กับ เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพราะจะเป็นผู้สร้างแรงบัลดาลใจ หรือตัวอย่างท่ีควรปฏิบัติให้กับผู้คนทั่วไป นัก ดนตรีถือเป็นผู้สร้างสีสันอย่างยิ่งในกิจกรรมของหมู่บ้าน เมื่อถึงช่วงเทศกาลนักดนตรีจะถูกทาบทาม จากหมู่บ้านต่างๆ ให้ไปบรรเลงในงานของหมู่บ้านตน พวกเขาจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งสุรา อาหารตลอดจนรายได้เป็นกอบเป็นกา ทั้งท่ีได้จากค่าจ้าง และจากเงินสมทบท่ีชาวบ้านให้เป็นพิเศษ หากเกดิ ความถูกใจในบทเพลง และลลี าการเต้นรา นักดนตรีลีซูกับการเต้นรา เป็นของค่กู ันที่ขาดกันไม่ได้ จากการได้พูดคุยกับ นายนิกะ คีรีคาม สุขนกั ดนตรลี ีซูบ้านห้วยไคร้ (สมั ภาษณ์, ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ บา้ นดอยช้าง จ.เชียงราย) นักดนตรีลีซูท่ี ได้รับความนิยมเป็นท่ีรู้จักของชุมชนลีซูผู้หนึ่ง ซ่ึงได้รับการเชื้อเชิญจากหมู่บ้านต่างๆ ให้ไปบรรเลง ดนตรีในช่วงเทศกาลเป็นประจาทุกปี กล่าวว่า “... ช่วงก่อนงานปีใหม่ลีซูประมาณ ๑ เดือน เจ้าของ บ้านท่ีจะจัดงานเล้ียงปีใหม่ จะโทรมานัดหมายวันเวลาเพื่อให้ตนไปแสดงสร้างความครึกคร้ืน ในลาน เต้นราของบ้านตน มีท้ังในหมู่บ้านใกล้ และไกล ตนเองมีค่าตัวการแสดงประมาณวันละ ๓๐๐-๕๐๐ บาท เม่ือแสดงจริงมักจะได้รับความช่ืนชอบ ถูกใจ และได้น้าใจพิเศษจากกลุ่มชาวบ้านท่ีร่วมเต้นรา กลับมาอีกวันละไม่ต่ากว่า ๑,๐๐๐ บาท ทั้งนี้สาเหตุมาจากการท่ีตนเองบรรเลงเพลงได้ไพเราะ ประกอบกับลีลาการเต้นราที่ถึงพริกถึงขิง ยักย้ายส่ายสะโพก เต็มที่ บรรเลงไม่รู้จักเหนื่อย จึงถูกใจ ชาวบา้ นเปน็ อยา่ งมาก และมกี ารบอกตอ่ ไปเปน็ ทอดๆ จงึ ทาให้เป็นทรี่ จู้ ักอย่างกวา้ งขวาง ...”

๗๗ นกั ดนตรกี บั การเป็นช่างผู้ผลิตเครื่องดนตรี ผู้อยู่เบ้ืองหลังของการสร้างเคร่ืองดนตรีให้กับนัก ดนตรีเพ่ือเสียงเพลงอันไพเราะ ผู้วิจัยได้พูดคุยกับช่างผู้ผลิตท้ังสองท่าน ได้แก่ นายอาเบล โด่โด้ บ้าน เฮโก (กันยายน ๒๕๕๕ ณ บ้านเฮโก จ.เชียงราย) และนายอาซือหว่อเตอ แซ่หย่ี บ้านหัวแม่คา (พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ บ้านหัวแม่คา จ.เชียงราย) ทั้งสองได้ให้ข้อมูลที่คล้ายกัน กล่าวคือ ตนเองมี อาชีพหลักคือทาเครื่องดนตรีลีซู ส่วนอาชีพทาไร่ หรือหาของป่ามาขายนั้นเป็นอาชีพรอง รายได้หลัก มาจากการทาเครื่องดนตรี ในช่วงสองเดอื นก่อนจะถึงวันปีใหม่ลีซู จะมีคนมาซื้อเคร่ืองดนตรีเยอะมาก ทั้งพ่อค้าคนกลาง และนักดนตรี มานั่งรอเอาเลยก็มี ทาแทบไม่ทัน ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างตนจะหาวัสดุ และส่วนประกอบของเครื่องดนตรีเตรียมไว้สาหรับในช่วงเทศกาลเพื่อขายให้กับพ่อค้าชาวลีซูที่มารับ เครื่องดนตรีไปขายยงั หมบู่ า้ นตา่ งๆ บางคร้งั กม็ ีการนาเครื่องเก่ามาซ่อม ซ่ึงตนรับทาหมด รายได้ดีมาก อยู่ได้เกือบท้ังปี เครื่องดนตรีที่ขายดีท่ีสุด คือ ปาลิฝู่หลู รองลงมา คือ ซือบือ ส่วนหย่ืลุ น้ันทาไม่ยาก นักดนตรเี ขาทากนั เอง แต่ฝู่หลูแลแล กบั ฝหู่ ลูนาอุ ไม่มีคนส่ังทามาหลายปแี ล้ว เนอื่ งจากไม่ได้รับความ นยิ มเท่าทค่ี วร และคนเปา่ เป็นไม่ค่อยมี อย่างไรก็ตามสถานภาพของนักดนตรีลีซูส่วนใหญ่ไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปมากนัก ต้อง ทางาน ทาไร่ หาของป่า เพ่ือเสริมสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ส่วนที่จะแตกต่างจาก ชาวบ้านทั่วไปที่พอจะสังเกตได้อย่างเด่นชัด คือ ความมีอารมณ์ดี เป็นมิตรกับทุกคน และการบรรเลง ดนตรีใหก้ ับผูค้ นท่สี นใจฟงั เสมอ ๓.๓ ปัจจยั คกุ คาม การเปล่ียนแปลงตามสภาพการณ์ของสังคมท่ีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย คุมคามที่เข้าเก่ียวพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ต่อดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู ถึงแม้จะอยู่ในท่ีห่างไกล เพียงใดก็มิอาจหลบหนคี วามทนั สมยั ทางเทคโนโลยี ตลอดจนความเจริญทางวัตถุท่ีแทรกซึมเข้ามาทุก ด้าน ดนตรีลีซูในวันนี้มีปัจจัยที่เข้ามาคุมคามเช่นกัน ท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึง เทคโนโลยขี า่ วสารทเ่ี ขา้ มาอยา่ งรวดเร็ว ดงั จะไดก้ ลา่ วทีละประเด็น ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ และสังคม บริบทการใช้ชีวิตในปัจจุบันหลีกเล่ียงไม่ได้กับการมีค่าใช้จ่ายท่ีมา เกย่ี วขอ้ ง ทง้ั คา่ อาหาร หรอื ค่าใช้จ่ายในการดาเนินกิจกรรมอื่นๆ ดังนั้นการเข้าทางานในเมืองเพื่อให้มี รายได้มากๆ จึงเป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิง สาหรับคนรุ่นใหม่ และคนในรุ่นวัยทางาน ดังน้ันปัญหาการ ละเลยการใส่ใจท่ีจะอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมของตน มุ่งแต่ทางานเพ่ือหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก จึง เปน็ ปัจจัยคุกคามในด้านการสืบทอดทางดนตรขี องกล่มุ ชาตพิ ันธล์ุ ีซดู ้านหนง่ึ ด้านวัฒนธรรม เป็นปัจจัยคุกคามในด้านการผสมผสานวัฒนธรรมร่วมของแต่ละชนเผ่าเข้า ด้วยกัน จนในบางคร้ังหลงลืมอัตลักษณ์ของตนไป ประเด็นนี้ค่อยๆ เกิดขึ้น แต่เกิดข้ึนมานานและ ค่อยๆ ดาเนินไปอย่างช้าๆ ปัจจัยคุกคามด้านนี้มีผลมาจากการทากิจกรรมทางสังคมร่วมกันเป็นหมู่

๗๘ ใหญ่ การแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ การเลียนแบบทางวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องจากกระแสวัตถุนิยม และส่ือโฆษณาชวนเชอ่ื ตา่ งๆ ด้านการเขา้ เรยี นในระบบการศึกษา เปน็ อปุ สรรคอย่างหน่งึ ในการฝกึ ฝน และพัฒนานักดนตรี ลีซู เนื่องจากในโรงเรียนไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนดนตรีชาวเขา เด็กท่ีสนใจต้องเรียนเองท่ีบ้าน ซึ่งเมื่อเวลาหลังเลิกเรียนกลับบ้านเด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาหมดไปกับการวิ่งเล่น เพื่อผ่อนคลายหรือ ช่วยพ่อแม่ทาไร่ ทาสวนในวันหยุด มีบ้างเพียงส่วนน้อยท่ีหันมาให้ความสาคัญฝึกฝนเคร่ืองดนตรีชน เผ่า สง่ ผลให้มนี กั ดนตรีหน้าใหมน่ ้อยลง ดา้ นสอื่ โฆษณาทางโทรทัศน์เทคโนโลยีข่าวสาร ส่งผลด้านการดึงความสนใจในวัฒนธรรมของ ตนพอสมควร การเข้ามาของกระแสดนตรีจากต่างประเทศส่งผลต่อค่านิยมทางดนตรีของวัยรุ่นชาติ พันธ์ุอย่างกว้างขวาง การเลียนแบบทางการแต่งกาย ทรงผม ตลอดจนวัตถุนิยมต่างๆ จึงทาให้การใส่ ใจในวฒั นธรรมด้านดนตรที ่เี ป็นรากเหงา้ ของตนลดนอ้ ยลง จากสภาพภาวการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนนักดนตรีหน้าใหม่ และส่งผล ทาใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงทางดนตรีอย่างต่อเน่ือง ปัญหาดังกล่าวสะท้อนออกมาให้เห็นได้ในงานช่วง เทศกาลปีใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู ท่ีจัดกันทุกปี บางหมู่บ้านไม่มีนักดนตรีที่สามารถบรรเลงเครื่อง ดนตรีได้ หรือบางหมู่บ้านมีเพียง ๑-๒ คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดาเนินกิจกรรมที่ต้องบรรเลงท้ัง กลางวันและกลางคืน จึงต้องใช้วิธีเชิญ หรือว่าจ้างนักดนตรีจากหมู่บ้านอ่ืนๆ มาช่วยบรรเลง และนัก ดนตรีท่ีบรรเลงน้ันโดยส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า ๔๐ ปีข้ึนไป หากน้อยกว่าน้ันก็จะบรรเลงได้ไม่ก่ีเพลง และส่วนใหญจ่ ะบรรเลงไดเ้ ฉพาะปาลฝิ ่หู ลู จงึ ทาให้เห็นว่าจานวนนักดนตรีลีซูมีจานวนลดลงไปกว่าใน อดีต

บทท่ี ๔ ข้อเสนอให้ “ดนตรขี องกลุ่มชาตพิ นั ธลุ์ ซี ู เป็นมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ” การข้ึนทะเบียนเพ่ือส่งเสริมให้ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูได้เป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมของชาติ ผู้คนชาวลีซูในแต่ละชุมชนต่างเล็งเห็นถึงความสาคัญของภูมิปัญญาในเร่ืองนี้ และ ทราบถึงปัจจยั ที่กาลงั คุกคาม การสืบทอดองคค์ วามรู้ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านดนตรีท่ีสั่งสมมาแต่ บรรพบุรุษของตนไปสู่รุ่นลูกหลาน จึงร่วมกันขอเสนอให้ ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูเป็นมรดกภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เพื่อจักได้เกิดกระบวนการปกป้องคุ้มครอง และเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทง้ั ด้านการเรียนรู้ ความตระหนกั ในคณุ ค่าของมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างจิตสานึกในการรักษาภูมิ ปัญญาของตนให้คงอยู่ และสืบทอดใหแ้ ก่เยาวชนในรุน่ ต่อๆ ไป ดว้ ยเหตผุ ลสนบั สนนุ ดังนี้ ๔.๑ เหตุผล ๑) เป็นมรดกภมู ปิ ัญญาในประวัติศาสตรข์ องมนุษยชาติ และสงั คมไทย ด้วยการท่ีชาวลีซูมีความเป็นมาของชนเผ่าที่ตั้งรกราก ถิ่นฐานอยู่ในแถบเอเชียใต้ มีการ เคลื่อนย้ายของผู้คนจากถิ่นต่างๆ เข้ามาอาศัยอยู่แถบภาคเหนือในประเทศไทย มาไม่น้อยกว่า ๘๐- ๙๐ ปี ดังข้อมูลอ้างอิงจาก สานักงานเลขานุการคณะกรรมการการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ (๒๕๑๘: ๖-๗) กล่าวว่า ลีซูเข้ามาในประเทศไทยโดยอพยพเข้ามาทางเขตเชียงตุง และเมืองปัน เม่ือ ประมาณ ๕๐ ปีมานี้ (นับจากปี พ.ศ.๒๕๑๘) มีจานวนมากในเขตอาเภอเชียงดาว อาเภอแม่แตง อาเภอพร้าว อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อาเภอแม่จัน อาเภอเมือง จังหวัดเชยี งราย อาเภอแจห้ ม่ อาเภอวงั เหนือ จังหวัดลาปาง และบางสว่ นทจ่ี งั หวดั ตาก กบั เพชรบรู ณ์ นอกจากน้ี บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (๒๕๕๑: ๔๑๕-๔๑๖) ได้กล่าวว่า “... ชาวแข่รีซอ (ลีซู) เดิม อาศัยอยู่บนยอดภูเขาหมอกฟ้าเมืองเลิน ใกล้เมืองตองกี ประเทศพม่า ต่อมาได้ย้ายลงมาอยู่ภูเขา น้าขาก ทางทศิ ตะวนั ตกเมอื งเชียงตงุ และได้อพยพเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยเม่ือ ๓๐ ปีก่อน (ปี ที่เขียน พ.ศ.๒๔๙๓) สาหรับในประเทศไทย ชาวแข่รีซออยู่บนเขาต่างๆ ได้แก่ อาเภอฝาง จังหวัด เชียงใหม่ อาเภอเมือง เชียงรายที่ดอยช้างทางทิศตะวันตกเมืองเชียงราย ทั้งสองแห่งนี้อพยพเข้ามา ประมาณ ๓๐-๕๐ ปีมาแล้ว ท่ีอาเภอแม่จันมีบนภูเขาขุนน้าแม่จัน เนื่องด้วยอาเภอฝาง อาเภอเมือง เชียงราย และอาเภอแม่จัน เป็นภูเขาที่มีเทือกยาวติดต่อกันเป็นพืด จึงเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอ

๘๐ ปัจจุบัน (พ.ศ.๒๔๙๓) น้ี มีแข่รีซออาศัยตั้งบ้านเรือนเป็นหมู่ๆ อยู่ในเขตอาเภอทั้ง ๓ น้ีประมาณ ๕๐ หมู่บ้าน แตล่ ะหม่บู า้ นมีประมาณ ๒๐-๕๐ หลังคาเรอื น ...” ๒) เป็นภมู ปิ ัญญาที่ยงั ถอื ปฏิบัติกนั อยู่อย่างสมา่ เสมอ ด้วยการที่คนลีซูมีความยึดมั่นในการนับถือบรรพบุรุษ และการเคารพต่อส่ิงศักดิ์สิทธิ์ตาม ความเช่ือของตนที่สืบทอดกันมา ทาให้มีการจัดประเพณีประจาปีขึ้นเป็นประจาทุกปี โดยเฉพาะพิธีกู่ เฉีย หรืองานข้ึนปีใหม่ลีซู ซึ่งจะตรงกับช่วงตรุษจีน และในประเพณีที่กล่าวนี้ต้องมีดนตรีเข้ามาเป็น ส่วนประกอบสาคัญอย่างขาดมิได้ จึงทาให้เห็นว่าชาวลีซูยังคงให้ความสาคัญ และมีการใช้ภูมิปัญญา ดา้ นดนตรเี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของประเพณี ความเชอื่ ทางวัฒนธรรม ซ่ึงเก่ียวข้องกับการดาเนินชีวิตจนถึงทุก วันน้ี ภาพที่ ๔.๑ การเตน้ ราในงานกเู่ ฉยี ของหมู่บา้ น ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ ๓) ทกุ คนในชมุ ชนกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนรว่ มในการปฏิบตั ิ การกลา่ วถึงการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน แม้ว่าอาจจะไม่สามารถเล่นดนตรีได้ทุกคนแต่ ทุกคน ก็มีส่วนร่วมโดยการเป็นส่วนหน่ึงในการเต้นราประกอบการบรรเลงดนตรี หรือแม้แต่การร้อง เพลงหมู่ (โมะ๊ กั่ว) ท่ถี ึงแมจ้ ะร้องเพลงไม่เป็น ไม่สามารถแต่งเน้ือร้องเองได้ แต่ก็สามารถใช้วิธีร้องตาม ผ้สู อนไปได้ ดงั นั้นในงานประเพณีประจาปีทุกคนในชุมชนจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมร่วมกันไม่ว่า จะเปน็ การร้อง การเล่น หรอื เตน้ รา

๘๑ ดังที่ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (๒๕๕๑: ๔๒๖) ได้กล่าวว่า “... การเต้นราเป็นส่ิงจาเป็นอย่างหน่ึงท่ี ชาวแขร่ ีซอ (ลีซู) ทกุ คนต้องเรียนรู้ เพราะเมื่อมีงานร่ืนเริงประจาปี (งานปีใหม่) ถ้าผู้ใดไม่เต้นราจะถูก ฉุดมอื ไปเต้นราจนได้ เม่อื เสียงแคนดังข้นึ ท่ีบ้านใด เป็นอนั ทายลว่ งหน้าได้ว่าบ้านน้ันเตน้ รากันอยู่ ...” ภาพที่ ๔.๒ ผสู้ ูงอายุ และเยาวชนผูห้ ญงิ มีความสขุ กับการไดเ้ ตน้ ราในงานปใี หม่ประจาปี ทีม่ า: องอาจ อินทนิเวศ ภาพที่ ๔.๓ ฝ่ายหญิงทานขา้ วไปด้วย และร้องเพลงไปด้วยอย่างมคี วามสุข ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ

๘๒ ๔) เปน็ องค์ความรทู้ ีผ่ ่านการสืบทอดมาจากบรรพบรุ ษุ กล่าวได้ว่าดนตรีของชาวลีซูเป็นดนตรีท่ีใช้กระบวนการสืบทอดจากบรรพบุรุษ เนื่องจาก ดนตรีทบี่ รรเลงอยู่ทุกวันน้ีไม่มีการจดบันทึกแต่อย่างใด บทเพลง กระบวนการสร้างเครื่องดนตรี หรือ แม้กระทง้ั ความหมายของบทเพลง ล้วนใชก้ ระบวนการสืบทอดมาจากบรรพบรุ ษุ ท้ังสิ้น ดังท่ีข้อมูลจาก การสอบถามนักดนตรีชาวลีซู แทบทุกคนกล่าวว่า จดจาบทเพลงมาจากบรรพบุรุษ (บิดา) เนื่องจาก บิดาจะบรรเลงเคร่ืองดนตรีเสมอๆ ได้ยินบทเพลงมาต้ังแต่เด็กๆ จาเพลงได้ ความหมายของเพลงบิดา หรือผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่จะเปน็ คนบอก ปัจจบุ นั บางครงั้ กล็ ืมบ้าง ภาพที่ ๔.๔ นกั ดนตรบี ้านเวียงกลางลีซู กาลงั บรรเลงซือบือ เพอ่ื บนั ทึกบทเพลงเก็บไว้ ทม่ี า: องอาจ อินทนิเวศ

๘๓ ภาพท่ี ๔.๕ นักดนตรีอาวโุ ส บา้ นดอยช้าง รว่ มเสวนา และบนั ทกึ เก็บบทเพลงลีซเู กบ็ ไว้ ทีม่ า: องอาจ อินทนิเวศ ๕) เป็นองค์ความรู้ทม่ี ีลกั ษณะเฉพาะทางดนตรี ดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู แม้จะไม่มีหลักการทฤษฎีปรากฏ แต่การผสมผสานเสียงของ เคร่ืองดนตรีแต่ละเคร่ือง ต่างมีนัยแฝงไว้ถึงองค์ความรู้ท่ีลองผิดลองถูกมา หรือเกิดจากการลอกเรียน แบบแล้วนามาประยุกต์ใช้กับของตน เช่น ระบบการตั้งเสียง และการบรรเลงเครื่องดนตรีซือบือ ท่ี ปรากฏว่ามีการต้ังเสียงถึง ๕ ระบบ แต่จะต้องมีหนึ่งเสียงที่คงท่ีอยู่เสมอ และการตั้งเสียงของสาย ถัดไปโดยใช้ ขั้นคู่เสียงที่เป็นข้ันคู่กลมกล่อม เช่น ระบบเสียงหลัวเตียว ต้ังสายโดย ใช้โน้ต A4 (สายที่ ๑ สายล่างสดุ ) D4 และ A3 จากโนต้ แสดงระบบการตั้งเสยี งแบบหลัวเตียวของซือบือ จะเห็นได้ว่า สายที่ ๑ (A4) กับสาย ที่ ๓ (A3) มีระยะหา่ งเทา่ กับ ๑ คู่แปด ส่วนในสายกลาง ตรงกับโนต้ D4 ซ่งึ มรี ะยะหา่ งเปน็ คู่ P4 แสดงการวิเคราะห์เพลง ซือบือ เพลงอาซาซือม่า

๘๔ เพลงอาลาซือม่า หรือ อาซาซือม่า – อาซาเปียมะ – ดื่อสึนายะ ขวาโทผะ มีความหมายท่ี กลา่ วถงึ ความเห็นอกเห็นใจการทางานของผนู้ าหมู่บ้านทต่ี อ้ งเผชิญปญั หาต่างๆ ของหมู่บ้านทาให้เจ็บ หลัง เจ็บเอว การบรรเลงใชอ้ ัตราความเร็ว ๙๖ คร้งั /นาที หรือ อตั ราจังหวะปานกลาง (Moderato) รูปแบบโครงสร้าง เป็นเพลง ๒ ท่อน หรือไบนาร่ี ฟอร์ม (Binary Form) ในการบรรเลงจริง นัน้ ผ้บู รรเลงจะบรรเลง ท่อน A สองรอบ ทอ่ น B อีก ๑ รอบ แล้วจะวนอย่างนี้ไปเรอ่ื ยๆ การเคลื่อนที่ของเสียงหลัก จากโน้ตเพลง ผู้วิเคราะห์ได้วิเคราะห์เสียงทานองหลักของเพลง โดยการดึงโน้ตผ่าน (Passing Tone) ของทานองออก จากน้ันวิเคราะห์ถึงความหนัก-เบาของจังหวะ ในเพลงซงึ่ สมั พันธก์ ับอัตราจังหวะ2/4 ของจงั หวะสากล

๘๕ ชว่ งเสยี งของเพลงอาซาซือม่า ที่ปรากฏในเพลงโน้ตต่าสุด คือโน้ต A3 และโน้ตสูงสุด คือโน้ต C5 มีระยะหา่ งของช่วงเสยี งในระยะ คู่ ไมเนอร์ 3 (m3) เมื่อนาโน้ตท่ีปรากฏในเพลงอาซาซือม่า มาเรียงลาดับเพ่ือวิเคราะห์บันไดเสียงของเพลง พบว่า เพลงอาซาซือม่า อยู่ในบันไดเสียง เอ เพนตาโทนิก ไมเนอร์ สเกล (A Pentatonic Minor Scale) ซึ่งประกอบด้วยโน้ต A C D E G A โครงสร้างของจังหวะเพลงอาซาซอื ม่า สามารถวิเคราะหไ์ ด้ดังน้ี ๖) เปน็ องค์ความร้ทู ี่ตอ้ งใช้ทกั ษะ ผ่านการฝึกฝน โดยการสบื ทอดต่อจากกัน เป็นการฝึกทักษะในการปฏิบัติเคร่ืองดนตรีท่ีต้องใช้ความพยายามในการฝึก เช่น การฝึกเป่า ฝหู่ ลู ต้องมกี ารฝกึ การวางน้วิ มอื และที่สาคัญฝึกการระบายลม (การระบายลม คือ เทคนิคการเป่าลม และดดู ลมเขา้ ทางจมูกในเวลาเดียวกัน เป็นเทคนคิ สาคญั ของเครือ่ งเปา่ ท้ังของไทย และของตะวันตก) ผู้ทที่ าเทคนิคน้ไี ด้ตอ้ งใชเ้ วลาฝกึ ฝนมาพอสมควร ๗) มคี ุณคา่ ทางสังคมในด้านระบบความเชือ่ ประเพณแี ละความสัมพันธข์ องชมุ ชน การแสดงดนตรีของลีซู จะมาพร้อมกับงานประเพณีประจาปี ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหน่ึงที่ คนลีซเู ข้าใจ หากมีเสียงดนตรเี กิดขึ้นทใ่ี ด นน่ั หมายความว่าทนี่ น่ั ต้องมีการจัดกิจกรรมประเพณีเกิดขึ้น และทกุ คนจะมารว่ มกัน