Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม

ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม

Description: ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

ประวตั ิศาสตรว ฒั นธรรมDRAFT ความเปน มาและแนวคิด วศิ รตุ พง่ึ สนุ ทร

DRAFTประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม: ความเป็ นมาและแนวคดิ รายงานวิจยั พฒั นาการและแนวทางการศึกษาประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม วศิ รตุ พง่ึ สนุ ทร งานวจิ ยั น้ไี ดร้ บั ทุนสนบั สนุนจากโครงการวจิ ยั เพอ่ื สรา้ งและพฒั นาองคค์ วามรใู้ นสาขาวชิ า ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ประจาํ ปีงบประมาณ 2557 1

DRAFT สารบญั บทนํา ............................................................................................................................................... 4 ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมช่วงเริ่มแรก............................................................................................. 6 มนุษยนิยมเรอเนสซองสก์ บั ประวตั ศิ าสตรภ์ าษา วรรณกรรมและศลิ ปะ .............................. 6 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมต้นยคุ แสงสว่าง ......................................................................... 11 วอลแตรก์ บั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมยคุ แสงสวา่ ง............................................................. 16 Kulturgeschichte : ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในเยอรมนี .................................................. 19 ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในศตวรรษที่ 19.................................................................................... 27 วกิ ฤตกบั วฒั นธรรม: ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมของยาคอป เบริ ค์ ฮารด์ ท.์ ........................... 29 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมปลายศตวรรษท่ี 19: Methodenstreit......................................... 35 โยฮนั ฮุยซงิ กากบั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมใหม่............................................................... 40 ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมกบั ประวตั ิศาสตรส์ งั คม ........................................................................ 45 ทฤษฏแี ละประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมชว่ งครง่ึ แรกของศตวรรษท่ี 20................................... 46 อานาลสก์ บั วฒั นธรรม : มารค์ โบลค, ลุเซยี ง เฟบวร์ และ เฟอรน์ านด์ โบรเดล ................ 50 Histoire des Mentalité และการกลบั มาของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในฝรงั่ เศส............... 57 นกั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มก์ บั วฒั นธรรม : เอด็ เวริ ด์ ทอมป์สนั ....................................... 63 ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมปลายศตวรรษท่ี 20: “the Cultural Turn”............................................ 69 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในฝรงั่ เศส................................................................................. 70 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมกบั ความหมาย: the New Cultural History ................................ 74 จลุ ประวตั ศิ าสตร์ (Microstoria) ในอติ าลี......................................................................... 81 ประวตั ศิ าสตรช์ วี ติ ประจาํ วนั (Alltagsgeschichte) ........................................................... 87 สรปุ : แนวคิดสาํ คญั ในประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรม ......................................................................... 90 แนวคดิ เรอ่ื งยคุ .............................................................................................................. 91 ความเขา้ ใจความคดิ และความรสู้ กึ ในอดตี (empathy) ..................................................... 93 แนวคดิ เรอ่ื งวฒั นธรรม ................................................................................................... 94 2

DRAFT นยิ ามของวฒั นธรรม....................................................................................................... 96 บรรณานุกรม ............................................................................................................................... 101 3

DRAFT บทนํา แม้กระแสการหนั มาสนใจมติ ิทางวฒั นธรรมหรอื “cultural turn” ในโลกวิชาการด้าน ประวตั ศิ าสตรจ์ ะเป็นปรากฏการณ์ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 20 เป็นกระแสทน่ี กั วชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตร์ หนั ไปหาประเดน็ ศกึ ษา คําถามและวธิ กี ารทต่ี ่างจากประวตั ศิ าสตรส์ งั คมกระแสหลกั แต่คําว่า “ประวตั ิ ศาตรว์ ฒั นธรรม” ซง่ึ เป็นทงั้ คาํ จาํ กดั ความขอ้ เขยี น ความเชย่ี วชาญทางวชิ าการหรอื แนวทางการคน้ ควา้ ยงั คงขาดซ่ึงลักษณะร่วมท่ีชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งท่ีศึกษาหรือวิธีการ กล่าวคือยังคงคลุมเครือ เช่นเดียวกับนิยามของคําว่า “วฒั นธรรม” ความคดิ ท่วี ่าวรรณกรรม ศิลปะ ภาษาและปรชั ญาควรมี ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธ์เป็นของตวั เองนัน้ มมี าตงั้ แต่ยุคเรอเนสซองส์ แต่ความสนใจมติ ทิ างประวตั ศิ าสตร์ ของผลผลติ ทางวฒั นธรรมก็ยงั ถือเป็น “ส่วนเสรมิ ” ของความรู้ในด้านนัน้ ๆ ส่วนวลี “ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม” หรอื Kulturgeschichte ในภาษาเยอรมนั ปรากฏขน้ึ ราวปลายศตวรรษท่ี 18 ซง่ึ ส่วนหน่ึงของ ความสนใจต่อวฒั นธรรมของกระแสโรแมนตกิ ในเยอรมนี01 นักประวตั ศิ าสตรอ์ ย่าง ยาคอป เบริ ค์ ฮารด์ ท์ (Jacob Burckhardt), คารล์ แลมเปรคช์(Karl Gotthard Lamprecht) และโยฮนั ฮุยซงิ กา(Johan Huizinga) ท่พี ยายามยนื ยนั ความสําคญั ของประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมโดยใช้การตีความเชงิ ปรชั ญา จติ วทิ ยาและสงั คมวทิ ยาเป็นต้น จนถงึ ประวตั ศิ าสตรส์ ํานักอานาลสท์ ่มี อี ทิ ธพิ ลอย่างสูงในการท้าทาย ประวตั ิศาสตร์การเมอื ง และการเกิดขน้ึ ของ “new cultural history” ท่รี บั เอากรอบแนวคดิ จาก มานุษยวทิ ยา ตลอดมาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมวางตนเองว่าเป็นสาขาท่มี กี ารรเิ รมิ่ ทางกรอบแนวคดิ และระเบียบวิธีศึกษาวิจยั อย่างต่อเน่ือง อีกทงั้ ในสาขาวิชาการด้านต่างๆ ของมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตรต์ ลอดศตวรรษท่ี 19 และ 20 มกี ารสรา้ ง ปรบั และรอ้ื นยิ ามของคาํ ว่า “วฒั นธรรม” หลายครงั้ อกี ทงั้ ยงั มแี นวคดิ หลากหลายทอ่ี ธบิ ายถงึ ความเปลย่ี นแปลง พฒั นาการและพลวตั ของวฒั นธรรมของแต่ ละชว่ งเวลาทางประวตั ศิ าสตร์ ในปจั จบุ นั ขอ้ เขยี นทถ่ี กู จดั ประเภทว่า “ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม” (cultural history) นนั้ มจี าํ นวน มากท่ถี ูกเขยี นขน้ึ โดยนักวชิ าการท่โี ดยความเช่ยี วชาญไม่ใช่นักประวตั ศิ าสตร์ เช่นมนี ักวชิ าการด้าน วรรณคดีวิจารณ์และวัฒนธรรมศึกษาจํานวนไม่น้อยท่ีมขี ้อเขยี นท่ถี ูกจดั อยู่ในหมวดดังกล่าว ซ่ึงมี คุณูปการต่อการศกึ ษาเชงิ ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งสงู เช่น เอด็ วารด์ ซาอดิ (Edward Said) และสตเี ฟน กรี นบลทั ท์(Stephen Greenblatt) ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมจงึ ไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นสาขาย่อยภายใต้ 1 เช่น Johann Christophe Adelung ตพี มิ พข์ อ้ เขยี น Versuch einer Geschichte der Kultur des menschlichen Geschlechts (1782) และ Johann Gottfried Eichhorn ตพี มิ พ์ Allgemeine Geschichte der Cultur und Literatur des neuern Europa (1796–1799) 4

DRAFTสาขาวชิ าประวตั ศิ าสตรไ์ ด้อย่างสะดวกใจนัก เน่ืองจากลกั ษณะของการตีความในหลายประเด็นท่ี ค่อนขา้ งขดั กบั จารตี ทางวธิ กี ารของประวตั ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอย่ทู ช่ี ายขอบของความเป็น สถาบนั ตลอดมาไม่เคยมสี ถานะภาพเป็น “สํานัก” ท่ยี งั่ ยนื นัก ในช่วงศตวรรษท่ี 19 ซ่งึ วชิ าการ ประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ วทิ ยาศาสตรถ์ ูกสถาปนาข้นึ ในเยอรมนีตามท่เี ลโอโปลด์ ฟอน รงั เก (Leopold von Ranke) รเิ รม่ิ เอาไว้ ซ่งึ ให้ความสําคญั กบั หลกั ฐานราชการถูกมองว่าเป็นประวตั ศิ าสตรแ์ ท้ กลุ่มของ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั ธรรมถูกโจมตอี ย่างหนกั จนเกอื บหมดทท่ี างในมหาวทิ ยาลยั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ไม่เคยได้รบั การสถาปนาข้ึนเป็นสาขาวชิ าหรอื เป็นสํานักต่างจากสาขาย่อยดงั เช่น ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐกิจ ประวตั ิศาสตร์สงั คม ประวตั ิศาสตร์วทิ ยาศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ภูมปิ ญั ญา ฯลฯ อีกทงั้ มผี ู้ ศกึ ษาคน้ ควา้ ทอ่ี ยนู่ อกวงวชิ าการมาอยา่ งต่อเน่อื ง สงิ่ น้ีมสี ว่ นทาํ ใหก้ ารทําความเขา้ ใจลกั ษณะสําคญั และ พฒั นาการของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจงึ ไม่ใช่เพยี งดูกลุ่มกอ้ นหรอื “สกุล” ทางความคดิ แต่เป็นการทํา ความเข้าใจบรบิ ททางความคดิ ท่อี ยู่รอบงานช้นิ สําคญั ๆ ขอ้ เขยี นช้นิ น้ีจะช้ีให้เห็นว่าประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรมพฒั นาขน้ึ มา ไม่ไดอ้ ยบู่ นรากฐานของความเป็นสาขาวชิ าหรอื สถาบนั หากแต่มอี ยทู่ ่ามกลาง ความขดั แยง้ ทงั้ ทางกรอบวธิ แี ละทางอุดมการณ์ ลักษณะความเป็นปจั เจกท่ีสูงและการไร้ซ่ึงท่ีทางเชิงสถาบันน้ี เป็นส่วนสําคัญทําให้ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมคี วามหลากหลายทางวธิ กี ารและสงิ่ ท่ศี กึ ษาสูง อาจเรยี กว่าสูงถงึ ระดบั ทไ่ี ม่มี ประโยชน์ท่ีจะจัดรวมกันภายใต้หมวดหมู่ของแนวทางงานเขียนหรือการค้นคว้าเดียวกัน คําว่า “ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม” เป็นคําทม่ี ขี น้ึ ภายหลงั อกี ทงั้ มงี านหลายชน้ิ ทย่ี ากจะจดั อย่ภู ายใต้หมวดหม่นู ้ี ทัง้ จากเจตนาของนักประวัติศาสตร์เองท่ีจงใจหลีกเล่ียงคําว่าวัฒนธรรมในงาน หรือรู้สึกว่า “ประวตั ศิ าสตรส์ งั คม” สาํ นักของตนครอบคลุมสง่ิ ทต่ี นศกึ ษาและวธิ กี ารศกึ ษาได้ดอี ยู่แล้ว อกี ทงั้ ยงั นัก ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมทส่ี นใจมติ ทิ างวฒั นธรรมและมคี ุณูปการอยา่ งสงู ต่อแนวทางในการอธบิ ายวฒั นธรรม เน่ืองจากประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมไม่มที ่ที างในสถาบนั หรอื กรอบจํากัดความเป็นสาขาวิชา ทําให้มี แนวโน้มทจ่ี ะหยบิ ยมื เอาทฤษฎแี ละกรอบการวเิ คราะหว์ ฒั นธรรมมาจากมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สาขาอ่ืนๆ วตั ถุประสงค์สําคญั ของขอ้ เขยี นช้ินน้ีคอื การอภปิ รายถึงการท่นี ักประวตั ิศาสตร์นิยาม วฒั นธรรมหรอื ผลผลติ ทางวฒั นธรรม รวมถงึ แนวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรม กรอบในการอธบิ ายกลไกทน่ี ํามา ซง่ึ ความเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรม กรอบการตคี วามวฒั นธรรม การทํางานของวฒั นธรรม ซง่ึ มคี วาม หลากหลายสงู 5

DRAFT ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมช่วงเร่ิมแรก การทจ่ี ะชล้ี งไปว่าประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมจี ุดเรม่ิ ต้นทใ่ี ดช่วงเวลาใด และจะชว้ี ่าใครเป็นบดิ า ของประวตั ิศาสตร์วัฒนธรรมคงเป็นไปได้ยาก เน่ืองจากประวตั ิศาสตร์วัฒนธรรมไม่เคยได้รบั การ สถาปนาเป็นประเภทของขอ้ เขยี นเช่น historia อกี ทงั้ คําว่า “culture” หรอื คาํ ทม่ี คี วามหมายครอบคลุม เทยี บเทา่ กเ็ กดิ ขน้ึ คอ่ นขา้ งชา้ แมว้ า่ ขอ้ เขยี นเรอ่ื งวรรณกรรม คตชิ นและขนบธรรมเนียมประเพณีจะมมี า ตงั้ แต่ยุคคลาสสกิ แต่ความสนใจจะอยู่ท่ขี อ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ท่อี ้างถงึ การสงั เกตและการสอบถาม โดย ไม่ได้ให้ความสําคญั กบั มติ ิของพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ แม้ “บดิ าแห่งประวตั ศิ าสตร”์ อย่างเฮโร โดตสั จะไดช้ ่อื วา่ มสี ายตาและความเขา้ ใจดา้ นขนบธรรมเนียมประเพณีเฉียบคมเปรยี บเทยี บกบั ขอ้ เขยี น ร่วมสมัย แต่ส่วนท่ีกล่าวถึงขนบธรรมเนียมและคติชนแยกออกจากส่วนท่ีเป็น historia หรือ ประวตั ศิ าสตรใ์ กลอ้ ยา่ งชดั เจน โดยเป็นเพยี งการปพู น้ื ถงึ ชนชาตทิ เ่ี ขา้ มามสี ่วนในสงคราม หรอื หากมอง อย่างวจิ ารณ์กอ็ าจกล่าวว่าเป็นส่วนเพ่อื สรา้ งความบนั เทงิ ก่อนนําเขา้ สู่ช่วงสงครามอนั เคร่งเครยี ด12 แม้ ขอ้ เขยี นและความสนใจต่อวฒั นธรรมจะมมี าอย่างต่อเน่ืองควบคู่กบั ข้อเขยี นประวตั ิศาสตร์ แต่การ แยกตวั ของเน้ือหาด้านวฒั นธรรมกบั เหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตรด์ ําเนินมาอย่างต่อเน่ือง แมว้ ่าจะเป็น ขอ้ เขยี นของนักเขยี นคนเดยี วกนั หรอื งานชน้ิ เดยี วกนั กต็ าม ขอ้ เขยี นทเ่ี ขา้ ข่ายประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เกดิ ขน้ึ คอ่ นขา้ งชา้ แต่ความสนใจต่อผลงานและผลผลติ ทางวฒั นธรรมในยุคเรอเนสซองส์ เรมิ่ ผนวกเขา้ กบั การลาํ ดบั ความเป็นไปหรอื พฒั นาการ มนุษยนิยมเรอเนสซองสก์ บั ประวตั ิศาสตรภ์ าษา วรรณกรรมและศิลปะ การรอ้ื ฟ้ืนวรรณกรรมและความรจู้ ากยคุ คลาสสกิ เป็นปจั จยั สาํ คญั ส่คู วามสนใจทางประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมของยคุ นนั้ เน่อื งจากมองว่าคุณค่าอย่ทู ว่ี รรณกรรมกรกี และโรมนั และมองว่าสมยั ของตนเป็น สมยั แห่งการฟ้ืนฟูความรเู้ หล่านัน้ การแบ่งยุคเพ่อื ใหค้ ุณค่าในทางวฒั นธรรมจงึ เกดิ ขน้ึ พรอ้ มกบั แนวคดิ ว่ายุคท่คี นั่ กลางระหว่างความรุ่งเรอื งแห่งยุคคลาสสกิ และสมยั ของตนว่าเป็น “ยุคมดื ” (Dark Ages) ตามท่เี ปตราก (Petrarch) เรยี ก แนวคิดการแบ่งยุคทางวฒั นธรรมดงั กล่าวส่งผลให้เกิดทศั นะว่า วรรณกรรมกรกี และโรมนั มาจากอดตี ทม่ี วี ฒั นธรรมแตกต่างจากสมยั กลางและยคุ สมยั ของตน นักมนุษย 2 วศิ รตุ พง่ึ สนุ ทร, ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธต์ ะวนั ตกกอ่ นครสิ ตศ์ ตวรรษที่20 (กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2556), 30. 6

DRAFTนิยมเรอเนสซองส์จงึ มองว่าภาษา วรรณกรรมและปรชั ญามปี ระวตั ศิ าสตร์ของตนเอง ประวตั ศิ าสตร์ วรรณกรรมและภาษาจงึ เป็นองคค์ วามรสู้ าํ คญั ของนกั มนุษยนยิ มสมยั นัน้ นักมนุษยนิยมในอติ าลศี ตวรรษท่ี 15 และ 16 ใหค้ วามสาํ คญั กบั รปู แบบภาษาละตนิ เป็นภาษา ทางการประพนั ธ์ โดยหนั ไปศกึ ษาการใชภ้ าษาดงั้ เดมิ ทงั้ ในแง่การเขยี นและการพูด โดยคน้ กลบั ไปดูว่า ในยุคโบราณเขยี นและพูดกันอย่างไร จากการวจิ ารณ์ตดั สนิ คุณค่าของภาษาและวรรณกรรม ภาษา ละตินมคี วามเปล่ยี นแปลงไปตามยุคสมยั นักมนุษยนิยมเรอเนสซองส์ทําความเข้าใจเชงิ ลกึ ว่าภาษา ละตินในโรมันโบราณสมัยต่างๆ มีลักษณะเช่นใด โดยการศึกษาทางประวัติศาสตร์ในด้าน ขนบธรรมเนียม ประเพณแี ละคา่ นยิ มของแต่ละยคุ สมยั เป็นขอ้ มลู สาํ คญั ในการวจิ ารณ์และประเมนิ คุณค่า ของวรรณกรรมและรปู แบบภาษาประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นอย่างไร ต่อมาความสนใจในพฒั นาการของภาษา ในทางประวตั ศิ าสตรน์ นั้ ขยายไปส่ภู าษาอติ าลี ฝรงั่ เศส องั กฤษ สเปน โปรตุเกสและเยอรมนั ตามความ สนใจของนกั มนุษยนิยมแต่ละทอ้ งถนิ่ ซง่ึ ไดพ้ ฒั นาต่อมาเป็นประวตั ศิ าสตรว์ รรณกรรมของแต่ละชนชาติ และประวตั ศิ าสตรข์ องรปู แบบวรรณกรรม (literary genre) ทแ่ี พรห่ ลายต่อมาในศตวรรษท่ี 17 และ 183 อกี ทศิ ทางของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมมาจากความสนใจดา้ นศลิ ปะและดนตรี แมว้ ่านักมนุษย นิยมในยคุ แรกสว่ นใหญ่ไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั งานศลิ ปะ ทงั้ จติ รกรรม ประตมิ ากรรมและสถาปตั ยกรรม มากนัก และศลิ ปินส่วนใหญ่กข็ าดทกั ษะในการคน้ ควา้ เชงิ ประวตั ศิ าสตร์ Le Vite de' più eccellenti pittori, scultori, e architettori (Lives of the Painters, sculptors and Architects) ของจอรโ์ จ วาซารี (Giorgio Vasari) ซ่งึ ตพี มิ พ์เผยแพรใ่ นปี 1550 ถอื เป็นขอ้ ยกเวน้ วาซารกี ล่าวว่าเป้าหมายสําคญั คอื เพ่อื ให้ศลิ ปินรุ่นหลงั ได้เรยี นรจู้ ากตวั อย่างของศลิ ปินท่ยี งิ่ ใหญ่รุ่นก่อนๆ อกี ทงั้ ทําความเขา้ ใจทศิ ทาง ของศลิ ปะในภาพรวม วาซารกี ล่าวถงึ สาเหตุสําคญั ของความก้าวหน้าทางศลิ ปะว่าเป็นผลมาจากการ แขง่ ขนั ทางเศรษฐกจิ ของศลิ ปินเพ่อื ใหไ้ ดร้ บั การอุปถมั ภแ์ ละตลาดศลิ ปะ34 เน่ืองจากผเู้ ขยี นขอ้ เขยี นชน้ิ น้ี อุทศิ ใหโ้ กซโี มท่ี 1 เด เมดชี ี (Cosimo I de' Medici) แกรนดด์ ยกุ แหง่ ทสั คานี และตพี มิ พโ์ ดยช่างพมิ พใ์ น 3 ตวั อย่างงานเขยี นทเ่ี ขา้ ข่ายประวตั ศิ าสตร์ภาษาและวรรณกรรมในลกั ษณะน้ีไดแ้ ก่ Adriano Castellesi, De Sermone Latino (1516); Petro Bembo, Prose della volgar lingua (1525); Etienne Pasquier, Recherches de la France (1566); Claude Fauchet, Origines de la langue et poesies Francoises (1581); George Puttenham, The Arts of English Poesies (1589); Bernardo Aldrete, Del origen y principio de la lengua castellana (1606); Duarte Nunes de Leao, Origem galingua portuguesa (1606); Daniel Morhof, Unterricht von der Teuschen Sprache und Poesie (1682) ดู Peter Burke, Varieties of Cultural History (Ithaca, N.Y.: Cornell University Press, 1997), 4-5. 4 Richard A. Goldthwaite, The Economy of Renaissance Florence (Baltimore, Md.: Johns Hopkins University Press, 2009), 390- 91. 7

สงั กดั อกี เป้าหมายหน่ึงท่พี อคาดเดาไดค้ อื เพ่อื ยนื ยนั และโฆษณาถงึ ความยงิ่ ใหญ่ทางวฒั นธรรมของ นครรฐั ฟลอเรนซ์ ซง่ึ เป็นนโยบายทางวฒั นธรรมของตระกูลเมดชี มี าอย่างต่อเน่ือง ขอ้ เขยี นชน้ิ น้ีได้เปิด ประตูส่คู วามสนใจการสรา้ งงานศลิ ปะในทางประวตั ศิ าสตรผ์ ่านชวี ประวตั ขิ องศลิ ปิน มขี อ้ เขยี นลกั ษณะ เดยี วกนั ของท่อี ่นื ๆตามมาทงั้ ในและนอกคาบสมุทรอติ าลี 5 จนมงี านอย่าง History of Ancient Art 4 (1764) ของโยฮนั น์ โยอาคมิ วงิ เคลมนั น์ (Johann Joachim Winckelmann) ทท่ี ําใหป้ ระวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ พฒั นาเป็นการศกึ ษาเฉพาะทาง นอกจากการศึกษาภาษาและวรรณกรรมซ่ึงเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมแล้ว ประวตั ิศาสตร์ ความคดิ และภมู ปิ ญั ญายงั ไดส้ ่งอทิ ธพิ ลต่อประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทงั้ ในแง่ขอ้ มูลหลกั ฐาน การวางเค้า โครงและการวเิ คราะห์ สงิ่ สําคญั ทป่ี ระวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ มคี ลา้ ยกนั คอื การลดทอนความสนใจในความ เป็นไปของเหตุการณ์เช่นสงครามและการเมอื งตามแบบ istoria นอกจากน้ียงั เป็นการใหค้ วามสนใจต่อ ผลงานหรอื ขอ้ เขยี น ซง่ึ นําไปสู่ความสนใจประวตั ศิ าสตรข์ องบุคคล คณะบุคคลหรอื องคก์ รทเ่ี ป็นเจา้ ของ หรอื เก่ยี วเน่ืองกบั งานเขยี นช้นิ นัน้ ๆ โดยอาจกล่าวไดว้ ่าทงั้ การฟ้ืนฟูศลิ ปวฒั นธรรมในคาบสมุทรอติ าลี การปฏิรูปศาสนาและการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นปจั จัยสําคัญท่ีนําไปสู่ความสนใจในมิติทาง ประวตั ศิ าสตรข์ องความคดิ แต่เหตุการณ์ทส่ี รา้ งความขดั แยง้ ทางความคดิ อย่างรุนแรงและรวดเรว็ อนั นําไปสกู่ ารปะทขุ น้ึ ของการเขยี นประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ คงไมพ่ น้ การปฏริ ปู ศาสนา DRAFT การโต้เถียงทางความคดิ ท่เี ก่ียวกับหลกั คําสอนครสิ ต์ศาสนาเข้มขน้ ขน้ึ บนความขดั แยง้ ทาง ความเชอ่ื ผลลพั ธส์ าํ คญั อนั หน่ึงคอื การคน้ ควา้ ทางประวตั ศิ าสตรเ์ พอ่ื อธบิ ายการเปลย่ี นแปลงในหลกั ขอ้ เช่อื ทางศาสนา ประวตั ิศาสตร์ครสิ ต์ศาสนาเป็นส่วนสําคญั ต่อการเขยี นประวตั ิศาสตร์ท่วี างสถานะ แตกต่างจากประวตั ิศาสตร์นิพนธ์แบบกรกี ซ่งึ ให้ความสําคญั กบั การเมอื งและสงครามในแง่มุมความ เป็นไปของเหตุการณ์ เป็นท่ที ราบดวี ่าประวตั ศิ าสตรค์ รสิ ต์ศาสนาวางเค้าโครงและขอ้ มูลอยู่บนไบเบ้ลิ อกี ทงั้ ยงั ใหค้ วามสําคญั กบั เหตุการณ์ทางโลกเช่นการเมอื งและสงครามน้อย ประวตั ศิ าสตรค์ รสิ ตศาสนา จงึ ถูกมองรวมๆว่าเป็นประวตั ศิ าสตรเ์ ก่ยี วกบั ใครเขยี นหรอื สงั่ สอนสง่ิ ใด มกี ารอภปิ ราย วจิ ารณ์และ ประเมนิ คุณค่า ความสนใจต่อสงิ่ ท่เี ป็นความคดิ และทศั นคตนิ ้ีเองเป็นส่วนสําคญั ท่เี ปิดสู่การอภปิ ราย เม่อื เกดิ การปฏิรูปศาสนา ฝ่ายโปรเตสแตนท์พยายามช้ใี ห้เห็นถึงความเปล่ียนแปลงของหลกั ศาสน ศาสตร์ โดยเฉพาะในแง่ของการวจิ ารณ์ถึงความผดิ เพ้ยี นไปตามความเปล่ยี นแปลงของศาสนจกั รใน สถานะขององค์กร ทางฝา่ ยคาทอลกิ เองกค็ ้นคว้าทางประวตั ศิ าสตรเ์ พ่อื ประณามความเช่อื นอกรตี ของ 5 Burke, Varieties of Cultural History, 6. 8

ฝา่ ยตรงขา้ ม โดยเขยี นประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ นอกรตี ในภาพรวมขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรข์ องทงั้ สอง ฝา่ ยมลี กั ษณะของการโต้เถยี งโจมตฝี ่ายตรงขา้ ม แต่คุณูปการทส่ี ําคญั ของประวตั ศิ าสตรล์ กั ษณะน้ี คอื การให้ความสําคญั กบั การอภปิ ราย วจิ ารณ์และประเมนิ ค่าผลผลติ ทางวฒั นธรรม ซ่งึ ส่วนหน่ึงได้รบั อานิสงสม์ าจากวธิ กี ารของนักมนุษยนิยมเรอเนสซองส์ เพยี งแต่นํามาใชใ้ นการประณามหลกั ความเช่อื ของฝ่ายตรงขา้ ม อกี ทงั้ ยงั พฒั นาข้อเขยี นทางประวตั ศิ าสตรท์ ไ่ี ม่ได้ให้ความสนใจกบั ความเป็นไปของ เหตุการณ์เช่นสงครามและการเมอื งตามแบบ istoria ทม่ี ที ท่ี างอยแู่ ลว้ ในสงั คมชนชนั้ ปกครอง อย่างไรก็ ดีประวตั ิศาสตร์หลกั ข้อเช่อื ทางศาสนาไม่ได้มพี ฒั นาการไปเกินกว่าศตวรรษท่ี 16 นัก ต่างจาก ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมและภาษา แมก้ ารปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตรไ์ มไ่ ดส้ ง่ ผลต่อการโตเ้ ถยี งทางความคดิ ไดร้ นุ แรงเท่าความขดั แยง้ ทาง ศาสนา ข้อค้นพบทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวธิ กี ารเขา้ ถึงความจรงิ แบบวทิ ยาศาสตรค์ ่อยๆแทรกซมึ เขา้ สู่ ปราชญ์ยุคต้นสมยั ใหม่อย่างช้าๆ แมว้ ่าจะยงั ไม่ปรากฏประวตั ศิ าสตร์วทิ ยาศาสตร์ท่แี ยกออกมาจาก ความรแู้ ขนงอ่นื ๆ อกี ทงั้ ชุดความรทู้ ป่ี จั จบุ นั เรยี กว่า “วทิ ยาศาสตร”์ มไิ ดแ้ ยกออกจากศาสตรห์ รอื ความรู้ แขนงอ่นื ๆ เพยี งเป็นส่วนทเ่ี รยี กว่า “mechanical philosophy” แต่ไดส้ ่งผลในทางอ้อมสู่การจดั ระเบยี บ ของความรแู้ ละศาสตรแ์ ขนงต่างๆ ทงั้ natural philosophy (philosophia naturalis) และ ปรชั ญา (philosophy) ศตวรรษท่ี 17 ปรากฏหนังสอื ประวตั ศิ าสตรป์ รชั ญาหลายเล่ม ซง่ึ ไดอ้ ภปิ รายขอ้ แตกต่าง ทางความคดิ ของปราชญท์ า่ นต่างๆหรอื สาํ นกั คดิ ต่างๆ โดยใชข้ อ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรเ์ ช่นชวี ประวตั แิ ละ บรบิ ททางความคดิ ของสาํ นกั ต่างๆ56 นอกจากประวตั ปิ รชั ญา ในช่วงศตวรรษท่ี 15 และ 16 ยงั มกี ารค้นควา้ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละ พฒั นาการของศาสตรแ์ ขนงต่างๆ เช่น วาทศลิ ป์ (rhetoric), นิตศิ าสตร์ การเขยี นประวตั ศิ าสตรแ์ ละ การแพทย์ โดยวางอยู่บนกรอบคดิ ว่าดว้ ยลกั ษณะเฉพาะของแต่ละยุคสมยั ในหลายๆมติ ดิ ้วยกนั เช่น พฒั นาการของระบบการศึกษาในกรณีวาทศิลป์ พฒั นาการของสถาบนั ตุลาการในกรณีประวตั ิของ นิติศาสตร์ โดยลักษณะสําคัญอันหน่ึงคือความสนใจโครงสร้างสถาบนั ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิและการ อภปิ รายตวั บท ไมว่ า่ จะเป็นตวั บทกฎหมาย ขอ้ เขยี นประวตั ศิ าสตรแ์ ละตาํ ราวาทศลิ ป์ มากกว่าจะสนใจท่ี สงครามและการรบพุ่ง เน่ืองด้วยเป็นการค้นคว้าทางประวตั ิศาสตร์ท่ีให้ความสําคญั กับตัวสถาบนั มากกว่าตวั บุคคล เพ่อื แสดงให้เหน็ ถงึ พฒั นาการอนั ต่อเน่ืองของศาสตรแ์ ขนงนัน้ ๆ ขณะท่กี ารเขยี น ประวตั ศิ าสตรท์ ใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั ชวี ประวตั สิ ูง มองไม่เหน็ พฒั นาการของสถาบนั ทต่ี ่อเน่ืองนกั การเหน็ DRAFT 6 Burke, Varieties of Cultural History, 10-11. 9

DRAFTความสําคัญของสถาบนั ทางความรู้หรือเห็นว่าเป็นความรู้ท่ีมคี วามต่อเน่ืองและต่อยอดกนั และกัน มากกว่าจะยกยอ่ งอจั ฉรยิ บุคคล ขอ้ เขยี นประวตั ศิ าสตรข์ องศาสตรแ์ ละความรมู้ จี าํ นวนมากขน้ึ ในศตวรรษท่ี 18 เน่ืองจากความ สนใจทม่ี มี ากขน้ึ และการขยายตวั ของการอ่านและการพมิ พ์ มขี อ้ เขยี นประวตั ศิ าสตร์การแพทย์ ดารา ศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เรขาคณติ เคมแี ละการพมิ พ์ แนวโน้มสาํ คญั ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั ในการเขยี นประวตั ศิ าสตร์ ของศาสตรแ์ ขนงต่างๆ ซง่ึ ต่างจากประวตั ศิ าสตรป์ รชั ญาคอื ขอ้ มูลประเภทชวี ประวตั ลิ ดความสําคญั ลง โดยเฉพาะเมอ่ื เขา้ สศู่ ตวรรษท่ี 18 นกั ประวตั ศิ าสตรห์ ลายทา่ นวพิ ากษ์วจิ ารณ์ขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ช้ินก่อนๆท่ีให้ความสําคัญกับชีวประวัติเป็นหลัก67 ต่อมาทิศทางดังกล่าวเป็นลักษณะสําคัญของ ประวตั ศิ าสตรย์ ุคแสงสว่างทน่ี อกจากจะลดทอนความสําคญั ของการสงครามแลว้ ยงั ลดความสาํ คญั ของ อจั ฉรยิ ภาพของปจั เจก โดยกลายมาสนใจท่ี “ประวตั ศิ าสตรส์ ากล” (general history) ทาํ ใหม้ สี ่วนหน่ึง เรมิ่ มองว่าความคดิ และศาสตรแ์ ขนงต่างๆ นัน้ มลี กั ษณะเฉพาะสอดคลอ้ งกบั ยุคสมยั นัน้ ๆ หรอื อกี นัย หน่งึ เชอ่ื มโยงกบั สงั คม ทศั นคตแิ ละวฒั นธรรมของยคุ สมยั นนั้ ๆ รากศพั ท์ของคาํ ว่า “culture” คอื คาํ ละตนิ cultus หรอื cultura มคี วามหมายถงึ การอบรมบ่ม เพาะวรรณกรรม ปรชั ญา วาทศลิ ป์ กฎหมาย ศลิ ปศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เช่อื ว่านํามาซง่ึ คุณธรรมท่ี จาํ เป็นในสงั คม คําน้ีไม่ได้ถูกนําใช้เป็นคําหลกั ในขอ้ เขยี นประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในยุคต้นสมยั ใหม่ นักเขยี นยุคนัน้ ยงั นิยมใชค้ าํ ว่า “literature” ซง่ึ หมายถงึ ขอ้ เขยี นสําคญั ทเ่ี ป็นมรดกสบื ทอดมา78 และเป็น สงิ่ ทน่ี ํามาซง่ึ การอบรมบ่มเพาะและความรตู้ ่อปจั เจกและสงั คม จงึ เหน็ ไดว้ า่ ความสนใจต่อเน้ือหาประเภท ชวี ประวตั เิ ป็นกุญแจสู่การอบรมบ่มเพาะของปจั เจกผ่านตวั ตนของผแู้ ต่ง ต่อมาในศตวรรษท่ี 17 คาํ ว่า “culture” ถูกนํามาใช้ในขอ้ เขยี นเชงิ ปรชั ญาอย่างแพร่หลาย ในแง่ของการอบรมบ่มเพาะในลกั ษณะท่ี เป็นนามธรรมมากขน้ึ เช่นทางปญั ญา ทางจติ ใจและทางเหตุผล อกี ทงั้ ยงั มคี วามเปลย่ี นแปลงจากการใช้ เพ่อื กล่าวถงึ ปจั เจกในแง่ของการปลูกฝงั ความรูด้ า้ นภาษา วรรณกรรม ปรชั ญา วาทศลิ ป์ ศลิ ปศาสตร์ และวทิ ยาการ มาสู่การใชเ้ พ่อื กล่าวถงึ ระดบั พฒั นาการของสงั คมในภาพรวม และเป็นเคร่อื งบ่งชร้ี ะดบั อารยธรรมของสงั คมใดสงั คมหน่ึง89 ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั คาํ อกี ชุดหน่ึงซง่ึ นิยมใชม้ ากขน้ึ ในยคุ แสงสว่างและ ยุคโรแมนตกิ กล่าวคอื คําท่มี นี ัยว่าเป็นของสงั คมโดยรวมมากกว่าเป็นของปจั เจก ทงั้ ยงั มลี กั ษณะ 7 Burke, Varieties of Cultural History, 12-13. 8 Donald R. Kelley, \"The Old Cultural History,\" in Historiography : Critical Concepts in Historical Studies, ed. R. M. Burns(London: Routledge, 2006), 90. 9 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 89. 10

DRAFTนามธรรมมากขน้ึ นัน้ คอื คําทม่ี คี วามหมายว่า “จติ วญิ ญาณ” (spirit, mens, esprit, Geist) ซง่ึ สอดคลอ้ ง กบั ความสนใจความเป็นสงั คมและความเป็นสากลของวฒั นธรรม ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมต้นยคุ แสงสว่าง การค้นคว้าประวตั ศิ าสตรข์ องภาษา วรรณกรรม ศิลปะและศาสตร์แขนงต่างๆ ถือได้ว่าเป็น มรดกสําคญั จากนักมนุษยนิยมเรอเนสซองส์ และความสนใจในวทิ ยาศาสตร์ มสี ่วนทําให้เกิดความ จําเป็นในการจดั ระบบความรู้ท่ีเพ่ิมพูนข้นึ มากในช่วงเวลาอนั สนั้ การศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ผ่าน ชวี ประวตั แิ ละประวตั ศิ าสตรส์ ถาบนั ต่างๆทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เป็นความรสู้ าํ คญั ในการจดั ระบบความรนู้ ัน้ ๆ ใน ศตวรรษท่ี 18 เรมิ่ เหน็ ถงึ ขอ้ ถกเถยี งสําคญั ซ่งึ ดําเนินมาในการอธบิ ายประวตั ศิ าสตรภ์ ูมปิ ญั ญาตงั้ แต่ ศตวรรษท่ี 17 กล่าวคอื ประเดน็ เร่อื งการเป็นตัวกระทําทางความคดิ ตงั้ แต่ยุคคลาสสกิ เป็นต้นมา ขอ้ เขยี นประเภทชวี ประวตั มิ ที ท่ี างของตนเป็นหน่งึ ในประเภทของวรรณกรรมสําคญั แต่การอธบิ ายทม่ี า ทางความคดิ ด้วยชวี ประวตั ขิ องปจั เจกในฐานะผูค้ ดิ ค้น ผู้เขยี น ผู้ค้นพบและรเิ รม่ิ ยงั คงเป็นหน่ึงในวธิ ี อธบิ ายหลกั ถงึ ท่มี าและพฒั นาการของความคดิ และความรู้ ในช่วงศตวรรษท่ี 16 ถงึ 18 หน่ึงใน ทางเลอื กนอกจากการเขยี นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมด้วยชวี ประวตั ิ ได้แก่การเน้นท่สี ถาบนั หรอื กลุ่ม บุคคลว่ามสี ่วนสาํ คญั ในการสรา้ งและพฒั นาความรูค้ วามคดิ สถาบนั ครอบคลุมตงั้ แต่องคก์ รตุลาการใน กรณีของประวตั ิศาสตรน์ ิติศาสตร์ บทบาทของสํานักทางความคดิ องค์กรต่างๆทงั้ ในและนอกการ ยอมรบั ของศาสนาจกั ร โรงเรยี นและสถาบนั การศกึ ษา รวมถงึ สมาคมต่างๆ ขอ้ เขยี นประวตั ศิ าสตรศ์ ตวรรษท่ี 18 ปรากฏใหเ้ หน็ ถงึ ทศิ ทางใหม่ กล่าวคอื การลดบทบาทของ หน่วยเช่นปจั เจก สถาบนั หรอื สมาคมว่าเป็นทม่ี าหรอื เช่อื มโยงกบั ความรูค้ วามคดิ และทศั นคตทิ ศ่ี กึ ษา โดยหันมาให้ความสําคัญกับหน่วยท่ีเป็นนามธรรมยิ่งข้ึน สอดคล้องกับความเปล่ียนแปลงของ ความหมายของคาํ ว่า “สงั คม” (society) ทงั้ ในภาษาองั กฤษและฝรงั่ เศสทม่ี รี ากศพั ทร์ ว่ มกนั ในช่วง ก่อนสมยั ใหมค่ าํ น้ีมคี วามหมายว่าเป็นการรวมตวั ของกลุ่มคนทม่ี าร่วมมอื กนั ในลกั ษณะของมติ รสหาย มี ผลประโยชน์รว่ มกนั และมเี อกภาพ ในความหมายของคําว่า “สมาคม” ซง่ึ หมายถงึ การรวมตวั กนั ของคน ในสาขาอาชพี เดยี วกนั มคี วามชํานาญเฉพาะหรอื มคี วามสนใจร่วมกนั 910 เช่นในกรณีของนักกฎหมาย แพทย์ ช่างพิมพ์และนักวาทศิลป์ ซ่ึงมีสํานักหรือศาสตร์เดียวกัน การค้นคว้าทางวัฒนธรรมใน 10 Raymond Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, Rev. ed. (New York: Oxford University Press, 1985), 291. 11

ประวตั ศิ าสตรจ์ งึ สอดคลอ้ งกบั นิยามของสงั คมในบรบิ ทนนั้ ระหว่างศตวรรษท่ี 16 ถงึ 18 คําว่า “สงั คม” เรม่ิ มคี วามเปล่ยี นแปลงมาเป็นความหมายท่ใี ช้อยู่ในปจั จุบนั ตามคําเยอรมนั Gesellschaft โดยใชใ้ น ความหมายถงึ การอย่รู ่วมกนั ทวั่ ๆไป ซง่ึ วางอย่บู นความแตกต่าง ไมไ่ ดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธท์ างตรงและไมไ่ ดม้ ี ความสนใจรว่ มกนั รวมถงึ มคี วามเป็นนามธรรม เม่อื ถงึ ปลายศตวรรษท่ี 18 เรมิ่ ใชใ้ นความหมายในเชงิ ของระบบหรอื วถิ กี ารดาํ เนินชวี ติ โดยทวั่ ๆ ไป 11 10 การเปลย่ี นแปลงของความหมายและขอบเขตของคําว่าสงั คมน้ี สอดคลอ้ งกบั ความสนใจศกึ ษา วฒั นธรรมท่แี ตกต่างไปในการค้นคว้าทางประวตั ศิ าสตร์ กล่าวคอื จากท่กี ารคน้ คว้าเร่อื งวฒั นธรรมใน อดตี จะสนใจทป่ี จั เจก สํานัก วชิ าชพี หรอื ศาสตรใ์ นขอบเขตความสนใจของสมาคมหรอื กลุ่มคนบางกลุ่ม นักประวตั ศิ าสตรเ์ รมิ่ อธบิ ายวฒั นธรรมในลกั ษณะทเ่ี ช่อื มโยงกบั ภาพหรอื ระบบของสงั คมโดยรวม นอก กล่มุ ผมู้ คี วามรใู้ นสาขานัน้ ๆ สงิ่ น้ีเองนํามาส่คู วามคดิ ว่ามรี ะบบหรอื แบบแผนทางความคดิ หรอื ความเช่อื ในแต่ละยคุ สมยั กวา้ งออกไปกวา่ กลมุ่ ผมู้ คี วามรใู้ นสาขาใดสาขาหน่ึง ยุคแสงสว่างมนี ิยามของความเป็น “สงั คม” ทซ่ี บั ซ้อนมากกว่าก่อน ความสนใจศกึ ษาจงึ หนั มาสนใจทแ่ี บบแผนทางความคดิ ของคนทวั่ ไป อีกทงั้ ยงั ให้ความสนใจต่อผลผลติ ทางวฒั นธรรมนอกเหนือไปจากผลงานการประพนั ธ์ จงึ มาสนใจท่ี รปู แบบของขนบธรรมเนียมประเพณี เพ่อื นําไปสู่ความเขา้ ใจว่าผู้คนแต่ละยุคมแี บบแผนทางความคดิ เป็นอยา่ งไร DRAFT ผลงานหรอื ผลผลติ ทางวฒั นธรรมจงึ ถูกนํามาเช่อื มโยงกบั สภาวะของสงั คมโดยรวม แทนทจ่ี ะ เช่อื มโยงกบั ปจั เจกหรอื สถาบนั ในรปู ใดรปู หน่ึงอย่างแคบๆ แต่ถูกนํามาเช่อื มโยงกบั ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิ และทศั นคตขิ องคนหม่ใู หญ่ในสงั คม ปราชญ์ศตวรรษท่ี 17 หลายท่านมคี วามเขา้ ใจต่อวฒั นธรรมใน ลกั ษณะทเ่ี ป็นสมยั ใหม่ ดงั เช่นจอหน์ เซลเดน (John Selden) ในศตวรรษท่ี 17 กล่าวว่าสงิ่ ทค่ี วรคู่แก่ การนํามาศกึ ษาคอื ธรรมเนียมประเพณที ค่ี นหม่มู ากปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ช่ขอ้ เขยี นของบุคคลใดบุคคลหน่ึง ขณะท่ี จอหน์ ลอค (John Locke) กล่าวถงึ ความแตกต่างของแบบแผนทางความคดิ (modes of thought) ของ สงั คมทแ่ี ตกต่างกนั ในโลก1112 จากนักคดิ 2 ท่านทย่ี กมาเหน็ ได้ถงึ แนวคดิ ว่าด้วยความแตกต่างทาง วฒั นธรรมเปิดกวา้ งมากขน้ึ แนวคดิ แรกคอื แนวคดิ ท่มี องเหน็ ถึงความสําคญั ของวฒั นธรรมหรอื แบบ แผนทางความคดิ ทม่ี าจากสว่ นล่างของสงั คม แทนทจ่ี ะจาํ กดั อยเู่ พยี งวรรณกรรม โดยอาจกล่าวไดว้ ่าเป็น ความสนใจต่อพลวตั ของวฒั นธรรมเบอ้ื งล่างหรอื มวลชน ส่วนแนวคดิ ทส่ี องคอื แนวคดิ ในทศิ ทางสมั พทั ธ์ 11 Williams, Keywords : A Vocabulary of Culture and Society, 294. 12 Burke, Varieties of Cultural History, 14. 12

DRAFTนิยมทางวฒั นธรรม (cultural relativism) ทแ่ี มว้ ่าจะยงั อย่ใู นระดบั อ่อน แต่ไดน้ ําไปส่ทู ศั นะทส่ี นใจศกึ ษา และอธบิ ายวฒั นธรรมซง่ึ แตกต่างกนั ไมว่ า่ จากสงั คมอ่นื หรอื จากอดตี ซง่ึ ต่อมาในศตวรรษท่ี 18 ประเดน็ น้ีเป็นท่สี นใจในหม่นู ักเขยี นเช่น ฟองเตนเนลล์ (Bernard Le Bovier de Fontenelle), วโิ ก (Giambattista Vico) , วอลแตร์ (Voltaire) และมองเตสกเิ ออ (Montesquieu) ทศั นะดงั กล่าวส่งผลใหเ้ กดิ ความสนใจในวฒั นธรรมท่หี ลากหลายทงั้ ในทางภูมศิ าสตร์และประวตั ศิ าสตร์ ส่งผลให้เกิดการศกึ ษา คน้ ควา้ แบบแผนทางความคดิ ทแ่ี ตกต่างกนั ต่างยุคสมยั และต่างสงั คม อกี ทงั้ ยงั อภปิ รายในเชงิ ลกึ มาก ยง่ิ ขน้ึ ขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรใ์ นช่วงศตวรรษท่ี 17 และ 18 ใช้คําหลายคําเพ่อื อธบิ ายถงึ สง่ิ ท่ี ปจั จุบนั เรยี กว่า “วฒั นธรรม” แมว้ ่าขณะนัน้ คําน้ียงั ไมม่ คี าํ เฉพาะ ใน De L’Origines des Fables (เขยี น เสรจ็ ราวปี 1684 ตพี มิ พป์ ี 1724) ฟองเตนเนลลว์ พิ ากษ์ศาสนาและความเช่อื เรอ่ื งเทพเจา้ และเร่อื งเหนือ ธรรมชาตขิ องยุคโบราณ โดยอภปิ รายถงึ กําเนิดและประวตั ศิ าสตรข์ องตํานานหรอื “คต”ิ (fable หรอื myth) ทไ่ี ม่ไดว้ างอยบู่ นรากฐานของเหตุและผล ในทศิ ทางเดยี วกบั ปีแอร์ บายล์ (Pierre Bayle) โดย ขอ้ เขยี นชน้ิ น้ีเป็นจดุ เรมิ่ สาํ คญั ของยุคแสงสว่างในการวพิ ากษ์ความไมเ่ ป็นเหตุเป็นผลของความเช่อื ทาง ศาสนาและไสยศาสตร์ โดยผ่านการศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตร์ งานชน้ิ น้ีมอี ทิ ธพิ ลต่อวงการทศ่ี กึ ษาตํานาน (myth และ mythology) โดยได้อภปิ รายในลกั ษณะทวั่ ไป แง่มุมทางจติ วทิ ยา หน้าท่ที างสงั คมและ ความหมาย เปรยี บมโนทศั น์ของมนุษยย์ คุ ดกึ ดาํ บรรพเ์ หมอื นของเดก็ กล่าวคอื อ่อนแอ เช่อื ง่ายและชอบ จนิ ตนาการขน้ึ มาเอง โดยการทาํ ความเขา้ ใน “คต”ิ ในอดตี เป็นประตูสู่ความเขา้ ใจความคดิ ของคนในยุค นัน้ ๆ1213 ฟองเตนเนลลก์ ล่าวว่างานชน้ิ น้ีเป็น “ประวตั ศิ าสตรข์ องความหลงผดิ ของจติ มนุษย”์ (l’histoire des erreurs de l’esprit humain)1314 ส่วนใน Scienza Nuova (1725) ของจามบาตสิ ตา วโิ ก (Giambattista Vico) ซ่งึ เป็นหน่ึงใน ขอ้ เขยี นชน้ิ แรกๆ ในช่วงตน้ ยคุ แสงสว่างทใ่ี ชข้ อ้ มลู มาจากประวตั ศิ าสตรโ์ รมนั มาตคี วามและสรา้ งกรอบ ทางปรชั ญาอย่างเป็นระบบ วโิ กชว้ี ่าพฒั นาการมี 3 ขนั้ ตอน (corso) แบ่งออกเป็น 3 ยคุ ไดแ้ ก่ ยุคเทพ เจา้ ยุควรี บุรุษและยุคมนุษย์ ซ่งึ แต่ละยุคมรี ูปแบบทางสงั คม การปกครองและกฎหมาย มนุษย์มี บุคลกิ ลกั ษณะนสิ ยั และมโนทศั น์ต่างกนั รวมถงึ มพี ฒั นาการทางวฒั นธรรมทงั้ ในแงร่ ปู แบบทางภาษาและ 13 Burton Feldman and R. D. Richardson, The Rise of Modern Mythology, 1680-1860 ([S.l.]: Indiana U Pr., 1972), 7-8. 14 Bernard de Fontenelle, Oeuvres De Fontenelle, Précédées D'une Notice Historique Sur Sa Vie Et Ses Ouvrages (Paris: Paris, 1825), 310. 13

DRAFTรปู แบบทางโวหาร 3 ขนั้ แบ่งเป็น ยคุ แห่งกวี (poetic หรอื mythical stage) ยุคแห่งวรี บุรษุ (heroic หรอื feudal stage) และยุคปญั ญามนุษย์ (human or civil wisdom) วโิ กใชว้ ลี “ตรรกะทางกว”ี (sapienza poetica; poetic logic หรอื poetic wisdom) หมายถงึ บรรทดั ฐานหรอื วถิ ที างความคดิ ท่วี างอย่บู น สาํ นวนภาษา (rhetoric) ทแ่ี ตกต่างกนั และใชท้ าํ ความเขา้ ใจโลกตามความคดิ ของคนแต่ละยคุ สมยั แนวคดิ วา่ แต่ละยคุ สมยั มวี ถิ หี รอื กระบวนทรรศน์ทางความคดิ แตกต่างกนั เป็นสงิ่ สําคญั ในการทํา ความเขา้ ใจความแตกต่างระหว่างสงั คมซง่ึ ปราชญ์ยุคแสงสว่างใช้ ส่วนหน่ึงนําไปสู่การอภปิ รายแนวคดิ ว่าดว้ ยความก้าวหน้าหรอื เปลย่ี นแปลงทางสงั คม ยานส์ คราฟท์ (Jens Kraft) ปราชญช์ าวเดนมารก์ ใช้ วลี Taenke-Maade (Thinking-mode) ของผคู้ นดกึ ดาํ บรรพใ์ น De vilde Folk (1760) ซง่ึ ต่อมามองเตสกิ เออใชว้ ลคี ลา้ ยๆกนั ใน De l’esprit des lois (1744) โดยใชว้ ลี “วถิ ที างความคดิ ของบรรพชน” (la maniere de penser de nos peres) กล่าวถงึ บรรทดั ฐานทางความคดิ ทส่ี อดรบั กบั ประเพณปี ฏบิ ตั ทิ าง กฎหมายและการตุลาการสมยั กลาง เช่น พสิ ูจน์ความบรสิ ุทธดิ ์ ว้ ยไฟ เหลก็ รอ้ นหรอื โยนลงน้ํา โดยมอง เตสกเิ ออกล่าวว่า “ขน้ึ กบั ส่วนของความบงั เอญิ มากกว่าเหตุผล และไม่ได้เก่ยี วกบั เร่อื งของศลี ธรรม ความถูกผดิ ”1415 มองเตสกเิ ออมองว่าแต่ละระบอบการปกครองจะมี principle หรอื ระบบศลี ธรรมต่างกนั ไป ซง่ึ เป็นทม่ี าและขบั เคล่อื นระบอบการปกครองนนั้ ๆ ระบอบการปกครองใดๆไมอ่ าจคงอยไู่ ดน้ านหาก ขาดระบบศีลธรรมท่สี อดคล้องกนั ส่วนสําคญั ของ principle คอื ความคดิ และค่านิยมทค่ี นในสงั คมมี รว่ มกนั โดย “วถิ ที างความคดิ เป็นส่วนสําคญั ” โดยอภปิ รายระบบสงั คมและการปกครองสมยั กลางเพ่อื เปรยี บเทยี บระบอบการปกครองทงั้ 3 ระบอบ ไดแ้ ก่ระบอบเผดจ็ การ ระบอบราชบลั ลงั ก์และระบอบ ประชารฐั ในกรอบการวเิ คราะหม์ องเตสกเิ ออแยกระบอบการปกครองออกจาก principle ชว้ี ่าระบอบ การปกครองคอื โครงสรา้ งทเ่ี ป็นอยู่ ซง่ึ ดาํ เนินไปไดด้ ว้ ยสง่ิ ทเ่ี รยี กว่า les passions humaines (human passions) ทเ่ี ป็นแรงขบั ดนั 1516 ซ่งึ ส่วนน้ีเองเป็นส่วนของวถิ ที างความคดิ ซ่งึ รวมเอาไว้ทงั้ ความเป็นเหตุ เป็นผลและความไมเ่ ป็นเหตุเป็นผล 15 De l’esprit des lois 28.17 : The way of thinking of our fathers. …One will be astonished to see that our fathers thus made the honor, fortune, and life of the citizens depend on things that depend on things that belonged less to the province' of reason than to that of chance, that they constantly used proofs that did not prove and that were linked neither to innocence nor to the crime.” Charles de Secondat baron de Montesquieu, The Spirit of the Laws, trans., Anne M. Cohler, Basia Carolyn Miller, and Harold Samuel Stone (Cambridge: Cambridge University Press, 1989), 551. 16 De l’esprit des lois 3.1 : 14

DRAFT นอกจากจะสนใจต่อความคิดของมนุษย์ยุคดึกดําบรรพ์ ซ่ึงเป็นส่วนสําคญั ในการสร้างข้อ ถกเถยี งของทฤษฎีการเมอื งโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ทฤษฎีสญั ญาประชาคม เน่ืองจากต้องแยกแยะความ แตกต่างทางสงั คมระหว่าง 2 ยคุ คอื สภาวะธรรมชาตหิ รอื ยคุ ดกึ ดาํ บรรพแ์ ละสภาวะระเบยี บแห่งรฐั ทํา ใหก้ ารทาํ ความเขา้ ใจความรสู้ าํ นึกคดิ ของคนยุคดกึ ดําบรรพม์ คี วามสําคญั สาํ หรบั ปราชญ์ช่วงต้นยุคแสง สว่าง แต่เม่อื เข้าสู่กลางศตวรรษท่ี 18 ทศั นะวพิ ากษ์สงั คมร่วมสมยั เรมิ่ รุนแรงข้นึ ความสนใจทาง ประวตั ศิ าสตรใ์ นเชงิ วพิ ากษ์หนั มาท่รี ะบบสงั คมสมยั กลาง ซ่งึ เช่อื ว่าเป็นท่มี าของความไม่ถูกต้องใน หลายๆดา้ นของสงั คมสมยั นัน้ จากทน่ี ักคดิ ดา้ นการเมอื งต้นยุคแสงสว่างมองความเป็นประวตั ศิ าสตร์ ค่อนขา้ งหยาบคอื เพยี งอภปิ รายขอ้ แตกต่างระหว่างยุคดกึ ดําบรรพก์ บั ยุครว่ มสมยั นอกจากมองเตสกิ เออทส่ี ่วนสาํ คญั ของ De l’esprit des lois ยงั มขี อ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรอ์ กี หลายชน้ิ ทอ่ี อกมาในช่วง กลางศตวรรษท่ี 18 มุ่งอธบิ ายระบบศลี ธรรมและค่านิยมสมยั กลาง แทนท่จี ะสนใจความเป็นไปทางการ เมอื งหรอื ศกึ สงคราม โดยหลกั ฐานทใ่ี ชม้ ากทส่ี ุดคอื วรรณกรรมโรแมนซ์ ฌอ็ ง-บาตสิ ต์ เดอ ลา เคริ น์ เดอ แซงต์-พาเลย์ (Jean-Baptiste de La Curne de Sainte-Palaye) เขยี น Mémoires sur l'ancienne chevalerie (1746-50) นักคดิ และนกั เขยี นยุคแสงสว่างท่านอ่นื ๆ สนใจระบบอศั วนิ (chivalry) โดย เฉพาะท่เี ก่ียวข้องกับความรู้สึกนึกคดิ และระบบคุณค่าของคนระบบอัศวนิ โดยเน้นอธิบายส่วนของ ความคดิ ดงั กล่าวเงานของแซงต์-พาเลย์ มสี ่วนในการกระตุ้นความสนใจศกึ ษายุคกลางในมติ ทิ าง วฒั นธรรม มงี านหลายชน้ิ ตามมาเช่น Letters on Chivalry and Romance (1762) โดยรชิ ารด์ เฮริ ด์ (Richard Hurd) และ Observations on the Faerie Queene (1754) โดยทอมสั วอรต์ นั (Thomas Warton) งานทงั้ สองชน้ิ มที ศั นะทค่ี ่อนขา้ งพยายามทําความเขา้ ใจความรูส้ กึ ของผูค้ นในยุคนัน้ ๆ ผ่าน วรรณกรรม ถกู นกั เขยี นหลายทา่ นในช่วงครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 18 อา้ งงานของแซงต์-พาเลย์ เพ่อื อภปิ ราย ระบบคดิ สมยั กลาง เช่น วอลแตร์ (Voltaire), วลิ เลยี ม โรเบริ ต์ สนั (William Robertson), แฮร์เดอร์ (Johann Gottfried Herder), และฮอเรซ วลั โพล (Horace Walpole) วลิ เลยี ม โรเบริ ์ตสนั นัก ประวตั ศิ าสตรช์ าวสก๊อตอภปิ รายไวใ้ น History of Charles V (1769) ถงึ ระบบอศั วนิ (chivalry) ว่า “แม้ จะถูกมองวา่ เป็นสถาบนั ทป่ี า่ เถ่อื น มาจากการใชอ้ ํานาจตามอําเภอใจและนําไปสู่พฤตกิ รรมเกนิ ขอบเขต There is this difference between the nature of the government and its principle: its nature is that which makes it what it is, and its principle, that which makes it act. The one is its particular structure, and the other is the human passions that set it in motion. (Montesquieu, The Spirit of the Laws, 21.) 15

DRAFTแต่กเ็ ป็นระบบทเ่ี กดิ ขน้ึ เป็นธรรมชาตขิ องสภาวะสงั คมในเวลานัน้ อกี ทงั้ มอี ทิ ธพิ ลอย่างสูงต่อการกล่อม เกลาธรรมเนยี มปฏบิ ตั ติ ่างๆของชนชาตใิ นยโุ รป”17 จากทย่ี กมาในขอ้ เขยี นของมองเตสกเิ ออและโรเบริ ต์ สนั พอเหน็ ไดว้ ่าทศั นะต่อวฒั นธรรมในอดตี ทเ่ี ปิดกวา้ งมากขน้ึ กว่าขอ้ เขยี นช่วงปลายศตวรรษท่ี 17 และตน้ ศตวรรษท่ี 18 โดยมองในแง่ลบน้อยลง และมองว่าเช่อื มโยงสอดคล้องกบั ระบบสงั คม กล่าวคอื มองในทศั นะท่คี ่อนขา้ งไปในทศิ ทางเดยี วกบั แนวคิดหน้าท่นี ิยม (functionalist) ในสงั คมวิทยาสมยั ใหม่ โรเบริ ์ตสนั มองว่ามสี ่วนเป็นแรงผลกั สู่ ความก้าวหน้าทางสงั คม แม้ว่าโดยลกั ษณะจะล้าหลงั นอกจากน้ียงั มแี นวโน้มทจ่ี ะพยายามทําความ เขา้ ใจความรสู้ กึ (empathy) ของผูค้ นในยคุ นนั้ ๆ ในสภาวการณ์ของยุคสมยั โดยไม่พยายามเขา้ ไป ตดั สนิ ดว้ ยอคตจิ ากกรอบศลี ธรรมของยคุ ปจั จบุ นั วอลแตรก์ บั ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมยคุ แสงสว่าง นกั ประวตั ศิ าสตรค์ นสาํ คญั ทถ่ี อื ไดว้ า่ เปิดประตูสกู่ ารเขยี นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอยา่ งค่อนขา้ ง เต็มรูปแบบได้แก่วอลแตร์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ข้อเขยี นประวตั ิศาสตร์ในช่วงหลงั ซ่งึ ให้เน้ือท่แี ก่เร่อื ง การเมอื งและผนู้ ําทางการเมอื งในฐานะปจั เจกลดลง โดยหนั มาใหค้ วามสําคญั ต่อวถิ ที างความคดิ และวถิ ี ปฏบิ ตั ขิ องคนหม่มู ากในสงั คม ใน Nouvellers consideration sur l’histoire (1744) วอลแตรก์ ล่าวว่า ประวตั ิศาสตร์เหตุการณ์สงครามและสนธิสัญญาต่างๆ ไม่เพียงพอท่ีจะศึกษาผู้คนจํานวนมากใน ประวตั ศิ าสตร์ สง่ิ ทว่ี อลแตรส์ นใจคอื ประวตั ศิ าสตรท์ ค่ี รอบคลุมมนุษยใ์ นหลากหลายมติ ิ1718 ใน Siecle de Louis XIV (1752) วอลแตรไ์ มไ่ ดเ้ ขยี นประวตั ศิ าสตรส์ มยั พระเจา้ หลุยสท์ ่ี 14 โดยเน้นทก่ี ารเมอื งการ ปกครอง การทหารหรอื เน้นทต่ี วั พระมหากษตั รยิ ์ วอลแตรใ์ ชค้ าํ ว่า “siècle” แทนทจ่ี ะใช้ “histoire” แสดง ถงึ ความตงั้ ใจดงั กล่าว1819 วอลแตรก์ ล่าวว่า “เราไม่ต้องการนําเสนอการกระทําของบุคคลเพยี งคนเดยี ว แต่ตอ้ งการนําเสนอจติ วญิ ญาณของมนุษยชาตโิ ดยรวม ซง่ึ เป็นยคุ สมยั ทเ่ี ป็นเรอื งรองทส่ี ุด”1920 17 Burke, Varieties of Cultural History, 15. 18 John Henry Brumfitt, Voltaire Historian (London: Oxford University Press, 1958), 46-47; Catherine Volpihac-Auger, \"Voltaire and History,\" in The Cambridge Companion to Voltaire, ed. Nicholas Cronk(Cambridge: Cambridge University Press, 2009), 141-143. 19 พง่ึ สนุ ทร, ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธต์ ะวนั ตกกอ่ นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20. 20 Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, vol. 22 (Akron: Warner, 1906), 5. 16

DRAFT วอลแตรไ์ มไ่ ดใ้ ชก้ ารเล่าเร่อื งตามลาํ ดบั เหตุการณ์ แต่แบ่งโครงสรา้ งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วน แรกเล่าเรอ่ื งการเมอื งและการทหารอยา่ งกระชบั ช่วงแรกของส่วนทส่ี องเป็นสงั คม เศรษฐกจิ กฎหมาย ระบบการปกครอง ศาสนาและราชสํานัก ช่วงหลังของส่วนท่ีสองเป็นเร่อื งของความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตร์ ศลิ ปะและวฒั นธรรม ในบทนําวอลแตรก์ ล่าวถงึ ความร่งุ เรอื งทางวฒั นธรรมในสมยั ของพระ เจา้ หลุยสท์ ่ี 14 กล่าวว่ายคุ น้ีเป็นยคุ ท่ี 4 ของความรงุ่ เรอื งทางวฒั นธรรม แมว้ ่าดา้ นศลิ ปศาสตรไ์ ม่ไดก้ ้าว ไปไกลกว่ายุคก่อน แต่ความคดิ เป็นเหตุเป็นผลของมนุษยพ์ ฒั นาขน้ึ มากในศาสตรส์ าขาต่างๆ เป็นยคุ ท่ี “…a general revolution in our arts, our genius, our manners, and even in our government, as will serve as an immortal mark to the true glory of our country.”21 แมใ้ น Siecle de Louis XIV วอลแตรไ์ มไ่ ด้ใหพ้ น้ื ท่ใี นเร่อื งวฒั นธรรมมากนัก แต่กเ็ หน็ ไดถ้ งึ กรอบความเขา้ ใจทางดา้ นวฒั นธรรม ต่อมาใน Essai sur les moeurs et l'esprit des nations (1756, Essay on the Manners and the Spirit of the Nations) ซง่ึ เน้ือหาครอบคลุมพน้ื ทก่ี วา้ งกว่าและ ระยะเวลายาวกว่าไดร้ เิ รมิ่ ความสนใจทางประวตั ศิ าสตรร์ ปู แบบใหม่ Essai เป็นงานทม่ี คี วามซบั ซอ้ นมาก ทส่ี ุดของวอลแตร์ เรมิ่ เร่อื งโดยเสนอโลกในภาพกวา้ งกล่าวถงึ จนี และอนิ เดยี และแคบลงทส่ี มยั ของชาร์ ลมาญทค่ี รสิ ต์ศาสนารุ่งเรอื ง โดยยอ้ นกลบั ไปท่กี ารล่มสลายของกรงุ โรม นอกจากจะไม่เน้นท่ตี วั กระทํา หลกั ทางประวตั ศิ าสตรอ์ ย่างพระเจา้ หลุยส์ท่ี 14 และวอลแตร์ยงั ปฏเิ สธการเน้นชนชาติ อกี ทงั้ ขยาย ขอบเขตทางเวลาและภูมศิ าสตร์ วอลแตรก์ ล่าวถงึ การเขยี นประวตั ศิ าสตรข์ องตนช้นิ น้ีใน “professeur en histoire” ว่าเป้าหมายสําคญั ของประวตั ศิ าสตรแ์ บบใหม่คอื “พฒั นาการของความรสู้ กึ นึกคดิ ของ มนุษย”์ ถงึ แมว้ ่ามนุษยใ์ นฐานะปจั เจกจะโฉดเขลา ประวตั ศิ าสตรเ์ ต็มไปดว้ ยเหตุการณ์ความวุ่นวาย สบั สน แต่ในระยะยาวความเป็นสังคมยงั คงอยู่ การค้าขายดําเนินต่อไป ความรู้และวฒั นธรรมก็ พฒั นาขน้ึ ได2้122 ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมลกั ษณะดงั กล่าวเหน็ ถงึ ความเช่อื มโยงกบั โครงสรา้ งสงั คมและ เศรษฐกจิ ภายใตส้ ภาวการณ์ของการแยง่ ชงิ และแขง่ ขนั ในสงั คม หากมองทป่ี ระวตั ศิ าสตรเ์ หตุการณ์อาจ 21 Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, 7. 22 Voltaire, The Works of Voltaire: A Contemporary Version with Notes, vol. 37 (Akron: Werner, 1906), 280-281. : My principal aim was to trace the revolutions of the human understanding in those of governments. [les révolutions de l’esprit humain dans celles des gouvernements.] I endeavored to discover in what manner so many bad men, conducted by worse princes, have notwithstanding, in the long run, established societies, in which the arts and sciences, and even the virtues, have been cultivated. I attempted to find the paths of commerce, that privately repairs the ruins which savage conquerors leave behind them; and I studied to know, from the price of provisions, the riches or poverty of a people: above all things, I examined in what manner the arts revived and supported themselves in the midst of such desolation. 17

DRAFTเหน็ แต่ความวุ่นวายขดั แยง้ มอี าณาจกั รเกดิ ขน้ึ ใหมแ่ ละล่มสลาย แต่การศกึ ษาดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรม แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความต่อเน่อื งและกา้ วหน้าของมวลมนุษย์ วอลแตรใ์ ชค้ าํ ฝรงั่ เศส “moeurs” (manners) มคี วามหมายมากกว่ามรรยาทหรอื ธรรมเนียม มี รากละตนิ จาก manuarius ซง่ึ แปลว่า \"belonging to the hand\" ซง่ึ อุปมาเป็นวธิ กี ารจดั การกบั สง่ิ ต่างๆ (method of handling) มกั ใชใ้ นทาํ นองเดยี วกบั คาํ ละตนิ modus ซง่ึ แปลไดท้ งั้ “วธิ กี าร” (method) และ “วถิ ปี ฏบิ ตั ”ิ (mode of conduct) ซง่ึ มนี ยั ในดา้ นมานุษยวทิ ยาซง่ึ หมายถงึ “วถิ ปี ฏบิ ตั ”ิ ของแต่ละสงั คม และยุคสมยั ซ่งึ แตกต่างยุ่งเหยงิ และดูไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่ภายใต้ภาพความขดั แยง้ วุ่นวายน้ีเองท่ี มนุษยชาติพัฒนาไป สําหรับวอลแตร์การศึกษาทางประวัติศาสตร์ควรศึกษามากกว่าเหตุการณ์ กฎหมาย ความเช่อื และภาษาดงั ทป่ี รากฏในขอ้ เขยี นชน้ิ ก่อนๆ แต่เป็น “moeurs” ซ่งึ วอลแตรก์ ล่าวถงึ รปู แบบทางสงั คมของแต่ละช่วงเวลาทางประวตั ศิ าสตร์ ตงั้ แต่การใชช้ วี ติ อยใู่ นระดบั ครอบครวั และระดบั ใหญ่ขน้ึ ไป ทงั้ การเดนิ ทาง กนิ อยู่ หลบั นอน แต่งตวั รวมไปถงึ วธิ กี ารทาํ สงคราม รวมถงึ ประเดน็ ศกึ ษาท่ี ปจั จบุ นั อยใู่ นวชิ าการสาขาชาตพิ นั ธุว์ รรณนา รฐั ศาสตร์ เศรษฐศาสตรก์ ารเมอื งและประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ โดยประเดน็ ทว่ี อลแตรม์ กั ใหค้ วามสนใจคอื การท่ี “moeurs” ส่งผลใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงในกฎหมาย และรูปแบบการเมอื งในระดบั ชนชาติ2223 ประวตั ิศาสตรข์ อง “moeurs” ครอบคลุมทุกด้านของวถิ ีการ ดาํ เนนิ ชวี ติ ครอบคลมุ ทงั้ ส่วนของจติ วญิ ญาณและโลกทางกายภาพ2324 ในช่วงครง่ึ หลงั ของศตวรรษท่ี 20 นกั ประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นใหมห่ นั มาสนใจศกึ ษาสงั คมและวฒั นธรรม โดยเฉพาะนกั ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อา นาลส์ (Annales school) จาค เลอ กอฟฟ (Jacques Le Goff) นักประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั น้ีในรนุ่ ท่ี 3 เหน็ ว่าวอลแตรเ์ ป็นหน่งึ ในบดิ าของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมหรอื histoire nouvelle25 แมว้ า่ ขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงกลางศตวรรษท่ี 18 จะมแี นวคดิ ต่อวฒั นธรรมท่ี เปิดกวา้ งมากขน้ึ กล่าวคอื ครอบคลมุ ทงั้ วฒั นธรรมชนั้ สงู เช่นวรรณกรรม ศลิ ปะและวทิ ยาการความรดู้ า้ น ต่างๆแลว้ ยงั ครอบคลุมวถิ ชี วี ติ ในทุกๆแงม่ มุ เป็น “วถิ ชี วี ติ ทุกดา้ น” (total ways of living) ทงั้ ในมติ ทิ าง จติ วญิ ญาณและวตั ถุ งานของวอลแตรเ์ ป็นตวั อย่างท่ดี ขี องขอ้ เขยี นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในยุคแสง 23 Paul Sakmann, \"The Problems of Historical Method and of Philosophy of History in Voltaire [1906],\" History and Theory 11, no. Enlightenment Historiography: Three German Studies (1971): 41-42. 24 J. G. A. Pocock, Barbarism and Religion (Cambridge, U.K.: Cambridge University Press, 1999), 72-73. 25 Jacques Le Goff, “L’Histoire nouvelle” ใน Jacques Le Goff, Roger Chartier, and Jacques Revel, La Nouvelle Histoire (Paris: C.E.P.L., 1978). 222. อา้ งใน Pierre Force, \"Voltaire and the Necessity of Modern History,\" Modern Intellectual History 6, no. 03 (2009). 460. 18

สว่าง ทม่ี กี ารแยกแยะระหว่างวถิ ปี ฏบิ ตั ทิ ่ลี ะเมยี ดละไมผ่านการขดั เกลา (polishes, refined) กบั วถิ ที ่ี หยาบ (rough) เหตุสําคญั อาจเป็นเพราะยงั วางอยู่บนเคา้ โครงเร่อื งแบบยุคแสงสว่างกล่าวคอื เป็นเร่อื ง ของพฒั นาการและความก้าวหน้าของสภาวะสงั คม ดงั นัน้ การวจิ ารณ์ในเชงิ คุณค่าของการมอี ารยะนัน้ ยงั คงความสําคัญ ในการเช่ือมโยงความเปล่ียนแปลงทางสงั คมกับความก้าวหน้าทางศิลปศาสตร์ นอกจากน้ียงั มแี นวคดิ ต่อวฒั นธรรมว่ามลี กั ษณะเป็นองคร์ วมและเป็นผลจากลกั ษณะของสงั คมโดยรวม ไม่ได้เป็นผลจากปจั เจกหรอื คนกลุ่มพเิ ศษท่มี อี จั ฉรยิ ภาพต่างจากคนส่วนใหญ่ในสงั คม อกี ทงั้ ยงั มอง ศลิ ปศาสตรแ์ ต่ละแขนงแต่ละสาขาเปลย่ี นแปลงเช่อื มโยงไปดว้ ยกนั อย่างแยกไมอ่ อก2526 อกี ทงั้ ยงั มที ศั นะ ว่าการเปลย่ี นผ่านทางวฒั นธรรมเป็นผลมาจาก esprit general หรอื esprit human ของพลเมอื งโลก โดยรวม แมว้ ่าจะคํานึงถงึ ความเฉพาะเจาะจงของชนชาติ โดยปรากฏชดั ในการใช้กล่าวถงึ พลเมอื งโลก ในขอ้ เขยี น Esquisse d’un tableau historique des progrès de l’esprit humain (1793; Sketch for a Historical Picture of the Progress of the Human Mind) ของนิโคลาส เดอ กองดอรเ์ ซต์ (Nicolas de Condorcet) นักเขยี นฝรงั่ เศสโดยเฉพาะวอลแตรม์ อี ทิ ธพิ ลอย่างสงู ต่อนักประวตั ศิ าสตรท์ วั่ ยุโรป ในแง่ ของสํานึกความเช่ือมโยงระหว่างภาษา กฎหมาย ศาสนา ศิลปศาสตร์และศาสตร์แขนงต่างๆ ใน ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมและวฒั นธรรม Kulturgeschichte : ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในเยอรมนี ทศั นะต่อวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรเ์ รมิ่ เหน็ ถงึ ทศิ ทางทต่ี ่างออกไปราวปลายศตวรรษท่ี 18 ใน ขอ้ เขยี นของปราชญ์ชาวเยอรมนั เช่นในขอ้ เขยี นของโยฮนั ก็อตต์ฟรดี แฮรเ์ ดอร์ (Johann Gottfried Herder), โยฮนั ครสิ ตอฟ อเดลุง (Johann Christoph Adelung) และโยฮนั กอททฟ์ รดี ไอคฮ์ อรน์ (Johann Gottfried Eichhorn) ซง่ึ กล่าวไดว้ ่าเป็นการหนั มาสนใจวฒั นธรรมหรอื “cultural turn” ทท่ี ําให้ ประวตั ศิ าสตรห์ นั ไปทเ่ี น้ือหาดา้ นวฒั นธรรมอยา่ งเตม็ รปู แบบต่างจากประวตั ศิ าสตรแ์ บบฝรงั่ เศสยคุ แสง สว่าง นอกจากขอ้ เขยี นดา้ นประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ อทิ ธพิ ลสาํ คญั ต่อแนวคดิ และทฤษฎที างวฒั นธรรมมาจาก ปรชั ญาจติ นิยมในเยอรมนั รวมถงึ ปรชั ญาของเฮเกลดว้ ย ซง่ึ มสี ่วนสาํ คญั ในการวางกรอบทฤษฎวี ่าดว้ ย วฒั นธรรม บรบิ ททางสถาบนั ยงั เป็นปจั จยั สาํ คญั ของพฒั นาการของประวตั ศิ าสตรล์ กั ษณะดงั กล่าว ใน ฝรงั่ เศสศตวรรษท่ี 18 ความสนใจต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ ละขอ้ เขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรพ์ ฒั นาขน้ึ ผ่านความสนใจของบุคคลตงั้ แต่ฟองเตนเนลลม์ าถงึ วอลแตรอ์ ย่ใู นฐานะนกั เขยี นอสิ ระ แต่ในเยอรมนีชุด DRAFT 26 Burke, Varieties of Cultural History, 18-19. 19

DRAFTความรดู้ ้านประวตั ศิ าสตรแ์ ละวชิ าการด้านอ่นื ๆ พฒั นาขน้ึ ในมหาวทิ ยาลยั ซง่ึ เป็นสถาบนั ท่ที รงอทิ ธพิ ล ทางความคดิ ก้าวหน้ามากกว่าท่อี ่ืนๆในยุโรป สาเหตุหน่ึงมาจากความต้องการสร้างศูนย์กลางทาง ความคดิ หลงั การปฏริ ปู ศาสนา อกี ทงั้ ประวตั ศิ าสตรก์ ลายเป็นพน้ื ฐานสาํ คญั ของความรแู้ ละเป็นสาขาวชิ า ทเ่ี ป็นรากฐานสาํ คญั ระหว่างกลางศตวรรษท่ี 17 จนถงึ กลางศตวรรษท่ี 19 มมี หาวทิ ยาลยั ในเยอรมนี กว่า 20 แห่งและศาสตราจารยก์ ว่า 40 คนซง่ึ สอนวชิ าทม่ี เี น้ือหาดา้ นประวตั ศิ าสตรก์ ว่า 200 รายวชิ า ในช่วงแรกเน้ือหาด้านประวัติศาสตร์ผนวกกับเน้ือหาวิชาอ่ืนๆเช่น วรรณกรรม ภาษา วาทศิลป์ กฎหมาย กรกี ปรชั ญา และเป็นรายวชิ าประวตั ศิ าสตรข์ องศาสตรส์ าขาต่างๆรวมถงึ วรรณกรรม ปรชั ญา วทิ ยาศาสตรร์ วมถงึ ประวตั ศิ าสตรเ์ อง ซ่งึ เป็นเน้ือหาทพ่ี ฒั นาขน้ึ จากนักมนุษยนิยมเรอเนสซองส์ดงั ท่ี กล่าวมาข้างต้น ข้อเขียนเชิงประวัติศาสตร์จํานวนมากและหลากหลายรูปแบบเช่นตํารา วารสารวชิ าการ วารสารทวั่ ไปและหนังสอื ซ่งึ ใช้ในการเรยี นการสอนหรอื เป็นผลสบื เน่ืองมาจากการ บรรยายในชนั้ เรยี น นอกจากปรมิ าณของขอ้ เขยี นแลว้ คุณภาพทางวชิ าการยงั เป็นระบบ เป็นมอื อาชพี และมมี าตรฐานฐานการค้นคว้าสูง ต่างจากท่อี ่ืนๆในยุโรปท่ยี งั คงปรากฏข้อเขยี นประวตั ิศาสตร์ “มอื สมคั รเล่น” ค่อนขา้ งมาก ทําให้การศึกษาทางประวตั ศิ าสตรม์ ที ่ที างในสถาบนั และมสี ถานะความเป็น ศาสตรต์ ามคําว่า Geschichtswissenschaft27 ความรูท้ างประวตั ศิ าสตรใ์ นช่วงครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 18 เยอรมนีจงึ มกี ารแตกแขนงแตกสาขาย่อยในลกั ษณะท่เี ป็นระบบมาก (แมจ้ ะไม่ได้แยกส่วนในความรู้ เบด็ เสรจ็ จนกระทงั่ ศตวรรษท่ี 19) ทาํ ใหม้ คี วามสนใจเฉพาะทางประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมสามารถเตบิ โต ขน้ึ มาเป็นแขนงหน่ึงได้ และกลายมาเป็นสว่ นสาํ คญั ของประวตั ศิ าสตรใ์ นช่วงปลายศตวรรษท่ี 18 บรบิ ททางการเมอื งยงั เป็นปจั จยั สําคญั ของพฒั นาการของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในเยอรมนี มหาวิทยาลัยในเยอรมันเหล่าน้ีถูกสถาปนาข้ึนเพ่ือรับใช้ทางความคิดและอุดมการณ์แต่ละรัฐ ประวัติศาสตร์ก็มุ่งหวังเพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ในทางนโยบายและทางอุดมการณ์ การศึกษาทาง ประวตั ิศาสตร์ยงั มสี ่วนในการสร้างความชอบธรรมของการธํารงไว้ซ่ึงจารตี ระดบั ชนชาติและระดบั ท้องถิ่น อกี ทงั้ ยงั เป็นบทเรยี นทางการเมอื งและศลี ธรรมตามขนบประวตั ิศาสตรน์ ิพนธ์กรกี และโรมนั เน่ืองจากเยอรมนีศตวรรษท่ี 18 ความเป็นเอกภาพทางการเมอื งและศาสนา สงิ่ ทพ่ี อมรี ่วมกนั คอื ภาษา และวฒั นธรรม ประเดน็ ทางวฒั นธรรมจงึ เป็นทส่ี นใจในการทําความเขา้ ใจรากฐานทางประวตั ศิ าสตร์ แม้ จะมขี ้อเขยี นประวตั ิศาสตร์ท่พี ยามเน้นให้เห็นความเป็นหน่วยทางการเมอื งท่มี เี อกภาพ ก็ไม่ได้ สอดคลอ้ งกบั ความเป็นจรงิ ทางการเมอื งในศตวรรษท่ี 18 อยา่ งไรกด็ มี กี ารแตกแขนงความสนใจเฉพาะ 27 Donald R. Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga (New Haven: Yale University Press, 2003), 9-10, 13. 20

DRAFTทางประวตั ิศาสตร์ออกไปหลากหลาย เช่น มปี ระวตั ิศาสตร์จกั รวรรดิ (Reichsgeschichte; Reichs- Historie) ท่ีสนใจการเมืองการปกครองของจกั รวรรดิเยอรมนั มปี ระวตั ิศาสตร์ชนชาติเยอรมนั (Volkersgeschichte) ซง่ึ สนใจชนชาตใิ นแงก่ ารกําเนิดและการดํารงอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของจกั รวรรดิ โรมนั และภายใตอ้ าณาจกั รแฟรงค์ จวบจนมรี าชาของตนเองสบื มาจนยุคร่วมสมยั มปี ระวตั ศิ าสตรศ์ าสน จกั ร (Kirchengeschichte) ซ่ึงเป็นประวตั ิศาสตร์คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ในเชงิ สถาบนั มี Landesgeschichte (ประวตั ิศาสตร์ท้องถิน่ ) มปี ระวตั ศิ าสตรโ์ ลกหรอื ประวตั ิศาสตร์สากล (historia universalis; Universalhistorie; Weltgeschichte) ซ่งึ มคี วามหลากหลายและนําไปสู่การตพี มิ พห์ นังสอื ประวตั ศิ าสตรร์ ะดบั พน้ื ฐานจาํ นวนมาก2728 ขณะทป่ี ระวตั ศิ าสตรโ์ ลกหรอื ประวตั ศิ าสตรส์ ากลยงั วางอยบู่ น การลําดบั เวลาแบบไบเบล้ิ ซง่ึ ผนวกเขา้ กบั การมองความเปลย่ี นแปลงแบบกา้ วหน้าซง่ึ รบั มาจากแนวคดิ ยุคแสงสว่างจากฝรงั่ เศส อย่างไรก็ดปี ระวตั ศิ าสตรโ์ ลกในช่วงศตวรรษท่ี 18 ไม่ได้มนี วตั กรรมทาง ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธน์ กั หรอื อาจกลา่ ววา่ คอ่ นขา้ งอนุรกั ษน์ ิยมเน่ืองมาจากหลายๆปจั จยั แต่ความสนใจ ทางประวตั ิศาสตร์ท่อี าจเรยี กได้ว่ามคี วามรเิ รม่ิ สูงในการมองภาพรวมของมนุษย์คอื ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม แนวคิดว่าด้วยวฒั นธรรมและชาติพนั ธุ์มสี ่วนสําคญั ในการทําความเข้าใจภาพรวมของ มนุษยชาตใิ นเชงิ ประวตั ศิ าสตร28์29 คําว่า Kultur พฒั นามาจากแนวคดิ จากยคุ คลาสสกิ ว่าดว้ ยการอบรมบ่มเพาะปญั ญาของปจั เจก ตามวลี cultura animi ของซเิ ซโร (Cicero) โดยถูกนํามาใชอ้ ย่างกวา้ งขวางในช่วงทศวรรษท่ี 1780 แทนท่คี ําว่า Geist (spirit) ในการแสดงถงึ ลกั ษณะเฉพาะของสงั คมมนุษย์ อกี ทงั้ ยงั เกดิ คําใหม่คอื Kulturgeschichte (cultural history) ทําใหค้ ําว่า Kultur ถูกใชเ้ ป็นคําเพ่อื การวเิ คราะหท์ างประวตั ศิ าสตร์ ก่อนหน้าน้ีมหี ลายคําท่ใี ช้ในข้อเขยี นทางประวตั ิศาสตร์โดยมคี วามหมายครอบคลุมใกล้เคยี งกบั คําน้ี ไดแ้ ก่คําว่า “วรรณกรรม” หรอื literature ซ่งึ มรี ากศพั ทม์ าจากคาํ ละตนิ littera หมายถงึ ขอ้ เขยี นทเ่ี ป็น ผลสําเร็จทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ครอบคลุมศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นนิยามท่ี ประวตั ศิ าสตรว์ รรณกรรมและศาสตรย์ คุ เรอเนสซองสใ์ ช้ อกี คําหน่ึงคอื mens (ละตนิ ), esprit (ฝรงั่ เศส), Geist (เยอรมนั ) หรอื spirit ซง่ึ มคี วามเป็นนามธรรมและความเป็นทฤษฎสี งู นกั เขยี นฝรงั่ เศสในศตวรรษ ท่ี 18 เช่นฟองเตนเนลลแ์ ละวอลแตรท์ ใ่ี ชว้ ลี esprit human เป็นแนวคดิ ทช่ี ่วยทาํ ความเขา้ ใจพฒั นาการ ของมนุษยชาติ 28 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 13-14. 29 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 21. 21

DRAFT ในช่วงปลายทศวรรษท่ี 1780 คําว่า “วฒั นธรรม” ถูกนําใชใ้ นแนวคดิ ว่าดว้ ยแนวทางการศกึ ษา ทางประวตั ศิ าสตร์ ในปี 1781 จโี อวนั นี อนั เดรส (Giovanni Andres) ตพี มิ พ์ Dell'origine, progressi e stato attuale di ogni letteratura (the Origin, Progress, and the Current State of All Literature) โดย เรมิ่ ใชค้ าํ วา่ coltura เพอ่ื หมายถงึ สภาวะหรอื ปจั จยั ของความสาํ เรจ็ ของมนุษยท์ ค่ี งอย่ใู นวรรณกรรม โดย ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การสง่ ผา่ นทางวฒั นธรรมจากอารยธรรมทด่ี าํ รงอยกู่ ่อน อกี ทงั้ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ อทิ ธพิ ลของสภาวะ อากาศและเสรภี าพทางการเมอื งท่สี ่งผลใหอ้ ารยธรรมกรกี ประสบความสําเรจ็ และทําใหย้ ุโรปแตกต่าง จากแอฟรกิ าและเอเชยี การใช้คําว่า “วฒั นธรรม” ในประวตั ิศาสตรน์ ิพนธ์ของนักเขยี นเยอรมนั ด้วย ความตงั้ ใจใชค้ าํ น้ีมรี ะบบคดิ และมอี ทิ ธพิ ลสูงกว่า โยฮนั ครสิ ตอฟ อเดลุง (Johann Christoph Adelung) แทนทค่ี าํ ว่า Geist ดว้ ย Kultur โดยแสดงถงึ แนวคดิ ว่าดว้ ยความกา้ วหน้าทแ่ี ตกต่างจากกรอบแบบยุค แสงสว่าง ในปี 1771 อเดลุงตพี มิ พ์ Über die geschichte der deutschen sprache (the History of the German Language) อเดลงุ ชว้ี ่าวฒั นธรรมซง่ึ เป็นผลมาจากพฒั นาการของเกษตรกรรมและการมสี มบตั ิ ส่วนตวั แลว้ ภาษาจงึ ถอื กําเนิดขน้ึ ตามมา ชว้ี ่าพฒั นาการของภาษาไมอ่ าจเป็นทเ่ี ขา้ ใจไดห้ ากไมม่ คี วาม เขา้ ใจพฒั นาการทางวฒั นธรรม2930 ต่อมาแนวคดิ ดงั กล่าวเป็นประเดน็ หลกั ของประวตั ศิ าสตรช์ น้ิ สาํ คญั ท่ี ตพี มิ พป์ ีต่อมา อเดลุงชว้ี า่ คาํ วา่ Kultur มคี วามหมายครอบคลุมไดด้ กี ว่าคาํ อ่นื ๆ โดยหมายถงึ การเปลย่ี น ผ่านจากสภาวะพ้นื ฐานคล้ายสตั ว์มาสู่การดํารงชีวิตในสงั คมภายใต้ความสมั พนั ธ์ท่ีซบั ซ้อนข้ึน จงึ ต้องการสาํ นึกทผ่ี ่านการขดั เกลามากขน้ึ 3031 การรเิ รม่ิ การใชค้ ําน้ีโดยอเดลุงส่งผลต่อประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธ์ และมนุษยศาสตรอ์ ย่างต่อเน่ือง โดยข้อเขยี นของแฮร์เดอรม์ สี ่วนสําคญั ในการวางกรอบหรอื ปรชั ญา ประวตั ิศาสตร์ท่สี ่งผลต่อการเขยี นประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรม สําหรบั อเดลุงสงิ่ ท่ีเรยี กว่า “วฒั นธรรม” พฒั นาขน้ึ จากปจั จยั แวดล้อมทางกายภาพ จงึ เป็นนิยามท่ใี ห้ความสําคญั ต่อสภาวะทางวตั ถุ (material condition) ของวฒั นธรรม ในส่วนน้ีแตกต่างจากแนวคดิ ความก้าวหน้าของมนุษยชาตยิ คุ แสงสว่างแบบฝรงั่ เศสตรงท่ี แบบ ฝรงั่ เศสใหค้ วามสําคญั กบั พฒั นาการของความเป็นเหตุและผลสากล นําไปสู่ความกา้ วหน้าของพลเมอื ง โลกโดยรวม แต่แนวคดิ ความก้าวหน้าแบบเยอรมนั วางอยู่บนการพฒั นาด้านวฒั นธรรมซ่งึ นําไปสู่ เอกลกั ษณ์เฉพาะของแต่ละชนชาติ ความสนใจทางประวตั ศิ าสตร์จงึ เปล่ยี นจากโลกในภาพรวมมาสู่ 30 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 91. 31 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 91. ใน Versuch einer Geschichte der Cultur des menschlichen Geschlechts (1782; Essay on the History of the Culture of the Human Race) อเดลุงกล่าวว่า “I should have preferred a German expression instead of the word, ‘culture’, but I know none that captures its meaning. ‘Refinement,’ ‘enlightenment,’ ‘development of capacities’ all espress some but not the whole of it.” 22

ประวตั ศิ าสตรช์ นชาติ ทงั้ ยงั ใหค้ วามสาํ คญั กบั พลวตั ความเปลย่ี นแปลงของพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ ขณะทย่ี ุคแสงสว่างมองความเป็นเหตุผลเชงิ ปรชั ญาตามคําว่า raison และ esprit ค่อนขา้ งมเี สถยี รภาพ และน่ิง ขณะทค่ี ําว่า Kultur มนี ยั ของความอุดมและหลากหลายมากกว่า เปลย่ี นตามบรบิ ทและไม่อาจ คาดหมายไดข้ องประสบการณ์มนุษย์ รวมถงึ เป็นผลจากอทิ ธพิ ลภายนอกและความเป็นทอ้ งถนิ่ อกี ทงั้ ยงั เป็นแนวคิดทางวฒั นธรรมท่ีเปิดกว้างครอบคลุมลกั ษณะท่เี คยถูกมองว่าเป็นอนารยะ สง่ิ แปลกและ ตํานาน ซ่งึ ภายใต้กรอบพฒั นาการของมนุษยชาตแิ บบยุคแสงสว่างยอมรบั ได้ยาก การทําความเขา้ ใจ ผลผลติ หรอื ปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรเ์ ปลย่ี นจากแผนการและกลไกระบบใหญ่จาก การทรงสรา้ งของพระเจา้ มาเป็นการทม่ี นุษยส์ รา้ งตวั ตนของตนเอง (human self-creation)32 DRAFT สงิ่ น้ีสอดคล้องกบั แฮร์เดอรท์ เ่ี หน็ ว่าประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมนัน้ สนใจปรากฏการณ์เฉพาะยุค สมยั โดยเฉพาะในทางภาษาซง่ึ มองว่าเป็นผลจากปญั ญาของมนุษยท์ ม่ี คี วามซบั ซอ้ นและล่นื ไหลมากกว่า เพยี งความเป็นเหตุเป็นผล ใน Ideen zur Philosophie der Geschichte der Menschheit (1784–91; Ideas for the Philosophy of History of Humanity) แฮรเ์ ดอรก์ ล่าวถงึ “วถิ ที างวฒั นธรรม” (der Gang der Kultur) หรอื “หว่ งโซท่ างวฒั นธรรม” (die Kette der Kultur) ซง่ึ กระบวนการดงั กล่าวหมายถงึ การบ่ม เพาะคณุ ลกั ษณะทางสตปิ ญั ญาและภาษา ซง่ึ แฮรเ์ ดอรเ์ ช่อื ว่าความเขา้ ใจทางประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจะ ชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจความเป็นเหตุผลของมนุษยซ์ ง่ึ ปราชญ์ยคุ แสงสว่างสนใจ แฮรเ์ ดอรช์ ว้ี ่าสงิ่ ทน่ี ําไปสู่ ความเขา้ ใจไม่ใช่จติ ท่อี ยู่เหนือโลกทางกายภาพและอยู่เหนือความเปล่ยี นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์ แต่ เป็นการสาํ แดงเป็นรปู ธรรมเฉพาะชว่ งเวลาผ่านผลผลติ ทางวฒั นธรรมของแต่ละยุคสมยั แฮรเ์ ดอรเ์ หน็ ว่า เป้าหมายของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั ธรรมไม่ใช่เพยี งการวจิ ารณ์ปรชั ญาเท่านัน้ แต่จะมาแทนท่ปี รชั ญาใน ฐานะศาสตรท์ เ่ี ป็นรากฐานในการทาํ ความเขา้ ใจความเป็นมนุษย์ นอกจากแฮรเ์ ดอรแ์ ลว้ มนี กั คดิ อกี หลาย ท่านท่เี ขยี นถงึ ประวตั ิศาสตรใ์ นทศิ ทางเดยี วกนั ท่วี พิ ากษ์การศกึ ษาด้านปรชั ญาโดยหนั ไปหามติ ิทาง สงั คมและวฒั นธรรมของความรทู้ างประวตั ศิ าสตรโ์ ดยใหค้ วามสําคญั ต่อความตอ้ งการทางกายภาพของ มนุษย์ เช่น อาหารการกนิ ท่อี ยู่อาศยั เคร่อื งนุ่งห่ม เทคโนโลยพี ้นื ฐานและองค์ประกอบอ่ืนๆท่เี ป็น รากฐานทางวตั ถุของวฒั นธรรม 33 32 แนวคดิ วา่ ดว้ ยพฒั นาการทางวฒั นธรรมทก่ี ล่าวมาสอดคลอ้ งกบั ขอ้ เขยี นของวโิ ก ทเ่ี หน็ ว่าปจั จยั หลกั ของการเกดิ ของวฒั นธรรมไมไ่ ดม้ าจากจติ วญิ ญาณแต่มาจากการช่วงชงิ ทางทรพั ยากรเพ่อื การเอา 32 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 21-22. 33 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 92. 23

ชวี ติ รอด ไมไ่ ดม้ าจากความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์ ดงั ทว่ี โิ กใ้ ชค้ าํ ว่า sapienza poetica (poetic logic หรอื poetic wisdom) เพอ่ื กลา่ วถงึ พฒั นาการทางวฒั นธรรม ซง่ึ ไมไ่ ดว้ างอยบู่ นตรรกะ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เหตุผล แต่มาจากความหวาดกลัว ความพิศวงและจินตนาการ เช่นความไม่รู้และหวาดกลัวต่อ ปรากฏการณ์ธรรมชาตเิ ช่นฟ้าผ่านําไปสู่พฒั นาการทางสงั คมและวฒั นธรรมเช่น ครอบครวั ศาสนาและ ภาษา ข้อแตกต่างสําคญั ระหว่างวิโกกับแนวคิดว่าด้วยประวตั ิศาสตร์วัฒนธรรมในยุคน้ีคือความ เฉพาะเจาะจงทางประวัติศาสตร์และทางภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะท่ีนําไปสู่ประเด็นชาติพันธุ์ใน ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ขอ้ เขยี นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมตงั้ แต่ยุคเรอเนสซองสเ์ ร่อื ยมาค่อนขา้ งเหน็ ตรงกนั ถงึ ความยงิ่ ใหญ่ทางวฒั นธรรมของยคุ คลาสสกิ โดยเฉพาะกรกี โบราณ รวมถงึ เรอเนสซองสท์ ฟ่ี ้ืนฟู ความรจู้ ากยคุ ดงั กล่าว (ชดั เจนในกรณขี องชาวอติ าลอี ยา่ งวโิ กและอนั เดรส) หากมองในทางภูมศิ าสตรก์ ็ คอื แหล่งอารยธรรมทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนียนทถ่ี กู มองว่าวฒั นธรรมยโุ รปโดยรวมงอกเงยออกมา โดยยงั วาง อยู่บนความเป็นสากลของวฒั นธรรมหรอื การมรี ากเหง้าทางวฒั นธรรมร่วมกนั ของมนุษย์ ปราชญ์ เยอรมนั ในยคุ น้ีใหค้ วามสําคญั ต่อความรเิ รม่ิ และเอกลกั ษณ์ในทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะลกั ษณะเฉพาะ ของชนชาตซิ ง่ึ บรสิ ุทธกิ ์ ว่าในทางวฒั นธรรมและรบั อทิ ธพิ ลจากภายนอกน้อยกว่า การใหค้ วามสาํ คญั ต่อ ลกั ษณะเฉพาะของชนชาตเิ ป็นเหตุและเป็นขอ้ อ้างทท่ี าํ ใหน้ กั ประวตั ศิ าสตรห์ นั ไปสนใจความรุ่งเรอื งทาง วฒั นธรรมในภูมภิ าคและช่วงเวลาท่ีต่างออกไปคือในเยอรมนีเอง รวมไปถึงประเด็นเร่อื งชาติพนั ธุ์ ครสิ ตอฟ ไมเนอรส์ ์ (Christoph Meiners) นักปรชั ญาและนักประวตั ศิ าสตรช์ าวเยอรมนั มองว่าอารย ธรรมกรกี ได้รบั อิทธพิ ลจากอารยธรรมอ่ืนค่อนข้างสูง สอดคล้องกับท่ีทาซิทสั (Tacitus) เขยี นไว้ใน Germania ไมเนอรส์ ์ ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความสาํ คญั ในความบรสิ ุทธขิ ์ องขนบธรรมเนียมของชนชาตเิ ยอรมนั แนวคดิ เช้อื ชาตนิ ิยมน้ีมอี ทิ ธพิ ลอย่างสูงต่อประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมในช่วงน้ี มขี ้อเขยี นหลายช้นิ ท่ี ช้ีให้เห็นว่าพฒั นาการทางวัฒนธรรมไม่ได้เกิดข้ึนผ่านการอบรมบ่มเพาะในระดับปจั เจกแต่ เป็น พฒั นาการทางวฒั นธรรมของชนชาตผิ ่านกาลเวลาหลายชวั ่ คน3334 คาํ ว่า Kultur มคี วามหมายว่าเป็นสงิ่ ท่ี มนุษยจ์ ะไปถึงได้ ก็ต่อเม่อื มนุษยส์ งั่ สมตนเองและสงั คมพฒั นาขน้ึ ผ่านพ้นจากสภาวะธรรมชาตอิ นั ดบิ เถ่อื น สู่ความเป็นอารยะซ่งึ มนุษย์จะมรี ะเบยี บทางสงั คม ซ่งึ แสดงออกอย่างสมบูรณ์ผ่านรฐั ชาติและ ศลิ ปะวทิ ยาการเฉพาะตน โยฮนั กอททฟ์ รดี ไอคฮ์ อรน์ (Johann Gottfried Eichhorn) ขณะเป็นศาสตราจารยด์ า้ นภาษา ตะวันออกท่ีมหาวิทยาลัยเกิร์ทธิงเก้น เขียนเร่ืองวรรณกรรมและวฒั นธรรมยุโรปใน Allgemeine DRAFT 34 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 92. 24

DRAFTGeschichte der Cultur und Literatur des neuern Europa (1795) ชว้ี ่าประวตั ศิ าสตรค์ วรครอบคลุมทงั้ ศลิ ปะวิทยาการท่เี คยอยู่ในส่วนของ Literaturgeschichte และวฒั นธรรมท่ีอยู่ในสงั คมทวั่ ไปท่ีเป็น Kulturgeschichte ซ่งึ ทงั้ สองส่วนต้องนํามาทําความเขา้ ใจร่วมกนั ไม่อาจแยกกนั ได้ ไอค์ฮอร์นช้วี ่า วฒั นธรรมเป็นส่วนท่เี กดิ ก่อนซ่งึ ปูทางให้กบั วรรณกรรมหรอื ศลิ ปะวทิ ยาการ หากเขยี นประวตั ศิ าสตร์ เพียงด้านเดียวจะขาดความสมบูรณ์ ไอค์ฮอร์นเน้นว่าเน้ือหาท่ีสําคญั ไม่ได้อยู่ท่ีความเป็นไปของ เหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ แต่อยู่ท่สี ภาวะทางวฒั นธรรม (Culturzustände) ไอค์ฮอร์นอธบิ ายถึง พฒั นาการทางการเมอื งว่าดว้ ยเสรภี าพในอติ าลแี ละเยอรมนีในช่วงต้นสมยั ใหม่ เรม่ิ จากวฒั นธรรมใหม่ ในทางวรรณกรรมผนวกกบั แรงผลกั ดนั จากนิกายโปรเตสแตนทใ์ นเยอรมนี รวมไปถงึ ความก้าวหน้าทาง ความคดิ ผ่านปรชั ญา วทิ ยาศาสตรแ์ ละทศั นคตแิ บบมนุษยนิยม อกี ทงั้ มกี ารวางกรอบคดิ หรอื ปรชั ญา ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมดว้ ย ดาเนียล เยนิช (Daniel Jenisch) ไดเ้ ขยี น Universalhistorischer Ueberblick der Entwickelung des Menschengeschlechts, als eines sich fortbildenden Ganzen (1801; Overview of Universal History of the Evolution of the Human Race: continuously forming as a whole) ซง่ึ เป็นขอ้ เขยี นชน้ิ แรกๆทก่ี ล่าวถงึ ปรชั ญาหรอื หลกั ของการเขยี นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เยนิชกล่าวถึง “การศึกษาธรรมชาติของมนุษย์” โดยใช้คําว่า “anthropology” โดยช้ใี ห้เห็นว่า ประวตั ศิ าสตรม์ นุษยไ์ ม่ได้ดาํ เนินไปไดด้ ว้ ยความก้าวหน้าหรอื หลกั ของเหตุและผลตามแบบปราชญ์ยุค แสงสว่างเช่น Immanuel Kant หรอื Isaak Iselin แต่เป็นผลจากการต่อสูร้ ะหว่างสญั ชาตญาณต่างๆ ดงั นนั้ วฒั นธรรมจงึ เป็นสาระสาํ คญั ในการทาํ ความเขา้ ใจพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ ไมใ่ ช่การทาํ ความ เขา้ ใจความเป็นเหตุเป็นผล (reason)35 แนวคิดประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมของอเดลุง ไอค์ฮอร์นและเยนิชเปิดประตูสู่ความคิดทาง วฒั นธรรมท่เี ปิดกว้างกว่ากรอบยุคแสงสว่างซง่ึ ค่อนขา้ งมองวฒั นธรรมในลกั ษณะคลา้ ยกลไก ยอมรบั ความขดั แยง้ ไมล่ งรอยและล่นื ไหลแลว้ ยงั เปิดทางส่ปู ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมจากเบอ้ื งล่างหรอื “history from below” ทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั ลกั ษณะทางกายภาพและทางวตั ถุ (material condition) ทางวฒั นธรรม ทเ่ี ป็นรากฐานทางวฒั นธรรมของสงั คมนนั้ ๆ ไมว่ ่าจะเป็นสภาพแวดลอ้ ม ภูมปิ ระเทศและภูมอิ ากาศ การ ดํารงชวี ติ ลกั ษณะทางชาตพิ นั ธุ์ การเขา้ สงั คม การรวมตวั ทางการเมอื งและพธิ กี รรมศาสนา ไมน่ ้อยไป กว่าวฒั นธรรมการเขยี นหรอื ผลผลติ ทางวฒั นธรรมระดบั บนของสงั คม การใหค้ วามสําคญั ต่อวฒั นธรรมท่ี เคยเป็น “เบอ้ื งล่าง” เน่ืองจากการเปิดกวา้ งยอมรบั ความหลากหลายและสง่ิ แปลก รวมไปถงึ สงิ่ ทน่ี ัก 35 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 22. 25

ประวตั ศิ าสตรย์ คุ แสงสว่างมองว่างมงายไรเ้ หตุผลในทางวฒั นธรรม ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในเยอรมนั ช่วงปลายศตวรรษท่ี 18 หนั เหไปในทศิ ทางของ “วฒั นธรรมประชาชน” (popular culture) มากขน้ึ โดยเฉพาะกระแสโรแมนตกิ ในเยอรมนีทร่ี วบรวมและศกึ ษาคตชิ นและเพลงพ้นื บา้ น ต่อมาในศตวรรษท่ี 19 กระแสน้ีแพร่หลายไปทวั่ ยุโรปและเข้าสู่ความสนใจทางวิชาการศึกษาวฒั นธรรม โดยเฉพาะ มานุษยวทิ ยาในศตวรรษท่ี 2036 DRAFT 36 Burke, Varieties of Cultural History, 16. 26

ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในศตวรรษที่ 19 ขอ้ เขยี นวา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธห์ ลายชน้ิ แสดงถงึ ความสนใจและความพยายามสถาปนาให้ ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมมที ่ที างเป็นสาขาท่ีเป็นเอกเทศในตัวเอง ไม่ได้ผูกอยู่กบั ศาสตร์สาขาอ่ืนๆ เหมอื นชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 18 จาํ นวนสงิ่ พมิ พท์ ช่ี อ่ื มคี าํ วา่ Kultur มจี าํ นวนเพมิ่ มากขน้ึ เมอ่ื เขา้ สู่ศตวรรษท่ี 19 ช่วงกลางศตวรรษจงึ เป็นยคุ ทองของ Kulturgeschichte มงี านครอบคลุมอาณาบรเิ วณประวตั ศิ าสตร์ โลกและท้องถ่ิน ยุคโบราณและสมยั ใหม่ อีกทัง้ มงี านท่ีเป็นความรู้ทวั่ ไปและเช่ยี วชาญเฉพาะเช่น วรรณกรรม การแพทย์ การคา้ โดยส่วนใหญ่สาํ หรบั ผูอ้ ่านทวั่ ไปเป็นหลกั ในมหาวทิ ยาลยั มกี ารขยายตวั ทงั้ รายวชิ า จาํ นวนผสู้ อน มกี ารก่อตงั้ สมาคมประวตั ศิ าสตรห์ ลายสมาคมโดยมผี ูเ้ ขา้ รว่ มจาํ นวนมากจาก หลายอาชพี และภมู หิ ลงั ซง่ึ นําไปส่กู ารท่ี Kulturgeschichte เป็นขอ้ เขยี นประเภทหน่ึงและเป็นสาขาหน่ึง ของการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ที ท่ี างของตนในช่วงกลางศตวรรษท่ี 19 ในช่วงเวลาเดยี วกนั นนั้ กเ็ ป็น ช่วงผลบิ านของ Geschichtswissenschaft ซง่ึ มกี ลุ่มของลโี อโปล ฟอน รงั เก (Leopold von Ranke) เป็นหวั หอก ทําให้ Kulturgeschichte มภี าพเป็นความสนใจสมคั รเล่นและเป็นส่วนหน่ึงของวฒั นธรรม หนงั สอื ขายดี และไมถ่ งึ มาตรฐานในแงเ่ อกสารหลกั ฐานและความน่าเช่อื ถอื ของวงวชิ าการตามแบบรงั เก 37 36 อย่างไรก็ดี Kulturgeschichte ทต่ี ีพมิ พใ์ นช่วงกลางศตวรรษท่ี 19 มลี กั ษณะเด่นอยู่หลาย ประการตามแนวทางทแ่ี ฮรเ์ ดอร์ อเดลุงและนักเขยี นท่านอ่นื ๆไดว้ างไวต้ งั้ แต่ปลายศตวรรษท่ี 18 ซง่ึ แตกต่างจากความสนใจของ Geschichtswissenschaft อย่างชดั เจน กล่าวคอื การให้ความสําคญั กบั วฒั นธรรมทางวตั ถุ (material culture) และขอ้ มลู ทางชาตพิ นั ธุว์ รรณนา พธิ กี รรมและคตชิ น ซง่ึ มกี าร เก็บรวบรวมและจดั แจงอย่างเป็นระบบมากขนั้ อนั เป็นโภชผลจากความรูด้ ้านดงั กล่าวและการก่อตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑท์ างชาตพิ นั ธุ์วทิ ยาในเวลานัน้ อกี ทงั้ การเกดิ ขน้ึ ของมานุษยวทิ ยาในศตวรรษท่ี 19 ซง่ึ เป็น สาขาวชิ าใหม่และเป็นสาขาใหม่ทเ่ี รมิ่ ความพยายามผูกขาดการศกึ ษาดา้ นวฒั นธรรมไว้ ทงั้ ยงั ได้สรา้ ง นิยามของวฒั นธรรมในกรอบความรแู้ บบชาตพิ นั ธุว์ รรณนามากขน้ึ กล่าวคอื ขนบประเพณี พธิ กี รรมและ คติชนท่ีผูกอยู่กบั ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ว่าด้วยชาติพนั ธุ์ซ่ึงเป็นผลมาจากแนวคิดของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ทาํ ใหเ้ รมิ่ ละทง้ิ กรอบพฒั นาการทางวฒั นธรรมแบบมนุษยนิยมและแบบยคุ แสงสว่างท่ี มเี สน้ แบ่งระหว่างยคุ ปา่ เถ่อื นมาสู่อารยธรรม มาใชค้ ําอธบิ ายการเปลย่ี นผ่านทางวฒั นธรรมทม่ี องว่าเป็น ผลจากการต่อสูแ้ ย่งชงิ เพ่อื ความอย่รู อด และการเปลย่ี นผ่านทางวฒั นธรรมเป็นผลจากการต่อสูช้ ่วงชงิ DRAFT 37 Kelley, \"The Old Cultural History,\" 95-96. 27

DRAFTเพอ่ื เอาตวั รอด เหน็ ถงึ ความต่อเน่ืองระหว่างสภาวะธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม ผลในทางอ้อมทต่ี ามมาและ ชดั เจนขน้ึ ในช่วงปลายศตวรรษคอื ทศั นะทเ่ี หน็ ว่าในอารยธรรมยงั คงมสี ญั ชาตญาณดบิ ของมนุษยท์ าํ งาน อยอู่ ยา่ งดี แมจ้ ะมสี ่วนบรรจบระหว่างมานุษยวทิ ยาและประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในขอ้ เขยี นหลายชน้ิ ท่ี กล่าวถงึ ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์ แต่ในภาพรวมทงั้ สองสาขามที ท่ี างคอ่ นขา้ งแยกกนั แนวคดิ ว่าด้วยนิยามของวฒั นธรรมท่เี คยให้น้ําหนักกับการเขยี นถูกท้าท้ายอย่างรุนแรงจาก นิยามแบบมานุษยวทิ ยา ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมศตวรรษท่ี 19 จงึ หนีไม่พน้ การเหยยี บเรอื สองแคม ข้างหน่ึงอยู่บนแนวคิดว่าวัฒนธรรมเป็นผลมาจากความจําเป็นทางกายภาพและสภาวะวัตถุของ วฒั นธรรมทจ่ี าํ เป็นต่อการอยรู่ อดและปากทอ้ งซง่ึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ผ่านขอ้ มลู ทางชาตพิ นั ธุว์ รรณนา อกี ฝงั่ หน่ึงคอื แง่มุมทางจติ ใจของวฒั นธรรมผ่านการสร้างสรรค์ทางวรรณกรรม ศิลปะและปรชั ญา สภาพ ดงั กล่าวเป็นทงั้ จุดแขง็ และจุดอ่อนของประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงคร่งึ หลงั ของศตวรรษ ในด้าน จุดอ่อนคือการแยกฝ่ายออกจากกันอย่างชดั เจนระหว่างนักประวัติศาสตร์ท่ีฝกั ใฝ่ไปทางชาติพันธุ์ วรรณนาเน้นสงั คมท่คี ่อนข้างมลี กั ษณะพ้นื ฐานหรอื สงั คมดกึ ดําบรรพ์โดยสนใจท่วี ฒั นธรรมทางวตั ถุ (material culture) อกี ฝงั่ หน่ึงคอื นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี นใจวฒั นธรรมทางจติ ใจ (spiritual culture) โดยมี ยาคอป เบริ ค์ ฮารด์ ท์ (Jacob Burckhardt) เป็นหน่ึงในแนวทางน้ี โดยทงั้ สองฝงั่ มคี วามสนใจ หลกั ฐาน ข้อมูล อาณาบรเิ วณ ยุคสมยั และคําอธิบายการเปล่ยี นผ่านทางวฒั นธรรมท่อี อกห่างจากกนั มากข้นึ เร่อื ยๆ จนเกือบไม่มลี กั ษณะร่วมในการเป็นประวัติศาสตร์วฒั นธรรม ซ่ึงทําให้ความเข้มแข็งของ Kulturgeschichte ในการสถาปนาเป็นสาขาวชิ าการท่นี ่าเช่อื ถอื และมนั่ คงอ่อนลงเร่อื ยๆ ในช่วงเวลาท่ี สาขาทางวชิ าการมกี ารแยกตวั ออกจากกนั อยา่ งชดั เจนและ Geschichtswissenschaft มคี วามน่าเช่อื ถอื ทางวชิ าการ มรี ะเบยี บวธิ ชี ดั เจน มวี ารสารวชิ าการและมชี ุมชนวชิ าการทเ่ี หนียวแน่นอยใู่ นมหาวทิ ยาลยั ต่างๆ ทาํ ให้ Kulturgeschichte ถูกมองว่าเป็นผลผลติ ของแนวคดิ ยคุ เก่าทไ่ี ม่เป็นวทิ ยาศาสตรเ์ น่ืองจาก ยงั ใชศ้ พั ทอ์ ย่าง “จติ วญิ ญาณ” (Geist) อยู่ในคําอธบิ ายเชงิ อภปิ รชั ญา แมว้ ่าจะเรมิ่ มกี ารหยบิ เอา คาํ อธบิ ายแบบจติ วทิ ยาสงั คมและสงั คมวทิ ยาซง่ึ เป็นศาสตรใ์ หมเ่ ขา้ มาใชใ้ นการอธบิ ายทางประวตั ศิ าสตร์ อกี ทงั้ นิยามและแนวคดิ เก่ยี วกบั วฒั นธรรมกม็ คี วามหลากหลายและเป็นท่ถี กเถยี งจากหลากสาขาและ หลากสาํ นกั รวมไปถงึ ขอ้ ถกเถยี งทเ่ี กย่ี วเน่อื งมาจากขอ้ เขยี นของดารว์ นิ อกี ทงั้ Kultur ยงั เป็นคําสาํ คญั อย่ทู ศ่ี ูนยก์ ลางของความขดั แยง้ ทางการเมอื งและศาสนาในช่วงทศวรรษท่ี 1870 ภายใต้นโยบายรวม ชาติ Kulturkampf ของ ออตโต ฟอน บสิ มารค์ (Otto von Bismarck) นายกรฐั มนตรปี รสั เซยี ขณะนัน้ ส่วนในแงด่ คี อื ความหลากหลายและแพร่หลายของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม รวมถงึ ลกั ษณะของการบูร ณาการรบั เอาความรแู้ ละขอ้ คน้ พบจากสาขาชวี วทิ ยา โบราณคดี ภาษาศาสตร์ ชาตพิ นั ธุ์วทิ ยา คตชิ น 28

DRAFTศกึ ษาและสงั คมวทิ ยา ทาํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเป็นสาขาทเ่ี ป็นพน้ื ทข่ี องขอ้ ถกเถยี งทางดา้ นทฤษฎี และวธิ วี ทิ ยา เป็นสาขาทม่ี กี ารรเิ รมิ่ ทางกรอบแนวคดิ และระเบยี บวธิ ศี กึ ษาวจิ ยั อยา่ งต่อเน่อื ง วิกฤตกบั วฒั นธรรม: ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมของยาคอป เบิรค์ ฮารด์ ท์ Kulturgeschichte สนใจการเปล่ียนผ่านจากสภาวะธรรมชาติ ใกล้เคียงสัตว์และปราศจาก วฒั นธรรมมาส่สู ภาวะทส่ี งู ขน้ึ ในลกั ษณะ “ประวตั ศิ าสตรม์ นุษยชาต”ิ (Geschichte der Menschheit) โดย อธบิ ายถงึ พฒั นาการทางดา้ นวฒั นธรรมของมนุษยใ์ นภาพรวมและไม่เน้นความเป็นไปของเหตุการณ์ ในชว่ งกลางศตวรรษท่ี 19 Kulturgeschichte มสี ถานภาพเป็นประวตั ศิ าสตรท์ างเลอื กจากประวตั ศิ าสตร์ การเมอื งทใ่ี หค้ วามสําคญั ต่อรฐั สงคราม การทูตผ่านเอกสารราชการทส่ี ะทอ้ นการกระทาํ ของผูม้ อี ํานาจ ทางการเมอื ง ความเปลย่ี นแปลงของ Kulturgeschichte อกี ประการหน่ึงในเวลานนั้ การเบนความสนใจ จากประวตั ศิ าสตร์มนุษยชาติแคบลงมาสู่ประวตั ิศาสตร์ชนชาติ โดยมี Volk เป็นหน่วยศกึ ษาทาง ประวตั ิศาสตร์ ภายหลงั ส่งอทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาทางชาตพิ นั ธุ์วรรณนา (Volkskunde) ด้วย แนวโน้ม สาํ คญั อนั หน่งึ คอื การมองการดาํ รงอยขู่ องชนชาตใิ นลกั ษณะของการต่อสเู้ พ่อื การอย่รู อดตามแนวคดิ ของ ดารว์ นิ ทแ่ี พร่หลายในขณะนนั้ ทาํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในช่วงกลางศตวรรษเป็นต้นไปมลี กั ษณะ การสบื ประวตั ศิ าสตรแ์ ละความเป็นมาของชาตพิ นั ธุ์ แมเ้ ป็นท่นี ิยมแต่ปญั หาหลกั ของประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมช่วงน้ยี งั คงเป็นการขาดความเครง่ ครดั ดา้ นระเบยี บวธิ ี การคน้ ควา้ และหลกั วเิ คราะหใ์ นฐานะท่ี เป็นวชิ าการสาขาหน่ึง ทําใหป้ ระวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมเป็นทด่ี ูแคลนของนักประวตั ิศาสตรเ์ หตุการณ์ การเมอื ง เมอ่ื มปี ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมชน้ิ สาํ คญั และมคี ณุ ูปการออกมา คาํ วจิ ารณ์จากนกั ประวตั ศิ าสตร์ อกี กลุ่มมกั เป็นไปในทางลบ3738 ในบรรยากาศวิชาการท่ามกลาง “นักประวัติศาสตร์มืออาชีพ” ท่ีเป็นกลุ่มก้อนมีท่ีทางใน มหาวทิ ยาลยั ยงั มนี กั ประวตั ศิ าสตรแ์ ละผลงานชน้ิ สาํ คญั ๆทย่ี งั คงใหค้ วามสาํ คญั กบั วฒั นธรรมทแ่ี ตกต่าง จาก Kulturgeschichte โดยเฉพาะข้อวิจารณ์เร่อื งความไม่เป็นมืออาชีพและไม่เป็นท่ียอมรบั ในวง วิชาการ ในยุคน้ีมีข้อเขียนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมหลายช้ินท่ีหลุดพ้นจากข้อจํากัดของ Kulturgeschichte ในเยอรมนีเองท่ีการค้นคว้าทางประวตั ิศาสตร์หนั ไปหาเอกสารราชการและการ คน้ ควา้ ในกองบรรณสาร ความสนใจทางวฒั นธรรมกไ็ มไ่ ดห้ ายไปจากนกั ประวตั ศิ าสตรอ์ าชพี แมแ้ ต่รงั เก 38 John Roderick Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, Mcgill-Queen's Studies in the History of Ideas (Montreal ; Ithaca: McGill-Queen's University Press, 2000), 173-174. 29

DRAFTเองกย็ งั ใหค้ วามสนใจในมติ ทิ างวฒั นธรรมซง่ึ แทรกอยใู่ นงานหลายชน้ิ ในงานบางชน้ิ รงั เกใหพ้ น้ื ทม่ี ากถงึ ทงั้ บทดงั เช่น Englische Geschichte, vornehmlich im 17 Jahrhundert (Vol. 1, 1859; History of England Principally in the Seventeenth Century) ทม่ี ที งั้ บทกล่าวถงึ วรรณกรรมและความคดิ ในรชั สมยั พระนางเจา้ เอลซิ าเบธ็ และพระเจา้ เจมส์ และในปี 1835 รงั เกยงั เขยี นบทความขนาดยาวว่าด้วย ประวตั ศิ าสตรว์ รรณกรรมในคาบสมทุ รอติ าล38ี39 แต่ผูท้ ไ่ี ดช้ ่อื ว่ามอี ทิ ธพิ ลต่อประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในวชิ าการเยอรมนั คอื ยาคอป เบริ ค์ ฮารด์ ท์ (Jacob Burckhardt) นักประวตั ศิ าสตรช์ าวสวสิ เบริ ค์ ฮารด์ ท์ไม่ไดม้ พี น้ื ฐานมาจากความสนใจใน Kulturgeschichte แบบเก่า แต่เป็นผลผลติ ร่นุ แรกๆ จากระบบการศกึ ษาดา้ นประวตั ศิ าสตรร์ ปู แบบใหม่ จากมหาวทิ ยาลยั ในเยอรมนี ซ่งึ เป็นหน่ึงในนักเรยี นของรงั เกท่มี หาวทิ ยาลยั เบอร์ลนิ และมาศึกษา ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมท่มี หาวทิ ยาลยั บอนน์ในเวลาต่อมา หลงั จากนัน้ กลบั มาเป็นศาสตราจารย์ท่ี มหาวทิ ยาลยั บาเซลิ จนเกษยี ณอายุ ระหว่างน้ีไดร้ บั ขอ้ เสนอตําแหน่งศาสตราจารยด์ า้ นประวตั ิศาสตร์ จากมหาวทิ ยาลยั ในเยอรมนีถงึ 2 ครงั้ แต่ปฏเิ สธ3940 ขอ้ เขยี นของเบริ ค์ ฮารด์ ท์ครอบคลุมกรกี ยุคโบราณ ตน้ ยคุ ครสิ ตศ์ าสนาไปจนถงึ อติ าลใี นสมยั เรอเนสซองส์ ซง่ึ เป็นงานทม่ี อี ทิ ธพิ ลทส่ี ุดต่อการศกึ ษาสมยั เรอ เนสซองสแ์ ละต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม คณุ ูปการสาํ คญั ของเบริ ค์ ฮารด์ ทค์ อื การศกึ ษายุคเรอ เนสซองสโ์ ดยศกึ ษาภาพรวมมากกว่าเพยี งจติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรมและวรรณกรรม แต่ ยงั ศกึ ษาถงึ สถาบนั ทางสงั คมต่างๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั การท่ีเบิร์คฮาร์ดท์ตัดสนิ ใจศึกษาด้านวัฒนธรรมนัน้ สวนกระแสวิชาการประวัติศาสตร์เชิง วทิ ยาศาสตรใ์ นสมยั นัน้ ซ่งึ กลุ่มของรงั เกเป็นหวั หอก หากมองทางหน่ึงอาจดูลา้ หลงั เพราะกลบั ไปหา Kulturgeschichte ซง่ึ วงวชิ าการประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั ของรงั เกขณะนัน้ ค่อนขา้ งดแู คลน หากมองอกี แงม่ ุม หน่งึ อาจเป็นการตงั้ ใจปฏเิ สธทศั นะแบบวทิ ยาศาสตรใ์ นการคน้ ควา้ ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี นใจแต่ความเป็นไป ของเหตุการณ์ทางการเมอื งและการเฟ้นหาข้อเทจ็ จรงิ ทางประวตั ิศาสตร์ และท่สี ําคญั ประวตั ิศาสตร์ การเมอื งของรงั เกยงั มที ศั นะรฐั นยิ มอย่างชดั เจน Kulturgeschichte ยงั มภี าพของการทา้ ทายรฐั เน่ืองจาก การให้ความสําคญั ต่อ Volk มากกว่าการเมอื งและอํานาจรฐั เบริ ค์ ฮาร์ดท์คุ้นเคยกบั ประวตั ศิ าสตร์ 39 Andreas Boldt, \"Perception, Depiction and Description of European History: Leopold Von Ranke and His Development and Understanding of Modern Historical Writing,\" eSharp, no. 10 (2007) (accessed 14/6/2014). Ranke, Leopold von. 1859-68. Englische Geschichte, vornehmlich im 17. Jahrhundert. 9 vols. Berlin: Duncker und Humblot; Ranke, Leopold von. 1835. Zur Geschichte der italiensichen Poesie. Abhandlungen der Königlichen Preußischen Akademie der Wissenschaften zu Berlin. 401- 85. Berlin: Duncker und Humblot. 40 ครงั้ แรกทม่ี หาวทิ ยาลยั ทอื บงิ เงนิ ในปี 1867 ครงั้ ท่ี 2 เป็นมหาวทิ ยาลยั เบอรล์ นิ ในปี 1872 ซง่ึ เคยเป็นตาํ แหน่งของรงั เก 30

DRAFTวฒั นธรรมเน่อื งจากอยใู่ นการเรยี นระดบั มธั ยม รวมถงึ คนุ้ เคยกบั นกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสอยา่ งวอลแตร,์ ฟรองซวั ส์ กโี ซต์ (Francois Guizot) และออกุสแตง เทยี รี (Augustin Therry) ขณะศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ ท่เี บอรล์ นิ กบั รงั เก ก็น่าจะเป็นครงั้ แรกทไ่ี ด้ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง ไม่ทราบว่าเบริ ค์ ฮารด์ ท์ไม่ ชอบรงั เกเป็นการส่วนตวั หรอื ไม่ แต่ทราบว่าเบิร์คฮาร์ดท์เคยถากถางภาพชนชนั้ สูงและทศั นะแบบ ขา้ ราชการของรงั เก และอาจมองวา่ รงั เกช่นื ชอบรฐั บาลเผดจ็ การของปรสั เซยี เกนิ ไป สําหรบั เบริ ค์ ฮารด์ ท์ แลว้ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมทเ่ี ป็นไมเ้ บ่อื ไมเ้ มากบั ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งจงึ ดูน่าสนใจไมน่ ้อย4041 ยอรน์ รูเซน (Jörn Rüsen) มองว่ากรอบและวธิ คี ดิ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องเบริ ค์ ฮารด์ ท์มี ลกั ษณะสําคญั ท่ีทําให้ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมมคี วามแตกต่างจากประวตั ิศาสตร์แบบรงั เกคือ การ เช่ือมโยงอดีตโดยการทําความเข้าใจผ่านปจั จุบัน รูเซนช้ีว่ากรอบวิธีการแบบน้ีเป็นการ ทําให้ ประวตั ศิ าสตรม์ ลี กั ษณะเป็นมานุษยวทิ ยา (“anthropologizing\") หาโครงสรา้ ง (\"structuralizing\") และ สรา้ งสนุ ทรยี ะ (“aestheticizing”) ใหก้ บั ประวตั ศิ าสตร์ รเู ซนชว้ี ่าประวตั ศิ าสตรข์ องเบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ ป็นการ นําเอาทศั นะแบบมานุษยวทิ ยามาใชใ้ นการศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตร์ (anthropological turn) คอื การมอง หาสง่ิ ท่มี รี ่วมกนั ของจติ ใจมนุษยใ์ นฐานะผู้สรา้ งหรอื ก่อให้เกดิ วฒั นธรรมในช่วงเวลาต่างๆในอดตี และ ปจั จุบนั เบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ หน็ ว่าการศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตรค์ วรเรมิ่ จากสง่ิ ทม่ี นุษยเ์ ขา้ ใจและเผชญิ ร่วมกนั ไดแ้ ก่การทม่ี นุษยต์ ้องต่อสู้และเผชญิ กบั ความทุกขแ์ ต่กต็ ้องดํารงอยตู่ ่อไป จงึ เป็นการศกึ ษาปญั หาและ ความปว่ ยไขข้ องมนุษย์ การวเิ คราะหท์ างประวตั ศิ าสตรค์ วรมองอดตี เพ่อื ทาํ ความเขา้ ใจความแตกต่าง กบั ปจั จบุ นั นกั ประวตั ศิ าสตรค์ วรศกึ ษา “สง่ิ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ซ้าํ ๆ คงทแ่ี ละมอี ย่ทู วั่ ไป ทส่ี ะทอ้ นมาทต่ี วั เราและ เขา้ ใจไดผ้ ่านสาํ นึกของเรา”4142 การทม่ี องว่าเป็นผลจากทม่ี นุษยต์ อ้ งเผชญิ หน้ากบั สภาวะแวดลอ้ มและความจรงิ ของโลก ความ เขา้ ใจประสบการณ์มนุษยค์ อื สง่ิ สาํ คญั ทส่ี ุดของความเป็นจรงิ ในประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ ในส่วนน้ีเหน็ ไดว้ ่าตรง ขา้ มกบั รงั เกทบ่ี อกวา่ “ขา้ พเจา้ ตอ้ งลบตนเองออก และเพรยี กหาสรรพสงิ่ และพลงั แห่งอดตี ทงั้ ปวงใหเ้ ผย ตนออกมา”4243 และนักประวตั ศิ าสตรไ์ มค่ วรกลวั ทจ่ี ะมองอดตี จากมมุ มองของปจั จุบนั อยา่ งไรกด็ แี ฟรงค์ 41 Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 179. 42 Jörn Rüsen, \"Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism,\" History and Theory 24, no. 3 (1985): 241. อา้ งองิ จาก Jacob Burckhardt, Reflections on History, trans., Marie Donald Mackie Hottinger (London,: G. Allen & Unwin ltd., 1943), 17. 43 Leopold von Ranke, \"A History of England, Principally in the Seventeenth Century,\" Kindle edition: book 5, location 7612. “It has been my wish hitherto in my narrative to suppress myself as it were, and only to let the events speak and the mighty forces 31

แองเกอรส์ มทิ (F. R. Ankersmit) ไมค่ ่อยเหน็ ดว้ ยกบั การมองการตคี วามของเบริ ค์ ฮารด์ ทไ์ ปในทาง มานุษยวทิ ยาทใ่ี หค้ วามสําคญั กบั “ความเขา้ ใจ” หรอื Verstehen โดยชว้ี ่าไม่ได้เน้นไปท่สี ภาวะของ ปจั เจก แต่เป็นการปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างสถาบันทางสงั คมเช่นรฐั และศาสนจกั รกับวฒั นธรรม ซ่ึงไม่ สามารถลดทอนเป็นองคป์ ระกอบแบบมานุษยวทิ ยาได้ 44 43 ในส่วนทร่ี เู ซนชว้ี ่าประวตั ศิ าสตรข์ องเบริ ค์ ฮารด์ ทว์ ่ามลี กั ษณะของโครงสรา้ ง (\"structuralizing\") คอื การปฏเิ สธประวตั ิศาสตร์เหตุการณ์ท่มี องว่าห่วงโซ่ของเหตุการณ์มคี วามสมั พนั ธ์แบบสาเหตุกับ ผลลพั ธซ์ ง่ึ เป็นลกั ษณะสาํ คญั ของประวตั ศิ าสตรส์ ํานกั รงั เกในศตวรรษท่ี 19 โดยเบริ ค์ ฮารด์ ทม์ องหา แบบแผนและรปู แบบของกจิ กรรมและความคดิ ของมนุษย์ โดยศกึ ษาในความเปลย่ี นแปลงตามกาลเวลา ผา่ นการสรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรมในหลายรปู แบบ แบบแผนดงั กล่าวเป็นกรอบทฤษฎใี นการตคี วามทาง ประวตั ศิ าสตร์ ส่วนการสรา้ งสุนทรยี ะ (\"aestheticizing”) ใหก้ บั ประวตั ศิ าสตรห์ มายถงึ การปฏเิ สธหน้าท่ี หรอื การเป็นประโยชน์ทางการเมอื งของประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เป็นภาระหน่ึงของนักประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั รงั เก โดยเบริ ค์ ฮารด์ ท์เห็นว่าประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมควรเป็นเร่อื งของประสบการณ์ทางผสั สะของมนุษย์ มากกว่าการพรรณนาความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอก4445 อาจกล่าวไดว้ ่าลกั ษณะทงั้ 2 ทก่ี ล่าวมาน้ี อยใู่ นกรอบแบบมานุษยวทิ ยาทพ่ี ฒั นาต่อมาถงึ ศตวรรษท่ี 20 ทใ่ี หค้ วามสนใจต่อความประหลาดโดยมงุ่ ทาํ ความเขา้ ใจแบบแผนในวถิ ชี วี ติ ของกลุ่มคนทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะดา้ นขนบธรรมเนียม พธิ กี รรมและความ เช่อื ในลกั ษณะของการช่นื ชมความบรสิ ุทธแิ ์ ละงดงาม อกี ทงั้ ขบั เน้นความแตกต่างจากสงั คมตะวนั ตก สมยั ใหม่ แต่สง่ิ ทเ่ี บริ ค์ ฮารด์ ทม์ องหาในอติ าลยี ุคเรอเนสซองสเ์ ป็นลกั ษณะเฉพาะของมนุษย์ ทงั้ ทค่ี งท่ี และเปลย่ี นแปลงผ่านศลิ ปะแขนงต่างๆ จงึ อาจกล่าวไดว้ ่างงานของเบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ ป็นความพยายามเช่อื ม รอยแยกระหว่างประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบมนุษยนิยมและทศั นะแบบมานุษยวทิ ยาชาติพนั ธท์ เ่ี ป็น ปญั หาสาํ คญั ทางวธิ กี ารของ Kulturgeschichte ในเวลาเดยี วกนั DRAFT การทเ่ี บริ ค์ ฮารด์ ทใ์ หค้ วามสาํ คญั กบั เหตุการณ์ค่อนขา้ งต่าํ ซง่ึ ต่างจากนกั ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง กระแสหลกั ตามแนวทางของรงั เกอยา่ งมาก สาํ หรบั รงั เกแลว้ การดําเนินไปและห่วงโซ่ของเหตุการณ์เป็น การเน้นท่ีการดํารงอยู่ของรัฐ และเป็นมุมมองของระดับรฐั เบิร์คฮาร์ดท์กลับให้ความสําคญั กับ ประสบการณ์ของปจั เจก ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ฟรดี รชิ นีทเชอ (Friedrich Nietzsche) ซง่ึ เป็นศาสตราจารยท์ ่ี be seen…” (“Ich wünschte mein Selbst gleichsam auszulöschen und nur die Dinge reden, die mächtigen Kräfte erscheinen zu lassen”) 44 F. R. Ankersmit, Sublime Historical Experience (Stanford, Calif. ; [Great Britain]: Stanford University Press, 2005), 164-65. 45 Rüsen, \"Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism,\" 241-42. 32

มหาวทิ ยาลยั เดยี วกนั 4546 เบริ ค์ ฮารด์ ทอ์ า้ งองิ หลกั ฐาน วรรณกรรมหรอื ขอ้ มลู ในลกั ษณะของเกรด็ เลก็ เกรด็ น้อย อกี ทงั้ เลอื กใชแ้ ละอา้ งหลกั ฐานทค่ี ่อนขา้ งกระจดั กระจายจากหลายส่วนทงั้ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม และขอ้ เขยี นจากต่างแหล่ง โดยเฉพาะใหน้ ้ําหนักกบั ขอ้ เขยี นของปจั เจกมากกว่าเอกสารราชการ อกี ทงั้ หลกั ฐานต่างๆก็ไม่ไดเ้ ช่อื มโยงกนั โดยตรงหรอื เช่อื มโยงกบั ลําดบั เวลาและความเป็นไปของเหตุการณ์ ทาํ ใหเ้ ป็นทว่ี จิ ารณ์อยา่ งมากจากนกั ประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ครง่ ครดั กบั การใชแ้ ละวพิ ากษ์หลกั ฐานตามแนวทาง ของกลุ่มของรงั เก ทาํ ใหก้ ารวเิ คราะหศ์ ลิ ปะและวฒั นธรรมรปู แบบต่างๆ ของเบริ ค์ ฮารด์ ทด์ ูเหมอื นเกดิ ขน้ึ โดยสหัชญาณเม่ือเปรียบเทียบกับภาพของนักประวัติศาสตร์แบบรังเกและนักประวัติศาสตร์ Geschichtswissenschaft ในช่วงเวลาเดยี วกนั 4647 DRAFT ผ่านศลิ ปะ ปรชั ญาและระบบการเมอื งในอติ าลยี คุ เรอเนสซองส์ Die Kultur der Renaissance in Italien (1860; the Civilization of the Renaissance in Italy) เบริ ค์ ฮารด์ ทอ์ ธบิ ายถงึ ลกั ษณะทาง วฒั นธรรมในอิตาลียุคเรอเนสซองส์ว่ามีลักษณะปจั เจกนิยม ความนิยมการแข่งขัน การคํานึงถึง ภาพลักษณ์ของตนและความเป็นสมัยใหม่ในด้านต่างๆ เห็นได้ถึงการตีความวัฒนธรรมโดยให้ ความสําคญั กบั ปจั เจกท่อี ย่ใู นสงั คมท่มี กี ารแข่งขนั โดยสภาวะสมยั ใหม่ดงั กล่าวเป็นกรอบสําคญั ในการ ตคี วามทาํ ความเขา้ ใจพลวตั ทางวฒั นธรรม ขอ้ เขยี นของเบริ ค์ ฮารด์ ทย์ งั อุดมไปดว้ ยการพรรณนาเชงิ อุป ลกั ษณ์ในการอธบิ ายถงึ มติ ทิ างวฒั นธรรม ใน the Civilization of the Renaissance in Italy เบริ ค์ ฮาร์ ดทก์ ล่าวถงึ การเปลย่ี นผ่านทางอารมณ์ความรูส้ กึ นึกคดิ จนิ ตนาการและสภาวะอารมณ์จากสมยั กลางท่ี “อยภู่ ายใตผ้ า้ บงั ตาของภาวะแห่งความฝนั และครง่ึ หลบั ครง่ึ ต่นื ซง่ึ ผา้ บงั ตาน้ีเป็นผลจากความเช่อื ภาพ ลวงและการถูกครอบงาํ ทางความคดิ เดยี งสา ทําใหม้ องโลกและอดตี เหน็ เป็นสง่ิ ผดิ ประหลาด สํานึกถงึ ตนเองเป็นเพยี งสมาชกิ ของเผา่ พนั ธุ์ ครอบครวั พรรคพวกและองคก์ ร” ซง่ึ อติ าลยี ุคเรอเนสซองสน์ ้ี “เป็น ทแ่ี รกทผ่ี า้ บงั ตาน้ีอนั ตรธานหายไป” 48 เบริ ค์ ฮารด์ ทใ์ ชอ้ ุปลกั ษณ์บ่อยครงั้ เพ่อื กล่าวถงึ ความรสู้ กึ นึกคดิ 47 แหง่ ยคุ สมยั 46 สําหรบั ความสมั พนั ธ์ส่วนบุคคลและทางดา้ นความคดิ ระหว่างบุคคลทงั้ สอง ดู Erich Heller, The Importance of Nietzsche : Ten Essays (Chicago: University of Chicago Press, 1988), 39-54. 47 ในความเป็นจรงิ แลว้ ประวตั ิศาสตร์ของรงั เกมมี ติ ิของการอาศยั พลงั ล้ลี บั อยู่ไม่น้อย รวมถึงการอาศยั สหสั ญาณด้วย ดู พ่งึ สุนทร, ประวตั ศิ าสตรน์ พิ นธต์ ะวนั ตกก่อนครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20, 247-48. 48 Anna Green, Cultural History (Basingstoke: Palgrave Macmillan, 2008), 16. จากบท “the Development of the Individual” Jacob Burckhardt, The Civilization of the Renaissance in Italy (London, England ; New York, N.Y., USA: Penguin Books, 1990), 98. 33

DRAFT ใน Griechische Kulturgeschichte (2 vols; 1898, 1902; History of Greek Culture) ซง่ึ กล่าวถึงวิถีชีวิตชาวกรีกทัง้ ในทางการเมือง ศิลปะ วรรณกรรม ดนตรีและกีฬา โดยช้ีให้เห็นถึง ความสําคญั ของวฒั นธรรมการแข่งขนั ท่สี ่งผลให้เกดิ การพฒั นาทางวฒั นธรรมและความคดิ ขณะท่ี ประวตั ศิ าสตรส์ มยั เรอเนสซองส์เน้นในแง่ของปจั เจก ส่วนงานช้นิ น้ีเน้นถงึ ความตงึ เครยี ดระหว่างสง่ิ ท่ี เบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ รยี กว่า “ปจั เจกนิยมทเ่ี ป็นหมนั ” (“unregenerate individualism”) ซง่ึ เป็นปจั เจกนิยมทไ่ี ม่ ก่อใหเ้ กดิ การร่วมมอื และไม่ส่งเสรมิ ใหส้ งั คมก้าวหน้าไป กบั ความตอ้ งการใหป้ จั เจกอย่ภู ายใต้อํานาจ ปกครองหรอื บญั ชาของ polis หรอื รฐั ทต่ี นเป็นสมาชกิ อย4ู่849 กรอบแนวคดิ ว่าดว้ ยการเตบิ โตของปจั เจก นิยมสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎที างสงั คมในช่วงครง่ึ หลงั ของศตวรรษท่ี 19 ทม่ี องความสมั พนั ธร์ ะหว่างปจั เจก กบั สงั คมทซ่ี บั ซอ้ นมากกวา่ ปรชั ญาสงั คมในยคุ ก่อน จากท่กี ล่าวมาขา้ งต้นเห็นได้ชดั เจนถึงขอ้ แตกต่างระหว่างประวตั ศิ าสตรข์ องเบริ ค์ ฮารด์ ท์กบั Kulturgeschichte ทเ่ี ฟ่ืองฟูในชว่ งครง่ึ แรกของศตวรรษท่ี 19 แมว้ ่าจะเหน็ ไดถ้ งึ การอธบิ ายวฒั นธรรมใน แนวทางมานุษยวทิ ยาเหมอื นกนั แต่เบริ ค์ ฮารด์ ทไ์ ม่ไดต้ อ้ งการประวตั ศิ าสตรช์ นชาติ (Volk) แต่ความ เป็นมานุษยวทิ ยาอยู่ทส่ี งิ่ ทม่ี นุษยเ์ ขา้ ใจและเผชญิ ร่วมกนั ดงั ทร่ี เู ซนชใ้ี หเ้ หน็ ต่างจาก Kulturgeschichte ทเ่ี ป็นมานุษยวทิ ยาในลกั ษณะของความสนใจวถิ ชี วี ติ ความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมในตวั ของมนั เอง แต่เบริ ค์ ฮารด์ ทส์ นใจความขดั แยง้ ทางการเมอื ง ลกั ษณะทางสงั คมและบรบิ ททางความคดิ ในฐานะทเ่ี ป็น เงอ่ื นไขหรอื ฉากหลงั ซง่ึ จาํ เป็นในการทําความเขา้ ใจผลสําเรจ็ ทางวฒั นธรรมรูปแบบต่างๆ4950 นอกจากน้ี เบริ ค์ ฮารด์ ทย์ งั ใหพ้ น้ื ทก่ี บั การชว่ งชงิ การเมอื งในระดบั บนซง่ึ เหน็ ไดช้ ดั ในงานทกุ ชน้ิ งานท่เี ป็นจุดเปล่ยี นสําคญั ของกรอบวธิ กี ารด้านประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมคอื The Age of Constantine the Great (1852) ซง่ึ เป็นยุคแห่งวกิ ฤตและกระแสความเปลย่ี นแปลงในหลายดา้ น จากยุค โรมนั โบราณสู่ยุคสมยั กลางและยุคแห่งครสิ ต์ศาสนา การแบ่งแยกทางภูมศิ าสตร์ เบริ ค์ ฮารด์ ทม์ อง จกั รพรรดคิ อนสแตนตนิ ต่างจากนกั ประวตั ศิ าสตรร์ ่วมสมยั ทเ่ี ป็นว่าเป็นผู้มคี ุณธรรมและเคารพในครสิ ต์ ศาสนา เห็นว่าเป็นจกั รพรรดิท่ีมลี ักษณะผู้นําตามแบบของมาเคยี เวลลี (Machiavelli) หรอื เหมอื น 49 หากมองในแงม่ มุ ทางศลิ ปะ “unregenerate individualism” สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ทางสนุ ทรยี ศาสตรใ์ นช่วงครง่ึ หลกั ศตวรรษท่ี 19 ซง่ึ มอง วา่ การสรา้ งสรรคท์ างวรรณกรรมและศลิ ปะควรมาจากการแสดงออกซ่งึ ตวั ตนของปจั เจก แนวทางทางศลิ ปะทส่ี อดคลอ้ งในศตวรรษท่ี 19 ยุคนัน้ ไดแ้ ก่ art for art’s sake, aestheticism ซง่ึ มองว่าศลิ ปะไมม่ เี ป้าหมายอ่นื ใดนอกเหนือจากตวั ของงานศลิ ปะเอง ส่วนแนวคดิ “regenerate individualism” เป็นวลที ส่ี ะทอ้ นอุดมคตทิ างสงั คมซ่งึ แพร่หลายในศตวรรษท่ี 19 ส่วนหน่ึงเป็นผลมาจากแนวคดิ ทางสงั คม วทิ ยาช่วงครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 19 Peter Burke, \"What Is Cultural History?,\" (Cambridge: Polity, 2004), Kindle edition. chapter 1, location 209-219. 50 Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 185. 34

DRAFTผูป้ กครองสมยั เรอเนสซองส์ อกี ทงั้ มองครสิ ตศ์ าสนาว่าเป็นเพยี งอํานาจหน่ึง ไมไ่ ดเ้ ป็นแรงผลกั ดนั ทาง วญิ ญาณทน่ี ําโลกตะวนั ตกเขา้ สู่ยคุ ใหม่ในทางวฒั นธรรม อกี ทงั้ ไม่ไดม้ สี ่วนในการนํามาซง่ึ การเส่อื มของ จกั รวรรดโิ รมนั อยา่ งทก่ี บิ บอน (Edward Gibbon) เสนอ แต่เป็นภาวะชราภาพ ลา้ สมยั และเฉ่ือยชาของ สงั คมโรมนั ศาสนาจกั รกไ็ ม่ได้เป็นพลงั ในการฟ้ืนฟูทางวฒั นธรรม เพยี งแต่ซมึ ซบั เอาผลประโยชน์จาก สภาวะอนั น้ี ในทางศิลปะและวฒั นธรรมเกิดการละท้งิ อุดมคติแบบยุคคลาสสิก หนั ไปใช้ภาษาและ สญั ลกั ษณ์ทฟ่ี ุ้งเฟ้อและแหง้ แลง้ จากยคุ เก่าก่อน5051 ส่วนใน the Civilization of the Renaissance in Italy เบิร์คฮาร์ดท์มองว่าสภาวะหรือเง่ือนไขสําคัญของความสําเร็จทางวัฒนธรรมคือปจั เจกนิยม (individualism) โดยงานทงั้ สองชน้ิ มองวา่ พลวตั ทางวฒั นธรรมทแ่ี สดงออกผ่านศลิ ปะและวรรณกรรมเป็น ผลมาจากสภาวะวกิ ฤตบางอย่างทางสงั คมและการเมอื ง ซง่ึ นักวชิ าการหลายท่านมองว่าประวตั ศิ าสตร์ ของเบริ ค์ ฮารด์ ทเ์ ป็นการวจิ ารณ์สภาวะสมยั ใหมข่ องยุโรปในช่วงครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 19 เป็นยุคสมยั ท่ี ผเู้ ขยี นตอ้ งเผชญิ กบั ความเปลย่ี นแปลงในหลายระดบั ทงั้ การขยายตวั ของระบอบทุนนิยมและการเตบิ โต ของอุตสาหกรรมแบบกา้ วกระโดด รวมถงึ การรวมเยอรมนภี ายใตเ้ ผดจ็ การทหารนยิ ม ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมปลายศตวรรษท่ี 19: Methodenstreit นักประวัติศาสตร์หลายท่านท่ีให้ความสนใจต่อมิติทางวฒั นธรรมและมงี านท่ียอมรบั ในวง วชิ าการอาชพี ในศตวรรษท่ี 20 อย่างเช่นจลู ส์ มเิ ชเลท์ (Jules Michelet) ในฝรงั่ เศสซง่ึ เป็นขนบการ เขยี นประวตั ศิ าสตรท์ ใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั มติ ทิ างสงั คมและวฒั นธรรม และในโลกวชิ าการประวตั ศิ าสตรใ์ น เยอรมนีทก่ี ารศกึ ษาประวตั ศิ าสตรห์ นั ไปใหค้ วามสาํ คญั กบั เหตุการณ์ทางเมอื งและรฐั ตามแนวทางทร่ี งั เก วางไวเ้ ฟ่ืองฟูและมอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมากในช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 มนี กั ประวตั ศิ าสตรอ์ ย่างเบริ ค์ ฮารด์ ทท์ ่ี เป็นหน่งึ ในผรู้ เิ รม่ิ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลและไดร้ บั การยอมรบั ในโลกวชิ าการเยอรมนั ถงึ ขนาดเมอ่ื ตําแหน่งศาสตราจารยด์ า้ นประวตั ศิ าสตรแ์ ห่งมหาวทิ ยาลยั เบอรล์ นิ ทร่ี งั เกเคยครองอย่วู ่างลง ในปี 1872 เบริ ค์ ฮารด์ ทไ์ ดร้ บั การทาบทามแต่กป็ ฏเิ สธ เมอ่ื เขา้ ส่ปู ลายศตวรรษท่ี 19 การยอมรบั ซง่ึ กนั และกนั ดงั กล่าวระหว่างประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งกบั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมดเู หมอื นจะจางลง เมอ่ื คารล์ แลมเปรคช์ (Karl Lamprecht) แห่งมหาวทิ ยาลยั ไลพ์ซจิ พยายามสถาปนากลุ่มและสถาบนั เพ่อื ศกึ ษา ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรม ภายใต้อิทธพิ ลทางความคดิ ของเบริ ์คฮาร์ดท์ได้เริม่ วิจารณ์วธิ ีการศึกษา ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งทส่ี นใจแต่ความเป็นไปของเหตุการณ์ภายนอก แลมเปรคชเ์ สนอวธิ กี ารของตนท่ี 51 Hinde, Jacob Burckhardt and the Crisis of Modernity, 190-91. 35

DRAFTมคี วามสนใจท่กี ว้างกว่าครอบคลุมสงั คม เศรษฐกจิ วฒั นธรรมและจติ วทิ ยา ด้วยอิทธพิ ลจากสาขา จติ วทิ ยา แลมเปรคชเ์ สนอว่านกั ประวตั ศิ าสตรค์ วรชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเปลย่ี นแปลงของ Volksseele หรอื “จติ ร่วม” (collective psyche) ซ่งึ ส่วนหน่ึงเป็นการสานต่อ Kulturgeschichte โดยเช่อื ว่าเป็นการ จดั ระบบและวางกรอบระเบยี บวธิ ใี ห้ทนั สมยั มากข้นึ ความพยายามดงั กล่าวปรากฏใน Deutsche Geschichte (13 vols., 1891-1908) ซง่ึ ความสนใจแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นประวตั ศิ าสตร์ เศรษฐกจิ และสงั คมผ่านการศกึ ษาวฒั นธรรมทางวตั ถุ ส่วนทส่ี องสนใจประเดน็ ทางความคดิ และจติ ใจ ตามแนวทางทเ่ี บริ ค์ ฮารด์ ทว์ างไว้ ความขดั แย้งในวงวิชาการประวัติศาสตร์เยอรมันท่ีส่งผลต่อประวัติศาสตร์วัฒนธรรมคือ Methodenstreit (methodological dispute) หรอื ความขดั แยง้ ว่าดว้ ยระเบยี บวธิ ี ซง่ึ แพร่กระจายไปอยา่ ง กวา้ งขวางและต่อเน่ือง เรมิ่ ขน้ึ ราวปี 1886 ซง่ึ เป็นปีทร่ี งั เกและจอรจ์ เวทซ์ (Georg Waitz) หน่ึงในศษิ ย์ เอกและหวั หน้ากองบรรณาธกิ ารของ Monumenta Germaniae historica (MGH) เสยี ชวี ติ ลง เหล่านกั ประวตั ศิ าสตรส์ ายรงั เกนําโดยดที รชิ เชฟเฟอร์ (Dietrich Schaffer) พยายามสถาปนาเป้าหมายของนัก ประวตั ิศาสตร์ช้วี ่าอยู่ท่กี ารเมอื งและรฐั ไม่ใช่ชวี ติ คนตัวเล็กตวั น้อย (Klienleben) หรอื ข้าวของใน ชวี ติ ประจาํ วนั เป็นการโจมตี Kulturgeschichte ซง่ึ เป็นทน่ี ิยมในหมนู่ ักอ่าน ว่าไม่ไดม้ าตรฐานวชิ าการ ไม่ได้วางอย่กู บั ความเชย่ี วชาญเฉพาะทางและเป็นผลงานของมอื สมคั รเล่น อเี บอรฮ์ ารด์ โกไธน์ (Eberhard Gothein) นักประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ และวฒั นธรรมตอบโต้โดยชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความสําคญั ของ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ช้วี ่ามรี ะเบยี บวธิ ที ่เี หมาะสมในการเขา้ ใจมนุษยต์ ามแนวคดิ ของวลิ เฮล์ม ดลิ ไทย์ (Wilhelm Dilthey) โดยเหน็ ว่าประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งมขี อ้ จาํ กดั ในด้านน้ีจงึ ควรหนั มาเรยี นรจู้ าก ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม ในขณะนนั้ ทงั้ สองฝา่ ยต่างกม็ ฐี านทม่ี นั่ ของตน ฝ่ายนักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม มหี นังสอื ขายดแี ละฐานผู้อ่านสนใจจาํ นวนมากรวมถงึ มวี ารสารของตนเอง ทม่ี สี มาชกิ จากหลากหลาย สายอาชพี มเี ครอื ขา่ ยของนกั เศรษฐศาสตรแ์ ละนกั สงั คมวทิ ยา ซง่ึ มจี าํ นวนมากกว่านกั ประวตั ศิ าสตร์ อกี ทงั้ มคี วามพยายามผลกั ดนั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเขา้ สู่ระดบั มหาวทิ ยาลยั ซง่ึ กถ็ ูกต่อต้านจากวชิ าการ ประวตั ิศาสตรก์ ารเมอื งท่มี ที ่ที างทางวชิ าการมนั่ คงในมหาวิทยาลยั อยู่แล้ว เหตุผลของการต่อต้านมี หลายเหตุผลตัง้ แต่มาตรฐานวิชาการและการค้นคว้าไปจนถึงสาเหตุทางอุดมการณ์เน่ืองจากให้ ความสําคญั กบั วฒั นธรรมทาง “วตั ถุ” ทส่ี ะทอ้ น Materialismusstreit ในช่วงกลางศตวรรษท่ี 1952 หาก มองให้ลกึ ลงไปท่ปี ระวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งตามแนวทางของรงั เก เห็นได้ถึงการต่อต้านดงั กล่าวตงั้ แต่ 52 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 305-307. 36

DRAFTแรกเรมิ่ สถาปนาประวตั ศิ าสตร์ “เชงิ ประจกั ษ์” ทเ่ี รมิ่ จากการปฏเิ สธประวตั ศิ าสตรท์ ถ่ี ูกชน้ี ําโดยปรชั ญา โดยเฉพาะแบบเฮเกลและปรชั ญาจติ นิยมทม่ี อี ทิ ธพิ ลในช่วงทศวรรษแรกๆ ของศตวรรษท่ี 1953 การต่อสู้ ของประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งทงั้ 2 ครงั้ จงึ เป็นการต่อสเู้ พ่อื รกั ษาทท่ี างของตนเองครงั้ แรกต่อสกู้ บั กระแส ปรชั ญาประวตั ศิ าสตรม์ รดกจากศตวรรษท่ี 18 ครงั้ ทส่ี องต่อสูก้ บั กระแสการบรู ณาการของศาสตรต์ ่างๆ เชน่ จติ วทิ ยา เศรษฐศาสตรแ์ ละสงั คมวทิ ยา การท้าทายเขม้ ขน้ ขน้ึ เมอ่ื แลมเปรคชเ์ ขา้ มาในภาพและมฐี านทม่ี นั่ ในมหาวทิ ยาลยั ไลพ์ซจิ และ Deutsche Geschichte ทงั้ 13 เล่มทยอยตพี มิ พ์ เรมิ่ มกี ารยกยอ่ งแลมเปรคชใ์ หเ้ ป็นทางเลอื กแทนรงั เก ทาํ ให้ Deutsche Geschichte ถกู วจิ ารณ์และโจมตรี อบดา้ นโดยเฉพาะนักประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง รวมถงึ นักวชิ าการรุ่นใหญ่อย่างฟรดี ชิ ไมเนกเคอ (Friedrich Meinecke), จอรจ์ ฟอน บโี ลว์ (Georg von Below) และนักประวตั ศิ าสตรจ์ ากฝงั่ เบอรล์ นิ รวมไปถงึ แมก็ ซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ดว้ ย โดยคํา วิจารณ์ส่วนหน่ึงโจมตีเร่ืองมาตรฐานวิชาการ กรอบวิธีท่ีขาดระบบ ขาดความเคร่งครดั และความ ผดิ พลาดดา้ นขอ้ มลู หลกั ฐาน อกี ส่วนหน่ึงเป็นการโจมตที อ่ี ุดมการณ์ว่าเป็นวตั ถุภาวะนิยมและโน้มเอยี ง ไปทางสงั คมนิยม ฝ่ายแลมเปรคช์ยนื ยนั การศึกษาประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมในชนั้ เรยี นสมั มนาท่ี มหาวทิ ยาลยั ไลพซ์ จิ และก่อตงั้ สถาบนั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม (Institute for Cultural and Universal History) ขน้ึ ในปี 190954 อกี ทงั้ เสนอแนวทางการศกึ ษาทเ่ี กย่ี วพนั กบั จดุ ยนื ทางการเมอื งต่อต้านสงคราม ซง่ึ ไม่ค่อยเป็นทย่ี อมรบั ในขณะนัน้ ทําใหแ้ ลมเปรคชถ์ ูกโดดเดย่ี วมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ เม่อื สงครามโลกครงั้ ท่ี หน่ึงปะทุขน้ึ วาทกรรมการปะทะกนั ระหว่าง Kultur ทเ่ี ป็นเยอรมนั กบั Zivilisation ทม่ี คี วามเป็นองั กฤษ และฝรงั่ เศส ซง่ึ เป็นวาทกรรมวา่ ดว้ ยความขดั แยง้ กนั ของความเป็นสมยั ใหม่ทม่ี มี าตงั้ แต่ปลายศตวรรษท่ี 19 เขม้ ขน้ ขน้ึ มาก5455 การโต้เถยี งเป็นไปอย่างต่อเน่ืองไปจนถงึ หลงั จากแลมเปรคชเ์ สยี ชวี ติ ลง ช่อื เสยี งและอทิ ธพิ ล ของเขาแพร่หลายมากขน้ึ ในวงกวา้ งนอกวงวชิ าการประวตั ศิ าสตร์ มอี ทิ ธพิ ลในโลกวชิ าการฝรงั่ เศสและ อเมริกา ส่วนในเยอรมนีเหตุการณ์น้ีส่งผลให้แลมเปรคช์และกลุ่มขาดท่ียืนในวงวิชาการด้าน 53 ดู พง่ึ สุนทร, ประวตั ศิ าสตรน์ พิ นธต์ ะวนั ตกก่อนครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20, 244. 54 แลมเปรคช์ดํารงตําแหน่งผูอ้ ํานวยการมอี ํานาจว่าจ้างอาจารย์ตามท่ตี ้องการ จนละเลยธรรมเนียมของภาควชิ า เช่นตงั้ ผูท้ ไ่ี ม่มวี ุฒิ ปรญิ ญาเอกรวมถึงตัง้ ครูสอน Gymnasium ท้องถิ่นเข้ามาเป็นอาจารย์รวมถึงญาติตัวเอง ย่ิงเพมิ่ กระแสต่อต้านย่ิงข้ึนอีก ดู Roger Chickering, Karl Lamprecht : A German Academic Life (1856-1915) (New Jersey: Humanities Press, 1993), 355-356. 55 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 309. 37

DRAFTประวตั ศิ าสตร์ อกี ทงั้ ทาํ ใหป้ ระวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมไมม่ ที ท่ี างในมหาวทิ ยาลยั ต่อมาอกี ยาวนาน ปล่อยให้ ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งมสี ถานะเป็นวชิ าการกระแสหลกั ในมหาวทิ ยาลยั เมอ่ื สงครามโลกสน้ิ สุดลงนักประวตั ศิ าสตรร์ ุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยงั คงทาํ งานค้นควา้ อยบู่ นฐานทม่ี นั่ ทางวธิ กี ารและสถาบนั ของประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื ง จาํ นวนวารสารวชิ าการประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งเกดิ ขน้ึ จํานวนมาก การค้นคว้าและการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในยุโรปและอเมริกาถูกนําโดย ประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งอยา่ งไมต่ ้องสงสยั มกี ารก่อตงั้ สมาคมวชิ าการด้านประวตั ศิ าสตร์ พรอ้ มทงั้ การ ก่อตงั้ หอจดหมายเหตุประจาํ ชาตทิ ม่ี คี รบทุกชาตยิ ุโรปตะวนั ตกตงั้ แต่ปลายศตวรรษท่ี 19 ทก่ี ล่าวมาน้ี เอ้อื อํานวยต่อการเตบิ โตของประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งอย่างมาก นอกจากน้ีการก่อตวั ของสงั คมศาสตร์ สาขาต่างๆกล็ ว้ นมที ท่ี างมนั่ คงในฐานะองคค์ วามรู้ วธิ กี ารและท่ที างในมหาวทิ ยาลยั ซ่งึ โดยรวมแต่ละ สาขาแลว้ มที ท่ี างแยกจากกนั หลกั การของความเป็น “ศาสตร”์ หรอื “วทิ ยาศาสตร”์ ของประวตั ศิ าสตร์ วางอยบู่ นการใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ขณะทส่ี งั คมศาสตรส์ าขาอ่นื ๆวางอย่บู นการคน้ หากรอบทฤษฎี หรอื กฎหรอื ระบบเพ่อื คําอธบิ ายมนุษย์และสงั คมใหม่ ได้มกี ารค้นพบทฤษฏใี หม่ในการอธบิ ายมนุษย์ ในทางจติ ใจ สงั คมและวฒั นธรรมอย่างกวา้ งขวางและแพร่หลายออกส่วู งกวา้ ง ทฤษฎที างสงั คมวทิ ยา เศรษฐศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาได้รบั การต่อยอดทางความคดิ จากวงวชิ าการสาขาต่างๆ รวมถงึ ทฤษฎจี ติ วิเคราะห์ท่ีอยู่ในขนั้ ก่อร่างสร้างตัวในเชิงสถาบนั และปลุกให้เกิดกระแสถกเถียงในวงกว้าง ส่วน ประวตั ิศาสตรก์ ารเมอื งซง่ึ เป็นกระแสหลกั ซ่งึ มที ที างทางวชิ าการอยู่แล้ว เหมอื นจะได้รบั ผลสะเทอื น ค่อนขา้ งน้อยเน่ืองจากหลกั ความเป็นวชิ าการของประวตั ศิ าสตรว์ างอยู่บนหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ อกี ทงั้ สาขาวชิ าต่างๆ ในมหาวทิ ยาลยั มที ท่ี างของศาสตรแ์ ยกจากกนั และมปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั ค่อนขา้ งน้อย อกี ทงั้ มี ค่านิยมในวงวชิ าการถงึ การเป็นสาขาวชิ าหรอื ศาสตรท์ บ่ี รสิ ทุ ธิ ์ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบ “ใหม”่ ในช่วงน้จี งึ พฒั นาขน้ึ อยา่ งชา้ ๆ แต่เหน็ ไดถ้ งึ ลกั ษณะสาํ คญั อนั หน่ึง กล่าวคอื อทิ ธพิ ลทางความคดิ ของการค้นพบทางด้านสงั คมศาสตรต์ ่างๆ นักประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ี อทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรม “แบบใหม่” มาจากอเมรกิ า เน่ืองจากอทิ ธพิ ลของแลม เปรคชท์ เ่ี ดนิ สายบรรยายเผยแพรแ่ นวคดิ ในสหรฐั ฯ ในปี 1904 ทําใหป้ ระวตั ศิ าสตรท์ างเลอื กน้ีมรี ากลกึ กว่า โดยได้รับการตอบรบั อย่างดีจากนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ในมหาวิทยาลัยฝงั่ มิดเวสต์และ มหาวทิ ยาลยั เกดิ ใหม่ ทาํ ใหห้ นั มาศกึ ษาปจั จยั ทางสงั คมและวฒั นธรรม สว่ นหน่ึงเหน็ ว่าเป็นทางออกจาก กรอบจารตี ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธว์ ชิ าการแบบยโุ รป อกี ส่วนหน่ึงเป็นการกบฏต่อประวตั ศิ าสตรค์ วามเป็น อนุรกั ษ์นิยมจากมหาวทิ ยาลยั ฝงั่ ตะวนั ออก มนี ักประวตั ศิ าสตรอ์ ย่างชารล์ ส์ โฮเมอร์ ฮาสกนิ ส์ (Charles Homer Haskins) นักประวตั ศิ าสตรส์ มยั กลางชาวอเมรกิ นั คนแรกและเป็นผูเ้ สนอ “เรอเนสซองสใ์ น ศตวรรษท่ี 12” (“Renaissance of the 12th century”) มเี ฟรเดอรคิ แจค็ สนั เทอรเ์ นอร์ (Frederick 38

DRAFTJackson Turner) นักประวตั ศิ าสตรอ์ เมรกิ ามดิ เวสต์ทม่ี องว่าการปจั จยั ทางเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม และสภาวะแวดลอ้ มจากการขยายตวั ไปทางฝงั้ ตะวนั ตก เป็นส่วนสําคญั ในการสรา้ งตวั ตนและลกั ษณะ ของชาวอเมริกัน อีกทัง้ ส่งผลต่อความเป็นการเมืองแบบประชาธิปไตยและความเป็นไปทาง ประวตั ศิ าสตรข์ องอเมรกิ า เจมส์ ฮารว์ ี โรบนิ สนั (James Harvey Robinson)56 เสนอความจาํ เป็นของ การศึกษาประวตั ิศาสตร์แบบใหม่ท่สี นใจรอบด้านไม่จํากดั เพียงแต่การเมอื งและรฐั โดยช้ใี ห้เหน็ ถึง ความสําคญั ของการยอมรบั อิทธพิ ลของการค้นคว้าบนศาสตรอ์ ่ืนๆ ท่ชี ่วยให้นักประวตั ศิ าสตรเ์ ขา้ ใจ ประเด็นเร่อื ง “ชาติพนั ธุ์” “ศาสนา” “ความก้าวหน้า” “ยุคโบราณ” “วฒั นธรรม” และ “ธรรมชาตขิ อง มนุษย”์ ในอดตี ไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ 5657 ส่วนในฝรงั่ เศส นักประวตั ศิ าสตรม์ ธี รรมเนียมทางความคดิ ทเ่ี ปิดรบั ประเดน็ ว่าด้วยวฒั นธรรม อยา่ งต่อเน่อื งตงั้ แต่ยคุ แสงสวา่ ง อกี ทงั้ มหาวทิ ยาลยั ในช่วงสว่ นใหญ่ของศตวรรษท่ี 19 กอ็ ยภู่ ายใต้ความ ผนั ผวนทางการเมอื ง นกั ประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสศตวรรษท่ี 19 มคี วามพยายามในการเขยี นประวตั ศิ าสตร์ แบบใหมเ่ พ่อื เป็นการต่อกรกบั ประวตั ศิ าสตรข์ อง Ancien Regime ทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั กษตั รยิ แ์ ละราช สาํ นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ว่ี ่าดว้ ยการเมอื งโดยตรงเป็นเน้อื หาทส่ี ่มุ เสย่ี งต่อการถกู เซน็ เซอรม์ าอยา่ งต่อเน่ือง หลงั การปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส นักประวตั ศิ าสตรค์ นสาํ คญั ๆ กผ็ ลติ งานอยนู่ อกสถาบนั อุดมศกึ ษา ทาํ ใหไ้ ม่ได้มี การพัฒนาอยู่ในกรอบด้านวิชาการประวัติศาสตร์ท่ีเคร่งครัดแบบในเยอรมนี ความสนใจทาง ประวตั ศิ าสตรต์ ่อปจั จยั ทางสงั คม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรมจงึ มมี าอย่างต่อเน่ือง เช่น ฟรองซวั ส์ กโี ซต์ (Francois Guizot) ออกุสแตง เทยี รี (Augustin Therry) และฌลู ส์ มเิ ชเลท์ (Jules Michelet) แมน้ ัก ประวตั ิศาสตร์คนสําคญั อย่างมเิ ชเลท์จะได้รบั อิทธิพลจากปรชั ญาประวตั ิศาสตร์จากแฮร์เดอร์ แต่ Kulturgeschichte กลบั มอี ทิ ธพิ ลต่อนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั่ เศสค่อนขา้ งน้อย ส่วนหน่ึงมาจากบรบิ ททาง วชิ าการและสภาวการณ์ทางการเมอื งทแ่ี ตกต่างกนั อกี ทงั้ ฝรงั่ เศสมขี นบประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธท์ ส่ี นใจมติ ิ ทางสงั คมและวฒั นธรรมสบื ต่อมาจากนักประวตั ศิ าสตรฟ์ ีโลโซฟในศตวรรษท่ี 18 อกี ทงั้ ในช่วงปลาย ศตวรรษกระแสต่อตา้ นแนวคดิ และแนวทางทุกอย่างทเ่ี ป็นเยอรมนั กค็ ่อนขา้ งรนุ แรงในฝรงั่ เศสเน่ืองจาก การสงครามและความตงึ เครยี ดทางการเมอื ง 56 ผรู้ ่วมก่อตงั้ the New School for Social Research ซง่ึ ตงั้ ขน้ึ ในช่วงเวลาทก่ี ระแสชาตนิ ิยมในโลกตะวนั ตกรุนแรงโดยเสนอตวั เป็น วชิ าการกา้ วหน้า 57 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 315. 39

DRAFT ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในขนบฝรงั่ เศสตงั้ แต่ศตวรรษท่ี 19 เป็นต้นมา มลี กั ษณะสําคญั อนั หน่ึง คอื จะไม่ใชค้ ําว่า culture ในภาษาฝรงั่ เศส โดยนิยมใชค้ าํ อ่นื เช่น civilisation, mentalité collective และ imaginaire social จนกระทงั้ ช่วงปลายทศวรรษท่ี 1980 ถึงจะเรมิ่ ปรากฏวลี L'histoire culturelle แพรห่ ลายมากขน้ึ ส่วนหน่ึงเป็นอทิ ธพิ ลจากวชิ าการประวตั ศิ าสตรใ์ นองั กฤษและอเมรกิ า อกี ส่วนหน่ึงมา จากนักประวตั ศิ าสตรส์ ํานกั อานาลสร์ ุ่นหลงั เช่น โรเจอร์ ชาตเิ ยร์ (Roger Chartier) ทห่ี าทางออกจาก ประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ ปรมิ าณและประวตั ศิ าสตรส์ งั คม5758 ก่อนการขน้ึ มาของสํานกั อานาลส์ นกั ประวตั ศิ าสตร์ ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 อองรี เบอร์ (Henri Berr) ไดเ้ รม่ิ เสนอการศกึ ษาวเิ คราะหท์ างประวตั ศิ าสตรท์ ่ี ผสานเอาสงั คมศาสตรส์ าขาต่างๆ เอาไวด้ ้วยซง่ึ เบอรเ์ รยี กว่า \"synthesis” โดยในปี 1900 ได้รเิ รม่ิ วารสาร Revue de synthèse historique ซง่ึ เปิดพน้ื ทใ่ี หก้ บั วชิ าการประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ลี กั ษณะดงั กล่าว รวมถงึ เป็นพน้ื ทถ่ี กเถยี งประเดน็ ทางประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธแ์ ละปรชั ญาประวตั ศิ าสตร์ รวมไปถงึ นิยามและ วธิ กี ารดา้ นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมและความสมั พนั ธก์ บั สงั คมศาสตรส์ าขาต่างๆ ดว้ ย5859 โดยผลงานของ เบอรต์ ่อวชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตรค์ อ่ นขา้ งจาํ กดั อย่ใู นดา้ นขอ้ ถกเถยี งเชงิ ทฤษฎมี ากกว่า งานของเบอร์ ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั ในวงวชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตรช์ ่วงนัน้ นัก แต่ความพยายามดงั กล่าวส่งผลราว 30 ปีต่อมาเมอ่ื เกดิ ประวตั ศิ าสตรส์ าํ นกั อานาลส์ จนกระทงั้ ร่นุ ต่อมาอยา่ งมารค์ โบลคและลุเซยี ง เฟบวร์ ทม่ี ี ผลงานทเ่ี ป็นรปู ธรรมในการคน้ ควา้ ทางประวตั ศิ าสตร์ โยฮนั ฮยุ ซิงกากบั ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมใหม่ นักประวตั ศิ าสตรค์ นสําคญั ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในศตวรรษท่ี 20 คอื โยฮนั ฮุยซงิ กา (Johan Huizinga, 1872 -1945) ความสนใจของฮุยซงิ กาเรม่ิ จากวรรณกรรมและ ศิลปะเหมือนกับเบิร์คฮาร์ดท์ โดยได้ขยายไปสู่การทําความเข้าใจพฤติกรรม ความคิด ทศั นะและ ความรู้สกึ ส่ิงท่โี ดดเด่นในงานของฮุยซิงกาคอื การใช้ประโยชน์จากกรอบทฤษฏีสมยั ใหม่และการ วพิ ากษ์เชงิ วฒั นธรรม โยฮนั ฮุยซงิ กามพี ้นื เพจากการศึกษาด้านภาษาโดยเฉพาะสนั สกฤตและยุค อนิ เดยี โบราณ ต่อมาสนใจยุโรปยุคกลางและเรอเนสซองส์ พน้ื ฐานทางดา้ นภาษาและวรรณกรรม หน่ึง ในอิทธิพลสําคญั ต่อฮุยซิงกาคือแลมเปรคช์5960และเบิร์คฮาร์ดท์ ทงั้ ยงั รบั เอาแนวคิดว่าความรู้ทาง 58 ในปี 1999 มกี ารก่อตงั้ l' Association pour le développement de l'histoire culturelle (ADHC; The Association for the Development of Cultural History) 59 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 318. 60 ฮุยซงิ กาไดเ้ ขยี นบทความปรทิ รรศน์ประวตั ศิ าสตรเ์ ยอรมนั 6 เล่มของแลมเปรคช์ 40

DRAFTมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตรจ์ ากไฮน์รชิ รกิ เคริ ต์ (Heinrich Rickert) ท่เี ห็นว่าความรู้เก่ียวกบั วฒั นธรรมและสงั คมมรี ูปแบบท่แี ตกต่างจากความรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์6061 อีกทงั้ ยงั สอดคล้องกบั เบริ ์ค ฮารด์ ทต์ รงทเ่ี ปิดให้มุมมองจากนักประวตั ศิ าสตรเ์ ขา้ มามบี ทบาทในการตีความ6162 ขณะทก่ี ารศกึ ษา วฒั นธรรมในมติ ทิ างประวตั ศิ าสตรใ์ นช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 มที ศิ ทางไปตามการศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ “อารยธรรม” กล่าวคอื อธบิ ายววิ ฒั นาการและมุ่งค้นหากลไกท่ซี ่อนอยู่ในภาพใหญ่ของอารยธรรมตาม แบบของคารล์ แลมเปรคชแ์ ละเจมส์ ฮารว์ ี โรบนิ สนั ซง่ึ นกั ประวตั ศิ าสตรร์ นุ่ ต่อมาอยา่ งออสวอลด์ สเปงก์ เลอร์ (Oswald Spengler) และอารโ์ นลด์ เจ. ทอยน์ บี (Arnold J. Toynbee) ฮุยซงิ กาวจิ ารณ์การศกึ ษา ลกั ษณะดงั กล่าว ชว้ี ่าเป้าหมายของการศกึ ษาวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรไ์ ม่ใช่การสถาปนากฎสากลของ การเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรมหรอื การคน้ หาลกั ษณะเฉพาะของชนชาติ ฮุยซงิ กาชว้ี ่าการศกึ ษาทาง ประวตั ิศาสตรอ์ ยู่ทก่ี ารทําความเขา้ ใจความรูส้ กึ นึกคดิ ค่านิยมและรูปแบบทางวฒั นธรรมของยุคสมยั โดยฮุยซงิ การบั ว่าไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากทฤษฎขี องนักสงั คมวทิ ยาหลายท่านอาทเิ ช่น เอริ น์ ส์ต์ โทรเอลต์ช์ (Ernst Troeltsch), มารเ์ ซล โมส (Marcel Mauss), เอริ น์ สต์ ์ เบอรเ์ กส (Ernest W. Burgess), โบรนิ สลอว์ มาลนิ อฟสก้ี (Bronislaw Malinowski), คารล์ มนั น์ไฮม์ (Karl Mannheim), แมก็ ซิ เวเบอร์ (Max Weber) และจอรจ์ ส์ ซอเรล (Georges Sorel)6263 โดยเฉพาะในแง่มมุ ทางดา้ นจติ วทิ ยาสงั คม ทําใหง้ าน ของฮุยซงิ กามคี วามแตกต่างจากประวตั ศิ าสตรอ์ ารยธรรมในช่วงเวลานัน้ อย่างเหน็ ได้ชดั ทงั้ ในแง่ของ ขอบเขตทเ่ี ลก็ และกรอบทฤษฎใี นการทาํ ความเขา้ ใจวฒั นธรรม ใน The Waning of the Middle Ages (1919) ฮุยซงิ กาชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความเป็นพธิ กี ารและความ ละเมยี ดละไมในทางวฒั นธรรมทม่ี มี ากขน้ึ ในราชสํานักช่วงปลายสมยั กลาง ฮุยซงิ กาวจิ ารณ์การตคี วาม ยุคเรอเนสซองส์ของเบิร์คฮาร์ดท์ ซ่งึ แยกขาดยุคน้ีออกจากปลายยุคกลางอย่างมาก ยุคน้ีจงึ ไม่ใช่ ความสาํ เรจ็ ทางวฒั นธรรมตามทเ่ี บริ ค์ ฮารด์ ทเ์ สนอ หากแต่วรรณกรรมและศลิ ปะในยคุ นนั้ เป็นผลมาจาก กลไกป้องกนั ตนเองในทางความคดิ และทางวฒั นธรรม จากสภาวการณ์ของสงั คมภายนอกทร่ี นุ แรงและ 61 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 323. เป็นทน่ี ่าสงั เกตว่าขอ้ ถกเถยี งหลายชุดในวงวชิ าการ ปรชั ญาของกลุ่ม Neo-Kantian ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 และตน้ ศตวรรษท่ี 20 เกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ เร่อื งรูปแบบของความรูว้ ่าดว้ ย วฒั นธรรม ซง่ึ เป็นช่วงเวลาเดยี วกบั ความขดั แยง้ ในแวดวงวชิ าการดา้ นประวตั ศิ าสตร์หรอื Methodenstreit โดยหลายประเดน็ จะไปในทศิ เดยี วกบั กลุ่มของแลมเปรคซ์ แต่เน่ืองด้วยเสน้ แบ่งระหว่างสาขาวชิ าขาดจากกนั มากจงึ ไม่ได้ส่งผลกนั ในเวลานัน้ แต่เป็นประเดน็ ท่นี ัก ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมนอกเยอรมนั ใหค้ วามสนใจกบั ประเดน็ ทางดา้ นปรชั ญาว่าดว้ ยความรูท้ างประวตั ศิ าสตร์ ซ่งึ ต่อมาขอ้ ถกเถยี งจาก กลุ่ม Neo-Kantian มคี วามสาํ คญั ต่อปรชั ญาและทฤษฎปี ระวตั ศิ าสตรม์ าก 62 ยอหน์ รเู ซนกลา่ วถงึ ลกั ษณะอนั น้ีของเบริ ์คฮาร์ดทไ์ ว้ Rüsen, \"Jacob Burckhardt: Political Standpoint and Historical Insight on the Border of Post-Modernism,\" 241. 63 R. L. Colie, \"Johan Huizinga and the Task of Cultural History,\" The American Historical Review 69, no. 3 (1964): 608. 41

DRAFTทารุณมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ จากทงั้ สงครามและความยากแคน้ มองว่าเป็นภาวะอ่อนลา้ ทางวฒั นธรรม โหยหา อดตี และสน้ิ หวงั ต่อโลกภายนอก ผลผลติ ทางวฒั นธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในยุคน้ีจงึ เป็นผลจากการหนีโลกแห่ง ความจรงิ และสร้างเกราะกําบงั ทางจติ ใจ ฮุยซงิ กาช้ใี ห้เหน็ ถงึ ลกั ษณะทางความคดิ และทศั นคตใิ น ช่วงเวลาดงั กล่าวว่าเป็นลกั ษณะท่มี รี ่วมกนั ของยุคกลางตอนปลายและยุคเรอเนสซองส์ โดยเฉพาะ ค่านิยมและความรสู้ กึ ของชนชนั้ สูงในแงข่ องพธิ กี รรม ความเช่อื บรรยากาศทางวฒั นธรรมทเ่ี ก่ยี วเน่ือง กบั ราชสํานักเบอรก์ นั ดชี ่วงก่อนปฏริ ปู ศาสนา โดยลดทอนความสําคญั ของเหตุการณ์ทางการเมอื งและ สงครามเช่นเดยี วกบั เบริ ค์ ฮารด์ ท์ อกี ทงั้ ยงั ชว้ี ่าเบอรก์ นั ดไี ม่เคยมสี ถานภาพไปถงึ ระดบั เป็นรฐั รวมทงั้ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ขอ้ จาํ กดั ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรอ์ ธบิ ายว่าการเมอื งและเศรษฐกจิ เป็นสาเหตุหลกั การทฮ่ี ุยซงิ กา เหน็ ว่าสาเหตุหลกั มาจากภายในของมนุษยโ์ ดยพยายามชใ้ี หเ้ หน็ ภาพของระบบความรสู้ กึ นึกคดิ ภายใน ของคนยุคนัน้ ในลกั ษณะของภาพแทนเปรยี บเทยี บให้เห็นความขดั แย้งหรอื chiaroscuro เช่น สิง่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธกิ ์ บั สง่ิ ทางโลก ความโหดรา้ ยกบั ศรทั ธา กามารมณ์กบั ความรกั ในอุดมคติ ศกั ดศิ ์ รกี บั การถ่อม ตน การขม่ ใจกบั ความโลภ อศั วนิ กบั นกั บวช ชวี ติ กบั ความตาย ต่างจากนกั ประวตั ศิ าสตรท์ ศ่ี กึ ษายคุ ต้น สมยั ใหมแ่ ละเรอเนสซองสใ์ นช่วงศตวรรษท่ี 19 มกั จะเน้นใหเ้ หน็ ถงึ ค่านิยมดา้ นเสรภี าพและปจั เจกนิยม ของชนชนั้ กลาง ฮุยซงิ กากลบั ขบั เน้นประเดน็ เรอ่ื งความลําเคญ็ และความทารุณในชวี ติ ทค่ี ู่ขนานมากบั ผลผลติ ทางวฒั นธรรม ฮุยซงิ กาใหค้ วามสําคญั กบั ลาํ ดบั และการดําเนินไปของเหตุการณ์ค่อนขา้ งน้อย โดยมกั อภปิ รายแบบแผนและรปู แบบทางวฒั นธรรม รวมถงึ อารมณ์ความรูส้ กึ ทงั้ ในแง่ความปรารถนา และความวติ กกงั วลของมนุษยใ์ นยุคนนั้ 6364 ในบทแรกทช่ี ่อื “The Violent Tenor of Life” ฮุยซงิ กาใชภ้ าพ การผสมกนั ของกลน่ิ เลอื ดและกลน่ิ กุหลาบเพ่อื กล่าวถงึ ประสบการณ์และความรสู้ กึ ของผคู้ นในยุคนนั้ ทม่ี ี ความผันผวนสูงระหว่างความยนิ ดกี ับความหวาดกลัว ซ่ึงเป็นผลจากคุณค่าคู่ขนานระหว่างความ เคร่งครดั ทางศาสนาและความหมกมุ่นในการหาความสุขทางโลก ระหว่างความเกลยี ดชงั ทร่ี ุนแรงและ คุณธรรม6465 ในงานหลายๆชน้ิ ประเดน็ ทฮ่ี ุยซงิ กาสนใจทม่ี รี ่วมกนั คอื ทศั นคตขิ องชนชนั้ สูงในอดตี ทงั้ ในดา้ น อุดมคตแิ ละความรสู้ กึ นกึ คดิ ในยคุ ต้นสมยั ใหมท่ งั้ ในระบบอศั วนิ และราชสํานัก โดยคําทฮ่ี ุยซงิ กานํามาใช้ 64 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 324. 65 Johan Huizinga and Frederik Hopman, The Waning of the Middle Ages : A Study of the Forms of Life, Thought, and Art in France and the Netherlands in the Fourteenth and Fifteenth Centuries (Harmondsworth: Penguin, 1976), 25. So violent and motley was life, that it bore the mixed smell of blood and of roses. The men of that time always oscillate between the fear of hell and the most naive joy, between cruelty and tenderness, between harsh asceticism and insane attachments to the delights of this world, between hatred and goodness, always running to extremes. 42

DRAFTในการอภปิ รายถงึ แบบแผนและลกั ษณะทางวฒั นธรรม นอกจากจะใช้คําท่มี ใี นภาษาอ่นื เช่น “culture”, “civilization” และ “civility” ยงั ใช้คําภาษาดตั ช์ beschaving ซง่ึ มนี ัยของสงิ่ ภายในและความรูส้ กึ ของ มนุษย์รวมถึงมีนัยของความเป็นชนชัน้ สูง สุนทรยี ภาพและความละเมียดละไมมากกว่าคําท่ีมใี น ภาษาองั กฤษ ฮุยซงิ กายงั เน้นมติ ทิ างวฒั นธรรมทม่ี ชี วี ติ เป็นเอกเทศจากเศรษฐกจิ และการเมอื ง โดยให้ ความสําคญั กบั ความรูส้ กึ และจนิ ตนาการ เป็นการทําความเขา้ ใจความหมายต่อตวั มนุษยเ์ องและการ เขา้ ใจทศั นะและมมุ มองจากผคู้ นในยคุ สมยั นนั้ ๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั ทงั้ ในแงจ่ ติ สาํ นึกร่วมของสงั คม ความ กงั วล เพศสภาพ สญั ญะ รูปแบบทางภาษา พธิ กี รรม ความเช่อื อารมณ์ การรบั รูเ้ ร่อื งเวลาและความ บนั เทงิ เรงิ ใจ ซง่ึ รวมไปถงึ ความคดิ ในภาวะมสี ตแิ ละความรสู้ กึ นึกคดิ ในภาวะไรส้ ตหิ รอื ไรเ้ หตุผล ในบทความปี 1929 ฮุยซงิ กาชว้ี า่ จดุ มงุ่ หมายหลกั ของนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมคอื การอธบิ าย ถงึ ลกั ษณะเฉพาะทางความคดิ และการแสดงออกทางความรสู้ กึ ของยคุ ผา่ นศลิ ปะและวรรณกรรม ชอ้ี กี ว่า นักประวัติศาสตร์ควรทําความเข้าใจแบบแผนทางวัฒนธรรมโดยศึกษาสิ่งท่ีเรียกว่า “themes”, “symbols”, “sentiments” และ “forms”66 ซง่ึ คาํ ทฮ่ี ุยซงิ กาใชบ้ ่อยคอื “รปู แบบ” (“form”) เพ่อื อธบิ ายแบบ แผนทางวฒั นธรรม ฮุยซงิ กาใชค้ ําน้ีเพ่อื อธบิ ายถงึ รปู แบบทางภูมปิ ญั ญาทค่ี รอบคลุมวรรณกรรม ดนตรี และปรชั ญาแลว้ ยงั รวมไปถงึ ประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธใ์ นฐานะของรปู แบบหน่ึงของความรวู้ ่าดว้ ยอดตี ซง่ึ คํา ว่า “รูปแบบ” น้ีมนี ัยสําคญั ทางสุนทรยี ภาพและจนิ ตนาการ ในสายตาของฮุยซงิ กาแล้วประวตั ศิ าสตร์ ไม่ใช่การค้นหาแบบแผนความเป็นไป (speculative) แต่เป็นการทําความเขา้ ใจจนิ ตนาการและความ ปรารถนาของมนุษยผ์ ่าน “รปู แบบ” เหล่าน้ีใหเ้ หน็ “ภาพ” (“image”) หรอื “การเสนอเรอ่ื งราว” (“story- telling”) 67 การนําเสนอความรสู้ กึ นึกคดิ ในอดตี น้ีจะตอ้ งผ่านมมุ มองของนกั ประวตั ศิ าสตรเ์ องผ่านมติ ิ ทางการประพนั ธก์ ลา่ วคอื การวางเคา้ โครง ผกู เรอ่ื งและตอนอวสาน โดย “form” ทางประวตั ศิ าสตรน์ ิพนธ์ น้ีมสี ว่ นสําคญั ในการสรา้ งความเขา้ ใจของวฒั นธรรมในอดตี ผ่านอารมณ์ความรสู้ กึ ทส่ี ่งผ่านรปู แบบของ ขอ้ เขยี นทางประวตั ศิ าสตร์ ดงั ทฮ่ี ุยซงิ กาเปรยี บชว่ งเวลาต่างๆในประวตั ศิ าสตรอ์ เมรกิ าเหมอื นภาพละคร ฉากต่างๆ ในการเสนอมติ ขิ องความเป็นมนุษย์6768 โดนลั เคลลยี ์ (Donald Kelley) มองเหน็ ถงึ ลกั ษณะท่ี กล่าวมา กล่าวว่าเป็นประวตั ศิ าสตร์ท่มี าก่อนประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมปลายศตวรรษท่ี 20 ซ่งึ ให้ ความสาํ คญั กบั “ภาพแทน” (“representation”)69 แฟรงค์ แองเกอรส์ มทิ ชใ้ี หเ้ หน็ เช่นกนั ว่าประวตั ศิ าสตร์ 66 Johan Huizinga, Men and Ideas : History of the Midle Ages, the Renaissance (Eyre & Spottiswoode, 1960), 77-96. 67 J. Huizinga, \"History Changing Form,\" Journal of the History of Ideas 4, no. 2 (1943): 217-218. 68 Huizinga, \"History Changing Form,\" 221. 69 Kelley, Fortunes of History : Historical Inquiry from Herder to Huizinga, 326. 43

DRAFTวฒั นธรรมของฮยุ ซงิ กาเขา้ ใกลท้ ศั นะแบบโพสโมเดริ น์ ในแงท่ ใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั บทบาทของปจั จบุ นั ในแง่ ของ “ความรสู้ กึ สมั ผสั ทางประวตั ศิ าสตร”์ (“historical sensation”) จากมุมมองของปจั จุบนั ซง่ึ อาศยั มติ ิ ทางด้านอารมณ์ความรู้สกึ และสุนทรยี ภาพในการทําความเขา้ ใจประสบการณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ เป็น การอาศยั ประสบการณ์ดงั กลา่ วทาํ ลายกาํ แพงกนั้ ขวางอดตี กบั ปจั จบุ นั ลงชวั ่ คราว6970 แนวคดิ ว่าด้วยประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรมและแนวคดิ เก่ยี วกบั วฒั นธรรมชดั เจนมากยงิ่ ข้นึ จาก อทิ ธพิ ลของงานทางดา้ นสงั คมวทิ ยาในยุคนนั้ ใน Homo Luden (1938) ความสนใจกรอบความคดิ ทาง จติ วทิ ยาสงั คมและมลี กั ษณะของขอบเขตในลกั ษณะเป็นมานุษยวทิ ยา อกี ทงั้ ยงั มองขา้ มผ่านช่วงเวลา ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละอาณาบรเิ วณอยา่ งมาก โดยศกึ ษาวฒั นธรรม “การเลน่ ” ทงั้ การแสดง กฬี าและการ สรา้ งความบนั เทงิ ท่มี ลี กั ษณะร่วมกนั ในหลายวฒั นธรรม เหน็ ว่าเป็นองค์ประกอบสําคญั ในพฒั นาการ ทางวฒั นธรรม เป็นงานทฮ่ี ุยซงิ กาเสนอทฤษฎวี ่าดว้ ย “การเล่น” ว่ามหี น้าทอ่ี ยทู่ ข่ี วั้ ตรงขา้ มกบั แบบแผน ตามปกตขิ องชวี ติ ประจาํ วนั โดย Homo Luden ไดน้ ําประเดน็ สําคญั จาก The Waning of the Middle Ages ทส่ี นใจเรอ่ื งจนิ ตนาการและภาพลกั ษณ์ไปอภปิ รายในเชงิ ลกึ นอกกรอบเวลาทางประวตั ศิ าสตร์ 70 F. R. Ankersmit, \"A Phenomenomenology of Historical Experience,\" in History and Tropology : The Rise and Fall of Metaphor(Berkeley ; London: University of California Press, 1994), 208-209. Ankersmit อ้างองิ Huizinga, Men and Ideas : History of the Midle Ages, the Renaissance, 54. 44

DRAFT ประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมกบั ประวตั ิศาสตรส์ งั คม การขน้ึ มาของประวตั ศิ าสตรส์ งั คมสํานักอานาลส์ในฝรงั่ เศสและนกั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มใ์ น องั กฤษเป็นความทา้ ทายทส่ี าํ คญั ต่อวชิ าการประวตั ศิ าสตรก์ ระแสหลกั ท่ี เป็นประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งทใ่ี ห้ ความสําคญั กบั เอกสารราชการ นักประวตั ศิ าสตรส์ งั คมหนั มาสนใจหลกั ฐานทอ่ี ย่ชู ายขอบซง่ึ เป็นขอ้ มลู ในทางสงั คมระดบั ล่าง ซง่ึ นักประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาํ คญั นกั เช่น ขอ้ มลู จากทะเบยี นพธิ ี ศลี ล้างบาปจากโบสถ์ทอ้ งถน่ิ แผนผงั แบ่งเขตท่ดี นิ เอกสารบนั ทกึ รูปแบบต่างๆ เก่ยี วกบั คนธรรมดา เช่น เอกสารคดคี วามชาวนา เอกสารศาลศาสนา ฯลฯ นอกจากดา้ นหลกั ฐานแลว้ นักประวตั ศิ าสตรส์ งั คม ยงั นําเอากรอบทฤษฎีและวิธีการทางด้านสังคมศาสตร์เข้ามาร่วมบูรณาการกับการศึกษาด้าน ประวตั ศิ าสตร์ และส่วนหน่ึงส่งผลต่อความสนใจด้านวฒั นธรรมแมว้ ่าในช่วงแรกจะไม่ไดม้ ลี กั ษณะเป็น ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมเฉพาะดงั เช่นเบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละฮยุ ซงิ กา เน่ืองจากประวตั ศิ าสตรส์ งั คมทก่ี ล่าวมา แมจ้ ะให้ความสําคญั กบั มติ ิทางวฒั นธรรมแต่ก็ผูกอยู่กบั สงั คมและเศรษฐกิจอย่างมากโดยเช่อื ว่าเป็น รากฐานของความเปล่ยี นแปลงทางวฒั นธรรม การท้าทายจงึ ตกอยู่กบั ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรมอย่าง เลย่ี งไมไ่ ดแ้ มไ้ มไ่ ดม้ สี ถานะเป็นกระแสหลกั นักประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอย่างเบริ ค์ ฮารด์ ทแ์ ละฮุยซงิ กาถูกวจิ ารณ์ว่ามคี วามเป็นศาสตรห์ รอื เป็นวทิ ยาศาสตร์ไม่พอ ทงั้ เป็นประจกั ษ์นิยมต่ําเน่ืองจากใช้หลกั ฐานอย่างไม่เป็นระบบ รวมถึงขาด แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ป็นระบบ ถกู วจิ ารณ์วา่ มลี กั ษณะทใ่ี ชค้ วามรสู้ กึ ส่วนตวั ของผูศ้ กึ ษา ความเขา้ ใจลกึ ซง้ึ ใน การมองประวตั ศิ าสตรข์ องนกั ประวตั ศิ าสตรท์ งั้ สองกลายมาเป็นจุดทถ่ี ูกวจิ ารณ์มากทส่ี ุด โดยเป็นปญั หา ของประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมแบบคลาสสกิ ทถ่ี ูกตงั้ คาํ ถามอยา่ งต่อเน่ือง นักประวตั ศิ าสตรส์ งั คมรุ่นต่อมา จากหลายสํานักพยายามอย่างต่อเน่ืองเพ่อื อุดรอยรวั่ การศกึ ษาวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตร์ ทงั้ จากการ พฒั นาและหยบิ ยมื กรอบทฤษฎีจากสาขาอ่ืนๆ เช่น สงั คมวทิ ยา จติ วทิ ยา มานุษยวทิ ยา วรรณคดี วจิ ารณ์ ปรชั ญาและประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ รากฐานทางทฤษฎีและกรอบของนักประวัติศาสตร์สังคมทงั้ จากฝรงั่ เศสและมาร์กซิสม์ใน องั กฤษมผี ลอย่างสูงต่อความเข้าใจต่อมติ ิทางวฒั นธรรม แม้ว่าไม่อาจจดั ได้ว่าเป็นนักประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมแต่กไ็ ดส้ ่งผลถงึ นกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมรนุ่ ต่อมาอยา่ งมาก หลกั สําคญั ประการหน่ึงของนัก ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มแ์ ละสํานักอานาลสค์ อื การวจิ ารณ์การทน่ี ักประวตั ศิ าสตรใ์ หค้ วามสําคญั กบั ชน ชนั้ สูงหรอื ชนชนั้ ปกครอง ซ่งึ ปรากฏในงานของเบริ ค์ ฮารด์ ท์และฮุยซงิ กาท่ศี กึ ษาวฒั นธรรมชนั้ สูงเป็น หลกั นกั ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี นใจ “ประวตั ศิ าสตรจ์ ากเบอ้ื งล่าง” (history from below) จงึ หนั มาศกึ ษา วฒั นธรรมของผูค้ นระดบั ล่างทางสงั คม นักประวตั ศิ าสตรร์ ่นุ ใหม่ยงั วจิ ารณ์ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมยุค 45

DRAFTคลาสกิ ว่ามองฉาบฉวย หรอื ใช้ความรสู้ กึ มากรวมถึงใช้หลกั ฐานเช่นวรรณกรรมหรอื ภาพเหมอื นเป็น กระจกสะทอ้ นยุคสมยั นัน้ ๆ7071 โดยหลกั ฐานทอ่ี ้างมามกั ถูกนักประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี หน็ แยง้ กนั ชว้ี ่าเป็นเพยี ง เกรด็ ประวตั ศิ าสตรห์ รอื มหี ลกั ฐานท่แี ยง้ กนั นักประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งท่เี น้นหลกั ฐานมองว่าฉาบฉวย เน่ืองจากไมไ่ ดว้ พิ ากษห์ ลกั ฐานอยา่ งเป็นระบบแบบทฝ่ี า่ ยตนทาํ ส่วนนกั ประวตั ศิ าสตรม์ ารก์ ซสิ มแ์ ละนัก ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมมองว่าฉาบฉวยเน่อื งจากไมไ่ ดเ้ ช่อื มโยงกบั ขอ้ มลู ภาพกวา้ งสงั คมและเศรษฐกจิ หรอื ขาดความเช่อื มโยงกบั “รากฐานทางเศรษฐกจิ ” อกี ทงั้ วจิ ารณ์ทศั นะท่มี องว่าวฒั นธรรมมคี วามเป็นเน้ือ เดยี วกนั หรอื มเี อกภาพของยุค และมองขา้ มความขดั แยง้ หรอื การงดั งา้ งทางวฒั นธรรมระหว่างคนกลุ่ม ต่างๆ7172 ทฤษฏีและประวตั ิศาสตรว์ ฒั นธรรมช่วงครงึ่ แรกของศตวรรษท่ี 20 ในช่วงตน้ ศตวรรษท่ี 20 เป็นช่วงเวลาทเ่ี กดิ ความต่นื ตวั อยา่ งสูงในการทําความเขา้ ใจมนุษยใ์ น สภาวะสงั คมสมยั ใหม่ ส่วนหน่ึงมกี ารเสนอแนวคดิ วพิ ากษท์ างดา้ นวฒั นธรรมผ่านงานในสาขาต่างๆ เช่น สงั คมวทิ ยา จติ วทิ ยารวมไปถงึ ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห์ ซง่ึ ต่อมาสง่ ผลต่อการสรา้ งชุดความคดิ ทเ่ี กย่ี วเน่ืองกบั “ทฤษฎีทางวัฒนธรรม” ทัง้ ยงั ส่งผลต่อการศึกษาด้านวรรณคดีวิจารณ์ประวัติศาสตร์ศิลปะและ ประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรม งานสําคญั หลายช้นิ อยู่นอกวงวชิ าการด้านประวตั ศิ าสตรแ์ ต่ต่อมาส่งผลต่อ กรอบการวเิ คราะหด์ า้ นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมอยา่ งมาก นกั ประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งเช่นฮุยซงิ กาสนใจขอ้ ถกเถยี งทางด้านสงั คมวทิ ยาและจติ วทิ ยาสงั คมอยู่แล้วดงั ท่ไี ด้กล่าวมา แมท้ ฤษฎเี หล่าน้ีไม่ไดม้ ผี ลต่อ ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมในยุคนัน้ มากนกั แต่ในช่วงครง่ึ หลงั ของศตวรรษเหน็ ไดถ้ งึ การทป่ี ระวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมหนั ไปหาทฤษฎมี ากขน้ึ การทาํ ความเขา้ ใจภาพรวมทางความคดิ และทฤษฎที างวฒั นธรรมจงึ เป็นเรอ่ื งสาํ คญั ส่วนสําคญั ของแนวคดิ ว่าดว้ ยวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรม์ าจากงานศกึ ษาทางด้านสงั คมวทิ ยา ตอ้ งไมล่ มื วา่ พฒั นาการของสงั คมวทิ ยาตงั้ แต่ครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 19 เป็นตน้ มามลี กั ษณะสําคญั อยา่ งหน่ึง คอื มจี ดุ เรม่ิ ตน้ ในความสนใจต่อประวตั ศิ าสตรห์ รอื เป็นสงั คมวทิ ยาประวตั ศิ าสตร์ ทฤษฎที างสงั คมวทิ ยา พฒั นามาจากการศกึ ษารปู แบบสงั คมในช่วงเวลาต่างๆในประวตั ศิ าสตร์ แต่ไม่ใช่นักทฤษฎที ุกคนจะให้ 71 Burke. chapter 2 location 459 และ 468. เบริ ค์ ฮาร์ดทเ์ ป็นหน่ึงในคนสําคญั ทย่ี นื ยนั ลกั ษณะดงั กล่าวของประวตั ศิ าสตร์วฒั นธรรม ซ่งึ ฮยุ ซงิ กาเดนิ ตาม (ดหู น้า 24) 72 Burke. chapter 2 location 512. งานชน้ิ สาํ คญั ทว่ี พิ ากษ์ลกั ษณะน้ีคอื บทความของทอมป์สนั “Custom and Culture” (1978) Edward Palmer Thompson, Customs in Common (New York: New Press, 1991). 46

DRAFTความสาํ คญั กบั มติ ทิ างวฒั นธรรมหรอื ความคดิ นัก ส่วนหน่ึงใหค้ วามสําคญั กบั ระบบเศรษฐกจิ เพราะเช่อื ว่าเป็นท่ีมาของทุกสิ่งดังนัน้ ความเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมจึงเป็นเพียงผลลัพธ์ จุดสําคัญของ การศกึ ษาจงึ อยทู่ ก่ี จิ กรรมหรอื สถาบนั ทางเศรษฐกจิ ทส่ี ่งผลต่อรปู แบบทางสงั คมดงั ทป่ี รากฏในขอ้ เขยี น ของคารล์ มาร์กซ์ (Karl Marx)7273 นักสงั คมวทิ ยาท่อี ยู่ขวั้ ตรงข้ามกบั มาร์กซ์อย่างเช่นเวบเบอร์จงึ มี อิทธิพลต่อนักสังคมวิทยาประวัติศาสตร์และนักประวัติศาสตร์สังคมในช่วงคร่ึงแรกของศตวรรษ โดยเฉพาะผทู้ ส่ี นใจมติ ทิ างวฒั นธรรม เน่อื งจากเวบเบอรใ์ หค้ วามสาํ คญั กบั วฒั นธรรมและค่านิยมว่าเป็น ปจั จยั สําคญั ท่กี ําหนดรูปแบบทางสงั คม ใน Die protestantische Ethik und der Geist des Kapitalismus (1904; The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism) ซง่ึ สงิ่ ทเ่ี วบเบอรเ์ รยี กว่า “จรยิ ศาสตรแ์ บบโปรเตสแตนท”์ นัน้ หมายรวมถงึ ประเพณแี ละวฒั นธรรมในทางความคดิ ดว้ ย เวบเบอร์ วเิ คราะห์รากฐานทางวฒั นธรรมของระบอบทุนนิยมในยุโรปตะวนั ออก กล่าวถงึ ความเปลย่ี นแปลงทาง เศรษฐกจิ ดว้ ยการอธบิ ายถงึ รากฐานทางวฒั นธรรมและคา่ นยิ มทม่ี รี ว่ มกนั นักสงั คมวทิ ยาท่ใี หค้ วามสนใจต่อรูปแบบวฒั นธรรมในประวตั ศิ าสตรอ์ ย่างจรงิ จงั คอื นอรเ์ บริ ต์ เอเลยี ส (Norbert Elias) นักสงั คมวทิ ยาชาวเยอรมนั ซ่งึ นอกจากเวบเบอร์แล้วยงั ได้รบั ทฤษฎีจติ วเิ คราะหข์ องซกิ มนั ฟรอยด์ (Sigmund Freud) โดยเฉพาะจาก Civilization and Its Discontent (1930) ทก่ี ล่าวถงึ การทม่ี นุษยต์ ้อง “กดเกบ็ ” (repression) สญั ชาตญาณท่ดี บิ เถ่อื นและก้าวรา้ ว ว่าเป็นส่วน สาํ คญั ในการทม่ี นุษยเ์ ขา้ ส่กู ารมอี ารยธรรม อกี ทงั้ วางอยบู่ นขอ้ ถกเถยี งทฮ่ี ุยซงิ กาเสนอไว้ ใน Über den Prozeß der Zivilisation (1939; The Civilizing Process) ซ่งึ เป็นการศกึ ษาทางสงั คมวทิ ยา ประวตั ศิ าสตรว์ ่าดว้ ยมารยาทในอารยธรรม ซง่ึ โดยสาระสําคญั จดั ได้ว่าเป็นประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เอ เลยี สพยายามอธบิ ายทฤษฎกี ารเขา้ สู่ความมอี ารยธรรม เหน็ ว่าเป็นกระบวนการระยะยาวทส่ี ่งผลต่อการ เปลย่ี นกรอบวา่ ดว้ ยบคุ ลกิ มารยาทและการปฏบิ ตั ติ น ขณะทเ่ี วบเบอรศ์ กึ ษาปรากฏการณ์ “calling” (Beruf) ในทางโลกของสาขาอาชพี ซง่ึ มรี ากฐาน มาจากคุณค่าและวฒั นธรรมแบบโปรเตสแตนท์ ซ่งึ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษากระบวนการเข้าสู่ “ศวิ ไิ ลซ์” ของยุโรปผ่านการจดั ระเบยี บในตวั ตนผ่านวนิ ัยในการประกอบสมั มาอาชพี ส่วนเอเลยี สมอง กระบวนการสู่อารยะเป็นการจดั ระเบยี บเช่นกนั ผ่านการข่มตน ควบคุมตวั เองและมารยาทในช่วงปลาย สมยั กลางมาถงึ ศตวรรษท่ี 19 โดยศกึ ษาผ่านหนงั สอื สอนการวางตนของขา้ ราชบรพิ ารในราชสํานักและ 73 แนวคดิ ของมารก์ ซ์จะมผี ลต่อประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมค่อนขา้ งชา้ คอื ในช่วงครง่ึ หลงั ศตวรรษท่ี 20 ซง่ึ เป็นผลมาจากการทบทวนงานของ มาร์กซ์ของนักประวตั ศิ าสตร์สงั คม รวมไปถงึ สาขาวฒั นธรรมศกึ ษา (cultural studies) ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหม่ในองั กฤษดว้ ย (ผ่านแกรมซ)ี ซง่ึ จะ กลา่ วต่อไป 47

DRAFTหนังสือคู่มอื มารยาททางสังคม เอเลียสช้ีว่าในช่วงปลายสมยั กลางแต่ต้นสมยั เรอเนสซองส์มกี าร เปล่ยี นแปลงทางกระบวนทศั น์ว่าดว้ ยการควบคุมตนเองอย่างชดั เจน7374 โดยการเปลย่ี นแปลงดงั กล่าว เป็นผลมาจากการแตกตวั ทางสงั คม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยแี ละการเพม่ิ ขน้ึ ของการแข่งขนั นํามา ซง่ึ การก่อรปู ของระบบรฐั ทม่ี อี ํานาจรวมศูนย์ และระบบเศรษฐกจิ ทใ่ี ชเ้ งนิ เป็นส่อื กลางในการแลกเปลย่ี น เอเลยี สลดบทบาทของปจั จยั จากศาสนาและค่านิยมทางความคดิ มาสนใจปจั จยั ทางสงั คมและเศรษฐกจิ อกี ทงั้ ยงั มองในมติ ทิ างวฒั นธรรมทซ่ี บั ซอ้ นมากยง่ิ ขน้ึ ผา่ นจติ วทิ ยาในระดบั ปจั เจก ซง่ึ ไดแ้ ก่กรอบว่าดว้ ย มารยาทและการควบคมุ ทางอารมณ์ ซง่ึ ส่วนหน่ึงเป็นการอภปิ รายต่อจากฮุยซงิ กาซง่ึ สนใจทผ่ี ลผลติ ทาง วฒั นธรรมชนั้ สงู เช่นวรรณกรรมและศลิ ปะ เอเลยี สสนใจทพ่ี ฤตกิ รรมพน้ื ฐานเช่น มารยาทว่าดว้ ยการกนิ การขบั ถ่าย พฤตกิ รรมทางเพศและปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม ซง่ึ เปล่ยี นไปเน่ืองจากเสน้ แบ่งว่าสงิ่ ใดน่าอบั อายหรอื น่ารงั เกยี จเปลย่ี นแปลงไป เอเลยี สใชค้ าํ วา่ “habitus” ซง่ึ เป็นดา้ นหน่ึงของวฒั นธรรมทฝ่ี งั รากอยู่ ในวถิ ปี ฏบิ ตั ติ ่างๆ ทแ่ี สดงออกทางร่างกายในชวี ติ ประจาํ วนั เช่นความคุน้ เคยในการกระทาํ บางอยา่ งท่ี ทําโดยไม่ได้นึกรตู้ วั ดงั ท่กี ล่าวมาขา้ งต้นรวมถงึ ธรรมเนียม นิสยั และรูปแบบทางอารมณ์บางอย่างของ ปจั เจก กลุ่มคนหรอื ชนชาติ7475 งานของเอเลยี สเป็นอทิ ธพิ ลสําคญั ต่อนักประวตั ศิ าสตรฝ์ รงั ่ เศสสํานักอา นาลส์ในรุ่นทส่ี าม ซ่งึ หนั หลงั ให้การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ งั คมเชงิ ปรมิ าณ หนั ไปศกึ ษาวฒั นธรรมและ ความรสู้ กึ นึกคดิ ภายใต้ histoire des mentalités เน่ืองจากงานของเอเลยี สไดร้ บั ความสนใจขน้ึ ใหม่ใน ทศวรรษท่ี 1970 หลงั จากทอ่ี ยชู่ ายขอบมานาน7576 นอกจากสงั คมวทิ ยาแลว้ สาขาทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมคอื ประวตั ศิ าสตร์ ศลิ ปะ ซง่ึ ในชว่ งตน้ ศตวรรษท่ี 20 เป็นสาขาทม่ี ที ท่ี างของตนเองเขม้ แขง็ แลว้ ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะในเวลา นัน้ ใหค้ วามสําคญั กบั การตคี วามสญั ลกั ษณ์หรอื ร่องรอยในงานศลิ ปะ โดยรบั อทิ ธพิ ลจากกรอบทฤษฎี จากจติ วทิ ยา ปรชั ญาและมานุษยวทิ ยาในการวเิ คราะหค์ วามหมาย อกี ทงั้ ยงั ลงลกึ ในเชงิ รายละเอยี ด ให้ ความสาํ คญั กบั ทศั นะและคุณค่าทซ่ี บั ซอ้ น รวมถงึ การสบื ทอดแบบแผนทางความคดิ ผ่านขนบในการส่อื ความหมายในการสรา้ งงานศลิ ปะ การรบั รแู้ ละอารมณ์ความรสู้ กึ ซง่ึ เป็นลกั ษณะสาํ คญั ของประวตั ศิ าสตร์ 74 Norbert Elias, The Civilizing Process : Sociogenetic and Psychogenetic Investigations, trans., Edmund Jephcott, Revised ed. (Oxford, U.K.: Blackwell, 2000), 478. 75 แนวคดิ ลกั ษณะน้ีปรากฏในขอ้ เขยี นของเวบเบอรเ์ ชน่ เดยี วกนั โดยใชค้ าํ ว่า Eingestelltheit ซ่งึ อาจไดว้ ่า “disposition” ต่อมาบูร์ดเิ ยอใช้ คาํ ว่า habitus มาอธบิ ายจนเป็นแนวคดิ หลกั ทางสงั คมวทิ ยาอนั หน่ึง 76 Über den Prozeß der Zivilisation ถูกนํากลบั มาตพี มิ พใ์ หมใ่ นปี 1969 แปลเป็นภาษาองั กฤษและตพี มิ พ์ส่วนแรกและส่วนท่ี 2 ในปี 1978 และ 1982 ตามลาํ ดบั ภาษาฝรงั่ เศสตพี มิ พ์ ในปี 1974 และ 1975 ซง่ึ ขณะนนั้ เป็นช่วงเวลาสาํ คญั ของประวตั ศิ าสตรส์ าํ นักอานาลสท์ ่ี หนั ไปสนใจ mentalités 48

DRAFTศลิ ปะ ดงั เช่น เอบี วอรเ์ บริ ก์ (Aby Warburg), แอรน์ ส์ กอมบรชิ (Ernst Gombrich) และ เออรว์ นิ พา นอฟสกี (Erwin Panofsky) ทศวรรษท่ี 1920 และ 1930 เป็นยุครงุ่ เรอื งของส่อื สารมวลชนหรอื mass media ส่อื ใหมเ่ ชน่ ทงั้ ภาพยนตร์ ดนตรี ภาพถ่ายรวมถงึ ความกา้ วหน้าของเทคโนโลยกี ารพมิ พน์ ิตยสาร ภาพ รวมไปถึงลทั ธบิ รโิ ภคนิยมท่ภี าพลกั ษณ์ (image) มบี ทบาทสําคญั ดงั ท่วี อลเตอร์ เบนจามนิ (Water Benjamin) ชว้ี ่าเป็น “ยุคของส่อื ผลติ ซ้ํา” (age of mechanical reproduction) นกั วชิ าการใน สาขาต่างๆจงึ ใหค้ วามสนใจต่อมติ ทิ างความหมายและการรบั รผู้ ่านผลผลติ ทางวฒั นธรรมมาก อกี ทงั้ การ ค้นคว้าทางจติ วทิ ยาและความแพร่หลายของทฤษฎีจติ วิเคราะห์เป็นแรงส่งอย่างดตี ่อการศึกษามติ ิ ของสญั ญะ ภาพลกั ษณ์และความหมายในประวตั ศิ าสตร์ นอกจากทฤษฎจี ากสงั คมวทิ ยายุคคลาสสกิ สาขาสงั คมวทิ ยาความรู้ (sociology of knowledge) ทแ่ี พรห่ ลายจากยโุ รปตอนกลางตงั้ แต่ทศวรรษท่ี 1920 ทย่ี งั ส่งอทิ ธพิ ลในเชงิ ทฤษฎตี ่อประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม โดยส่งอทิ ธพิ ลในวงกวา้ งจากการอพยพ ออกของนักวชิ าการเพ่ือหลบหนีจากการคุกคามของนาซี ความสนใจทางด้านสญั ญะ จติ วทิ ยาและ ปรชั ญาทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การตคี วามเป็นทส่ี นใจในทศวรรษท่ี 1920 และ 1930 โดยเฉพาะจากนกั วชิ าการ สาขาวรรณคดี ปรชั ญา มานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ความคิด โดยเฉพาะการให้ความสําคัญ กบั สญั ญะในแง่มุมทางวฒั นธรรม อาทเิ ช่นงานของแอรน์ ส์ คานโตโรวซิ (Ernst Kantorowicz) นัก ประวตั ศิ าสตรช์ าวเยอรมนั 7677 และ The Individual and the Cosmos in Renaissance Philosophy (1927) ประวตั ศิ าสตรป์ รชั ญาของแอรน์ ส์ คาสซเิ รอร์ (Ernst Cassirer) นกั ปรชั ญาชาวเยอรมนั ในช่วงเวลาดงั กล่าวความสนใจต่อมติ ทิ างวฒั นธรรมยงั ปรากฏในงานศกึ ษาประวตั ศิ าสตรอ์ ารย ธรรมสําคญั หลายชน้ิ โดยใชค้ ําว่า “civilization” แทนท่จี ะใช่คําว่า “culture” เน่ืองจากเป็นงานทส่ี นใจ ภาพรวมของอารยธรรมทงั้ ในแงก่ ารเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม เช่น Study of History (1934-61) ของอา โนลด์ เจ ทอยน์ บี (Arnold J. Toynbee); The Rise of American Civilization (1927) โดยชารล์ ว์ และ แมร่ี เบยี รด์ (Charles และ Mary Beard) และ The Making of Europe (1936) โดยครสิ โตเฟอร์ ดอวส์ นั (Christopher Dawson) นักประวตั ศิ าสตรอ์ กี กลุ่มท่สี นใจต่อมติ ทิ างวฒั นธรรมคอื กลุ่มนักประวตั ิศาสตร์ภูมปิ ญั ญาและ ประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ ซง่ึ ในทศวรรษท่ี 1920 และ 1930 มอี ยใู่ นโลกวชิ าการองั กฤษและอเมรกิ า เช่น กลุ่มประวตั ศิ าสตรค์ วามคดิ ของอาเธอร์ เลฟิ จอย (Arthur Lovejoy) ท่มี หาวทิ ยาลยั จอห์น ฮอปกนิ ส์ 77 งานในช่วงแรกของ Kantorowicz เช่น Kaiser Friedrich der Zweite (1927) และ Das Geheime Deutschland (1933) รวมถงึ งานช้นิ สาํ คญั ในช่วงหลงั อย่าง The King's Two Bodies (1957) 49