(๑) โสกะ คือ ความโศกเศร้า แห้งใจ (๒) ปริเทวะ คือ ความครํ่าครวญรำพัน (๓) ทุกฃะ คือ ความทุกขกาย (cr) โทมนัส คือ น้อยไจ (๕) อุปยสะ คือ ความท้อใจ ตรอมใจกลุ้มใจ (๖) อัปปิเยหิ ลัมปโยคะ คือ ความประสบสิ่งอันไม่ เป็นที่รัก ชังหน้า (<?/) ปีเยหิ วิปปโยคะ คือ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และเป็นห่วง (cr) อาลภะ คือ ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ตามนั้น พระพุทธองค์ทรงรู้วิธืแก้ไขทุกข์ทุกอย่าง จึงทรงสั่งสอน อบรม เคี่ยวเข็ญให้เราทำตามมงคลขืวิตมาเป็นขั้นๆ เพื่อกำจัด ทุกข์อันเกิดจากกิเลสมาเป็นลำดับ ^ ผลจากการปาเพ็ญตบะเพื่อเผากิเลสในรูปแบบต่างๆ ให้ วอดวายด้วยการอยู่ธุดงค์ และอินทริยลังวรเป็นประจำ และปลูก ฝังคุณธรรมต่างๆ ลงไปด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ เช่น งดเสพเมถุน บรรพชา ปาเพ็ญเพียรสมาธิต่อเนื่องกันตลอดซืวิต และปฏินัติมรรคมืองค์ ในที่ลุด ผลแห่งความเพียรก็ออก คือ เห็นอริยลัจ พ้นทุกข์ ก้าวเข้าลู่ความสุขอันแท้จริงตามพระบรม ศาสดา «๑C เป็ดใบ่อ่านความอุๆ.- ~ -
อริยสัจ แปลได้หลายนัย คือ (๑) ความจริงอันประเสริฐ (๒) ความจริงของท่านผู้ประเลริฐ (๓) ความจริงอันท่าให้บุคคล เป็นผู้ประเสริฐ ความหมายของเห็นอริยสัจ ก็ คือ เห็นความจริงอัน ประเสริฐที่ท่าให้ผู้นั้นพ้นทุกข์ได้ ได้แก่ เห็นทุกขอริยสัจ สมุทัย อริยสัจ นิโรธอริยสัจ และมรรคอริยสัจ อริยสัจ <£ ประการ เป็นหัวใจ หรือแม่บทของพระพุทธ ศาสนา เพราะเมื่อเห็น-รูอริยสัจแล้ว จึงเป็นเหตุให้รู้อย่างอื่น ตามมา บันไ#!รั้นทั๋ ๓0 ะ เหนอรยสจ «©๙
ร- .0 Galeandra devoniano
บันไดขนที่ ๓(ร: ทำ พระนิพพานให้แจ้ง c มีที่ไหนในโลกบ้างที่ทุกข์เข้าไปไม่ถึง ? ไม่มื ทำ ไมเจ้าชายสิทธัตถะจึงออกบวช ? จะหาที่ที่ทุกข์เข้าไป ไม่ถึง แล้วพบไหม ? พบแล้ว แล้วที่นั้นอยู่ที่ไหน ? นิพพาน แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน? นั้นซี จึงต้องมาศึกษาเรื่องนี้กัน นิพพาน แปลว่า ความดับ ศึอดับกเลล ดับทุกข์ นิพพาน แปลว่า ความพ้น คือ พ้นทุกข์ พ้นจากภพลาม และยังแปลไต้อึกหลายอย่าง 9rบันไพขั๋นท fftr ; ท่าพระนิพพานใฟ้แจัง «๒ร) 0
โดยความหมาย นิพพานหมายความได้ ๒ นัยยะใหญ่ๆ คือ ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานเป็น ได้แก่ นิพพาน ของพระอริยเจ้า ผู้ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมืชีวิตอยู่ เพี่อทำประโยชน์แก่สัตวโลกต่อไป ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานตาย ได้แก่ นิพพาน ของพระอริยเจ้า ผู้หมดกิเลสแล้วโดยสิ้นเซิง และขันธ์ ๕ ก็แตกสลายด้วย หมดภาวะแห่งการสืบต่อทาง ร่างกายและจิตไจ เป็นธรรมขันธ์ล้วนๆ พระนิพพานอยู่ที่ไหน ? ในกายมนุษย์ มืธรรมภายใน ในธรรมภายใน มีนิพพาน ^abb เปิดไปอ่านความสุข - —
c?—^ Psittacanthus cinctus
บันไดขั้นที่ ๓๕ V,\" , I T จิตไม่หวันไหวด้วยโลกธรรม c จิต คือ ธรรมชาติคิดอยู่ในตัวคนเป็นๆ และสามารถสั่งสม อารมณ์ไว้ได้ หวั่น คือ วิตก กังวล กลัว เพราะความไม่ชอบ ไหว คือ ปรารถนา อยากได้ เพราะความชอบ โลกธรรม คือ เรื่องที่มีอยู่ประจำโลก ใครๆ ก็หลืกเลี่ยง ไม่ได้ จิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม หมายถึง จิตใจเป็นอุเบกขา วาง เฉยได้ มีความมั่นคง หนักแน่น เมื่อเรื่องไม่ขอบใจมากระทบ สามารถเฉย ไม่หวั่น หรือเมื่อเรื่องชอบใจมากระทบ ก็เฉย ไม่ไหว มีความไม่ยินดียินร้ายอยู่เป็นธรรมดา ด้วยความรู้เท่าทันว่า มัน ก็ แค่นั้นเอง บันไทขั้นท ๓4:: จิตไม่พวั่นไหวด้วยโลกธร?บ «๒^
โลกธรรม หรือเรื่องที่รอยู่ประจำโลกนี้ มื ๒ ฝ่าย คือ ๑. ฝ่ายที่ทำให้ใจไหว ได้แก่ ลาภ. ยศ, สุข, สรรเสริญ โลกธรรม cr ประการนี้ เป็นเรื่องที่คนทั่วไปชอบ เพราะรู้ ไม่ทันสภาวะของมันว่าไม่จืรัง คนทั่งหลายจึงแสวงหา หาได้ก็หวง หวงมากก็ห่วง ๒. ฝ่ายที่ทำให้ใจหวั่น ได้แก่ เสื่อมลาภ, เสื่อมยศ, ได้ ทุกข, นินทา โลกธรรม (ร: ประการนิ ไม่มีใครขอบ ทั่งเกลืยด ทั่งกลัว เมื่อมันยังไม่มากระทบก็หวั่นวิตกว่าจะถูกกระทบ ถูกกระทบ แล้วก็หวั่นว่าจะเลืยหาย แม้ผ่านไปแล้วก็หวั่นว่าจะกลับมาอึก แต่ทั่ง C? สิ่งนี้ก็ดี รวมทั่งสรรพสิ่งทั่งหลายในโลกนี้ก็คื มี ลักษณะประจำอยู่ ๓ ประการ เรืยกว่า ไตรลักษณ์ คือ ๑. อนิจจตา คือ ความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะมีวิญญาณครอง หรือไม่มีวิญญาณครอง ล้วนไม่หยุดอยู่กับที่ เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ย่อมครํ่าคร่า ทรุดโทรม ผุพังไปเป็นธรรมดา ขึ้นๆ ลงๆ ๒. ทุกขตา คือ ความเป็นทุกข์ ด้องแตกดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรอยู่คํ้าฟ้า ๓. อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน คือ หาตัวตนแท้จริง ไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ว่าจงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เป็นไปตามความพอใจ v(^๑๒๖ เปิดไปอ่านความสุข -\"
คนทั้งหลายมองไม่เห็นไตรลักษถร จึงลุ่มหลงยินดืยินร้าย หวั่นไหวในโลกธรรม ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ตลอดมา พระอริย เจ้าเห็นธรรมภายใน ซึ่งมีลักษณะ นิจจัง คือ เทียง สุขัง คือ เป็นสุข อัตตา คือ เป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นธรรมชาติทีอยู่เหนือกฎไตรลักษถร เห็นพระนิพพานว่าเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา จึงไม่ใยดืในโลกธรรม ไม่ขุ่นมัว หลงใหล ในโลกธรรม แต่จดจ่ออยู่ในนิพพานเป็นในตัว ของท่าน เพราะฉะนั้น เรื่องประจำโลก CS ประการนิ ทุกคนในโลก ต้องเจอทุกคน หลีกเลี่ยงไม่ไต้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือเป็น พระอริยเจ้า ต่างกันแต่ว่าคนธรรมดาเจอแล้วใจย่อมหวั่นไหว เพราะรู้ไม่เท่าทัน ส่วนพระอริยเจ้าเจอแล้วกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ หวั่นไหวตาม บันไดขั้นทั๋ a>4:: จิตไม่ฬวั่นไทวด้วยโลกรรรม ๑!!พ!' —ง
ๆ^^ ดกไก่ Prismatomeris tetrandra(Roxb.) K. Schum.
บันไดฃั้นที่ ๓๖ 9r -<ว จิตไมโศก โลกธรรม C ทุกคนต้องเจอ หลีกเลืยงไม่ได้ แต่ผู้บรรลุ นิพพานแล้ว ถึงเจอโลกธรรมฝ่ายที่ทำให้ใจหวั่น (อนิฏฐารมณ์) ก็ไม่หวั่นกับความเสื่อมเหล่านันถึงเจอโลกธรรมฝ่ายห้ทํ^ให้ใ'^ไ'^'^ (อิฏฐารมณ์) ก็ไม่ไหวกับความสุขจอมปลอม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ๑. อนิจจัง คือ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยง ไม่ยอม คงที่ ๒. ทุกขัง คือ ต้องแตกทำลายไปแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่คงทนคํ้าฟ้าอยู่ ๓, อนัตตา คือ เอาจริงๆ เข้าแล้ว ไม่มีตัวตนที่แน่นอน และบังคับบัญชาให้ได้ตามใจก็ไม่ได้ ตรงข้ามกับ นิพพาน ซึ่งนิจจัง ลุขัง อัตตา cvบันไฬั้นท trb จดไม่โคก fttorf ว
แต่มือืกเรืองหนง ซึงไม่จำเป็นต้องเจอ แต่คนก็ยังดินรน ไปคว้า ไปดิดเหยื่อ ติดยางเหนียว ทืแรกคว้าไต้มาก็ชื่นใจ แต่ มันอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนัน ถึงเวลามันก็ไม่ยอมอยู่ ด้วย เลยต้องแห้งเทียวใจ ลิงนัน คือ ความรัก แต่ผู้บรรลุนิพพานแล้ว ท่านไม่สนใจ ท่านจึงไม่แห้ง ไม่เหี่ยวกับใคร ท่านไม่รักอะไรๆ แต่รักนิพพาน จิตโศก แปลว่า จิตที่แห้งผาก เหมือนดินแห้ง ใบไม้แห้ง หมดความชุ่มชื่น หมายความว่า จิตที่ถูกกระทบด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งอันไม่น่า ปรารถนา แล้วทำให้เศร้า แห้งผากภายใน เกิดอาการทางจิตขึ้น ทำ ให้จิตเหี่ยวแห้ง มืความหม่นไหม้ภายใน มืความเกรืยม มื การละห้อยหา 'จิตเมือโศกแล้ว จึงไม่ควรแก่การงาน มักทำอะไรไม่ไต้ ถึง ไต้ก็ไม่ดิ เหมือนคนป่วยปางตาย ย่อมไม่ควรแก่การงานใดๆ เลย ^ ...๑๓๐ ฟ้ตไปอ่านความลฺใเ
.cVd รองเท้านารืเหลองเลย PapNopedilum hirsutisslmum (Lindl, & Hook.)stein
บันไดขั้นทื่ ๓๙ จิตหมดฮลี C ธุลื แปลว่า ฝ่นละอองที่ละเอียดมากๆ เกือบมองด้วยตา เปล่าไม่เห็น แต่เมื่อมันปลิวมาเกาะที่ฃองใลสะอาด เข่น กระจกเงา แล้วจึงเห็น แต่ล้าบังเกาะไม่มากมัก ก็บังไม่เห็น ที่เห็นมันได้ เพราะมันทำให้ความผุดผ่อง ความใสละอาดเลียไป จิตมืฐุลี คือ จิตที่มืกืเลสอย่างละเอียด เข้าไปแทรกซึม เกาะ อยู่เต็ม ทำ ให้จิตเศร้าหมอง หมดรัศมื หมดความกระจ่าง หมด ประกาย เลียประลิทริภาพในแง่อื่นๆ ตามมา เข่น คิดได้ข้า คิด ได้แต่เรื่องร้ายๆ คิดอะไรไม่ออก จิตหมดธุลี คือ จิตที่หมดกืเลลแล้วทั้งหยาบและละเอียด ทำ ให้จิตละอาด ผ่องใส นุ่มนวลควรแก่การงาน(งานของจิต คือ คิด) ได้แก่จิตของพระอรหันต ธุลีในจิต ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ lIlAfWVl mo: จิตVIมพรฺสิ ๑8101 ' — - -ข้ว
ราคะ คือ ความกำหนัดยินดี เป็นกิเลสอย่างละเอืยดฝัง อยู่ในจิตใจคนเรา ได้แก่ความรู้สึกชอบใจในรูป รส กลิ่น เลืยง สัมผัส และอารมณ์ กิเลสชนิดนี้ ไม่เป็นบาปกรรม หรือเป็น ความชั่วร้ายสำหรับสามัญชนทั่วไป แต่ถ้าไม่ควบคุมจิตไว้ให้ได้ ราคะจะกำเริบขึ้น กลายเป็นกิเลสที่หยาบมากยิ่งขึ้น จนถึงกับ ทำ ไห้ตัดสินไจทำบาปกรรม เพราะลุอำนาจแห่งความกำหนัด ยินดีนัน โทสะ คือ ความคืดร้าย ได้แก่ ความคิดทำลายผู้ที่ทำไห้ ตนโกรธ เช่น คิดจะต่า คิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะเผาบ้าน คิด จะทำไห้อาย ฯลฯ โมหะ คือ ความหลง เป็นอาการที่จิตมืดมน ไม่รู้จักผิดชอบ ชั่วดี ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่างๆ ไม่ใช่โมหะ แต่คนที่มืความรู้วิทยาการมากมายเพียงได แต่จิตไจไม่รู้บุญบาป คุณโทษ ก็ชื่อว่าตกอยู่ไนโมหะ ความแตกต่างชองราคะ โทสะ โมหะ คือ ราคะ - มืโทษน้อย แต่คลายช้า โทสะ - มืโทษมาก แต่คลายเร็ว โมหะ - มืโทษมาก และคลายยาก «๓*r ฟ้ดไปอ่านความสุข C -—
cr .p ว C- บัวหลวง Nelumbo nucifera
บันไดฃั้นที่ ๓CJ - -จ จิตเกษม ทันทืทืลืมตามาดูโลก เราก็ต้องผจญภัยชนิดทื พร้อมจะเอา ให้ถึงตายอยู่ทุกวินาที เหมือนว่ายนาอยู่กลางทะเลมหาโหดที่มืด มิดอยู่ตลอดเวลา ภัยในโลกนี้ แบ่งออกเป็น ๒ บ่ระเภท ๑. ภัยภายใน ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ไต้ เบื้องหน้า มืมรณภัย คือ ภัยจากความดายรออยู่ เบื้องหลัง มีชาติภัย คือ ภัยจากการเกิดรออยู่ เบื้องซ้าย มีชราภัย คือภัยจากความแก่รออยู่ เบื้องขวา มีพยาธิภัย คือภัยจากความเจ็บรออย่ Orบันใดขั้นทิ่ snc ะ ร็ตเกษม erne/ ว
๒. ภัยภายนอก มืนับไม่ถ้วน เช่น ภัยจากคน ได้แก่ ผัวร้าย เมืยเลว ลูกชั่ว นายชัง เพื่อนพาล ภัยจากธรรมชาติ ได้แก่ นํ้าท่วม ไฟไหม้ แผ่นตินไหว ภัยจากบาปกรรมตามทัน ได้แก่ การถูกดามล้างตาม ผลาญด้วยเคราะห์กรรมทุกรูปแบบ ภัยทั้ง ๒ ประเภทนี้ ตามล้างตามผลาญ แม้ตายแล้วก็ไม่ ปล่อย จนกว่าจะปฏิบัติครบทุกมงคลให้หมดกิเลส จึงจะ ปลอดภัยอย่างแห้จริง เรียกว่า จิตเกษม จิตเกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส นิพพาน หมายถึง สภาพจิตที่หมดกิเลสผูกมัด ทำ ให้คล่องตัว ไม่ ติดชัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใดๆ บีบคั้นบังตับได้อีก จึงมี ความสุขอย่างแห้จริง เหตุที่คนทั่วไปจิตไม่เกษมเพราะถูกกิเลสมัดเอาไว้จนดิ้นไม่ หลุด ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย กิเลสที่ผูกมัดเราไว้นี้ เรียกว่า สังโยชน์ สังโยชน์ แปลว่า เครื่องผูก หมายถึง กิเลสที่ผูกใจสัตว์หริอ อกุศลธรรมที่ผูกมัดสัตว์ให้เวืยนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารทุกข อุปมาเหมือนเชือกที่ผูกเทืยมสัตว์ติดไว้ภับรถ มี ๑๐ ประการ แปงออกเป็น ๒ หมวดใหญ่ คือ ๑๓c; เปิดไปอ่านดวานอุ'))
หมวดที่ ๑ ลังโยชน์เบื้องตา เป็นกิเลส หรือเครื่องผูกขั้น หยาบ มี ๕ ประการ คือ ๑. ลักกายทิฎฐิ คือ ความยึดมั่นในตัวตนว่าเป็นเราเป็น เขา เพราะยังไม่รู้จักกายในกาย โดยเฉพาะยังไม่รู้ จักธรรมขันธ์ ได้แก่ ความเห็นที่ยังติดแน่นในสมมติ ว่าเป็นตัวตน เราเขา เป็นมั่นเป็นนี่ ไม่เห็นสภาพ ความจริงที่ลัตว์บุคคลกลายเป็นเพียงองค์ประกอบ ต่างๆ มาประชุมกันเท่านั้น ทำ ให้มีความเห็นแก่ตัว ในขั้นหยาบ และถูกกระทบกระทั่ง บีบคั้น เป็นทุกฃ ได้รุนแรงเพราะความเห็นผิดนั้นๆ ๒. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย ตลอดจนมรรคผลนิพพาน และเรื่องการเวียนว่าย ตายเกิด เพราะยังไม่เข้าถึงธรรมขันธ์ ทำ ให้ไม่มั่นใจ ในการดำเนินขืวิตด้วยมรรคมีองค์ cr ๓. สีลัพตปรามาส คือ การลูบคลำศีลพรต มีความยึดถือ ผิดพลาดไปว่า ความบรืลุทธิ้หลุดพ้นกิเลสนั้น สามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติตาม ข้อบัญญัติ แบบแผนศืลพรตนอกพระทุทธศาสนา หรือถือ ปฏิบัติตามพระพุทธศาลนา แต่ปฏิบัติเพียงเพื่อถือ ความขลัง ความตักดลิทธิ้ มิได้ทำอย่างจริงจัง (T. กามราคะ คือ ความกำหนัดในกาม ความติดใจใน กามคุณทั่ง ๕ ได้แก่ รูป เลืยง กลิ่น รส สัมผัส 9rบันไต\"ขั้นทื่ mc: จิฬเกษม «๓๙ ว
๕. ปฏิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิด งุ่นง่านใจ หมวดที่ ๒ สังโยชน์เบื้องสูง เป็นเครื่องผูกขั้นละเอียด มี ๕ ประการ ๖. รูปราคะ คือ ความติดใจในรูปธรรมอันละเอียดประณืต เช่น ติดใจในอารมณ์สุขแห่งอรูปฌาน พอใจในรส ความสุข ความสงบของสมาธิขั้นรูปฌาน ติดใจ ปรารถนาไปเกิดเป็นรูปพรหมในรูปภพ cy. อรูปราคะ คือ ความติดใจในอรูปธรรม เช่น ความ ติดใจในอารมณ์สุขอันเกิดจากอรูปฌาน เมื่อติดใจ หลงใหลในความสุขขั้นนี้เลียแล้ว จิตก็ไม่อาจขยับ ขึ้นไปถึงธรรมขันธ์ได้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะใจยังไม่ หยุดอยู่ในศูนย์กลางกายอย่างแท้จริง CS. มานะ คือ ความถือตัวทนงตน หรือสำคัญตนผิดอัน เป็นเหตุให้เกิดการดูหมื่น เช่น เห็นว่าสูงกว่าเขา ตา กว่าเขา ๙. อุทธัจจะ คือ ความฟ้งซ่านแห่งจิตอันลีบเนื่องมาจาก ยังไม่สามารถควบคุมความคิดของตนใด้อย่างลมบูรณ์ เพราะยังมีอวิชชาหลงเหลืออยู่ เป็นความฟ้งช่านที่ ทำ ให้จิตกระเพื่อมน้อยๆ ต่างกับอุทธัจจะในนิวรณ์๕ J_ I ชึ่งทำให้ใจกระเพื่อมมาก v{ ©(To เปิดไปอ่านความร5า)
๑๐. อวิชชา คือ ควานมืด ความไม่รู้จริง ไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าใจปัญหาการเวียนว่ายตายเกิดอันลึกซึ้ง ไม่รู้ แจ้งในอริยสัจ cr พระพุทธองค์ไม่ทรงอธิบายว่า ใครสร้างโลก ใครเป็นคนแรก ในโลก เราเกิดเป็นคนชาติแรกตั้งแต่เมื่อไร และใครเป็นคนสร้าง กิเลส โดยการให้เหตุผลว่า คนที่ถูกยิงด้วยธนู ไม่ยอมเสิยเวลาหาว่า ใครเป็นคนยิง ยิง มาจากไหน ใกล้ไกล ชายหรือหญิง ฯลฯ แต่จะริบรักษาอาการ ก่อน หายแล้วค่อยว่ากัน ชาวโลกถูกกิเลสเผาไม่ปลอดภัยก็เช่นกันหาทางปราบกิเลส ให้ปลอดกัยก่อนดีกว่า เมื่อดับกิเลสได้แล้ว ปัญหาเหล่านั้น ก็ไม่ ยากจนเกินไป ในการปราบกิเลส ต้องทำกันตลอดชีวิต ล้าชาตินืไม่หมด ชาติหน้าปราบต่อ วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่งต้องหมดจนได้ วิธิปราบกิเลสง่ายๆ คือ ปฏิบัติมงคลทัง otgT บทข้างด้น นั้นเรื่อยมาไม่ลดละ ผลสุดท้าย ก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคล พ้นจากการผูกมัดให้เวียนตายด้วยกิเลส พ้นจากการรุมทำร้าย ให้ทุกข้ทรมานจากกิเลส ซึ่งแปงออกเป็น ร: ระดับ คือ ๑. พระโสดาบัน คือ ท่านผู้บรรสุธรรมภายในได้โสดาปัตติ ผลแล้ว เป็นผู้ถึงกระแสนิพพานแล้ว เที่ยงต่อการที่ ยันไคขั้นที่ ๓ร:: ริตเกษม exca — —\"จ
จะหมดกิเลส แต่ต้องเวียนเกิดในสุคติภพ เพื่อ ทำ ความเพืยรต่ออืกไม่เกิน(?/ชาติ จะเป็นพระอรหันต์ ๒. พระสกทาคามี คือ ท่านผู้บรรลุธรรมภายในไต้พระสก ทาคามีผลแล้ว ถึงกระแสนิพพานแล้ว เที่ยงต่อการ หมดกิเลส จะกลับมาเกิดในโลกนี้เพื่อทำความเพืยร ต่ออีกเพืยงชาติเดียว ก็หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ๓. พระอนาคามี คือ ท่านผู้บรรลุธรรมภายในไต้พระอ นาคามีผลแล้ว เป็นผู้ไม่เวียนกลับมาเกิดในโลกนี้อีก แต่อาสวะกิเลสละเอียดยังไม่หมด จะไปทำความ เพียรต่อที่พรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาส แล้วจึงปริ นิพพานในภพนั้นๆ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ จะไม่ยินดีใน กามารมณเลย และรักษาศีล C? เป็นนิจ cr. พระอรหันต์ คือ ท่านผู้บรรลุธรรมภายในเป็นพระ อรหัตตผลแล้ว ผู้หมดกิเลส หมดทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เมื่อขันธ์ ๕ ดับ แล้ว ธรรมขันธ์จะไปปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพาน เช่นเดียวกับธรรมขันธ์ของพระลัมมาลัมพุทธเจ้า เป็นสุขตลอดไป การเป็นพระอรหันต์นั้น เพราะว่า บรรลุวิชชา ๓ ที่สามารถ ขจัดลังโยชน์เบื้องตํ่าและเบื้องสูงอันเป็นเครื่องผูกมัดให้เวียนว่าย ตายเกิดไต้หมดสินเชือไม่เหลือเศษ ทำ ให้จิตเกษมหมดกิเลสถาวร ๑(£๒ ฟ็ดไปอ่าไ4ความลุ')! C— '
ขืวิตมืความปลอดภัย เป็นสุขแท้จริงอยู่ตลอดเวลา วิชชาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง หมวดวิชาที่เรียนไนโรงเริยน วิชชา ๓ คือ ความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษ เป็นศัพท้เฉพาะ ทางศาสนา หมายถึงความรู้แจ้ง ซึ่งเหตุผลอันลึกซึ้งด้วยปัญญา ได้แก่ ญาณ คือ ความหยั่งรู้ ซึ่งเกิดจากการทำสมาธิสุดยอดเข้า ถึงธรรมขันธ์ภายไน คือ ๑. บุพเพนิวาสนุสติญาณ คือ ญาณเป็นเหตุระลึกถึงขันธ์ ที่อาศัยอยู่ไนกาลก่อนได้ ระลึกชาติตนเองได้ ๒. จุตูปปาตญาณ คือ ญาณกำหนดรู้การจุติและการอุปัติ แห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม เห็นการเวียน ว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพยจักขุญาณ ๓. อาสวักขยญาณ คือญาณหยั่งรู้ไนธรรมเป็นที่ลิ้นไปแห่ง อาสวะทั้งหลาย ความรู้ทิทำไห้สินอาสวะ ได้แก่ ความตรัสรู้นั่นเอง เพราะฉะนั้น การปราบกิเลสไห้ลิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ หสุดพ้น จากความเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลส จิตเกษม ได้พบภับความ สุขที่แท้จริงของชีวิต หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าถึง ฝังพระนิพพาน เป็นมงคลสูงสุดของชีวิต เป็นพระอรหันตนิ ต้อง บำ เพ็ญเพียรจนกระทั่งจิตเกษมได้ด้วยวิชชา ๓ นั่นเอง นันไดพั้ทื่ ei= : จดเกษม oarm
c?- -p Urospofha sagittifolia
% บทสรุป ผู้ปรารถนาสุขทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และสุขอย่างยิ่ง คือ หมดกิเลสไปนิพพาน ต้องพัฒนาตนเองไปตามบันไดแห่งความสุขนี ค่อ ๑, ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชา เพี่อ อาศัยห่านชี้ทางถูก เว้นทางผิดให้ขืวิต ๒. อาศัยประเทศอันสมควร อาศัยบุญเก่า ตักเตือนตนให้ มีความพอใจในกุศล ตั้งตนไว้ชอบ ๓. สร้างเครื่องประดับในใจด้วย พหูสูต ศิลปะ วินัย และ กล่าววาจาสุภาษิตอันสมควรแกวินัย cr, เมื่อยังเป็นคฤหัสถ์ ชำ ระหนี้เก่าด้วยการเลี้ยงบิดา มารดา ให้หนี้ใหม่ด้วยการเลี้ยงบุตรภรรยา ตังฐานะ ได้ดืเพราะการงานไม่คั่งค้าง บทfltป 9 0
๕. ยึดสาระแห่งโภคทรัพย์ด้วยทาน ยึดสาระแห่งชืวิตด้วยการประพฤติธรรม ยึดสาระแห่งความรู ความสามารถด้วยการสงเคราะห์ ญาติ และสงเคราะห์คนอื่นด้วยการงานไมมโทษ ๖. เว้นการเบืยดเบียนผู้อื่นด้วยการงดเว้นบาป เว้นการเบียดเบียนตนเองด้วยการสำรวมในการดื่ม นํ้าเมา ยังธรรมฝ่ายกุศลให้เจริญขึ้นด้วยการไม่ประมาทใน ธรรมทั้งหลาย cy. ปรับปรุงความประพฤติให้สมบูรณ์ด้วยความเคารพใน ผู้ที่ควร และอ่อนน้อมถ่อมตน ตั้งอยู่ในภูมิธรรมของ สัตบุรุษด้วยความกตัญฌู ละความหดหู่ด้วยการฟั'ง ธรรมตามกาล c?. บีองกันกำจัด ครอบงำอันตรายทั้งปวงด้วยขันติ ทำ ตนให้มีที่พึ่งด้วยความเป็นคนว่าง่าย ยึดเอาแนว ปฏิบัติด้วยการเห็นสมณะ บรรเทาความสงสัยด้วย สนทนาธรรม ๑x๖ เโ]ตไปอานความพุ*บ
๙. ทำ ศืลให้บริสุทธิ้ด้วยตบะ คือ ธุดงค์และสำรวมอินทรืย์ ทำ จิตให้บริสุทธด้วยประพฤติพรหมจรรย์ คือสมณ ธรรม เป็นผลให้เห็นอริยส์จ เห็นนิพพาน ๑๐. เมื่อแจ้งในนิพพานแล้ว จิตย่อมไม่หวั่นไหวด้วยโลก ธรรม ไม่เศร้าโศก จิตหมดกิเลสเพียงดังธุลี มืความ เกษม บุคคลผู้มีความเกษมย่อมไม่พ่ายแพ้ในที่ทังปวงย่อมถึงความ สวัสดีในที่ทุกสถาน ส่วนในกรณืที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ย่อมเป็นการสร้างบุญใหม่ไว้เป็นบุญเก่าในภพเบื้องหน้า และเมื่อ นั้น เราย่อมได้พบความสุข ความดีงามสำหรับชีวิตไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้พบที่สุดแห่งความสุขซึ่งอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์ทั้งหลาย คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นความสุขเรียกว่า นิพพาน นั่นเอง บทสรุป aare/ ว
^, - ท้ายเล่ม -- ™ เปิดไปอ่านความสุขเล่มนี้ อาจจะไม่ใช่เปิดไปอ่านความสุข ที่ท่านคาดหวังตั้งแต่แรกเห็นขื่อหนังสือ เพราะเปิดไปอ่านความ สุขเล่มนี้ เป็นการเปิดมาอ่านความจริงของโลกและชึวิต เพื่อเล่า ให้ฟังว่า ตราบใดที่เรายังต้องเวืยนว่ายดายเกิดในวัฎลงลารนี้ ท่าอย่างไรขวิดของเราจึงจะไต้พบความสุขที่แท้จริง ^0๑(ทร เปิฬปอ่านความชุ!! C
-- ^ ข้อคิดส่งท้าย ทุกขึวิตเกิดมาล้วนนับถอยหลัง ชึวิดจึงเป็นทุกข์ หากจะมืวิธีลดความทุกข์ เพื่อจะได้พบความสุขอยู่บ้าง ก็ต้องศึกษาให้รู้ว่า ความลุขที่แท้จริงคืออะไร และทำอย่างไรจึงจะได้พบสุขที่แท้จริง แต่หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นศึกษาจากที่ไหน ก็ควรเริ่มต้นจากมงคลชืวิต ๓CJ ประการ เพราะเป็นบันไดแห่งความสุขทั้ง ๓c=r ขั้น ที่น่าไปลู่ความสุขที่แท้จริง ข้อค?งทัาย ««๙ ช
% พระภาวนาวิริยคณ (เผด็จ ทตฺต?[ว) • ปัจจุบันดำรงลมณกิจ รองเจ้าอาวาลวัดพระธรรมกาย • รองประธานมูลนิธิธรรมกาย และ President of Dhainmakayo International Meditation Center CU.S.A.) • เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒crcะ๓ • ลำ เร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะกสิกรรมและลัตวบาล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน และ Diplorฑa of Dairy Technology Howkesbury College, Australia • อุปลมบทเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑ร: ณ พัทธสิมาวัดปากป้า ภาษืเจริญ กรุงเทพมหานคร ffldro แไฬปอ่าupmijs'j
วิธฝกสมาธิเบื้องต้น สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่มนุษย์ลามารถลร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง เป็นลิ่งที่พระพุทธศาลนา กำ หนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน อย่างเป็นสุข ไม่ประมาท เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา อันเป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ทุกคนลามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ ดังวิธี ปฏิบัติที่พระเดชพระคุณพระมงคลเทพนุนื(สด จนุทลโร) หลวง ปูวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ได้เมตตาสั่งสอนไว้ดังนี้ ว0ปีกลมาธฌองต้น ๑๕๑
๑. กราบบูชาพระรัตนตรัย เป็นการเตรืยมตัวเตรืยมใจให้ นุ่มนวลไว้เป็นเบื้องต้น แล้วสมาทานศีล ๕ หรือศีล C? เพื่อยํ้าความมั่นคงในคุณธรรมของตนเอง ๒. คุกเข่าหรือมั่งพับเพียบ สบายๆ ระลึกถึงความดีที่ไต้ กระทำแล้วในวันนี้ในอดีต และที่ตั้งใจจะทำต่อไปใน อนาคต จนราวกับว่า ร่างกายทั้งหมดประกอบขึ้น ต้วยธาตุแห่งคุณงามความดีล้วน ๆ ๓. นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นี้ว ขี้ของมือข้างขวาจรดนี้วหัวแม่มือข้างซ้าย นั่งให้อยู่ ในท่าที่พอดี ไม'รนร่างกายมากจนเกินไป ไม่ถึงกับเกร็ง แต่อย่าให้หลังโต้งงอ หลับตาพอลบายคล้ายกับ กำลังพักผ่อน ไม่บีบกล้ามเนี้อดาหรือขมวดคิ้ว แล้ว ตั้งใจมั่น วางอารมณ์สบาย สร้างความรู้สึกให้พร้อม ทั้งกายและใจว่า กำ ลังจะเข้าใปสู่ภาวะแห่งความสงบ สบายอย่างยิ่ง cr. นึกกำหนดนิมิต เป็น \"ดวงแล้วกลมใส\" ขนาดเท่า แล้วตาดำ ใสบรืลุทธ ปราศจากรอยตำหนิใดๆ ขาวใส เย็นตาเย็นใจ ตังประกายของดวงดาว ดวงแล้วกลม ใสนี้เรืยกว่า บรืกรรมนิมิต นึกสบายๆ นึกเหมือน ดวงแล้วนั้นมานิ่งสนิทอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๙ นึกไปภาวนาไปอย่างนุ่มนวล เป็นพทธานสติว่า \"ลัมมา •vl ร)(รทท เปิดไปอ่านความอุข
อะระหัง\" หรือค่อยๆ น้อมนึกดวงแก้วกลมใส ให้ค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ศูนยกลางกายตามแนวฐาน โดยเริ่มต้น ตั้งแต่ฐานที่ ๑ เป็นต้นไป น้อมนึกอย่างสบายๆ ใจเย็นๆ ไปพร้อมๆ กับคำภาวนา ฐานที่ to เพลาดา {หญิงข้างช้าย ขายข้างขวา หญิงข้างช้าย ขายข้างขวา ฐานที่ ๓ จอมประสาท ฐานที่ <r ช่องเพดาน รฺานที่ & ปากช่องลำคอ ฐานที « ศูนย์กลางกายทีตงจิตถาวร } to นิ้วรอ รานที่ ๖ ศนย์กลางกายระดับสะดีอ อนึ่ง เมื่อนิมิตดวงแก้วกลมใสปรากฎแล้ว ณ กลางกาย ให้วางอารมถป้สบายๆ กับนิมิตนั้น จนเหมือนกับว่า ดวงนิมิต เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ หากดวงนิมิตนั้นอันตรธานหายไป ก็ ไม่ต้องนึกเสืยดาย ให้วางอารมณ์สบาย แล้วนึกนิมิตนั้นขึ้นมา ใหม่แทนดวงเก่า หรือเมื่อนิมิตนั้นไปปรากฏที่อื่น ที่มิใช่ วรป็กลมารเบื้องต้น «*๓ ว
ศูนยกลางกาย ให้ค่อยๆ น้อมนิมิตเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มิการบังคับ และเมื่อนิมิตมาหยุดสนิท ณ ศูนย่กลางกาย ให้ วางสติลงไปยังจุดศูนย์กลางของดวงนิมิต ด้วยความรู้สึกคล้าย มิดวงดาวดวงเล็กๆ อีกดวงหนึ่ง ซ้อนอยู่ตรงกลางดวงนิมิตดวงเติม แล้วสนใจเอาใจใส่แต่ดวงเล็กๆ ตรงกลางนั้นไปเรื่อยๆ ใจจะ ปรับจนหยุดได้ถูกส่วน เกิดการตกศูนย์ และเกิดดวงสว่างขึ้นมา แทนที่ ดวงนี้เรืยกว่า \"ดวงธรรม\" หรือ \"ดวงปฐมมรรค\" อัน เป็นประตูเบื้องด้นที่จะเปิดไปสู่หนทางแห่งมรรคผลนิพพาน การระลึกนึกถึงนิมิตสามารถทำได้ในทุกแห่งทุกที่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือขณะทำภารกิจใดๆ ข้อแนะนำ คือ ด้องทำให้สมื่าเสมอเป็นประจำ ทำ เรื่อยๆ ทำ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำ ได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งจะเป็นการปัองกันมิให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับ ทำ ให้ใจด้องสูญเสึยความเป็นกลางและเมื่อการปีกสมาธิบังเกิดผล จนได้ \"ดวงปฐมมรรค\" ที่ใสเกินใส สวยเกินสวย ดิดสนิท มั่นคงอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึกระลึกนึกถึงอยู่เสมอ อย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิจะทำให้ขีวิตดำรงอยู่บนเส้นทาง แห่งความสุข ความสำเร็จ และความไม่ประมาทได้ตลอดไป ทั้ง ยังจะทำให้สมาธิละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับอีกด้วย ^otar เปิฬปอ่าบ^วามสฺ๚ — ~ ''I
ข้อควรระวัง ๑. อย่าใช้กำลัง คือ ไม่ใช้กำลังใดๆ ทั้งลิ้น เช่น ไม่บีบ กล้ามเนื้อตา เพื่อจะให้เห็นนิมิตเร็ว ๆ ไม่เกร็งแขน ไม่เกร็ง กล้ามเนื้อหน้าห้อง ไม่เกร็งตัว ฯลฯ เพราะ การใช้กำลัง ตรงส่วนใดของร่างกายก็ตาม จะทำให้ จิตเคลื่อนจากศูนย์กลางกายไปลู่จุดนัน ๒. อย่าอยากเห็น คือ ทำ ใจให้เป็นกลาง ประคองสติ มิ ให้เผลอจากบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต ส่วน จะเห็นนิมิตเมื่อใดนั้น อย่ากังวล ล้าถึงเวลาแล้วย่อม เห็นเอง การบังเกิดของดวงนิมิตนั้น อุปมาเสมือน การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เราไม่อาจจะเร่งเวลา นV ได้ ๓. อย่ากังวลถึงการกำหนดลมหายใจเช้าออก เพราะการ 'รกสมาธิเพื่อให้เช้าถึงพระธรรมกายภายใน อาศัย การนึกถึง \"อาโลกกสิณ\" คือ กสิณความสว่าง เป็น บาทเบื้องต้น เมื่อปีกสมาธิจนเช้าถึงดวงปฐมมรรคแล้ว ปีกสมาธิ ต่อไป ผ่านกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จนกระทั่งเช้าถึงพระธรรมกายแล้ว จึง เจริญวิปัสสนาในภายหลัง ตังนั้น จึงไม่มืความจำเป็น ต้องกำหนดลมหายใจเช้าออกแต่ประการใด วธ็?เกสมา!เบื้องคน «4:4:^
(ริ:. เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ให้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย ที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม เข่น ยืน เดิน นอนหรือนั่ง อย่าย้ายฐานที่ตั้งจิตไปไว้ที่อื่นเป็นอันขาด ให้ตั้งใจบริกรรมภาวนา พร้อมกับนึกถึงบริกรรม นิมิตเป็นดวงแก้วใสควบดู่กันตลอดไป ๕. นิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะต้องน้อมไปตั้งไว้ที่ ศูนย์กลาง กายทั้งหมด ล้านิมิตเกิดขึ้นแล้วหายไป ก็ไม่ต้องตามหา ให้ภาวนาประคองใจต่อไปตามปกติในที่สุดเมื่อจิตสงบ นิมิตย่อมปรากฏขึ้นใหม่อีก การปีกสมาธิเบื้องต้นเท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็น ปัจจัยให้เกิดความสุขไต้พอสมควร เมื่อซักซ้อมปฏิบัติอยู่เสมอๆ ไม่ทอดทิง จนไต้ดวงปฐมมรรคแล้ว ก็ให้หมั่นประคองรักษาดวง ปฐมมรรคนั้นไว้ตลอดชีวิต ดำ รงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ย่อมเป็น หลักประกันไต้ว่า ไต้ที่พึ่งของชีวิตที่ถูกต้องดีงาม ที่จะส่งผลให้ เป็นผู้มิความสุขความเจริญ ทั้งในภพชาตินี้และภพชาติหน้า เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมิความรักใคร่สามัคศี เป็นนั้าหนึ่งใจเดียวกัน หากสามารถแนะนำต่อๆ กันไป ขยาย ไปยังเหล่ามนุษยชาติอย่างไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ สันติสุขอันไพบูลย์ที่ทุกคนใฝ่ฝันก็ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน •vl ®4r—๖ -เปิดไปอ่า—นควาน.ลฺาเ
ประโยชนของการฟิกสมาธิ ๑, ผลต่อตนเอง ๑.๑ ด้านสุขภาพจิต ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีฃึ้น คือ ทำให้จิตใจผ่องใส สะอาด บริสุทธิ้ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง โส่ง เบา สบาย มื ความจำและสติปัญญาดีขึ้น ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำ ให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกด้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดืเท่านั้น ๑.๒ ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ ทำ ให้เป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปริกระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย มีผิวพรรณผ่องใส มีความมั่งคงทางอารมกํเ หนักแน่น เยือกเย็น และเฃี่อมั่น ในตนเอง มีมนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกันกาลเทศะ เป็นผู้ มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป ๑.๓ ด้านชีวิตประจำวัน ช่วยให้คลายเคริยด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการ ทำ งาน และการศึกษาเล่าเริยน วิfit)กลมารเบื้องตบ
ช่วยเสริมให้มืสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะร่างกายกับ จิตใจย่อมมือิทฐิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิ ต้านทานโรคไปในตัว ๑.cr ด้านศีลธรรมจรรยา ทำให้เป็นผู้มิสัมมาทิฏฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม ลามารถ คุ้มครอง ตนให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายไต้ และเนื่องจากจิตใจดื จึง ทำ ให้ความประพฤติทางกาย และวาจาติตามไปด้วย ทำ ให้เป็นผู้มืความมักน้อย สันโดษ รักสงบ และมิขันติ เป็น เลิศ ทำ ให้เป็นผู้มิความเอื้อเพ้อเผื่อแผ่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมาก กว่าประโยชน์ส่วนตัว เป็นผู้มีสัมมาคารวะ และมิความอ่อนน้อม ถ่อมตน ๒. ผลต่อครอบครัว ๒.๑ ทำ ให้ครอบครัวมิความสงบสุข เพราะสมาชิกใน ครอบครัวเห็นประโยชน์ของการประพฤติธรรมทุกคน ตั้งมั่นอยู่ ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมิความรักใคร่สามัคศีเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ๒.๒ ทำ ให้ครอบครัวมิความเจริญถ้าวหน้า เพราะ สมาชิก ต่างก็ทำหน้าที่ชองตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้มิใจคอหนักแน่น ๑ies เปิดไปอ่านความลฺข C
เมื่อมืปัญหาครอบครัว หรือมือุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไข ปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้ ๓. ผลต่อสื'งคมและประเทศชาติ ๓.๑ ทำ ให้สังคมสงบสุข ปราศจากปัญหาอาชญากรรม และปัญหาสังคมอื่นๆ เพราะปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการม่า การข่มขืน โจรผู้ร้าย การทุจริต คอ รัปซั่น ล้วนเกิดขึ้นมาจากคนที่ขาดคุณธรรม เป็นผู้ทืมืจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหวต่ออำนาจสิ่งยั่วยวนหรือกิเลสได้ง่าย ผู้ที่?!ก สมาธิย่อม มีจิตใจเข้มแข็ง มีคุณธรรมในใจสูง ถ้าแต่ละคนใน สังคมต่าง ปีกฝนอบรมใจชองตนให้หนักแน่นมันคง ปัญหา เหล่านืก็จะไม่ เกิดขึ้น ส่งผลให้สังคมลงบลุขได้ ๓.๒ ทำ ให้เกิดความมีระเมียบวินัยและเกิดความประหยัด ผู้ที่ปีกใจให้ดีงามด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้รักความมี ระเมียบวินัย รักความสะอาด มีความเคารพกฎหมายของบ้านเมือง ทำ ให้บ้านเมืองของเราละอาดน่าอยู่ ไม่มีคนมักง่ายทิงขยะลงบน พื้นถนน จะข้ามถนนก็เฉพาะตรงทางข้าม เป็นด้น เป็นเหตุให้ ประเทศชาติไม่ต้องสิ้นเปลือง งบประมาณ เวลา และกำลังเจ้า หน้าที่ที่จะไปใช้สำหรับแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความไม่มืระเมียบ วินัยชองประชาชน วิริรึ]กสมา0เฆื้องตบ s>a:«f
๓.๓ ทำ ให้สังคมเจริญก้าวหน้า เมื่อลมาชิกในสังคมมี สุขภาพจิตดึ รักความเจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพในการ ทำ งานลูง ย่อมล่งผลให้สังคมเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย และ เมื่อมีกิจกรรมของส่วนรวม สมาขิกในสังคมก็ย่อมพร้อมที่จะ สละความสุขส่วนตนให้ความร่วมมือกับส่วนรวมอย่างเต็มที่ แม้ มีผู้ไม่ประลงค์ดืต่อสังคม จะมายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก ก็จะ ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะลมาขิกในสังคมเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มี เหตุผล และเป็นผู้รักลงบ ๔. ผลต่อศาสนา (T.® ทำ ให้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้อง และรู้ซึ้ง ถึงคุณค่าของพระพุทธศาลนา รวมทั้งรู้เห็นด้วยตัวเองว่า การปีก สมาธิไม่ใข้เรื่องเหลวไหล หากแต่เป็นวิธิเดืยวที่จะทำให้พ้นทุกข์ เข้าส่นิพพานได้ cr.la ทำ ให้เกิดศรัทธาดั้งมั่นในพระรัตนตรัย พร้อมที่จะเป็น ทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาลนา อันจะเป็นกำสังสำคัญใน การเผยแผ่การปฏิบตธรรมที่ถูกต้องให้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง (ฮ.๓ เป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเริอง ตลอดไปเพราะตราบใดที่พุทธศาลน้กชนยังดั้งใจปฎิบ้ติธรรมเจริญ ภาวนาอยู่ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองอยู่ตราบนั้น ร 6)bo เปิรใปซ่าน(ทาUสฺๆเ C
cr.cr จะเป็นกำลังส่งเสริมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อเข้าใจซาบซึ้งถึงประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมด้วย ตนเองแล้ว ย่อมจะชักชวนผู้อื่นให้ทำทาน รักษาศีล และเจริญ ภาวนาตามไปด้วย เมื่อใดที่ทุกคนในสังคมตั้งใจปฏิบ้ตธรรม ทำ ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เมื่อนั้นย่อมเป็นที่หวังได้ว่า สันติสุขทีแท้จริงก็ จะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน วิ0ปีกลมาธฌื้องต้น «๖๑ ^ ^ -'ว
บันทึก abiD ฟิ«11]อ่'1นดๆา11ธุา( c
เมื่อ!,รามองธรรมชาติของโลกและขีวิตไดตรงุตามความเป็นจริงแล้ว ฤดูกาลแพ่งความสุข... ย่อมพ'ดผ่านเข้ามาในสวนหล้งบ้านอยู่เสมอ เสิยงกระเงอันสดใส...เงแว่วผ่านหัวใจ:.. ก่อใหัเกิดบรรยากาศสดขี่'น รชีวิตขี■วา ดอกไม้นานาพ้นธุ...ผลิบานร่วมกันเพื่อแต่งแต้มโลกส์1หัเป็นอุทยานแพ่งสิส้น ผีเสี้อดูดนํ้าหวาน... ผงน้อยดมตอกไม้... น่กน้อยบินร้องเพลง... กระรอกไต่ยอดไม้ ช่างภาพถ่ายภาพแพ่งความประหับใจ...เก็บไร้Iนอัลบมแห่งความทรงจำ เด็กน้อยบ้นหึกเรื่องราวใหม่ๆ ลงในไตอารื่น,สนห่วาน...เก็บไร้อ่านตอนโต ผ้คนมากมายต่างรอห้!งเรื่องราวแพ่งความสุขจากสวนหส้งบ้านด้วยใบหน้าเปิรนยม หกคนมีความสุขกับการแปง!]นความสุขใหัแก่กันและกัน และรูสืกได้ว่าพส้งความคิดสร้างสรรกัยังคงงดงามอยู่เสมอ ขีริตก็เหมือนมีดวงตะวันแห่งความสุขส่องสว่างอยู่ภายใน ทุกอย่างในหน้งสือเส่มน เกิดจากพส้งความคิดสร้างสรรค์พื่ปรารถนาจะแบ่งป็น \"ความสุขหื่แหัจริง\" ใหัหั่วถงทุกคน..,\"เฃดไปอ่านความสุข\" ^ - -- -''^ E-mail:
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144