ED12101 139 ภาษาและวฒั นธรรม 2.ผูฟ้ ัง (Receiver/Recipient /Decoder) ผฟู้ ังหรอื ผ้รู บั สารเปน้ ผรู้ บั เรื่องราวหรอื เนื้อหา สาระจากผู้พูด แลว้ มีการแสดงออก ตอบโตซ้ ่ึงกันและกนั อยา่ งสอดคลอ้ งกบั เร่ืองราวที่กาลงั ฟังอยู่ 3. สาร/หรอื เนอื้ หาท่ีพดู (Massage) ไดแ้ ก่ เนื้อหาทีผ่ ู้พูดต้องการจะสือ่ สาร เป็นสิ่งท่ีจะ ท าให้ผฟู้ งั ไดต้ อบสนองกลบั ไปยังผพู้ ูด ดงั นนั้ ในกระบวนการส่อื สาร เนอ้ื หาสาระต้องมคี วามถกู ต้อง ชดั เจน มีประโยชน์ เป็นไปในทางสร้างสรรค์ 4. สือ่ /ช่องทางตดิ ต่อ (Media/Medium/Channel) หมายถงึ ช่องทางท่ผี ้พู ูดใช้ส่งสาร ไปยังผ้รู ับสารหรอื ผู้ฟัง ซึ่งผู้พูดต้องรู้จกั เลือกช่องทางทจ่ี ะส่ือสารเนอ้ื หาไปยังผู้ฟังใหเ้ หมาะสม และผู้ พูดจะเลือกทางใดเพื่อส่ือสารก็ข้นึ อยู่กับลักษณะของสารท่ีจะสง่ ด้วยเชน่ กนั 5. การตอบสนอง (Feedback/response) ไดแ้ ก่ ปฏิกริ ิยาทเ่ี กดิ ข้ึนหลังจากทผ่ี ู้ฟังได้ยิน สารที่ถกู ส่งมา แลว้ ตอบสนองกลับไปยังผูส้ ่งสารหรอื ผู้พูด อาจเป็นการตอบสนองด้วยวาจา หรือ ภาษากายก็ได้ และการตอบสนองอาจเป็นได้ทั้งทางบวก เชน่ หวั เราะ ปรบมอื ยิม้ เปน็ ต้น และทาง ลบ เชน่ ส่ายหนา้ ไมส่ นใจ ขมวดค้ิว เปน็ ต้น อยา่ งไรกต็ าม กระบวนการส่อื สารน้ี ตอ้ งอยู่ภายใต้บริบท (Context) ทั้งบริบททาง กายภาพ และบริบททางสังคม หรือบริบททางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และผู้พูดต้องรู้จักเลือกเน้ือหาสาระที่จะ พูดภายในบริบทดังกล่าวประกอบการพูดข้างต้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กระบวนการ สื่อสาร ซึ่ง สามารถแสดงได้ดว้ ยแผนภาพดังท่ี Wilber Schramm (1954) ไดแ้ สดงไว้ดังน้ี ภาพที่ 7.1 รูปแบบจาลองการสือ่ สาสารของชแรมม ทีม่ า: กดิ านนั ท มลทิ อง (2548 : 45)
ED12101 140 ภาษาและวัฒนธรรม จากรูปแบบการสื่อสารดงั กลา่ วขา้ งตน ชแรมม มไดก้ ลา่ วถงึ บริบททเี่ กี่ยวข้องกบั การส่ือสารด ทางวัฒนธรรม เชน่ การสือ่ สารในครอบครวั เปน็ ต้น ดังน้นั ในการส่อื สาร จึงควรคานึงถงึ บริบทด้าน วฒั นธรรมด้วยเพือ่ จะได้ เข้าใจความหมายแหง่ การส่ือสารไดอ้ ยา่ งครบถ้วนสมบูรณ์ วัตถุประสงค์ของการพูด 1. เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจแก่ผู้ฟัง เป็นการพูดเพื่อให้ความรู้หรือเพื่อ บอกเล่า เป็นการเสนอข่าวสาร ความรู้ ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นเพ่ือให้ผู้ฟังเกิดความรู้ความเข้าใจ โดยการบรรยาย อธบิ าย แนะนา เล่าเรื่อง สง่ั สอน ฯลฯ 2. เพ่ือสร้างความบันเทิงใจให้แก่ผู้ฟัง การได้ฟังเร่ืองราวที่ทาให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเรงิ หรือขบขัน ซึ่งอาจเป็นเร่ืองเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวข้อบกพร่อง หรือนิสัยของตนเองที่ทา ใหผ้ ู้อื่นเหน็ ความน่าขันตลอดเวลา การพูดท่ีเก่ียวกับ การผจญภัย ความรัก ความสาเร็จในชีวิต และ เรื่องราวภูตผีปีศาจ เป็นต้น เร่ืองเหล่าน้ีจะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน และช่วยผ่อน คลายความตึงเครียดในชีวิตประจาวนั ไดด้ ี 3. เพ่ือจรรโลงใจ เป็นการพูดท่ีช้ีให้เห็นถึงคุณค่าและความงาม ความดี ท่ีก่อให้เกิด ความรู้สกึ และยกระดบั จิตใจ หรอื ทาใหเ้ กิดความเบกิ บานใจ เชน่ การพดู ในโอกาสวันสาคญั ตา่ งๆ ได้แก่ วันไหว้ครุ วันแม่แห่งชาติ วันขึ้นปีใหม่ ฯลฯ ทาให้ผู้ฟังมีความบันเทิงใจ ได้รับข้อคิดที่ดีหรือ มองเหน็ สง่ิ ทดี่ ีงามและคณุ คา่ ของส่งิ ตา่ งๆ ที่สามารถนาไปเปน็ แบบอย่างในการประพฤติปฏบิ ตั ิ แก่ตนเอง 4. เพ่ือจงู ใจ การพูดเพื่อจงู ใจเปน็ การพูดท่ตี ้องการใหผ้ ู้ฟงั เหน็ คล้อยตาม เช่ือถือ หรอื อาจ ถึงขัน้ เปล่ยี นแปลงความคิด เช่น การโฆษณาชวนเช่ือต่างๆ 5 เพอื่ แสดงความคดิ เห็น เป็นการพูดแสดงความคดิ เหน็ ต่อเร่ืองราวใดเรอื่ งราวหนงึ่ ท่ีผู้พดู ต้องการให้ผฟู้ ังสนใจและมีความคดิ เหน็ คล้อยตามเพื่อประโยชน์อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ผูพ้ ดู ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งท่จี ะแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งกว้างขวาง ผู้พดู ต้องมีกลวธิ กี ารนาเสนอทด่ี ี จึงจะ สามารถสร้างความเข้าใจและชักจูงใจจากผฟู้ ังไดเ้ ปน็ อย่างดี สว่ นประกอบเนอ้ื เร่ืองที่จะพูด โดยทว่ั การเตรียมเน้ือหาจะต้องมโี ครงเรื่อง ได้แก่ คานา เนอ้ื เร่อื ง และสรปุ จบ เพื่อให้ การพดู ดาเนินไปโดยสม่าเสมอตลอดเร่ือง ซึ่งสว่ นประกอบของเนื้อเรอื่ งทจ่ี ะพูดมีรายละเอียด ดังน้ี คานา เป็นตอนสาคัญทจ่ี ะเรยี กรอ้ งใหผ้ ู้ฟังสนใจและตง้ั ใจฟงั คานาจงึ ต้องใช้ภาษาและ สานวนท่ีกะทัดรัดได้ใจความดี โดยอาจข้นึ ตน้ ไดห้ ลายแบบ ได้แก่ 1. กลา่ วถงึ ความสาคญั ของเร่ือง 2. นาด้วยตัวอย่างหรอื นทิ าน 3. นาด้วยขอ้ ความทีเ่ ร้าใจ 4. นาด้วยคาถามท่เี ร้าใจ 5. นาดว้ ยการยกย่องผู้ฟัง 6. นาด้วยคาพังเพย สภุ าษิต คาขวญั คาประพนั ธ์ หรือคาคม
ED12101 141 ภาษาและวัฒนธรรม เนือ้ เรือ่ ง เน้อื เรื่องท่จี ะพดู เป็นสว่ นสาคญั ของเน้ือหาสาระทจี่ ะพูด ดังนนั้ ผพู้ ูดจะต้องเตรียม ใหม้ คี วามเหมาะสมกับเรือ่ งท่ีจะพดู ดังนี้ 1.สอดคล้องกับคานา 2. เปน็ ไปตามลาดับขั้นตอนตามโครงเร่ือง 3. เวลาพูดตอ้ งแสดงสหี น้า ท่าทางใหเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั เร่อื ง 4. เพ่ือใหเ้ กดิ ความสนใจ แต่ไม่มากจนกลายเปน็ เลน่ ละคร สรุปจบ การสรุปจบเรือ่ งท่ีพดู อาจทาไดห้ ลายวธิ ี คือ 1. ย้าจุดสาคญั 2. จาแนกหวั ข้อสาคัญ 3. ทบทวนความรทู้ ั่วไป 4. สรุปดว้ ยการสรรเสรญิ สดุดี การเตรียมตัวในการพูด การพดู ในที่มผี ู้ฟังเป็นจานวนมาก ผูฟ้ ังจะตงั้ ความหวังจะไดร้ บั ความรแู้ ละสาระประโยชน์จาก การฟังในครง้ั นนั้ ผู้พดู จึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มีความเช่ือมันในตนเองกล้าแสดงออก สิ่งเหล่าน้ัน จะชว่ ยใหผ้ พู้ ูดประสบความสาเสรจ็ ได้ หลักการเตรยี มตวั พูดในชุมชนมดี งั นี้ 1. กาหนดจุดมุ่งหมายใหช้ ัดเจนวา่ จะพูดอะไร เพ่ืออะไร มขี อบขา่ ยกวา้ งขวางมากน้อย เพยี งใด 2. วิเคราะหผ์ ู้ฟงั พิจารณาจานวนผฟู้ ัง เพศ วัย การศึกษา สถานภาพทางสงั คม อาชพี ความ สนใจ ความมุง่ หวงั ทัศนคตเิ พอื่ นาข้อมูลของกลุม่ ผฟู้ ังมตี ่อเรอื่ งท่พี ูดและตัวพูดเพ่ือนาข้อมูลมาเตรยี ม พูดและเตรียมวิธกี ารใช้ภาษาใหเ้ หมาะกบั ผู้ฟงั 3. กาหนดขอบเขตของเร่ือง โดยคานึงถงึ เนื้อเรื่องและเวลาท่ีจะพูด กาหนดประเดน็ สาคัญให้ ชดั เจน 4. รวบรวมเนอ้ื หา ต้องจัดเนื้อทีผ่ ูฟ้ ังจะได้รับประโยชน์มากทีส่ ดุ การรวบรวมเน้ือหาทาได้ จากการศึกษาค้นควา้ จากการสมั ภาษณ์ สอบถามผู้รู้ ประสานความรคู้ วามสามารถพ้ืนฐานทีต่ นเองมี แลว้ จดบนั ทึกไว้ 5. เรียบเรยี งเนอ้ื เร่ือง ผู้พดู จดั ทาเค้าโครงเร่ืองให้ชัดเจนเป็นไปตามลาดับ เตรยี มการใชภ้ าษา ใหเ้ หมาะสม กะทัดรดั เข้าใจง่าย ตรงประเด็น พอเหมาะกบั เวลา 6. การซ้อมพดู เพื่อใหเ้ กิดความความมั่นใจในการพดู ต้องซ้อมออกเสียงพูดถูกอักขรวิธี มี ลลี าจังหวะทา่ ทาง สีหน้า สายตา นา้ เสียง มผี ู้ฟงั ชว่ ยตชิ มการพูด มกี ารบันทึกเสยี งการฝึกซ้อม ใน กรณีเปน็ การพูด แบบฉบั พลัน ผพู้ ดู ไม่รู้ตวั มาก่อน หรอื รู้ลว่ งหนา้ เพยี งระยะเวลาส้นั ๆ เชน่ กลา่ วอวย พรในงานมงคลสมรส กลา่ วแสดงความยินดี กลา่ วแสดงความคิดเห็นในนามแขกผูม้ ีเกียรติ ผพู้ ดู ท่มี ี ประสบการณ์สามมารถสร้างบรรยากาศได้ดี แนวทางในการพดู ตอ่ ท่ีชุมชนมีดังนี้ 6.1 เมือ่ ได้รับเชญิ ใหพ้ ูด อยา่ แสดงอาการตกใจ แต่จงภมู ใิ จที่ได้รับเกยี รติน้นั ลกุ ข้ึน เดนิ ไปอย่างสง่าผา่ เผยกล่าวทักทายต่อทีป่ ระชุมใหเ้ หมาะสมกับบุคคลทีม่ าประชุม พร้อมกับสังเกต
ED12101 142 ภาษาและวัฒนธรรม สถานการณ์ สภาวะแวดลอ้ ม เริ่มประโยคแรกเพื่อดงึ ดูดความสนใจของผฟู้ งั ให้มากทส่ี ดุ 6.2 พูดเรอื่ งท่ีง่ายและใกลต้ ัวที่สุด ลาดับเรือ่ งทีจ่ ะพดู ก่อนหลัง โดยเสนอแนวคิด อย่างกระชับท่สี ุด พดู ไปอยา่ งต่อเนื่อง พูดบทสรุปในตอนจบอยา่ งประทับใจและพยายามรักษาเวลาที่ กาหนดไว้ 6.3 ในกรณีทีเ่ ป็นการตอบคาถาม กลา่ วทักทายหรือทาขนั้ ตอนอย่างสนั้ ๆ แลว้ ทวน คาถามใหก้ ระชบั ตอบโดยลาดับเรื่องใหต้ รงประเด็น ขยายความใหช้ ดั เจน 6.4 ผู้พดู ตอ้ งมปี ฏิภาณไหวพรบิ คือมคี วามสามารถในการแสดงความคดิ ทจ่ี ะแกไ้ ข ปญั หาต่างๆ รวมท้ังความคิดสร้างสรรค์ไดอ้ ย่างฉบั ไว เรียบเรยี งเนื้อเรอื่ งพดู ได้ทนั ที คดิ เรว็ และมี เหตุผล วธิ ีการพูดเพอ่ื การสือ่ สาร วิธกี ารพดู เพื่อการสื่อสารนั้นมีหลายแบบ แต่ละแบบมีการเตรียมตัวไม่เหมือนกัน ผู้พูดแต่ละ คนกม็ ีความถนดั แตกต่างกนั ไป บางคนถนดั ท่จี ะพูดจากความทรงจา บางคนถนัดท่ีจะพูดปากเปล่าใน ทันทที นั ใดโดยไมต่ อ้ งเตรียมตัว บางคนก็ตอ้ งพดู จากสง่ิ ที่ร่างไว้จึงจะพดู ได้ จึงเหน็ ได้ว่าผู้พูดแต่ละคนมี วิธกี ารพูดท่ีไม่เหมือนกัน วิธีการน้ันข้ึนอยู่กับตัวบุคคลเองและขึ้นอยู่กับโอกาสต่าง ๆ ด้วย นอกจากน้ี แล้ว บางครง้ั ผูพ้ ดู ก็ถกู สถานการณ์บังคับให้ใชว้ ธิ ีการพดู ท่แี ตกต่างไปจากสิ่งท่ีตนถนัด ดังน้ันเราจึงควร ทราบว่าวธิ ีการพูดน้นั มกี ่แี บบ แต่ละแบบเหมาะสมกับโอกาสใด และผู้พูดจะตอ้ งเตรยี มตัวอยา่ งไร โดยทัว่ ไป วธิ กี ารพูดเทา่ ที่ปฏบิ ตั ิกนั อยูส่ ามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 4 วิธดี ้วยกันคอื 1. การพูดแบบกระทันหัน การพูดแบบน้ีผู้พูดไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เป็นวิธีการพูดท่ีสร้าง ความประหม่าต่ืนเต้นให้กับผู้พูดมากที่สุด สาหรับผู้พูดบางคน โอกาสเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ หากไม่ใช้ ปฏิภาณไหวพรบิ และความจัดเจนท่ีมอี ยูเ่ ป็นทุนแล้ว อาจจะพูดไม่เป็นเร่ืองเป็นราวไปเลยก็ได้ ข้อควร ปฏบิ ัติสาหรบั ผ้พู ดู ในสถานการณแ์ บบนกี้ ค็ อื ต้ังสตใิ ห้มัน่ ไม่ตนื่ เต้นตกใจจนเกนิ ไป ถึงแม้ว่าจะเป็นคน ท่ีไม่ถนัดในการพูด ก็อย่าปฏิเสธ ต่อรอง หรือแสดงความลังเล ให้สร้างความรู้สึกพึงพอใจและยินดีที่ จะได้พูด ซ่ึงสิ่งนี้จะสร้างความม่ันใจให้ผู้พูด ในระหว่างน้ันก็ให้ใช้ความคิด นึกถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ทเี่ ห็นวา่ มปี ระโยชน์ และสอดคล้องกับเรื่องหรือบรรยากาศท่ีจะพูด นอกจากน้ียังสามารถหาข้อมูลใน การพูดจากสง่ิ แวดลอ้ มที่มอี ยใู่ นขณะนนั้ เพ่อื นามาผสมผสานกับประสบการณ์ของตนเอง หากมีความ จาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งเลือกวธิ นี ม้ี าใช้ในการพูดของตนควรเลือกเรอ่ื งทด่ี ีและเหมาะสมที่สุด พูดให้สั้น และใช้ ภาษาท่ีงา่ ย เพอ่ื ปอ้ งกันความผดิ พลาด การเตรียมใจ เตรียมตัวให้ดี เร่ิมต้นให้ดี จะช่วยให้การพูดของ เราประสบความสาเร็จไดม้ าก 2. การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือการพูดโดยอ่านจากต้นฉบับท่ีเตรียมไว้ ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ส่วนมากจะเป็นการพูดท่ีเป็นพิธีการต่าง ๆ เช่น การกล่าวเปิดงาน การกล่าว รายงาน การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวสดุดี การปราศรัย การให้ โอวาท ฯลฯ โดยเฉพาะคาอ่านที่ใช้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ นั้น การอ่านจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถูกต้อง ทุกถ้อยคา ภาษาที่ใช้ก็มักจะเป็นภาษาท่ีสละสลวยเรียบเรียงมาอย่างดี และเป็นทางการมากกว่า ภาษาพูดตามธรรมดา การพูดจึงต้องอาศัยการอ่านเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุดเพื่อป้องกันความผิดพลาด ดังน้ันผู้
ED12101 143 ภาษาและวัฒนธรรม พูดจึงต้องฝึกอ่านต้นฉบับให้คล่อง ฝึกอ่านย่อหน้า วรรคตอน ฝึกหาคาศัพท์ที่ยาก สานวนพูด ฝึกน้า เสยี ง และการประสานสายตากบั ผู้อ่านดว้ ย การพูดแบบนี้อาจจะต้องนามาใช้กับการพูดท่ีต้องเสนอข้อเท็จจริงเก่ียวกับการเงิน ตัวเลข การอ้างอิงสถิติ ซ่ึงส่วนใหญ่จะใช้ในการเสนอรายงานต่าง ๆ การพูดโดยอ่านจากร่างนี้เป็นวิธีที่ง่าย ที่สุด แต่บางคนก็ก้มหน้าก้มตาอ่านโดยไม่เงยหน้ามองผู้ฟังเลย ข้อแนะนาก็คือควรอ่านให้เหมือนกับ พูด และสบสายตากบั ประธานในงานเปน็ คร้ังคราว เน้นในตอนท่ีควรเน้น ไม่อ่านด้วยเสียงเสมอกันไป หมด นักพูดจานวนไม่น้อยท่ีต้องอาศัยร่างหรือต้นฉบับในการพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดเรื่อง ทวั่ ๆ ไป เพ่อื ปอ้ งกันการจาเร่อื งไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันกจ็ ะเกิดความกลัววา่ จะจาเร่ืองไม่ได้ หรือจะ ต่อข้อความที่จะพดู ไปในลักษณะใด แต่ถ้าหากว่าจะใช้ต้นร่างในการพูด ก็หว่ันเกรงอีกว่าจะติดอยู่กับ ตน้ รา่ งนัน้ แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็จะทาให้การพูดไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้ฟังก็จะ ไม่ศรัทธา ไม่นิยมชมชอบเท่าที่ควร ดังน้ันหากจะใช้วิธีการพูดโดยใช้ต้นร่าง ก็ควรปฏิบัติตามข้อแนะ นาต่อไปนี้ เพ่ือใหก้ ารพูดไดผ้ ลดีทสี่ ดุ 1. เขยี นตน้ รา่ งสาหรับหู ไมใ่ ช้สาหรับตา 2. เขยี นถอ้ ยคาทเ่ี ราแน่ใจว่าเมือ่ เราอา่ นออกมาแลว้ จะใชไ้ ด้ ใหเ้ ป็นลลี าของเราเอง 3. เขยี นประโยคท่งี า่ ยและสนั้ 4. พยายามตัดข้อความหรอื ประโยคทีย่ ุ่งยากออกไป 5. ใช้ภาษาพดู ที่เขา้ ใจไดง้ ่าย หากไม่จาเปน็ ไมค่ วรใชศ้ พั ท์เทคนิคตา่ ง ๆ 6. พยายามให้มคี วามฉลาดในน้าเสยี ง เชน่ มกี ารเนน้ เสยี งในการพดู บางคร้ัง 7. พูดให้เหมือนกับว่าเรากาลังพูดคุยกับตัวคน ไม่ใช่พูดอยู่กับต้นร่าง ต้องพยายามพูดให้ เหมือนกับว่าเราไมไ่ ด้ใชต้ ้นรา่ งในการพดู เลย แต่เปน็ การพูดคุยกนั ตามธรรมดา 8. เม่ือเตรียมต้นร่างเสร็จแล้วควรนามาอ่านหลาย ๆ คร้ัง เพ่ือเรียบเรียงความคิดและ พยายามใช้ภาษาให้มีชีวิตชีวา พยายามเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ ท่ีเราคิดว่าเหมาะสมลงไป จึงจะทาให้สิ่งท่ี เราพูดไมน่ ่าเบ่ือหนา่ ย และการพดู ของเรามีชวี ติ ชีวา ไมใ่ ชพ่ ดู เหมือนเครื่องจักร 9. เวลาพูดพยายามประสานสายตากับผู้ฟัง หากผู้พูดได้เตรียมตัวมาอย่างดี มีความเข้าใจ เร่ืองท่ีพูดได้ดี ก็จะย่ิงสามารถละสายตาจากต้นร่างมามองผู้ฟังได้ หรือใช้การเหลือบสายตาดูต้นร่าง เพียงนิดเดียว กจ็ ะสามารถเขา้ ใจและพดู ตอ่ ไปได้อยา่ งดี 3. การพูดแบบท่องจาจากร่าง การพูดแบบน้ีผู้พูดจะต้องเตรียมยกร่างเร่ืองท่ีจะพูดด้วย ตนเอง หรอื ให้ผู้อืน่ ร่างใหก้ ไ็ ด้ เมอ่ื รา่ งเสรจ็ แลว้ จงึ ท่องจาเอาไปพูด ผู้พดู จะตอ้ งจดจาเนือ้ หาท่ีจะ พูดอย่างแม่นยา และต้องมีเวลาในการเตรียมตัว ควรใช้การพูดแบบน้ีเฉพาะในโอกาสพิเศษ หรอื พิธกี ารท่สี าคญั ๆ และพูดสั้น ๆ เพียง 3-4 นาทีเทา่ นั้น ข้อเสียของการพูดแบบท่องจาก็คือ จะต้องระวัง พูดให้ผิดพลาดไม่ได้เลย ดังนั้นผู้พูดจะมัว พะวงกับเน้ือหาที่พูดมากเกินไป จนอาจลืมเรื่องการใช้สายตาและกิริยาท่าทางและทาให้เสียบุคลิกได้ นอกจากนี้ยังน่าเบื่อหน่ายเพราะเสียงของผู้พดู จะราบเรียบเปน็ ทานองเดียว ทาให้การพูดไม่มีชีวิตชีวา ซงึ่ ตามหลกั การพูดแล้วถือว่าใช้ไม่ได้ นักพูดหน้าใหม่ส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีท่องจาแล้วเอาไปพูด เพราะ
ED12101 144 ภาษาและวฒั นธรรม กลัวว่าจะพูดไม่ได้ดี หรือพูดไม่ออก แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้พูดอาจจะจาไม่ได้ทั้งหมด และหาก ลืมข้อความตอนหนึ่งตอนใดเสีย การพูดก็จะติดขัด อาจสะดุด หยุดชะงัก แล้วผู้พูดจะต้องคิดต่อเอา เอง ทาใหม้ ผี ลกระทบต่อการแสดงออกและบุคลกิ ภาพทีด่ ีได้ 4. การพดู จากความทรงจา การพดู แบบนีถ้ อื วา่ เป็นการพดู จากใจ จากความรู้สึกที่แท้จริงของ ผู้พูด เปน็ วิธีการพดู ทเี่ หมาะสมทสี่ ุดกับการพดู ทุกโอกาส ผพู้ ูดเปน็ ตัวของตวั เอง คนที่จะพูดแบบนี้ได้ดี จะตอ้ งมีความจาดี มีปฏภิ าณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนาเร่ืองราวต่าง ๆ มาประสานกันได้ อยา่ งดี ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในการพูดจากความทรงจาน้ีก็คือ หากผู้พูดใช้วิธีท่องจาส่ิงที่จะนามา พดู กจ็ ะทาให้การพดู น่าเบอ่ื หน่าย ผู้พูดมีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์ ทั้งยังอาจจะลืมส่ิงท่ีเตรียมมาพูดได้ เพราะตามปกติแล้ว การพูดตอ่ หนา้ คนจานวนมากจะทาให้ผู้พูดเกิดความประหม่า ต่ืนเต้น จนลืมบาง สง่ิ บางอย่างท่ีควรพดู ลืมประสานสายตากับผฟู้ ัง ลืมแสดงกิริยาท่าทางประกอบ ฯลฯ ดังน้ันหากผู้พูด เลือกวิธีการพูดแบบพูดจากความทรงจา ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการท่องจา หลีกเล่ียงปัญหาการลืมด้วย การพยายามพูดเร่ืองท่ีผู้พูดมีประสบการณ์มาจริง ๆ และเตรียมตนเองให้พร้อมโดยใช้วิธีจาแต่เค้า โครงเร่ืองท่ีมีความสาคัญและจาเป็น นาเค้าโครงน้ันมาลาดับไว้ในความคิดและเล่าออกมาให้ ตอ่ เน่ืองกัน อย่างไรก็ตาม ผู้พูดทเ่ี กรงว่าจะลมื สิ่งทีต่ ้องพูด ก็อาจจะใช้กระดาษแผ่นเล็ก ๆ จดหัวข้อย่อ ๆ ไว้เปน็ ลาดับ ขณะท่พี ูดก็ใชว้ ิธีเหลือบตาดหู ัวขอ้ นนั้ แลว้ พูดขยายความไปตามที่ต้องการ ซ่ึงการเตรียม หวั ข้ออยา่ งยอ่ นี้ทาใหผ้ ู้พดู ไมล่ ืม ไม่สับสน และสามารถเพ่มิ เติมเสริมเร่อื งราวได้อยา่ งกว้างขวาง พูดได้ เน้อื หามากและสะดวกในการรักษาเวลาด้วย การพดู สอ่ื เพ่อื การสือ่ สารสาหรบั ครู ทกั ษะการพดู เพ่ือสื่อความหมายสาหรับครนู ้นั เช่น การพูดนาเขา้ สู่บทเรียน การพูด บรรยาย การพูดเลา่ เรื่อง กรพูดเรา้ ความสนใจ และการพดู สรุปบทเรยี น สามารถสรุปสาระสาคญั โดยสังเขปได้ ดงั นี้ 1.การพดู นาเขา้ ส่บู ทเรยี น ความหมายของการนาเข้าสู่บทเรยี น ณรงค์ กาญจนะ (2552 : 10-11) ได้กล่าวไว้ว่า การนาเข้าส่บู ทเรยี น หมายถงึ กลวิธีต่างๆ ทีค่ รูใช้ในการดาเนินกิจกรรมการเรยี นการสอนเพื่อเตรยี มตวั นกั เรยี นก่อนเร่ิมเรียนและก่อนครูจะสอน เนื้อหาทุกวิชาซ่ึงเป็นการเตรียมนักเรียนให้รู้ว่ากาลังเรียนเร่ืองอะไร สามารถนาความรุ้และทักษะท่ี นักเรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนท่ีครูกาลังจะสอนได้ โดยการหากิจกรรมท่ีจะเร้าความสนใจ ของนักเรยี นแล้วเชือ่ มโยงไปสู่บทเรยี น ซง่ึ จะทาให้นักเรยี นเข้าใจบทเรียนไดด้ ียิ่งขน้ึ อาภรณ ใจเทย่ี ง (2553: 121) ได้กล่าวไว้ว่า การนาเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การจัดกิจกรรม ก่อนเริ่มสอนเน้ือหาในทุกวิชา เพื่อเป็นการเตรียมนักเรียนให้รู้ว่ากาลังเรียนเร่ืองอะไร โดยนาเอา ความรู้และทักษะท่ีนักเรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนที่ครูสอน ซ่ึงจะทาให้นักเรียนเข้าใจ บทเรียนได้ชัดเจนขึ้น ทง้ั นี้ครจู ะใชเวลาในการนาเขา้ สู่บทเรียน ประมาณ 5-10 นาที
ED12101 145 ภาษาและวัฒนธรรม วัตถุประสงคข์ องการนาเข้าสบู่ ทเรียน ณรงค์ กาญจนะ (2552 : 10-11) ได้กล่าวถึง การนาเข้าสู่บทเรียนมีวัตถุประสงค์เพ่ือเร้า ความสนใจของนกั เรยี นหรอื ดงึ ดูดความสนใจของนกั เรยี นมาอย่ทู ีก่ ารสอนของครู และเป็นการเตรียม นักเรียนให้มีสมาธิในการฟังเรื่องท่ีคุณครูจะสอน นักเรียนรู้ว่าต่อไปจะเรียนเร่ืองอะไร และสามารถ นาเอาความรู้และทักษะเดิมที่มีอยู่มาสัมพันธ์กับบทเรียนใหม่ ซึ่งทาให้นักเรียนเห็นแนวทางในการ เรยี นรู้ และจะทาให้นกั เรียนเข้าใจบทเรยี นใหมไ่ ดช้ ัดเจนย่ิงข้ึน วิธกี ารนาเขา้ สบู่ ทเรยี น การนาเข้าสู่บทเรียน เป็นสิ่งท่ีครูต้องคานึงถึงและบรรจุลงไปในแผนการสอน เสริมศรี ลกั ษณศริ ิ (2540: 320) ไดก้ ล่าวไว้ว่า การนาเข้าสู่บทเรียนอาจจะทาไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ใช้อปุ กรณท์ สี่ ัมพันธ์กบั เน้ือหาวชิ า เช่น ใชข้ องจริง หุ่น รูปภาพ เปน็ ต้น 2. ให้นักเรยี นทากจิ กรรมทส่ี มั พันธก์ บั บทเรยี น 3. สนทนาซกั ถามแลว้ เช่ือมโยงไปยังเร่ืองท่ีจะสอน 4. ร้องเพลง หรือเลน่ ละคร หรอื การแสดงบทบาทสมมติ 5. ตั้งปญั หา ทายปัญหา 6. ทบทวนบทเรยี นเดิมทสี่ มั พันธ์กบั บทเรยี นใหม่ 7. เล่านิทาน เล่าเรอื่ งราว เลา่ เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ 8. สาธิต ทดลอง เพ่ือนาเข้าสู่เรือ่ งทจี่ ะสอน เชน่ ครอู าจเรียกเด็กหลายคนออกมาสาธติ การ ไหวแ้ บบต่างๆ การทาความเคารพ เพื่อเชื่อมโยงเขา้ กับการสอนเรอ่ื งวิธที าความเคารพ เปน็ ต้น ประโยชนข์ องการนาเขา้ ส่บู ทเรียน การนาเข้าส่บู ทเรยี นมีประโยชน์อย่างย่ิง เปน็ เทคนิควีการทีช่ ว่ ยใหน้ กั เรียนเกดิ ความพร้อม เพ่ือการเรยี นร้แู ละเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ียิ่งขนึ้ รวมทง้ั เปน็ สอ่ื เช่อื มโยงสมั พนั ธภาพที่ดรี ะหว่างครกู บั นักเรยี นก่อนดาเนนิ การสอนในขน้ั ต่อไป และช่วยให้นักเรียนเชือ่ มโยงความรู้เดิมกบั เร่ืองทจ่ี ะเรยี น ต่อไป ประโยชนของการนาเขาสูบทเรยี น สามารถสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. สามารถเรยี กรองความต้ังใจของนักเรยี นใหพรอมทจ่ี ะเรียน 2. สามารถเราและจูงใจใหนกั เรยี นคงความสนใจในบทเรียน 3. สามารถบอกลกั ษณะและวิธีการสอนของเรื่องท่จี ะเรยี นได 4. สามารถเชือ่ มโยงความรูเดิมกับเรอื่ งท่ีจะเรยี นตอไปได 5. เปนส่ือเชื่อมโยงสมั พันธภาพทด่ี รี ะหวางนกั ศึกษากบั ครูกอนทจี่ ะสอนเนื้อหา นอกจากการนาเข้าสู่บทเรียนในตอนเริ่มสอนแต่ละคาบหรือช่ัวโมงแล้วในการเริ่มหัวข้อใหม่ หรือเริ่มกิจกรรมใหม่ระหว่างคาบหรือช่ัวโมง ครูก็ควรเตรียมความพร้อมของนักเรียนด้วยกิจกรรม ต่างๆ ก่อนเร่ิมหัวข้อใหม่หรือกิจกรรมใหม่นั้นด้วย กิจกรรมนั้นจะเป็นการเล่าเร่ือง การใช้คาถาม หรอื กจิ กรรมอนื่ ๆ ทเ่ี หมาะสม ทั้งนี้เพอ่ื ให้นักเรียนสามารถตามทนั เน้อื หาและสามารถเรียนรู้ไดด้ ี
ED12101 146 ภาษาและวัฒนธรรม ส่ิงสาคัญในการพูดนาเข้าสู่บทเรียน ครูควรปฏิบัติในสิ่งต่างๆ ที่สาคัญ ได้แก่ ครูควรรู้ ประสบการณ์ หรือความรู้เดิมของนักเรียนเพ่ือโยงให้สัมพันธ์กับกิจกรรมนาเข้าสู่บทเรียนและเน้ือ สาระบทเรียนใหม่ และศึกษาเร่ืองที่จะสอน แล้วพิจารณาเลือกกิจกรรมนาเข้าสู่บทเรียนให้ผสม กลมกลืนกัน รวมทั้งศึกษากิจกรรมที่จะนามาใช้ และฝึกฝนหรือเตรียมความพร้อมให้เกิดทักษะ ความชานาญและความมนั่ ใจที่จะนาเสนอ 2.การพดู บรรยาย ทักษะการพดู บรรยายในท่ตี า่ ง ๆ นนั้ การพดู แบบนต้ี ้องใชก้ ารอธบิ ายเพอ่ื ช้แี จง หรือให้ความรู้ วธิ กี ารอธิบายอาจทาได้หลายแบบ เชน่ การซกั ถาม การยกตัวอย่าง หรอื การเปรยี บเทยี บ เป็นตน้ วัตถุประสงคข์ องการบรรยายหรืออธบิ าย การบรรยายหรอื การอธบิ ายมีวัตถุประสงค์ ดังน้ี 1. ใหข้ ้อมลู ข่าวสาร โดยการบอกเลา่ และช้ีแจง 2. ให้ความรูแ้ ละสาระ โดยการอธิบายหรอื ชแี้ จง 3. สรา้ งความเขา้ ใจ โดยการยกตวั อย่างและตคี วาม 4. แสดงความคดิ เหน็ ความรู้สกึ และเจตคติ โดยการเสนอความคิดแก่ผู้ฟงั วิธีพดู แบบบรรยายหรืออธบิ าย วิธพี ดู แบบบรรยายหรืออธิบายอาจทาได้ดังน้ี 1. ศกึ ษาค้นคว้าและรวบรวมขอ้ มูลของเร่ืองทจี่ ะพูดไว้อย่างเปน็ ระบบ 2. กาหนดขอบเขต แนวคิดและประเด็นทส่ี าคญั 3. หาเหตุผล คากลา่ วอา้ งและข้อคน้ พบตา่ ง ๆ ไว้สนับสนนุ เนือ้ หาสาระ 4. เลือกตวั อยา่ งหรือกรณีศึกษาตา่ ง ๆ ไว้ประกอบการพูด เพอ่ื เพิม่ น้าหนัก และความ นา่ เช่อื ถอื 5. วางเคา้ โครงเร่อื งและจัดระบบความคิด 6. รา่ งบทพดู ต้งั แต่อารัมภบท เน้ือเร่อื ง และบทสรปุ 7. หากตอ้ งใช้อปุ กรณ์ประกอบการบรรยาย ควรจดั เตรยี มใหพ้ รอ้ ม และซักซอ้ ม การใช้ให้ ชานาญ 8. กอ่ นการบรรยายควรทบทวนรา่ งเนื้อหา การจัดลาดบั ก่อนหลงั ให้แน่นอน และต้องรักษา เวลาให้พอดตี ามที่กาหนดให้ 9. ขณะบรรยาย ควรคานึงถึงหลักการพูดอย่างถกู วธิ ี เช่น การใช้สายตา การใชเ้ สียง การใช้ ถ้อยคา การใช้ท่วงท่าและลลี าประกอบ เปน็ ต้น องค์ประกอบของการบรรยายท่มี ีประสิทธิภาพ การบรรยายหรอื การอธิบายที่ได้ผลอย่างมปี ระสิทธิภาพ ควรคานงึ ถงึ เรื่องต่อไปน้ี 1. ลักษณะของผู้บรรยาย ผู้บรรยายจะต้องมคี วามรู้ความเข้าใจในเน้ือหาที่จะบรรยายเป็น อย่างดี สามารถวเิ คราะห์พฤติกรรมของผู้ฟงั ได้ มีความสามารถในการใช้ถอ้ ยคา มีไหวพริบปฏิภาณ และมบี คุ ลิกภาพเหมาะสมน่าเชอ่ื ถือ
ED12101 147 ภาษาและวัฒนธรรม 2. การนาเสนอ ต้องเสนอเร่ืองราวอยา่ งเปน็ ข้ันตอน สรปุ แนวคดิ ใหช้ ัดเจน ขยายความ และ ตีความได้ถกู ต้อง ตลอดจนนาเสนอได้สอดคล้องและบรรลุจุดมงุ่ หมายของเรื่องราวนน้ั ๆ 3. บรรยากาศของการบรรยาย ต้องมีสถานทแ่ี ละสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อือ้ อานวย เร่ืองที่พูดอยู่ ในความสนใจของผู้ฟัง พยายามดึงผฟู้ ังใหม้ ีส่วนรว่ ม และสามารถควบคุมเวลาได้ตามกาหนด 3. การพูดเลา่ เรื่อง การเล่าเรอื่ ง เปน็ การถา่ ยทอดความคดิ ประสบการณ์ ความรูส้ กึ ความต้องการ และ เจตนารมณต์ ่าง ๆ ของผ้เู ล่า เพอ่ื ให้ผู้ฟงั รบั รู้และเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ เป็นการตอบสนองที่มีสัมฤทธิผล ตรงตามจดุ มงุ่ หมายของผู้เล่า หลักการเลือกเร่ืองทจ่ี ะนามาเลา่ เรอ่ื งหรอื หวั ขอ้ ที่จะนามาอธิบายเล่าให้ฟัง อาจเป็นเรื่องท่ีอยู่ในความสนใจทันสมัยเหมาะสม กับวัย ความสามารถ พ้ืนความรู้ของผู้เรียน และควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบทเรียน ทั้งนี้การนาเรื่อง มาเลา่ นั้นมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ (หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู,2520 อ้างถึงใน อาภรณ์ ใจเท่ียง, 2553) 1. เปน็ เรื่องทม่ี ีคุณค่าต่อพฒั นาการทางสตปิ ัญญาและการใชภ้ าษาของผูเ้ รยี น 2. ควรมีคุณค่าทางศลี ธรรมจรรยา เปน็ เรอื่ งท่สี ุภาพ และส่งเสริมใหเ้ กดิ เจตคตทิ ีด่ ีงาม 3. ควรเลือกเร่ืองทีเ่ หมาะสมกับสภาพของเดก็ คอื เหมาะสมกับวยั หรือ สติปญั ญา 4. ควรมเี รอื่ งหลายๆ ประเภทไมซ่ ้ากนั 5. เรื่องไมย่ าวหรือสั้นเกนิ ไป ไม่สับสนวกวน 6. ไมค่ วรใชเ้ ร่ืองทที่ าใหเ้ ดก็ เสียสขุ ภาพจติ เชน่ เรอ่ื งท่ีทาให้เดก็ เกิดความหวาดกลัวซึ่งเป็น การทรมานใจเดก็ อย่างร้ายแรง 7. เรือ่ งราวท่ีนามาเล่าควรสนกุ สนาน เรา้ ความสนใจ มีคติพจนแ์ ฝงอยู่แต่ไม่ควรเปน็ เร่ือง เพ้อฝัน ขาดเหตผุ ล เพราะอาจจะทาให้เด็กหลงเชือ่ อย่างงมงาย วตั ถุประสงค์ของการพดู แบบเล่าเร่อื ง 1. เพ่ือให้ความรู้ โดยผู้เล่าเป็นผู้ให้ความรู้ มีประสบการณ์ตรงเก่ียวกับเร่ืองที่เล่า สามารถ อธิบายหลักเกณฑห์ รอื ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ได้ 2. เพ่ือให้เกดิ จินตนาการแกผ่ ูฟ้ งั โดยผ้เู ลา่ ต้องใช้คาพูดและเสียงประกอบให้ผู้ฟังใช้ ความคิด สร้างจินตนาการและนกึ เหน็ ภาพราวกับสัมผสั ด้วยตนเอง 3. เพ่ือให้ความบันเทิง โดยผู้เล่าต้องสอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึกให้เข้ากับเนื้อเรื่อง เพื่อให้ ผฟู้ ังผ่อนคลายความตงึ เครียด สนุกสนาน ต่ืนเต้น และไดร้ บั ความเพลิดเพลนิ 4. เพอ่ื ชกั จูงให้ผฟู้ ังเปลย่ี นทศั นคตแิ ละพฤติกรรมไปในทางที่ดี โดยผู้เล่าควรใช้ถ้อยคา แสดง ความหนกั แน่น ใชส้ ภุ าษิตคาคม การเปรยี บเทยี บหรอื เหตกุ ารณจ์ ริงประกอบให้ชัดเจน
ED12101 148 ภาษาและวัฒนธรรม 5. เพื่อการสงั่ สอนอบรม โดยผ้เู ล่าต้องใช้สาธกโวหาร และอปุ มาอุปไมยโวหารมา ประกอบให้ ผู้ฟงั เห็นจริง เกดิ ความร้สู ึกคลอ้ ยตาม เพอ่ื เปลย่ี นแปลงความคดิ ไปในทางทีด่ ี 6. เพื่อแสดงความคิดเห็น โดยผู้เล่าควรมีประสบการณ์และมีข้อมูลมาประกอบ ให้ถูกต้อง การเล่าลกั ษณะน้ีจะมกี ารให้ข้อคิดเหน็ หรือข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ วธิ ีพดู แบบเล่าเรื่อง อาจทาไดด้ ังน้ี 1. ต้องกาหนดจุดมุ่งหมายก่อนว่าต้องการให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์อะไร แล้วเลือกเร่ือง ให้ สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ 2. เตรยี มเรือ่ งโดยวางเค้าโครง ลาดบั ใจความ เตรียมสานวนภาษา การใช้คาพดู ทา่ ทาง เสียง และสอ่ื ประกอบการเล่าเร่อื ง 3. วางแผนการเล่าโดยมีการเริม่ เรือ่ ง ดาเนินเรื่องและจบเร่ือง เพ่ือให้เกิดการติดตามฟงั 4. ควรจดั บรรยากาศในการเล่าเรือ่ งให้เหมาะสม 5. ดึงความสนใจของผูฟ้ ังให้มีส่วนร่วม เช่น การซกั ถาม เป็นต้น 6. มีการใช้เสียงเร้าความสนใจ เชน่ การทอดเสียง การเน้นจังหวะ การเน้นคา การใส่อารมณ์ เป็นตน้ 7. มกี ารประเมินผลการฟัง โดยการซักถาม หรอื ต้งั คาถามให้ผูฟ้ งั รว่ มกันตอบ ส่ิงทีท่ าให้การเลา่ เร่อื งนา่ สนใจ 1. ใชภ้ าษาง่าย/สนุกสนาน 2. น้าเสยี ง/จงั หวะ 3. การใช้อุปมาอปุ ไมย 4. ลีลา / ท่าทาง 5. อารมณ์ขนั เพ่ือคลายเครียด 4.การพดู เร้าความสนใจ การพดู เรา้ ความสนใจเป็นรปู แบบการพูดประเภทหนึ่งซ่ึงมีความสงิ่ สาคัญทีจ่ ะชว่ ยในการ เรยี นการสอนประสบผลดี เพราะจะชว่ ยใหค้ รูปรับปรุงกลวิธกี ารสอน การเร้าความสนใจ หมายถึง การกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ เกิดความกระตือรือร้นที่ จะเรียน ไมเ่ บอ่ื หน่ายในการเรียนโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาจะมชี ่วงความสนใจระยะ สั้น ครูจะต้องใช้เทคนิคการเร้าความสนใจด้วยวิธีต่างๆ เช่น การเคล่ือนไหวของครู การใช้น้าเสียง การเปล่ียนแปลงอิริยาบถ การให้นักเรียนมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนการสอน โดยการใช้เพลง ใช้ เกม ใช้นทิ าน เป็นตน้ เพื่อดึงความสนใจของผู้เรยี นกลบั มา และชว่ ยกระตุ้นรวมทั้งควบคุมความสนใจ ของนกั เรียนใหอ้ ยู่กับบทเรียนตลอดเวลา
ED12101 149 ภาษาและวฒั นธรรม ประโยชน์ 1.เด็กเกดิ ความพร้อมที่จะเรยี นมากข้นึ 2.เด็กมคี วามสนใจในบทเรียนอยา่ งสมา่ เสมอ 3.ทาให้ครมู ีความสนใจในการสอนและเด็กสนใจเรยี น เทคนิคการเรา้ ความสนใจ 1.การใช้ท่าทางประกอบการสอน เช่น ศีรษะ แขน มือ สื่อความหมาย เช่น ครูใช้ท่าทาง ประกอบการเล่าเร่ือง ทาท่าทางใหเ้ หน็ จรงิ จงั เคลื่อนไหวไป ตามจังหวะเหมาะสม หรือครูนานักเรียน ให้ลกุ ขึน้ เต้นตามจังหวะเพลง หรอื ชักชวนให้ทาท่าทางและเลียนเสยี งสัตว์ 2.การใชถ้ อ้ ยคาและนา้ เสียง ถอ้ ยคานา้ เสยี งควรกระต้นุ ให้ผู้เรียนสนใจ 3.การเคลื่อนไหว ขณะสอน ครูควรเปล่ียนจุดน่ัง และจุดยืนของตน ภาพเคล่ือนไหวย่อมมี ชวี ิตมากกวา่ และน่าสนใจกวา่ 4.การเนน้ จุดสาคัญ ตอ้ งใช้ลีลา นา้ เสยี ง และการเว้นระยะการพดู หรือการอธิบายตามจังหวะ เพลง หรอื ชกั ชวนให้ทาท่าทางและเลยี นเสยี งสตั ว์ 5.การใชอ้ ุปกรณ์การสอน หรอื การใชส้ ่ืการสอน เช่น ใหต้ ่อภาพให้สมบรู ณ์ ให้จับครู่ ะหว่าง รูปภาพกบั บัตรคา ฯลฯ 6. การร้องเพลง เลือกเพลงท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนโดยตรง และนักเรียนทุกคนสามารถร้อง ได้ หรือได้เรยี นรูม้ าแลว้ 7. การเล่าเร่ืองสัน้ ควรมตี วั ละครเพียง 2-3 ตวั กิริยา สหี นา้ ทา่ ทาง น้าเสียง มีชีวิตชีวาตาม ทอ้ งเรื่อง 8. การแสดงบทบาท อาจทาได้หลายวิธี เช่น นกั เรียนดูสถานการณท์ ี่นักเรียนสร้างและแสดง บทบาท 9. การเล่นเกม สงิ่ สาคัญคอื ก่อนเล่นเกม ครูจะตอ้ งอธบิ ายเกมนน้ั ๆ ให้เขา้ ใจชดั เจน และบอก กติกาของการเล่นให้เข้าใจชัดเจน ตัวอย่างเกมที่จะนามาประกอบการสอน เช่นเกมอะไรเอ่ย เกมต่อ ภาพ ฯลฯ 10. การตัง้ ปัญหา และสนทนาซักถาม เพื่อให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โดยครอู าจใช้เทคนิคการถามคาถาม ประกอบการเร้าความสนใจของนักเรยี น 5.การพดู สรปุ บทเรยี น ทิศนา แขมมณี (2559) ได้กล่าวไว้ว่า การสรุปบทเรียน หมายถึง กระบวนการท่ีผูสอนช่วย ใหผูเรียนรวบรวมเน้ือหาท่ีเป็นใจความสาคัญของบทเรียนที่เรียนได้ ทาให้ผู้เรียนสามารถจัดลาดับ และเขาใจเน้ือหาความรูอยางถูกตองและสมบูรณข้ึน โดยท่ัวไปนั้นการสรุปบทเรียนเปนการสรุป ส้ันๆ ใหเห็นภาพรวมของเนื้อหาอยางชัดเจน ขั้นตอนการสรุปบทเรียนน้ีเปนข้ันตอนสาคัญท่ีอยูใน ทกุ วธิ กี ารสอน เชน การบรรยาย การอภิปราย การทดลอง สถานการณจาลอง เปนตน
ED12101 150 ภาษาและวัฒนธรรม รูปแบบการสรปุ บทเรียน มี 2 รูปแบบ คอื 1. การสรุปคิดเนือ้ หาสาระ 2. การสรุปคดิ ความเหน็ เทคนิคการสรปุ บทเรียน 1. สรุปโดยการอธบิ าย 2. สรุปโดยใชอ้ ปุ กรณ์ 3. สรุปโดยการเลา่ นิทาน 4. สรปุ โดยการสร้างสถานการณ์ 5. สรปุ โดยการสาธิต วิธีการสรปุ บทเรยี น การสรปุ บทเรียนมักจะกระทาเมอื่ สรุปใจความสาคญั แตล่ ะตอนในระหวา่ งบทเรียน สรุปเมอื่ จบบทเรียน และเม่ือนกั เรียนอภปิ ราย หรือ ฝึกปฏิบัตจิ บลง วิธีการสรุปบทเรียนอาจทาได้ หลายวิธี 1. การสรุปทบทวน ครูไม่จาเปน็ ตอ้ งทบทวนสรปุ เองท้ังหมด ควรให้นกั เรียนมสี ว่ นร่วม โดย ครูอาจจะต้ังคาถาม อธบิ าย ใชส้ ื่อหรือผังมโนทศั น์ชว่ ยในการสรปุ 2. สรุปจากการปฏิบัติ เช่น ให้นกั เรยี นสังเกตการณ์สาธติ การทดลองและพยายามช้ีให้ นักเรยี นเหน็ ความสมั พันธข์ องวชิ าความรเู้ ดมิ บทเรียนท่เี พงิ่ เรยี นจบกับบทเรียนทจ่ี ะเรยี นในอนาคต 3. สรุปทบทวนวัตถปุ ระสงค์การเรียนร้ขู องบทเรยี น หรอื สรุปจากการสร้างสถานการณ์ โดย ครูสรา้ งสถานการณใ์ หส้ อดคลอ้ งกับบทเรียนและให้นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ ออกมา 4. สรุปจากการใชอ้ ุปกรณ์ โดยครูอาจจะใช้อปุ กรณ์ที่ใชส้ อนมาช่วยใหก้ ารสรุปบทเรยี นง่าย ข้นึ เชน่ เมื่อนาเคร่ืองดนตรชี นดิ หนึง่ มาใหน้ ักเรียนดู นกั เรียนสามารถสรปุ วธิ ีการใน การเกบ็ รักษาได้ การพดู เพื่อการสื่อสารสาหรับครนู อกจากการพูดแบบตา่ งๆ ดังท่ีได้กล่าวมาแลว้ ข้างต้น เป็น แนวทางการพดู เบ้ืองต้นเพอื่ การส่ือสารสาหรบั ครู นอกจากนแี้ ลว้ ยังมกี ารพูดแบบอ่ืนๆ ทท่ี าใหก้ าร จัดการเรยี นการสอนของครสู ัมฤทธิ์ ซง่ึ นกั ศกึ ษาสามารถค้นควา้ ประกอบได้เพ่ิมเตมิ ต่อไป หลักสาคัญในการพัฒนาทกั ษะการพดู ส่ือสารใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพ เสยี งเป็นองค์ประกอบสาคัญอย่างหนงึ่ ของการพูด เสียงของนักพดู ท่ดี ีไม่ไดห้ มายความวา่ จะตอ้ งหวานและมีกงั วานเหมือนเสยี งของนักร้อง หากเป็นเสียงทีอ่ อกมาจากความรสู้ ึกท่ีแท้จริงของ ผู้พูด เตม็ ไปด้วยพลัง มีชวี ติ ชวี า สามารถตรึงผู้ฟังไว้ได้ ผู้พดู จะต้องเรยี นรู้ข้อบกพร่องของการใช้ เสยี งโดยทว่ั ไป รู้หลักการใชเ้ สียงท่ีถกู ต้องและเลือกเร่อื งท่ีอานวยให้สามารถแสดงความรสู้ ึกใน น้าเสยี งไดด้ ี จุดมงุ่ หมายสาคัญก็คือ ตอ้ งการใหผ้ ้พู ูดแสดงความรูส้ กึ ตามธรรมชาตอิ อกมาในน้าเสียง
ED12101 151 ภาษาและวฒั นธรรม มกี ารเน้นหนักเบา สงู ตา่ ทอดจงั หวะ เร็ว รวั หรอื หยุด อยา่ งเหมาะสม มิไดห้ มายถึงการดัดเสยี ง เป็นนักพากย์หนัง หรือเลยี นเสียงสัตว์ตา่ ง ๆ อย่างจาอวด ข้อบกพร่องของการออกเสียงโดยทัว่ ไป 1. เสยี งเบาเกนิ ไป 2. พูดชา้ หรอื เร็วเกนิ ไป 3. พูดอกึ อัก เออ้ -อ้า นา่ ราคาญ 4. ทว่ งทานองเหมือนอา่ นหนังสอื หรอื ท่องจา 5. พดู ราบเรยี บระดบั เดียวกัน ตง้ั แตต่ น้ จนจบ น้าเสยี งที่ดคี ือย่างไร ส่ิงสาคัญประการหนึ่งคือ “ธรรมชาติของเสียง เราปรับปรุงไม่ได้ แต่บุคลิกของเสียงเรา ปรับปรุงได้” น้าเสียงของคนเราเกิดจาก หลอดลม ลาคอ โพรงจมูก ล้ิน เหงือก ฟัน ริมฝีปากและ อวัยวะอ่ืน ๆ ประกอบ แต่ละคนก็จะมีลักษณะของน้าเสียงไปคนละแบบ การจะหาคนท่ีมีน้าเสียง เหมือนกันน้ันยากมากพอ ๆ กับการหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน นักร้องอาจจะเลียนเสียง กนั ได้ แตไ่ ม่เหมอื นกนั ทเี ดียวและถงึ แมจ้ ะเหมือนกันก็ไม่ใชส่ ิง่ ท่นี ่าภูมใิ จอะไร นักพูดท่ีดจี ะตอ้ งพยายามเป็นตัวของตัวเอง อยา่ เลียนเสียง และลีลาของใคร พยายามพูด ใหเ้ ป็นแบบธรรมชาติ แต่ต้องพดู ดังกว่าเดมิ เพราะมีผู้ฟงั จานวนมาก วิธปี รับปรุงนา้ เสยี ง 1. พดู ใหเ้ สียงดงั ฟงั ชัด การพูดให้เสียงดงั ไว้ก่อน ได้ผลดีเสมอ อย่างน้อยกเ็ ปน็ การปลุกผ้ฟู งั ให้ตืน่ และแสดงถึง ความเชื่อมัน่ ในตนเอง มีปญั หาวา่ ดงั แค่ไหนจงึ จะนับว่าพอดี คาตอบกค็ ือ ดงั พอทผ่ี ู้ฟงั ทง้ั หอ้ งไดย้ นิ ผู้ฟังน้อยกด็ งั พอประมาณ ผูฟ้ งั มากถ้าไมม่ เี ครื่อง ขยายเสยี งก็ต้องดังมากจนเกือบตะโกน แต่ถ้ามเี ครื่องขยายเสียงที่ดี กไ็ มจ่ าเปน็ ตอ้ งตะโกน เพราะ อาจดังเกนิ ความจาเปน็ จนกลายเป็นแสบแกว้ หู ปญั หาต่อไปก็คือ จะทราบได้อยา่ งไรวา่ ผฟู้ งั ทกุ คนไดย้ นิ ตอบไดว้ ่า จงคะเนใหผ้ ู้ฟงั ท่ีน่ังอย่แู ถวหลังสดุ ไดย้ นิ กน็ ับว่าเพยี งพอแล้ว 2. จังหวะการพดู ไม่ช้าหรอื เร็วเกินไป การพูดชา้ เกินไป ทาใหผ้ ้ฟู ังเบือ่ หนา่ ย งว่ งเหงาหาวนอน พดู เรว็ เกินไป ทาใหผ้ ูฟ้ ังติดตาม ไมท่ ัน และผิดพลาดได้ง่าย ดัง้ นน้ั การพูดคลอ่ งจงึ ไม่เปน็ ผลดเี สมอไป วิธีพูดใหไ้ ด้จงั หวะพอดี คอื การหดั พูดหรอื หดั อ่านเป็นประโยค ๆ เว้นวรรคตอนให้ถกู พูดใหช้ ดั เจน ขาดคาขาดความ อยา่ ตคู่ าตู่ประโยค อยา่ พดู รัวเสียจนผ้ฟู งั รู้สกึ เหน่ือยแทน ขอ้ ควรระวังสาหรับผู้ที่พดู ติดอ่างหรือพูดไม่ชัด อย่าพยายามพูดเรว็ เปน็ อันขาด ลดอตั ราให้ช้าลงกว่าท่ีเคยพดู ตามปกติ มิฉะนั้นผฟู้ ้งจะฟังไม่รู้เรอ่ื ง
ED12101 152 ภาษาและวฒั นธรรม สิ่งทไี่ ม่ควรปฏบิ ัตเิ มื่อพูด 1. อย่าพูดเออ้ -อ้า ไมม่ คี วามจาเปน็ ใด ๆ ท่ีจะต้องพูดคาเอ้อหรือคาอ้า เพราะไมผ่ ลดีใด ๆ ทั้งสิ้น โดยมากพูดติด เอ้อ-อา้ กนั แทบทุกประโยค มีทัง้ อย่างสั้นและอย่างยาว นา่ ราคาญส้นิ ดี บางคนติดมาโดยไม่มี เหตุผลอะไร นึกวา่ มันเป็นของโกเ้ ก๋ บางคนติดมาเพราะคิดอะไรไมท่ นั ก็เอาคาเอ้อ-อ้า บรรจุเข้า ไปตามชอ่ งวา่ งต่าง ๆ บางคนเลียนแบบนกั พูดดัง ๆ กน็ า่ แปลกใจว่าสิง่ ทด่ี ี ๆ ทาไมไม่เลยี น มา เลยี นเอาแต่คาเอ้อ-อา้ ผลเสยี ของการพูดเอ้อ-อ้า คือเสียเวลา เสยี รสชาติของการพดู ทาให้ผู้ฟงั ราคาญและบางครั้ง คาวา่ “อ้า” อาจทาใหป้ ระโยคท้งั ประโยคเสียความหมายไปเลยก็ได้ ทางท่ีดีควรตดั ออกให้เหลือ นอ้ ยท่ีสุด หรือไม่มเี ลยยิ่งดี ติดขดั ก็เวน้ จงั หวะไป การหยดุ บ้างเปน็ บางครั้ง กลับเปน็ ผลดีมากกวา่ การพดู ไม่ตดิ ขัดเสยี ดว้ ยซา้ จึงไม่จาเป็นตอ้ ง บรรจุ 2 คานเี้ ขา้ ไปเลย ไมว่ า่ กรณีใด ๆ พงึ ระลึกไวเ้ สมอวา่ “เออ้ - เสยี เวลา อา้ –เสียคน” 2. อย่าพูดเหมือนอา่ นหนงั สอื หรอื ทอ่ งจา ท่วงทานองแบบอ่านหนงั สือหรอื ทอ่ งจา คอื พดู คลอ่ งเป็นเรือล่องตามน้า พูดไม่มีจังหวะจะโคน ไม่มี ชีวิตชีวา ติดจะเร็วไปนิดและตาเหม่อลอย คล้ายกับกลัวจะลืมท่ีท่องมา พอถึงตอนท่ีติดขัดนึกไม่ ออกก็เสยี ขบวนไปเลย บางคร้ังพูดผิดแล้วมัวทวนซ้าใหม่ จนผู้ฟังจับได้ว่าท่องจามาพูด แทนท่ีจะหาทางพลิก แพลงประโยค หรือพดู ดดั แปลงทผี่ ดิ ใหก้ ลายเป็นถกู ส่วนมากการพูดแบบน้ีมักมีคาว่า “ขอโทษ” ปนอย่ปู ระปราย เชน่ เดยี วกบั นกั เรียนอ่านออกเสียงหน้าช้นั ทางทีด่ คี วรหดั พดู ในลีลาสนทนา คือ พูดไปนึกไป ถ่ายทอดความคิดโดยตรงจาก ผู้พูดไปสูผ่ ฟู้ ัง 3. พูดดว้ ยความรูส้ กึ ท่ีจริงใจ ตอ้ งใสค่ วามกระตอื รือรน้ ใสอ่ ารมณ์และความร้สู ึกลงไป อย่าพูดราบเรยี บโดย ใชเ้ สียงทานองเดียว ผู้ฟงั ไม่ใช่หัวหลักหัวตอ ไมใ่ ชข่ อนไม้ ที่จะมานัง่ ฟงั เรื่องราวอนั จดื ชืด ไม่เปน็ รส ของท่าน พยายามเตอื นตวั เองตลอดเวลาว่า กาลงั พูดอยู่ต่อหนา้ คนซ่ึงมชี วี ติ จิตใจ มีความร้สู กึ ตอบสนอง การพูดทจี่ รงิ ใจจะออกมาในรูปของการเน้นหนกั เบา เสียงสูงเสยี งต่า การเน้นจังหวะ การรัวจงั หวะ ตลอดจนการหยุดเลก็ น้อยก่อนหรือหลังการพดู ที่สาคัญ ๆ สงิ่ เหลา่ นี้แสร้งทาไมไ่ ด้ ต้องอาศัยการฝึกซ้อม การคุ้นเวที การปลุกความรสู้ ึกของตนเองให้มี ความรูส้ กึ และเชื่อตามนั้นจรงิ ๆกอ่ น จึงจะสามารถถ่ายทอดอย่างมีชวี ิตชีวาให้ผู้ฟงั เกิดความรู้สกึ คลอ้ ยตามได้ มคี าเตือนทน่ี า่ จดจาอยวู่ า่
ED12101 153 ภาษาและวัฒนธรรม “อย่าพูดจนกวา่ ท่านจะมี ความเขา้ ใจ ในเรื่องทที่ า่ นจะพูด อยา่ พดู จนกว่าท่านจะมี ความ เชอ่ื เรื่องท่ีทา่ นพูดและอยา่ พูดจนกว่าท่านจะมีความรู้สกึ ตามเรอ่ื งทที่ ่านพดู ” ความรู้สกึ ท่จี ริงใจมิใช่การระบายอารมณ์ ผู้พูดท่กี ลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ จะไม่ได้รับความเลอ่ื มใสศรทั ธาจากผฟู้ งั เลยเป็นอนั ขาด “นกั พูดท่ีดีย่อมไมส่ กั แต่ใชอ้ ารมณ์อยา่ งเดยี ว แต่ตอ้ งรูจ้ ักใชส้ ติ ควบคุมอารมณ์ให้อย่ใู นแนวทาง ท่ี จะช่วยสนบั สนุนประเดน็ ของตนด้วย” การรู้จักใช้อารมณ์ในขณะท่ีพูด จะเป็นเคร่ืองสนับสนนุ ความมุง่ หมายของผ้พู ูดท่จี ะช่วยผกู มดั ใจผู้ฟัง ได้สาเร็จ ปฏิกรยิ าท่เี กดิ ขึน้ ขณะผู้พดู ระบายอารมณ์ คือผพู้ ูดเหน่ือย ผฟู้ ังหัวเราะ ปฏกิ ริยาท่เี กดิ ขนึ้ ขณะผู้พดู พูดจากความจริงใจ คือผู้พดู ไม่เหน่อื ย ผู้ฟังเงียบกริบ ในการพูด เราจงึ พูดอยา่ งราบเรยี บเรอื่ ยเฉื่อยไมไ่ ด้ ต้องสอดใส่ความรู้สกึ และอารมณ์ลงไป อาศยั ข้ันตอนการจูงใจ เพื่อชักจูงใหผ้ ูฟ้ ังมอี ารมณ์ร่วมไปกับเราจนถงึ จดุ สุดยอดของสนุ ทรพจน์ การพูดจงู ใจ การพูดเพ่ือชักจูงใจ เปน็ การพูดเพ่ือให้ผู้ฟังได้รู้ เพ่อื ให้ผฟู้ ังเชอ่ื และเพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั เห็นด้วยทง้ั ทางความคิดและการกระทาตามความมุ่งหมายของผู้พดู เปน็ การพูดให้ผ้ฟู ังมคี วามเห็นคลอ้ ยตามและปฏบิ ตั ิตาม เป็นการพูดอย่างมเี หตุผล เพอ่ื โนม้ น้าวจติ ใจ เกลี้ยกล่อมชกั จูงให้ผ้ฟู ังคลอ้ ยคาม จุดม่งุ หมายของการพูดจูงใจ เพอ่ื ชักจูงใหผ้ ู้ฟงั เห็นดว้ ย คล้อยตามในขอ้ เรียกร้อง วงิ วอน หรือขอ้ ประทว้ ง เพื่อให้เปลี่ยนความเชือ่ ความคิด เพ่ือกระตนุ้ อารมณ์ให้ทาหรือปฏิบตั ิอย่างใดอยา่ ง หน่งึ หลกั การพูดจงู ใจ 1. ใหผ้ ้ฟู งั สนใจในการพูด 2. ทาให้ผ้ฟู งั ไว้วางใจ และมีศรัทธาในถอ้ ยคาของผู้พูด 3. บรรยายถงึ เหตุผล ข้อเทจ็ จริง เพอ่ื เป็นความร้แู กผ่ ู้ฟังเก่ยี วกับคุณค่าของปญั หาท่ี นามาแสดง 4. พดู ด้วยการวิงวอนคน จูงใจใหผ้ ูฟ้ งั ปฏิบัตติ าม กล่าวถงึ ประโยชนท์ ีจ่ ะไดร้ ับ ปฏิภาณไหวพริบ ในขณะท่ีผู้พูดกาลังจะพูด หรือดาเนินการพูดอยู่ อาจมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดข้ึน ไม่ว่าจะ เป็นในการสัมมนา การพูดกับฝูงชน การอภิปราย หรือการตอบข้อสงสัยหลังการพูด ปัญหาท่ี ไมค่ าดคิดต่าง ๆ น้ี ผู้พดู จะต้องใชป้ ฏิภาณไหวพรบิ เพือ่ แก้ไขให้การพดู เปน็ ไปดว้ ยดี เช่น 1. เมื่อผู้ฟังแสดงความไม่พอใจหรือไม่เป็นมิตรกับผู้พูด จงยิ้ม เพราะการยิ้มแสดงถึง ความรกั ความชอบ ความเปน็ มติ ร ผู้ฟงั กจ็ ะมไี มตรีตอบผพู้ ูด
ED12101 154 ภาษาและวัฒนธรรม 2. เมอ่ื ผ้ฟู งั หรือคู่สนทนาโต้เถียงกบั ท่าน จงหลกี เล่ยี งการโต้เถียง เพราะจะเป็นผลให้เกิด โทษและทาลายอานาจบังคับตนเอง ควรรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ใช้ความสุขุมรอบคอบ ประนีประนอม และเห็นอกเหน็ ใจ ซ่ึงจะชว่ ยให้มองเห็นแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่งได้ การอ่อนน้อมถ่อม ตนจะชว่ ยใหอ้ ีกฝา่ ยหน่ึงยอมรับความคิดเหน็ ของเรางา่ ยข้นึ และมีการโต้แย้งนอ้ ยลง 3. เมื่อผู้ฟังหรือคู่สนทนาตาหนิติเตียนหรือกล่าวโทษท่าน จงพูดปรักปราลงโทษตัวเองใน ประการต่าง ๆ ซ่ึงจะเป็นการลดความขุ่นเคืองของผู้ฟังลงได้ การกระทาเช่นน้ี จะเป็นการจูงใจให้ เขาเป็นคนใจกว้าง เปลี่ยนท่าทีโอนอ่อนไปในทางท่ีให้อภัย และเห็นความผิดของเราเป็นส่ิงเล็กน้อย จงใชว้ ิธีสภุ าพออ่ นโยน นมุ่ นวล แสดงความเป็นมติ ร 4. เมื่อพดู กับฝูงชนทก่ี าลังคล่ังแคน้ ในลกั ษณะทบ่ี า้ คล่ัง จงหลกี เลี่ยงการให้เหตุผลเม่ือแรก พบ วธิ ที ด่ี ที ่ีสุดคอื พยายามพูดใหฝ้ งู ชนรสู้ กึ วา่ เราเห็นใจเขาและเป็นฝ่ายเดียวกับเขา พร้อมกับ พยายามพูดชักจูงเพื่อเบนความสนใจหรือได้คิดได้ไตร่ตรอง จากน้ันจึงเสนอแนะให้ พวกเขาหา ทางออกด้วยวธิ ีอน่ื ต่อไป 5. เม่ือพูดกับฝูงชนท่ีเสนอข้อเรียกร้อง ผู้พูดจะต้องตั้งสติให้มั่น อย่าแสดงอาการตกใจ หรือรู้สึกหวาดหว่ันมากเกินไป เมื่อสอบถามถึงข้อเรียกร้องแล้ว ไม่ควรจะตอบรับหรือตอบปฏิเสธ ทันที ควรพดู รบั แตเ่ พยี งวา่ “จะขอรับข้อเสนอทั้งหมดไว้ให้ผู้มีอานาจพิจารณา” หรือหากท่านเป็น ผู้มีอานาจสูงสุด อาจตอบอย่างมีความหวังว่า “ ขอรับข้อเรียกร้องท้ังหมดนี้ไว้พิจารณาและจะให้ ความเปน็ ธรรมแก่ทุกคน” 6. เม่ือพูดกับฝูงชนท่ีบีบค้ันให้ตอบคาถามที่ไม่มีทางเลือก เช่น “จะจัดการหรือไม่” “จะทาหรือไม่” “จะเพ่ิมเติมหรือไม่” หรือ “จะแก้ไขหรือไม่” ควรตอบว่า ตนยังไม่ทราบ ขอ้ เทจ็ จรงิ จะต้องทราบข้อเท็จจริงเสียก่อนจึงจะตอบให้ทราบ โดยพยายามใช้คาพูดแสดงความตั้งใจ ท่จี ะช่วยเหลอื และใหค้ วามร่วมมอื เชน่ พูดว่า เห็นใจเขา เข้าใจพวกเขาดี จะพยายามหาหนทาง แก้ไขโดยเร็วท่สี ุด จะประชุมกรรมการดว่ น จะพจิ ารณาให้คาตอบโดยเร็วท่ีสุด เป็นต้น 7. เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ฟังรู้สึกเบ่ือหน่าย ไม่สนใจในเรื่องท่ีผู้พูดกาลังพูด แต่กลับไปทาส่ิง อน่ื เสยี เช่นอา่ นหนังสือ เขยี นหนงั สอื มองออกนอกหน้าตา่ ง คยุ กัน เชน่ น้ี ผูพ้ ูดควรเปลย่ี นวิธีพูดเสีย ใหม่ เชน่ พูดใหเ้ ร็วขน้ึ รวบรัดเขา้ สจู่ ดุ สาคัญเรว็ ขนึ้ หรอื เพมิ่ อารมณข์ นั แทรกเข้าไป กล่าวโดยสรุป ตลอดเวลาที่พูด ผู้พูดควรใช้ไหวพริบสังเกตอากัปกริยาของผู้ฟัง สังเกต ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องท่ีพูด ถ้าสังเกตเห็นว่าผู้ฟังมีปฏิกริยาตอบในทางท่ีไม่พึงประสงค์ ผู้พูดต้องใช้ ปฏิภาณไหวพรบิ แก้ไขสถานการณเ์ ฉพาะหน้านั้นไดท้ นั ทว่ งที การพดู จึงจะประสบผลสาเร็จ บทสรปุ ในการพูดแต่ละคร้ังสิ่งที่ผู้พูดควรคานึงถึงมากท่ีสุดคือ เนื้อหาของเรื่องที่จะพูด และเนื้อหา มคี วามถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของงาน การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้รับสาร และ การแสดงออกทางบุคลิกภาพ การพูดในโอกาสต่างๆ ผู้พูดควรฝึกซ้อมการพูดให้เกิดชานาญก่อนขึ้น พดู จริง เพื่อลดอาการประหมา่ ของตนเองการพูด พูดในสถานการณต์ า่ งๆ จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ฝึกในวยั ท่กี าลงั ศกึ ษาเลา่ เรยี น เพ่อื เป็นพน้ื ฐานในการพูดในสงั คมและในงานอาชีพต่อไป
ED12101 155 ภาษาและวัฒนธรรม กิจกรรมประจาบทท่ี 7 1. ผู้สอนบรรยายและใหผ้ เู้ รยี นชมวิดิทศั นเ์ กย่ี วกับการพูดเพ่ือส่ือสารสาหรบั ครู 2. นักศึกษารว่ มกันอภปิ รายเกีย่ วกับการพดู ให้ประสบผลสัมฤทธ์ิในการส่ือความหมายในการ เรยี นการสอนสาหรบั ครูจากวิดทิ ศั น์ 3.แบ่งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มละ 5 คน เพ่ือแสดงบทบาทสมมติการพูดส่ือสารสาหรับครูตาม ประเด็นที่ผู้สอนกาหนดให้ 4.เม่ือนาเสนอการพูดสื่อสารสาหรับครูเสร็จแล้ว เพ่ือนในชั้นร่วมกันวิพากษ์และให้ ข้อเสนอแนะเพ่มิ เตมิ ทุกกล่มุ 5. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปการพูดสื่อสารสาหรับครู ผู้เรียนบันทึกการเรียนรู้ และทา แบบทดสอบ
ED12101 156 ภาษาและวัฒนธรรม เอกสารอา้ งองิ กิดานันท มลิทอง. (2548). เทคโนโลยแี ละการส่อื สารเพื่อการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอรณุ การพิมพ. ณรงค์ กาญจนะ. (2553). เทคนิคและทักษะการสอนเบ้ืองต้น เลม่ 1. กรงุ เทพฯ: จรลั สนทิ วงค์ การพมิ พ์. ทศิ นา แขมมณ.ี (2559). ศาสตรการสอน องคความรูเพอื่ กระบวนการจัดการเรียนรูที่มี ประสิทธิภาพ. พมิ พครั้งที่ 20. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพจุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั . ศศพิ งษ์ ศรสี วสั ด์.ิ (2559). เอกสารประกอบการสอน ภาษาไทยเพอ่ื การสื่อสาร. อดุ รธานี: สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี เสริมศรี ลักษณศริ .ิ (2540). หลักการสอน. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าหลักสตู รและการสอน คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏพระนคร อาภรณ ใจเทยี่ ง. (2553). หลักการสอน (ฉบับปรบั ปรุง). พมิ พคร้ังท่ี 5. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.
ED12101 157 ภาษาและวฒั นธรรม แผนการจดั การเรยี นรู้ บทท่ี 8 ทักษะการอา่ นเพ่อื การสือ่ สารสาหรบั ครู สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมายของการอา่ น 2. ความสาคัญของการอ่าน 3. จุดประสงคข์ องการอา่ น 4. ประโยชน์ของการอา่ น 5. ระดับของการอ่าน 6. ประเภทของการอา่ น 7. การพฒั นาทักษะการอ่านสาหรบั ครู วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายความหมายและความสาคัญของการสอ่ื สารได้ 2. เลอื กรูปแบบและภาษาในการสอ่ื สารได้เหมาะสมกับสถานการณ์การส่ือสาร 3. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ในการสอ่ื สารได้ 4. ประยุกตใ์ ช้สถานการณ์การสอ่ื สารในชีวิตประจาวนั ได้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ผู้สอนอภิปรายถึงความสาคัญของการอ่านประกอบ Power point พร้อมท้ังให้นักศึกษา ศึกษาเอกสารเรือ่ งการอ่านในเอกสารประกอบการสอน 2. แบ่งกลุม่ ผูเ้ รียนอ่านบทความ กลุ่มละ 3 คน อา่ นบทความกลุ่มละ 1 บทความตามผู้สอน ไดก้ าหนดให้สรปุ และ วิเคราะห์ ตามหลกั การอา่ นจับใจความ 5W1Hพรอ้ มแสดงความคิดเห็น https://www.google.co.th/search?q=5W 3.จากน้ันนกั ศึกษาวิเคราะหเ์ นื้อหาของข่าวตามแนวคดิ ทฤษฎหี มวก 6 ใบ แล้วทา Mind mappingนาเสนอตามแนวคิดทฤษฎีหมวก 6 ใบ
ED12101 158 ภาษาและวฒั นธรรม สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สือ่ อิเล็กทรอนกิ ส์ เช่น สไลด์นาเสนอความรู้เกีย่ วกับการอ่าน 4. ขา่ ว บทความ ส่อื สิ่งพิมพ์ท่ีใช้ประกอบการทากจิ กรรมการอ่าน 3. แบบฝกึ หดั การวดั ผลและการประเมินผล 1. ใบงาน/ใบกจิ กรรม และแบบฝกึ หัด 2. สังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทากจิ กรรม การแสดงความคดิ เห็น และการ อภิปรายกลุ่ม 3. การจบั ใจความ การอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ การตีความการฟังตามสถานการณ์ที่กาหนด
ED12101 159 ภาษาและวฒั นธรรม บทท่ี 8 ทกั ษะการอ่านเพอ่ื การสือ่ สารสาหรบั ครู การอ่านเปน็ ทกั ษะท่ีมคี วามสาคัญอยา่ งยง่ิ โดยเฉพาะการอ่านเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาหรือ ด้านอาชีพของตนเอง การอ่านนอกจากจะช่วยเพ่ิมพูนความรู้เพื่อพัฒนาสติปัญญาแล้ว การอ่าน บางประเภทยังช่วยให้ผู้อ่านเกิดความผ่อนคลายลดความตรึงเครียดท่ีเกิดข้ึนทาให้เกิดความบันเทิง และจรรโลงใจแก่ผู้อ่าน ดังน้ันการพัฒนาทักษะการอ่านให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นส่ิงสาคัญต่อการ ดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั ไมว่ ่าจะเป็นการอา่ นเพื่อความร้หู รอื ความบันเทิงก็ตาม ความหมายของการอา่ น ทกั ษะการอา่ นเป็นพฤติกรรมการรับสารอย่างหน่ึง โดยใช้สายตามองดูตัวอักษร แล้วสมองก็ จะลาดับเป็นถ้อยคา ประโยคและข้อความต่างๆ เกิดเป็นเร่ืองราวตามความรู้และประสบการณ์ของ ผู้อ่านแตล่ ะคน นกั วิชาการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ นไว้ดังนี้ ยุพร แสงทักษิณ (2531: 1) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านหนังสือ เป็น เรื่องจาเป็นสาหรับมนุษย์ การอ่าน ทาให้เราก้าวตามโลกได้ทัน เพราะโลกปัจจุบันนี้ไม่ได้หยุดนิ่ง มี ความก้าวหน้าเปล่ยี นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ทงั้ ในดา้ นวัตถุ วทิ ยาการ ความคดิ ฯลฯ ดว้ ยเหตุท่ีเราต้องมี ความสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อม เราจึงควรปรับตัวเราให้สอดคล้องไปด้วย มิฉะน้ันเราจะ กลายเป็นคนโง่ ล้าหลงั อาจประพฤติผดิ พลาด ก็ด้วยความรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ วรรณี โสมประยูร (2542 : 121) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของ ตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และนาความคิดนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ ตัวอักษรเป็นเคร่ืองหมายแทน คาพูดและคาพูดก็เป็นเพียงเสียงที่ใช้แทนของจริงอีกทีหน่ึง เพราะฉะน้ัน หัวใจของการอ่านอยู่ที่การ เขา้ ใจความหมายของคา บันลือ พฤกษะวัน (2532 : 2) ได้กล่าวถึงความหมายของการ อ่านไว้ว่า การอ่านหมายถึง การแปลสัญลักษณ์ออกมาเปน็ ค าพูด สอ่ื ความหมาย ถ่ายโยงความคิด ความรู้ จากผู้เขียนถึงผู้อ่าน ท าให้เข้าใจความหมายในการส่ือความและพัฒนาการคิด นอกจากน้ีการอ่านยังเป็น การถ่ายทอด ความคิดจากหนังสือของผู้ประพันธ์ไปยังผู้อ่าน ผู้ประพันธ์ต้องการให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิด ความรู้สึก ของตนสามารถตีความของหนังสือได้ (เปล้ือง ณ นคร, 2544)จอร์จ ดี สปาช และ พอล ชี เบอร์ก (George D. Spache and Paul C. Berg ) ได้กล่าวไว้ว่า การอ่านเป็นการผสมผสาน ระหว่างทักษะหลายชนิด เพื่อสร้างความเข้าใจ โดยเป็นไปตามจุดประสงค์ตามต้องการ และวิธีการ ของผอู้ ่าน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอมั พร ทองใบ (2555: 260) ได้กล่าวถงึ ความสาคัญของการอ่านไว้วา่ การอ่านมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงในสังคมปัจจุบัน เพราะเราต้องแสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร การเคลอ่ื นไหวทางดา้ นเศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรม การอ่านเสริมให้ผู้อ่านมีพัฒนาการใน ด้านความรู้และความคิดมองโลกได้กว้างไกล เข้าใจปัญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคมผ่านสื่อการสอน ซ่ึงสิ่ง เหล่านจ้ี ะช่วยให้สามารถตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างถูกต้อง มีความเฉลียวฉลาดสามารถประกอบอาชีพและเป็น พลเมืองท่ดี ีของประเทศชาตไิ ด้
ED12101 160 ภาษาและวัฒนธรรม ชวน เพชรแก้ว และคณะ (2552) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านคือการแปล ความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิดและนาความคิดน้ันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตัวอักษรคือ เครื่องหมายแทนคาพูด และคาพดู ก็เปน็ เพยี งเสยี งท่ีใช้แทนของจริงอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นหัวใจของการอ่าน จึงอยู่ทก่ี ารเขา้ ใจความหมายของคา นพดล จันทร์เพ็ญ (2557: 114) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านคือการแปล ความหมายของตวั อกั ษร เครื่องหมายสญั ลักษณเ์ คร่ืองสอื่ ความหมายต่างๆ ท่ีปรากฏแกต่ าออกมาเป็น ความคดิ ความเขา้ ใจเชงิ สื่อสาร แล้วผู้อ่านสามารถนาความคดิ ความเข้าใจนั้นไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ได้ให้ความหมายของการ อ่านไว้ว่า อ่าน ก. ว่าตามตัวหนังสือ, ออกเสียงตามตัวหนังสือ, ดู หรือเข้าใจความจากตัวหนังสือ; สังเกตหรือพิจารณาดูเพอ่ื ใหเ้ ข้าใจ สรุปไดว้ ่า การอ่าน หมายถึง การแปลความหรือการตีความจากตัวอักษรท่ีถ่ายทอดเน้ือหา หรือเร่ืองราวต่างๆ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน แล้วจึงนาความรู้ ความคดิ หรอื เรื่องราวตา่ งๆ ทไ่ี ด้จากการอ่านแลว้ ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวันให้เกดิ ประโยชน์สุด ความสาคัญของการอา่ น การอ่านเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันของมนุษย์อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเราต้อง เผชิญกับข้อมูลข่าวสารมากมายในยุคสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) จาเป็นต้องรับข่าวสารจากการอ่าน สนิท สัตโยภาส (2545: 93-94) ได้กล่าวถึงความสาคัญของ การอา่ น สรปุ ไดด้ ังน้ี 1.การอ่านทาให้เกิดความรู้ ความรอบรู้ไม่ได้จากัดอยู่เฉพาะตาราเท่านั้น การอ่าน หนังสือพิมพ์ วารสาร หรือนิตยสาร ก็สามารถทาให้ผู้อ่านเป็นคนทันสมัยทันเหตุการณ์ รู้เท่าทัน การเปลย่ี นแปลงของสังคมและโลกได้ ทั้งยังทาให้สามารถพูดคุยแลกเปล่ียนกับบุคคลอ่ืนได้อย่าง ไมข่ ัดเขนิ 2.การอ่านช่วยพัฒนาความคิดและยกระดับสติปัญญา เม่ืออ่านมากย่อมรู้มาก เมื่อมี ความรู้มากย่อมทาให้สติปัญญาเฉยี บแหลม รอบรู้ และทาให้เกิดความเช่ียวชาญในเรื่องที่สนใจและ ตดิ ตามได้ 3.การอ่านเป็นเคร่ืองมือสาคัญของการศึกษา การศึกษานั้นไม่ว่าจะรับการศึกษาใดหรือ เรียนวิชาใดก็ตาม ล้วนต้องอาศัยการอ่านเพ่ือศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเพื่อเพิ่มพูนความรู้เพ่ิมเติม จากการเรยี นในชน้ั เรยี น 4.การอ่านช่วยเพ่ือเพิ่มพูนความรู้ในการประกอบอาชีพ การอ่านเพื่อแสวงหาความรู้และ ประสบการณต์ ่าง ๆ ท่สี ามารถนาไปใชใ้ นการประกอบอาชีพและพัฒนาศักยภาพในการทางาน ผู้อ่าน ควรอ่านอยา่ งละเอยี ดเพื่อใหเ้ กดิ ความเข้าใจ และสามารถนาความรู้จากการอ่านไปประยุกต์ใช้ในงาน อาชีพได้ เช่น การอ่านคู่มือเย็บปักถักร้อย สาหรับผู้ประกอบอาชีพช่างตัดเสื้อ การอ่านหนังสือ คอมพิวเตอร์ สาหรบั ผู้ที่ใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นสานักงานต่าง ๆ
ED12101 161 ภาษาและวฒั นธรรม 5.การอ่านเพ่อื ปรับปรุงบคุ ลกิ ภาพของผอู้ า่ นให้ดีข้นึ การอา่ นหนังสื่อเป็นการช่วยปรับปรุง บุคลิกภาพของผู้อ่านให้ดีขึ้นได้ เพราะเม่ือเป็นผู้รอบรู้เมื่อพูดจาก็น่าเชื่อถือ พร้อมทาให้คาแนะนา ต่างๆ แก่ผู้อื่นได้ ทาให้บุคลิกภาพของเราดีขึ้นด้วยตามลาดับ ทั้งนี้มีหนังสือในกลุ่มท่ีมีเนื้อหา ซึ่ง เสนอแนะเกยี่ วกับการวางตน การพูดจา การเข้าสังคม การแต่งกาย ตลอดจนการแนะนา การปฏิบัติ ตนไปในทางที่เหมาะสมและทันสมัยมีอยู่มากมาย ถ้าผู้อ่านได้นาข้อแนะนาเหล่าน้ันมาทดลองปฏิบัติ ตาม ก็จะทาใหบ้ ุคลกิ ภาพเปลย่ี นแปลงไปในทางท่ีดีได้อีกทางหนง่ึ 6.การอา่ นเพือ่ ชว่ ยแกป้ ญั หา บางคร้ังปัญหาท่ีเราประสบในชีวิตประจาวัน อาจมีวิธีแก้ไข ในหนังสือที่เราได้อ่าน ทาให้เราสามารถนามาประยุกต์แก้ปัญหาได้ เช่น ปัญหาเรื่องสุขภาพ ปัญหา เรื่องส่วนตัว ปัญหาทางเร่ืองอาหารการกิน ปัญหาด้านการใช้เทคโนโลยี ปัญหากฎหมาย เร่ืองจาก สบิ แปดมงกุฎ หรอื ปญั หาเกยี่ วกบั การประกอบอาชีพ เป็นต้น 7.การอ่านทาให้เกิดความจรรโลงใจ หนังสือบางประเภทเม่ืออ่านแล้วผู้รับสารได้รับความ เพลดิ เพลนิ สนุกสนาน ช่วยให้จิตใจ ได้พักผ่อนหลังจากท่ีได้เคร่งเครียดจากงานมา ถ้าได้อ่านเรื่องขบ ขา ตลก เร่ืองชวนหัว หรืองานเขียน ประเภทบันเทิงคดีที่ไม่ใช่งานเขียนเชิงวิชาการที่มุ่งเน้นให้ ความรู้ก็สามารถช่วยให้ความตึงเครยี ดภายในจติ ใจคล่ีจะคลายลงได้ 8.ทาใหผ้ ู้อ่านใช้เวลาอย่างมคี ณุ ค่า แทนทจ่ี ะใชเ้ วลาอยา่ งไร้คา่ เปล่าประโยชน์ การอ่าน ทาให้ผอู้ ่านใชเ้ วลาอย่างมีประโยชน์ หรือท่เี รยี กวา่ การอา่ นเพอื่ ฆ่าเวลา จุดประสงค์ของการอ่านไว้ ดังน้ี กระทรวงศึกษาธกิ าร (2546) ได้กล่าวถงึ จดุ ประสงค์ของการรบั สารจากการอ่านไว้ ดังนี้ 1. อ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านจากหนังสือตาราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การ วิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ใน วิชาหนงึ่ อาจนาไปช่วยเสริมในอีกวชิ าหนง่ึ ได้ 2. อ่านเพ่ือความบันเทิงได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเท่ียว นวนิยาย เรื่อง ส้ัน เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะได้ ความรทู้ ส่ี อดแทรกอย่ใู นเรือ่ งดว้ ย 3. อา่ นเพ่ือทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความวิจารณ์ข่าว รายงานการประชมุ ถา้ จะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจงอ่าน เฉพาะส่อื ท่นี าเสนอตรงกบั ความคดิ ของตน เพราะจะทาให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้มีเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วเิ คราะหไ์ ดห้ ลายมุมมองมากขึน้ 4. อา่ นเพ่อื จุดประสงคเ์ ฉพาะทางแตล่ ะคร้ัง ได้แก่ การอ่านท่ีไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่าน ในเร่ืองท่ีตนสนใจ หรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ สลากยา ประชาสัมพันธ์ ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่ เป็นการอ่านเพื่อให้ได้ความรู้และนาไปใช้ หรือนาไปเป็นหัวข้อสนทนา เช่ือมโยงการอ่าน สู่การ วเิ คราะห์ และคดิ วเิ คราะห์ บางครงั้ ก็อ่านเพือ่ ใชเ้ วลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ นอกจากนี้ สนุ นั ทา มัน่ เศรษฐวิทย์ (2551: 9-11) ได้กล่าวไวว้ ่า จดุ ประสงค์ของการอา่ น สามารถแบ่ง แบ่งเปน็ 3 ดา้ น ดงั นี้
ED12101 162 ภาษาและวัฒนธรรม 1. พุทธิพสิ ัย เป็นจุดประสงค์ทางความรู้ 2. จติ พสิ ยั เปน็ จดุ ประสงค์ทางจิตใจและความรสู้ ึก 3. ทักษะพิสัย เปน็ จุดประสงค์ทางอวยั วะท่ที างานเกีย่ วขอ้ งกบั การอา่ น ได้แก่ ตา และสมอง ตอ่ มาในยุคของข้อมูลข่าวสาร ได้มกี ารแบ่งจดุ ประสงคข์ องการอ่านออกเป็น 3 ระดบั คือ ระดบั ตน้ เปน็ ระดบั พ้ืนฐาน เปน็ การอา่ นเพื่อเข้าใจความหมายของคา กล่มุ คา ประโยคสาคญั เพือ่ นาไปส่กู ารเข้าใจเรอื่ งที่อ่าน ระดบั กลาง เปน็ การนาความคดิ เห็นของผอู้ ่านสอดแทรกในเรื่องท่ีอ่าน ระดับวจิ ารณญาณ เป็นการอา่ นระดับสงู เป็นระดับคน้ หาความคิดของผู้เขยี นท่ี ปรากฏจากเร่อื งท่ีอ่าน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2555: 260) ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการอ่านไว้ว่า แตล่ ะคนจะมจี ดุ ประสงค์ในการอา่ นทแ่ี ตกต่างกันไปตามความตอ้ งการ ผอู้ า่ นจะกาหนดจดุ ประสงค์ ของการอ่าน เพ่อื ตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะตนเอง การอ่านแต่ละครั้งย่อมก่อให้เกิประโยชน์ แก่ผู้อ่านท้งั ส้ิน ขอ้ ควรคานงึ ถึงสาหรับผู้ท่ีอยู่ในวันเรียน คือ ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกเร่ืองที่จะ อ่าน รู้จกั แยกแยะ และสามารถนาส่งิ ท่ีเป็นประโยชน์จากการอ่านไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวันได้ จะเห็นได้ว่า การตั้งจุดประสงค์ในการอ่านแต่ละคร้ังเป็นส่ิงสาคัญไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อ ความรู้หรือความบนั เทงิ กต็ าม เพราะทาให้ผอู้ า่ นได้เนอ้ื หาสาระตามจดุ ประสงคข์ องการอา่ นทต่ี ั้งไว้ ประโยชนข์ องการอ่าน การอ่านเป็นการรับอาหารสมองจากหนังสือท่ีจะช่วยบารุงความรู้ และประเทืองปัญญาแก่ ผู้อ่าน การอ่านจึงมีประโยชน์สาหรับมนุษย์ทุกคนทุกนาม ผู้ที่อ่านมากจะมีความรู้ในเรื่องท่ีอ่าน มากกว่าผู้ที่อ่านน้อยแต่มักคิดไปเองว่าตนเองน้ันมีความรู้แล้วประโยชน์ของการอ่าน การอ่านมี ประโยชน์ต่อผู้อ่าน ดงั นี้ 1. กระตนุ้ การทางานของสมอง สมองกเ็ ปน็ อวัยวะอยา่ งหน่ึงในรา่ งกายท่ตี ้องกานการออก กาลงั เพื่อรกั ษาประสิทธภิ าพในการทางานใหล้ น่ื ไหลไม่ตดิ ขดั อยู่เสมอ การอ่านหนังสืออยู่เปน็ ประจา จะชว่ ยกระตุ้นการทางานของสมองและกระตนุ้ กระบวนการคดิ ทาให้ห่างไกลจากโรคอลั ไซเมอร์ และ โรคความจาเสือ่ ม เพราะการใช้สมองคดิ ตามสงิ่ ที่อ่าน จะทาให้สมองไดท้ างานอยู่ตลอด 2. ลดความตงึ เครยี ด การอา่ นหนงั สอื ยงั มีข้อดีท่ีอย่างหนึง่ คือช่วยลดความเครียดให้แก่ผู้อ่าน ได้ นักจิตวิทยาได้แนะนาว่า การอ่านหนังสือนิยาย หรือหนังสือท่ีเราชอบในช่วงเวลาท่ีมี ความเครียดจากงานหรอื สง่ิ ท่ีเจอในชีวิตประจาวันจะทาให้ความเครียดที่มีอยู่หายไปได้ เพราะถ้าเรา มีสมาธิในการอ่านหนังสือท่ีอยู่ในมือ เราอาจจะลืมเลือนเรื่องที่กาลังกังวล หรือเรื่องที่กาลังเครียดอยู่ โดยอตั โนมตั ิ ขอ้ คดิ หรือมมุ มองทีด่ ที ่ีได้จากหนงั สอื จะช่วยให้เร่ืองที่กาลังเครียดอยู่หลายไปหรืออาจได้ วิธีการแก้ไขปัญหาที่ดี 3. ให้ความรู้ หนังสือท่ีเต็มไปด้วยสาระความรู้เสมอไม่ว่าจะเป็น ตารา เรื่องส้ัน นวนิยาย หรอื หนังสอื การ์ตูน ก็สามารถให้ข้อคิดแก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน ดังน้ันไม่ว่าหนังสือประเภทใด จะมขี อ้ คิดสอดแทรกมาไม่มาก็น้อย
ED12101 163 ภาษาและวัฒนธรรม 4. ได้รับสานวนภาษาท่ีแปลกใหม่ การอ่านหนังสือแต่ละประเภทท่ีอ่านนั้นช่วยให้ผู้อ่านได้ เรียนรู้สานวนภาษา คาศัพท์ วิธีการใช้ภาษาอย่างสละสลวย หากได้อ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ หรือหนังสือแปล ผู้อ่านก็จะมีโอกาสได้เรียนรู้คาศัพท์และสานวนใหม่ นอกจากนี้ผู้อ่านจะสังเกตได้ ว่าสานวนการพูดหรือสานวนการเขียนของคนท่ีชอบอ่านหนังสือน้ันจะเห็นว่าเขาสามารถพูดจาและ เขียนหนังสือได้อย่างไม่สะดุดมีภาษาที่สละสลวยและตรงประเด็นตามท่ีต้องการสื่อสารได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5. ช่วยกระตุ้นความทรงจา สมองท่ีมีไว้สาหรับการจดจาข้อมูล และเรียกใช้ได้อย่างทันที เม่ือจาเป็น ดังนั้นเม่ือเราอ่านหนังสือมาก สมองก็จะได้ทางานเก็บข้อมูลและเรียบเรียงข้อมูลใหม่ เพื่อให้เราสามารถจดจาอะไรได้ดขี ึ้น 6. สามารถบริหารกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ เมื่ออ่านหนงั สอื ทมี่ คี วามซับซอ้ น มีเงื่อนงา หรือ ปมท่ีต้องคิดตาม สมองของเราก็จะพยายามขบคิดปมปัญหาและหาทางออกนั้นด้วยตนเอง เชน่ เดยี วกนั กบั เวลาทไี่ ด้ดหู นังสือสืบสวนสอบสวน เราก็พยายามหาคาตอบอยู่ในใจไปพร้อมกับเนื้อ เร่อื ง ซึ่งจะทาใหก้ ระบวบการคดิ วเิ คราะหข์ องเราไดท้ างานอยตู่ ลอด 7. เป็นการฝึกสมาธิ การอ่านหนังสือท่ีเราสนใจเป็นวิธีการฝึกสมาธิได้อีกทางหนึ่ง เพราะ เวลาท่ีเราเพ่งความสนใจไปยงั หนังสอื จะถือได้วา่ เราเพ่งสมาธิและสมองไปด้วย ทาให้เรามีสมาธิในสิ่ง ต่างๆ ได้ดีข้ึน การอ่านหนังสือก่อนทางานหรือก่อนเรียนถือได้ว่าเป็นการฝึกสมาธิเพื่อเป็นการเตรียม ความพร้อมสมองและร่างกายให้พร้อมทางานและเรยี นหนงั สืออย่างมปี ระสิทธภิ าพ 8. ช่วยพัฒนาทักษะการเขียน การอ่านหนังสือเป็นประจาหรือไม่อ่านเป็นประจาก็ตาม การมีนักเขียนในดวงใจที่เราท่ีอ่านแล้วชอบวิธีการเขียน ซ่ึงส่ิงน้ีเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะ ทางด้านการเขียนให้ผู้อ่านได้ หากได้อ่านบ่อยๆ จะส่งผลให้ได้รับคาศัพท์และสานวนภาษาที่นักเขียน ได้เขยี นในหนงั สอื อนาคตอาจส่งผลให้ผู้อ่านอาจเป็นนักเขยี นฝีมอื ดไี ด้ 9. ให้ความสงบ การอ่านหนังสือจะช่วยให้เรามีสมาธิขึ้นแล้ว การอ่านหนังสือจะช่วยให้ รา่ งกายให้รา่ งกายเราเกดิ ความร้สู ึกสงบข้ึนด้วย โดยหากอา่ นหนงั สือแนวปรชั ญาหรือในหนงั สอื ทใ่ี ห้ แนวคดิ จะชว่ ยลดความดันโลหติ ใหอ้ ยู่ในระดับปกติ และบางครงั้ ยังสามารถชว่ ยชท้ี างสว่างใหช้ ีวติ ได้ 10. ให้เกิดความบันเทิง อ่านหนังสือประเภทใดก็ตาม หนังสือสามารถให้มุมมอง แง่คิดกับ ผู้อ่านได้เสมอ การอ่านหนังสือที่มีเน้ือหาท่ีให้ความบันเทิงเป็นวิธีหน่ึงที่จะทาให้ผู้อ่านเกิดความผ่อน คลาย บนั เทิงเริงใจ และยงั สามารถรับรู้ขอ้ คดิ ต่างๆ ที่สอดแทรกมากับงานเขียนน้ัน ระดบั ของการอา่ น การอ่านเป็นทกั ษะอย่างหน่ึงทตี่ ้องมีการฝกึ ฝน เพราะจะทาใหก้ ารอ่านของเรามีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาในการอ่าน ระดับของการอา่ น คอื กระบวนการตคี วามหมายลายลักษณ์อักษรจากการ ท่ีผู้เขียนได้มีการถ่ายทอดมาให้แล้วนามาแปลหรือตีความเป็นความคิด ทาให้มีความเข้าใจ มีความรู้ จากการอา่ นและสามารถนาประโยชน์ทไี่ ดจ้ ากการอ่านมาประยุกต์ใช้ในการดารงชีวติ เราสามารถจาแนกระดบั ของการอ่านเป็น 4 ขน้ั ตอน ไดด้ ังตอ่ ไปนี้ ขัน้ ท่ี 1 การอ่านออก ขัน้ ตอนนี้ผู้อา่ นสามารถสะกดคาท่ีอ่าน สามารถอา่ นออกเสยี งหรือ อ่านในใจได้ถูกตอ้ งตามอักขรวิธีของภาษานน้ั ๆ
ED12101 164 ภาษาและวัฒนธรรม ขั้นท่ี 2 การอา่ นแลว้ เขา้ ใจ การอ่านข้ันตอนนี้ผู้อา่ นสามารถทาความเขา้ ใจความหมายของ คา วลี ประโยค สามารถสรุปใจความเรื่องทก่ี าลงั อา่ นในคร้งั นนั้ ได้ ขั้นท่ี 3 การอ่านแล้วใช้ความคิดพิจารณาเรื่องท่ีอ่าน ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วสามารถคิด วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์และออกความเห็นในทางท่ีขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับเรื่องท่ีอ่านได้น้ันอย่างมี เหตผุ ลและเหมาะสม ขั้นที่ 4 นาข้อความรู้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ การอ่านข้ันตอนน้ีเป็นขั้นตอนสาคัญ เพราะผูอ้ า่ นสามารถประยุกตส์ ง่ิ ท่ไี ดจ้ ากการอ่านไปใช้ในเชิงสรา้ งสรรค์ในชวี ิตประจาวนั ได้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่อ่านได้และอ่านเป็นจะต้องใช้กระบวนการท้ังหมดในการอ่านที่ก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสดุ โดยการถา่ ยทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และจากการคิดท่ีได้ จากการอา่ นผสมผสานกบั ประสบการณ์เดมิ และสามารถนาความคิดนั้นไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป ประเภทของการอา่ น ลาวัณย์ สังขพันธานนท์และคณะ (2549 : 18-21) ได้แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี 1. จาแนกประเภทตามลักษณะการอา่ น แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื 1.1 การอา่ นออกเสียง หมายถึง การอ่านโดยวิธกี ารเปล่งเสียงออกมาเปน็ ถ้อยคา หรือ เสียงแลว้ ถา่ ยทอดเสียงออกมาเป็นความคิด 1.2 การอ่านในใจ คอื การอ่านทถี่ ่ายทอดตวั อกั ษรออกมาเป็นความคิดโดยตรง การอ่านในใจเป็นเรื่องท่ีต้องอาศัยทักษะและความชานาญ ผสมผสานกับการหม่ันฝึกฝนตนเองเพ่ือ ก่อให้เกิด ความชานาญในการอ่าน ทักษะท่ีสาคัญในการอ่านในใจ ได้แก่ ทักษะการอ่านได้เร็วและ ทักษะการเข้าใจ ความหมาย ทักษะในการอ่านเร็ว เป็นเรื่องของกลไกการอ่านหรือการเคลื่อนไหวของ สายตา ทักษะการ เขา้ ใจความหมาย เป็นหัวใจสาคัญของการอ่าน เพราะหากมีระดับความเร็วในการ อ่านดีแต่ไม่สามารถเข้าใจ เน้ือความของส่ิงที่อ่านได้การอ่านก็จะไม่ประสบผลสาเร็จ การท่ีผู้อ่านจะ เขา้ ใจความหมายของส่ิงท่อี ่านได้ จะต้องมพี ืน้ ฐานเกีย่ วกบั ส่ิงต่อไปนี้คือ 1.2.1 ความรูพ้ น้ื ฐานเรอื่ งคาและไวยากรณ์ได้แก่การร้จู ักความหมายของ คาศัพท์ หน้าทีข่ องคาและประโยค 1.2.2 การรจู้ กั ย่อหน้าหรอื ปริเฉท (Paragraph) ผอู้ า่ นมีความจาเปน็ ตอ้ งรู้ ความสาคัญของการย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสาคัญ (Main Idea) หนึ่งย่อหน้าจะ แสดง ประโยคใจความสาคัญไว้หนึ่งประโยค เรียกว่า ประโยคหลัก (Topic Sentence) จากน้ันจะใช้ ประโยคพล ความ(Supporting Sentence) เป็นประโยคเสริมเพื่ออธิบายหรือขยายความตามปกติ ใจความสาคัญของ แต่ละย่อหน้าส่วนมากจะปรากฏที่ต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้าหรืออาจปรากฏที่ ตอนกลางของย่อหนา้ ก็ได้ หนง่ึ ยอ่ หน้าจะมีใจความสาคญั เพียงหน่งึ ใจความเทา่ นนั้ 1.2.3 ภูมหิ ลังและประสบการณข์ องผู้อ่าน ผอู้ า่ นท่ีมปี ระสบการณไ์ ด้พบ เห็นหรอื ได้ คุน้ เคยกบั เหตุการณ์หรือเร่ืองราวนั้น ๆ จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจเร่ืองราวท่ีอ่านได้ชัดเจนมาก ย่งิ ขนึ้
ED12101 165 ภาษาและวฒั นธรรม 2. จาแนกประเภทตามวธิ กี ารอา่ น แบง่ ได้ 5 ประเภท ดงั นี้ 2.1 การอา่ นอยา่ งคร่าว ๆ เป็นวิธกี ารอา่ นทีจ่ ะใชเ้ มอ่ื ต้องการสารวจว่าจะอ่าน หนังสอื นน้ั ตอ่ ไปโดยละเอยี ดหรอื ไม่การอา่ นอยา่ งคร่าว ๆ จะอา่ นเพยี งชื่อเร่ือง ชือ่ ผแู้ ต่งสารบญั คานา หรือเป็น การอ่านเพียงบางตอนเพื่อดูจานวน การอ่านเพื่อสังเกตเนื้อหา หรือการอ่านเพื่อดู ดรรชนีค้นหาหวั ข้อที่ ต้องการวา่ มหี รือไม่ 2.2 การอ่านแบบตรวจตรา เป็นวิธีการอ่านละเอียดในข้อความที่ตอ้ งการรเู้ ป็น การ อ่านเพื่อเก็บข้อมูล คือ การอ่านหนังสือในหัวข้อเรื่องเดียวกันจากหนังสือหลาย ๆ เล่มเพื่อ เปรียบเทยี บและ คดั เลอื กก่อนจะสรปุ และนาสว่ นทต่ี นเองต้องการมาใช้นิยมใช้กันมากในการอ่านเพื่อ การท ารายงานการท า วิจยั การคน้ ควา้ หรือการทาวิทยานิพนธ์ 2.3 การอา่ นแบบศึกษาค้นควา้ เป็นการอา่ นอย่างละเอียดถี่ถว้ นตง้ั แตห่ นา้ แรกจนถงึ หน้าสุดท้าย เพื่อให้รู้เน้ือหาอย่างละเอียดลึกซ้ึงทุกขั้นตอน และเก็บแนวคิดเพื่อสรุปสาระสาคัญของ เนื้อความท้งั หมด 2.4 การอ่านเชงิ วิเคราะหห์ รอื การอา่ นตคี วาม เป็นวธิ กี ารอ่านที่ต่อเนือ่ งจาก วิธีการอ่าน แบบศึกษาค้นคว้า คือการอ่านอย่างละเอียดให้ได้ใจความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะ ส่วนประกอบออกใหไ้ ด้ วา่ สว่ นต่าง ๆ นนั้ มคี วามหมายและความสาคัญอยา่ งไร 2.5 การอา่ นโดยใช้วิจารณญาณ คือ การอา่ นโดยสอดแทรกการวพิ ากษว์ จิ ารณข์ อง ผู้อ่านไปด้วย โดยผู้อ่านจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานมาก และต้องอาศัยเทคนิคการอ่านทุกวิธีอย่างมี ประสิทธิภาพแล้วจงึ เกดิ การสรุปประมวลเป็นความคดิ รวบยอด สามารถวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และถูกต้อง สรุปได้ว่า ประเภทของการอ่านจาแนกได้ตามลักษณะการอ่าน และวิธีการอ่านซ่ึงขึ้นอยู่ กับ จดุ ประสงคข์ องผู้อา่ น การพฒั นาทักษะการอ่านสาหรบั ครู การอา่ นจับใจความสาคัญ การอ่านจับใจความสาคัญ เป็นการอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสาคัญหลักของ ขอ้ ความ หรือเรื่องทอี่ า่ น เปน็ ข้อความท่คี ลมุ ขอ้ ความอื่น ๆ ในยอ่ หนา้ ไว้ทง้ั หมด ศิริพร ลิมตระการ (2542: 26) ได้กล่าวถึงการอ่านจับใจความไว้ว่า การอ่านจับใจความนั้น ต้องหาสาระสาคัญของเน้ือเร่ืองท่ีอ่านจากย่อหน้า หรือจากข้อความต่อเนื่องท่ีผู้เขียนไม่ตั้งประเด็น เขียนและไม่มีการขยายความ ประเด็นท่ีตั้งไว้แต่เขียนไปเร่ือย ๆ น้ันทาให้ได้ยาก ผู้อ่านต้องอาศัยการ วิเคราะห์โครงสร้างของ ประโยค ข้อความ ย่อหน้า จึงจะเข้าใจความหมาย แต่สาหรับงานเขียนที่มี โครงสร้างกระชับเป็น ระบบผู้อ่านจะสามารถจับใจความได้ง่ายการอ่านประเภทนี้เป็นการอ่านท่ีมี จุดม่งุ หมายเพ่อื จับ ใจความทัว่ ไป ซ่ึงแบ่งออกได้ 2 อยา่ ง คือ 1. ใจความสาคัญหรือใจความหลัก ให้ต้ังคาถามว่า ย่อหน้าน้ีกล่าวถึงใครหรืออะไร กล่าวถึง บคุ คลนนั้ หรอื สง่ิ นน้ั วา่ อย่างไร 2. ใจความรอง คือ รายละเอียดที่เป็นข้อมูลสนับสนุนใจความหลักให้ชัดเจนย่ิงข้ึน อาจเป็น ตวั อย่าง เหตุผล และสถานการณ์ต่าง ๆ
ED12101 166 ภาษาและวัฒนธรรม ใจความสาคัญ หมายถึง ใจความท่ีเด่นท่ีสุดในย่อหน้าและมีความสาคัญ เป็นแก่นของย่อ หน้าท่ีสามารถครอบคลุมเน้ือความในประโยคอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคท่ีสามารถเป็นหัวเร่ือง ของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเน้ือความของประโยคอ่ืนออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยค เด่ียวๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซ่ึงในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสาคัญเพียง ประโยคเดยี ว หรอื อย่างมากไม่เกิน 2 ประโยค ใจความรอง หรือพลความ หมายถึง ใจความ หรือประโยคท่ีขยายความประโยคใจความ สาคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสาคัญให้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คา จากัดความ ยกตวั อย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพ่ือสนับสนุนความคิด ส่วนท่ีมิใช่ ใจความสาคัญ และมิใช่ใจความรอง แตช่ ว่ ยขยายความใหม้ ากขน้ึ คอื รายละเอียด หลกั การจบั ใจความสาคญั หลักสาคัญในการอ่านจับใจความ ในการสอนอ่านจับใจความน้ัน มีหลักสาคัญท่ีครูสามารถ นาไปปฏิบัตแิ ละใช้เปน็ แนวทางในการจดั การเรยี นการสอนในการสอนอา่ นไดด้ ังนี้ 1. ก่อนการอ่าน ถ้ามคี ายากหรือคาศัพท์ที่นักเรียนไม่รู้จักมาก่อน ครูควรอธิบาย หรือหาทาง ช่วยให้นักเรียนทาความเข้าใจความหมายของคาเหล่าน้ันเสียก่อน ท้ังนี้เพื่อให้การอ่านเป็นไป โดย ราบรื่น ไม่ขลุกขลกั และสามารถเขา้ ใจความหมายของศัพท์ (ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ, 2545 : 43) 2. การอ่านให้สังเกตตัวพิมพ์ท่ีแสดงถึงความสาคัญของคา หน่วยของคา วลีและประโยคซึ่ง มักพิมพ์ด้วยตัวอักษรพิเศษ เช่น ตัวใหญ่ตัวเอน หรือ พิมพ์ตัวอักษรสีต่างๆ ตลอดจนการระบาย สี บางๆ ท้ังประโยคหรือข้อความจะช่วยให้ผู้อ่านจับแนวความคิด หรือจับใจความสาคัญได้ง่ายขึ้น (สมุทร เซน็ เชาวนิช, 2536 : 192) 3. การอ่านโดยเพ่งเล็งหาใจความสาคัญ โดยการหาคาหลัก ประโยคหลักและ ความคิดหลัก (ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล, 2544 : 542) 4. หาแก่นของเร่ืองและโครงเรื่อง แววมยุรา เหมือนนิล (2541 : 25) ได้กล่าวไว้ว่า การหา แก่นของเรือ่ งหรือโครงเร่ืองน้ัน ผู้อ่านสามารถหาได้โดยการพิจารณาจากชื่อเรื่องตลอดจนการดาเนิน เรอ่ื งและตอนจบ จาเร่ืองราว ชื่อตัวละครและเหตุการณ์สาคัญให้ได้ เมื่อหาแก่นและโครงเรื่องที่อ่าน ได้แล้ว การวัดความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนหลังอ่านเป็นส่ิงสาคัญ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2545 : 43 อ้างถึงใน แววมยุรา เหมือนนิล, 2541 : 17) ได้กล่าวไว้ว่า ครูควรจัดกิจกรรมกลุ่มให้ นักเรียนช่วยกันต้ังคาถามจากเน้ือเร่ือง ท่ีอ่าน การทาแบบฝึกหัดท้ายบท การสังเกตการณ์เรียงลาดับ เพ่ือให้รู้ว่าเหตุการณ์ใดมาก่อนหรือมาหลัง การ สร้างแผนผังความคิด การเล่าเรื่องด้วยคาพูดของตน และการสรปุ เรือ่ งท่ีอ่าน เปน็ ต้น จากแนวทางต่าง ๆ เหล่าน้ีครูผู้สอนสามารถฝึกให้นักเรียนเข้าใจเร่ืองที่อ่านได้อย่าง รวดเร็ว โดยการสังเกตคาสาคัญ ข้อความสาคัญ หรือการหาคาหลักและประโยคหลัก ซ่ึงครูจะเป็นผู้ ช้ีแนะให้นักเรียนหัดสังเกตและจับประเด็นสาคัญของเรื่อง นอกจากน้ีอาจใช้การสร้างแผนผัง ความคดิ การหาแกน่ ของเร่อื งและโครงเร่อื ง รวมทงั้ การตงั้ คาถามจากเร่อื งท่ีอ่านเพ่ือเป็นการทบทวน และทาความเข้าใจเรื่องโดย ตลอด
ED12101 167 ภาษาและวัฒนธรรม วธิ ีหาใจความสาคัญของเรอ่ื งทอ่ี ่าน การหาใจความมีของเรื่องที่อ่านมีหลายวิธี ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้อ่านเป็นพ้ืนฐาน เชน่ การขีดเสน้ ใต้ การใชส้ ีตา่ งๆ กัน แสดงความสาคัญมากน้อยของข้อความ การบันทึกย่อเป็นส่วน หนง่ึ ของการอ่านจับใจความสาคัญท่ีดี แตผ่ ทู้ ี่ยอ่ ควรย่อด้วยสานวนภาษาและสานวนของตนเองไม่ควร ย่อด้วยการตัดเอาข้อความสาคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทาให้ผู้อ่านพลาดสาระสาคัญบางตอนไป อนั เปน็ เหตใุ ห้การตคี วามผิดพลาดคลาดเคลือ่ นได้ วิธจี บั ใจความสาคัญมหี ลักดงั นี้ 1. พจิ ารณาทลี ะย่อหน้า หาประโยคใจความสาคญั ของแตล่ ะยอ่ หน้า 2. ตัดส่วนท่ีเป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สานวนโวหาร อุปมาอุปไมย(การ เปรียบเทียบ) ตัวเลข สถติ ิ ตลอดจนคาถามหรือคาพดู ของผเู้ ขยี นซึง่ เป็นสว่ นขยายใจความสาคัญ 3. สรปุ ใจความสาคัญด้วยสานวนภาษาของตนเอง การพจิ ารณาตาแหน่งใจความสาคญั การอ่านจับใจความสาคัญมคี วามเป็นอย่างยิง่ ทผี่ อู้ า่ นต้องสามารถหาใจความสาคัญของแต่ล่ะ ย่อหน้าหรือแต่ละข้อความท่ีอ่านได้ เพราะใจความสาคัญเป็นแก่นหลักสาคัญของแต่ละย่อหน้า ตามที่ๆ ได้กล่าวไปแล้วน้ัน ใจความสาคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏในตาแหน่งต่างๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ประโยคใจความสาคัญอยตู่ อนต้นของยอ่ หน้า ตวั อย่าง ความแตกต่างของมนุษย์และสัตว์อีกประการหนึ่งที่เห็นเด่นชัด คือเรื่องของการใช้ภาษา มนุษย์สามารถถ่ายทอดความรู้ความคิดออกมาเป็นตัวเขียน คือ เป็นภาษาหนังสือสาหรับให้ผู้อื่นอ่าน และเข้าใจตรงตามท่ตี ้องการ แต่สัตวใ์ ช้ได้แต่เสียงเท่าน้ันในการสื่อสาร แม้แต่เสียงหลายท่านก็ยัง มคี วามเหน็ วา่ สัตวจ์ ะทาเสียงเพื่อแสดงความรสู้ ึก เชน่ โกรธ หิว เจ็บปวด เท่าน้ัน เสียงของสัตว์ไม่ อาจสอ่ื ความหมายไดล้ ะเอยี ดลออเทา่ ภาษาพดู ของมนษุ ย์ (จันทร์ศรี นิตยฤกษ์ 2525:4-5) 2. ประโยคใจความสาคัญอยู่ตอนกลางของยอ่ หน้า ตวั อย่าง ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีได้น้ันจะต้องมีการฝึกฝนจนเรียนรู้ ฉะนั้นครูจึง เปน็ ผู้ทม่ี ีโอกาสดีกว่าคนอ่ืนๆ ในการฝึกนิสัยการฟังท่ีดีให้แก่เยาวชนท่ีจะเป็นผู้นาของชาติในอนาคต ครูไม่ควรมองข้ามความสาคัญของการฟังไป ควรระลึกไว้เสมอว่า การฟังมีความสาคัญเท่าๆ กับ การพูด การอ่านและการเขียน ถ้าผู้ฟังรู้จักฟังแล้วการฟังก็จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าผู้ฟังไม่รู้จัก การฟัง ผู้ฟังก็จะไม่ได้รับผลอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้ามบางครั้งก็อาจจะมีโทษอันร้ายแรงเกิดขึ้น อกี ดว้ ย (ฉัตรวรณุ ตนั นะรัตน์ ๒๕๑๙,๖๘)
ED12101 168 ภาษาและวัฒนธรรม 3. ประโยคใจความสาคญั อยตู่ อนท้ายของยอ่ หนา้ ตวั อยา่ ง ภายในวงงานศิลปะประเภทหน่ึงๆ มีรูปแบบของศิลปะนั้นแยกออกไป จิตรกรรมก็มีการวาด และระบายสีบนฝาผนัง วาดเป็นเส้นบนกระดาษ วาดและระบายเป็นภาพเล็กเป็นภาพใหญ่เป็นรูป คนรูปภูมิประเทศและอนื่ ๆ วรรณคดีกเ็ ข้าในลกั ษณะนี้ รูปแบบของวรรณคดไี ทยกม็ ีหลายแบบ ถ้านับ วรรณคดตี ่างประเทศท่ัวโลกก็มีรูปแบบเกือบจะนับไม่ถ้วน คุณภาพของวรรณคดีข้ึนอยู่กับรูปแบบจะ มีความดหี รอื ความบกพรอ่ งภายในวงของรปู แบบแตล่ ะรูปแบบ การพิจารณาวรรณคดีจึงเป็นไปตาม รูปแบบแต่ละรูปๆ นัน้ (บุญเหลือ เทพยสวุ รรณ 2517:2) 4. ประโยคใจความสาคญั อยตู่ อนตน้ และตอนท้ายของย่อหนา้ ตวั อยา่ ง ศิลปวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดาเนินชีวิตประจาวัน ตัวอย่างบาง คนชอบปลูกไม้ดอกไม้ผล เม่ือเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดท่ีจะทาดอกผลน้ันให้งดงามน่าดู ย่ิงข้ึน จึงมีผู้นาผลไม้มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้านและแกะสลัก ส่วนไม้ดอกที่ออกดอก ก็นามาผูกมัดเป็น ชอ่ บา้ ง เปน็ พวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่มหรือปักลงในแจกันก็ได้ตามแต่จะเห็นงาม ชีวิตชาวไทยกับ ศลิ ปะความงามจงึ แยกกันไมอ่ อก (การเตรยี มเพื่อการพูดและการเขียน, ฉตั รวรุณ ตันนะรัตน์) 5. ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านท้ังย่อหน้า (ในกรณีใจความสาคัญหรือความคิดสาคัญอาจ อยู่รวมในความคดิ ยอ่ ย ๆ โดยไมม่ คี วามคิดทเ่ี ปน็ ประโยคหลกั ) การอ่านตคี วาม การอ่านตีความ คือ การอ่านเพ่ือพยายามเข้าใจความหมาย และถอดความรู้สึกอารมณ์ สะเทือน ใจ จากข้อความท่ีผู้เขียนส่ือให้อ่านอาจจะตีความหมายได้ตรงกับความมุ่งหมายหรือเจตนา ของผ้เู ขียน กไ็ ดห้ รอื บางคร้งั อาจจะเข้าใจความหมายตามวิธีของตนเอง โดยอาศัยพื้นความรู้เดิมความ สนใจ ประสบการณ์ ระดบั สตปิ ญั ญา และวัย หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2522: 8) ได้กล่าวไว้ว่า “ตีความ” หรือวินิจฉัยสารไว้ ว่า “วินิจสารคือการตีความนั่นเอง ในภาษาอังกฤษเรียกว่า interpretation การตีความเป็นส่ิงที่ จาเป็นท่ีสุดใน การอ่านหนังสือ ไม่ว่าหนังสือจะเป็นวรรณคดีหรือไม่” “วินิจสารหรือตีความคือ พจิ ารณาวา่ ผ้แู ต่งส่งสาร อะไรมายังผู้อ่าน” (2522: 90) “ วินิจ แปลว่าเพ่งเล็ง มองดูด้วยความตัÊงใจ ‘สาร’ ก็คือ ‘ความหมาย’ ที่ผู้เขียนวรรณกรรม (หรือแต่งเป็นวาจา) ส่งมายังผู้อ่านสาร (หรือ
ED12101 169 ภาษาและวัฒนธรรม ความหมาย) ถ้าสื่อทjี ใช้สง่ สารเป็นส่ือ ง่าย ๆ ตรงๆ ก็เข้าใจง่าย... แต่ถ้าคากล่าวมีสารท่ีไม่แจ่ม ไม่ทา ใหเ้ ห็นง่ายๆ ผู้สง่ สารใช้สื่อทแี่ ยบยล เรากต็ ้องเพง่ เล็งใช้พยายามอ่านให้ดีฟังแล้วคิด น่ันคือเราต้อง วินิจสาร” (2529: 334) “สรุปแล้วคือ การตีความคือการวินิจสารหรือพิจารณาสารของผู้ส่ง” (2522: 348) กล่าวโดยสรุป การตีความ คือ การพิจารณาโดยละเอียดเพื่อทาความเข้าใจสารที่แฝงนัย เพือ่ ให้ทราบความหมายและเจตนาทีjแทจ้ ริงของสารทีÉผู้ส่งสารสง่ มายังผรู้ ับสาร วัตถุประสงค์ของการอา่ นตีความ การอา่ นตคี วามมจี ุดมงุ่ หมายเพื่อพิจารณาข้อความหรือเรื่องนัน้ ๆ มีความหมายที่แทจ้ รงิ ว่า อยา่ งไรและสามารถท่ีจะอธิบายถึงเจตนา และความคิดของผู้เขียนได้อย่างชัดเจนการตีความจากการ อ่านจะแตกตา่ งกนั ไปด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ 1. ความสามารถของแต่ละบคุ คล 2. วยั เพราะความรู้สึกนกึ คดิ ความซาบซงึ้ ความสนใจ ตลอดจนความรยู้ ่อมแตกต่างกันไป ตามวยั ตา่ ง ๆ กนั ทั้ง ทีเ่ ป็นเรอ่ื งเดยี วกนั 3. ประสบการณ์เน่ืองจากความเขา้ ใจและความซาบซึ้งในเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ไมเ่ หมือนกนั เพราะคนท่ีไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ใด ก็จะข้าใจและซาบซึ้งน้อยกว่าคนท่ีมีประสบการณ์ เรอ่ื งนัน้ มาแล้ว 4. ความเขา้ ใจถ้อยคา ซึ่งหมายถงึ ความหมายของคา ซ่ึงเป็นส่วนสาคัญของการตีความหาก ไมเ่ ข้าใจถ้อยคา ก็จะตีความได้ไมถ่ กู ตอ้ งและไมล่ ึกซึ้ง 5. ความสามารถในการเปรียบเทียบกับเร่ืองอื่น หมายถึง ความเข้าใจและสามารถนาไป เกยี่ วขอ้ งกับขอ้ ความอน่ื ทีม่ ีความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นการตีความตามตัวอักษร ตีความตามเนื้อหา หรอื ตคี วามตามนา้ เสยี งกต็ าม ตวั อยา่ งเชน่ จะหามณรี ัตน์รุจิเลิศกอ็ าจหา เพราะมวี ณชิ คา้ และก็คนก็มง่ั มี กแ็ ตจ่ ะหาซงึ่ ภริยาและมติ รดี ผทิ รพั ยะมากมี กม็ ไิ ดป้ ระดจุ ใจ (มัทนะพาธา) ตีความดา้ นเน้ือหา : จะหาอะไรก็หาได้ถา้ มีเงิน แต่เงนิ มิสามารถจะซื้อมติ รกบั ภริยาทดี่ ไี ด้ ตคี วามด้านน้าเสยี ง : เงนิ มิใช่ของมคี า่ จะซอ้ื ทกุ อยา่ งไดเ้ สมอไป ในการตคี วามสารใด ๆ นัน้ เราจะตีความ 2 ด้าน คอื 1. การตีความดา้ นเน้ือหา 2. การตคี วามด้านน้าเสียง
ED12101 170 ภาษาและวัฒนธรรม สิ่งสาคัญของการอ่านตีความ คือ การตีความท้ัง 2 ด้านนี้ เป็นการตีความตามความรู้และ ความคดิ ของเราเอง ผู้อ่นื ไม่จาเป็นตอ้ งเหน็ ดว้ ยกับความคิดของเราก็ได้เราจะดูจากการให้เหตุผลของ การตีความเป็นสาคญั 6. ความสามารถในการใช้ถ้อยคา คาบรรยายข้อความของการตีความ ซึ่งบางคนเข้าใจเรื่อง ได้ดีแต่อธบิ ายไมไ่ ดเ้ พราะไม่สามารถบรรยายใหด้ ีดังทตี่ นรู้และเข้าใจได้ จะเห็นได้ว่าการอ่านเพื่อตีความน้ัน ผู้อ่านต้องใช้สติปัญญา เพ่ือให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของ ผเู้ ขียนสามารถทจ่ี ะสรุปความคดิ จับใจความสาคัญ และอธบิ ายขยายความได้ วธิ ีปฏบิ ัติในการอ่านตคี วาม วิธีการอา่ นตคี วามมขี นั้ ตอนดังต่อไปน้ี 1. อ่านเรื่องให้ละเอยี ดแล้วพยายามจบั ประเด็นสาคญั ให้ได้ 2. ขณะทอ่ี า่ นต้องพยายามคิดหาเหตุผลและใคร่ครวญอย่างรอบคอบ และนามาประมวลเข้า กบั ความคิดของตนเองว่าข้อความหรือเร่อื งน้นั ๆ มคี วามหมายถึงสิ่งใด 3. ทาความเข้าใจกับถ้อยคาบางคาท่ีมีความสาคัญตลอดจนคาแวดล้อมหรือบริบท ประกอบด้วยเพื่อเข้าใจความหมายได้ชดั เจนขน้ึ 4. เรียบเรยี งถ้อยคาทจี่ ะใชบ้ รรยายให้มคี วามหมายชดั เจน 5. จับแต่ใจความสาคญั ของเรอ่ื งน้นั ดว้ ยความร้คู วามคิดอยา่ งมเี หตผุ ล หลกั การอ่านตคี วาม หลักการอา่ นตคี วามท่ีสาคัญมีดงั ต่อไปนี้ 1. จับใจความเรอ่ื งท่ีอานอยา่ งละเอยี ด 2. ทาความเขา้ ใจข้อความท่ีอานวา่ ผูส้ ่งสารตอ้ งการจะส่ืออะไร 3. ศกึ ษาความหมายของคา ขอ้ ความท่มี ีความหมายแฝง 4. ดูบรบิ ทขอ้ ความท่ีอ่านเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ของผ้สู ่งสาร 5. ทาความเขา้ ใจกับขอ้ มลู ทีเ่ กยี่ วข้อง เชน่ ประสบการความหมายของสัญลกั ษณ์ ความเชื่อ ประเพณี จะเห็นได้ว่าการอ่านตีความเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เพราะการสื่อสารในชีวิตประจาวันน้ัน บางคร้ังไม่ได้สื่อออกมาตรง ๆ คือ อาจมีคาหรือข้อความที่มีความหมายแฝงอยู่ ผู้รับสารต้องศึกษา ความหมายให้ถูกต้อง ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับการฝึกฝน และประสบการณ์ด้วยจึงจะตีความได้ว่าผู้ส่งสาร ตอ้ งการจะสื่ออะไร เชน่ “รฐั บาลเปิดไฟเขยี วเร่อื งการแกป้ ัญหาการจราจร” เปิดไฟเขียว เป็นความหมายแฝง หมายถึง เปิดทางให้แก้ปัญหาโดยสะดวก ไม่ได้หมายถึง เปดิ สัญญาณไฟเขยี ว ดังนั้นหากผู้รับสารไม่มีประสบการณ์ความรู้เร่ืองน้ีก็ไม่เข้าใจความหมายตามท่ีผู้ส่งสาร ต้องการจะสือ่ สารใหท้ ราบทาใหต้ คี วามผดิ ไปได้
ED12101 171 ภาษาและวัฒนธรรม การอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ ความหมายของการอ่านเชิงวิเคราะห์ นกั การศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของการอ่านเชิงวิเคราะหไ์ ว้ดงั นี้ ประเทิน มหาขันธ์ (2530: 173) ได้ให้ความหมายของการอ่านเชิงวิเคราะห์ คือ การคิดอย่าง รอบคอบโดยใช้วิจารณญาณอย่างลึกซึ้ง แต่เป็นการคิดท่ีมีต่อเร่ืองราวท่ีได้อ่านจากหนังสือ ผู้อ่านต้อง ใช้วิจารณญาณในการตัดสินความคิดของผู้เขียนว่าเป็นไปในลักษณะใดมากกว่าการท่ีจะได้ เห็นดี เหน็ ชอบไปกับความคดิ ของผเู้ รยี นโดยส้ินเชิง ราชบัณฑิตยสถาน (2531: 753) ได้ให้ความหมายของวิเคราะห์ว่า หมายถึง ใคร่ครวญ แยก ออกเป็นสว่ น ๆ กรมวิชาการ (2544: 208-210) ได้ให้ความหมายของการอ่านเชิงวเิ คราะห์ไวว้ ่าเปน็ การอา่ นหนังสือแตล่ ะเล่มอย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แลว้ จึงแยกแยะใหไ้ ด้วา่ ส่วนต่างๆนน้ั มี ความหมายและความสาคัญอยา่ งไรบ้าง แตล่ ะด้านสัมพันธ์กบั สว่ นอ่นื ๆอย่างไร ประพนธ์ เรืองณรงค์ (2545: 51) ให้ความหมายของการอ่านวิเคราะห์ว่าเป็นการอ่านด้วย ความคิดพิจารณาและไตร่ตรองด้วยเหตุผลว่าเนื้อความท่ีอ่านนั้นส่วนใดเป็นสาระหรือไม่เป็นสาระ สว่ นใดเป็นขอ้ เท็จจรงิ สว่ นใดเป็นขอ้ คิดเห็น ส่วนใดควรเชื่อถือ หรือไม่ควรเช่ือถือ รวมถึงพิจารณาจุด ประสงคแ์ ละทัศนะของผเู้ ขียน ทัง้ นีเ้ พ่อื แยกแยะและเลือกเฟน้ สาระทดี่ ี ไว้ใช้ประโยชนต์ อ่ ไป กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 208 ) ให้ความหมายการอ่านเชิงวิเคราะห์ คือ อ่านอย่าง ละเอียดให้ได้ครบถ้วนแล้วจึงแยกแยะออกได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมาย และความสาคัญอย่างไร บา้ ง แต่ละสว่ นสัมพันธ์กับสว่ นอนื่ ๆ อยา่ งไร เกรยี งศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546: 3-6) ให้ความหมายว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์ หมายถงึ การจาแนกเร่ืองออกเป็นส่วนๆ ให้เห็นวา่ ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไร พจิ ารณาแต่ ละสว่ นใหล้ ะเอียดลงไปวา่ ประกอบกนั อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง และวเิ คราะห์ทรรศนะของ ผแู้ ตง่ เพื่อทราบจดุ มงุ่ หมายที่อยูเ่ บอ้ื งหลังผา่ นภาษาและถ้อยคาทใี่ ช้ วัชรี บูรณสิงห์ และนิรมล ศตวุฒิ (2547: 43-48) ให้ความหมายว่า การอ่านเพื่อวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านเพ่ือแยกแยะความคิด แยกแยะประเด็นสาคัญ แยกแยะข้อมูลข้อเท็จจริงหรือความ คดิ เห็นออกจากกันไดอ้ ย่างถูกต้อง บุญชม ศรสี ะอาด (2549 ,หนา้ 39-42) ให้ความหมายวา่ การอ่านเชิงวเิ คราะห์ เป็นการ อา่ นอยา่ งละเอียดรอบคอบ แยกแยะความคิด แยกแยะประเด็นของส่งิ ทอี่ า่ นนามาจดั ลาดับ ความสาคัญ นาไปส่กู ารสรปุ ของเรือ่ งที่อ่าน จากความหมายของการอ่านเชงิ วเิ คราะหส์ รปุ ได้วา่ การอ่านเชิงวเิ คราะห์เปน็ ทักษะ การอา่ น ในระดบั ท่ีสูงกว่าการอา่ นทว่ั ๆ ไป มิใช่เปน็ เพยี งการอ่านเพ่ือความรแู้ ละความเพลิดเพลิน เทา่ นน้ั แต่ ยงั ต้องมีการวิเคราะหส์ ่งิ ท่ีผเู้ ขียนไดเ้ ขยี นในดา้ นต่าง ๆ เพอื่ นาไปส่กู ารสร้างความร้คู วามคดิ การ ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หา และสรา้ งวิสยั ทัศนใ์ นการดาเนนิ ชีวติ
ED12101 172 ภาษาและวฒั นธรรม ความสาคญั และประโยชนข์ องการอา่ นเชงิ วิเคราะห์ เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546: 1 ) กล่าวว่าการคิดเชิงวิเคราะห์ เป็นพื้นฐานสาหรับการ คิดในมติ ิอ่นื ๆตอ่ ไป ไมว่ า่ จะเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ การคิดเชิงเปรียบเทียบ การคิดสร้างสรรค์ การคิด เชิงวิเคราะห์ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งท่ีเกิดขึ้น เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของ เหตุการณ์ต่างๆ รู้ว่าเรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทาให้เราได้ข้อเท็จจริงท่ีเป็น พ้ืนฐานความรู้ในการนาไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหา การประเมินและการตัดสินใจเร่ืองต่างๆได้ อยา่ งถูกต้อง กรมวิชาการ (2542: 12-15) ได้กาหนดจุดเน้นของการเรียนการสอนในคู่มือหลักสูตร การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ว่าสิ่งที่มุ่งหวังในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คือความมุ่งหวังให้นักเรียนนาความรู้ความสามารถไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง ส่ือสาร กับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ครูต้องเปล่ียนพฤติกรรมการสอนด้วยการจัดการ เรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานท่ีกาหนดมีองค์ประกอบที่สาคัญ 3 ด้าน คือความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และฝกึ ให้ผูเ้ รียนมนี ิสยั ใชก้ ระบวนการในการแสดงออก ทุกด้าน การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ เปน็ ทกั ษะกระบวนการพืน้ ฐานที่สาคัญอย่างหนง่ึ ใน 9 ข้นั ตอนคือ 1. ตระหนักในปัญหาและความจาเป็น 2. คิดวเิ คราะห์ วิจารณ์ 3. สรา้ งทางเลอื กอย่างหลากหลาย 4. ประเมินและเลือกทางเลือก 5. กาหนดและลาดบั ขัน้ ตอนการปฏบิ ัติ 6. ปฏบิ ัติด้วยความชน่ื ชม 7. ประเมินระหวา่ งปฏิบตั ิ 8. ปรบั ปรุงใหด้ ีขนึ้ อย่เู สมอ 9. ประเมนิ ผลรวมเพ่ือให้เกดิ ความภูมใิ จ การอา่ นเชงิ วิเคราะห์ นอกจากจะชว่ ยให้ผู้อา่ นได้รบั ความรู้ ความคดิ และความบันเทิง จากสิ่งทีอ่ ่านเปน็ เบ้ืองตน้ แล้ว ยังกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนอ์ ีกหลายประการ คอื (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2546: 208) 1. ชว่ ยใหผ้ ้อู า่ นเห็นภาพทง้ั หมดของงานเขยี นแตล่ ะชิ้น เป็นสว่ นรวมวา่ มอี ะไร ประกอบอยู่ในลักษณะใด อกี ทง้ั มองเหน็ ความสมั พันธข์ องขอ้ ความแตล่ ะสว่ นว่ามีความสัมพนั ธ์ และประกอบกันเข้ามาเป็นงานเขยี นแตล่ ะช้ินได้อยา่ งไร 2. ช่วยใหผ้ ู้อา่ นเกดิ ทักษะในการอ่านสอื่ สง่ิ พมิ พต์ ่าง ๆ สามารถเลอื กไดว้ ่าอะไร ควรอ่าน หรอื อะไรอา่ นผา่ น ๆ หรอื อา่ นอย่างต้ังใจอย่างละเอียด เพื่อจะได้เป็นความรู้ ความคิด และพัฒนาปัญญา 3. ช่วยใหผ้ ู้อ่านเพ่ิมประสทิ ธิภาพการอา่ นให้แก่ตนเอง และทาให้เกิดความรกั ความชื่นชม ความซาบซง้ึ อกี ทัง้ เล็งเห็นคุณค่าของงานเขียน
ED12101 173 ภาษาและวัฒนธรรม 4. ชว่ ยใหผ้ ้อู ่านนาเอาวิธีการและผลจากการอา่ นมาปรับใช้ในการดาเนนิ ชวี ิต หรอื ใช้แกป้ ญั หาต่าง ๆ ในชีวติ ได้ หลักการอ่านเชิงวิเคราะห์ ประพนธ์ เรืองณรงค์ (2545, หน้า 50 - 51) กล่าวว่า การอ่านอย่างวิเคราะห์เป็นการอ่านที่ ฝึกให้นักเรียนรู้จักอ่านหนังสืออย่างมีวิจารณญาณ รู้จักแยกแยะความเหมาะสมขององค์ประกอบใน การเขียน ทั้งเน้ือหาและรูปแบบ เข้าใจจุดประสงค์และทัศนะของผู้เขียน รวมท้ังวินิจฉัยได้ว่าเรื่อง นั้นควรอ่านหรือไม่ควรอ่านอย่างไร การฝึกทักษะการอ่านอย่างวิเคราะห์ จะทาให้นักเรียนอ่าน หนังสือเป็นและอา่ นอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ซึ่งหลกั การอา่ นเพ่ือวเิ คราะหม์ ีหลกั ปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. แยกแยะส่วนที่เป็นสาระสาคัญและส่วนขยายความ การเขียนหนังสือผู้เขียนจะเขียนใน 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นสาระสาคัญ และส่วนขยายความ ซึ่งอาจจะเป็นการอธิบายหรือยกตัวอย่าง ประกอบ การอ่านอย่างวิเคราะห์น้ันผู้อ่านจะต้องค้นหาส่วนที่เป็นสาระสาคัญท่ีผู้เขียนต้องการ นาเสนอ เพอ่ื จะได้เขา้ ใจจดุ ประสงคท์ ่ีแท้จรงิ ของผเู้ ขยี น 2. แยกแยะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงออกจากข้อคิดเห็น ในงานเขียนต่าง ๆ นอกจากผู้เขียน จะนาเสนอขอ้ มูลส่วนที่เปน็ ขอ้ เท็จจรงิ แล้ว บางครั้งผู้เขียนอาจสอดแทรกข้อคิดเห็นเพื่อแสดงมุมมอง และทัศนะส่วนตัวอันจะทาให้งานเขียนน่าสนใจและน่าอ่านยิ่งขึ้น แต่ในข้อคิดเห็นนั้น ๆอาจแฝงไว้ ด้วยค่านิยมส่วนตัว ความเช่ือ หรืออคติต่าง ๆ ของผู้เขียน ซ่ึงผู้อ่านจะต้องพิจารณาว่าความคิดเห็น ของผเู้ ขียนตั้งอยบู่ นเหตผุ ลท่ีถูกต้องหรอื ไม่ ควรเห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ การอ่านประเภทนี้จึงต้อง อาศัยประสบการณ์อ่านอยา่ งมาก แนวการจดั การเรียนการสอนการอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านเชิงวิเคราะห์ เน้นทักษะการอ่านเพื่อแสดง ความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ ซึ่งนักเรียนอาจวิเคราะห์โดยการพูด หรือการเขียนสื่อความให้ผู้อ่ืน เข้าใจแนวคิดในด้านต่าง ๆ อย่างมีหลักการและเหตุผล การสอนอ่านเชิงวิเคราะห์ ครูควรจัดเตรียม เรื่องราว เน้ือหา หรือข้อความต่าง ๆ โดยจัดเตรียมเองหรือมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาหรือ รวบรวมมาก็ได้ แต่สิ่งสาคัญก็คือ เนื้อหา หรือเร่ืองราวที่จะนามาวิเคราะห์น้ันต้องสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ด้วย เช่น ฝึกให้นักเรียน แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น ก็ควรนามา จากขา่ วหรือบทความในหนังสือพมิ พ์ เป็นตน้ หลักการสรา้ งคาถาม ประเมินการอา่ นเชงิ วิเคราะห์ ความสามารถในการเรียนรูส้ งิ่ ตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์แสดงออกได้หลายทาง โดยมเี ครื่องมือหลาย ชนิดทใ่ี ชใ้ นการวดั ตามแตล่ ะจดุ ประสงคข์ องการวดั ในการเรียนรูโ้ รงเรียนหรือสถาบันการ ศึกษาต่าง ๆ นิยมให้แบบทดสอบชนิดต่าง ๆ วดั และประเมินผลความสามารถของผู้เรียน ดังนั้นแบบทดสอบจึงมี คว า มส า คั ญ ใ น ก า ร เ ป็ น เ คร่ื อง มือ ค้น คว้ า พั ฒ น า ค ว า มส า ม า ร ถข อง ผู้ เ รี ย น ก า ร อ่ า น เ ชิ ง วิ เ คร า ะ ห์ เช่นเดยี วกัน การจะฝึกให้นกั เรยี นมีความสามารถในดา้ นนไี้ ด้น้ันจะต้องฝกึ ให้รจู้ กั คดิ และใหต้ อบคาถามชนดิ นเี้ ทา่ นัน้
ED12101 174 ภาษาและวฒั นธรรม ชวาล แพรตั กลุ (2520: 259) แบ่งชนิดของการวเิ คราะหอ์ อกเป็น 3 ชนดิ ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์หาความสาคัญ เป็นการค้นหาลักษณะท่ีเด่นชัดของตัวเอง แบ่ง ออกเป็น 3 ชนิด 1.1 คาถามวิเคราะหช์ นิดเปน็ ความสามารถข้นั ต้นในการวเิ คราะหเ์ ปน็ คาถาม ท่ีใหน้ กั เรียนแจกแจงบอกชนิด ลักษณะ ประเภทของข้อความ เรือ่ งราว วตั ถุ สง่ิ ของ เหตกุ ารณ์ และการกระทาต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์และหลกั การใหม่ที่กาหนดให้ 1.2 คาถามวิเคราะห์ส่ิงสาคัญ เป็นคาถามท่ีให้ค้นหาสิ่งที่มีความหมายสาคัญของ เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ให้จับใจความสาคัญท่ีเป็นเนื้อหาสาระและแก่นสารของเรื่องราวให้ วิเคราะห์หาผลลพั ธ์ ผลสรุป ความเด่นที่มีคุณค่าและความด้อยท่ีไร้สาระหรือสิ่งที่มีอิทธิพลทั้งโดยตรง และโดยอ้อมต่อเรื่องน้ันในทางใดทางหนึ่ง เป็นต้น คาถามชนิดน้ีเป็นที่ต้องการของการศึกษาทุก ระดับ เพราะต้องการทราบว่าผู้เรียนสามารถจับจุดสาคัญของเรื่องน้ัน ๆ ได้หรือไม่หรือมีความ สามารถทีจ่ ะคน้ หาส่ิงเหล่านี้ไดด้ ีเพียงใด 1.3 คาถามวิเคราะหเ์ ลศนัย เปน็ คาถามที่ฝึกใหเ้ ป็นคนมไี หวพริบ รู้ทนั คน และ เหตกุ ารณ์ 2. การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ชนิดนี้เป็นการค้นหาความเกี่ยวข้อง ระหว่างคุณลักษณะสาคัญใด ๆ ของเรื่องราวและส่ิงต่าง ๆ เพ่ือให้รู้ว่าอะไรเก่ียวข้องกับส่ิงใดแบ่ง ออกเปน็ 8 ลกั ษณะ ดงั น้ี 2.1 ความสัมพันธ์ตามกัน ได้แก่ ส่ิงของ 2 ส่ิงข้ึนไปที่เปลี่ยนแปลงและสามารถนา การเปลี่ยนแปลงน้ัน ๆ มาตั้งเป็นกฎเกณฑ์หรือกาหนดแนวโน้ม แนวทางทานายล่วงหน้าได้เม่ือเขียน คาถามให้วเิ คราะห์หาความสมั พนั ธ์ตามกนั ของเร่อื งใด ๆ มกั ใชส้ านวนว่าคากล่าวใดสอดคล้องกับเร่ือง น้ี ส่ิงใดจะเกิดตามมา เป็นตน้ 2.2. ความสัมพันธ์กลับกัน ได้แก่ ส่ิงที่เปลี่ยนแปลง จานวนและขนาดตรงกันข้าม เพื่อถามความสัมพันธ์แบบกลับกัน มักจะเขียนถามว่า สิ่งใดขัดแย้งกับเร่ืองน้ีข้อเท็จจริงใดไม่ สมเหตุสมผล เป็นต้น 2.3. ไม่มีความสัมพันธ์กัน เป็นส่ิงท่ีไม่มีคุณลักษณะใดเกี่ยวข้องกันและกันเลยเมื่อ ถามแบบไม่มีความสมั พนั ธ์กนั มักจะเขียนถามวา่ ส่ิงใดไม่เกย่ี วข้องกบั เรือ่ งนี้ส่งิ ใดไมส่ อดคล้องกับเรื่อง 2.4. ความสัมพันธร์ ะหว่างส่วนย่อยกับส่วนย่อย เปน็ การหาความเก่ียวข้องระหว่าง สว่ นยอ่ ย ๆ ดว้ ยกันเองในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ เช่น โคลงบาทที่ 2 เกย่ี วข้องเชน่ ไรกับบาทแรกตอนนี้เก่ียวข้อง เชน่ ไรกบั ตอนที่ 2 เปน็ ตน้ 2.5. ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับเร่ืองท้ังหมด เป็นการถามความสัมพันธ์ ระหว่างตอนใดตอนหน่ึงของเร่ืองน้ันกับเนื้อความทั้งหมด มักจะเขียนถามว่าโคลงบาทที่ 3 เกี่ยวข้อง กบั โคลงทัง้ บทเช่นไร 2.6. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างหลาย ๆ สว่ นยอ่ ยกับเรือ่ งท้ังหมด คาถามชนิดน้ตี ้องการ ให้ค้นหาว่า มีสว่ นย่อยใดบา้ งและกีส่ ง่ิ ท่ีมีความสัมพนั ธเ์ กี่ยวขอ้ งกับเร่ืองนั้น เช่น ฝนเกิดจากอิทธิพล ของสามสว่ นใดประกอบกัน การงอกของพชื ชนดิ นขี้ น้ึ อยูก่ บั อะไร เป็นตน้
ED12101 175 ภาษาและวฒั นธรรม 2.7. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างเร่อื งกับเร่ือง เป็นคาถามที่ใหค้ ้นหาความเก่ียวข้อง ระหวา่ งเรอื่ งราวทั้งหมด 2 เรอื่ ง หรือมากกว่า โดยจะถามให้พจิ ารณาในแงข่ องความสอดคล้องขดั แย้ง หรอื ไม่เกีย่ วข้องกันกไ็ ด้ เชน่ ใจความของเร่อื งนี้คล้ายกัน (ขัดแย้ง หรอื ตรงขา้ มกัน) 2.8. ถามแบบกลบั เป็นคาถามท่ใี หบ้ อกตาแหนง่ ของความสัมพนั ธท์ ั้ง 7 ลักษณะ ขา้ งตน้ ว่าอยู่ตรงสว่ นไหนของเรื่องน้ัน ๆ เช่น ตอนใดท่ีกล่าวถึงสาเหตขุ องเร่ืองนี้ ข้อความใด สนบั สนนุ ผลสรปุ น้ี 3. การวิเคราะห์หาหลักการ คือ การค้นหาโครงสร้างและระบบของวัตถุส่ิงของเร่ืองราว และการกระทาต่าง ๆ วธิ ีคน้ หาหลักการของเรื่องราวและสิ่งสาเร็จรูปใด ๆ จะต้องเร่ิมด้วยการแยกสิ่ง สาเร็จรูปนั้นออกมาเป็นส่วนย่อย ๆ เสียก่อน เพื่อตรวจดูว่าส่วนย่อยเหล่าน้ันทาหน้าท่ีและมี ความสัมพันธ์อะไรบ้าง จากน้ันก็พยายามค้นหาว่าแต่ละส่วนย่อยเหล่านั้นต่างเก่ียวข้องพาดพิงอาศัย สัมพันธ์กันอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็สามารถสรุปใจความของเรื่องนั้นได้ว่า การที่ทุกส่วนเหล่านั้นสามารถ ทางานร่วมกนั หรอื เกาะกลุ่มกันเป็นเรื่องระบบอยู่ได้ก็เพราะมีกฎเกณฑ์หรือหลักการใดเป็นตัวควบคุม ซึ่งก็คือคาถามวิเคราะห์หลักการน่ันเอง ฉะนั้นการค้นหาหลักการจึงต้องอาศัยความสามารถท้ังการ วิเคราะห์ความสาคัญ และความสัมพนั ธร์ ปู แบบการวเิ คราะหห์ ลกั การแบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คอื 3.1. คาถามวเิ คราะหโ์ ครงสร้าง แยกตามลักษณะของส่ิงสาเรจ็ รปู คอื 3.1.1 ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของ จะถามถึงลักษณะของวิธีรวมตัวของส่วนประกอบ ยอ่ ย ๆ ทีเ่ ชอ่ื โยงยดึ เหนย่ี วเป็นอนั เดียวกัน ไมใ่ ช่ถามถึงรูปพรรณสณั ฐานหรอื ส่วนประกอบภายนอกสิ่ง นั้น 3.1.2 ถ้าเป็นเร่ืองราวที่เกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ จะถามถึงโครงสร้างของ การจดั ระบบงาน การลาดับข้นั ตอนกอ่ นหลัง รูปแบบ และวธิ ผี สานสว่ นยอ่ ย ๆ เข้าดว้ ยกนั 3.2. คาถามวิเคราะห์หลักการ หลักการ คอื ความจรงิ แม่บททบ่ี รรดาเร่ืองราว และ การกระทาตา่ ง ๆ ยดึ ถอื เปน็ พ้ืนฐานและเป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ โดยปกติข้อความและการกระทา ใด ๆ มกั จะไม่กล่าวถึงหลักการของเร่ืองราวนน้ั กันตรง ๆ เลย แต่ก็อาจจับแนวนั้นได้ โดยสังเกตท่ี ถ้อยคาสานวนและภาษาที่ใช้ คอยจบั หางเสียงของเรอ่ื ง ดูตวั อยา่ ง หรอื สูตรและกฎทเ่ี ร่ืองน้นั นามา อ้างอิงและกลา่ วบอ่ ย ๆ ก็พอจะจับหลกั การได้ แงม่ ุมที่ควรถามเกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักการ ได้แก่ ถามถงึ คติ ทัศนะ วิธแี ละหลักการที่ใช้ในการดาเนินงาน ถามใหว้ จิ ารณ์ผลสรุปวตั ถุประสงค์ เหตผุ ล และความคดิ เห็นท่มี ีต่อสง่ิ เหลา่ นน้ั ข้ันตอนการสอนอ่านเชงิ วิเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอขั้นตอนการสอนอ่านเชิงวิเคราะห์ดังน้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 21) ขั้นที่ 1 รวบรวมข้อมูล คือ รับรู้เร่ืองราวและเข้าใจความหมายจากการสังเกต สนทนา ซกั ถามเล่าเรือ่ ง บรบิ ท ท่าทาง จากขา่ วสาร ข้อมลู จากหนงั สอื ต่าง ๆ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ คือ คิดวิเคราะห์ จาแนกและจับใจความสาคัญของเร่ืองได้ว่าใคร ทาอะไร กับใคร ท่ไี หน อย่างไร เมอ่ื ไร และผลเป็นอยา่ งไร
ED12101 176 ภาษาและวัฒนธรรม ขั้นท่ี 3 สรุป คือ สังเคราะห์ข้อมูลแล้วสรุปประเมินความน่าจะเป็น น่าเช่ือถือ สืบค้นข้อมูล เพิม่ เติม หาหลักฐานประกอบการตดั สนิ ใจเชิงเหตเุ ชงิ ผล ข้นั ที่ 4 ประยุกต์และนาไปใช้ คอื นาผลจากการเรยี นรสู้ ูก่ ารปฏิบตั ิจริง เลือกอย่าง เหมาะสมแลว้ นาไปใช้ จะเห็นได้ว่าการอ่านแต่ละประเภทน้ันมีความแตกต่างกันไป ผู้อ่านต้องหมั่นฝึกฝน เพราะ การอา่ นนอกจากจะทาให้เราเป็นผู้รอบรู้แล้ว การฝึกฝนทักษะการอ่านยังเป็นการช่วยกลั่นกรองสาร ที่ได้รับจากการอา่ นอกี ทางหน่ึงด้วย บทสรปุ การพัฒนาทักษะการอ่านเป็นสิ่งท่ีนักศึกษาควรฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชานาญ การจับ ใจความสาคัญของเรื่องท่ีอ่านได้ถือเป็นหัวใจของการอ่าน ในสังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งข้อมูล ขา่ วสาร ดังนน้ั เราควรรหู้ ลักการอ่านเชงิ วเิ คราะห์ เพอ่ื จะไดใ้ ชป้ ระการรบั ขอ้ มลู ข่าวสารที่ได้รับ ท้ังน้ี ยงั ตอ้ งตีความขา่ วสารทีอ่ า่ นไดด้ ้วย จึงจะสามารถทาให้เราเท่าทนั สื่อในยุคปัจจุบันได้
ED12101 177 ภาษาและวฒั นธรรม กิจกรรมประจาบทที่ 8 1. แบ่งกลุม่ ผเู้ รียนกลุ่มละ 3 คน อา่ นข่าว หรอื บทความท่ีกาหนดให้ แล้วใหน้ กั ศึกษา วเิ คราะหข์ า่ วตามหลักการอ่านจับใจความ 1H5W 2. ใหน้ กั ศกึ ษาทา Mind mapping เนอ้ื หาของขาวตามแนวคิดหมวด 6 ใบ 3. นกั ศกึ ษานาเสนอเพ่อื แลกเปล่ียนรูก้ ับเพ่ือนในช้นั เรยี น 4. ผู้สอนและนักศึกษาสรุปบทเรยี นร่วมกนั พร้อมทั้งทาใบกจิ กรรมทบทวนความเข้าใจ
ED12101 178 ภาษาและวัฒนธรรม เอกสารอ้างองิ จิรวฒั น์ เพชรรตั น์ และ อัมพร ทองใบ. (2555). ภาษาไทยเพื่อการส่อื สาร. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. ถนอมวงศ์ ลา้ ยอดมรรคผล. (2538). “การพัฒนาสมรรถภาพในการอา่ น” ใน เอกสารการสอน ชดุ วิชาการใช้ภาษาไทย หน่วยท่ี 9-15 (ฉบับปรับปรุง ). นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช นภดล จันทรเ์ พ็ญ. (2557). หลกั การใชภ้ าษาไทย. กรงุ เทพฯ : เจเนซิส มีเดียคอม. ราชบณั ฑิตยสถาน . (2556). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ .ศ . ๒๕๕๔ .กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. ลาวัณย์ สงั ขพันธานนท์. (2549). การอ่านเพ่อื พฒั นาคณุ ภาพชวี ิต. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคม ยพุ ร แสงทักษณิ . (2531). วรรณกรรมปจั จุบัน ท 022. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . รญั จวน อนิ ทรกาแหง และคณะ. (2523). การอา่ นและพิจารณาหนงั สอื . กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทศั น์. สนิท สตั โยภาส. (2545). ภาษาไทยเพ่อื การสื่อสารและสืบค้น. กรงุ เทพ : บริษทั ๒๑ เซน็ จรู ่ี จากัด. อมั พร ทองใบ. (2540). เอกสารเสริมทกั ษะการอ่าน และแบบฝกึ หัดการอา่ นสาหรบั นกั เรยี น ระดบั มธั ยมศึกษา. เพชรบุรี : หมวดวชิ าภ าษาไทย โรงเรียนเบญ จมเทพอุทิศ จงั หวดั เพชรบุรี.
ED12101 179 ภาษาและวัฒนธรรม แผนการจัดการเรียนรู้ บทท่ี 9 ทักษะการเขียนเพ่อื การสอ่ื สารสาหรับครู สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของการเขยี น 2. จดุ ประสงค์ของการเขียน 3. หลักการเขียน 4. ขนั้ ตอนในการเขียน 5. การเขียนย่อความ 6. การเขียนบทความทางวชิ าการ 7. การเขียนหนงั สือราชการ 8. ขอ้ ควรคานึงถึงในการเขยี น 9. มารยาทในการเขยี น วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. อธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการสือ่ สารได้ 2. เลอื กรูปแบบและภาษาในการส่ือสารได้เหมาะสมกบั สถานการณ์การสื่อสาร 3. วิเคราะหส์ ถานการณ์ในการสอื่ สารได้ 4. ประยกุ ต์ใช้สถานการณ์การสือ่ สารในชวี ิตประจาวันได้ กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. การบรรยาย 2. นาเสนอสถานการณก์ ารส่ือสาร 3. กจิ กรรมกลมุ่ (วิเคราะหภ์ าษาจากส่อื หรือกิจกรรม เลน่ เกมการส่ือสาร เช่น เกมพลายกระซิบ เพ่อื กระตุ้นใหน้ ักศกึ ษา มีสว่ นร่วมในการเรยี นและเกดิ การเรียนรู้ ) 4. อภิปรายกลุม่ และนาเสนอผลการศกึ ษาด้วย Mind Mapping 5. ฝึกการอา่ นโดยให้แสดงวิธีการอ่านทถ่ี กู ต้อง และแสดงความคดิ เหน็ จากเรื่องที่อา่ น 6. ผ้เู รยี นและผู้สอนรวมกันสรุปหลักการทเ่ี รียน ให้นักศึกษาบันทึกสรปุ ลงสมุด ส่ือการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สือ่ สง่ิ พมิ พ์ เช่น ขา่ ว บทความ วารสาร 3. สอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดี วดี ีทศั น์ สไลดน์ าเสนอความรู้ดว้ ยพื้นฐานเกีย่ วกับการสื่อสาร 4. แบบฝึกหัด
ED12101 180 ภาษาและวฒั นธรรม การวัดและประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจ ความตั้งใจในการเรียนการสอน 2. สงั เกตการรว่ มทากจิ กรรม การอภิปราย แลกเปลยี่ นความคิดเห็นและการวิเคราะหใ์ น ประเด็นท่ีกาหนดใหร้ วมทั้งการนาเสนอรายงานหนา้ ชั้น 3. การซกั ถามความรู้ ความเข้าใจในประเดน็ สาคญั ของเร่ือง 4. ตรวจผลงาน จากรายงาน ใบงานและจากการทาแบบฝึกหดั
ED12101 181 ภาษาและวฒั นธรรม บทที่ 9 ทกั ษะการเขียนเพ่ือการสื่อสารสาหรบั ครู การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ของผู้ส่งสาร ออกไปเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพอ่ื ใหผ้ รู้ ับสารสามารถอา่ นเข้าใจ ได้รับทราบ ความรู้ ความคิดความรู้สึก และความต้องการเหล่านั้น การถ่ายทอดโดยวิธีบอกเล่าปากต่อปาก หรือท่ีเรียกว่า \" มุขปาฐะ \" อาจทา ให้สารตกหล่นหรือคลาดเคล่ือนได้ง่าย ลายลักษณ์อักษรหรือที่ตัวหนังสือ ที่แท้จริงคือเครื่องหมายท่ีใช้ แทนคาพดู นนั่ เอง ในการเขียนภาษาไทย มีแบบแผนที่ต้องการรักษา มีถ้อยคาสานวนที่ต้องใช้เฉพาะ และต้อง เขียนให้แจ่มแจ้ง เพราะผู้อ่านไม่สามารถไต่ถามผู้เขียนได้เมื่ออ่านไม่เข้าใจ ผู้ที่จะเขียนให้ได้ดี ต้องใช้ ถอ้ ยคาให้เหมาะสมกบั ผ้รู บั สาร โดยพจิ ารณาว่าผูร้ บั สารสามารถรับสารทส่ี ่งมาไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด ความหมายของการเขียน สนทิ ต้ังทวี (2538) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียน คือการแสดงความคิด ความรู้สึกซ่ึงอยู่ในใจออกมา ให้ผู้อ่ืนรับรู้ โดยวิธีการใช้สัญลักษณ์ท่ีเรียกว่าตัวหนังสือ หรือตัวอักษร เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเจตนาของ ผูเ้ ขียน ผ้อู ่านจะสามารถรับรูค้ วามในใจของผู้เขียนได้ดีหรือไม่น้ันก็อยู่ที่ว่า ผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษา เขยี นได้ดเี พียงไร สนิท สตั โยภาส (2545 : 142) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียน หมายถึง การติดต่อส่ือสารอย่างหนึ่งของ มนุษย์ ที่มนุษย์พยายามถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่ือให้ผู้อ่ืน อา่ นแล้วเข้าใจตามที่ตนต้องการ นภดล จันทรเ์ พญ็ (2557 : 91 ) ได้กลา่ วไว้วา่ การเขยี น คอื การแส ดงออกในการติดต่อสื่อสาร อยา่ งหนง่ึ ของมนุษย์โดยอาศยั ภาษาตวั อกั ษรเป็นสอ่ื เพื่อถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิดความต้องการและความ ในใจของเราให้กบั ผอู้ นื่ ทราบ การเขียนมลี ักษณะการสอื่ สารที่ถาวร สามารถคงอยู่นาน ตรวจสอบได้ เป็น หลักฐานอ้างองิ นบั พนั หมื่นปถี ้ามีการเกบ็ รักษาให้คงสภาพเดมิ ไว้ได้ วรวรรธน์ ศรยี าภัย (2557 : 24) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียน หมายถึงการแตง่ หนงั สอื โดยใช้ตัวอักษร และสญั ลกั ษณ์ถา่ ยทอดความรู้ ความคิด ความร้สู ึก จินตนาการ และข่าวสาร จากผเู้ ขยี นไปยังผูอ้ ่าน สรุปได้ว่า การเขียน หมายถึง กระบวนการส่งสารโดยใช้ตัวอักษรและสัญลักษณ์ เพื่อถ่ายทอด ความรู้ ความคดิ ความรู้สึก จนิ ตนาการ และความต้องการ จากผูเ้ ขียนไปยังผอู้ ่านซง่ึ เป็นผรู้ ับสาร จดุ ประสงค์ของการเขียน การเขียนโดยท่วั ไปมจี ุดประสงคด์ งั นี้ 1. เพื่อบอกเล่าเรื่องราว เชน่ เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวัติ ฯลฯ 2. เพื่ออธิบายความหรอื คา เชน่ การออกกาลงั กาย การทาอาหาร คานยิ ามตา่ ง ฯลฯ 3. เพื่อโฆษณาจูงใจ เชน่ โฆษณาสนิ ค้า ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ
ED12101 182 ภาษาและวัฒนธรรม 4. เพ่ือปลกุ ใจ เชน่ บทความ สารคดี เพลงปลกุ ใจ ฯลฯ 5. เพอื่ แสดงความคิดเห็น 6. เพ่อื สรา้ งจนิ ตนาการ เช่น เร่อื งส้ัน นิยาย นวนิยาย ฯลฯ 7. เพ่ือลอ้ เลยี น เชน่ บทความการเมือง เศรษฐกจิ ฯลฯ 8. เพื่อประกาศแจ้งใหท้ ราบ เช่น ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมัครงาน ฯลฯ 9. เพ่ือวิเคราะห์ เชน่ การเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง วเิ คราะหว์ รรณกรรม ฯลฯ 10. เพ่อื วจิ ารณ์ เช่น วิจารณ์การทางานของรัฐบาล วจิ ารณ์ภาพยนตร์ วจิ ารณห์ นงั สอื ฯลฯ 11. เพื่อเสนอขา่ วสารและเหตุการณ์ทนี่ ่าสนใจ 12. เพอื่ กจิ ธุระตา่ ง เช่น จดหมาย ธนาณตั ิ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ จุดประสงค์ของการเขียนคือส่ิงท่ีผู้เขียนต้องคานึงว่า ในการเขียนงานเขียนแต่ละคร้ังน้ัน ต้องการเขียนเพ่ือส่ือเร่ืองใด โดยผู้เขียนต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการเขียน ประกอบการเขยี น เพอื่ ให้การเขยี นเพื่อการสื่อสารนนั้ บรรลจุ ุดประสงคท์ ่ีตั้งไว้ หลกั การเขยี น เน่ืองจากหลักการเขียนเป็นทักษะท่ีต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพ่ือให้เกิดความรู้ความ ชานาญ และปูองกนั ความผิดพลาด ดังนน้ั ผู้เขียนจงึ จาเป็นต้องใชห้ ลักในการเขียน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. มีความถูกต้อง คอื ขอ้ มูลถูกต้อง ใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 2. มคี วามชดั เจน คือ ใช้คาทม่ี ีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคาสานวน เพ่ือให้ ผู้อา่ นเขา้ ใจได้ตรงตามจุดประสงค์ 3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคาธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุมเฟือย เพื่อให้ ได้ใจความชดั เจน กระชับ ไม่ทาใหผ้ อู้ ่านเกิดความเบ่ือหน่าย 4. มีความประทับใจ โดยการใช้คาให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มคี วามหมายลึกซง้ึ กนิ ใจ ชวนตดิ ตามใหอ้ า่ น 5. มคี วามไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตทั้งสานวนภาษาและลักษณะ เนอื้ หา อ่านแล้วไม่รู้สกึ ขัดเขนิ 6. มีความรับผิดชอบ คือ ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มุ่งให้เกิดความรู้ และทศั นคตอิ ันเป็นประโยชน์แก่ผูอ้ น่ื นอกจากหลักการเขียนที่จาเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งที่มีความจาเป็นอีกประการหน่ึงคือ กระบวนการคิดกับกระบวนการเขียนที่จะต้องดาเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพื่อที่จะทาให้สามารถ เขียนได้ดีย่งิ ขึ้น ข้นั ตอนในการเขยี น 1. เลอื กเรือ่ งทีจ่ ะเขียน ผเู้ ขยี นควรเลอื กเร่ืองทีต่ นมคี วามรู้ความคิด และประสบการณเ์ กี่ยวกบั เรือ่ งนัน้ เปูนอย่างดี ทง้ั นเ้ี พราะการเลือกเรื่องทจี่ ะเขยี นนบั เปน็ บนั ไดข้นั แรกของการเริ่มต้นเขยี น บนั ได ขนั้ น้จี ะนาไปสู่ความสาเร็จหรือไม่ข้นึ อยู่กับวธิ ีการเลอื กเรอ่ื งท่ีเขยี น วธิ ีการเลอื กเร่ืองที่จะเขยี นมีแนวทางกว้าง ดังนี้
ED12101 183 ภาษาและวฒั นธรรม 1.1 เลือกหัวข้อที่ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ควรเลือกหัวข้อให้พอเหมาะกับขนาดความ ยาวของงานท่ีเขียน เช่น หากต้องการเขียนบทความ ความยาว 2 หน้ากระดาษ กาหนดหัวข้อว่า \"ค่านิยมในสงั คมไทย\" หวั ขอ้ นี้จะดูกว้างเกนิ ไป มเี น้ือหามาก ควรจากัดขอบเขตให้แคบลง เช่น \"ค่านิยม เกยี่ วกบั ระบบอาวุโสในสงั คมไทย\" \"ค่านิยมเกยี่ วกบั การแต่งกายในสังคมไทย\" เปน็ ตน้ 1.2 เลือกเรื่องท่ีน่าสนใจและแปลกใหม่ ในกรณีที่สามารถเลือกเร่ืองท่ีจะเขียนได้ ควรเลือกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจ ปรารถนาจะมีความรู้เพิ่มเติม ซ่ึงทาได้โดยการศึกษาค้นคว้า การเลือกเร่ือง ตามความพอใจ จะช่วยใหผ้ ูเ้ ขยี นเตรยี มการเขยี นไดอ้ ย่างสนกุ สนาน มผี ลใหง้ านเขียนดีด้วย 1.3 เลือกเร่ืองที่สามารถค้นคว้าขอ้ มลู ได้ หากเรื่องที่เลือกมาเขียนแปลกใหม่ ยังไม่เคย มีใครเขียนมาก่อน ผู้เขียนควรคานึงถึงด้วยว่า จะสามารถค้นหาข้อมูลมาประกอบการเขียนได้เพียงพอ หรือไม่ หากมหี นงั สอื ไมพ่ อ อาจใช้การเก็บข้อมูลภาคสนาม หรือการสัมภาษณ์ ประกอบการเขียน ด้วยก็ ได้ ทงั้ นขี้ ้ึนอยู่กบั ความจาเป็นของหัวข้อแต่ละหัวข้อว่าต้องการใช้ข้อมูลประเภทใด 2. ต้ังวัตถุประสงค์ในการเขียน ในการเขียนงานช้ินหน่ึง น้ัน ผู้เขียนต้องกาหนดวัตถุประสงค์ หรือจดุ ประสงคใ์ นการเขียนว่าเขียนทาไม เขียนเพอื่ จดุ ประสงคใ์ ด ต้องกาหนดวตั ถุประสงค์ก่อนการเขียน เช่น เขียนบทความเรื่อง \"ประชาธิปไตยในสยาม\" เพ่ือปลุกใจผู้อ่านให้รักความเป็น ประชาธิปไตย และ สรา้ งความเท่าเทียมแกท่ ุกถนนในสงั คม เขยี นเร่อื ง \"วรรณกรรมซีไรท์ ... ช่วยพัฒนาภาษาไทยได้อย่างไร\" เพ่อื แสดงความคิดเหน็ เปน็ ตน้ 3. เลือกรูปแบบงานเขียนให้เหมาะกับเน้ือหาและผู้อ่าน รูปแบบการเขียนมีหลายชนิด ก่อนจะเขียนควรเลือกรูปแบบท่ีเหมาะสมกับเนื้อหาที่จะเขียน เช่น ถ้าต้องการแสดงความคิดเห็นเรื่อง ที่เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ ก็อาจใช้รูปแบบความแสดงความคิดเห็น การเลือกรูปแบบได้เหมาะสม กับเน้ือหาและผู้อ่าน จะช่วยให้เขียนได้ง่าย และเป็นประโยชน์ต่อการเลือกใช้สานวนภาษาให้เหมาะสม กับรปู แบบ เนื้อความท่ีจะเขยี นและผู้อา่ นด้วย การย่อความ การยอ่ ความ คือการเกบ็ ใจความสาคัญของเร่ืองมาเรยี บเรียงใหม่ ให้ส้ันกว่าเดิมแตม่ ใี จความ สาคญั ครบถ้วนสมบูรณ์ วา่ ใคร ทาอะไร ทไี หน เม่อื ไร อยา่ งไร โดยใช้สานวนภาษาของผู้ย่อเอง ประโยชน์ของการย่อความ 1. ชว่ ยใหก้ ารอา่ น การฟังได้ผลดยี ่ิงขึ้น ชว่ ยให้เขา้ ใจและจดจาข้อความสาคญั ทไี่ ด้อ่านหรือฟงั ได้สะดวกรวดเร็ว 2. ชว่ ยในการจดบันทึก เมอื่ ได้ฟังหรือศกึ ษาวชิ าใดกต็ าม รู้จักจดขอ้ ความสาคัญลงสมุดได้ ทันเวลาและเรือ่ งราว 3. ช่วยในการตอบแบบฝกึ หัดหรอื ข้อสอบ กลา่ วคือผู้ตอบจะตอ้ งย่อความรู้ทัง้ หมดที่มีอยใู่ นรปู ของขอ้ เขยี นสน้ั แตม่ ีใจความครบถ้วน 4. ช่วยเตือนความทรงจา นักเรยี นอ่านหนงั สือแล้วทาบทย่อหนา้ เปน็ ตอน หรอื เป็นระยะ ควรทาติดตอ่ กนั อย่างสมา่ เสมอ จะช่วยใหไ้ ม่ต้องอ่านหนังสือซ้าใหม่ ตลอดเลม่ 5. ชว่ ยประหยัดเงนิ ในการเขียนโทรเลขได้ ถา้ รจู้ ักย่อความจะเขียนขอ้ ความได้ สัน้ เนื้อความกะทัดรดั ชดั เจน ผู้อ่านเข้าใจเรอื่ งราว
ED12101 184 ภาษาและวฒั นธรรม จุดประสงคท์ ีส่ าคญั ของการยอ่ ความ 1. เพื่อให้รูจ้ กั วา่ ใจความสาคัญของเร่ืองกลา่ วถึงใครทาอะไร ท่ีไหน เมอื่ ไหร่ อย่างไร 2. เพื่อนาใจความสาคัญไปถ่ายทอดให้แกผ่ ู้อ่นื หรอื เพ่ือสรุปเนือ้ เร่ืองทไ่ี ด้ฟัง ได้อา่ นนั้น เอาไปใช้ประโยชนใ์ นโอกาสต่อไป หลักในการย่อความ 1. เขียนคานาตามประเภทของเร่ือง 2. อ่านเร่ืองทงั้ หมดอย่างละเอียด อาจจะอา่ นถึง 2 – 3 เทยี่ ว เพ่ือให้เข้าใจเรื่องโดยตลอด 3. ทาความเข้าใจศัพท์ สานวนโวหารในเรอื่ ง 4. ถ้าเรอ่ื งที่จะย่อเป็นรอ้ ยกรองต้องถอดคาประพันธ์เปน็ รอ้ ยแก้วกอ่ นจึงย่อ 5. สังเกตใจความสาคญั แล้วแยกออกเปน็ ตอน 6. สรรพนามบรุ ษุ ท่ี 1 , 2 ต้องเปลี่ยนเปน็ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 หรอื เอ่ยช่ือ 7. ถา้ คาเดมิ เปน็ คาราชาศพั ท์ใหค้ งไว้ 8. ข้อความทเี่ ปน็ คาพดู ในเคร่ืองหมายอัญประกาศต้องเขยี นใหม่ซงึ่ เรยี กว่าเปลย่ี นเลขในเปน็ เลขนอก 9. เร่อื งท่ีย่อถา้ ไม่มีช่ือเรอื่ ง ผ้ยู ่อต้องตั้งชอ่ื เร่ืองเอง การเขยี นคานาในการยอ่ ความ 1. การย่อความ บทความ สารคดี นทิ าน นยิ าย เรื่องส้ัน ขา่ ว ฯลฯ ให้บอกประเภท ชือ่ เร่อื ง ชอื่ ผ้แู ตง่ ทม่ี าของเร่อื ง นทิ านเร่ือง………………………..ของ………………….จาก…………..…..ความว่า……………………. 2. การย่อความประกาศ แจง้ ความ แถลงการณ์ ฯลฯ ให้บอกประเภท ช่ือเรอ่ื ง ชอ่ื ผปู้ ระกาศ วนั เดือน ปีทปี่ ระกาศ ประกาศเร่อื ง……….……………ของ………………..จาก………………..ความว่า……………………. 3. การย่อจดหมายให้บอกประเภทชือ่ ผูเ้ ขยี น ช่ือผูร้ ับ วัน เดือน ปี ที่เขยี น จดหมายของ……………………ถงึ ………………..ลงวันท่ี……………..ความวา่ ……………………. 4. การย่อโอวาท คาปราศรัย สนุ ทรพจนใ์ ห้บอกประเภท ช่ือผู้พูด ช่ือผู้ฟงั โอกาสท่ี พดู สถานที่ วัน เดือน ปีทเี่ ขียน คาปราศรยั ของ……………………….แก่………………………….เนื่องใน…………………ทาง (ณ)………………………………………วนั ท่ี……………………..ความว่า…………………… 5. การยอ่ บทร้อยกรองใหบ้ อกประเภท ชอ่ื เร่ือง ชอ่ื ผแู้ ต่ง ท่มี าของเร่ือง กลอนสภุ าพเร่ือง…………………………ของ.............…..............จาก……………ความวา่ วา่ ………………………………………………………… การเขยี นบทความทางวชิ าการ บทความทางวิชาการ เป็นเอกสารทางวิชาการประเภทหนึ่งซ่ึงทบวงมหาวิทยาลัย ได้ให้คา จากัดความเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแต่งตั้งตาแหน่งทางวิชาการไว้ว่า “หมายถึงเอกสาร ซึ่ง
ED12101 185 ภาษาและวฒั นธรรม เรียบเรยี งจากผลงานทางวิชาการของตนเอง หรือของผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือ เสนอแนวความคิดใหม่ จากพ้ืนฐานทางวิชาการนั้น ” (ทบวงมหาวิทยาลัย , เอกสารอัดสาเนา) จากความหมายข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า บทความทางวิชาการมีวัตถุประสงค์ในการนาเสนอความรู้ ความคิดใหม่ รวมท้ังประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องน้ัน บนพ้ืนฐานของวิชาการในเรื่องน้ัน หรืออาจจะเป็นการแสดงความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ วิจารณ์ วิชาการในเร่ืองนั้น เพื่อนาเสนอ แนวคิดใหม่ เก่ียวกับเร่ืองน้ัน หรือเพื่อตั้งคาถามหรือประเด็นใหม่ ท่ีจะกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความ สนใจที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องน้ันต่อไป บทความทางวิชาการเป็นช่องทางหน่ึงท่ีจะเผยแพร่ความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของสานักวิชาการออกสู่วงวิชาการและสาธารณชน ซ่ึงช่วยให้นักวิชาการได้ ทราบว่าความคิดและความรู้ใหม่ ที่ตนได้พัฒนาข้ึนนั้นได้รับการยอมรับหรือไม่ยอมรับ หรือมีจุดอ่อน จุดเด่นประการใด ความรู้และความคิดเหล่านี้ควรจะได้มาจากการท่ีผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจารณ์มาอย่างดีแล้วจนกระทั่งเกิดแนวคิดใหม่ ต่อเน่ืองออกไป ในทางท่ีจะสร้างสรรค์วิชาการเร่ือง นน้ั ให้งอกงามต่อไปอีก บทความทางวิชาการที่ดี ควรมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่าน ได้แนวคิดแนวทาง ในการนาความคิดนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบหน่ึง หรือช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการพัฒนา ความคดิ ในเร่ืองนั้น ตอ่ ไป ลักษณะสาคญั ของบทความทางวิชาการ จากการอภปิ รายขา้ งต้น บทความทางวชิ าการจงึ ควรมลี กั ษณะสาคญั ดงั นี้ 1. มกี ารนาเสนอความรู้ ความคิดทต่ี ้ังอยู่บนพื้นฐานทางวชิ าการทเ่ี ช่อื ถือไดใ้ นเร่ืองนั้น โดยมีหลักฐานทางวชิ าการอ้างอิง 2. มีการวิเคราะห์ วจิ ารณ์ ใหผ้ อู้ า่ นเหน็ ประเด็นสาคัญอนั เปน็ สาระประโยชน์ท่ีผู้เขียนต้องการ นาเสนอแก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจจาเป็นต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัว หรือประสบการณ์และผลงานของผู้อ่ืนมา ใช้ 3. มีการเรียบเรียงเน้ือหาสาระอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างในความรู้ ความคิดทน่ี าเสนอ 4. มีการอ้างอิงทางวิชาการและให้แหล่งอ้างอิงทางวิชาการอย่างถูกต้อง เหมาะสมตามหลัก วิชาการ และจรรยาบรรณของนักวชิ าการ 5. มีการอภิปรายให้แนวคิด แนวทางในการนาความรู้ ความคิดที่นาเสนอไปใช้ให้เป็น ประโยชน์ หรือมีประเด็นใหม่ ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความต้องการสืบเสาะหาความรู้หรือพัฒนา ความคิดในประเด็นนั้น ตอ่ ไป สว่ นประกอบของบทความทางวิชาการ โดยทวั่ ไป บทความทางวิชาการ ควรมีส่วนประกอบท่ีสาคัญ ดังน้ี 1. ส่วนนา ส่วนนาจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเร่ืองนั้น ซ่ึงสามารถใช้วิธีการ และเทคนิคต่าง ตามแต่ผู้เขียนจะเห็นสมควร เช่น อาจใช้ภาษาที่กระตุ้น จูงใจผู้อ่านหรือยกปัญหา ท่กี าลังเป็นที่สนใจขณะนัน้ ขึ้นมาอภิปราย หรอื ต้งั ประเด็นคาถามหรือปัญหาท่ีท้าทายความคิดของผู้อ่าน หรอื อาจจะกล่าวถึงประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากการอ่าน เป็นต้น นอกจากจะเป็นส่วนท่ีใช้จูงใจผู้อ่าน
ED12101 186 ภาษาและวฒั นธรรม แล้ว ส่วนนาเป็นส่วนท่ีผู้เขียนสามารถกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนั้น หรือให้คาชี้แจง ที่มาของการเขียนบทความน้ัน รวมท้ังขอบเขตของบทความนั้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่คาดหวังเกิน ขอบเขตท่ีกาหนด นอกจากนั้นผู้เขียนอาจใช้ส่วนนานี้ในการปูพ้ืนฐานท่ีจะเป็นในการอ่านเรื่องนั้นให้แก่ ผอู้ ่าน หรอื ให้กรอบแนวคดิ ท่ีจะชว่ ยใหผ้ ู้อ่านเข้าใจเนอื้ หาสาระที่นาเสนอต่อไป 2. สว่ นสาระสาคัญของเรอ่ื ง ถัดจากส่วนนาก็จะถึงส่วนที่เป็นการนาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญของเรื่องซ่ึงในส่วนนี้ผู้เขียน ควรคานึงถงึ ประเดน็ สาคญั ดงั ต่อไปน้ี 2.1 การจัดลาดบั เนือ้ หาสาระ ผู้เขียนควรมีการวางแผนจัดโครงสร้างของเน้ือหาสาระ ท่ีจะนาเสนอ และจัดลาดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสมตามธรรมชาติของเนื้อหาสาระน้ัน การนาเสนอ เนื้อหาสาระควรมคี วามต่อเนอื่ งกัน เพ่ือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสาระนน้ั ได้โดยง่าย 2.2 การเรียบเรียงเนื้อหา ในส่วนนี้ต้องอาศัยความสามารถของผู้เขียนในหลายด้าน นอกเหนอื จากความเขา้ ใจในเนอื้ หาสาระ เช่น ดา้ นภาษา ดา้ นสไตล์การเขียน ด้านวิธีการนาเสนอเป็น ตน้ 2.2.1 ด้านการใช้ภาษา การเขียนบทความทางวิชาการ จะต้องใช้คาใน ภาษาไทยหากคาไทยน้ันยังไม่เป็นท่ีเผยแพร่หลาย ควรใส่คาภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ ในกรณีท่ีไม่ สามารถหาคาไทยได้ จะเป็นต้องทับศัพท์ก็ควรเขียนคานั้นให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของ ราชบัณฑิตยสถาน ไม่ควรเขียนภาษาไทยและต่างประเทศปะปนกันในลักษณะท่ีเรียกว่า “ไทยคา อังกฤษคา” เพราะจะทาให้งานเขียนนั้นมีลักษณะของความเป็นทางการ (formal) ลดลง ผู้เขียน บทความทางวิชาการ จาเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการเขียนตัวสะกดการันต์ต่าง ให้ถูกต้องตาม พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน และควรตรวจทานงานของตนไม่ให้ผิดพลาด เพราะงานน้ัน จะเป็น แหลง่ อ้างองิ ทางวิชาการต่อไป 2.2.2 ด้านสไตล์การเขียน ผู้เขียนแต่ละคนย่อมมีสไตล์การเขียนของตนซึ่งจะเป็น เอกลักษณ์และเป็นเสรีภาพของผู้เขียน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้เขียนจะใช้สไตล์อะไร ส่ิงที่ควรคานึงก็คือ ผู้เขียนจะต้องเขียนอธิบายเรื่องนั้น ให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างมากท่ีสุด ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่าง ที่จาเป็น เช่น การจัดลาดับหัวข้อ การยกตัวอย่างท่ีเหมาะส ม การใช้ภาษาท่ีกระชับชัดเจน และเหมาะสมกับผ้อู ่าน เปน็ ต้น 2.2.3 ด้านวิธีการนาเสนอ การนาเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและได้ อย่างรวดเร็วนั้น จาเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ในการนาเสนอเข้าช่วย เช่น การใช้สื่อประเภทภาพ แผนภมู ิ ตาราง กราฟ เป็นต้น ผู้เขียนควรมีการนาเสนอส่ือต่าง น้ีอย่างเหมาะสม และถูกต้องตาม หลกั วชิ าการ เชน่ การเขียนชอ่ื ตาราง การให้หัวขอ้ ต่าง ในตาราง เป็นต้น 2.3 การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ และการนาเสนอความคิดของผู้เขียน บทความ ที่ดี ควรมีการนาเสนอความคิดเห็นของผู้เขียน ซ่ึงอาจออกมาในลักษณะของการวิเคราะห์ วิจารณ์ ข้อมูล เน้ือหาสาระ ใหเ้ ป็นประเดน็ ที่เป็นส่วนของการริเร่ิมสร้างสรรค์ของผู้เขียน ซึ่งอาจจะนาเสนอไป พร้อม กับการนาเสนอเนื้อหาสาระ หรืออาจจะนาเสนอก่อนการนาเสนอข้อมูลหรือเน้ือหาสาระก็ได้ แล้วแต่สไตลก์ ารเขียนของผู้เขยี น หรอื ความเหมาะสมกับลกั ษณะเน้ือหาของเรอ่ื งน้ัน
ED12101 187 ภาษาและวฒั นธรรม 3. สว่ นสรุป บทความทางวิชาการท่ีดีควรมีการสรุปประเด็นสาคัญ ของบทความนั้น ซ่ึงอาจทาใน ลักษณะท่ีเป็นการย่อ คือการเลือกเก็บประเด็นสาคัญ ของบทความน้ัน มาเขียนรวมกันไว้อย่าง ส้นั ทา้ ยบท หรือ อาจใช้วิธีการบอกผลลัพธ์ว่า สิ่งท่ีกล่าวมามีความสาคัญอย่างไร สามารถนาไปใช้ อะไรได้บ้าง หรือจะทาให้เกิดอะไรต่อไป (ปรีชา ช้างขวัญยืน และคณะ , 2539 : 14 ) หรืออาจใช้ วิธีการต้ังคาถามหรือให้ประเด็นท้ิงท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ หรือคิดค้นพัฒนา เรือ่ งนน้ั ตอ่ ไป งานเขียนทีด่ ีควรมกี ารสรปุ ในลกั ษณะใดลักษณะหนงึ่ เสมอ 4. ส่วนอ้างองิ เนื่องจากบทความทางวิชาการ เป็นงานที่เขียนขึ้นบนพ้ืนฐานของวิชาการท่ีได้มีการศึกษา คน้ ควา้ วจิ ัยกนั มาแล้ว และการวิเคราะห์ วจิ ารณอ์ าจมีการเชือ่ มโยงกับผลงานของผู้อ่ืนจึงจาเป็นต้องมี การอ้างอิงเมื่อนาข้อความหรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ โดยการระบุให้ชัดเจนว่าเป็นงานของใคร ทาเม่ือไร และนามาจากไหน เป็นการใหเ้ กียรติเจ้าของงาน และประกาศให้ผู้อ่านรับรู้ว่า ส่วนน้ันไม่ใช่ ความคิดของผู้อ่ืน รวมทั้งเป็นการให้หลักฐานแก่ผู้อ่าน ให้ผู้อ่านสามารถไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ เพิม่ เตมิ หรือติดตามตรวจสอบหลกั ฐานได้ โดยท่ัวไป การอา้ งอิงทาไดห้ ลายแบบทนี่ ยิ มกันก็แทรกปนไปในเน้ือหา การอ้างอิงแบบลง เชิงอรรถ และการทาบรรณานกุ รม 4.1 การอ้างอิงแบบแทรกปนไปในเนื้อหา มี 2 ระบบ คือ 4.1.1 ระบบนามปี เปน็ การอ้างอิงโดยลงชือ่ ผูแ้ ต่ง ปีที่พิมพ์ และเลขหน้า ของเอกสารท่ีอา้ งองิ ตัวอย่างเชน่ “กจิ การพมิ พ์ในเมอื งไทย เกิดขน้ึ เปน็ ครั้งแรก ตงั้ แต่ ปี พ.ศ. 2371 (สุภาพรรณ บญุ สะอาด , 2517 : 38)” 4.1.2 ระบบหมายเลข ใช้วิธรี ะบหุ มายเลขสาคญั เอกสารอา้ งอิงทีเ่ รื่องลาดบั ไว้ในบรรณานกุ รม และบอกเลขหนา้ ของเอกสารทีน่ ามาอ้างองิ เช่น “การพิมพ์หนังสอื เร่ิมขึ้นในประเทศจีน ตงั้ แต่ราวปี ค.ศ. 105 และ มีวิวฒั นาการมาโดยลาดบั )” 4.2 การอ้างอิงแบบลงเชิงอรรถ มีหลายแบบ เช่น เป็นเชิงอรรถอ้างอิงซ่ึงทาในรูป ของขอ้ ความที่แยกไว้ท้ายหน้า โดยลงชื่อผู้แต่ง ชื่อเร่ือง สถานท่ีพิมพ์ สานักพิมพ์ ปีท่ีพิมพ์ และเลข หน้า ในบางกรณีอาจรวมไว้ท้ายบทก็ได้ นอกจากเชิงอรรถอ้างอิงแล้ว ยังมีเชิงอรรถเสริมความหรื อ เชิงอรรถอธิบาย เพื่อให้คาอธิบายเพ่ิมเติม และเชิงอรรถโยง ซึ่งใช้บอกแหล่งความรู้ท่ีผู้อ่านจะหาได้ จากส่วนอื่นของเร่ืองที่เขียนนั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องนาข้อมูลซ่ึงเขียนแล้วมากล่าวซ้าอีก นอกจากน้ัน การอ้างซึ่งมีลักษณะเป็นการอิง คือไม่ได้นาผลงานส่วนใดส่วนหน่ึงมากล่าวอ้างโดยตรง แต่เป็นการนา ความคิดหรือข้อมูลของเขามาเล่าก็ต้องอ้างชื่อเจ้าของผลงาน และบอกท่ีมาไว้ในบรรณานุกรม (ปรีชา ช้างขวัญยืนและคณะ , 2539:76)
ED12101 188 ภาษาและวัฒนธรรม ตัวอยา่ งการลงเชิงอรรถอ้างอิง “งบประมาณเพ่ือการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี นของกระทรวงศกึ ษาธิการเพิ่มขึ้นจาก 569.1 ลา้ นบาท หรอื ร้อยละ 1.7 ของงบประมาณเพอ่ื การศึกษาทง้ั หมดในปี 2536.............” 1สานกั งบประมาณ สานกั นายกรฐั มนตร.ี งบประมาณโดยสังเขป ประจาปี งบประมาณ 2535. กรงุ เทพมหานคร:บริษัทฉลองรัตน์ จากดั , ม.ป.ป. 4.3 การเขียนบรรณานุกรม บรรณานกุ รมเป็นรายการเอกสารท่ีใช้อ้างอิงและใช้ประกอบการเขียนบทความน้ัน ซึ่ง บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารนั้น โดยจัดเรียงตามลาดับพยัญชนะ ประกอบด้วย ช่ือผู้แต่ง ช่ือ หนงั สือ จานวนเลม่ คร้งั ที่พมิ พ์ สถานทีพ่ ิมพ์ ปีที่พิมพ์ ผู้อ่านสามารถตรวจสอบหลักฐาน หรือศึกษา เพ่ิมเติมได้ บรรณานุกรมนับเป็นส่วนสาคัญของบทความทางวิชาการ เนื่องจากวัตถุประสงค์สาคัญข้อ หน่งึ ของการเขียนบทความทางวิชาการก็เพ่ือกระตุ้นให้ผู้อ่านมีการสืบเสาะและค้นคิดพัฒนาในเร่ืองนั้น ต่อไปโดยตวั อยา่ งการเขยี นบรรณานกุ รม (มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุดรธานี : 2556) ดังนี้ หนงั สอื ผแู้ ต่ง .( ปที พ่ี ิมพ)์ . ชอื่ หนงั สอื . [ระบุคร้ังท่พี ิมพ์(ถา้ ม)ี ] . ชอ่ื ชดุ หนังสือและลาดับท(่ี ถ้ามี) . สถานทพี่ ิมพ์ : สานกั พมิ พ์ . บทความในหนังสือ ผู้เขียนบทความ . ปที ี่พมิ พ์ . ชื่อบทความ . ช่อื บรรณาธกิ าร(ถ้ามี) , ชื่อเรื่อง , เลขหน้า . สถานท่ีพมิ พ์ สานกั พิมพ์ . บทความในวารสาร ผเู้ ขยี นบทความ . ปที พี่ ิมพ์ . ชื่อบทความ . ชื่อวารสาร . ปที ่ีหรอื เล่มท่ี (เดือน ป)ี : เลขหนา้ . วทิ ยานิพนธ์ ผู้เขียนวทิ ยานิพนธ์ . ปที ่ีพมิ พ์ . ชือ่ วิทยานิพนธ์ . ระดับวิทยานิพนธ์ ชือ่ สาขาวิชาหรอื ภาควชิ า คณะ ช่ือมหาวทิ ยาลัย . การสมั ภาษณ์ ผู้ใหส้ ัมภาษณ์ . วัน เดอื น ปี . ตาแหนง่ (ถ้าม)ี . ประเด็นหรือหวั ขอ้ ท่สี ัมภาษณ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216