การปลูกถั่วเหลืองในฤดูแลงหลังการทํานา โดย….รัตนา เศวตาสยั …. สารบัญ …. ! การปลูกถว่ั เหลอื งในฤดแู ลง หลงั การทาํ นา ! พนั ธุ ! ระยะเวลาทเ่ี หมาะสม ! เตรยี มดนิ ! ทาํ รองนํ้า ! เตรยี มเมลด็ พนั ธุ ! คลกุ ไรโซเบยี ม ! การปลกู ! วชั พชื และการปอ งกนั กําจดั ! การใชส ารเคมปี อ งกนั กําจดั วชั พชื ! ใสป ุย ! ใหนาํ้ ! โรคและการปอ งกนั กําจดั ! แมลงศตั รถู ว่ั เหลอื งและการปอ งกนั กาํ จดั คาํ นาํ จากการทป่ี ระเทศไทยจะตอ งเปด ตลาดการคา ถว่ั เหลอื งโดยเสรตี ามขอ งตกลงองคก ารคา โลก การพฒั นาการ ผลติ ของประเทศ จําเปนตองมุงเนนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิต และลดตนทุนการผลิตตอหนวยใหตาํ่ ลง เพอ่ื ใหแ ขง ขนั ในดา นตลาดและราคากบั ตลาดตา งประเทศได การปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพการผลติ ถว่ั เหลอื งนน้ั สามารถดาํ เนินการในฤดูแลงไดดีกวาในฤดูฝน เนอ่ื งจากการปลกู ถว่ั เหลอื งในฤดแู ลง สามารถควบคมุ การใหน ้ําไดใน ขณะทฤี่ ดูฝนปลูกถั่วเหลืองมักประสบภัยธรรมชาติฝนแลงหรือนาํ้ ทวมอยูเสมอ การเพิ่มประสิทธิภาพการเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองฤดูแลง สามารถทาํ ไดโดยการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งเทคโนโลยีดังกลาวมิใชเทคโนโลยีใหม แตเปนเพียงการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตที่มีอยูเดิมให ถกู ตองเหมาะสม เชน วิธีการคุกเชื้อไรโซเบยี ม การปอ งกนั กาํ จัดวัชพืช รวมทั้งเพิ่มความอุดมสมบูรณของดินตาม ความจาํ เปน เปน ตน ก็จะสามารถยกระดบั ผลผลติ ตอ ไร และลดตนทุนการผลิตตอหนวยนาํ้ หนักถั่วเหลืองลงได นั่น หมายถงึ การเพม่ิ กาํ ไรสุทธิตอไรใหสูงขึ้น คุมคากับการลงทุนมากที่สุด การจดั ทาํ เอกสารคมู อื การปลกู ถว่ั เหลอื งหลงั นาเลม น้ี มุงหวังใหเกษตรกรไดใชประโยชนการพัฒนาการผลิต ถ่ัวเหลอื งของตนเองเพอ่ื บรรลถุ งึ วตั ถปุ ระสงคดงั กลา ว กองสง เสรมิ พชื ไรน า กลุมพืชนํ้ามนั กรกฎาคม 2540
การปลกู ถว่ั เหลอื งในฤดแู ลง หลงั การทํานา แนวทางการปฏบิ ตั ใิ นการปลกู ถว่ั เหลอื งในฤดแู ลง หลงั การทํานาเกบ็ เกย่ี วขา ว เพื่อใหไดผลผลิตและผล ตอบแทนสูง ควรพจิ ารณาตามแนวทางหรอื นําไปปรบั ใชใ หเ หมาะสมในแตล ะพน้ื ทด่ี งั น้ี พันธุ พันธุถั่วเหลืองที่ผานการรับรองพันธุจากกรมวิชาการเกษตรและใชสงเสริมใหเกษตรกรปลูกในฤดูแลง มี 6 พันฑุ คอื สจ.2, สจ.4, สจ.5, ชม.60, สท.2, และ มข.35 แตป จ จบุ นั ทางราชการไดผลติ พันธุ และสง เสรมิ ใหเ กษตรกรปลกู จาํ นวน 3 พันธุ คอื สจ.4, สจ.5, และชม.60 สว นพนั ธุ สท.2 มข.35 และพันธุจักร พันธ 1 เปน พนั ธใุ หม อยใู นระหวา งทดสอบในไรน าเกษตรกร เพื่อหาความเหทะสมในแตละพื้นที่ และยืนยัน ผลการทดลองของกรมวชิ าการเกษตรมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน และมหาวยิ าลยั เกษตรศาสตร ซง่ึ เปน สถาบนั วชิ า การท่ีปรับปรุงและคดั เลอื กพนั ธถุ ว่ั เหลอื งทง้ั 3 พนั ธดุ งั กลา ว โดยคาดวา ประมาณ 2-3 ป จากนไ้ี ปจะสามารถ ขยายสง เสรมิ ใหเ กษตรกรปลกู ได ระยะเวลาทเ่ี หมาะสม การปลูกถ่ัวเหลอื งหลงั นาจะปลกู ไดเ รว็ หรอื ชา ขน้ึ อยกู บั ระยะเวลาการเกบ็ เกย่ี วขา ว และนํา้ ชลประทาน ชวงระยะเวลาท่ีเหมาะสม คอื ระหวา ง 1-31 ธนั วาคม แตถาปลูกไมทัน ไมค วรปลกู เกนิ วนั ท่ี 15 มกราคม เพราะจะมีปญหาโรค แมลง ในระยะการเจริญเติบโต ในชว งระยะออกดอกและเรม่ิ ตดิ ฝก อาจจะกระทบอากาศ รอนทาํ ใหด อกรว ง ไมต ดิ ฝก และในชวงเก็บเกี่ยวอาจถูกฝน ทําใหผลผลิตคุณภาพตาํ่ เชน เมลด็ บวม ยน หรือ เมล็ดเนา ผลผลติ เสยี หาย เตรยี มดนิ การปลูกถว่ั เหลอื งหลงั นา แยกกาสรเตรยี มดนิ ออกเปน 2 แบบ คอื 1. ไถพรวน หลังจากการเกบ็ เกย่ี วขา วแลว ไถดนิ ใหล กึ ประมาณ 15-20 ซม. ตากดนิ ทง้ิ ไว 1-2 สัปดาห ปลอ ยใหน ้าํ ทว มแปลงแลว ระบายนา้ํ ออกตากหนา ดนิ ไว 1-2 วัน แลว ไถพรวนกอ นปลกู 2. ไมไถพรวน หลังจากการเก็บเกี่ยวแลว มวี ธิ กี ารปฏบิ ตั ิ 2 วิธีคือ 2.1 เผาฟาง โดยการตัดตอซังขาว แลวนาํ ฟางขา วจากการนวดขา วมาเกลย่ี คลมุ ดนิ ใหท ว่ั แปลงแลว เผาฟาง 2.2 ไมเ ผาฟาง โดยการตดั ตอซงั ขา วใหส น้ั กอ นปลกู ขั้นตอนการปฏิบัติตอไป หลงั จากเผาฟางในขอ ท่ี 2.1 หรอื ตดั ตอซงั ขา วในขอ ท่ี 2.2 ปลอ ยใหน ้าํ เขา ทวมแปลงประมาณครง่ึ วนั ระบายนา้ํ ออกตกหนา ดนิ ไว 1-2 วัน ทําใหหนาดินไมแ ฉะ กล็ งมอื ปลกุ ถว่ั เหลอื งได
ทาํ รองน้ํา สิ่งจําเปน มากทต่ี อ งทาํ ในการเตรยี มดนิ ปลกู ถว่ั เหลอื ง โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในดนิ เหนยี ว คอื การทํารอ ง ระบายนา้ํ หรอื ยกรอ งปลกู ถว่ั เหลอื งซง่ึ การทาํ รอ งระบายนา้ํ จะชวยใหนาํ้ ซม่ึ ทว่ั แปลงไดอ ยา งรวดเรว็ สมา่ํ เสมอ ปองกันนํ้าขังแฉะ ซง่ึ เปน สาเหตใุ หเ มลด็ ถว่ั เหลอื งเนา กอ นงอก หรอื ตน ถว่ั เหลอื งชะงกั การเจรญิ เตบิ โต หรอื เนา ตาย โดยขุดรองใหก วา งประมาณ 30 ซม. แนบชดิ คนั นาทกุ ดา นและผานกลางแปลงนา โดยใหแตละแปลง กวาง 3-5 เมตร เตรียมเมล็ดพันธุ เมื่อจัดหาเมล็ดพนั ธไุ ดแ ลว กอนที่จะปลูกควรทาํ การทดสอบความงอกกอ น เพื่อชวยประหยัดเมล็ด พันธุ ไมต อ งเผอ่ื เมลด็ พนั ธทุ ไ่ี มง อก ซง่ึ เปน การใชเ มลด็ พนั ธมุ ากเกนิ ความจาํ เปน ทําใหเพิ่มตนทุนโดยไมจาํ เปน วิธีการทดสอบความงอกแบบงา ย ๆ คอื นาํ เมลด็ ถว่ั เหลอื งมา 100 เมลด็ ปลกู ในกระบะดนิ ตรวจนบั หลังจากปลกู 5-7 วัน เมลด็ พนั ธทุ เ่ี พาะนน้ั งอกกต่ี น ซง่ึ เปน เมลด็ พนั ธทุ ด่ี คี วรงอกไมต ่าํ กวา 70 ตน จาก จํานวนที่เพาะ 100 เมลด็ อตั ราเมลด็ พนั ธทุ ใ่ี ชป ลกู ตอ ไร ตามทท่ี างราชการแนะนําดงั น้ี - พันธุ สจ.4, สจ.5 และ สท.2 ใชเ มลด็ พนั ธไุ รล ะ 12-15 กก. - พันธุ ชม.60 ใชเ มลด็ พนั ธไุ รล ะ 12-15 กก. แตอยางไรก็ตามจําเปน ตอ งใชเ มลด็ พนั ธตุ อ ไรใ นอตั ราทส่ี งู กวา น้ี กไ็ มค วรเกนิ ไรล ะ 18 กก. คลกุ ไรโซเบยี ม การปลูกถ่ัวเหลืองควรคลุกไรโซเบียม(สาํ หรบั ใชก บั ถัว่ เหลือง)กอ นปลกู ทกุ ครง้ั เนอ่ื งจากเชอ้ื ไรโซเบยี ม เปยแบคทีเรียททส่ี ามารถสรา งปมถว่ั เหลอื งเพอ่ื ดดู ซบั กา ซไนโตรเจนจากอากาศ แลว เปลย่ี นเปน สารประกอบ ไนโตรเจนทถ่ี ว่ั เหลอื งนําไปใชประโยชนได โดยไมจาํ เปน ตอ งใสป ยุ ไนโตรเจน การคลุกเช้ือไรโซเบียมกับเมล็ดถั่วเหลืองควรทําในท่ีรมและเม่ือคลุมเสร็จเรียบรอยแลวควรปลูกทันที โดยมวี ธิ กี ารคลมุ ดงั น้ี 1. ละลายนํ้าตาลทราย 5 ชอนแกง ใหไ ดน ้ําเชอ่ื มเจอื จาง 1 กระปอ งนมขน (ใสน า้ํ ตาล 5 ชอ นแกงลง ในกระปองนมขน ใสน า้ํ ลงไปประมาณ 3 ใน 4 ของกระปอ งนมขน คนน้าํ ตาลใหล ะลายในนา้ํ จนหมดเตมิ น้าํ ลง ไปใหเ ตม็ กระปอ ง คนใหทั่ว) 2. เทนํ้าเช่ือมเจอื จาง 1กระปองนมขน ตามขอ 1 คลกุ เคลา กบั เมลด็ พนั ธถุ ว่ั เหลอื ง 15 กก. หรือ 1 ถงั 3. เทไรโซเบียมลงบนเมลด็ พนั ธทุ ค่ี ลกุ นา้ํ เชอ่ื มเจอื จางแลว ตามขอ 2. ในอตั ราไรโซเบยี ม 1 ถงุ ตอ เมลด็ พนั ธุ 15 กก. คลกุ เคลา เบา ๆ ใหทั่ว 4. ผึ่งลมในที่รมใหแหง ประมาณ 20-30 นาที ผงไรโซเบียมจะตดิ กบั เมลด็ พนั ธถุ ว่ั เหลอื งไมห ลดุ รว ง งา ย นาํ ไปปลูกไดทันที
ขอควรระวังในการคลกุ เคลา เมลด็ พนั ธถุ ว่ั เหลอื งกบั นา้ํ เชอ่ื มและเชอ้ื ไรโซเบยี มอยา คลกุ เคลา แรง วิธีที่ ดีที่สุด คอื คลกุ ในกระสอบบรรจเุ มลด็ พนั ธโุ ดยกลบั ไปมาใหท ว่ั การคลุกไรโซเบยี มโดยวิธนี ี้ จะชวยใหเชื้อ ไรโซเบียมเกาะตดิ เมลด็ ดี สามารถใชก บั เครอ่ื งหยอดไดโ ดยไมต ดิ เครอ่ื งหยอด และถว่ั เหลอื งจะไดร บั ไรโซเบียมที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเขา ไปสรา งทป่ี มรากทาํ ใหผ ลติ ปยุ ไนโตรเจนไดม าก และเปน ปยุ ไนโตรเจนที่วัชพืชไมสามารถแกงแยงไปใชได เตรยี มวัสดุ คลุกไรโซเบียม การคลุกไรโซเบียม ปลกู วิธีการปลกู ท่ีประหยดั เมล็ดพันธแุ ละใหผลผลติ สงู คอื 1. ปลูกเปน หลมุ ควรใชระยะหางระหวางหลุม 20-30 ซม. ระยะแถว 25-30 ซ.ม. โดยปลูก หลุมละ 3-4 ตน (ควร หยอดเมลด็ หลมุ ละ 3-5 เมลด็ เพอ่ื จะงอก 3-4 ตน ) 2. ปลูกโดยโรยเปนแถว โดยใชเ ครอ่ื งหยอด ซึ่งมที ้งั ชนิดท่ีใชก ับการเตรยี มดนิ โดยการไถพรวนและไมไถพรวน ควร ไถพรวน ใชเ ครอ่ื งหยอดโรยเปน แถว ใชระยะหางระหวางแถวประมาณ 30 ซ.ม. ใหมีจาํ นวนตน ประมาณ 20 ตน ตอ ระยะแถวยาวประมาณ 1 เมตร การใชระยะระหวางแถว 30 ซ.ม. จะสัมพันธกับการใช เคร่ืองเก็บเกี่ยวถั่วเหลอื งแบบวางรายมีประสิทธภิ าพ
ไถพรวนยกรอ ง หยอดเปนหลุม ไมไ ถพรวน เผาฟาง หยอดเปนหลมุ ทาํ รองระบายนํ้า ไมไถพรวน ใชเ ครอ่ื งหยอดโรยเปน แถว ไมไ ถพรวน ทาํ รอ งนา้ํ คลุมฟาง
วัชพชื และการปอ งกนั กาํ จัด วัชพชื เปน ศตั รสู าํ คัญของพืชที่ปลูกรวมทั้วถั่วเหลืองเพราะจะแกงแยงนาํ้ ธาตอุ าหาร และแสงแดด ตลอดจนเปน ทอ่ี าศยั ของแมลงศตั รพู ชื มผี ลทาํ ใหไ ดผ ลผลติ ถว่ั เหลอื งลดลงมาก จึงจาํ เปน ตอ งปอ งกนั กาํ จัด ดงั น้ี 1. ปองกันกําจดั โดยพน ดว ยสารเคมกี ําจดั วชั พชื เชน อะลาคลอร วนั ไซดซ เู ปอร เปอรซ ทู กาแลนท เฟลกซ ไกลโฟเสท อยา งใดอยา งหนง่ึ หลงั จากถว่ั เหลอื งงอกแลว ประมาณ 20-25 วัน หรือระยะวัช พชื มีใบ 3-4 ใบ สําหรบั ไกลโฟเสทตอ งใชพ น วชั พชื กอ นปลกู ถว่ั เหลอื ง เนอ่ื งจากเปน สารเคมที ไ่ี มเ ลอื กทาํ ลาย เมื่อพนลงไปแลว จะฆาทั้งวัชพืชและพืชหลัก ดงั นน้ั เมอ่ื ถว่ั เหลอื งงอกขน้ึ เปน ตน แลว หามใชไกลโฟเสทเด็ดขาด 2. ปอ งกนั กาํ จดั โดยวธิ กี ล ไดแก 2.1 เผา ใชไฟเผาทาํ ลายวชั พืชหรือตอซังหลังการเกบ็ เกย่ี วขาว ทง้ั ในวธิ กี ารเตรยี มดนิ แบบไถพรวน และไมไถพรวน 2.2 ทํารนุ เปน การกําจดั วชั พชื โดยใชเ ครอ่ื งมอื ตา ง ๆ เชน ใชจ อบดาย ใชเคียวเกี่ยว 2.3 การใชวัสดุคลุมดนิ โดยใชฟางขา วคลมุ ผวิ ดนิ บนแปลงหนาประมาณ 1-2 นว้ิ หลังหยอดเมล็ด และหวานปยุ ฟางจะชวยประหยัดการใชนํา้ ลดคา ใชจ า ยและการใชส ารเคมใี นการกาํ จัดวัชพืช อีกทั้งฟางจะถูก ยอยสลายเปน ปยุ ในดนิ ชวยรักษาสภาพแวดลอม
การใชส ารเคมปี อ งกนั และกาํ จดั วชั พชื สาํ หรับถั่วเหลือง สภาพการ สารเคมกี าํ จัดวัชพืช ชนดิ และ จาํ นวนตอ ไร กาํ หนด ปองกันและ ขอ ควรสังเกต ปลูกพืช ชอ่ื สามญั ช่ือการคา ความเขม ขน กรมั หรอื ซซี ี เวลาใช กาํ จัดวัชพืช ถว่ั เหลอื ง อะลาคลอร อะลาคลอร นาํ้ 48% 240 -360 พน คลมุ ดิน วัชพืชประเภท 1.ใชสารเคมีใน ปลกู โดยมี (alachlor) แลสโซค าลาร กอนวัชพืช ลมลุกทั้งพวก อัตราตา่ํ เมอ่ื ดนิ การเตรยี ม และพืชปลูก ใบแคบและ เปน ดนิ ทราย ดนิ แลนเซอร งอก ใบกวางชนิด 2. การใชส าร ตา งๆ ยกเวน สาํ หรบั กรณี เมโทลา ดอู ลั 400 นาํ้ 40% 240 -360 พนคลุกดิน อเี หนยี ว ปลูกพืชแซม คลอร อซี ี กอนวัชพืช (Metolachlor) และพืชปลูก หรอื พืชรวม งอก วัชพืชใบแคบ ปรึกษาขอคํา และใบกวาง แนะนาํ จาก ฟลอู าซิ วนั ไซดซ เู ปอร นาํ้ 15% 24 ระยะวัชพืช ฟอบบิวทิล 3 - 4 ใบ นักวิชาการ (fluazifop 3. ในขณะฉดี -butyl) พนสารเคมี ดนิ วัชพืชใบแคบ ควรชน้ื มฝี นตก โดยเฉพาะ หรอื ใหน า้ํ หลงั จากการฉดี พน สารเคมแี ลว อิมาเซท เปอรซ ทู นาํ้ 5.3% 320 - 400 ใชพ น หลงั วัชพืชใบแคบ ธาเพอร จากวัชพืช (imazetha และพืชปลูก Pyr) งอกแลว (ประมาณ 7-14 วัน หลังปลูก วัชพืชขนาด 2-4 ใบ) ฮาลอ กซิ กาแลน ท นา้ํ 25.5% 40 พ นหลังจาก วัชพืชใบกวาง ฟอบเมทธิล วัชพืชและพืช แ ล ะ ก ก บ า ง (haloxyfopme ปลูกงอกแลว ชนิด thyl) และกํ าลังอยู ใ น ร ะ เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต (ประมาณ 15-20 วัน หลังจากปลูก พื ช วั ช พื ช ขนาด 3-4 ใบ
สภาพการ สารเคมกี าํ จัดวัชพืช ชนดิ และ จาํ นวนตอ ไร กาํ หนด ปองกันและ ขอควรสังเกต ปลูกพืช ชอ่ื สามญั ช่ือการคา ความเขม ขน กรมั หรอื ซซี ี เวลาใช กาํ จัดวัชพืช โฟมซี าเฟน เฟลกซ นาํ้ 25% พ น ร ะ ย ะ วั ช วัชพืชใบกวาง (forme- 40 พืช 4-6 ใบ ห รื อ ก ก บ า ง zafan) หรือในระยะ ชนิด เ ว ล า ไ ม เ กิ น 25 วันหลัง ปลูกถั่ว พาราควอท กรมั มอ กโซน นาํ้ 27.6% 80-100 ใชพนในระยะ พนวัชพืชใบ (paraquat) คอมโบ ก อ น เ ต รี ย ม แ ค บ แ ล ะ ใ บ โซน แ ป ล ง ป ลู ก กวางโดยจะ ฟวโก หรือกอนปลูก ทําลายเฉพาะ ยิบอินโซน พืชหรือใชพน สวนของวัชพืช แชมเปยน หลังจากวัชพืช ที่ สั ม ผั ส ฟวโก งอกแลวและ ละอองสาร อ ยู ใ น ร ะ ย ะ การเจริญเติบ โต ไกลโฟเสท เรสควิ ผง 74% 120 -150 ใชพนในระยะ พนวัชพืชใบ (glyphosate) ทัชดาวน ก อ น เ ต รี ย ม แ ค บ แ ล ะ ใ บ ราวดอ พ้ั นาํ้ 48% แ ป ล ง ป ลู ก กวาง ไกอัลคา 16% หรือกอนปลูก เบรซ พืชใชพนหลัง สติง จากวัชพืชงอก ปารค แลวในระยะ แบนอิซ เจริญเติบโต ใสป ยุ การเพ่ิมความอดุ มสมบรู ณใ หแ กด นิ ชวยเพม่ิ ผลผลิตถัว่ เหลืองการใสปุยควรใสอ ยางประหยดั แตใหได ผลผลิตเพ่ิมข้ึน ท้ังน้ีหากไดม กี ารศกึ ษาประวตั กิ ารใสป ยุ ในนาขา วมากอ น หรอื เรม่ิ ใสป ยุ ในนาขา วตามระบบ ดงั น้ี 1. ถา ใสป ยุ หนิ ฟอตเฟตในชว งการไถพรวนเตรยี มดนิ ในการปลกู ขา วไรล ะ 200-300 กก. ปยุ นน้ี อก จากจะเปนประโยชนต อ ถว่ั เหลอื งในฤดตู อ ไปได ดงั นน้ั การปลกู ถว่ั เหลอื งในระบบนจ้ี งึ เพยี งแตค ลกุ ไรโซเบยี ม ก็เพียงพอโดยไมตองใสปุยอื่น ๆ ใด และยงั สามารถลดการใสป ยุ ฟอสฟอรสั ในนาขา วโดยไมต อ งใสป ยุ อกี อยา ง นอย 2-3 ป ดงั นน้ั การทาํ นาจงึ เพยี งแตใ สป ยุ ไนโตรเจนในอตั ราทเ่ี หมาะสมมากสาํ หรบั ดนิ ทค่ี อ นขา งเปน กรด (พีเอส ไมเ กนิ 6.5) เทา นน้ั 2. ถาใสป ยุ 16-20-0 หรือ 20-20-0 ในอตั ราไรล ะประมาณ 25-30 กก. ในการปลกู ขา ว จะทาํ ใหมีปุยฟอสฟอรสั ตกคา งสะสมอยใู นดนิ ขา มปไ ด ดงั นน้ั ถา ใสป ยุ ดงั กลา วในนาขา วทกุ ปแ ลว ไมจาํ เปน ตอ งใส ปุยใดๆ ใหกบั ถ่วั เหลอื งทป่ี ลกู หลงั การเก็บเกยี่ วขา ว หรอื อาจใสป ยุ 0-45-0 หรือ 0-46-0 เพยี งไรล ะ 5-10 กก. ในพน้ื ทซ่ี ง่ึ มกี ารใสป ยุ ในนาขา วเปน บางป ดงั นน้ั การปลกู ถว่ั เหลอื งโดยคลกุ ไรโซเบยี มจะทาํ ใหได ผลผลติ เพม่ิ ขน้ึ อกี มาก
3. ถาไมไดใ สป ยุ ในการปลกู ขา ว จาํ เปน ตอ งเพม่ิ ธาตฟุ อสฟอรสั กบั ถว่ั เหลอื งโดยตรง โดยใชปุยทริป เปล ซเู ปอรฟ อสเฟต (0-45-0 หรือ 0-46-0) อตั ราไรล ะ 20 กก. จะทาํ ใหไดธ าตุฟอสฟอรัสเพียงพอตอ ความตองการของถว่ั เหลอื ง โดยมวี ธิ กี ารใสด งั น้ี 3.1 หวานปยุ ใหท ว่ั แปลงอยา งสมา่ํ เสมอหลงั จากปลกู เสรจ็ ใชพุมไมกวาดบนพื้นจะชวยใหปุยสวนใหญ ถูกกวาดลงไปรวมกนั ในหลุม พรอ มกบั ขเ้ี ถา ในกรณที ม่ี กี ารเผาฟาง หรอื อาจหวา นปุย หลังจากใหนํ้าครง้ั แรก ก็ไดวิธีนี้จะชวยประหยัดแรงงานและใหผลดีพอสมควร 3.2 กลบหลุมปลูก วธิ นี จ้ี ะใชแ รงงานมากกวา วธิ แี รก แตไ ดผ ลคอ นขา งสงู เพราะปุยจะใหประโยชนตอ ถ่ัวเหลอื งไดเ ตม็ ประสทิ ธภิ าพ โดยใชปุย 0-45-0 หรือ 0-46-0 ประมาณ 10 กก. ผสมกับปุยคอก (มลู ววั หรอมูลหมูเกา) ประมาณ 30-35 ปบ หรอื ถา สามารถหากากตะกอนหมอ กรองจากโรงงานน้ําตาลไดด ที ส่ี ดุ สําหรบั ดนิ ทเ่ี ปน กรด โดยใชใ นอตั รา 30-35 ปบ เชน เดยี วกนั หลงั ผสมคลา ปยุ คอกกบั ปยุ เคมแี ลว นําไปกลบ หลุมท่ีหยอดเมลด็ ถว่ั เหลอื งแลว หลมุ ละประมาณ 1 กํามอื จะใชไดในพืน้ ทป่ี ระมาณ 1 ไร วธิ กี ารนป้ี ยุ คอกนอก จากจะทาํ ใหบ รเิ วณหลมุ ถว่ั รว นซยุ และใหปุยเพิ่มขึ้นแลวยังชวยใหปุยฟอสฟอรัสที่ผสมลงไปเปนประโยชน ตอถั่วเหลืองมากขึ้น และถา เปน กากตะกอนหมอ กรองโรงงานน้าํ ตาลจะชว ยใหร ะดบั ความเปน กรดของดนิ ลดนอยลงและจะชวยใหผลผลิตถั่วเหลืองเพิ่มชึ้นไรละประมาณ 30-60 กก. ใหนํา้ การปลูกถ่ัวเหลอื ในฤดแู ลง หลงั การทํานา ตอ งมกี ารใหนา้ํ อยางเพียงพอ ครง้ั แรกใหก อ นปลกู และตอ ไป ใหประมาณ 10 วนั ตอ ครง้ั แตถ า มกี ารคลมุ ฟางหลงั การปลกู ถว่ั เหลอื ง อาจใหนา้ํ 15-20 วนั ตอ ครง้ั ดงั น้ี 1. ปลอยนา้ํ ไปตามรอ งนา้ํ โดยจะตอ งใหน า้ํ ซมึ เขา แปลงใหผ วิ ดนิ มคี วามชน้ื อยา งสมา่ํ เสมอและทว่ั ถงึ ทั้งแปลง ซึ่งเปนวิธีที่ดีที่สุดเพราะนาํ้ จะไหลไปตามรอ งไดเ รว็ ทส่ี ดุ ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู บั ความยาวของรอ งและความ ลาดเทของแปลง น้าํ จะซมึ เขา รอ งปลกู ไดอ ยา งสม่าํ เสมอ 2. ปลอ ยนา้ํ ใหทั่วแปลง แลว ระบายออกใหเ หลอื เฉพาะนา้ํ ทข่ี งั ในรอ งระบายนา้ํ เทา นน้ั โรคและการปอ งกนั กําจัด โรคถว่ั เหลอื งทพ่ี บในฤดแู ลง จะมไี มม ากนกั ทส่ี ําคญั มี 4 โรค คอื 1. โรครากและโคนเนา เกิดจากเช้ือราหลายชนดิ ทอ่ี าศยั อยใู นดนิ ถว่ั เหลอื งทเ่ี ปน โรคนจ้ี ะมอี าการใบเหลอื ง เหี่ยวลง และตาย ในที่สุด การแพรระบาดจะพบในฤดแู ลง ทง้ั นเ้ี พราะการปลกู ถว่ั เหลอื งในฤดแู ลง จะอาศยั การปลอ ยนา้ํ เขา แปลง ถา พน้ื ทไ่ี มส ม่ําเสมอนา้ํ จะขังแฉะเปนแหง ๆ เชอ่ื ราสาเหตทุ อ่ี ยใู นดนิ จะเจริญเติบโตเขาทาํ ลายถ่ัวเหลอื งทาํ ให ถ่ัวเหลอื งเนา ตาย การปอ งกนั กําจดั - ปรับพื้นที่ใหสมาํ่ เสมอ อยา ใหม นี า้ํ ขงั แฉะ - อยาปลอ ยใหน า้ํ ผา แปลง หรอื บรเิ วณทเ่ี ปน โรคไปสบู รเิ วณอน่ื - ถอนตน ทเ่ี ปน โรคทง้ิ - ไถตากหนาดนิ หรือไถใหลึกกวาปกติ เพอ่ื ฝง เชอ้ื รา เชน เมลด็ สเคอโรเตยี ม
2. โรครานํ้าคา ง เกิดจากเช้ือรา ถว่ั เหลอื ทเ่ี ปน โรคน้ี ระยะแรกจะเห็นจุดสีเหลืองแกมเขียว ถา มองจากดา นบนของใบ ถาพลิกดูใตใบจะพบเสน ใยของเชอ้ื ราเปน สเี ทา หรอื สเี ทาอมมว ง โรคนจ้ี ะระบาดฤดแู ลง ในชว งทอ่ี ากาศเยน็ ปริมาณน้ําคางบนใบมาก การระบาดของโรคมี 3 ทางคือ เชอ้ื ปลวิ ไปตามลม เชอ้ื ตดิ ไปกบั เมลด็ และเชอ้ื ตก คางในดนิ จะทาํ ใหผ ลผลติ ลดลงประมาณ 12-15 เปอรเ ซน็ ต การปอ งกนั กําจดั - ไมนาํ เมลด็ จากตน เปน โรคมาปลกู ตอ - คลุกเมลด็ ดว นสารเคมแี คบแทน หรอื ไดโฟลาแทนอตั รา 1-2 กรัม ตอ เมลด็ 1 กก. หรอื ใชต าม แลกซิล (อพรอน) อตั ราสว น 7 กรมั ตอ เมลด็ 1 กก. จะลดปรมิ าณของเชอ้ื ลง - พนดว ยสารเคมี เชน แอนทราโคล หรือ เอ็ม-แซค อตั รา 30 กรมั ตอ นา้ํ 20 ลติ ร เมอ่ื เรม่ิ พบ อาการของโรคและพน ทกุ 10 วัน รวม 3 ครง้ั 3. โรควสิ าใบดา ง เกิดจาดเชื้อวิสา ถว่ั เหลอื งทเ่ี ปน โรคนจ้ี ะมใี บดา งสเี หลอื งแกมเขยี ว ผวิ ใบเปน คลน่ื ถา อาการรนุ แรง จะทําใหตนเตี้ยแคระแกร็น ขอ และตน สน้ั ยอกแหงตาย โรคนร้ี ะบาดทง้ั ในฤดแู ลง และฤดฝู น โดยมเี พลย้ี ออ น เปนพาหะ และถา ยทองทางเมลด็ ได ถา เปน โรครนุ แรงถงึ ขน้ั แคระแกรน็ จะตฝิ ก นอ ยหรอื ไมต ดิ เลย คุณภาพ เมล็ดไมด ี เมลด็ ดา ง การปอ งกนั กําจดั - ถอนตน ทเ่ี ปน โรคทง้ิ - ไมน ําเมลด็ จากตน ทเ่ี ปน โรคมาปลกู ตอ - หลังจากจับตน ทเ่ี ปน โรคแลว ควรลา งมอื ใหส ะอาดกอ นจบั ตน ถว่ั เหลอื ทป่ี กติ เพราะเชื้อโรคแพรโดย ทางสมั ผสั - พนสารเคมฆี า แมลง เชน โมโนโครโตฟอส เพื่อกาํ จดั เพลย้ี ออ นในอตั รา 20 ซีซ.ี ตอ นา้ํ 20 ลติ ร 4. อาการเมลด็ เขยี ว เกิดจากสภาพแวดลอมที่แหงแลงทาํ ใหเกิดความไมสมดุลย กนั ระหวา งการดดู นา้ํ ของรากกบั การ คายนาํ้ หรือระเหยนาํ้ ทางใบ ทาํ ใหถ่ัวเหลืองแกเรว็ กวา ปกติ หรอื มปี รมิ าณวชั พชื มากเกนิ ไป มผี ลทาํ ใหเกิดการ แยงดูดนํ้าและแรธ าตอุ าหารในดนิ หรอื เกดิ โรคบงชนดิ ของถว่ั เหลอื ง เชน โรคโคนตน ดาํ โรคใบยอดยน เปน ตน ถว่ั เหลอื งจะมเี มลด็ สเี ขยี ว โดยมีพื้นที่สีเขียวจะนอยกวา 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 2 หรือ 2 ใน 3 ของ เมล็ดถาอาการเมลด็ สเี ขยี วเกดิ จากโรค เมลด็ จะไมง อก แตถาเกิดจากสาเหตุสภาพแวดลอม ท่ีอากาศรองแหง แลง และปริมาณวัชพืชมาก เมลด็ จะงอกปกตแิ ตอ ายกุ ารเกบ็ รกั ษาจะไมไ ดน าน เพราะเปอรเ ซน็ ตค วามงอก จะลดลงเรว็ กวา ปกติ การปอ งกนั กําจดั - ใชเมล็ดพันธุคุณภาพดี มคี วามบรสิ ทุ ธ์ิ เปอรเ ซน็ ตค วามงอกความแขง็ แรงสงู - ไมใหขาดนํ้าในชว งระยะตดิ ฝก ถงึ ชว งระยะตดิ เมลด็ เตม็ ท่ี - เก็บเกี่ยวระยะที่ฝกแหงประมาณ 80-90 เปอรเ ซน็ ต
แมลงศตั รถู ว่ั เหลอื งและการปอ งกนั กําจัด แมลงศัตรูถัวเหลืองทคึ่ วรระวงั แลพคอยหม่ันตรวจแปลงเมอ่ื พบจะไดป องกันกาํ จัดไดทัน ไดแก 1. หนอนแมลงวนั เจาะตน ถว่ั ลักษณะการทําลายของแมลงวนั จะวางไขใ นเนอ้ื เยอ่ื ของใบตง้ั แตถ ว่ั เหลอื งมใี บจรงิ เพยี งใบเดยี ว เมอ่ื ฟก ออกจากไขหนอนจะไชชอนละไปสโู คนตน ในระดบั ผวิ ดนิ แลว ไชชอนกนิ เนอ้ื เยอ่ื ในบรเิ วณนน้ั จนโตเตม็ ทแ่ี ลว เขาดกแดในตนที่ถูกทาํ ลายนน้ั ถา ระบาดมากตน ถว่ั จะแคระแกรน็ และตายได การปอ งกนั กําจดั - ใชค ารโบฟูราน 3% จี (ฟรู าดาน 3 จ)ี รองกนั หลมุ หลงั ปลกู ในอตั รา 4-6 กก./ไร - พน ดว ย ไตรอะโซฟอส 40 % อีซี (ฮอสตาธีออน 40 อีซ)ี หรือคารโบซันแฟน 20 % อีซี (พอสซ) 2-3 คร้ัง เร่ิมพน ครง้ั แรกเมอ่ื ถว่ั เหลอื มใี บจรงิ เพยี งใบเดยี ว หรอื หลงั จากถว่ั เหลอื งมใี บจรงิ เพยี งใบเดยี ว หรือ หลังจากถว่ั เหลอื งงอกประมาณ 1 อาทิตย 2. หนอนเจาะฝก ลักษณะการทําลาย หนอนจะเขาทาํ ลายในระยะตดิ ฝก ออ น สวนมากจะไมเจาะทาํ ลายทง้ั ฝก แตชอบ กัดทําลายตรงขัว้ ฝกทําใหฝกรวงหลน แลว เจาะฝก อน่ื ตอ ไป เมอ่ื ฝก ออ นหมดจะกดั กนิ ดอกจนหมด แลวกัดกิน ยอดและใบออ นตอ ไป การปอ งกนั กําจดั - พนดวยไชฮาโลทริน แอล 2.5 % อีซี (คาราเต 2.5 อีซ)ี หรือไตรอะโซฟอส 40 % อีซี (ฮอสตาธี ออน 40 อีซ)ี หรือไทโอดคิ ารบ 37.5 % เอฟ (ลารว นิ 37.5 เอฟ) ครง้ั ตอ ไปถา จาํ เปน พน 1-2 ครง้ั หางกัน 7-10 วัน 3. หนอนมวนใบ ลักษณะการทําลาย หนอนเมอ่ื ฟกออกจากไขใ หม ๆ จะรวมกนั เปน กลมุ ชักใยบางๆ ปกคลมุ ตวั เองไว แลวกัดกินผิวใบ เมอ่ื โตขน้ึ จะมว นเขา หาตน หรอื ชักใยดงึ เอาใบหลายๆ ใบมาหอรวมกนั แลว จะอาศัยกินใบอยู ในน้ันจนเหลือแตเสน ใย เมอ่ื กดั กนิ ใบหมดแลว กจ็ ะเคลอ่ื นยา ยไปมว นใบอน่ื ตอ ไป ถา ระบาดเมอ่ื ตน พชื ยงั อยู ในระยะการเจรญิ เตบิ โตหรอื ระยะออกดอกและตดิ ฝก ออ นจะกอ ใหเ กดิ ความเสยี หาย การปอ งกนั กําจดั - พนดวยไซฮาโลทริน แอล 2.5 %อีซี (คาราเต 2.5 อีซ)ี หรือคารโบซัลแฟน 20% อีซ(ี พอสซ) หรือ ไครอะโซฟอส 40% อีซี (ฮอสตาธีออน 40 อีซ)ี 2-3 ครง้ั หางกัน 7-10 วัน เมอ่ื พบวา การระบาดของหนอน ทาํ ใหใบเสียหายถึง 30% 4. หนอนกระทูผัก ลักษณะการทําลาย เมอ่ื หนอนฟก ออกจากไขใ หม ๆ จะอยรู วมกนั เปน กลมุ แทะผิวใบพืชดานลางเหลือ ไวแตผิวดินพืชดานบน เมอื่ ผวิ ใบท่ีเหลอื งแหง จะเหน็ เปน สเี ขียว สงั เกตไดง า ยและเปน ลกั ษณะการทาํ ลายของ หนอนชนิดน้ี หลังจากยางเขาวัยที่ 2-3 จะแยกกนั ออกไปกินถั่วเหลอื งแหวง เปนรพู รนุ การปอ งกนั กําจดั - หมั่นตรวจดูแปลงถั่วเหลืองถาพบลักษณะการทาํ ลายของหนอนทฟ่ี ก ออกจากไขใ หมๆ ใหเก็บทําลาย
- ถาพบหนอนอยใู นระยะกระจายออกไปกนิ ใบพชื และใบเสียหายโดยเฉลี่ยประมาณ 30 เปอรเ ซน็ ต ใชโ มโนโครโตฟอส 60% ดบั บลวิ เอสซี (อะโซดริน 60) หรือไดรอะโซฟอส 40% อีซี (ฮอสตาธีออน 40 อีซ)ี พน 2-3 ครง้ั ทุก 7-10 วัน 5. มวนถว่ั เหลอื ง( ไดแก มวนเขยี วขา ว มวนเขยี วถว่ั และมวนขาโต) เปน ศตั รถู ว่ั เหลอื งทส่ี าํ คญั อกี ชนิดหนึ่ง เปน แมลงหากปากดดู ทําความเสยี หายแกผ ลผลิตถัว่ เหลือง แตที่พบเปนศัตรูรายแรงที่สุด คอื มวน เขยี วขา ว ลักษณะการทําลาย ดดู กนิ น้าํ เลย้ี งจากยอดใบออ น ดอกและฝกทําใหต น ทด่ี ดู มรี อยดา งเปน จดุ ๆ ยอด เหี่ยวแหง ดอกรว งหมดตน ถาทาํ ลายฝก ออ น ฝก ออ นจะบดิ ไมต ดิ เมลด็ และรว งหลน หรอื แหง ตายไป สว นฝก ที่ใกลจะแกเมื่อถูกทาํ ลายจะเหน็ รอยแทงดดู ทเ่ี มลด็ ดว ย เมล็ดพวกนี้จะเหยี่ยวยน การปอ งกนั กําจดั แมลง - พน ดว ย เมทามโิ ดฟอส 60% เอสแอล (ทามารอน 600เอสแอล) หรือ ไตรอะโซฟอส 40% อีซี (ฮอสตาธีออน 40 อีซ)ี 1-2 ครง้ั หางกัน7-10 วัน เมอ่ื พบมวนชนดิ นป้ี ระมาณ 3 ตวั ตอ แถวยาว 1 เมตร ในระยะทถ่ี ว่ั เหลอื งออกดอก การเกบ็ เกย่ี ว การเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองใหไดคุณภาพ มขี อ พจิ ารณาดงั น้ี 1. เกบ็ เกย่ี วตามอายุ กลา วคอื ถว่ั เหลอื พนั ธุ สจ.4, สจ.5, สุโขทัย 2 และชียงใหม 60 มอี ายกุ ารเกบ็ เก่ียวโดยประมาณ 90 วัน แตห ากอณุ หภูมติ า่ํ และดนิ มคี วามชน้ื สงู อาจจะแกช า ออกไปอกี ได หรือหากดิน มคี วามชน้ื ต่าํ จะทาํ ใหถ ว่ั เหลอื งแกไ ดเ รว็ ขน้ึ กวา กาํ หนด 2. สงั เกตจากสขี องฝก ถ่ัวเหลืองจะแกจ ากโคนตน ขน้ึ ไป ฝก จะเปลย่ี นจากสเี ขยี วไปเปน สฟี างหรอื สี น้ําตาล แสดงวาฝกแกเหมาะที่จะทําการเก็บเกี่ยว เมอ่ื เหน็ ฝก แกป ระมาณ 1 ใน 3 ของตน กเ็ ร่ิมเกบ็ เกยี่ วได วิธีการเกบ็ เกย่ี ว ใชมีดหรอื เคยี วตดั โคนตน หรอื ใชเ ครอ่ื งเกบ็ เก่ียวแบบวางราย นาํ มาตดั เปน ฟอ นตง้ั กองทง้ิ ไว โดยเอาดานโคนตน ลงดนิ จนกระทว่ั ใบถว่ั เหลอื งรว ง (ประมาร 5-7 วัน) แลวนาํ ไปนวดดว ยเครอ่ื งนวด ขาวท่ีปรับความเร็วรอบของลูกนวดอยูระหวาง 450-500 รอบตอ วนิ าที (ถา นวดถว่ั เหลอื งเพอ่ื ผลิตเมล็ดพันธุควรปรับความเร็วของรอบลูกนวดให อยูระหวาง 300-400 รอบตอ นาที เพอ่ื ปอ งกนั มใิ ห เครอ่ื งเกบ็ เกย่ี วแบบวางราย เมล็ดถว่ั เหลอื งบอบช้ํา เพราะถา เมลด็ ถว่ั เหลอื งบอบ ชํ้ามากเปอรเ ซน็ ตค วามงอกกจ็ ะตา่ํ ดว ย)ทําความสะอาดคดั ขนาดตากใหแ หง ใสก ระสอบจาํ หนา ยตอ ไป จดั ทําเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ ดย : สาํ นกั สง เสรมิ และฝก อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: