Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์

อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์

Description: อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์

Search

Read the Text Version

วนั อาทติ ยท์ ี่ 9 ธนั วาคม 2561 - วนั เสาร์ที่ 19 มกราคม 2562 ณ พระลานพระราชวงั ดสุ ติ และสนามเสือปา่

สายน�้ำแหง่ พระเมตตา พัฒนาประชาธปิ ไตย หน้า 2

ตำ� รวจรัฐสภา เป็นผู้ที่ได้ทำ� คุณประโยชน์แก่ประเทศ และสว่ นรวม ดงั นน้ั ในความมงุ่ หมาย การบรรจุต�ำรวจสภา เกิดขึ้นคร้ังแรก ที่จะมีต�ำรวจไว้ประจ�ำสภาก็เพ่ือ เมอื่ พ.ศ.2477โดยพลเอกพระยาพหล อยู่เวรยาม และดูแลความเรียบร้อย พลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ในบริเวณสภา และคอยปฏิบัติตาม นายกรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราช คำ� สง่ั ประธานสภา ดงั นนั้ จงึ ไมจ่ ำ� เปน็ บัญญัติเครื่องแบบต�ำรวจสภาผู้แทน ตอ้ งใชค้ นแขง็ แรงเชน่ ทหาร หรอื ตำ� รวจ ราษฎร ตอ่ ทปี่ ระชมุ สภา โดยทา่ นเปน็ ดังนั้น เม่ือแรกจึงมีการบรรจุต�ำรวจ ผู้ก�ำหนดเครื่องแบบเหล่านี้เอง เพื่อ สภาจากทหารอาสา และ ทหารปราบ ให้เหมาะสมแก่งานของต�ำรวจสภา กบฏประเภทละ 12 คน รวม 24 คน ส�ำหรับในส่วนของการบรรจุบุคคล และ ผู้บงั คบั หมวด 1 คน ผู้บงั คับหมู่ เป็นต�ำรวจสภานั้น ท่านเห็นว่า 2 คน (รวมท้ังส้นิ 27 คน) ในเยอรมันนีได้เลือกบรรจุต�ำรวจ สภาจากทหารกองหนุน เพราะถือว่า หนา้ 3

พระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเด็จ พระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วั พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั มหาอานันทมหดิ ล พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทร สมเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกิต์ิ สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว มหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมราชินีนาถ มหาวชริ าลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกูร หน้า 4

ฉันจะใหล ูกวชิราวธุ มอบของขวญั ใหแ ก พลเมอื ง ในทันทที ีข่ นึ้ สรู าชบัลลังก ในขณะสืบตำ� แหนง กษตั ริย กลา วคอื ฉันจะใหเ ขาใหปาลเิ มนท และคอนสตติ ิวช่นั ... พระราชดำ� รัสของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลาเจา อยูหวั ในทป่ี ระชมุ เสนาบดี เมอ่ื ป พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พระที่นง่ั ราชกรณั ยสภา “…อีก 3 ปีข้างหน้าฉันจะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมืองในทันที ทข่ี น้ึ สรู่ าชบลั ลงั ก์ในขณะสบื ตำ� แหนง่ กษตั รยิ ์กลา่ วคอื ฉนั จะใหเ้ ขาใหป้ าลเิ มนท์ และคอนสตติ วิ ชนั่ อกี 3ปคี งไมช่ า้ นกั มใิ ชห่ รอื …ฉนั จะอยหู่ ลงั ราชบลั ลงั กข์ องลกู เอง อย่อู ยา่ งพ่อในหลวงอยา่ งไรล่ะ…และหมดกังวลในพลเมอื งทรี่ กั ของฉัน…” ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ยใ น สั ง ค ม ไ ท ย เ ริ่ ม เมื่อป พ.ศ. 2453 ณ พระท่ีน่ัง กอ่ เคา้ รา่ งขน้ึ ในสมัยพระบาทสมเด็จ ราชกรัณยสภานั้น สะท้อนให้เห็น พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ ว่าเมื่อร้อยกว่าปีท่ีผ่านมา พระบาท ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษา สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 5 ทรงมี ราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษา ความเขา้ ใจเรอ่ื งระบอบประชาธปิ ไตย ในพระองคเ์ พอ่ื เปน็ การถวายคำ� ปรกึ ษา และพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ และความคดิ เหน็ ตา่ งๆเปน็ การปพู น้ื ฐาน ทจี่ ะพระราชทานระบอบประชาธปิ ไตย การปกครองระบอบประชาธิปไตย ให้กับราษฎรเมื่อในหลวงรัชกาลที่ 6 เม่ือ พ.ศ. 2417 และมีการปฏิรูป ไดข้ นึ้ ครองราชยแ์ ลว้ และพระองคท์ า่ น ระบบราชการเมื่อ พ.ศ. 2435 และ (ในหลวงรชั กาลที่5)จะทรงอยเู่ บอ้ื งหลงั จากกระแสพระราชดำ� รสั ของพระบาท เพื่อถวายค�ำแนะน�ำเพ่ือการบริหาร สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชการแผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ ไปตามครรลอง ทที่ รงพระราชทานในทป่ี ระชมุ เสนาบดี แหง่ ทศพธิ ราชธรรม หนา้ 5

“...วธิ กี ารดำ� เนนิ การในธานีเลก็ ๆ ของเราเปน เชน ไร ก็ตง้ั ใจไวว า จะใหป ระเทศสยามไดท�ำเชนเดยี วกนั แตจ ะใหเ ปน การสำ� เร็จรวดเรว็ ดังธานี เลก็ น้ี ก็ยังทำ� ไปทเี ดียวยงั ไมไ ด...” พระราชดำ� รสั ของพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจา อยหู ัว ในวนั เปด ศาลารัฐบาลมณฑลดุสติ ธานี ซงึ่ เปนสวนหนึ่งของเมอื งทดลองประชาธปิ ไตยดสุ ิตธานี เมอ่ื วนั ที่ 9 กรกฎาคม 2462 ดสุ ติ ธานีเปน็ เมอื งจำ� ลองทพ่ี ระบาทสมเดจ็ การปกครองลักษณะนคราภิบาล พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สรา้ งขนึ้ เมอื่ เป็นแนวทางในการปกครอง สถานะ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 บริเวณ ท า ง ค ว า ม รู ้ เ กี่ ย ว กั บ ดุ สิ ต ธ า นี วังพญาไท ดุสิตธานีเป็นเมืองเล็กๆ มี 2 ประการ คือ ประการแรก มเี นอื้ ท่ี 3 ไร่ แรกเรมิ่ ตง้ั อยบู่ รเิ วณรอบ ดสุ ติ ธานีคอื เมอื งทดลองประชาธปิ ไตย พระทน่ี ง่ั อดุ รในพระราชวงั ดสุ ติ มลี กั ษณะ ใ น รั ช ส มั ย ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ เปน็ เมอื งขนาดเลก็ มขี นาดพนื้ ท่ี 1 ใน พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ในขณะทสี่ ยามยงั คง 20 เท่าของเมืองจริง ประกอบด้วย ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระราชวงั ศาลารฐั บาล วดั วาอาราม ประการทสี่ องดสุ ติ ธานี คอื การทดลอง สถานท่ีราชการโรงทหาร โรงเรียน การปกครองท้องถ่ิน ในรัชสมัย โรงพยาบาล ตลาด รา้ นคา้ ธนาคาร ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า โรงละคร ประมาณเกอื บสองรอ้ ยหลงั เจา้ อยหู่ วั โปรดเกล้าฯ ให้ดุสิตธานีมีธรรมนูญ หนา้ 6

กอเกดิ พฤฒสภา รฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2489 มาตรา 17 รัฐสภาประกอบดวย พฤฒสภาและสภาผแู ทน ไมวาจะประชมุ แยกกนั หรอื รวมกัน “พฤฒสภา” (พรึดสภา) หมายถึง รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย สภาสงู หรอื สภาอาวโุ ส โดยคำ� วา่ พุทธศกั ราช 2489 “พฤฒสภา” กอ เกิดพฤฒสภา จดุ เรมิ่ ตน้ ของพฤฒสภาเรมิ่ แรกภายหลงั ระบบ 2 สภา เปน็ ครง้ั แรกประกอบดว้ ย การเปลย่ี นแปลงการปกครอง และประกาศ สภาผู้แทน และ พฤฒสภา สมาชิก ใชพ้ ระราชบญั ญตั ธิ รรมนญู การปกครอง ของทั้ง 2 สภา มาจากการเลือกต้ัง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ของราษฎร กรณขี องสมาชกิ พฤฒสภา 2475 เมอื่ วนั ที่ 27 มถิ นุ ายน 2475 มาจากการเลอื กตงั้ โดยราษฎรในทาง รปู แบบของรฐั สภาไทยใชร้ ะบบสภาเดยี ว อ้อม กล่าวคือ สมาชิกพฤฒสภามา มสี ภาผแู้ ทนราษฎรประกอบดว้ ยสมาชกิ จากการเลอื กตง้ั ขององคก์ ารเลอื กตงั้ 2 ประเภท คอื สมาชกิ ประเภทที่ 1 สมาชกิ พฤฒสภา ซง่ึ เปน็ สมาชกิ สภา เลือกต้ัง และสมาชิกประเภทท่ี 2 ผแู้ ทนราษฎรทไี่ ดร้ บั การเลอื กตง้ั โดยตรง มาจากการแตง่ ตงั้ และไดใ้ ชร้ ะบบนเี้ รอื่ ยมา มาจากราษฎร เปน็ เวลา14ปีกระทงั่ ในปี2489รปู แบบ ท้ังนี้ ความจ�ำเป็นที่ต้องมีพฤฒสภา ของรฐั สภาไทย มกี ารเปลยี่ นแปลง เมอื่ ตามบทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู แหง่ ราช ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร อาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช2489เพอ่ื เปน็ ไทย พุทธศักราช 2489 โดยเริ่มใช้ สภาทค่ี อยตรวจสอบ กลน่ั กรอง ใหค้ ำ� แนะนำ� ปรกึ ษา และยบั ยงั้ การใชอ้ ำ� นาจ หนา้ ทขี่ องสภาผแู้ ทนโดยเฉพาะในดา้ น นิติบัญญัติ และควบคุมการบริหาร ราชการแผน่ ดนิ ของคณะรฐั มนตรี หนา้ 7

“เราจะครองแผน ดนิ โดยธรรม เพอ่ื ประโยชนสขุ แหง มหาชนชาวสยาม” พระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร เมื่อวันท่ี 5 พฤษภาคม 2493 ณ พระทีน่ ั่งไพศาลทกั ษณิ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ท- พระบรมราชาภเิ ษก และยงั ทรงศกึ ษา มหดิ ล เสดจ็ สวรรคต วนั ท่ี 9 มถิ นุ ายน ไม่จบ จึงไดเ้ สด็จกลบั ไปศึกษาต่อยัง พ.ศ.2489รฐั บาลในขณะนนั้ ไดเ้ ขา้ เฝา้ ฯ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้ สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี ท ร ง เ ป ล่ี ย น ก า ร ศึ ก ษ า จ า ก ส า ข า กราบบงั คมทลู ฯขอพระราชทานอญั เชญิ วิทยาศาสตร์ มาเป็นวิชากฎหมาย พระเจา้ นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช แ ล ะ ก า ร เ มื อ ง เ พ่ื อ เ ต รี ย ม พ ร ้ อ ม เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั สิ บื ตอ่ จาก ท่ี จ ะ รั บ พ ร ะ ร า ช ภ า ร ะใ น ฐ า น ะ พระบรมเชษฐาธริ าชเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ องค์พระประมุขของชาติ โดยมีคณะ ไทยลำ� ดบั ที่ 9 แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์ อภิรัฐมนตรี ซ่ึงเป็นท่ีปรึกษาของ แต่เน่ืองจาก ขณะน้ันพระองค์ทรงมี พระมหากษตั รยิ ใ์ นขณะนน้ั ทำ� หนา้ ที่ พระชนมายเุ พยี ง 19 พรรษา ยงั ไมบ่ รรลุ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ นิติภาวะ จึงยังมิได้ทรงประกอบพิธี หนา้ 8

เมอื่ สำ� เรจ็ การศกึ ษาสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั วา่ “เราจะครองแผน่ ดนิ โดยธรรม เพอื่ เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. ประโยชนส์ ขุ แหง่ มหาชนชาวสยาม” 2493 ทรงประกอบพระราชพิธีถวาย พระองคไ์ มท่ รงใชค้ ำ� วา่ “ปกครอง” แต่ พระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ ทรงใชค้ ำ� วา่ “ครอง”แทน“ปกครอง”เปน็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล รชั กาลที่ 8 การใหค้ วามเคารพดแู ลดว้ ยความเมตตา ตอ่ จากนนั้ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ จดั พระราช ซงึ่ การครองแผน่ ดนิ ของพระองค์ ทรงใส่ พิธรี าชาภิเษกสมรสกบั หม่อมราชวงศ์ พระทยั ในการดแู ลพสกนกิ รและทรงใช้ สริ กิ ติ ์ิ กติ ยิ ากร เมอื่ วนั ท่ี 28 เมษายน ธรรมาภบิ าล โดยธรรมสำ� หรบั พระบาท พ.ศ. 2493 และจัดพระราชพิธีบรม สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั คอื ทศพธิ ราชธรรม ราชาภเิ ษกในวนั ที่5พฤษภาคมพ.ศ.2493 สว่ น “ประโยชนส์ ขุ แหง่ มหาชน” จะเหน็ ในวนั นน้ั ทรงมพี ระปฐมบรมราชโองการ วา่ พระองคท์ รงทำ� เพอ่ื สว่ นรวมอยา่ งแทจ้ รงิ หน้า 9

ขาพเจา สมเดจ็ พระนางเจาสิริกติ ิ์ พระบรมราชินี ขอปฏญิ าณในทีป่ ระชมุ สภาผูแทนราษฎรวา จะซ่ือสตั ยส ุจรติ และจงรักภกั ดตี อองคพระมหากษตั ริย และจะปฏบิ ัตหิ นา ทเี่ พือ่ ประโยชน ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว และปฏบิ ัตติ ามซ่ึงรัฐธรรมนญู แหงราชอาณาจักรไทยทุกประการ พระราชดำ� รสั ปฏิญาณพระองคของสมเดจ็ พระนางเจาสิรกิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ ในรชั กาลท่ี 9 เสด็จพระราชดำ� เนิน ประกอบพระราชพิธีปฏญิ าณตน ในการประชุมสภาผูแทนราษฎร เมื่อวนั ที่ 20 กันยายน 2499 ณ พระที่นัง่ อนนั ตสมาคม เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จ สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ี พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ มพี ระราชประสงคจ์ ะผนวชเปน็ พระภกิ ษุ ในระหวา่ งทผ่ี นวชดงั นน้ั สมเดจ็ พระนางเจา้ ระหวา่ งวนั ท่ี22ตลุ าคม-5พฤศจกิ ายน สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ ทรงใหส้ ตั ย์ เปน็ ระยะเวลา15วนั จงึ ตอ้ งมกี ารแตง่ ตงั้ ปฏญิ าณในฐานะผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทน ผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนั้น พระองคต์ อ่ รฐั สภา ณ พระทน่ี ง่ั อนนั ต- จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง สมาคมในวนั ท่ี20 กนั ยายนพ.ศ.2499 หน้า 10

...ขา พเจา ขอตอบรบั เพอื่ สนองพระราช ปณธิ าน และเพอ่ื ประโยชนของประชาชน ชาวไทยทง้ั ปวง พระราชดำ� รัสตอบรับการข้ึนทรงราชย ของสมเด็จพระเจาอยหู วั เมอื่ วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ณ พระทน่ี ง่ั อัมพรสถาน พระราชวงั ดสุ ิต เมอื่ วนั ท่ี1ธนั วาคม2559 สมเดจ็ พระบรม นติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทปี่ ระธาน โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ รัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับการกราบ นายกรฐั มนตรีและนายวรี ะพลตง้ั สวุ รรณ บังคมทูลเชิญเสด็จข้ึนเถลิงถวัลย- ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าทูลละออง ราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหา รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมมหาราช วชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร จักรีวงศ์ เฉลิมพระปรมาภิไธยชั่วคราว มพี ระราชดำ� รสั ตอบรบั การขน้ึ ทรงราชย์ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรา ความวา่ “ตามทปี่ ระธานสภานติ บิ ญั ญตั ิ ลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” แห่งชาติ ปฏิบัติหน้าท่ีประธานรัฐสภา จนกว่าจะถึงการพระราชพิธีบรม ได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย ราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ โดย เชญิ ข้าพเจา้ ขึน้ ครองราชยเ์ ป็นพระมหา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กษตั รยิ ์ ถา้ เปน็ ไปตามพระราชประสงค์ ท�ำหน้าที่ ประธานรัฐสภาในนาม ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร ของปวงชนชาวไทย กราบบังคม มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์ และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออก กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระทน่ี ง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ติ นน้ั ขา้ พเจา้ ขอตอบรบั เพอื่ สนองพระราช พระราชทานวโรกาสให้ พลเอก เปรม ปณธิ าน และเพอ่ื ประโยชนข์ องประชาชน ตณิ สลู านนท์ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ ชาวไทยทงั้ ปวง” นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภา หนา้ 11

ไมโครโฟนคารบ์ อน ทำ� ใหเ้ กดิ การเหนย่ี วนำ� และเกดิ กระแส ไฟฟา้ ไหลในวงจร คณุ ภาพของเสยี งดี ไมโครโฟนทใี่ ชใ้ นทป่ี ระชมุ สภาในระยะ ในการตดิ ตงั้ ไมโครโฟนและเครอ่ื งขยาย เรมิ่ แรกนนั้ ใชแ้ บบคารบ์ อนไมโครโฟน เสยี งในหอ้ งประชมุ ชว่ งแรก หลวงโกวทิ (Carbon Microphone) ท�ำจาก อภยั วงศ์(พนั ตรีควง อภยั วงค)์ รกั ษาการ ผงถา่ น ตอ่ มาราว พ.ศ. 2492 ไดเ้ ปลยี่ น อธิบดีกรม กรมไปรษณีย์โทรเลข ใช้แบบริบบอนไมโครโฟน (Ribbon ในขณะนน้ั เปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบดำ� เนนิ การ Microphone) ใช้แผ่นอลูมิเนียม ซงึ่ นายชา่ งวทิ ยขุ องกรมฯ ไดค้ ดิ ประดษิ ฐ์ เบาบางคลา้ ยกบั รบิ บน้ิ จงึ ตอ้ งอยรู่ ะหวา่ ง แบบไมโครโฟนขนึ้ เปน็ พเิ ศษ แมเ่ หลก็ ถาวรกำ� ลงั สงู เมอื่ คลนื่ เสยี ง มากระทบกับแผ่นอลูมิเนียม จะส่ัน สะเทือนและเกิดกระแสไฟฟ้าข้ึน ไ มโ ค รโ ฟ น ช นิ ด น้ี จ ะ มี ร า ค า แ พ ง มคี ณุ ภาพดมี ากมคี วามไวสงู และเปลย่ี น อกี ครง้ั ราวพ.ศ.2503เปน็ แบบไดนามคิ ไมโครโฟน (Dynamic Microphone) ใชแ้ มเ่ หลก็ ถาวรและมขี ดลวด(Moving coil)เคลอื่ นไหวไปมาในสนามแมเ่ หลก็ หนา้ 12

หีบบตั รเลือกตง้ั สมาชกิ พฤฒสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ได้บัญญัติให้ รฐั สภา เปน็ แบบสองสภา ประกอบดว้ ย พฤฒสภาและสภาผู้แทนพฤฒสภา ประกอบดว้ ยสมาชกิ ทร่ี าษฎรเลอื กตง้ั มีจ�ำนวน 80 คน ในวาระเร่ิมแรก ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ใน ตำ� แหนง่ ในขณะนน้ั เปน็ ผเู้ ลอื กผสู้ มคั ร รับเลือกต้ังเป็นสมาชิกพฤฒสภา เมอ่ื วนั ท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ในการเลอื กตง้ั สมาชกิ พฤฒสภาครง้ั นน้ั สมาชกิ ทเี่ ปน็ ผเู้ ลอื กจะทำ� เครอื่ งหมาย เพ่ือเลือกผู้สมัครสมาชิกพฤฒสภา ลงในบัตรเลือกตั้ง เม่ือท�ำการเลือก เรยี บรอ้ ยแลว้ จะนำ� บตั รเลอื กตง้ั ใสซ่ อง ที่แจกให้ และน�ำมาหย่อนใส่หีบบัตร เลอื กตง้ั อกี ครงั้ หนง่ึ หนา้ 13

เบีย้ สีและหบี ลงคะแนน การประชุมสภาในวาระต่างๆ ไม่ว่า ตอ่ หนา้ ประธาน และเมอ่ื สมาชกิ ลงเบย้ี จะเปน็ การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิ ครบทกุ คนแลว้ จงึ มกี ารนบั คะแนนตาม หรือญัตติ มักต้องมีการลงมติเพื่อ เบย้ี แตล่ ะสี เพอ่ื ทราบมตขิ องทป่ี ระชมุ ขอความเห็นของที่ประชุม การลงมติ (เบย้ี มี 3 สี คอื นำ�้ เงนิ แดง และขาว จะใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนน ซ่ึงมี ซงึ่ จะมกี ารกำ� หนด ความเหน็ ของสมาชกิ ทั้งแบบเปิดเผยและลับ การลงเบี้ย กบั สขี องเบย้ี ไวใ้ นขอ้ บงั คบั การประชมุ ฯ ถกู นำ� มาบญั ญตั ใิ หเ้ ปน็ วธิ กี ารออกเสยี ง แตล่ ะฉบบั ) ลงคะแนนลับ วิธีหนึ่งโดยก�ำหนดไว้ แต่ทั้งนี้ พบว่า หลังจากข้อบังคับ ในขอ้ บงั คบั การประชมุ ตง้ั แตฉ่ บบั แรก การประชุมของสภานิติบัญญัติ (พ.ศ. 2476 – 2538 มหี ลกั เกณฑแ์ ละ แหง่ ชาติ พ.ศ. 2516 กไ็ มป่ รากฏวา่ วธิ ปี ฏบิ ตั คิ ลา้ ยกนั คอื ใหเ้ รยี กชอ่ื สมาชกิ มีการก�ำหนดการลงคะแนนลับด้วย มาลงเบย้ี ทลี ะคนโดยใหน้ ำ� เบยี้ สไี ปใส่ เบย้ี สแี ตอ่ ยา่ งใด ในภาชนะทจ่ี ดั ไว้ อาจเปน็ หบี หรอื ตทู้ บึ หนา้ 14

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ภายหลงั คณะราษฎรไดท้ ำ� การยดึ อำ� นาจ ตงั้ แตว่ นั ที่ 25 พฤศจกิ ายน จนถงึ วนั ที่ การปกครองประเทศเมอื่ วนั ท่ี24มถิ นุ ายน 29 พฤศจกิ ายน รวมทงั้ สนิ้ 5 วนั ทป่ี ระชมุ พ.ศ. 2475 เปน็ ผลใหป้ ระเทศไทย มกี าร มมี ตเิ ปน็ เอกฉนั ทเ์ หน็ ชอบรา่ งรฐั ธรรมนญู ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยตงั้ แตบ่ ดั นน้ั แหง่ ราชอาณาจกั รสยามตอ่ จากนน้ั จงึ ไดน้ ำ� เปน็ ตน้ มา วนั ท่ี 27 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 รา่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทผ่ี า่ นความเหน็ ชอบของสภาผแู้ ทนราษฎร พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ลงพระปรมาภไิ ธย แลว้ นำ� ไปเขยี นลงในสมดุ ไทยรวม3ฉบบั ในพระราชบญั ญตั ธิ รรมนญู การปกครอง และเมอ่ื ไดด้ ำ� เนนิ การเสรจ็ แลว้ จงึ ไดน้ ำ� แผน่ ดนิ สยามโดยทรงเตมิ คำ� วา่ “ชว่ั คราว” รา่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม ไวต้ อ่ ทา้ ยทงั้ น้ีไดม้ พี ระราชกระแสรบั สง่ั แก่ ฉบบั สมดุ ไทยขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาท คณะราษฎรวา่ ใหป้ ระกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิ สมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพอ่ื ทรงลง ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้น พระปรมาภิไธยประกาศใช้ในวันท่ี 10 ไปชว่ั คราวกอ่ น แลว้ จงึ เสนอใหส้ ภาผแู้ ทน ธนั วาคมพ.ศ.2477นบั แตบ่ ดั นน้ั เปน็ ตน้ มา ราษฎรตงั้ คณะอนกุ รรมการรา่ งพระราช ถา้ หากมกี ารจดั ทำ� รฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหมข่ นึ้ บัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน และตอ้ งผา่ นกระบวนการทางนติ บิ ญั ญตั ิ ฉบับถาวรขึ้นใช้ต่อไป ต่อมาเมื่อคณะ และไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากสภาแลว้ จะตอ้ ง อนกุ รรมการฯ ไดร้ า่ งรฐั ธรรมนญู เสรจ็ แลว้ นำ� รา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบบั นน้ั ๆ มาเขยี นลงใน จงึ ไดเ้ สนอเขา้ สกู่ ารพจิ ารณาของสภาผแู้ ทน สมดุ ไทยกอ่ นทจ่ี ะนำ� ขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย ราษฎรในการประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร เพ่ือทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ โดยทป่ี ระชมุ ไดม้ มี ตใิ หพ้ จิ ารณาทลี ะมาตรา ซงึ่ ยดึ ถอื ปฏบิ ตั เิ ปน็ ธรรมเนยี มประเพณี แลว้ ลงมตใิ นแตล่ ะมาตรา รวม 68 มาตรา ทส่ี บื ตอ่ มาจนกระทง่ั ปจั จบุ นั โดย สภาผแู้ ทนราษฎรใชเ้ วลาพจิ ารณา หนา้ 15

คำ� วา่ “สปั ปายะ” แปลวา่ “สบาย” แตใ่ นทางธรรม สปั ปายะ หมายถงึ สถานทปี่ ระกอบแตก่ รรมดี ความเป็นมาของสัปปายะสภาสถาน สืบเนอ่ื งจากต้งั แต่มกี ารเปล่ียนแปลง ตามรฐั ธรรมนญู รวมทงั้ จำ� นวนขา้ ราชการ การปกครอง พ.ศ. 2475 เปน็ ตน้ มา ที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงพอต่อการรองรับ การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ครง้ั แรก การปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภาได้ จดั ขน้ึ ณ พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม และ ต่อมา รัฐสภาได้เช่าอาคารสถานที่ ใชเ้ ปน็ ท่ีประชุมสภาเรื่อยมา ตอ่ มาปี ท�ำงานเพ่ิมเติมในอีกหลายแห่งเพ่ือ พ.ศ. 2513 ได้มีการก่อสร้างอาคาร แก้ไขปัญหาเร่ืองสถานท่ีปฏิบัติงาน รัฐสภาหลังใหม่เพ่ือใช้เป็นท่ีประชุม แตก่ ารปฏบิ ตั งิ านของขา้ ราชการทแี่ ยก รฐั สภาแทน ซ่งึ อาคารรัฐสภาปจั จบุ นั ส่วนท�ำให้การด�ำเนินงานของรัฐสภา ได้สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2517 ไม่คล่องตัว อันส่งผลกระทบต่อการ โดยพระท่ีนั่งอนันตสมาคมยังคงใช้ ปฏิบัติภารกิจของฝ่ายนิติบัญญัติ สำ� หรบั รฐั พธิ เี ปดิ ประชมุ รฐั สภาครงั้ แรก และเป็นอุปสรรคต่อประชาชนที่มา แตป่ จั จบุ นั อาคารรฐั สภาและพน้ื ทบ่ี รเิ วณ ติดต่อราชการ ด้วยเหตุน้ีรัฐสภาจึงมี รฐั สภามคี วามคบั แคบและไมส่ ามารถ ความพยายามหาสถานทที่ จี่ ะกอ่ สรา้ ง ท่ีจะรองรับจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทน อาคารรฐั สภาแหง่ ใหมอ่ ยา่ งตอ่ เนอื่ งมา ราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภาทเี่ พมิ่ มากขนึ้ ตงั้ แต่ พ.ศ. 2535 หน้า 16

เมอื่ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2551 ใน โครงการกอ่ สรา้ งอาคารรฐั สภาแหง่ ใหม่ สมยั ที่ นายชยั ชดิ ชอบ เปน็ ประธานสภา ในพน้ื ทร่ี าชพสั ดุ ถนนทหาร (เกยี กกาย) ผแู้ ทนราษฎร และไดม้ กี ารประชมุ หารอื เขตดสุ ติ แปลงรมิ แมน่ ำ�้ เจา้ พระยา พนื้ ที่ เรอ่ื งการพจิ ารณาหาพนื้ ทก่ี อ่ สรา้ งอาคาร 119 ไร่ ระหวา่ งรฐั สภากบั ส�ำนกั งาน รฐั สภาแหง่ ใหม่และทปี่ ระชมุ ไดพ้ จิ ารณา ปลัดกระทรวงกลาโหม กองทัพบก ถงึ ความเหมาะสมของสถานที่โดยคำ� นงึ กรมราชองครักษ์ กรุงเทพมหานคร ถงึ สถาปตั ยกรรมวศิ วกรรมเศรษฐกจิ สงิ่ ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แวดลอ้ ม คมนาคม และสาธารณปู โภค ขน้ั พนื้ ฐาน องคก์ ารอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ หลายๆ ดา้ น และกรมธนารักษ์ ซ่ึงเป็นหน่วยงาน ต่อมา เม่ือวันท่ี 5 สิงหาคม 2551 มีหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับพ้ืนที่ดังกล่าว คณะกรรรมการดำ� เนนิ การกอ่ สรา้ งอาคาร ทกุ ราย โดยมนี ายกรฐั มนตรี ประธาน รฐั สภาแหง่ ใหม่ ไดม้ มี ตเิ หน็ ชอบวา่ พน้ื ที่ รฐั สภาประธานวฒุ สิ ภารองประธานสภา ราชพสั ดุถนนทหาร(เกยี กกาย)เขตดสุ ติ ผแู้ ทนราษฎร รองประธานวฒุ สิ ภารว่ ม แปลงรมิ นำ้� เจา้ พระยาเปน็ พน้ื ทเ่ี หมาะสม เปน็ พยาน ทง้ั นี้ เมอื่ วนั ท่ี 12 สงิ หาคม ท่ีสุดในการก่อสร้างอาคารรัฐสภา 2553ไดม้ พี ธิ วี างศลิ าฤกษอ์ าคารรฐั สภา แหง่ ใหม่และเมอื่ วนั ท่ี15สงิ หาคม 2551 แหง่ ใหม่ รฐั สภาไดจ้ ดั พธิ ลี งนามบนั ทกึ ขอ้ ตกลง แนวความคดิ ในการออกแบบสัปปายะสภาสถาน อาคารรฐั สภาเปน็ สถานทซี่ ง่ึ มบี ทบาท การออกแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ทางการเมอื งทสี่ ำ� คญั เปน็ การผสมผสาน จงึ ตอ้ งนำ� รปู แบบสถาปตั ยกรรมไทยมา กบั ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณท์ แ่ี สดงถงึ ใชเ้ ปน็ หลกั การออกแบบ ประกอบกบั ดลุ ยภาพ และความกา้ วหนา้ ของระบบ ลักษณะของวัฒนธรรมและประเพณี รฐั สภาไทย ผา่ นงานสถาปตั ยกรรมไทย การอยู่ร่วมกันของคนในหลายระดับ รว่ มสมยั ทตี่ อบสนอง ตามลกั ษณะการ ให้สอดคล้องกับส่ิงแวดล้อมในการ ใชส้ อยงานในยคุ ปจั จบุ นั ทำ� งานทเ่ี หมาะสมซง่ึ เปน็ สถาปตั ยกรรม หนา้ 17

ร่วมสมัยได้อย่างพอเหมาะ แต่ต้อง แนวคิดการออกแบบอาคารรัฐสภา ดำ� รงถงึ เอกลกั ษณแ์ หง่ ความเปน็ ชาติ แห่งใหม่จะต้องแสดงถึงความเป็น ไทยไว้ ในการออกแบบตามหลกั การ เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมไทย สถาปัตยกรรมไทยแบบไตรภูมิตาม ประกอบกับหลักการออกแบบอาคาร ความเชื่อคติพุทธ โดยให้มีอาคาร สมยั ใหม่ ทจ่ี ะตอ้ งมคี วามทนั สมยั ความ เครื่องยอดสถาปัตยกรรมไทย ต้ังอยู่ คลอ่ งตวั ความเปน็ สดั สว่ น และความ ตรงบรเิ วณกลางอาคาร เพอ่ื แสดงถงึ สะดวกสบาย โอกาสท่ีจะยกฐานะของรัฐสภาไทย นอกจากน้ี ลักษณะเฉพาะของ ไปสรู่ ะดบั โลก ซง่ึ นำ� ไปสสู่ นั ตภิ าพ และ อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ต้องมีความ พลิกฟื้นจิตวิญญาณของมนุษย์โลก ปลอดภยั ในระดบั สงู เทยี บเทา่ อาคาร แตเ่ นอื่ งจากพน้ื ทใ่ี ชส้ อยอาคารมขี นาด ชนั้ นำ� ในระดบั สากลการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ใหญก่ วา่ สามแสนตารางเมตรการวางผงั และมีสภาพแวดล้อมท่ีดีเหมาะแก่ แมบ่ ท ผงั บรเิ วณและภมู ทิ ศั นข์ องอาคาร การท�ำงานด้วย ซ่ึงถือเป็นผลงานที่ จงึ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ การใชง้ านทห่ี ลากหลาย สร้างสรรค์ในรูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการส�ำหรับ ไทยแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ ทุกคนและประโยชน์ใช้สอย ภายใน พระเจา้ อยหู่ วั เพอ่ื เปน็ สญั ลกั ษณข์ อง อาคาร รวมทงั้ จดั ระบบทางสญั จรทสี่ น้ั แผ่นดินและเป็นมรดกแห่งความ และไมส่ ลบั ซบั ซอ้ น ซงึ่ คำ� นงึ ใหเ้ หมาะ ภาคภมู ใิ จของคนไทยตอ่ ไป กับสภาพแวดล้อมของคนพิการและ ผสู้ งู อายดุ ว้ ย หนา้ 18

การออกแบบอาคารรฐั สภาแหง่ ใหม่ ตงั้ อยบู่ นฐานอดุ มคติ 5 เรอ่ื ง และหลกั สทิ ธภิ าพและคณุ ภาพชวี ติ 4 เรอ่ื ง ดงั ตอ่ ไปนี้ อดุ มคตเิ รอื่ งที่ 1 ชาติ อดุ มคตเิ รอื่ งท่ี 3 สตปิ ญั ญา รฐั สภาตอ้ งสงา่ งาม แสดงถงึ ศกั ดศิ์ รแี ละ รัฐสภาแห่งใหม่จะเป็นแหล่งเพิ่มพูน มคี ณุ คา่ อยา่ งไทย เปน็ สถาปตั ยกรรม ความรแู้ ละสตปิ ญั ญาของบคุ คลภายใน สมัยใหม่ที่เจริญข้ึนจากรากเหง้าของ ชาติซง่ึ ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ แหลง่ เรยี นรทู้ ส่ี ำ� คญั ศลิ ปะและวฒั นธรรมของประเทศไทย ตอ่ ไป โดยเฉพาะเรอ่ื งความเปน็ ชาติ ซ่ึงสถาปัตยกรรมท่ีปรากฏขึ้นจะต้อง เพื่อสืบสานความเป็นไทยไปสู่สังคม เป็นการสืบสานทั้งศิลปะ วัฒนธรรม โลก และนำ� พาสตปิ ญั ญาของบคุ คล คตคิ วามเชอื่ และภมู ปิ ญั ญาจากอดตี ภายในชาตไิ ปสคู่ วามรทู้ สี่ มดลุ ระหวา่ ง เชอ่ื มโยงมาจนถงึ ปจั จบุ นั และเปน็ ศนู ย์ ความรู้ภายในประเทศและความรู้ รวมจติ ใจของบคุ คลภายในชาติและเปน็ ภายนอกประเทศ สถาปตั ยกรรมทแี่ สดงถงึ ศลิ ปวฒั นธรรม อันงดงามภายในชาติให้ประจักษ์แก่ อดุ มคตเิ รอื่ งท่ี 4 ทว่ั โลก สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ประเทศไทยมีศูนย์รวมจิตใจที่ส�ำคัญ อดุ มคตเิ รอื่ งที่ 2 ศลี ธรรม สูงสุดท่ีท�ำให้แตกต่างจากชาติอ่ืนๆ รฐั สภาจงึ เปน็ ศนู ยร์ วมแหง่ ความหวงั ของ ในโลก คอื สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ ประชาชนและสงั คมทว่ั ไป โดยใหอ้ าคาร ซ่ึงทรงด�ำรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมใน รฐั สภาเปน็ สปั ปายะของบา้ นเมอื ง กลา่ ว การปกครองประเทศดงั นนั้ การออกแบบ คอื เปน็ สถานทแี่ หง่ ปญั ญา เปน็ ศนู ย์ อาคารรฐั สภาแหง่ ใหมจ่ งึ ใหค้ วามสำ� คญั รวมจติ ใจและการมสี ว่ นรว่ มกนั ของคน กบั ลำ� ดบั ของพน้ื ทก่ี ำ� หนดขนึ้ เพอ่ื ใชใ้ น ทงั้ ชาติ รวมทงั้ เปน็ สภาทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และ การประกอบรัฐพิธีท่ีพระบาทสมเด็จ เปน็ หลกั ของบา้ นเมอื งในเรอ่ื งศลี ธรรม พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ซง่ึ จะตอ้ งเปน็ พนื้ ท่ี คณุ ธรรม และการปกครองโดยธรรม ที่สมพระเกียรติ โดยอยู่ในสถานที่ อนั ควรและเหมาะสม หน้า 19

อดุ มคตเิ รอื่ งที่ 5 ประชาชน อาคารเปน็ มติ รกบั สภาพแวดลอ้ มและ อาคารรัฐสภาเป็นสัญลักษณ์ของการ ประหยดั พลงั งาน ปกครองระบอบประชาธปิ ไตยแนวคดิ ใน การออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อ การออกแบบอาคารและบรเิ วณโดยรอบ บรู ณาการอาคารขนาดใหญเ่ พอื่ ใหเ้ ปน็ จงึ ใหค้ วามสำ� คญั แกป่ ระชาชนทกุ ระดบั อาคารตัวอย่างที่ส�ำคัญของประเทศ เพราะประชาชนอยใู่ นฐานะทส่ี ำ� คญั ใน โดยการทำ� งานรว่ มกนั อยา่ งใกลช้ ดิ ของ ทกุ ภาคสว่ นเพอื่ ใหป้ ระชาชนใชป้ ระโยชน์ ผเู้ ชยี่ วชาญทกุ แขนงทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี และมศี กั ดศ์ิ รใี นอาคาร สถานทแ่ี หง่ น้ี การออกแบบทเี่ ปน็ สากลและเปน็ ธรรม การออกแบบวางผงั แมบ่ ทไดพ้ จิ ารณาถงึ สว่ นเรอ่ื งประสทิ ธภิ าพและคณุ ภาพ การใหค้ วามสะดวกแกผ่ พู้ กิ าร เดก็ และ ชวี ติ ไดแ้ ก่ ผสู้ งู อายดุ ว้ ย ประโยชนใ์ ชส้ อย ระบบรกั ษาความปลอดภยั และความ แนวคิดสถาปัตยกรรมสร้างขึ้นโดย ปลอดภยั จากเพลงิ ไหม้ พิจารณาให้ความส�ำคัญกับสมาชิก การออกแบบอาคารและบริเวณโดย สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ สิ ภา รอบได้เตรียมรองรับทุกสถานการณ์ อยา่ งเทา่ เทยี มกนั การจดั ระบบอาคาร และวนิ าศภยั ทกุ รปู แบบอยา่ งบรู ณาการ ค�ำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก รวมทง้ั การวางระบบผงั แมบ่ ท โดยใช้ จงึ สรา้ งพนื้ ทเ่ี ชอ่ื มโยงระหวา่ งสมาชกิ สภา มาตรฐานเทคโนโลยีระดับสูง โดย ผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภาเขา้ ดว้ ย ผเู้ ชย่ี วชาญทม่ี คี วามรแู้ ละประสบการณ์ กนั และมสี ว่ นอน่ื ๆ อยขู่ า้ งนอก สงู ของประเทศสหรฐั อเมรกิ าเปน็ ตน้ แบบ ทส่ี ำ� คญั หนา้ 20

หนา้ 21

หนา้ 22

คณะกรรมการสนบั สนนุ การจดั งาน อนุ่ ไอรกั คลายความหนาว “สายนำ้� แหง่ รตั นโกสนิ ทร”์ ณ พระลานพระราชวงั ดสุ ติ และสนามเสอื ปา่ โดย สภานติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ จดั ทำ� โดย สถาบนั พระปกเกลา้ หนา้ 23

สถาบนั พระปกเกลา ศนู ยราชการเฉลิมพระเกยี รติ 80 พรรษา อาคารรัฐประศาสนภักดี ชน 5 ฝงทิศใต เลขท่ี 120 หมู 3 ถนนแจง วฒั นะ แขวงทงุ สองหอ ง เขตหลักส กรงุ เทพ 10210 โทรศพท 0 2141 9600 โทรสาร 0 2143 8186 www.kpi.ac.th