Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มโครงงาน

รูปเล่มโครงงาน

Published by Guset User, 2021-10-23 03:57:20

Description: รูปเล่มโครงงาน หน้าปก-บทที่5

Search

Read the Text Version

บทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รำยวชิ ำ ระบบควบคุมกำรขบั เคลื่อนเบอ้ื งตน้ Online Program Instructional of Basic drive control system subject นำยก้องกิดำกร สุวรรณศรี 62201270049 นำยณพวุฒิ นำคเบญ็ จะ 62201270055 นำยธนสุ แกว้ มลู 62201270060 โครงกำรนเ้ี ป็นสว่ นหน่ึงของกำรศกึ ษำตำมหลกั สตู รประกำศนยี บัตรวิชำชีพ (ปวช.) พ.ศ. 2562 สำขำงำนเมคคำทรอนกิ ส์ สำขำวชิ ำเมคคำทรอนิกส์ วทิ ยำลัยเทคนิคสัตหีบ ปกี ำรศึกษำ 2564

บทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รำยวชิ ำ ระบบควบคุมกำรขบั เคลื่อนเบอ้ื งตน้ Online Program Instructional of Basic drive control system subject นำยก้องกิดำกร สุวรรณศรี 62201270049 นำยณพวุฒิ นำคเบญ็ จะ 62201270055 นำยธนสุ แกว้ มลู 62201270060 โครงกำรนเ้ี ป็นสว่ นหน่ึงของกำรศกึ ษำตำมหลกั สตู รประกำศนยี บัตรวิชำชีพ (ปวช.) พ.ศ. 2562 สำขำงำนเมคคำทรอนกิ ส์ สำขำวชิ ำเมคคำทรอนิกส์ วทิ ยำลัยเทคนิคสัตหีบ ปกี ำรศึกษำ 2564

ใบรบั รองโครงการ สาขาวิชาเมคคาทรอนกิ ส์ วทิ ยาลัยเทคนคิ สัตหีบ ช่อื โครงการ บทเรยี นสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขบั เคลือ่ นเบื้องตน้ โดย นายก้องกิดากร สุวรรณศรี นายณพวฒุ ิ นาคเบญ็ จะ นายธนสุ แก้วมลู ได้รบั อนมุ ัตใิ หน้ ับเปน็ สว่ นหนึง่ ของการศึกษาตามหลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พ.ศ.2564 สาขาวิชาเมคคทรอนิกส์ วทิ ยาลัยเทคนิคสตั หบี หวั หน้าสาขาวิชาเมคคาทรอนกิ ส์ (นายสมบตั ิ อนิ ยนิ ) วนั ที่ 15 เดือน ตลุ าคม พ.ศ. 2564 คณะกรรมการสอบโครงการ ประธานกรรมการ (นายสมบตั ิ อินยิน) ครูทีป่ รึกษา 1 ครทู ปี่ รกึ ษา 2 (นางสาวศริ วิ รรณา ฐาปนะดิลก) (นางสาวศศิกานต์ จนั ทรส์ มปอง) กรรมการ กรรมการ (นายวิรณุ ชยั คลา้ ยเดือน) (นายสมบตั ิ ฆ้องส่งเสียง) กรรมการ กรรมการ (นางสาวณัฐสุดา เกยี รตธิ ิวัฒน)์ (นางสาวพิชญช์ นก อม่ิ พิทกั ษ์)

ข โครงการ บทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลอื่ นเบ้ืองต้น โดย นายกอ้ งกิดากร สุวรรณศรี สาขาวชิ า สาขางาน นายณพวฒุ ิ นาคเบญ็ จะ ครูทป่ี รกึ ษา ครูท่ีปรึกษารว่ ม นายธนสุ แก้วมลู จำนวนหนา้ ปีการศกึ ษา เมคคาทรอนกิ ส์ เมคคาทรอนกิ ส์ นางสาวศริ ิวรรณา ฐาปนะดลิ ก นางสาวศศิกานต์ จนั ทรส์ มปอง 66 หนา้ 2564 บทคัดยอ่ เนื่องจากปัจจุบันแผนกเมคคาทรอนิกส์วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบได้มีการเปิดการเรียนการสอนใน รายวิชาระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น ซึ่งในวิชาน้ีจัดการเรียนการสอนเป็นหลักสูตรโดยแบ่งทฤษฏีและ ปฏิบัติควบคู่กัน ยังมีการเรียนการสอนโดยการให้ฝึกการควบคุมมอเตอร์ส่วนการปฏิบัตินั้นต้องการสอน ใช้ Arduino ควบคุมมอเตอร์และข้อควรระวังก่อนใช้งานจริงทุกครั้ง ก่อนท่ีจะปฏิบัติหรือทดลองทำงาน มอเตอร์ จำเป็นต้องมี บทเรียนออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น เข้ามาเป็นส่วนร่วมใน การเรียน ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงได้เล็งเห็นว่าควรมีการจัดทำเนื้อหาข้อมูลเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนรายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น เพื่อท่ีผู้ศึกษาจะสามารถได้รับความรู้ได้อย่างครบถ้วนและสามารถนำ ความรูไ้ ปปรับใชจ้ รงิ ได้

ค กิตตกิ รรมประกาศ โครงงานฉบบั นี้สำเรจ็ ลุล่วงดว้ ยดีเน่ืองจากความร่วมมือรว่ มใจของสมาชกิ ภายในกลุ่มทุกท่าน คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์ศิริวรรณา ฐาปนะดิลก อาจารย์ศศิกานต์ จันทร์สมปอง ซึ่งเป็นอาจารย์ ที่ปรึกษาที่ได้ให้คำแนะนำ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องมาโดยตลอด และอาจารย์ประจำแผนกวิ ชา ช่างเมคคาทรอนิกส์เป็นอย่างย่ิง ที่ได้ให้คำแนะนำ ปรึกษาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตลอดจนถึงข้อมูลอุปกรณ์ ที่เป็นประโยชน์ตอ่ การทดลองโครงงาน ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และผู้มีพระคุณสำหรับการให้ความสนับสนุนทุกสิ่งทุกอย่าง ด้านการศึกษามาตลอดจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นกำลังใจที่ดีเสมอ และสุดท้ายต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ ใหก้ ำลังใจมาตลอดจนโครงการฉบับนีส้ ำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี คณะผจู้ ดั ทำ

สารบญั ง เรือ่ ง หน้า ใบรับรองโครงการ ก บทคัดย่อ ข กติ ติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญ (ตอ่ ) จ สารบญั ตาราง ฉ สารบญั รปู ช สารบัญรปู (ตอ่ ) ซ สารบัญรปู (ต่อ) ฌ บทที่ 1 ทมี่ าและความสำคัญ 1 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ 1 1.2 วตั ถุประสงค์ 1 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1 1.4 ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รับ 2 บทที่ 2 ทฤษฏีและเอกสารที่เก่ยี วข้อง 2 2.1 การสร้างเวบ็ เพจดว้ ย Google Site 6 2.2 บทเรียนสำเร็จรปู 7 2.3 บทเรยี นออนไลน์ 14 2.4 ระบบขบั เคล่อื น 22 บทท่ี 3 วิธกี ารดำเนินงาน 22 3.1 ขนั้ ตอนการดำเนินงาน 23 3.2 ศกึ ษาข้อมลู 39 3.3 การดำเนนิ การทดลองและการเก็บรวบรวมข้อมลู 42 3.4 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู และสถิติท่ีใช้ 44 บทท่ี 4 ผลดำเนินงาน 44 4.1 ขน้ั ตอนการเตรียมแบบทดสอบ 45 4.2 ขน้ั ตอนการทดสอบ 46 4.3 ผลการทดสอบ

จ สารบญั (ต่อ) เรอื่ ง หน้า 4.4 บทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคมุ การขับเคลอื่ นเบือ้ งต้น 48 บทที่ 5 การสรปุ ผลและข้อเสนอแนะ 49 5.1 สรปุ ผลการดำเนนิ การ 49 5.2 อภิปรายปัญหา 50 5.3 ข้อเสนอแนะ 50 บรรณานกุ รม 51 ภาคผนวก 52 ภาคผนวก ก 53 ภาคผนวก ข 59 ภาคผนวก ค 62 คณุ ลกั ษณะผลงงานโครงการวยิ าลยั เทคนคิ สตั หีบ 65 แบบรบั รองการนำผลงานสงิ่ ประดษิ ฐ์ไปใชง้ านจรงิ 66

สารบัญตาราง ฉ เร่อื ง หน้า รูปตารางท่ี 4.5 แบบทดสอบก่อนเรยี น 46 รปู ตารางท่ี 4.6 แบบทดสอบหลังเรยี น 47

สารบญั รูปภาพ ช เรือ่ ง หน้า รปู ที่ 2.1 Google Site 2 รูปท่ี 2.2 การเข้าถงึ Drive 3 รูปที่ 2.3 การสร้างเว็บไซต์ 3 รปู ท่ี 2.4 การป้อนชอื่ เว็บและปรบั ขนาดตวั อักษร 4 รปู ที่ 2.5 การแชรเ์ วบ็ ไซต์ 4 รปู ที่ 2.6 การฝงั Code 5 รปู ท่ี 2.7 การฝัง Codeการเข้าชมเว็บไซต์ 5 รูปท่ี 2.8 บทเรยี นสำเร็จรูปแบบเสน้ ตรง (Linear Program) 6 รปู ที่ 2.9 บทเรียนแบบสาขา (Branching Program) 7 รปู ที่ 2.10 สายพานแบน (Flat belt) 15 รูปท่ี 2.11 สายพานวี (V-belt) 15 รปู ที่ 2.12 สายพานกลม (Circular belt หรือ Rope belt หรือ Round belt) 16 รูปท่ี 2.13 สายพานไทมม์ ิ่ง (Timing belt) 16 รปู ท่ี 2.14 ตารางการแบ่งสายพาน (Conveyor Belt) 17 รูปท่ี 2.15 ประเภทใชง้ านท่ัวไป (General Use Conveyor Belt) 18 รูปที่ 2.16 ประเภทใช้งานแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) 18 รปู ที่ 2.17 ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) 19 รปู ที่ 2.18 สายพานผา้ ใบ (Fabric Conveyor Belt) 19 รูปที่ 2.19 สายพานลวดสลิง (Steel Cord Conveyor Belt) 20 รูปท่ี 2.20 แบบผวิ หนา้ เรียบ (Plain Surface) 20 รูปที่ 2.21 แบบผวิ หนา้ ก้างปลา (Pattern Surface) 21 รปู ท่ี 2.22 แบบมีผิวหน้าพเิ ศษหรอื มโี ครงสร้างแบบพิเศษ 21 รปู ที่ 3.1 ขั้นตอนการดำเนนิ การของ บทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์ 22 รปู ท่ี 3.2 ขัน้ ตอนการดำเนินการของ บทเรียนสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์ (ตอ่ ) 23 รปู ท่ี 3.3 รางลูกกลิง้ ลำเลยี ง 24 รูปท่ี 3.4 อลูมเิ นยี มโปรไฟลแ์ บบ T-Slot 25 รูปที่ 3.5 อลมู เิ นยี มโปรไฟล์แบบ V-Slot 25 รปู ที่ 3.6 อลูมเิ นียมโปรไฟลแ์ บบ Hex-Slot 26

สารบญั รูปภาพ(ต่อ) ซ เรอ่ื ง หน้า รูปที่ 3.7 อะคริลิค (Acrylic) 26 รูปท่ี 3.8 แบรงิ่ กาบ (Plain bearing) 27 รปู ท่ี 3.9 แบรง่ิ ลูกปนื (Rolling bearing) 27 รูปที่ 3.10 สปริงดดี (Torsion Springs) 28 รปู ที่ 3.11 สปรงิ ดงึ (Tension Springs) 28 รปู ที่ 3.12 สปริงกด (Compression Springs) 29 รูปท่ี 3.13 ลกู ปืนสไลด์ ( Slide Bearing) 29 รปู ที่ 3.14 เฟอื งโซ่ (Sprocket) 30 รูปท่ี 3.15 โซ่ (Chain) 30 รปู ที่ 3.16 ฉากเข้ามมุ (Angular Bracket) 31 รปู ท่ี 3.17 สกรหู วั จม (Hexagon Socket Head Cap Screws) 31 รูปท่ี 3.18 สกรหู วั จมกลม (Hexagon Socket Button Head Cap Screws) 32 รูปที่ 3.19 สกรูหัวจมเทเปอร์ (Hexagon Socket Flat Head Cap Screws) 32 รปู ท่ี 3.20 สกรหู ัวจมแฉกเทเปอร์ (Cross Recessed Flat Head Screws) 33 รปู ที่ 3.21 สกรหู ัวแฉก (Cross Recessed Truss Screws) 33 รปู ท่ี 3.22 สกรูเกลยี วตวั หนอน (Hexagon Socket Set Screws) 33 รูปที่ 3.23 T-Nut 34 รูปที่ 3.24 Free Nut 34 รูปท่ี 3.25 Lock Nut 35 รปู ท่ี 3.26 แหวนสปรงิ จาน (Disc Springs) 35 รูปที่ 3.27 เพลา (Shaft) 36 รูปที่ 3.28 เชอื ก (Ropes) 36 รปู ท่ี 3.29 ลวดสลิง (wire rope) 37 รปู ท่ี 3.30 ลอ้ (Wheel) 37 รปู ที่ 3.31 แกนทรเ่ี พลท (Gantry Plate) 38 รปู ท่ี 3.32 รอก 38 รปู ที่ 3.33 หนา้ หลกั เวบ็ ไซต์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขับเคลื่อนเบือ้ งต้น 39 รูปท่ี 3.34 หนา้ เวบ็ เนื้อหาอปุ กรณท์ ่ีใช้สร้างคาราครุ ิ ไคเซน็ 39 รปู ที่ 3.35 หนา้ เว็บเน้อื หาการประยุกตใ์ ช้คาราคุริ ไคเซน็ 40

ฌ สารบญั รูปภาพ(ต่อ) เร่ือง หน้า รูปที่ 3.36 ส่วนที่ 1 ของใบงานกจิ กรรม 40 รปู ท่ี 3.37 กจิ กรรมบทเรยี น 41 รปู ที่ 3.38 ส่วนที่ 1 ของแบบทดสอบ 41 รปู ที่ 3.39 แบบทดสอบ 42 รูปที่ 3.40 ขน้ั ตอนการทดสอบประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ 42 รูปที่ 4.1 หน้า Google form แบบทดสอบกอ่ นเรยี นสว่ นที่ 1 44 รูปท่ี 4.2 เนื้อหาแบบทดสอบก่อนเรยี น 44 รูปที่ 4.3 หนา้ Google form แบบทดสอบหลงั เรียนส่วนท่ี 1 45 รปู ที่ 4.4 เนื้อหาแบบทดสอบหลงั เรยี น 45 รูปท่ี 4.7 บทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคุมการขับเคลอ่ื นเบื้องต้น 48 รูปท่ี ก.1 ออกแบบหนา้ หลักเว็บไซต์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขบั เคลือ่ นเบอื้ งตน้ 54 รปู ท่ี ก.2 ออกแบบการจดั วางเน้อื หาในหน้าเวบ็ ไซต์ อปุ กรณท์ ่ีใช้สรา้ งคาราครุ ิ ไคเซน็ 54 รปู ท่ี ก.3 ออกแบบการจัดวางเนอ้ื หาในหนา้ เวบ็ ไซต์ เรื่องการประยกุ ต์ใชค้ าราครุ ิ ไคเซน็ 55 รูปที่ ก.4 ออกแบบสว่ นกรอกขอ้ มูลนกั เรียนในกจิ กรรม 55 รูปที่ ก.5 ออกแบบส่วนคำถามในกิจกรรม 56 รปู ที่ ก.6 ออกแบบหนา้ Google form แบบทดสอบก่อนเรยี นส่วนกรอกขอ้ มลู 56 รปู ที่ ก.7 ออกแบบหนา้ Google form เนื้อหาแบบทดสอบกอ่ นเรียน 57 รปู ที่ ก.8 ออกแบบหนา้ Google form แบบทดสอบหลังเรียนส่วนกรอกขอ้ มลู 57 รปู ท่ี ก.9 ออกแบบหนา้ Google form เนื้อหาแบบทดสอบหลงั เรียน 58 รูปตารางท่ี ข.1 ผลการทดสอบก่อนเรียน 60 รปู ตารางที่ ข.2 ผลการทดสอบหลงั เรียน 61

1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ทม่ี าและความสำคญั ปัจจุบันวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบได้เล็งเห็นถึงศักยภาพด้านการพัฒนาสมรรถนะภาพของนักเรียน นักศึกษาจากการเรียนในส่วนวิชาระบบการควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชา ช่างเมคคาทรอนิกส์ที่ทางวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบได้ให้ความสำคัญ จึงสนับสนุนให้นักเรียนนักศึกษาเรียนรู้ เกี่ยวกับระบบควบคุมการขับเคลื่อนโดยการศึกษาผ่าน บทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ เพื่อฝึกทักษะให้ เรียนรู้ระบบการเคลื่อนที่และให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและ การศึกษาที่ผ่านมานั้นสาขาวิชาช่าง เมคคาทรอนกิ ส์ยงั มิไดม้ บี ทเรยี นสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์เพอ่ื ใช้ในการศกึ ษา คณะผู้จัดทำจึงได้เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาโดยสร้าง “บทเรียน สำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น” โดยประยุกต์ใช้ google site เพื่อใหม้ กี ารศึกษาและนำความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ช้งานได้จรงิ ในวทิ ยาลยั เทคนิคสตั หีบ 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 1.2.1 เพ่ือศกึ ษาระบบการควบคมุ การขบั เคลื่อนเบอ้ื งต้น 1.2.2 เพ่อื สรา้ งบทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขบั เคลือ่ นเบ้อื งตน้ 1.2.3 เพื่อใช้เป็นสอ่ื การเรยี นการสอนให้นกั ศึกษามคี วามสนใจในวิชาระบบขบั เคลอื่ น 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1.3.1 จดั ทำสอื่ ประกอบการเรียน ดว้ ยระบบออนไลน์ โดยประยุกต์ใช้ google site 1.3.2 จัดทำแบบทดสอบความรกู้ อ่ นเรียนและหลงั เรยี นดว้ ยระบบออนไลน์ โดย google form 1.3.3 สือ่ การสอนวิชาการขับเคลอื่ นเบ้ืองตน้ 1.4 ประโยชนท์ ี่คาดจะได้รบั 1.4.1 นกั ศกึ ษามคี วามร้คู วามเข้าใจในวชิ าการควบคุมการขับเคล่อื นเบ้ืองตน้ 1.4.2 นกั ศึกษามีความสามคั ครี ่วมมือร่วมใจในการทำงานและปฏิบัตหิ น้าที่ตนเองได้ 1.4.3 โครงงานบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์สามารถนำมาประยุกต์และใช้ในชีวิตประจำวัน ของการเรยี นการสอนไดด้ ี 1.4.4 โครงงานบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลนส์ ามารถนำไปพฒั นาและต่อยอดไดด้ ี

2 บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกยี่ วขอ้ ง ในการศึกษาขอ้ มูลการสรา้ งบทเรยี นออนไลน์สำเรจ็ รปู นน้ั ผู้ศึกษาไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าทฤษฎีและ เอกสารทเี่ กยี่ วข้องดงั นี้ 2.1 การสรา้ งเวบ็ เพจ ด้วย Google Site 2.2 บทเรียน 2.3 บทเรยี นออนไลน์ 2.4 ขับเคลอื่ น 2.1 การสรา้ งเวบ็ เพจด้วย Google Site 2.1.1 Google Site Google Site คือ โปรแกรมของ Google ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรี สามารถสร้าง เว็บไซต์ได้ง่าย ปรับแต่งรูปลักษณ์ได้อย่างอิสระ และสามารถรวบรวมความหลากหลายของข้อมูล ไว้ในที่เดียว เช่น วิดีโอ, ปฏิทิน, เอกสาร อื่น ๆ สามารถนำมาแทรกในหน้าเว็บเพจได้ เป็นการเพ่ิม ลกู เล่น ใช้งานไดง้ า่ ย ทำให้ชว่ ยอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างมาก รูปท่ี 2.1 Google Site

3 2.1.2 การสรา้ งเว็บเพจดว้ ย Google Site 2.1.2.1 การเข้าถึง Drive สามารถเข้าถงึ ไดจ้ าก http://sites.google.com หรอื เมือ่ login อยใู่ นระบบแลว้ ไปท่เี มนู Google Apps เลือก \"Sites\" รูปที่ 2.2 การเข้าถงึ Drive 2.1.2.2 การสร้างเวบ็ ไซต์ คลิกเลอื ก “วา่ ง\" (ในกรอบสฟี า้ ) เพ่อื สรา้ งเว็บไซต์ รปู ท่ี 2.3 การสรา้ งเวบ็ ไซต์

4 2.1.2.3 คลกิ ทปี่ ้อนช่ือเว็บและปรับขนาดตัวอักษรเพอื่ เติมหนา้ เวบ็ เพจ รูปท่ี 2.4 การป้อนชอ่ื เวบ็ และปรับขนาดตวั อกั ษร 2.1.2.4 แชร์เวบ็ ไซต์ โดยการคลิกท่ปี ุ่ม“เผยแพร\"่ รูปท่ี 2.5 การแชรเ์ ว็บไซต์

5 2.1.2.5 กดฝังที่หมายเลข 1 และใส่ Code ทีห่ มายเลข 2 \"การใช้ Code HTMLเรา สามารถใส่ html สำหรบั ตดิ เวบ็ ไซต์ เพอ่ื เเสดงรายการต่างๆ รปู ท่ี 2.6 การฝัง Code 2.1.2.6 การเข้าชมเว็บไซต์ โดยเปิดหนา้ Browser ใหมแ่ ล้วเขา้ ชมเวบ็ ไซต์ไดจ้ าก URL ทร่ี ะบเุ ป็นการเสร็จสนิ้ ข้นั ตอนการสร้างเว็บไซต์ รูปที่ 2.7 การฝัง Codeการเขา้ ชมเวบ็ ไซต์

6 2.2 บทเรยี นสำเรจ็ รูป บทเรยี นสำเร็จรูป หมายถงึ บทเรียนทผี่ ู้สอนจดั ทำขึ้น เพ่ือใช้เปน็ เครื่องมือในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้นักเรียน นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ละสาระการเรียนรู้วิชาขับเคลื่อนเบื้องต้น แต่ละบทเรียน โดยเริ่มจาก เนื้อหาสาระที่ง่าย ๆ ไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้นไปตามลำดับ เป็นบทเรียน ที่สร้างขึ้นโดยกำหนดวัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการ และสื่อการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้า ผู้เรียน สามารถศกึ ษา ค้นควา้ และประเมนิ ผลการเรยี นด้วยตนเองตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ 2.2.1 ลักษณะของบทเรียนสำเร็จรปู ลักษณะสำคัญของบทเรียนสำเร็จรูป คือ การออกแบบการบรรจุเนื้อหาและสาระ การเรียนรู้ออกเป็น กรอบ (Frame) ซึ่งเนื้อหาและสาระการเรียนรู้ดังกล่าวนั้นจะนำมาจัดทำ เป็นหน่วยการเรียนรู้ย่อย ๆ แล้วบรรจุเนื้อหาสาระการเรียนรู้หน่วยย่อย ๆ ดังกล่าวลงไปในกรอบ แต่ละกรอบให้มคี วามสัมพนั ธ์และเรียงลำดบั เน้อื หาจากงา่ ยไปยาก 2.2.2 ประเภทและองค์ประกอบของบทเรียนสำเรจ็ รปู 2.2.2.1 บทเรียนเชิงเส้น (Linear Program or Constructed Response Type) Skinner เปน็ ผคู้ ดิ ขึ้นโดยอาศัยผลการวจิ ัยการเรียนรูข้ องสัตว์ สรุปวา่ การเรยี นรู้ควรแบง่ เป็นชน้ั ย่อย แต่ตอนท้ายของแต่ละชั้น ผู้เรียนจะต้องแสดงให้เห็นสิ่งท่ีเขาได้เรียนรู้ด้วยการตอบคำถามซ่ึง นิยมใช้เป็นแบบถูกผิดหรือเติมคำ และทราบคำตอบทันที ลักษณะที่สำคัญของบทเรียนประเภทน้ี คือ ผู้เรียนจะต้องเรียนตามลำดับทีละกรอบต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กรอบแรกจนกรอบสุดท้าย จะขา้ มกรอบใดกรอบหน่งึ ไม่ได้ องค์ประกอบเปน็ แผน่ ภาพดังนี้ รปู ที่ 2.8 บทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง (Linear Program) 2.2.2.2 บทเรยี นแบบสาขา (Branching Program) นอรแ์ มนเอคราวเดอร์ องค์การ อุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้คิดขึ้น โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นขั้นย่อย ๆ ที่สมบูรณ์ตามด้วย

7 คำถามที่มีคำตอบให้เลือก เมื่อผู้เรียนเลือกคำตอบผิดจะมีคำอธิบายสาเหตุที่ผิดผู้เรียนต้องเลือกใหม่ จนกว่าจะถกู รปู ท่ี 2.9 บทเรียนแบบสาขา (Branching Program) 2.3 บทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์ 2.3.1 ความหมายของเวบ็ เพจ วิทยา เรืองพรวิสุทธิ์ กล่าวว่า เว็บเพจ หมายถึง ไฟล์ข้อมูลเอชทีเอ็มแอล (HTML) หรือเป็นข้อมูลในระบบเวิล์ดไวด์เว็บ (WWW) ซึ่งประกอบด้วยคำหรือวลีพิเศษต่าง ๆ ที่เรียกว่า “ไฮเปอรเ์ ท็กซ”์ หรือเป็นการเชอ่ื มโยงแบบไฮเปอร์ลิงค์เป็นการเชอ่ื มโยงเพื่อตดิ ตอ่ ไปยัง เวิล์ดไวด์เว็บ เซริ ์ฟเวอร์ แหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ ท่ถี ูกกำหนดไว้บนเวิล์ดไวด์เว็บเพจน้ัน เจนวิทย์ เหลืองอร่าม กล่าวว่าเว็บเพจ คือ หน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ใน เวิลด์ไวด์เว็บ เรียกว่า เว็บเพจ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารมาก โดยมีทั้งตัวอักษร ข้อความ และภาพนิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถใส่เสียงและวีดีทัศน์ในหน้าเว็บเพจได้ สำหรับเว็บเพจหน้าแรกเราเรียกว่า “โฮมเพจ” โดยปกติแล้วเราสามารถใช้คำว่าเว็บเพจ เรียกแทน คำวา่ โฮมเพจ หรอื เวบ็ ไซต์ ก็ได้ จากขอ้ มูลขา้ งต้นสรุปไดว้ า่ เว็บเพจ คือ เอกสาร (Hyper Text Markup Language) ที่มีข้อมูลโดยประกอบด้วย ข้อมูล ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้าเอกสาร HTML หรอื หน้าเวบ็ เพจอ่ืน ๆ ได้

8 2.3.2 องคป์ ระกอบของเว็บเพจ 2.2.2.1 โฮมเพจ วิทยา เรืองพร ได้กล่าวงถึงองค์ประกอบส่วนที่เป็นโฮมเพจว่าลักษณะโดยทั่วไป โฮมเพจนั้นมีความคลา้ ยคลึงกนั มากอาจต่างกันท่ีเทคนิคและวธิ ีการนำเสนอ ดังนั้น องค์ประกอบหลกั ของโฮมเพจจงึ แบ่งออกได้ ดังน้ี 1. ส่วนรูปภาพหรือโลโก้ (Logo) แสดงความเป็นเจ้าของโฮมเพจ เป็นรูปที่มีขนาด ไม่ใหญ่มากนัก เพื่อง่ายต่อการโอนย้ายข้อมลู บนครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 2. ส่วนหัวเร่อื งของขอ้ มูล เป็นหัวข้อของขา่ วสาร บรษิ ัท องค์กรหรือสถานบันท่ีเป็น เจา้ ของโฮมเพจ 3. ส่วนเนื้อหาข้อมูล และการเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนของ ข่าวสารที่เป็นเนื้อความแสดงถึงรายละเอียดหรือเนื้อหาข้อความแบบคัดย่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง ขอ้ มลู แบบแสดงรายละเอยี ดของโฮมเพจท่เี กี่ยวขอ้ งโดยผ่านไฮเปอร์เทก็ ซ์ 2.3.2.2 เว็บเพจที่เป็นข้อมูล กิตติ ภักดีวัฒนะกุล กล่าวว่า เว็บเพจที่เป็นข้อมูลเป็นส่วนที่เสนอรายละเอียดของ หวั ขอ้ ทีอ่ ยู่ในหนา้ โฮมเพจ โดยทวั่ ไปเว็บเพจมีองค์ประกอบ ดงั นี้ 1. Text เปน็ ข้อความปกตสิ ามารถตกแต่ง มีรูปแบบการทำงาน Word Processing 2. Graphic มรี ปู ภาพ ลายเส้น พนื้ หลงั ตา่ ง ๆ มากมายขึน้ อยกู่ บั ผอู้ อกแบบเลือก 3. Multimedia ภาพเคลอ่ื นไหวและเสยี งประกอบ 4. Counter ใชส้ ำหรับนับจำนวนผู้ทีเ่ ขา้ เยีย่ มชมเวบ็ เพจ 5. Link ใช้เช่อื มต่อไปยงั เวบ็ เพจอน่ื ๆ 6. Form เป็นแบบฟอร์มใช้สำหรบั ผูใ้ ช้กรอกข้อมูล 7. Frame การแบง่ จอภาพเป็นส่วน ๆ แต่ละจะแสดงขอ้ มูลทแี่ ตกต่างกันออกไป 8. Image Map รูปภาพขนาดใหญท่ ่ีและสามารถเชอื่ มโยงไปยังเว็บเพจอ่ืน ๆ 9. Java Applet โปรแกรมสำเร็จรูปทีใ่ ชใ้ นเว็บเพจ เพ่อื การใช้งานที่มปี ระสิทธภิ าพ 2.3.3 กฎพื้นฐานของการออกแบบเว็บเพจ (Web Pages) 2.3.3.1 กฎแห่งความแปลกแตกต่าง (Contrast) การออกแบบสื่อการเรียนการสอน ทางอินเทอร์เน็ตต้องมีความโดดเด่นหลีกเลี่ยงการใช้องค์ประกอบบนจอภาพที่ดูคล้ายกัน แต่ถ้า องค์ประกอบของเนื้อหาไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ควรสร้างให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สิ่งที่มี ความหมายหรอื ตอ้ งการเนน้ ให้เหน็ ชดั เจนตอ้ งมีลักษณะทนี่ ่าสนใจ เช่น การเนน้ ขนาด สี ของวั อกั ษร

9 2.3.3.2 กฎการย้ำซ้ำ (Repetition) ในการออกแบบสื่อการเรียนทางอินเทอร์เน็ต ควรมีรูปแบบที่เป็นแบบแผนซึ่งจะประกอบด้วย พื้นหลัง รูปภาพ สี ความสัมพันธ์ของระยะห่าง ระหว่างตัวอักษร เส้นและขนาดทีส่ อดคล้องกันท้ังหมด วิธีการสรา้ งสือ่ การเรียนการสอนทางออนไลน์ แบบย้ำช่วยเสริมสร้างให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) แม้ว่าในการออกแบบเว็บเพจจะมีผู้จัดทำ หลายคนแตจ่ ะต้องมีรปู แบบเดียวกนั 2.3.3.3 กฎการจัดแถววางแนว (Alignment) การจัดวางองค์ประกอบต้องมีแถว มีแนวต้องมองวัตถุที่อยู่ข้างหน้าเสมอ เช่น ตัวอักษร หรือรูปแบบที่อยู่ตอนล่างไม่ควรล้ำแนว องค์ประกอบที่อยู่ด้านบน หากอยู่ขวาก็ดูสิ่งที่อยู่ซ้ายมือที่มาก่อน การวางแถวจะทำให้เว็บเพจ ดสู ะอาดและเปน็ ไปในลกั ษณะไมข่ ัดกบั ความรูส้ ึกของผู้อ่าน 2.3.3.4 ความเกี่ยวเนื่องของสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน (Proximity) การจัดวางวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่บนสื่อการเรียนอินเตอร์เน็ตต้องมีความเป็นระเบียบ โดยจัดให้มองเห็นได้ง่าย ไม่กระจัดกระจาย การรวมกลุ่มเป็นวิธีการลดความยุ่งเหยิงและสร้างความเป็นระเบียบการใช้ไฟล์ภาพหรือกราฟิก ที่มีความหลากหลายแต่ซ้ำกันในส่วนต่าง ๆ ของแต่ละหน้าเอกสาร ยังช่วยให้การเปิดเว็บไซด์ เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าสนใจ เมื่อโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะอ่านไฟล์ภาพหรือกราฟิกนั้น แล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ เมื่อมีการใช้งานไฟล์ภาพนั้นอีก ก็จะปรากฏ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ เพราะโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะนำมาจากหน่วยความจำแคชของเครือ่ ง 2.3.4 โครงสร้างของเว็บ นักออกแบบเว็บส่วนใหญ่จะมีรูปแบบการสร้างที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไป จะขึ้นอยู่กับความถนัด และความพอใจของตนเองเป็นหลัก โดยคำนึงถึงหลักการออกแบบที่ถูกต้อง เท่าที่ควร ลินช์ และฮอร์ตัน จึงได้เสนอแนวคิดสำหรับออกแบบเว็บไซต์ว่าการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ควรจะต้องวางโครงสร้างใหส้ มดุล มีการเชื่อมต่อสัมพันธ์กันระหว่างรายการ (Menu) หรือโฮมเพจกับ หน้าเนื้อหาอื่น ๆ รวมถึงการเชื่อมโยงไปสู่ภาพและข้อความต่าง ๆ โดยต้องวางแผนโครงสร้างให้ดี เพื่อป้องกันอุปสรรคที่จะเกิดต่อผู้ใช้ เช่น การหลงทางของผู้ใช้ในขณะเข้าสู่เนื้อหาในจุดร่วม (Node) ตา่ ง ๆ เป็นต้น แยงก์ และมอร์ ได้แบ่งลักษณะโครงสร้างของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) 3 แบบ เพอื่ การจัดเกบ็ และเรียงข้อมลู ทีต่ อ้ งการขึน้ มาดงั นี้ 1. สื่อหลายมิติแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) เป็นแบบที่ไม่มีโครงสร้างความรู้ ผู้เรียนต้องเปิดเข้าไปโดยมีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าจอแต่ละเรื่อง มีความยืดหยุ่นสูงสุดของการจัด รวบรวมเป็นการใหผ้ เู้ รียนไดก้ ำหนดความกา้ วหนา้ และตอบสนองความสำเรจ็ ด้วยตนเอง

10 2. สื่อหลายมิติแบบลำดับขั้น (Hierarchical) เป็นการกำหนดวิธีการจัดเก็บความรู้ เป็นลำดับขั้นมีโครงสร้างเป็นลำดับขั้นต้นไม้ โดยผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าไปทีละขั้น โดยสำรวจได้จาก บนลงลา่ งและจากลา่ งข้นึ บน โดยระบบขอ้ มลู และรายการคอยบอก 3. สื่อหลายมิติแบบเครือข่าย (Network) เป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างจุดร่วมของ ฐานข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ความซับซ้อนของเครือข่ายพึ่งพาความสัมพันธ์ ระหวา่ งจดุ รว่ มต่าง ๆ 2.3.5 การออกแบบเว็บเพจท่ดี ี 2.3.5.1 มีรายการแสดงรายละเอียดของเว็บเพจนั้น เราควรแสดงรายการทั้งหมด ที่เว็บมีอยู่ให้ผู้ใช้ทราบ โดยอาจทำในรูปของสารบัญการสร้างสารบัญนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้าหา ข้อมลู ภายในเวบ็ อย่างรวดเรว็ 2.3.5.2 เชื่อมโยงข้อมูลไปยังเป้าหมายโดยตรงตามความต้องการมากที่สุด การสร้าง Link จะสร้างในรูปแบบของตัวอักษร หรือรูปภาพก็ได้ แต่ควรที่จะแสดงจุดเชื่อมโยง โดยการให้ผู้ใช้ ทราบไดง้ า่ ยนอกจากนใ้ี นแตล่ ะเพจควรมจี ุดเชือ่ มโยงกลบั มายังหนา้ แรกของโฮมเพจ 2.3.5.3 มีเนือ้ หากระชบั ส้ัน และทันสมยั ถ้าเปน็ โครงสรา้ งโฮมเพจหน้าแรก ไม่ควรที่ จะยาวเกินไป ขนาดที่ดี คือ กำหนดให้แตล่ ะเวบ็ เพจแสดงผลได้เพียงอย่างเดียวถ้าไม่สามารถแสดงผล ทั้งหมดในหนา้ เดียวตอ้ งพยายามสรา้ งใหแ้ สดงผลในจำนนวนหนา้ น้อยทสี่ ุดเท่าท่ีจะทำได้ 2.3.5.4 สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันที ควรมีจุดแสดงความคิดเห็น หรือคำแนะนำ กับเราได้ เช่น ใส่ E=mail ลงในเพจตำแหน่งที่เขียนควรอยู่ส่วนล่างสุด หรือบนสุดของเว็บนั้น ๆ ไมค่ วรที่จะเขียนแทรกไว้ในตำแหน่งใด ๆ ของจอภาพ 2.3.5.5 มีรูปภาพประกอบการนำเสนอที่ดี แต่ไม่ควรมีรูปภาพมากเกินไป โดยใช้ภาพ แทนคำพูด เช่น นำรูปบ้านมาแทนคำว่า กลับไปจุดเริ่มต้น หรือ Home และควรใช้รูปให้ตรง กบั ความหมาย 2.3.5.6 เขา้ สกู่ ลมุ่ เป้าหมายไดถ้ ูกต้อง โดยคำนงึ ถงึ กลุ่มเป้าหมายมากทสี่ ุด เพราะการ กำหนดกลุ่มเป้าหมายจะทำให้สามารถกำหนดเนื้อหา และเรื่องราวเพ่ือให้ตรงกับความต้องการ ของผ้ใู ชไ้ ดม้ ากกวา่ 2.3.5.7 ใช้งานง่าย ทำอย่างไรจึงจะสร้างเว็บเพจให้ใช้งานได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับ เทคนิคและประสบการณ์ของผู้สร้างแต่ละคนบางสิ่งคนหนึ่งอาจบอกจะว่าง่าย แต่บางคนอาจกลับ กายเป็นยาก

11 2.3.5.8 การกำหนดเป้าหมายข้อมูลตามมาตรฐานเดียวกัน โดยจะต้องมีการแบ่ง ข้อมูลออกเป็นส่วน ๆ ข้อมูลชุดใดที่สามารถจัดเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ได้ก็ควรจัดทำ จะทำให้ข้อมูล ทกุ อยา่ งเปน็ ระเบียบในการนำมาใช้งาน 2.3.6 เครื่องมือในการสร้างเวบ็ เพจ เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างและพัฒนาเว็บเพจนั้นมีมากมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ที่มีหน้าท่ี ในการสรา้ งและพัฒนาเว็บเพจ หรือเว็บมาสเตอร์ จะเลือกใช้งานเครือ่ งมือที่เกี่ยวข้องกับการสรา้ งเว็บ มีจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงโปรแกรมสร้างไฟล์เอกสาร HTML โปรแกรมสร้างเว็บเพจ มีจำนวนมาก ซึง่ รวมถึงโปรแกรมปรบั เปล่ียนไฟลท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกับเวบ็ เพจ 2.3.7 ขัน้ ตอนการพฒั นาเวบ็ เพจ หลักการและขั้นตอนการพัฒนาบทเรียนออนไลน์สำเร็จรูป ในลักษณะรูปแบบของ Intreactive Multimedia Computer Instruction Package : IMMCIP โดยเริ่มจากวิธีการกำหนด เป้าหมาย กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บทเรียน โดยในการพัฒนา จะประกอบไปดว้ ย 5 ขัน้ ตอนหลัก ๆ ดงั นี้ 2.3.7.1 ขัน้ ตอนการวิเคราะห์เนอ้ื หา (Analysis) แบ่งเป็น 3 ข้ันตอนดังนี้ 1. สร้างแผนภูมิระดมสมอง (Brainstorm Chart Drafting) เป็นการค้นหาหัวเรื่อง ทั้งหมดอันเป็นเป้าหมายขององค์ความรู้และความเกี่ยวข้องของหัวเรื่อง ที่จะทำให้เห็นภาพบทเรียน ว่าควรจะมีเนือ้ หาโดยรวมเชน่ ไร 2. สร้างแผนภูมิหัวเรื่องสัมพันธ์ (Concept Chart Drafting) เป็นขั้นตอนของการ วเิ คราะหห์ วั เรอื่ งโดยละเอยี ดจากแผนภมู ิการระดมสมอง เพ่อื คดั เลอื กหวั เรอ่ื งตา่ ง ๆ 3. สร้างแผนภูมิโครงข่ายเนื้อหา (Concept Network Analysis Chart Drafting) เป็นการสร้างแผนภูมิจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาในลักษณะของข่ายงานการนำเสนอ เป็นการแสดงให้เห็นภาพของความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของการนำเสนอว่าเนื้อหาส่วนใดควรนำเสนอ ก่อนหลงั หรอื พร้อมกันได้ 2.3.7.2 ขัน้ ตอนการออกแบบการเรียนการสอน (Design) แบง่ เป็น 2 ขั้นตอนดังนี้ 1. กำหนดวธิ กี ารนำเสนอ (Strategic Presentation Plan & Behavior Objectives) เป็นการกำหนดกลวิธีการนำเสนอพร้อมกับจดลำดับแผนการการนำเสนอเป็นแผนภูมิบทเรียน (Course Flow Chart Drafting) และกำหนดวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมให้สอดคลอ้ งกบั หัวข้อทต่ี ัง้ ไว้ 2. สร้างแผนภูมิการนำเสนอแต่ละโมดูล (Module Presentation Chart Drafting) เปน็ การสรา้ งแผนภูมกิ ารนำเสนอในแตล่ ะโมดูล เพือ่ แสดงถงึ ความตอ่ เนื่อง และกำหนดมาตรฐานของ เวลาการนำเสนอในแต่ละโมดูลน้ัน ๆ

12 2.3.7.3 ข้ันตอนการออกแบบกรอบเนอ้ื หา (Development) แบง่ เปน็ 4 ขั้นตอนดังน้ี 1. เขียนรายละเอียดเนื้อหา (Script Development) โดยการนำมาเขียนลงในกรอบ ตามแผนการนำเสนอที่ได้วางไว้ ซึ่งจะเป็นการสร้างต้นแบบของการนำเสนอ ก่อนการนำเสนอจริง ในแต่ละเฟรมการกำหนดเนื้อหาลงในกรอบนี้จะเป็นการกำหนดท้ังภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและ ภาพวีดีทัศนถ์ ้าหากมีจะกำหนดลงในกรอบด้วย 2. การจัดทำลำดับเนื้อหา (Storyboard Development) โดยเมื่อกำหนดเนื้อหา ลงในกรอบเสรจ็ แล้วนำเฟรมท่ีไดม้ าจัดเรยี งลำดับการนำเสนอตามทไี่ ด้ทำการวางแผนและออกแบบไว้ 3. การตรวจความถูกต้องของเนื้อหา (Content Correctness Examination) คือ ข้นั ตอนของการตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความเหมาะสม และความสมบรู ณ์ของลำดับเนอ้ื หาท่ีจัดทำลง บนกรอบเนอื้ หา 4. การสรา้ งแบบทดสอบ (Test Item Check-up) เปน็ ขน้ั ตอนการจัดทำแบบทดสอบ ในบทเรียน เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนว่า ได้รับการพัฒนาจากการเรียนมากน้อย เพียงใดซึ่งจะต้องนำแบบทดสอบเหล่านี้ไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ เน้อื หาในบทเรียน 2.3.7.4 ข้นั ตอนการสรา้ งบทเรียน (Implementation) แบง่ เป็น 3 ข้นั ตอนดังน้ี 1. การเลือกโปรแกรมในการจัดทำบทเรียน เป็นวิธีการเลือกโปรแกรมที่เหมาะสม ในการที่จะสนองตอบต่อความต้องการ ของบทเรียนที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ในการจัดทำบทเรียน จะมีหลายส่วนที่อาจดำเนินการจากหลายโปรแกรม เพราะวิธีการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง ในการดำเนินการจัดทำจะไมส่ ะดวก 2. การเตรียมส่วนประกอบมัลติมีเดีย การจัดเตรียมส่วนประกอบของมัลติมีเดีย ที่เปน็ ตวั อักษรธรรมดา ภาพนิง่ ภาพเคลอ่ื นไหว เสียงและรูปแบของวีดีทศั นท์ จ่ี ะใช้ประกอบ 3. การจดั ทำโปรแกรมบทเรียน เป็นขน้ั ตอนการนำบทเรยี นทไี่ ดว้ างแผนการจัดเตรียม มาดำเนนิ การเป็นโปรแกรมกรนำเสนอโดยคอมพิวเตอรส์ มบรู ณ์ 2.3.7.5 ขัน้ ตอนตรวจสอบคณุ ภาพบทเรยี น (Evaluation) แบ่งเป็น 4 ข้ันตอนดงั น้ี 1. การตรวจสอบคุณภาพ (Quality Evolution) 2. ทำการทดลองกลมุ่ ยอ่ ย (Small Group Rehearsal) 3. ทดสอบประสทิ ธิภาพของบทเรยี นและประสทิ ธผิ ลทางการเรยี น 4. จัดทำคมู่ อื การใช้ Package (User Manual)

13 2.3.8 คุณลักษณะของเว็บไซต์ การนำระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อนำมาทำเป็นสื่อสำหรับการเรียนการสอนในรูปของเว็บ ช่วยสอนหรือจะเรียกว่าเป็นโฮมเพจ เพื่อการศึกษาหรือจะเป็นการออกแบบติดตั้งระบบการเรียน การสอนรายวชิ าใด ๆ บนเว็บผเู้ ขียนจะตอ้ งตัดสินใจด้วยตนเอง 2.3.9 ประเภทของเว็บชว่ ยสอน พาร์สนั (Parson) ไดแ้ บ่งประเภทของเวบ็ ชว่ ยสอนออกเป็น 3 ลักษณะ คอื 1. เว็บไซตช์ ว่ ยสอนแบบรายวชิ าอย่างเดียว (Stand – Alone Courses) เปน็ รายวชิ า ที่มีเครื่องมือและแหล่งท่ีมาไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อย่างมากที่สุดถ้าไม่มีการ สอื่ สารกส็ ามารถที่จะไปผา่ นระบบคอมพวิ เตอรส์ ่อื สารได้ 2. เว็บไซต์ช่วยสอนแบบเว็บเพจสนับสนุนรายวิชา (Web Supported Courses) เป็นรายวิชาที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมมีการพบปะครูกับนักศึกษา เช่น การกำหนดงานที่ให้ทำเว็บไซต์ การกำหนดให้อา่ น การส่ือสารผา่ นระบบคอมพิวเตอร์ 3. เว็บไซต์ช่วยสอนแบบเว็บศูนย์การศึกษา (Web Pedagogical Resources) คือ ประเภทของเว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบและเครื่องมือ ซึ่งสามารถรวบรวมวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน หรือ เปน็ แหลง่ สนบั สนุนกิจกรรมทางการศึกษา 2.3.10 โครงสรา้ งเวบ็ ไซต์ทางการศกึ ษา การสร้างเว็บไซต์ เพื่อใช้ในทางการศึกษามีลักษณะโครงสร้างที่หลากหลายรูปแบบ แบ่งตามประโยชนใ์ ช้งานตามแนวคดิ ของ เจมส์ สามารถแบง่ ได้ 3 รูปแบบใหญ่ คือ 1. โครงสร้างแบบการค้นหา (Electric Structures) ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ เป็นแหล่งของเว็บไซต์ที่ใช้ในการค้นหามีการกำหนดขนาดและรูปแบบ ไม่มีโครงสร้างที่ผู้เรียนต้องมี เว็บลักษณะของเวบ็ ไซตแ์ บบน้จี ะมีแต่การใหใ้ ชเ้ ครอ่ื งมอื ในการสืบคน้ หรือ เพอ่ื บางสง่ิ ท่ีต้องการค้นหา หรือผู้เขียนเว็บไซตต์ อ้ งการ โครงสรา้ งแบบน้ีจะเปน็ แบบเปิดให้ผเู้ รยี นไดเ้ ข้ามาคน้ คว้าเน้อื หาในบริบท โดยไม่มีโครงสรา้ งขอ้ มลู เฉพาะใหไ้ ด้เลือก 2. โครงสร้างแบบสารานุกรม (Encyclopedia Structures) การควบคุมการสร้าง ของเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นเองได้ ก็จะใช้โครงสร้างข้อมูลในแบบต้นไม้ในการเข้าสู่ข้อมูล ซึ่งเหมือนกับ หนังสือที่มีเนื้อหาและมีการจัดเป็นบทตอน จะกำหนดให้ผู้ใช้ได้ผ่านเข้าไปค้นหาข้อมูลและเครื่องมือ ที่อยู่พื้นที่ของเว็บหรืออยู่ภายนอกเว็บไซต์จำนวนมาก มีโครงสร้างในลักษณะดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะ เว็บไซต์ทางการศึกษาที่ไม่ได้กำหนดทางการค้าองค์กร แต่ในเว็บไซต์ทางการศึกษาต้องรับผิดชอบ ต่อการเรียนของผเู้ รียน

14 3. โครงสร้างแบบการเรียนการสอน (Pedagogic Structures) มีการจัดทำรูปแบบ โครงสร้างหลายอย่างในการนำมาสนองความต้องการ ทัง้ หมดเปน็ ทร่ี ู้จกั ดีในบทบาทของการออกแบบ ทางการศึกษา สำหรับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือเครื่องมือมัลติมีเดีย ซึ่งความจริงมีหลักการแตกต่าง ระหว่างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเว็บช่วยสอน นั้นคือ ความสามารถของ HTML ในการที่จะจัดทำ ในแบบ ไฮเปอรเ์ ท็กซ์ กบั การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู หน้าจอโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 2.4 ระบบขบั เคลื่อน ระบบขับเคลื่อน คือ ระบบที่พาหนะเคลื่อนที่อัตโนมัติ เป็นพาหนะขนส่งเคลื่อนที่อัตโนมัติ ซึ่งนิยมนำมาใช้ในการขนถ่ายสินค้าทางด้านอุตสาหกรรม ทำให้สามารถประหยัดในเรื่องของแรงงาน และเวลาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ตวั อย่างเช่น ชุดสาธติ การขบั เคลอ่ื นแผนกเมคคาทรอนิกส์ โดยการสร้างชุดสาธิตการขับเคลื่อนนั้นจะอาศัยการใช้หลักและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยท่ี จะประกอบดว้ ยสองสว่ นหลกั ไดแ้ ก่ ชุดสายพานลำเลยี ง และชุดบอลสกรู ดังนี้ 2.4.1 สายพานลำเลยี ง (Conveyor) สายพานลำเลียง คือ อุปกรณ์ทำหน้าที่ลำเลียง หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของอุปกรณ์ชิ้นงาน หรือวัสดุต่าง ๆ จากจุด ๆ หนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยใช้สายพาน เป็นตัวนำพาวัสดุและมอเตอร์เกียร์ เป็นตัวขับเคลื่อนสายพานลำเลียงวัสดุหลังจากวัสดุหรือชิ้นงานผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามขั้นตอน ของทางโรงงานเรียบร้อยแล้ว และต้องการจะลำเลียง หรือเคลื่อนย้ายก็จะใช้ระบบสายพานลำเลียง ในการเคลื่อนย้ายวัสดุหรือชิ้นงาน โดยระบบสายพานลำเลียงจึงจะเหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรม ทุกประเภทท้ังขนาดเล็กและขนาดใหญ่มกี ารลำเลยี งของจำนวนมากในกระบวนการผลิตสว่ นประกอบ ดงั นี้ 2.4.1.1 สายพาน (Belt) 2.4.1.2 พลู เลย(์ Pulley) 2.4.1.3เพลา (Shaft) 2.4.1.4 มอเตอร์ (Motor) (Omron Servo Motor R7M-A05030-S1) 2.4.1.5ฐานและส่วนซัพพอร์ต (Base) 2.4.1.6 หน้าแปลนมอเตอร์ (Flange Motor) 2.4.1.7 สายพาน (Belt) ในหลาย ๆ อุปกรณ์ และหลาย ๆ โรงงานอุตสาหกรรมแทบจะทุกโรงงานจะมีการใช้ สายพานในการใช้งาน โดยสายพานจะเป็นตัวคล้องระหว่างตัวขับและตัวตาม ซึ่งจะส่งกำลังและ หมุนไปพร้อม ๆ กัน สายพานจึงถือว่าเป็นวิธีการเลือกที่ราคาถูกและประหยัดที่สุดในแง่ของงานซ่อม

15 ในทางอตุ สาหกรรม เน่ืองจาก ราคาถกู ขัน้ ตอนการซ่อมไมซ่ ับซ้อน และทำไดอ้ ย่างรวดเร็วกว่าแบบอ่ืน สายพานสามารถแบง่ ออกตามการใช้งานแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. สายพานส่งกำลัง (Transmission belt) สายพานนิยมใช้อยู่ในเครื่องจักรกล โดย ทำหน้าที่หลัก ๆ ในการส่งกำลังระหว่างตัวขับ (Driver) และ ตัวตาม (Driven) โดยสายพานจะคล้อง ไปที่ล้อสายพาน หรือ pulley ของทั้งตัวขับ และตัวตามโดยการส่งกำลังชนิดนี้จะมีการทดรอบ และ ทดกำลังเสมอ เช่น 2. สายพานแบน (Flat belt) สายพานทีน่ ยิ มใช้กนั อยา่ งแพร่หลายในการส่งถา่ ยกำลัง จากพูลเลย์ของเพลาขับไปยังพูลเลย์ของเพลาตาม มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความสามารถใน การส่งกำลังในระยะทางไกลระหว่างศูนย์รอกและไม่สร้างเสียงรบกวนหรือเสียงดัง ซ่ึงสามารถ แบ่งเป็น 3 แบบยอ่ ย ๆ ตามกำลงั การใชง้ าน ได้แก่ Light Drives (สายพานทใ่ี ช้กบั งานเบา), Medium Drives (สายพานที่ใช้กบั งานหนกั ปานกลาง), Heavy Drives (เป็นสายพานทใ่ี ช้กบั งานหนกั ) รปู ท่ี 2.10 สายพานแบน (Flat belt) 3. สายพานวี (V-belt) มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หน้าตัดเป็นรูปตัว V เหมาะสมกับเครื่องจักรรอบที่ไม่สูงมากนัก ดังน้ัน พื้นที่สัมผัสในการส่งถ่ายกำลังจะเยอะกว่า 2 แบบ แรก ดังนัน้ จึงเปน็ ทน่ี ยิ มใช้ในเครื่องจักรกลในโรงงานอตุ สาหกรรม รูปที่ 2.11 สายพานวี (V-belt)

16 4. สายพานกลม (Circular belt หรือ Rope belt หรือ Round belt) สายพาน ประเภทนี้ทำจากพลาสติกโพลียูริเทน จะต้านทานจาระบีน้ำมันเบนซิน และสายพานกลมสามารถ ปรบั ต้ังทิศทางการหมนุ ไดห้ ลายทิศทางและมีหน้าตัดเปน็ รูปวงกลม โดยการส่งกำลงั ดว้ ยสายพานกลม จะให้ความยดื หยนุ่ สูงมากและขณะการทำงานของสายพานจะไม่เกดิ เสียงดัง มกั จะใชง้ านร่วมกับรอก แบบรอ่ ง รูปที่ 2.12 สายพานกลม(Circular belt หรือ Rope belt หรือ Round belt) 5. สายพานไทม์ม่ิง (Timing belt) ตัวสายพานจะมีลักษณะพิเศษ แบบแรกจะมี ฟันเฟืองตลอดความยาวของสายพาน ลักษณะพ้ืนที่หน้าตัดเป็นรูปสี่เหลียมคางหมูสายพานชนิดนี้ สามารถงอตัวได้ดีจะขับกับ Pulley ที่มีฟันเป็นไทม์มิ่งเหมือนกันทำให้เกิดการขบกัน เหมือนฟันเฟือง จึงไม่เกิดการลื่นไถลขณะส่งกำลัง สามารถใช้เป็นตัวส่งกำลังงานในเครื่องยนต์, พัดลมอุตสาหกรรม หรือในเครือ่ งจักรท่ีตอ้ งการการสญู เสยี งในการสง่ กำลังน้อย ๆ รูปที่ 2.13 สายพานไทมม์ ่ิง (Timing belt)

17 2.4.2 สายพานลำเลียง (Conveyor belt) ทำหน้าที่ขนย้าย หรือลำเลียง สิ่งของ หรือวัสดุต่าง ๆ จากจุด ๆ หนึ่งไปยังอีกจุดหน่ึง โดยอุตสาหกรรมแทบจะทุกประเภท ที่มีการลำเลียงของจำนวนมาโดยหากแบ่งประเภทย่อย ๆ สามารถแบ่งได้7 แบบตามวสั ดุดงั นค้ี ือ 2.4.2.1ระบบสายพานลำเลียงพียู (PU belt conveyor) 2.4.2.2ระบบสายพานลำเลยี งแบบ PVC (PVC Belt Conveyor System) 2.4.2.3ระบบสายพานลำเลียงยางดำ (Rubble belt conveyor) 2.4.2.4ระบบสายพานลำเลยี งโวลตา้ (Volta belt conveyor) 2.4.2.5ระบบสายพานลำเลยี งไวเมท (Wire mesh belt conveyor) 2.4.2.6ระบบสายพานลำเลยี งโมดลู า่ (Modular belt conveyor) 2.4.2.7ระบบสายพานลำเลยี งไม้ (Wood belt Conveyor) การแบ่งสายพาน (Conveyor Belt ) ยงั สามารถแบง่ ประเภทออกได้เปน็ อกี 3 ทาง คอื รูปที่ 2.14 ตารางการแบง่ สายพาน (Conveyor Belt ) แบ่งตามคุณสมบตั ขิ องผวิ (Cover Rubber) ของสายพานลำเลียง (Rubber Conveyor Belt) แบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ - ประเภทใช้งานทั่วไป (General Use Conveyor Belt) หรือเรียกกันว่า สายพานทนสึก (Wear Resistance Conveyor Belt)

18 รูปที่ 2.15 ประเภทใช้งานทว่ั ไป (General Use Conveyor Belt) ผิวของสายพาน (Rubber Cover)แบบเรียบ - ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) ซ่งึ คำก็มีกันมากมายหลายแบบ เชน่ รปู ท่ี 2.16 ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) ประเภทใช้งานแบบพเิ ศษ (Special Conveyor Belt) - Heat Resistant Conveyor Belt (สายพานทนร้อน) - Oil /Fat/Grease Resistant Conveyor Belt (สายพานทนน้ำมนั /ไขมัน /จาระบ)ี - Flame Resistant Belt (สายพานทนเปลวไฟ) - Cold Resistant Belt๖สายพานทนความเย็น) - Chemical Resistant Conveyor Belt. (สายพานทนสารเคม)ี - Antistatic (สายพานมคี ุณสมบัตปิ อ้ งกนักระแสไฟฟา้ สถติ ย)์ -Food Grade (สายพานสำหรับลำเลียงอาหาร) Code ท่ใี ช้กำหนดคุณสมบัตขิ องผวิ สายพานแบบพเิ ศษตามมาตรฐาน DI

19 รปู ที่ 2.17 ประเภทใชง้ านแบบพเิ ศษ (Special Conveyor Belt) แบ่งตามประเภทของวัสดุที่ใช้รับแรง (Tension Member) ของสายพานลำเลียง (Rubber Conveyor Belt) แบง่ ได้หลายชนดิ แตป่ ระเภทท่ีนยิ มใชก้ นั ก็จะมี 2 ประเภท ได้แก่ - สายพานผ้าใบ (Fabric Conveyor Belt) ซึ่งวัสดุที่ใช้รับแรง (Tension Member) ทำด้วย วสั ดุตา่ ง ๆ กนั ไปแตเ่ รยี กรวม ๆ กนั ว่าผ้าใบ เช่น Cotton, Nylon, EP(Polyester/ Nylon) หรอื เรียก อีกอยา่ งว่า PNและ Kevlar (Aramid),Fiberglass รปู ที่ 2.18 สายพานผ้าใบ (Fabric Conveyor Belt) - สายพานลวดสลิง (Steel Cord Conveyor Belt) คือ สายพานที่มีวัสดุรับแรง (Tension Member) เปน็ เส้นลวด (Steel cord)

20 รูปท่ี 2.19 สายพานลวดสลิง (Steel Cord Conveyor Belt) แบ่งตามประเภทของลักษณะของผิวหน้า (Rubber Cover Surface) ของสายพานลำเลียง (Rubber Conveyor Belt) แบง่ ได้หลายชนิดแต่ประเภทที่นิยมใชก้ นั กจ็ ะมี 3 ประเภท -แบบผิวหน้าเรยี บ (Plain Surface) ใช้ลำเลียงวัสดุในแนวราบหรอื เอียงเล็กน้อยใช้ในงานทั่ว ๆ ไปในประเทศไทยนยิ มใช้สายพานแบบนม้ี ากกวา่ 80% รปู ที่ 2.20 แบบผวิ หนา้ เรยี บ (Plain Surface) - แบบผิวหน้าก้างปลา (Pattern Surface) ซ่ึงก็แบ่งเป็นอีกหลายลักษณะ (Pattern) เรียก รวม ๆ ว่าก้างปลาจะมีสัน (Cleat) บนตัวสายพานใช้ลำเลียงวัสดุในแนวราบหรือเอยี งได้ดกี ว่าแบบผวิ เรียบ แต่ก็จะแลกมาด้วยราคาท่ีแพงกว่าก่อนซื้อต้องศึกษาว่าวัสดุที่ลำเลียงสามารถข้ึนได้สูงก่ีองศาถ้า มมุ เอยี งของระบบสายพาน (Conveyor System) มมี ากวา่ มุมกองของวสั ดุอาจจะเกดิ การไหลกลบั ได้ รปู ท่ี 2.21 แบบผวิ หนา้ กา้ งปลา (Pattern Surface)

21 -แบบมีผิวหน้าพิเศษหรือมีโครงสร้างแบบพิเศษ ตามลักษณะการใช้งาน เช่น Sidewall Belt และPipe conveyor Belt เปน็ ต้น รปู ท่ี 2.22 แบบมีผวิ หน้าพิเศษหรอื มีโครงสร้างแบบพเิ ศษ 2.4.2 บอลสกรู (Ball Screw) บอลสกรู คือ ชิ้นส่วนกลไกที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกำลังของเครื่องกล เช่น เครื่องจักรกลในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยมีเพลาเกลียว เกลียวกลม และตลับลูกปืน หรือนัท ซึ่งมีเม็ดลูกปืนกลมจำนวนมากอยู่ภายในตัวนัท เป็นตัวรับน้ำหนักและลดแรงเสียดทาน มีหลักการทำงาน โดยแปลงการเคลื่อนที่เชิงมุมเป็นการเคลื่อนที่เชิงเส้น หรือเปลี่ยนจากแรงบิดเป็น แรงผลักมีการควบคุมการเคลื่อนที่ของแกนต่าง ๆ ผ่านการควบคุมจากมอเตอร์นั้น เมื่อมอเตอร์หมุน ขับสกรู นัทก็จะเคลื่อนไปตามความยาวของสกรูพาแท่นเลื่อน หรือโต๊ะงานเคลื่อนที่ไปตามรางเลื่อน ทำให้แต่ละแกนสามารถขยับโต๊ะงานที่มีน้ำหนักเคลื่อนที่ไป-กลับ ตามแนวเกลียวของแกนเพลาไปยัง ตำแหน่งที่ต้องการ หรือเคลื่อนที่ไปตามระยะทางด้วยสัญญาณจากคอนโทรลเลอร์ได้อย่างราบรื่น Ball Screw มีส่วนดีกว่า Drive แบบอื่นๆ คือ สามารถผลิตตามความต้องการได้อีกทั้งการใช้งาน ก็มสี ่วนประกอบนอ้ ยไมส่ ลับซับซ้อน และมีความแข็งแรงทนทานกวา่ ระบบอ่ืน ๆ มสี ว่ นประกอบดง้ั น้ี 2.4.2.1 ชุดบอลสกรู (Ball Screw) 2.4.2.2 ฐานและส่วนซัพพอร์ต (Base) (Linear Slide Base) 2.4.2.3 คัปปลิ้งแบบยืดหยนุ่ (Flexible coupling) 2.4.2.4 มอเตอร์ (Motor) 2.4.2.5 หนา้ แปลนมอเตอร์ (Flange Motor) 2.4.2.6 เซนเซอร์ (Sensor)

22 บทท่ี 3 วิธีการดำเนนิ งาน ในการสร้าง บทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น เริ่มต้นจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูล การเลือกใช้ระบบควบคุมการขับเคลื่อนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยแบ่งออกเป็น 3 ระบบ 1) ระบบควบคุมนิวเมติกส์เเละไฮดรอลิกส์ 2) ระบบควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า 3) ระบบควบคุมทางกลคาราคุริ ในการจัดทำบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์นี้มีจุดประสงค์ เพ่ือ ฝึกทักษะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจในรายวิชาระบบขับเคลื่อนเบื้องต้น ดังนั้น ผู้จัดทำจึงกำหนด วธิ กี ารดำเนนิ งาน ดงั นี้ 3.1 ขั้นตอนการดำเนนิ งาน เริม่ ตน้ ศึกษาข้อมูล รวบรวมความคิดเหน็ ออกแบบ จดั ทำเวบ็ ไซต์ ตรวจสอบ ไมผ่ า่ น เวบ็ ไซต์ ปรบั ปรงุ แกไ้ ข ผ่าน 1 รูปท่ี 3.1 ข้ันตอนการดำเนินการของ บทเรยี นสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์

23 1 จัดทำแบบทดสอบ ทดสอบ ไมผ่ ่าน แบบทดสอบ ปรบั ปรุงแกไ้ ข ผา่ น ไดบ้ ทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ จัดทำรูปเลม่ ตรวจสอบ ไม่ผ่าน รปู เล่ม ปรับปรุงแกไ้ ข ผ่าน นำเสนอ สน้ิ สุด รูปที่ 3.2 ข้นั ตอนการดำเนินการของ บทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ (ต่อ) 3.2 ศกึ ษาขอ้ มูล ในการศึกษาข้อมูลและจัดทำ บทเรียนออนไลน์สำเร็จรูป ทางผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าและ หาข้อมูลเกี่ยวข้องกับ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนทางกล พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลที่ได้เพ่ือ นำไปจัดทำบทเรยี นสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ โดยแบ่งออกเป็นส่วนตา่ ง ๆ ดังน้ี

24 3.2.1 อปุ กรณท์ ีใ่ ช้สร้างคาราครุ ิไคเซน็ (Karakuri Kaizen) 3.2.1.1 รางลูกกลิ้งลำเลียง (Corocon) หรือ ลูกกลิ้งลำเลียง (Conveyer Rollers) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับลำเลียงหรือขนถ่ายสินค้าหรือสิ่งของด้วยลูกกลิ้งแทนการใช้สายพานลำเลียง เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างวัสดุกับพื้นผิว ซึ่งโครงสร้างทั่วไปของลูกกลิ้งลำเลียงจะมีลักษณะ เป็นแท่งทรงกระบอกยาว ภายในจะมีเพลาสปริงที่สามารถนำไปติดตั้งหรือถอดลูกกล้ิงออกจากโครง สายพานลำเลียงได้ ทำมาจากวัสดุหลายชนิดทั้งเหล็ก สแตนเลส พลาสติก หรืออะลูมิเนียมที่รองรับ น้ำหนักได้ดี สามารถลำเลียงสินค้าได้ทั้งแนวราบทางตรงและทางลาดเอียงได้ และนำมาติดตั้งใช้งาน ร่วมกับเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ ได้ง่าย ดังนั้นจึงนิยมนำลูกกลิ้งลำเลียงมาประยุกต์ใช้ในระบบ สายพานลำเลียงอุตสาหกรรมกันเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยผ่อนแรงและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย แก่สินคา้ รปู ท่ี 3.3 รางลกู กล้ิงลำเลยี ง 3.2.1.2 อลูมิเนียมโปรไฟล์ (Aluminum Profile) คือ อลูมิเนียมขึ้นรูปที่มีลักษณะ เป็นแท่งยาว มีหน้าตัดที่แตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของการใช้งานที่หลายหลากมีร่องยาวไว้ สำหรับจับยึดจุดเชื่อมต่อด้วย Screw และ Nut รวมทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมสำเร็จรูปอีกมากมายที่มีให้ เลือกใช้งานรวมกันกับอลูมิเนียมโปรไฟล์ เช่น Bracket, T-Nut, สกรู, ลูกล้อ, End Cap เป็นต้น อลูมิเนียมโปรไฟล์สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายประเภท แต่มักจะนิยมนำมาใช้ในงาน โครงสร้างและงานอุตสาหกรรม เช่น งานโครงสร้างเครื่องจักร หรือ Table Workstationอย่าง แพรห่ ลายแทนท่เี หล็กดว้ ย ขอ้ ดีทนี่ ้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม และรองรับน้ำหนักไดส้ ูง โดย อลูมิเนยี มโปร ไฟล์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ แบบร่องทีนัท (T-NUT SLOT) และ แบบร่องนัทตัว เมีย (HEX. NUT SLOT)

25 1) อลูมิเนียมโปรไฟล์แบบ T-Slot เป็นอลูมิเนียมที่ใช้ร่วมกับ T-Nut เหมาะกับงานที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนเพราะสามารถใช้ Free Nut ใส่ในตำแหน่งกลางร่องโปรไฟล์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไล่ลำดับใส่จากหน้าตัดเข้าไป เหมาะกับงานที่ไม่มีการเคลื่อนที่ของชิ้นงานที่ยึดกับ อลูมิเนียมโปรไฟล์หรืองานเครื่องจักรที่มีแรงสั่นสะเทือนมาก ๆ เพราะพื้นที่จับยึดระหว่างปีกโปรไฟล์ กับ T-Nut ที่มีมากกว่าทำให้จับยึดได้ดีกว่า และลดแรงเค้นของโครงสร้างได้ดีใช้ประกอบงาน โครงสรา้ งไดห้ ลากหลายรปู แบบมอี ปุ กรณต์ อ่ ร่วมจำนวนมากทำใหม้ ีการใชง้ านแพรห่ ลายมากทสี่ ดุ รูปที่ 3.4 อลูมเิ นยี มโปรไฟลแ์ บบ T-Slot 2) อลูมิเนียมโปรไฟล์แบบ V-Slot เป็นอลูมิเนียมโปรไฟล์ที่มีร่องตัว V มี ลักษณะโครงสร้างแบบเดียวกับอลูมิเนียมโปร์ไฟล์แบบ T-Slot แต่ V-Slot สามารถนำลูกปืนตัว V หมุนเคลื่อนที่แบบเชิงเส้นบนร่องของ V-Slot ได้โดยตรงจึงเป็นทางเลือกสำหรับระบบขับเคลื่อนบน รางเส้นตรงตา่ งๆ เชน่ 3D Printer, Mini CNC, Display Stage สามารถนำไปประยกุ ต์ใชป้ ระโยชนใ์ น ลักษณะของรางเลื่อนในแนวแกนเส้นตรงที่ต้องการความแม่นยำ แข็งแรง ลื่น ไม่ขึ้นสนิม และง่ายต่อ การตดิ ต้ัง รูปที่ 3.5 อลมู เิ นยี มโปรไฟล์แบบ V-Slot

26 3) อลูมิเนียมโปรไฟล์แบบ Hex-Slot เป็นอลูมิเนียมโปรไฟล์ที่ออกแบบให้ มีราคาประหยัดและถูกเพราะใช้น็อตตัวเมียใส่ในร่องโปรไฟล์สำหรับประกอบ ทำให้ต้นทุนการ ประกอบต่อชุดถูกลง นิยมใช้กับงานที่ไม่ซับซ้อน ประกอบครั้งเดียว ไม่มีการต่อเติมเปลี่ยนแปลง แต่ ยังคงความแข็งแรงเช่นเดิม เหมาะกับงานที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น งาน Shelf, ทำโต๊ะ ปฏิบัติงาน, ชุดโครงครอบเครื่องจักร และรั้วนิรภัยสำหรับงาน Robot เป็นต้น สามารถใช้ฉากยึด (Brackets) แบบเดยี วกันกับ อลูมเิ นยี มโปรไฟลแ์ บบ T-Slot ไดเ้ ช่นกนั รปู ที่ 3.6 อลมู เิ นยี มโปรไฟลแ์ บบ Hex-Slot 3.2.1.3 อะคริลิค (Acrylic) คือ แผ่นพลาสติกเรียบชนิด Thermoplastic ผลิตจาก นำ้ ยา Methyl Methacrylate (MMA) สูตรเคมขี องพลาสติกชนดิ น้ี คือ C5H8O2 ดว้ ยการ นำไปหลอ่ แบบ Casting System อะคริลิคได้ถูกคิดค้นและนิยมนำมาใช้แทนแก้วและกระจกเพราะมีรูปร่าง ลกั ษณะคล้ายคลงึ กนั แตท่ นทานและเสีย่ งต่อการแตกหักนอ้ ยกวา่ แก้วและกระจก อกี ทั้งอะคริลิคยังมี คุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อได้รับความร้อนสูงจะอ่อนตัวจนสามารถดัดขึ้นรูป ได้ตามต้องการ เมื่อทิ้งให้ เย็นตัวลงจะแผ่นอะคริลิคจะแข็งตัวและคงสภาพดังรูปทรงที่ดัดไว้ ขนาดความหนา ของแผ่นอะคริลคิ มตี ้งั แต่ 2 มลิ ลิเมตร จนถงึ 100 มิลลิเมตร สามารถนำมาประยกุ ต์งานได้หลากหลายและผลิตเป็นของ ใช้ต่างๆ ไดม้ ากมาย เชน่ เครอ่ื งประดับ กรอบรูป ชนั้ วางโชว์ ปา้ ยโฆษณา และอื่นๆ อกี มากมาย รูปท่ี 3.7 อะครลิ คิ (Acrylic)

27 3.2.1.4 ตลับลูกปืน (Bearing) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้รองรับการหมุนของเพลา โดยตลับ ลูกปืนมีหน้าที่ถ่ายทอดแรงที่เกิดขึ้นจากเพลาลงไปสู่ฐานเครื่องยนต์ และลดแรงเสียดทานระหว่าง ผิวสัมผัส ทำให้ช่วยเพิ่มสมรรถนะของเครื่องจักรกลต่างๆ ลดการสึกหรอ แต่ตลับลูกปืนมักจะ เสื่อมสภาพเร็วเนื่องจากตลับลูกปืนถือว่าเป็นจุดวิกฤตของเครื่องมือกล ประเภทของแบริ่ง สามารถ แบง่ ตามลักษณะการหมนุ ได้ 2 ประเภท ได้เเก่ 1) แบริ่งกาบ (Plain bearing) ประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่เป็น กระบอกกลวงอยู่ด้านนอก (Journal) และส่วนที่เป็นแกนหมุนอยู่ด้านในอีกที (Journal Bearing) ระหว่างสองตัวจะมีน้ำมันขั้นอยู่ การเคลื่อนที่ของแบริ่งกาบจะเคลื่อนที่ในลักษณะสัมผัส (Sliding bearing) รปู ที่ 3.8 แบรงิ่ กาบ (Plain bearing) 2) แบรง่ิ ลกู ปืน (Rolling bearing) หรอื ตลบั ลูกปืน แบรงิ่ ชนิดนจ้ี ะเปน็ การ เคลื่อนโดยมีช้ินส่วนตัวกลางในการหมุน (Rolling element อาจจะเป็นลูกบอล, เม็ดเรียว หรือ แบบ เข็ม) ระหว่างแหวนใน (inner race) และแหวนนอก โดยจะมีแหวนประคองลูกบอลอีกที ซึ่งประเภท ของของ Rolling bearing มีมากมายหลายชนิดมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ลูกบอลทรงกลม( Ball), ทรงกระบอก(Cylinder rollers), ทรงกระบอกเรียว (Tappered roller), และ รูเขม็ (Needle roller) โดยแรงเสยี ดทาน และการรับแรงท่ีเกดิ ข้ึน กจ็ ะแตกต่างกันไปจากตลับลูกปนื แบบธรรมดา รปู ที่ 3.9 แบรง่ิ ลกู ปืน (Rolling bearing)

28 3.2.1.5 สปริง (Spring) มีลักษณะเป็นลวดมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายขนาด นำมาขด เป็นวง รูปทรงกระบอกมีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้เมื่อมีแรงกระทำ เช่น แรงกด แรงบีบ หรือแรงดึง และ สามารถคืนตัวได้เองอย่างรวดเร็ว สปริงถูกนำมาประยุกต์ใช้กับงานต่างๆ ได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะ เป็นงานชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ของใช้ใน ชีวิตประจำวัน เช่น ปากกา หัวปั๊ม ขวดบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น สปริงส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กัน จะมี สปริงดีด สปริงดึง และสปริงกด ซึ่งการใช้งานสปริงแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันตามประเภทของงานท่ี จะนำไปใช้ ดังนี้ 1) สปริงดีด (Torsion Springs) เป็นสปริงที่รับแรงกดหรือแรงบีบใน ลักษณะท่เี ปน็ แนวเสน้ รอบวง รูปรา่ งลักษณะเปน็ อิสระ ไมม่ ีรูปแบบที่ตายตัว สามารถออกแบบรูปร่าง ของสปริงใหเ้ หมาะสมกบั งานได้เปน็ อย่างดี รูปท่ี 3.10 สปริงดดี (Torsion Springs) 2) สปริงดึง (Tension Springs) เป็นสปริงที่ใช้สำหรับรับแรงดึง โดยสปริง ชนดิ น้จี ะมคี วามพิเศษ คอื ลกั ษณะการขดตวั ของสปริงจะมคี วามหนาแนน่ กว่าสปริงชนิดอ่ืน ปลายท้ัง 2 ขา้ งจะเป็นตะขอหรือห่วง เพื่อใช้สำหรบั เกย่ี วหรือแขวนกบั อปุ กรณ์อนื่ ลกั ษณะการทำงานเม่ือมแี รง ดงึ สปรงิ จะยดื ตวั ออกในระยะห่างทีเ่ ท่ากนั รูปท่ี 3.11 สปริงดึง (Tension Springs) 3) สปริงกด (Compression Springs) เป็นสปรงิ ท่ใี ช้สำหรับรับแรงกดหรือ แรงดันโดยลักษณะของเกลียวลวดจะมีระยะห่างที่เท่ากัน งานที่ใช้สปริงกดส่วนใหญ่จะเป็นงาน ชิ้นสว่ นอะไหล่ยานยนต์ เครื่องจกั รอตุ สาหกรรม เฟอรน์ เิ จอร์ เครื่องใช้ไฟฟา้ เปน็ ต้น

29 รปู ท่ี 3.12 สปรงิ กด (Compression Springs) 3.2.1.6 ลูกปืนสไลด์ (Slide Bearing) มีการใช้งานหลายรูปแบบ เช่น หน้าแปลน กลม หน้าแปลนสี่เหลี่ยม หน้าแปลนวงรี มีทั้งแบบที่ใช้เม็ดลูกปืน และไม่ใช้เม็ดลูกปืน อาจจะใช้ ทองเหลือง หรือเหล็กเพื่อทำบูช พร้อมเสื้อเพลาชุบแข็ง (Suj 2) หรือเพลาลูกปืนขนาดต่างๆ ที่ นำมาใชร้ ว่ มกัน คุณสมบตั ิของลูกปนื สไลด์ คอื รบั โหลดรบั แรงได้ดีจากทุกทศิ คุณภาพดี ราคาตำ่ อายุ การใช้งานยาวนาน คงทน การดูแลบำรุงรักษาทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน มีเสียงเบาในขณะทำงาน มีความ แมน่ ยำและถกู ต้องในการเคลื่อนท่ี (Pecision) รปู ที่ 3.13 ลกู ปืนสไลด์ ( Slide Bearing) 3.2.1.7 เฟืองโซ่ (Sprocket) ส่วนประกอบชิ้นหนึ่งที่ใช้ในระบบโซ่ส่งกำลัง มี ลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายล้อ มีรูตรงกลาง ตรงส่วนขอบโดยรอบเป็นฟนั เฟือง หลักการทำงานคือ ส่ง ถ่ายความเร็วและแรงบิดจากอุปกรณ์หนึ่งไปสู่อีกอุปกรณ์หนึ่ง เฟืองโซ่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบ ของยานพาหนะต่างๆ เช่น จักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ รถบรรทุก เครื่องจักรอื่นๆ และยังใช้แทน สายพานในการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ลำเลียงวัตถุได้เพราะมีคุณสมบัติที่กันลื่น เฟืองโซ่แบ่งตามลักษณะ โครงสร้างได้ 5 แบบ คือ เฟืองโซ่แผ่นเรียบ เฟืองโซ่ดุมยื่นหนึ่งข้าง เฟืองโซ่ดุมยื่นสองข้าง เฟืองโซ่ส แตนเลส เฟืองโซ่ฟันสองช้ัน และยังแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ได้อีกตามวสั ดุที่ผลิตหรือการนำไปใชง้ านเฟือง โซ่ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ขับเคลื่อน โดยใช้อาศัยแรงหมุนจากโซ่ เป็นระบบส่งกำลังที่นิยมใช่งานกันอย่าง มากในอุตสาหกรรมตา่ งๆ เน่อื งจากมีขนาดใหเ้ ลอื กใช้หลากหลายขนาดด้วยคุณภาพและประสทิ ธิภาพ ในการใชง้ านท่ไี ด้มาตรฐานท้ัง มาตรฐานอเมรกิ า (ANSI) และ มาตรฐานองั กฤษ (BS)

30 รูปที่ 3.14 เฟอื งโซ่ (Sprocket) 3.2.1.8 โซ่ (Chain) เป็นอุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการถ่ายทอดกำลังจากชุดต้นกำลัง ไปยังชุด รับกำลังเพื่อส่งต่อกำลังไปเพื่อทำให้อุปกรณ์ชิ้นอื่นขับเคลื่อน หรือ เคลื่อนที่ต่อไปได้โซ่เป็นระบบท่ี สามารถถา่ ยทอดกำลงั จากเครื่องไดโ้ ดยตรง ทนแรงกระชากหรอื แรงดึงได้มากทสี่ ุด การบำรุงรักษาทำ ได้ง่าย ราคาไม่สูง จึงทำให้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ควรคำนึงถึงลักษณะการนำไปใช้งานของ โซ่ เพื่อท่ีจะเลือกประเภทหรือข้อจำกัดของโซ่ ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสมดงั น้ัน กอ่ นทจ่ี ะตัดสินใจเลอื กใช้ควรมีการพิจารณาจาก ปัจจัยเบื้องตน้ ดังตอ่ ไปนี้ รูปท่ี 3.15 โซ่ (Chain) 3.2.1.9 ฉากเข้ามุม (Angular Bracket) เป็นอุปกรณ์งานประกอบโครงสร้างที่ใช้ สำหรับยึดเข้ามุมอะลูมิเนียมโปรไฟล์ของขอบกระจกประตู หน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงอุปกรณ์ อัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากแรง

31 กระแทกในระหว่างการใช้งานได้เป็นอยา่ งดี ผลิตมาจากวัสดุอะลูมิเนียมหรอื โลหะผสมสังกะสหี ล่ออดั ขึ้นรูปหลากหลายรูปแบบและเคลือบผิวมันเงางามให้กลมกลืนกับตัวโครงสร้างเฟรมอะลูมิเนียม โปร ไฟล์ซึ่งมีคณุ สมบตั แิ ขง็ แรงคงทนรองรับนำ้ หนกั ไดม้ าก มีความตา้ นทานต่อแรงอัดสงู และสามารถถอด ประกอบตดิ ต้งั ไดง้ ่าย จึงทำให้มีอายุการใชง้ านยาวนาน รูปที่ 3.16 ฉากเขา้ มมุ (Angular Bracket) 3.2.1.10 สกรู (Screw) สกรูเป็นโบลต์อย่างหนึ่งที่มีขนาดเล็กและมหี ลายชนิด สกรู ผลิตจากเหล็กกลมขนาดเล็ก บางชนดิ มเี กลยี วตลอดท้ังสกรู มลี กั ษณะหวั ทีแ่ ตกต่างกนั ไป มีทง้ั หัวกลม หัวหกเหลี่ยม หัวสี่เหลี่ยม และหัวแบน บนหัวจะทำเป็นร่องผ่าเอาไว้หรือเป็นหลุมลงไปเพื่อใช้สำหรับ ขนั หรือคลายเกลียว สกรูตัวเล็กๆ สว่ นใหญ่จะมีปลายเรยี วชนดิ ของสกรแู บง่ ได้ดังน้ี 1) สกรูหัวจม (Hexagon Socket Head Cap Screws) ทำจากวัสดุ: SCM435 (Class 10.9) เหล็กเหนียว ทนแรงบิดสูง เป็นตัวเลือกที่นิยมใช้กันมาก ถูกเลือกใช้งานมาก ที่สุด เกิน 90% ในงาน Aluminum Profile System โดยใช้ร่วมกับ Brackets (ฉากยึด) เป็นสก รูที่ให้แรงจับยึดสูง เพราะใช้ประแจแอล ขนาดใหญ่สุด ในการขันเมื่อเทียบขนาดเกลียว M เดียวกัน กับสกรูแบบอนื่ รปู ที่ 3.17 สกรหู วั จม (Hexagon Socket Head Cap Screws)

32 2) สกรูหัวจมกลม (Hexagon Socket Button Head Cap Screws) ทำ จากวัสดุ: SCM435 (Class 10.9) เหล็กเหนียวทนแรงบิดสูงใชก้ ับงานยึด Footing Plate และฉากยดึ บางประเภท เพราะความสูงของหัวสกรสู ้ันกว่าแบบแรกจงึ ชว่ ยให้สามารถใชง้ านในพน้ื ที่แคบๆไดด้ ี รูปท่ี 3.18 สกรูหัวจมกลม (Hexagon Socket Button Head Cap Screws) 3) สกรหู วั จมเทเปอร์ (Hexagon Socket Flat Head Cap Screws) ใช้กับ งานยึดแผ่นเพลท ที่ต้องการแรงยึดสูง เช่น ท้อปโต๊ะ เป็นต้น เพียงเจาะรูเทเปอร์ (Counter Sink) จากนน้ั ใส่สกรูเขา้ ไปหวั สกรูจะจมลงในชนิ้ งานจะทำใหไ้ มม่ ีหวั สกรูยนื่ ออกมา รูปท่ี 3.19 สกรหู ัวจมเทเปอร์ (Hexagon Socket Flat Head Cap Screws) 4) สกรูหัวจมแฉกเทเปอร์ (Cross Recessed Flat Head Screws) ใช้กับ งานยึดแผ่นเพลท ที่ต้องการแรงยึดปานกลาง เช่น แผ่น Cover ด้านข้าง ของเครื่องจักร และงานยึด บานพับ เจาะรูเทเปอร์ (Counter Sink) ใส่หัวจมแฉกเทเปอร์ จะทำใหไ้ มม่ หี วั สกรูยืน่ ออกมา

33 รูปท่ี 3.20 สกรหู ัวจมแฉกเทเปอร์ (Cross Recessed Flat Head Screws) 5) สกรูหัวแฉก (Cross Recessed Truss Screws) สกรูหัวแฉกหรือสกรู หัวร่มใช้กับงานที่ต้องการ แรงจับยึดไม่สูงมาก เช่น แผ่นอะครีลิคสำหรับงาน Machine Cover เป็น ต้น รปู ที่ 3.21 สกรูหัวแฉก (Cross Recessed Truss Screws) 6) สกรูเกลียวตัวหนอน (Hexagon Socket Set Screws) ใช้งานร่วมกับ ฉากยดึ ซ่อนมุม (Blind Brackets) และตัวต่อโปรไฟลจ์ บั ยึดโดยการจกิ กดั เพ่อื กำหนดตำแหนง่ ชนิ้ งาน รปู ที่ 3.22 สกรเู กลยี วตวั หนอน (Hexagon Socket Set Screws)

34 3.2.1.11 นัต (Nut) คือ แป้นเกลียวตัวเมียที่ใช้คู่กับโบลต์สลักเกลียวหรือสกรูมี ลักษณะเป็นเหลี่ยมมีรูตรงกลาง และมีเกลียวอยู่ภายในนัตที่ใช้งานทั่วๆ ไปจะเป็นแบบหัวหกเหลี่ยม นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชนิด เช่น นัตหัวสี่เหลี่ยม นัตหัวกรมเจาะรูข้าง นักตัวกลร่องผ่านข้าง นัตหาง ปลา ลกั ษณะของนตั ชนดิ ตา่ งๆ 1) T-Nut เหมาะกับงานที่ต้องรับโหลดหนัก ตัวนัตมีขนาดใหญ่ พื้นที่ ผิวสัมผัส สำหรับจับยึดโปรไฟล์จึงมากจามไปด้วย ต้องใส่จากปลายร่องโปรไฟล์เท่านั้น ทำให้ต้อง วางแผนก่อนประกอบ เพราะถ้าต้องการใส่เพิ่มอาจจะต้องรื้อออกมาประกอบใหม่ น้ำหนักมากไม่ เหมาะกับงาน Portable หรืองานที่ต้องถอดย้ายบ่อยๆ ไม่เหมาะกับงานต่อเติมโครงหลักเพราะต้อง รื้อโครงเดมิ ออกเพอื่ ใสน่ ตั เขา้ ไป รปู ท่ี 3.23 T-Nut 2) Free Nut ใช้งานสะดวกเพราะใสร่ ะหว่างร่องไดท้ นั ทีทำให้ไมม่ ีปัญหา เรือ่ งลมื ใส่นตั เหมาะกบั งานท่ีตอ้ งการให้นำ้ หนักโครงสร้างน้อยท่สี ดุ เพราะนำ้ หนักเบา รบั แรงได้น้อย กว่าทนี ัต ใชก้ ับงานต่อเตมิ ไดด้ ี สามารถใสน่ ตั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งร้อื โครงสร้างเดิม ตวั เล็กมีโอกาสหล่นหาย ได้ง่าย เหมาะกับงานทมี่ กี ารถอดประกอบเปน็ ประจำ และราคาถกู รูปที่ 3.24 Free Nut

35 3) Lock Nut หรอื Ball Nut เปน็ นัตท่ีมีบอลสปรงิ ชว่ ยลอ็ กตำแหนง่ ทำให้ ง่ายในการประกอบเสาโปรไฟล์แนวต้งั เพราะนตั จะไม่รว่ งหล่น และยงั ใช้กำหนดตำแหน่งไดด้ เี หมาะ กบั งานทต่ี อ้ งมีการปรับตำแหน่งบอ่ ยๆ รปู ท่ี 3.25 Lock Nut 3.2.1.12 แหวนสปริงจาน (Disc Springs) แหวนสปริงจานมีลักษณะคล้ายแหวน รองนอ็ ต แตแ่ หวนสปริงจานจะมลี ักษณะโค้ง เหมาะกบั งานทีต่ ้องรบั แรงสูง ใช้ในท่แี คบได้ดี การติดตง้ั สามารถวางลงในชิน้ งานไดห้ ลากหลายรูปแบบ ชว่ ยให้สามารถรับแรงไดจ้ ากหลายทศิ ทาง รูปที่ 3.26 แหวนสปรงิ จาน (Disc Springs) 3.2.1.13 เพลา (Shaft) เป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนที่ใช้ส่งกำลังหรือขับเคลื่อนให้เกิดการ หมุนของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบกันอยู่ภายในเครื่อง ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ งานได้ หลากหลายไมว่ ่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครอื่ งจกั รกลการเกษตร ระบบขนส่งทางอากาศ ระบบ จัดการน้ำ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องมือ เครื่องจักรภายโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ โดยทั่วไปเพลา จะมีหน้าตัดเป็นวงกลม มีผิวแข็งแรง ผลิตจากวัสดุเหล็กอ่อน แต่หากต้องการเพลาที่มีความแข็งแรง

36 สูง ทนต่อการสึกหรอและการเสียดสีได้ดีจะใช้เหล็กกล้าผสมนิกเกิล นิกเกิล โครเมียม หรือเหล็ก โครเมียมวานาเดียม ทำให้การส่งกำลังการหมุนมคี วามเรว็ สงู ต้านทานแรงไม่ให้เพลาคดหรือโคง้ งอได้ ทัง้ นี้เพลาจะมีให้เลอื กใช้งานอยู่ หลายชนดิ มีรูปร่าง ความยาวและคณุ สมบตั ใิ นการท างานท่ีแตกต่าง กนั ตามวัตถปุ ระสงค์ของการใช้งาน ดังน้นั จึงต้องเลอื กใช้ประเภทของเพลาให้เหมาะสม กบั งานเพื่อให้ มปี ระสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยยดื อายกุ ารทำงานให้ ยาวนานข้นึ อีกด้วย รูปท่ี 3.27 เพลา (Shaft) 3.2.1.14 เชือก (Ropes) ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์ ที่นำมา ถักเกลียวรวมเป็นเส้นเชือก เชือกถูกนำมาใช้ในการเคลื่อนย้ายวัสดุตั้งแต่ยุคแรกๆ โดยทั่วไปเชือกมัก ใช้ในงานเคลื่อนย้ายวัสดุชั่วคราว เช่น ในงานก่อสร้าง งานทาสี งานประมง เป็นต้น คุณสมบัติของ เชือกจะเหนียว ยืดหยุ่นได้ดี โค้งงอได้มาก ทำให้ยึดเกาะกับวัสดุที่จะเคลื่อนย้ายได้ดีและไม่ทำให้ผิว ของวสั ดุได้รับความเสยี หายหรอื มรี อยตำหนิ ความแตกต่างระหว่างเชือกชนิดต่างๆ เราสามารถแบ่งได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามวสั ดุทใ่ี ชท้ ำ คือ 1. เชือกทที่ ำจากเส้นใยธรรมชาติ (Nature Fiber Rope Slings) 2. เชอื กทที่ ำจากเสน้ ใยสงั เคราะห์ (Synthetic Fiber Rope Slings) รปู ท่ี 3.28 เชอื ก (Ropes)

37 3.2.1.15 ลวดสลิง (wire rope) เป็นเชือกประเภทหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยมัดของ เสน้ ลวดโลหะ ท่บี ดิ เปน็ เกลยี ว ในสมยั ก่อนน้นั ใชเ้ หลก็ คารบ์ อนต่ำ เหลก็ อ่อน (wrought iron) ในการ ผลิต ต่อมาในปัจจุบันลวดสลิงเปลี่ยนมาผลิตจากเหล็กกล้าลวดสลิงนั้นพัฒนามาจากโซ่เหล็กซึ่งมี ปัญหาเรื่องการขาดของข้อโซ่ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมากมายในขณะที่การขาดของเส้นลวดที่ใช้ ทำสายลวดสลิงนั้นมีผลน้อยกว่าเนื่องจากยังมีลวดเส้นอื่นที่สามารถรับน้ำหนักได้ แรงเสี ยดทาน ระหว่างลวดแต่ละเส้นและมัดเส้นลวดซึ่งเป็นผลมาจากการบิดเกลียวก็จะช่วยชดเชยความเสียหายท่ี เกดิ ขนึ้ รปู ท่ี 3.29 ลวดสลงิ (wire rope) 3.2.1.16 ล้อ (Wheel) แต่ละชนิด แต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติการใช้งานที่ แตกต่างกันไป เช่น ล้อรถเข็นใช้เกี่ยวกับการเคลื่อนย้าย ขนของ ล้อรถยกลาก เหมาะกับการยกและ เคลื่อนยา้ ยของหนกั ด้วยวิธลี ากส่วนใหญจ่ ะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหรอื โกดังเกบ็ ของตา่ งๆ รปู ท่ี 3.30 ลอ้ (Wheel)

38 3.2.1.17 แกนทรี่เพลท (Gantry Plate) อลูมิเนียมโปรไฟล์ V-Slot มักถูกเลือกใช้ งานในลักษณะการเคลื่อนที่เชิงเส้น(Linear Motion) มากกว่างานโครงสร้าง ดังนั้นอุปกรณ์ที่เป็นตัว ขับเคลื่อน ที่ถูกนำมาใช้งาน เรียกว่าแกนทรี่เพลท (Gantry Plate) ผลิตจากอลูมิเนียมเกรด A6063- T6 ชุบผิวอโนไดซ์สีดำเพื่อเพิ่มความสวยงาม และประสิทธิภาพ พร้อมทั้งติดตั้ง V-Slot Wheel เพ่ือ ใช้ในการเคลื่อนที่ไปบนปีก V-Groove ของอลูมิเนียมโปรไฟล์ V-Slot ให้การเคลื่อนที่เรียบล่ืน แมน่ ยำ และมีนำ้ หนักเบา มหี นา้ ท่เี ป็นตัวพาช้นิ งานหรืออปุ กรณ์เคลื่อนที่ รปู ท่ี 3.31 แกนทรเี่ พลท (Gantry Plate) 3.2.1.18 รอกที่เชื่อมต่อกับสายพานซึ่งเคลื่อนที่ตอบสนองต่อรอกขับเคลื่อนที่ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์หรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ มันเป็นส่วนประกอบที่ทำปฏิกิริยาภายในระบบรอก และไม่สามารถขับเคลื่อนระบบได้ด้วยตัวเอง เครื่องยนต์หลายประเภทใช้รอกขับเคลื่อนเพื่อทำหน้าที่ หลากหลายเช่นการควบคุมส่วนประกอบอื่น ๆ ของระบบ พวกเขายังสามารถใช้สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่นเสอ้ื ผา้ รัดและอปุ กรณส์ ำหรับเคลื่อนย้ายสิ่งของหนกั ๆ รปู ที่ 3.32 รอก

39 3.3 การออกแบบเว็บไซต์ 3.3.1 ในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ โดยมกี ารออกแบบเว็บไซต์ ดังน้ี 3.3.1.1 ออกแบบการจดั วางเนอื้ หาของเหน้าเว็บไซตห์ ลัก รูปที่ 3.33 หนา้ หลกั เว็บไซต์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขบั เคลอื่ นเบอ้ื งต้น 3.3.1.2 จัดวางเน้อื หาในหนา้ เว็บไซต์ เร่ือง อุปกรณท์ ่ีใชส้ ร้างคาราคุริ ไคเซ็น รปู ที่ 3.34 หนา้ เว็บเนือ้ หาอุปกรณท์ ใ่ี ชส้ ร้างคาราครุ ิ ไคเซน็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook