Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Published by ธนิต ภูพลอย, 2022-03-07 08:10:31

Description: นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

46 สำหรบั สาเหตุของความลม้ เหลวอื่น ๆ ท่ีพบจากการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลา ในการดำเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือยังไม่ผ่านการพิสูจน์มา ใชง้ าน (New or unproven technology), ประเมนิ แผนความต้องการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศไม่ถูกต้อง , ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความ รับผิดชอบ และระยะเวลาของการพัฒนาหรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลาน้อย กวา่ หนึง่ ปี นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเร็จในด้าน ผู้ใชง้ านน้ัน อาจสรุปได้ดงั น้ี คือ 1. ความกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทงั้ กลัววา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคัญในหน้าที่การงานท่ีรับผิดชอบของ ตนให้ลดน้อยลง จนทำใหต้ อ่ ตา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจาก เทคโนโลยสี ารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเรว็ มาก หากไม่มั่นติดตามอย่างสม่ำเสมอแลว้ จะทำให้กลายเป็นคน ล้าหลงั และตกขอบ จนเกิดสภาวะชะงักงนั ในการเรยี นรู้และใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. โครงสรา้ งพืน้ ฐานด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศของประเทศกระจายไม่ท่วั ถึง ทำให้ขาดความ เสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคใน การใช้งานดา้ นตา่ ง ๆ ตามมา เชน่ ระบบโทรศพั ท์ อินเทอรเ์ นต็ ความเร็วสงู ฯลฯ 2.16. ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุค สารสนเทศ ในช่วงแรกมกี ารนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เปน็ เคร่อื งคำนวณ แตต่ อ่ มาได้มคี วามพยายามพัฒนา ให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามาก ขึ้น ทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดเลก็ ลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึน้ สภาพการใช้งานจึงใช้งานกัน อย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีตอ่ ชีวิตความเปน็ อยู่และสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และ ใชส้ ารสนเทศกนั อย่างกว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกลา่ วไดด้ งั นี้ 2.16.1 การสร้างเสรมิ คุณภาพชวี ิตที่ดขี ึ้น สภาพความเปน็ อยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความ สะดวกภายในบา้ น เชน่ ใชค้ วบคมุ เครอ่ื งปรับอากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เปน็ ตน้

47 2.16.2 เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำ ให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใช้ ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความ พยายามทใี่ ช้ระบบการรกั ษาพยาบาลผา่ นเครอื ขา่ ยสอ่ื สาร 2.16.3 สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำ คอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เชน่ วดี ิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียน ทำรายงานเพื่อให้ ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น 2.16.4 เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่าง จำเป็นต้องใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การ ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมลู คุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวดั มลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัด ระยะไกลมาชว่ ย ที่เรียกว่าโทรมาตร เปน็ ตน้ 2.16.5 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้ เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบ ปอ้ งกันภยั ระบบเฝ้าระวังที่มคี อมพวิ เตอร์ควบคมุ การทำงาน 2.16.6 การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้า อตุ สาหกรรมจำเปน็ ต้องหาวธิ ีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถกู ลงเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์เข้ามามีบทบาท มาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการ กบั ลกู คา้ เพอ่ื ใหซ้ ือ้ สนิ ค้าได้สะดวกขึ้น 2.17. เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใช้ชวี ิตในสังคมปจั จุบัน ในภาวะปัจจุบันนั้นสารสนเทศได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานปัจจัยท่ีห้า เพิ่มจากปัจจัยสีป่ ระการท่ี มนุษย์เราขาดเสียมไิ ดใ้ นการดำรงชวี ติ ประจำวัน ไม่วา่ จะเปน็ สารสนเทศทจ่ี ำเปน็ ในการประกอบธุรกิจ ใน การคา้ ขาย การผลิตสินคา้ และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจดั การทรัพยากรของชาติ การบริหาร และปกครอง จนถึงเรื่องเบา ๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแหง่ หนในสงั คม เรื่อง

48 สาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจนถึงเรื่องความเป็นความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทำ รฐั ประหารและปฏิวัติ เป็นต้น ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นัก เศรษฐศาสตร์ จนกระทง่ั ผู้นำต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธบิ ดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน และในยุค สังคมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด กล่าว กันสั้น ๆ สารสนเทศกำลังจะกลายเป็นฐานแห่งอำนาจอันแท้จริงในอนาคต ทั้งในทางเศรษฐกิจ และทาง การเมอื ง ในสมัยสังคมเกษตรนั้น ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาในสงั คมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพ่ึงพาปจั จัยพืน้ ฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วสั ดุ พลังงาน และโดยเฉพาะ อย่างยิ่งสารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อัน ไดแ้ ก่ ทีด่ นิ พลังงาน และวัสดุ เปน็ อย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านนั้ อย่างฟุ่มเฟือยและขาด ความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมาก ซึ่งกำลังคุกคามโลกรวมทั้งประเทศไทย ตั้งแต่ ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดนิ ฟา้ อากาศ ภยั ธรรมชาติท่นี บั วนั จะเพิ่มความถ่ีและรนุ แรงข้ึน ปญั หาการ บ่อนทำลายความสมดลุ ทางนเิ วศวิทยาทง้ั ป่าดงดิบ ป่าชายเลน ปา่ ตน้ นำ้ ลำธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็น พิษ แม่น้ำลำคลองทีเ่ ตม็ ไปด้วยสารพิษ เจือปน ตลอดจนถึงปัญหาวิกฤติทางจราจรและภัยจากควันพิษใน มหานครทกุ แห่งทว่ั โลก ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและ พลังงานน้อยมาก และไม่มีผลเสียต่อภาวะแวดล้อมหรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นสารสนเทศจะ สามารถช่วยให้กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้ การผลิตทางอุตสาหกรรมใชว้ ัตถุดบิ และพลงั งานน้อยลง มมี ลภาวะนอ้ ยลง แต่สนิ ค้ามคี ุณภาพดีขึ้นคงทน มากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ในการ

49 ช่วยติดต่อสื่อสารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่ก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนอยา่ งมาก ในการนำสังคม สู่วิวัฒนาการอกี ระดับหนึ่ง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น สงั คมสารสนเทศ อันเปน็ สังคมทพ่ี งึ ปรารถนาและยั่งยนื ย่งิ ข้ึน นั่นจึงเปน็ เหตุผลทีว่ ่าสงั คมตา่ ง ๆ ในโลก ตา่ งจะต้องก้าวสสู่ งั คมสารสนเทศอยา่ งหลีกเล่ียงไม่ได้ ไม่เร็วก็ช้า และนั่นหมายความว่าสังคมจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะ ยอมรับหรือไม่ก็ตาม มิใช่เพียงแตเ่ พื่อสร้างขีดความสามารถในเชิงแขง่ ขนั ในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพ่อื ความอยรู่ อดของมนุษยชาติ และเพ่ือคณุ ภาพชีวติ ทดี่ ขี ึน้ อกี ตา่ งหากดว้ ย เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้นศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็น ปจั จยั รองรบั ขบวนการโลกาภิวตั น์ ท่ีกำลังผนวกสงั คมเศรษฐกจิ ไทยเข้าเป็นอนั หน่ึงเดียวกันกับสังคมโลก อนั ท่ีจรงิ เทคโนโลยสี ารสนเทศมใี ชใ้ นประเทศไทยเปน็ เวลาชา้ นานมาแล้ว เป็นตน้ ว่า เรามีการใช้ โทรศัพท์ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่าการใช้ เทคโนโลยีน้ียังไม่แพรก่ ระจายทั่วประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเม่ือเทยี บกบั อีกหลาย ๆ ประเทศในโลก กล่าวกันอย่างสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใชห้ รอื แลกเปลีย่ น และเผยแพรส่ ารสนเทศ ดว้ ยระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไม่ ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมูลไป ปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และ จัดการกับข่าวสารข้อมูลจำนวนมหาศาล จึงขาดเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้อง อาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศที่มี จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่าง กว้างขวางตามแต่จะต้องการและอย่างประหยัดที่สุด ก็ต้องอาศัยทั้งสองเทคโนโลยีข้างต้นในการจัดการ และการส่ือหรือขนยา้ ยจากแหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ สผู่ บู้ ริโภคในท่สี ดุ ฉะน้ัน เทคโนโลยสี ารสนเทศจึงครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลกั อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั้ง ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีระบบสื่อสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน์) ท้ังระบบแบบมสี ายและไรส้ าย รวมถึงเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกสต์ ่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยี โทรทัศน์ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนำแสง (fibre optics) สารกึ่งตัวนำ (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณ์ อัตโนมัติสำนักงาน (office automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์ อตั โนมตั ิในโรงงาน (factory automation) เหล่าน้ี เป็นต้น

50 นอกจากการเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ทำลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมันเอง) ต่อ สิง่ แวดล้อมแล้ว คุณสมบตั ิโดดเดน่ อื่น ๆ ทท่ี ำให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยทุ ธศาสตร์สำคญั แห่งยุคปัจจุบัน และในอนาคตก็คือ ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ กิจกรรม อาทิ โดย 1. การลดต้นทนุ หรือคา่ ใช้จา่ ย 2. การเพิ่มคณุ ภาพของงาน 3. การสรา้ งกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆ 4. การสรา้ งผลิตภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ ขนึ้ ฉะนน้ั โอกาสและขอบเขตการนำ เทคโนโลยนี ้มี าใช้ จงึ มีหลากหลายในเกอื บทกุ ๆ กิจกรรมก็ว่า ได้ ไม่วา่ จะเปน็ การปกครอง การให้บรกิ ารสังคม การผลติ ท้งั ภาคเกษตร อตุ สาหกรรม และบริการ รวมถึง การคา้ ทั้งภายในและระหวา่ งประเทศอกี ด้วย โดยพอสรปุ ได้ดังต่อไปน้ี ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพื้นฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การ บริการการศึกษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการ ทรพั ยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอตุ ุนยิ ม ฯลฯ ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสำรวจและขุดเจาะน้ำมันและ ก๊าซ ธรรมชาติ การสำรวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติท้ังบนและใต้ผิวโลก การกอ่ สรา้ ง การคมนาคมทั้งทางบก นำ้ และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อตุ สาหกรรมการผลติ อตุ สาหกรรมบรกิ าร อาทิ ธุรกิจ การทอ่ งเท่ยี ว การเงิน การธนาคาร การขนส่ง และ การประกนั ภยั ฯลฯ ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษ หลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มนี้ อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีที่มีอัตราสูงและอย่าง ตอ่ เนอื่ งตลอดหลายทศวรรษท่ผี า่ นมา วิวฒั นาการทางเทคโนโลยีนส้ี ง่ ผลให้ 1. ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมทั้งค่าบริการ สำหรับการเก็บ การประมวล และการ แลกเปลยี่ นเผยแพรส่ ารสนเทศมีการลดลงอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและรวดเรว็ 2. ทำให้สามารถนำพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เนื่องจากได้มีพัฒนาการการย่อส่วนของชิ้นส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการสื่อสารระบบไร้ สาย 3. ประการท้าย ที่จัดว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทำให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี คอมพวิ เตอรแ์ ละการสื่อสารมุง่ เขา้ สู่จุดทีใ่ กล้เคียงกนั (converge)

51 ประเทศอุตสาหกรรมในโลกได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กลุ่มนี้ จึงให้ ความสำคัญต่อเทคโนโลยีนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สำคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ ศึกษาเปรียบเทียบ ศักยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสำคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็น ผลกระทบสำคญั 5 ประเดน็ ได้แก่ 1. การสรา้ งผลติ ภัณฑ์และบรกิ ารใหม่ ๆ 2. การปรับปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภัณฑแ์ ละบรกิ าร 3. การยอมรับจากสังคม 4. การนำไปใชป้ ระยกุ ตใ์ นภาค/สาขาอ่ืน ๆ 5. การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับใน ศักยภาพสงู สุดในทกุ ๆ ประเดน็ 2.18. ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ 2.18.1 ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) 2.18.1.1 ระบบสารสนเทศทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้กระบวนการ ประมวลผลข้อมูลซึ่งจะทำให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้อย่าง รวดเรว็ ระบบสารสนเทศชว่ ยในการจัดเกบ็ ข้อมูลท่ีมีขนาดใหญ่ หรือมปี ริมาณมากและช่วยทำใหก้ ารเข้าถึง ข้อมลู (access) เหลา่ นนั้ มคี วามรวดเรว็ ดว้ ย 2.18.1.2 ช่วยลดตน้ ทนุ การท่ีระบบสารสนเทศชว่ ยทำใหก้ ารปฏิบัตงิ านท่ีเกี่ยวข้องกับข้อมูล ซึ่งมีปริมาณมากมีความสลับซับซ้อนให้ดำเนินการได้โดยเร็ว หรือการชว่ ยให้เกิดการติดต่อสื่อสารได้อย่าง รวดเร็ว ทำให้เกดิ การประหยดั ตน้ ทุนการดำเนินการอยา่ งมาก 2.18.1.3 ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้เครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ทำ ให้มีการติดต่อไดท้ ั่วโลกภายในเวลาทีร่ วดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดตอ่ ระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอรก์ ับเครื่อง คอมพิวเตอร์ด้วยกัน (machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรือคนกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ (human to machine) และการติดตอ่ สอ่ื สารดังกล่าวจะทำใหข้ ้อมลู ทีเ่ ป็นทั้งขอ้ ความ เสียง ภาพนง่ิ และภาพเคล่ือนไหวสามารถสง่ ไดท้ นั ที

52 2.18.1.4 ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะหากระบบสารสนเทศนั้นออกแบบ เพื่อเอื้ออำนวยให้หน่วยงานทั้งภายในและภายนอกที่อยู่ใน ระบบของซัพพลายทั้งหมด จะทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และทำให้การ ประสานงาน หรอื การทำความเขา้ ใจเปน็ ไปได้ด้วยดียิง่ ขน้ึ 2.18.2 ประสิทธิผล (Effectiveness) 2.18.2.1 ระบบสารสนเทศช่วยในการตดั สินใจ ระบบสารสนเทศที่ออกแบบสำหรับผู้บริหาร เช่น ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบ สารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออำนวยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการ ประกอบการตัดสินใจได้ดขี นึ้ อันจะส่งผลใหก้ ารดำเนนิ งานสามารถบรรลวุ ตั ถุประสงคไ์ วไ้ ด้ 2.18.2.2 ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลิตสินค้า/บริการที่เหมาะสมระบบสารสนเทศ จะช่วยทำให้องค์การทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ราคาในตลาดรูปแบบของสินค้า/บริการที่มีอยู่ หรือช่วยทำให้หน่วยงานสามารถเลือกผลิตสินค้า/บริการที่มีความเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญ หรือ ทรัพยากรที่มอี ยู่ 2.18.2.3 ระบบสารสนเทศช่วยปรับปรงุ คุณภาพของสินค้า/บริการให้ดีขึ้นระบบสารสนเทศ ทำให้การติดต่อระหว่างหน่วยงานและลูกค้า สามารถทำได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้ หน่วยงานสามารถปรบั ปรงุ คุณภาพของสินคา้ /บริการใหต้ รงกบั ความต้องการของลูกคา้ ไดด้ ีขึน้ และรวดเร็ว ข้นึ ดว้ ย 2.18.2.4 ความไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขัน (Competitive Advantage) 2.18.2.5 คุณภาพชีวติ การทำงาน (Quality of Working Life

53 3. คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ -เทอร์เนต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1 เทคโนโลยีและสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ 3.1.1 นยิ าม ความหมาย และความสำคญั นิยาม ความหมายและความสำคัญที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ลักษณะเฉพาะของเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการศึกษา องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือ การเรียนรู้ บทบาทของเทคโนโลยีและสารสนเทศที่มีต่อการจัดการศึกษา การผลิตสารสนเทศจากข้อมูล เพื่อใช้จัดการเรียนรู้ ประโยชน์ของระบบสารสนเทศต่อการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ แนวโน้มของ เทคโนโลยสี ารสนเทศตอ่ กระบวนการจัดการศกึ ษาและการเรยี นรู้ ตลอดระยะเวลาของการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนต่างเร่งพัฒนาการศึกษา มุ่งเน้นให้การศึกษานำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน เพื่อให้คนนั้นเป็นพลังสำคัญไปช่วยพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (ICT) ในโลกปจั จบุ นั จงึ เป็นเครื่องมือ วธิ ีการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของการจัดการศึกษา เช่น ช่วยนำการศึกษาให้เข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสริมการเรียนรู้นอกระบบ และการเรยี นรู้ตามอัธยาศยั ช่วยจัดทำขอ้ มลู สารสนเทศเพื่อการบรหิ ารและจัดการ ช่วยเพิ่มความรวดเร็ว และแม่นยำในการจัดทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษา และการเรียกใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในงานจดั การศึกษา โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อื ช่วยการเรียนการสอน ปัจจุบันเรามิอาจจะปฎิเสธได้เลยว่าเราได้อยู่ท่ามกลางกระแสของสังคมดจิ ิตอล อันเป็นฐาน สำคัญของของข้อมูล ที่นำไปสู่การพัฒนาในเกือบทุกๆด้าน โครงสร้างระบบเศรษฐกิจก็ก้าวสู่เศรษฐกิจ ดิจิตอล (Digital Economy) อีกท้ังสังคมได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมใหม่ที่เป็นสังคมแห่งความรอบรู้ (Knowledge Base Society) และภูมิปัญญา มีการใช้ภูมิปัญญาและความรู้หลากหลายแขนงในการ ดำเนินกจิ การตา่ งๆมากขน้ึ แรงผลกั ดันให้สงั คมเปลี่ยนแปลงมาสู่สงั คมดจิ ิตอล ก็มาจากพฒั นาการทางดา้ นเทคโนโลยีใน หลายๆแขนง มีผลิตภัณฑ์ หรือองค์ประกอบทางด้านดิจิตอลที่ได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น การบริการ ข่าวสาร ข้อมูลหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ี่ส่งผ่านเครือข่ายไปสู่ผู้บริโภคในหลากหลายวิธีการ ไม่ว่าจะเป็น

54 คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ นอกจากนี้ยังเป็นแรงผลกั ดันทีส่ ำคัญทีท่ ำให้สังคมการเรยี นรู้ ได้เปิดกว้างไปสังคม แห่งความรอบรู้ไรพ้ รมแดน ในบทนี้เราจะมาเรียนรู้ สาระสำคัญ ท่ีนำไปสกู่ ารจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ พฒั นาการของกระแสแห่งสงั คมดจิ ิตอล ไดแ้ ก่ 1. เทคโนโลยีการศกึ ษา 2. สารสนเทศการศกึ ษา 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1.2 เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1.2.1 ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ จากความหมายของคำว่า เทคโนโลยี และ สารสนเทศ เมื่อนำมารวมกันจะเกิดคำใหม่ที่ เรียกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล รวมถึงการเผยแพร่สารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Information Technology หรือ IT เทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดจากการรวมตัวของ2 องค์ประกอบหลัก คือ เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีการสื่อสาร(เทคโนโลยีเครือข่าย และเทคโนโลยีการ ส่งผ่านขอ้ มลู ) เขา้ ด้วยกนั 3.1.2.2 เทคโนโลยีอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีในระบบดิจิตอลซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการเริ่มต้นมาจาก ทรานซิสเตอร์ (Transistor) สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) จนถึงวงจรรวมสารกึ่งตัวนำขนาดใหญ่มาก (Very large scale integration (VLSI) semiconductors) หรือที่รู้จักในชื่อของ IC(integrated circuit) หรอื microcircuit หรือ microchip หรอื silicon chip หรือ chip พฒั นาการน้ันส่งผลให้มีการเพิ่มอัตราส่วนของราคา และคณุ ภาพรวมท้งั ขนาดของเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่เล็กลงแต่มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราส่วนของราคาและคุณภาพ (Performance and Price Ratio) ดังกล่าวโดยเฉลี่ยแล้วจะมีการเพิ่มขึ้นทุกๆ 18 เดือน ส่งผลให้สถาปัตยกรรมทาง คอมพิวเตอร์ (Computer Architecture) เปลี่ยนจาก host-based time sharing ไปยัง networked client-server systems เช่นเดียวกับที่ข้อจำกัดในการเก็บ (Storage) และการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ลดลงไปทกุ ขณะ

55 3.1.2.3 เทคโนโลยกี ารสื่อสาร 1) เทคโนโลยีเครอื ข่าย โดยเฉพาะเครือข่าย Integrated services digital network : ISDN ที่วางมาตรฐาน สำหรับการรวมเครือข่ายโทรศัพท์และเครือข่ายข้อมูลที่เคยแยกกัน บริการเสียงและข้อมูลจะถูกรวม (Integrated) บนเครือข่าย ISDN เนื่องจากทั้งเสียงและข้อมูลจะได้รับการแปลงเป็นดิจิตอลบิต (Digital Bit) เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ข้อจำกัดในการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายโทรศัพท์หมดไป ผู้ใช้สามารถพูดคุย และส่งข้อมูลจำนวนมากบนสายเดียวกัน ประกอบกับการที่เครือข่ายดังกล่าวใช้เทคนิคการส่งผ่านข้อมูล และการสลับสายที่ก้าวหน้าที่เรียกว่า Asynchronous Transfer Mode : ATM จะส่งผลให้บริการส่ือ มัลตมิ ีเดียในระบบดจิ ิตอล (Digitized multi-media) ทำไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2) เทคโนโลยีการส่งผา่ นข้อมูล (Telecommunications Transmission Technology) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาให้สามารถรองรับการส่งผ่านข้อมูลทั้ง ปริมาณของข้อมูล ความเร็ว การผนวกรวมช่องสัญญาณร่วมกัน เป็นพัฒนาการมาตั้งแต่เทคโนโลยีสัญญาณคลื่นความถ่ี เทคโนโลยีไมโครเวฟ เทคโนโลยีดาวเทียม จนมาถงึ เทคโนโลยเี คเบิลใยแก้วนำแสง ลว้ นแต่ได้รบั การพัฒนา ไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเคเบิลใยแก้วนำแสงหนึ่งใยแก้ว สามารถส่งผ่านสัญญานคูก่ ารสื่อสารโทรศัพท์ จำนวน 30,000คู่สัญญาณได้พร้อมกันในเวลาเพียงแค่ 0.1 mm in diameter ซึ่งในสายเคเบิลเส้นหน่ึง ประกอบไปดว้ ยเส้นใยแก้วมากมาย 3) โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่ทันสมัยจะประกอบไปด้วยเครือข่ายหลัก 6 เครือข่าย ดงั ต่อไปน้ี 1. เครอื ข่ายโทรศัพท์พนื้ ฐาน (Public Telephone Network) 2. เครือข่ายการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ ( Cellular and other mobile communications networks)

56 3. การแพร่สญั ญาณโทรทัศน์ (Terrestrial broadcast television) 4. เครอื ขา่ ยเคเบิลทวี ี (Cable television networks) 5. บริการดาวเทียมส่งตรงถงึ บา้ น (Direct to home (DTH) satellite services) 6. เครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) 4) นกั วชิ าการ ในสหรฐั ฯ ได้ให้ความหมายของคำว่า “โครงสร้างพนื้ ฐานสารสนเทศ” ใน “The National Information Infrastructure, Agenda for Action” (1993) ไวว้ า่ 1. เครือข่ายโทรคมนาคมนับพันที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ (Interconnected) และใช้ รว่ มกันได้ (Interoperable) 2. ระบบคอมพิวเตอร์ โทรทศั น์ โทรสาร โทรศพั ท์ และเคร่อื งมอื การสอ่ื สารอ่นื ๆ 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) บริการสารสนเทศ (Information Services) และฐานข้อมลู (Databases) เชน่ หอ้ งสมดุ เป็นต้น 4. บุคลากรที่ได้รับการอบรมทีส่ ามารถสร้าง บำรุงรักษาและสามารถใชร้ ะบบท่กี ล่าว มาได้ โครงสร้างพ้ืนฐานของสหรฐั จะเปรียบเสมือนรงั ผงึ้ ซึ่งถอื เปน็ ตน้ แบบของสังคมสารสนเทศในอนาคต 5) เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป็น 6 รูปแบบ ดังน้ี ตอ่ ไปนี้ คือ 1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพ, กล้องถ่ายภาพดิจิตอล, กล้องวีดที ศั น์ เป็นตน้ 2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะอยู่ในรูปสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น บัตร เอทีเอม็ แผน่ CD / DVD, ม้วนเทปบนั ทกึ , Flash memory , Harddisk เปน็ ตน้ 3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทั้ง ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ 4. เทคโนโลยที ใี่ ช้ในการแสดงผลข้อมลู เชน่ เครือ่ งพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ 5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องถ่าย ไมโครฟลิ ์ม เครื่องอดั สำเนาดิจิตอล 6. เทคโนโลยสี ำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ไดแ้ ก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทศั น์, วิทยกุ ระจายเสียง, และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทัง้ ระยะใกลแ้ ละไกล สังคมสารสนเทศจะเป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ (Knowledge-based economy in the Information Society)

57 3.1.2.4 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีนั้นมีความสำคัญมากกว่าเทคโนโลยีอื่นใดที่มนุษย์ เคยคิดค้นขึ้น แม้โดย พื้นฐานแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงอย่างเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ไม่ทำให้โลก ร่ำรวยดว้ ยอาหารเหมือนเทคโนโลยกี ารเกษตรและอาหาร และไม่อาจทำใหม้ นุษย์มชี ีวิตยืนยาวไม่เจ็บป่วย เหมือนเทคโนโลยกี ารแพทย์ แต่เทคโนโลยีทั้งหลายท่ีระบุมานี้ล้วนแล้วแต่พัฒนาก้าวหน้ามาถงึ ระดับนี้ได้ เพราะมีเทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ รากฐาน หากขาดซ่งึ เทคโนโลยสี ารสนเทศแล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ จะไม่มี ความกา้ วหนา้ มากดงั ทเ่ี ป็นในปัจจบุ นั 3.1.3 สารสนเทศการศกึ ษา 3.1.3.1 ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ (information)[จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี] เป็นผลลัพธ์ของ กระบวนการ และการจัดการข้อมูลโดยการรวมความรู้เข้าไปต่อผู้รับสารสนเทศนั้น สารสนเทศมี ความหมายหรือแนวคิดที่กว้าง และหลากหลาย ตั้งแต่การใช้คำว่าสารสนเทศในชีวิตประจำวัน จนถึง ความหมายเชิงเทคนิค ตามปกติในภาษาพูด แนวคิดของสารสนเทศใกล้เคียงกับความหมายของการ สื่อสาร เงื่อนไข การควบคุม ข้อมูล รูปแบบ คำสั่งปฏิบัติการ ความรู้ ความหมาย สื่อความคิด การรับรู้ และการแทนความหมาย ปัจจุบันผู้คนพูดเกี่ยวกับยุคสารสนเทศว่าเป็นยุคที่นำไปสู่ยุคแห่งองค์ความรู้หรือ ปัญญา นำไปสู่สังคมอุดมปัญญา หรือสังคมแห่งสารสนเทศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ แม้ว่าเมื่อพูดถึง สารสนเทศ เป็นคำที่เกี่ยวข้องในศาสตร์สองสาขา คือ วิทยาการสารสนเทศ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งคำว่า \"สารสนเทศ\" กถ็ กู ใชบ้ ่อยในความหมายที่หลากหลายและกวา้ งขวางออกไป และมีการนำไปใช้ใน สว่ นของ เทคโนโลยสี ารสนเทศ และ การประมวลผลสารสนเทศ สิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตาม จุดประสงค์ สารสนเทศ จึงหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ทันเวลา และ อยู่ในรูปที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศจะต้องมีการ ควบคุมดูแลเป็นอย่างดี เช่น อาจจะมีการกำหนดให้ผู้ใดบ้างเป็นผู้มีสทิ ธิ์ใช้ข้อมูลได้ ข้อมูลที่เป็นความลบั จะต้องมีระบบขั้นตอนการควบคุม กำหนดสิทธิ์ในการแก้ไขหรือการกระทำกับข้อมูลว่าจะกระทำได้โดย ใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลที่เก็บไว้แล้วต้องไม่เกิดการสูญหายหรือถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ การจัดเก็บ ข้อมูลที่ดี จะต้องมีการกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีลักษณะง่ายต่อการจัดเก็บ และมีรูปแบบเดียวกัน

58 ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความเป็นอิสระในตัวเอง นอกจากนี้ไม่ควรมีการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน เพราะจะเป็นการสิ้นเปลอื งเนอื้ ทเ่ี กบ็ ข้อมูล โดยสรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือ ประสบการณ์ อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รปู ภาพ เสียง สญั ลกั ษณ์ หรืออืน่ ๆ ทถี่ กู นำมาผา่ นกระบวนการประมวลผล ดว้ ยวธิ ีการที่ เรียกว่า กรรมวิธี จัดการข้อมูล (Data Manipulation) และผลที่ได้อาจแสดงผลออกมาในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ แผนที่ สื่อเชิงแสงประเภท ซีดีรอม ดีวีดี และเป็นผลลัพธ์ที่ผู้ใช้สามารถ นำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อย่างถูกต้อง ตรงและทนั กบั ความตอ้ งการ 3.1.4 ลักษณะเฉพาะของสารสนเทสเพ่อื การเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่ประกอบขึ้นด้วยระบบจัดเก็บและประมวลผล ข้อมูล ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และอุปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านสารสนเทศที่มีการวางแผน จดั การ และใชง้ า่ นรว่ มกนั อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ อิทธิพลของตัวแปรภายนอกจะมีผลต่อความเชื่อ ทัศนคติ และความสนใจทีจ่ ะใช้เทคโนโลยี หรือ คอมพิวเตอร์ (Davis et al. 1989, Legris et al. 2003). ความเชื่อในขั้นต้น 2 อย่างที่ส่งผลต่อการ นำระบบมาใชค้ ือ การรับร้ถู ึงประโยชนท์ ่ีจะไดร้ บั จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเป็นระบบท่ีง่ายต่อ การใช้งาน สามารถแบ่งเบาภาระงานได้ สะดวกสบายขึน้ (Davis 1989,Davis et al. 1989, Igbaria and Tan 1997). แนวคิดดังกล่าวถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง เป็นแบบแผนในการตัดสินใจที่ประสบ ผลสำเร็จ ในการพยากรณ์การยอมรับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยชี้ให้เหน็ ถึงสาเหตทุ ี่เกี่ยวข้องกับการ รับรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของแต่ละบุคคล ในเรื่องของประโยชน์ที่เขาจะได้รับ และการใช้งานที่ง่าย จะก่อให้เกิดพฤติกรรมในการสนใจที่จะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลให้มีการนำมาใช้และยอมรับใน เทคโ นโ ลยี ( Davis 1989, Davis et al. 1989, Adams et al. 1992, Venkatesh and Davis 1996). เพราะความมีประโยชน์จะเป็นตัวกำหนดการรับรู้ในระดับบุคคล คือ แต่ละคนก็จะรับรู้ได้ว่าเทคโนโลยี สารสนเทศ จะมสี ่วนช่วยในการพฒั นาผลการปฏบิ ัตงิ านของเขาได้อย่างไรบ้าง ส่วนความงา่ ยในการใช้ จะ เป็นตัวกำหนดการรับรู้ในแง่ของปริมาณหรือความสำเร็จที่จะได้รับว่าตรงกับที่ต้องการหรือไม่ งานจะ สำเรจ็ ตรงตามที่คาดไวห้ รอื ไม่ (Davis 1989,Davis et al.1989, Venkatesh and Davis 1996). รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 43 ได้บญั ญัติว่า บุคคลย่อมมี สิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมาตรา 81 ที่เน้นให้รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมให้

59 ประชาชน เกิดความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นที่มาของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ทำให้ เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ท้ังระบบ คือ (1) ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพของคนไทย (2) ปฏิรูปการ เรียนรู้เพื่อความเข้มแข็งของคนไทย (3) ปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเรียนรู้ยุค โลกาภิวัฒน์ (4) ปฏริ ปู การเรยี นรู้เพ่ือใหส้ อดคล้องกับความต้องการของผู้เรยี น ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ สงั คมไทย โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนร้ตู ามข้อ (3) และ (4) จะเป็นไปไดน้ น้ั จำเป็นตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยียุค สังคมขา่ วสาร และเทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นสอื่ หลัก คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศท่ดี ี (Characteristics of Information) สารสนเทศท่ดี ีควรมีคุณลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี 1. สารสนเทศที่ดีต้องมีความความถกู ต้อง (Accurate) และไม่มคี วามผดิ พลาด 2. ผู้ที่มีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลาท่ีเหมาะสม ตาม ความตอ้ งการของผู้ใช้ 3. สารสนเทศตอ้ งมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลุมเครอื 4. สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจุไปด้วยข้อเท็จจริงที่มีสำคัญ ครบถ้วน 5. สารสนเทศตอ้ งมคี วามกะทัดรดั (Conciseness) หรอื รัดกมุ เหมาะสมกบั ผใู้ ช้ 6. กระบวนการผลติ สารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ทีม่ หี นา้ ท่ีตัดสินใจ มกั จะต้องสร้างดลุ ยภาพ ระหว่างคณุ ค่าของสารสนเทศกบั ราคาทีใ่ ชใ้ นการผลติ 7. ต้องมีความยึดหยุ่น (Flexible) สามารถในไปใช้ในหลาย ๆ เป้าหมาย หรือ วัตถปุ ระสงค์ 8. สารสนเทศที่ดีตอ้ งมีรูปแบบการนำเสนอ (Presentation) ทเ่ี หมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ท่ี เก่ียวขอ้ ง 9. สารสนเทศที่ดีต้องตรงกับความต้องการ (Relevant/Precision) ของผู้ที่ทำการ ตดั สินใจ 10 สารสนเทศที่ดีต้องมีความน่าเชื่อถือ (Reliable) เช่น เป็นสารสนเทศที่ได้มาจาก กรรมวิธีรวบรวมท่ีน่าเช่ือ ถอื หรือแหลง่ (Source) ท่ีน่าเชื่อถือ เปน็ ต้น 11. สารสนเทศที่ดีควรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเข้าถึงของผู้ไม่มีสิทธิใช้ สารสนเทศ

60 12. สารสนเทศที่ดีควรง่าย (Simple) ไม่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดท่ีเหมาะสม (ไม่มาก เกินความจำเปน็ ) 13. สารสนเทศทีด่ ตี อ้ งมคี วามแตกต่าง หรือประหลาด (Surprise) จากขอ้ มลู ชนิดอ่นื ๆ 14. สารสนเทศทดี่ ีต้องทนั เวลา (Just in Time : JIT) หรอื ทนั ต่อความต้องการ (Timely) ของผูใ้ ช้ หรอื สามารถสง่ ถงึ ผรู้ ับไดใ้ นเวลาที่ผู้ใชต้ อ้ งการ 15. สารสนเทศที่ดีต้องเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหม่อยู่เสมอ มิ เชน่ นนั้ จะไมท่ ันตอ่ การ เปลี่ยนแปลงท่ดี ำเนินไปอย่างรวดเร็ว 16. สารสนเทศท่ีดีต้องสามารถพสิ จู น์ได้ (Verifiable) หรอื ตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ไดว้ ่ามีความถูกตอ้ ง นอกจากน้นั สารสนเทศมีคณุ สมบตั ิที่แตกต่างไปจากสินคา้ ประเภทอืน่ ๆ 4 ประการคอื ใช้ไม่ หมด ไมส่ ามารถ ถา่ ยโอนได้ แบง่ แยกไมไ่ ด้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สบื สนธ์ 2543 : 12-13) หรือ อาจสรุปได้ว่าสารสนเทศ ที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้าน เนื้อหา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเชื่อถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้) ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนำเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน กระบวนการ (เข้าถึงได้ และ ปลอดภยั ) 3.1.5 องคป์ ระกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้ ในส่วนขององค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้หากพิจารณาได้ใน 2 ลักษณะ คือ 3.1.5.1 องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การเรยี นรู้ พิจารณาเชงิ เทคโนโลยี 3.1.5.2 องค์ประกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรียนรู้ พจิ ารณาเชิงระบบ 3.1.5.1 องค์ประกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การเรียนรู้ พจิ ารณาเชงิ เทคโนโลยี จะประกอบดว้ ยเทคโนโลยี 2 สาขาหลัก คือ เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม 1) เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตาม คำสั่งที่บอก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรม

61 คอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2546: 4) 2) เทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม ใชใ้ นการติดตอ่ สื่อสาร รบั -สง่ ขอ้ มลู จากทีห่ น่ึงไปสู่อีก ที่หนึ่ง เป็นการส่งของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทัน การณ์ ซง่ึ รปู แบบของข้อมลู ท่รี ับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อกั ษร (Text) ภาพ (Image) และ เสียง (Voice) เทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบ โทรคมนาคมทั้งชนิดมีสายและไร้สาย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วทิ ยโุ ทรทศั น์ เคเบ้ิลใยแก้วนำแสง คลืน่ ไมโครเวฟ และดาวเทียม เปน็ ต้น 3.1.5.2 องคป์ ระกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรียนรู้ พิจารณาเชงิ ระบบ จะพบว่าระบบสารสนเทศจะประกอบด้วยองค์ประกอบต่างที่จะนำพาให้ระบบสารสนเทศทำงานบรรลุ เป้าหมายที่วางไว้ มี 5 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล บุคคลากร ระเบียบปฏิบัติการ โดยมี รายละเอยี ดดงั น้ี

62 1) ฮารด์ แวร์ (Hardware) หมายถึงเครื่อง(ระบบ)คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณต์ ่อพว่ งตา่ งๆ ประกอบด้วย 5 สว่ น คอื 1. อปุ กรณร์ บั ข้อมลู (Input) เป็นส่วนสำหรับสร้างข้อมูลอักขระ(ตัวเลข ตัวอักษร คำสั่ง) ผ่านแป้นพิมพ์หรือ Keyboard กำหนดคำสั่งสำเร็จรูปผ่านเมาส์ หรือประมวลแปลผลจากภาพเป็นข้อมูลด้วย Scanner หรือ การอ่านรหัสข้อมลู แถบเสน้ ดว้ ย Bar Code Reader เปน็ ต้น 2. อุปกรณแ์ สดงข้อมูล (Output) เป็นส่วนแสดงผลข้อมูล ที่จะปรากฎในรูปที่มองเห็นผ่านจอภาพ (Monitor) หรือ ในรปู ของเอกสารผ่านเครอ่ื งพิมพ์ (Printer) หรือถูกสง่ ผา่ นอุปกรณ์แสดงผลอืน่ ๆ อาทิ เครอื่ ง projector 3. หน่วยประมวลผลกลาง หรือที่เรียกว่า CPU (Central Processing Units) มีหน้าที่รับข้อมูลจากส่วน อินพุตเข้ามาประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ การย้าย การปรับปรุงข้อมูลตามคำสั่ง แลัวส่งผลที่ได้ ออกไปยงั สว่ นของเอาทพ์ ตุ ตามท่ีกำหนดไว้ 4. หนว่ ยความจำหลกั มีหน้าที่เก็บข้อมูลที่ใช้ในการทำงาน ข้อมูลนี้ มีทั้งข้อมูลที่ถูกติดตั้งเป็นข้อมูล ระบบ ข้อมูลแลำคำสั่งโปรแกรมทำงานด้านต่างๆ และข้อมูลผลลัพธ์จากการประมวลผล จากการคำนวน ซงึ่ ข้อมูลน้ีจะถูกนำเขา้ จากอุปกรณร์ บั ข้อมูลภายนอก หรือจากการทำงานประมวลผลจากโปรแกรมภายใน เคร่ือง หน่วยความจำหลกั ท่รี ูจ้ ักกันดี จะรูจ้ กั ในช่อื ของ harddisk 5. หน่วยความจำสำรอง หรือที่รู้จักในชื่อของ RAM ซึ่งย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็น หน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพือ่ ส่งไปให้ CPU ประมวลผลซึ่ง RAM นี้ จะต้องมีไฟเข้าเลี้ยง ภายใน Module ของ RAM ตลอดเวลา ลกั ษณะจะเปน็ แผงวงจร หรอื Circuit Board ขนาดเล็กที่เรียกว่า IC ปจั จบุ นั เทคโนโลยีของหน่วยความจำมี 2 แบบ คือ 5.1 หน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR- SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM

63 5.2 หนว่ ยความจำแบบ Rambus 2) ซอฟต์แวร์ (Software) หรือที่รู้จักกนั ในช่ือว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ นับได้ว่าเปน็ องคป์ ระกอบที่สำคญั และ จำเป็นมากในการควบคุมการทำงาน การกำหนดคำสั่งให้ชิ้นส่วน อุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์ของเครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลัพธต์ ามความต้องการ ซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ 1. Operating System หรือจะเรียกรวมว่า ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างผู้ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ตัวอย่างโปรแกรมท่ีนิยมใชก้ ัน ในปัจจุบัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows ระบบปฏิบตั ิการ UNIX ระบบปฏบิ ตั ิการ Linux เป็นตน้ 2. Application หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นตามความตอ้ งการของผูใ้ ช้ และ เพื่อใช้สนับสนุนการจัดการทั่วไป (Word Processing, Spreadsheet.) ด้านการเชื่อมโยงการสื่อสาร (web browser หรือ Messenger หรือ e-mail) หรือเป็นโปรแกรมพิเศษที่ถูกเขียนหรือพัฒนาขึ้นเพื่อ ทำงานเฉพาะดา้ นหนงึ่ ๆ ตามลกั ษณะความต้องการ(โปรแกรมจัดการร้านค้า โปรแกรมควบคุมสินค้า หรือ โปรแกรม Karaoke) 3.1.5.3 ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงาน และการปฏิบัติการทึ่ต้องเก็บรวบรวมไว้ เพือ่ ใช้ประกอบการอ้างอิง การตัดสินใจและการปฏิบตั ิงาน ขอ้ มลู จะมโี ครงสร้างในการจัดเก็บท่ีเป็นระบบ ระเบียบมแี บบแผนมาตรฐาน เพื่อการสืบค้นที่รวดเรว็ มปี ระสิทธภิ าพ

64 ข้อมูล (DATA) คือข้อมูลต่าง ๆ ที่เรานำมาให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลคำนวณ หรือ กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ ปัจจุบันเราถือกันว่าข้อมูลมีความสำคัญอย่าง ย่ิงตอ่ การใช้งานคอมพวิ เตอร์ ชนิดของขอ้ มูล (Types of Data) เราสามารถแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ชนดิ ดังนี้ 1. ข้อมูลที่เป็นอักขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอักษร (Letters) เครอื่ งหมาย (Sign) และ สัญลกั ษณ์ (Symbol) 2. ข้อมูลที่เป็นภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และ รปู ภาพ (Pictures) 3. ข้อมูลที่เป็นเสียง (Audio Data) ได้แก่ เสียง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise) และเสยี งท่ีมรี ะดับ (Tones) ตา่ งๆ เชน่ เสยี งสูง เสยี งต่ำ เป็นตน้ 4. ข้อมลู ทเ่ี ปน็ ภาพเคลือ่ นไหว (Video Data) ไดแ้ ก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or Pictures) และ วีดิทศั น์ (Video) นอกจากนั้นยังพบว่ามีข้อมูลในลักษณะของกลิ่น (Scent) และข้อมูลในลักษณะที่มีการ ประสมประสานกัน เช่น มีการนำเอาข้อมูลทั้ง 4 ชนิดมารวมกันเรียกวา่ สื่อประสม (Multimedia) แต่ถ้า มีการประสมข้อมูลทเ่ี ป็นกลนิ่ เขา้ ไปดว้ ย เราเรียกวา่ Multi-scented 3.1.5.4 บคุ ลากร (People) ก็คือ กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด มีตั้งแต่ระดับผู้ใช้งาน ทั่วไป ผู้บริหารองค์กร หน่วยงาน ผู้พัฒนาและวิเคราะห์ระบบ ผู้ควบคุมระบบ และนักเขียนโปรแกรม ทั้งหมดนีล้ ว้ นแต่เปน็ องค์ประกอบที่สำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ ซึ่งสามารถจำแนกคร่าว ๆ ได้ 3 กลมุ่ ดงั นี้ 1. Analysis หรือ นักวิเคราะห์ระบบ ทำหน้าที่วิเคราะห์ ออกแบบโครงสร้างของ ระบบในองคก์ รเพอ่ื นำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพสงู สดุ 2. Programmer หรือนกั พฒั นาโปรแกรม (คนเขียนโปรแกรม) ทำหนา้ ทสี่ รา้ ง พฒั นา โปรแกรมทางคอมพวิ เตอร์ 3. User หรอื เรยี กวา่ ผใู้ ชง้ านโปรแกรม ในแตล่ ะองคก์ รหากบคุ ลากรมีความรู้ ความสามารถทางคอมพวิ เตอร์มากเทา่ ใด โอกาสท่ี จะเข้าถึง เพื่อการใช้งานระบบ สารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้น เทา่ นัน้ โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดับบุคคล ซึ่งเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์มีขีดความสามารถมากขึ้น ทำให้

65 ผู้ใช้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงาน ได้เองตามต้องการ สำหรับระบบ สารสนเทศในระดับกลุ่มและองค์การที่มีความซับซ้อนมากอาจจะต้องใช้บุคลากรในสาขา คอมพิวเตอร์ โดยตรงมาพัฒนาและดูแลระบบงาน 3.1.5.5 ระเบยี บปฎิบตั กิ ารหรอื ข้ันตอนการปฏิบตั ิงาน (Procedure) เป็นระเบียบวิธีการเข้าถึงข้อมูลของเครื่อง ข้อมูลส่วนรวม การใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคล(ขน้ั ตอนการบันทึกข้อมลู ขัน้ ตอนการประมวลผล ขัน้ ตอนปฏิบตั ิงานในแต่ละโปรแกรม) การใช้งาน (ข้อมูล)เครือข่าย การดูแลรักษา การปฎิบัติตามกฎหมายว่าด้วย พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องมี ความรู้ ไดร้ ับการพัฒนาอยา่ งต่อเน่อื ง เพ่อื ใหท้ นั ต่อพัฒนาการความก้าวหน้าของเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ คำอธิบายคำว่า ระบบ หมายถึง ส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นโดยองค์ประกอบเหล่านั้น สามารถทำงานได้อย่างอิสระ แต่มีปฏิสัมพันธ์ในการดำเนินงาน เพื่อแก้ปัญหาหรือช่วยให้การทำงานน้ัน บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ สารสนเทศ สามารถหมายถึงคุณภาพของข้อความจากผู้ส่งไปหาผู้รับ สารสนเทศจะประกอบไปด้วย ขนาดและเหตุการณ์ของสารสนเทศนั้น สารสนเทศสามารถแทนข้อมูลที่มี ความถูกต้องและความแม่นยำหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งข้อเท็จจริงหรือข้อโกหกหรือเป็นเพียง เหตุการณ์หนง่ึ ทเี่ กิดขึ้น สารสนเทศจะเกดิ ข้ึนเม่ือมผี สู้ ่งข้อความและผ้รู บั ข้อความอยา่ งน้อยฝ่ายละหนึ่งคน ซึ่งทำให้เกิดการสื่อสารของข้อความและเข้าใจในข้อความเกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ ความหมาย ความรู้ คำสั่ง การสื่อสาร การแสดงออก และการกระตุ้นภายใน การส่งข้อความที่มีลักษณะเป็น สารสนเทศ ในขณะเดียวกนั การบกวนการสื่อสารสารสนเทศกถ็ ือเป็นสารสนเทศเช่นเดยี วกนั (wiki) 3.1.6 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไว้หลายประการดังต่อไปนี้ (จอห์น ไนซ์บิตต์ อ้างถึงใน ยืน ภูว่ รวรรณ) ประการที่หนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมา เป็นสังคมสารสนเทศ ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติ ไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่าย สารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัฒน์

66 ประการทส่ี าม เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพนั มีการบังคับบัญชา แบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การ ดำเนนิ ธุรกจิ มกี ารแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใชร้ ะบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ และการสื่อสาร โทรคมนาคมเปน็ ตัวสนับสนุน เพอ่ื ให้เกิดการแลกเปลยี่ นข้อมูลได้งา่ ยและรวดเร็ว ประการที่ส่ี เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถ ตอบสนองตามความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรปู แบบใหม่ท่ีเลอื กไดเ้ อง ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานท่ี และทกุ เวลา ประการท่ีหก เทคโนโลยสี ารสนเทศก่อใหเ้ กดิ การวางแผนการดำเนนิ การระยะยาวข้ึน อีกทง้ั ยงั ทำใหว้ ิถกี ารตดั สินใจ หรอื เลือกทางเลือกไดล้ ะเอียดขน้ึ กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของกระบวนการจัด การศึกษา ในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อ ความสำเร็จของการจดั การศกึ ษา 3.1.7 บทบาทของเทคโนโลยสี ารสนเทศที่มตี ่อการจดั การศึกษาของไทย ในปจั จบุ ันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เขา้ มามีบทบาท ในการพัฒนาในเกือบทกุ ๆด้าน ไม่ว่า ในด้านธุรกิจ ด้านสาธารณสุข ด้านการทหารและความมั่นคง ด้านโทรคมนาคมและการสือ่ สาร ดังจะเหน็ ได้วา่ หน่วยงานธรุ กจิ สว่ นใหญ่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ เครอื่ งมือสำคัญในการบริหาร การ จัดการในองค์กร อีกทั้งเพิ่มระดับความสำคัญมากขึ้นในแต่ละปี มีการจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้ เพื่อ การจัดการกับข้อมูลสารสนเทศเป็นการเฉพาะ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อวางกลยุทธ์หาความ ได้เปรียบในตลาดโดยรวม อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิต รวมถึงใช้เป็น ชอ่ งทาง สำหรบั เผยแพร่สารสนเทศขององคก์ รมากขึ้นด้วย ในส่วนของการศึกษา เทคโนโลยสี ารสนเทศ ก็มบี ทบาททส่ี ำคัญในส่วนของการเป็นทั้งเคร่ืองมือหลัก และ เครือ่ งมอื สนับสนุนทีต่ ้องจัดหา และนำมาใช้ในการเรยี นการสอนเพื่อให้เป็นไปตามลักษณะการศึกษา ตาม เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ การกำหนดทิศทางและนโยบายการจัดการศึกษาไทย จึงต้องดำเนินการอยา่ งเร่งด่วน เพื่อให้ทันต่อความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยที ี่มีผลต่อการกำหนดคุณสมบัติ

67 และคุณภาพของแรงงานในอนาคต ซึ่งเราจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการ ขนสง่ เทคโนโลยกี ารผลติ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยชี วี ภาพ เหล่านล้ี ้วนมีความกา้ วหนา้ ข้นึ อย่างต่อเน่ือง ซึ่งเทคโนโลยีเหลา่ นม้ี ีประโยชน์ในการเพม่ิ ศักยภาพการแข่งขนั ของประเทศ ดงั น้นั การจดั การศกึ ษาจึงต้อง มีการเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในหลักสูตรการเรียนการสอน และปรับปรุงให้ทันต่อการ เปล่ยี นแปลงเทคโนโลยี จะต้องประกอบด้วย โครงสร้างพนื้ ฐานด้านชอ่ งทางและส่ือ ดงั ต่อไปนี้ 3.1.7.1 เทคโนโลยโี ทรคมนาคม (E-communication) เทคโนโลยโี ทรคมนาคม ท่สี ำคัญไดแ้ ก่ การสอื่ สารผ่านดาวเทียม เครือข่ายความถ่ี การสือ่ สาร เครือขา่ ยเสน้ ใยแกว้ นำแสง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 3.1.7.2 ระบบการสอนผ่านจอภาพ (On -Screen Interactive Instruction) ระบบการสอนผ่านจอภาพที่สำคญั ได้แก่ การสอนด้วยคอมพิวเตอร์ การสอนด้วย โทรทศั นป์ ฏิสัมพันธ์ การสอนด้วยการประชุมทางไกล การสอนด้วยเครือข่ายโลก 3.1.7.3 ระบบส่อื ตามต้องการ (Media On Demand) เช่น สัญญาณภาพตามตอ้ งการ เสยี งตามตอ้ งการ บทเรียนตามตอ้ งการ เป็นต้น 3.1.7.4 ระบบฐานความรู้ (Knowledge-Based System) เปน็ ระบบทพี่ ัฒนาต่อยอดมาจากระบบฐานข้อมูล ซ่งึ รวบรวม และจดั เรียงเนื้อหา ข้อมูลตามลำดับที่มีกฎเกณฑ์ตายตัวโดยใช้คำไข (Key word) เป็นตัวค้นและตัวเรียกข้อมูล ส่วน ฐานความรู้จะจัดข้อมูลไวห้ ลากหลาย เช่น ตามประเภทของหลักสูตร ตามกลุ่มอายุของผู้ใช้ ตามประเภท ของวัตถุประสงค์ของการใช้ เป็นต้น การทำงานของฐานความรู้จะต้องทำงานประสานกันอย่างน้อย 3 ระบบได้แก่ ระบบสื่อสาร ระบบสารสนเทศ และระบบเหตุผล เพื่อให้สามารถค้นหาและเรียกข้อมูล หรือ ความรูท้ ี่ตอบสนองตรงกบั อายุ ตามความตอ้ งการ หรือวตั ถุประสงคข์ องผูใ้ ชง้ าน หากจะกล่าวถงึ เทคโนโลยีสารสนเทศทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การศึกษาในลักษณะที่ชัดเจนท่ีสุดน้ัน จะอยู่ในรูปลักษณ์ของสื่อต่างๆ ที่รวมเรียกว่า สื่อการศึกษา ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในวงการศึกษาแล้วว่า สื่อการศึกษา โดยเฉพาะสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้กลไกการจัด การศึกษา การเรียนรู้ สามารถส่งผลโดยตรงให้กับผู้เรียนเข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็ว ได้อย่าง กวา้ งขวางและเป็นผลตอ่ พฒั นาการเรยี นรู้ได้มากทส่ี ุด อาจจะสรุปได้ว่าสอื่ การศึกษา สามารถส่งผลต่อการ เรยี นรูแ้ ละการศึกษาในด้านต่างๆ ดังน้ี 1. ด้านคณุ ภาพการเรียนรู้ สอื่ การศึกษาจะสามารถช่วยให้คุณภาพการเรยี นรู้ดีขึน้ 2. ในด้านเวลาผู้เรยี นผ่านสื่อสามารถเรียนรู้ไดม้ ากข้นึ

68 3. การตรึงพฤติกรรมการเรียนรู้ สื่อการศึกษาสามารถสร้างแรงจูงใจและเร้าความ สนใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4. การมีส่วนรว่ มการเรยี น ผู้เรียนสามารถมีสว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรู้ 5. ความทรงจำต่อสาระเนือ้ หา การเรียนรู้จากสื่อการศึกษาจะทำให้ผู้เรียนจำไดน้ าน เรียนรไู้ ดเ้ รว็ และดีขน้ึ 6. ความเข้าใจในสาระ ผู้เรียนมปี ระสบการณ์ความเข้าใจจากรปู ธรรมไปสนู่ ามธรรม 7. สือ่ การศึกษาสามารถเอาชนะข้อจำกดั ตา่ งๆได้ เชน่ 7.1 ทำสิ่งทซี่ บั ซ้อนหรือมีหลากหลายมุมมองใหด้ งู ่ายขึน้ 7.2 ทำสิ่งทอี่ ยู่ในลกั ษณะนามธรรมสร้างใหเ้ กิดรูปร่างเป็นรูปธรรม 7.3 ทำส่ิงทเ่ี คลือ่ นไหวเร็วใหด้ ูช้าลง 7.4 ทำสิ่งทเ่ี คลือ่ นไหวชา้ ใหด้ ูเรว็ ข้นึ 7.5 ทำสง่ิ ทีม่ ีขนาดใหญม่ ากใหล้ ดขนาดหรือยอ่ ขนาดลง 7.6 ทำสิ่งทีเ่ ลก็ มากให้ขยายขนาดขน้ึ 7.7 นำขอ้ มลู ย้อนเวลาจากอดตี นำมาศึกษาเรียนรไู้ ด้ 7.8 นำสง่ิ ท่ีอยู่ไกลหรือลกึ ลบั มาวิเคราะห์ศกึ ษาได้ 3.2 ส่ือเพ่ือการเรียนรู้ สือ่ การเรียนรู้ ความหมาย ประเภท หลกั การและแนวคิดของส่ือเพื่อการเรียนรู้ พัฒนาการ การ ใช้สื่อและนวัตกรรมทางการศึกษา วิเคราะห์สภาพและปัญหาการใช้ สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีและ สารสนเทศ การออกแบบ ผลิตและพัฒนาสื่อและนวัตกรรมเพื่อการเรียนการสอน วิเคราะห์สาระการ เรียนรู้รายวิชา เพอื่ การพัฒนาหรือผลิตสื่อ/นวตั กรรม การประเมนิ ผลสื่อ/นวัตกรรม การใช้ การเก็บรักษา สอ่ื /นวัตกรรม การใช้ทรัพยากรส่อื และนวตั กรรมร่วมกัน

69 3.2.1 ความหมายของสือ่ เพ่ือ(การศกึ ษา) การเรียนรู้ เม่อื พจิ ารณาคำวา่ \"สอ่ื \" ในภาษาไทยกับคำในภาษาอังกฤษ พบว่ามคี วามหมายตรงกับคำว่า \"media\" (ในกรณีที่มีความหมายเป็นเอกพจน์จะใช้คำว่า \"medium\") \"สื่อ\" (Media) เป็นคำที่มาจาก ภาษาละตินว่า \"medium\" แปลว่า \"ระหว่าง\" หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุ ข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับ สามารถสอ่ื สารกันได้ตรงตามวตั ถุประสงค์ คำว่า \"สื่อ\" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ ความหมายของคำนี้ไว้ ดังน้ี \"สือ่ (กริยา) หมายถงึ ตดิ ต่อให้ถงึ กัน เชน่ สือ่ ความหมาย, ชกั นำใหร้ จู้ กั กนั สอื่ (นาม) หมายถึง ผหู้ รอื สิ่งที่ติดต่อให้ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน เช่น เขาใช้จดหมายเป็นสื่อติดต่อกัน, เรียกผู้ที่ทำหน้าที่ชักนำให ชายหญิงได้แต่งงานกันว่า พ่อสื่อ หรือ แม่สื่อ; (ศิลปะ) วัสดุต่างๆ ที่นำมาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ให้มี ความหมายตามแนวคดิ ซึ่งศิลปินประสงคแ์ สดงออกเชน่ น้นั เชน่ สื่อผสม\" นักเทคโนโลยกี ารศกึ ษาได้มกี ารนยิ ามความหมายของคำวา่ \"ส่อื \" ไว้ดังตอ่ ไปน้ี Heinich และคณะ (1996) Heinich เป็นศาสตราจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีระบบการ เรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยอินเดียน่า (Indiana University) ให้คำจำกัดความคำว่า \"media\" ไว้ดังนี้ \"Media is a channel of communication.\" ซึ่งสรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ \"สื่อ คือช่องทางในการ ติดต่อส่อื สาร\" Heinich และคณะยงั ได้ขยายความเพิ่มเตมิ อีกว่า \"media มีรากศพั ท์มาจากภาษาลาติน มี ความหมายวา่ ระหว่าง (between) หมายถงึ อะไรกต็ ามซง่ึ ทำการบรรทกุ หรือนำพาข้อมูลหรือสารสนเทศ สื่อเป็นสิ่งทีอ่ ยู่ระหวา่ งแหลง่ กำเนิดสารกับผู้รับสาร A. J. Romiszowski (1992) ศาสตราจารย์ทางด้านการออกแบบ การพัฒนา และการ ประเมินผลสื่อการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) ให้คำจำกัดความคำ ว่า \"media\" ไว้ดังนี้ \"the carriers of messages, from some transmitting source (which may be a human being or an inanimate object) to the receiver of the message (which in our case is the learner)\" ซง่ึ สรุปความเป็นภาษาไทยไดด้ ังน้ี \"ตวั นำสารจากแหล่งกำเนิดของการส่อื สาร (ซ่งึ อาจจะ เป็นมนษุ ย์ หรอื วัตถทุ ีไ่ ม่มีชวี ติ ) ไปยังผรู้ ับสาร (ซงึ่ ในกรณขี องการเรยี นการสอนก็คอื ผเู้ รยี น)\" ดังนั้นจึงสรปุ ไดว้ า่ ส่อื หมายถงึ สง่ิ ใดๆ ก็ตามที่เป็นตัวกลางระหว่างแหล่งกำเนิดของสารกับ ผู้รับสาร เป็นสิ่งที่นำพาสารจากแหล่งกำเนินไปยังผู้รับสาร เพื่อให้เกิดผลใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการ สือ่ สาร

70 3.2.2 บทบาทของส่ือการเรียนรู้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มีความมุ่งหมายที่จะให้การจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาให้ประชากรชาวไทย มีความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้และคุณธรรม มี จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้นในการจัด การศกึ ษาจงึ ถอื วา่ ผเู้ รียนสำคญั ท่สี ุด โดยยดึ หลักว่า ผเู้ รยี นแสวงหาความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง พัฒนาตนเองได้ กระบวนการจัดการศกึ ษาจะต้องสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นได้พฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศักยภาพ สื่อการเรียนรู้นับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้สถานศึกษาจัดการเรียนรูใ้ ห้บรรลุตามจุดมุง่ หมาย ของหลักสูตร เนื่องจากสื่อเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ ทำหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สกึ เพิ่มพูนประสบการณ์ สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพทาง ความคิด ได้แก่ การคิดไตร่ตรอง การคิดสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจนสร้างเสริม คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมให้แก่ผู้เรียน (กรมวิชาการ, 2545 : 6) ดังนั้นสถานศึกษาจึงควรให้ ความสำคัญในการใช้และพัฒนาสื่อการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ต่อผู้เรียนอย่างจริงจัง นอกจากน้ี พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กล่าวถึงการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและ สถานศึกษา โดยระบุให้สถานศึกษา มีหน้าที่ จัดทำสาระของหลักสตู รเกี่ยวกับสภาพปัญหาในชมุ ชน และ สังคม ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ ดงั น้ันในการจัดทำส่อื การเรียนรู้จึงเป็นหนา้ ที่ของสถานศึกษาดว้ ย เนื้อหาสาระใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ย่อมเป็นแนวทางและทิศทางสำคัญในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ สำหรบั ผ้เู รียนได้เปน็ อยา่ งดี

71 3.2.3 คุณลักษณะและความสำคัญของสื่อ(การศึกษา) การเรียนรู้ คณุ ลกั ษณะของส่ือการเรยี นรู้ ชว่ ยสง่ เสรมิ การสร้างความร้ขู องผ้เู รยี น ชว่ ยส่งเสรมิ การศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง มุ่งเน้นการพัฒนาการคิดของผู้เรียน เป็นสื่อที่หลากหลาย ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์ วิธีการ ตลอดจนส่งิ ที่มตี ามธรรมชาติ เป็นสอื่ ทีอ่ ยู่ตามแหล่งความรู้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยพัฒนาการ ร่วมทำงานเป็นทีม การเรียนการสอนในยุคปัจจุบันไม่สามารถจะจำกัดเฉพาะ แต่ในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว พฤติกรรมทางการเรียนรู้และการจัดสถานการณ์ เพื่อให้เกิดกระบวนการทางการเรียนรู้ อาจจัดขึ้นในท่ี ใดๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และโอกาสเครื่องมืออย่างสำคัญ ที่จะช่วยให้การจัดสถานการณ์ทางการ เรียนรู้มีประสิทธิผลที่จำเป็น ได้แก่สื่อการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา หากขาดสิ่งดังกล่าวนี้แล้ว การจัดสถานการณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ย่อมจะขีดวงจำกัดเข้ามาเป็นอย่างมาก สื่อการสอนและ เทคโนโลยีทางการศึกษาน้ัน สามารถสรา้ งสถานการณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้เป็นอนั มาก อาจกล่าวได้ว่า โดยปกติจากขอบเขตจำกัด ทั้งเวลาและสถานที่ ถ้าหากว่ามีอุปกรณ์และเครื่องมือพร้อม ก็จะช่วยขจัด ข้อจำกัดดังกลา่ วได้ 3.2.4 ประเภทของส่ือเพ่อื (การศึกษา) การเรียนรู้ ประเภทของสื่อการศึกษา(การเรียนรู้) สื่อการศึกษาแบ่งเป็นประเภทหลักๆ ได้ 4 ลักษณะ ดังนี้ 3.2.4.1 ประเภทตามชอ่ งทางการสง่ และรบั สาร สื่อการศกึ ษาท่แี บ่งประเภทตามช่องทางการสง่ และรับสาร มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. สื่อโสตทัศน์ ได้แก่ สื่อกราฟฟิก วัสดุลายเส้น และ แผ่นป้ายต่างๆ สื่อสามมิติ ประเภทหนุ่ จำลอง และสอ่ื เสยี ง เช่น เทปเสียง เป็นตน้ 2. ส่ือมวลชน ได้แก่ สื่อส่งิ พมิ พ์ วทิ ยกุ ระจายเสียง และวทิ ยโุ ทรทศั น์ 3. ส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์และโทรคมนาคม ไดแ้ ก่ โทรศัพท์ โทรสาร วทิ ยสุ อ่ื สาร โทรทัศน์ ปฏิสมั พนั ธ์ ระบบประชุมทางไกล เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ และ อินเตอรเ์ นต เปน็ ตน้ 3.2.4.2 ประเภทสื่อการศึกษาตามโครงสร้างความคิด การแบ่งประเภทของส่ือการศึกษา ตามโครงสร้างความคดิ มี 2 ลักษณะ คือ 1. แบ่งตามลกั ษณะของประสบการณ์ 2. แบง่ ตามลกั ษณะการคดิ ของคน 3.2.4.3 ประเภทของสือ่ การศึกษาตามลักษณะโครงสร้างของสื่อ

72 ประเภทของสื่อการศึกษาตามลักษณะโครงสร้างของสื่อ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ๆ คือ กลุ่มเครือ่ งมอื -อุปกรณ์ (hardware) และ กลมุ่ โปรแกรม (software) 1. กลุ่มเคร่อื งมือ-อปุ กรณ(์ hardware) ความหมายของฮาร์ดแวรต์ ามพจนานกุ รม หมายถงึ เครื่องมือ อปุ กรณ์ทีเ่ ป็นโลหะ และวัตถุเนื้อแข็ง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตลอดทั้งชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องมือและอุปกรณ์เหล่าน้ี ความหมายของฮาร์ดแวร์ในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องกลไกและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็น ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าฮาร์ดแวร์เป็นผลิตผลจากการประยุกต์ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ทั้งหมด ซึง่ ประกอบด้วยวสั ดสุ ้นิ เปลือง เคร่ืองมือและอุปกรณ์ 2. กลุ่มโปรแกรม (software) ซอฟต์แวร์เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในกลุ่มเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จากการที่เครื่อง คอมพิวเตอร์นั้นประกอบจาก ชิ้นส่วน อุปกรณ์ และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การที่จะสั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงานหรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการนั้น จะต้องมีคำสั่งหรือภาษา สำเร็จรูปของเครื่องกำหนด ระบุหน้าท่ีจงึ จะส่ังเคร่ืองคอมพิเตอร์ให้ทำงานหรือประมวลผลตามต้องการได้ วิธีการที่สร้างชุดคำสั่งหรือโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ และผลผลิตที่ได้เป็นโปรแกรม ต่างๆ นี้เรียกว่าซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ นักการศึกษา ยังได้ให้ความหมายของคำว่าซอฟต์แวร์ หมายถึง ลำดับขั้นตอน ระบบกระบวนการ โปรแกรมและวิธีการเก็บรวบรวม จัดแจง และการเสนอสารสนเทศ ทางการศึกษา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น วสั ดุสำเรจ็ รูป กจิ กรรมและเกม และวิธกี าร 3.2.4.4 ประเภทของสื่อการเรยี นรูต้ ามชนดิ ของสื่อ สอ่ื การศกึ ษาท่ีแบง่ ประเภทตามชอ่ งทางการส่งและรับสาร มี 4 ประเภท ได้แก่ 1. สอ่ื สง่ิ พิมพ์ หมายถงึ สอ่ื การเรียนรู้ที่จัดทำขน้ึ เพ่ือสนองการเรียนรู้ตามหลักสูตร หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป ได้แก่ หนังสือ- แบบเรียน คู่มือครู ชุดวิชา หนังสือประกอบการสอน หนังสืออ้างอิง หนังสืออ่านเพิ่มเติม แผนการสอน ใบงาน แบบฝึกหัดกิจกรรม หนังสือพิมพ์ วารสาร แผ่นพับ โปสเตอร์ เป็นตน้ 2. ส่ือบุคคล หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ และ ทกั ษะต่างๆ ให้กบั ผู้เรียน เช่น ครู ผู้เชยี่ วชาญเฉพาะดา้ น(แพทย์ พยาบาล นักกฎหมาย) ภมู ิปัญญาท้องถิ่น หรอื ปราชญช์ าวบา้ นท่ีมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณเ์ ฉพาะเร่ืองหรือผู้ทีป่ ระสบความสำเร็จในการ ประกอบอาชพี เป็นต้น

73 3. สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม หมายถึงสื่อที่ผลิตหรือพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ ควบคู่กับเครื่องมืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยี เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิทยุ แผ่นรายการเสียงหรือวิดีทัศน์ รูปแบบ VCD/DVD แถบบันทึกเสียงหรือวิดีทัศน์ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ระบบการศึกษาทางไกลผ่าน ดาวเทียมหรอื ผา่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ e-learning และ อินเทอรเื นต็ นอกจากนยี้ ังรวมไปถึงโทรศัพท์ที่ กำลงั พัฒนาไปส่กู ารศกึ ษาผา่ นโทรศัพท์ทเ่ี รียกวา่ M-learning เปน็ ตน้ 4. สื่อกิจกรรม หมายถึงสื่อประเภทวิธีการที่ใช้ในการฝกึ ทักษะ ฝึกปฎิบัติ ซึ่งต้อง ใชก้ ระบวนการคิด การปฎิบตั ิ และการประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เชน่ สถานการณ์จำลอง บทบาทสมมุติ ทศั นศึกษา เกม การทำโครงงาน การจัดนิทรรศการ การสาธติ เป็นตน้ 3.3.5 การเลอื กใชส้ อ่ื การศกึ ษาเพ่ือการเรียนรู้ ในการพจิ ารณาเลอื กใช้ส่อื นำมาประกอบการจดั การศึกษา ตอ้ งคำนึงถงึ ความเหมาะสม ตาม สถานการณ์ ตามปัจจัยสภาพแวดล้อมต่อการเรียนรู้ ดังนั้นในการเลือกสื่อการศึกษานั้นจึงควรพิจารณา ปัจจยั ต่างๆ ดงั น้ี 1. เลือกสื่อการศึกษาที่สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ของการเรียนการสอน เรอ่ื งนน้ั ๆ 2. เลือกสื่อการศึกษาที่สอดคล้องกับลักษณะการตอบสนอง และพฤติกรรมข้ันสุดท้าย ของผ้เู รียนท่ีคาดหวังจะใหเ้ กดิ ขึ้น 3. เลอื กสื่อการศกึ ษาให้เหมาะสมกบั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4. เลือกสื่อการศึกษาให้เหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน สอ่ื การศกึ ษาทจ่ี ัดใหผ้ เู้ รยี นควรง่ายและอยูใ่ นขอบเขตความสามารถของผู้เรยี น 5. เลือกสื่อการศึกษาทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ มคี วามสมบูรณ์ สามารถส่ือความหมายไดถ้ กู ต้อง 6. เลือกส่อื การศกึ ษาท่มี อี ยู่ในทอ้ งถน่ิ เพือ่ ประหยดั เวลาและงบประมาณ

74 7. เลือกสื่อการศึกษาที่พอจะหาได้โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ประหยัด และสามารถใช้ไดส้ ะดวก 3.3.6 หลักการใช้ การเก็บรักษาสือ่ และนวตั กรรมการศกึ ษา หลกั การใชส้ ่ือและนวัตกรรมการศกึ ษา สอื่ การศกึ ษามีหลายประเภท ซ่งึ แตล่ ะประเภทต่างก็มีความแตกต่างกันในรปู ร่างลักษณะ ลักษณะการใช้งาน ที่สำคัญคือความเหมาะสมกับสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมในเวลานั้นๆด้วย ผู้ใช้จะต้อง ศกึ ษาวิธีการใชส้ อื่ แตล่ ะชนิดเพ่ือให้เกิดประสิทธผิ ลสูงสุด และควรคำนึงถงึ หลกั การใชส้ อื่ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ในบทเรียนหน่ึงๆไม่ควรใชส้ ่อื การศกึ ษามากเกนิ ไป ควรใชเ้ ทา่ ทีจ่ ำเป็นเท่าน้นั 2. กอ่ นใช้ส่อื การศึกษาจรงิ ควรทดลองใช้จนเกิดความมน่ั ใจ เพื่อป้องกนั การเกิดความ ผิดพลาด ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เรียนลดศรัทธาในความสามารถของผู้สอนได้ ทั้งยังสามารถกำหนดเวลาและ กิจกรรมทเี่ หมาะสมกับการใชส้ ื่อนน้ั ๆ 3. ใช้ส่อื การศกึ ษาทต่ี รงกบั บทเรียนและกระบวนการเรยี นการสอน 4. ควรเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนรว่ มในการใชส้ ือ่ การศึกษา 5. คำนึงเสมอว่าสื่อการศึกษาที่ใช้อยู่นั้นไม่สามารถใช้ได้กับทุกบทเรียนและกับทุก สถานการณ์ 6. พยายามนำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้เป็นสื่อการศึกษาเพื่อเป็นการประหยัดเวลา และการลงทนุ 3.3 หลกั ารออกแบบนวัตกรรมและสือ่ เพื่อการเรียนรู้ วิถีชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต มีความสัมพันธ์กับการออกแบบทั้งสิ้น เพราะในการ ดำรงชีวิตของเรา จะต้องกำหนดวางแผน ในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ต่อสถานการณ์ที่มี ความเปลีย่ นแปลงอยู่ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำการใดๆ หากขาดการวางแผนหรือข้ันตอนการออกแบบแล้ว กอ็ าจทำให้กจิ กรรม หรือ งานน้ันประสบความสำเรจ็ ไดย้ าก ถา้ การออกแบบเปน็ เงาตามตวั ของชีวติ เรา

75 3.3.1 แนวทางและหลกั การออกแบบสอื่ ทั่วไป 3.3.1.1 การออกแบบคืออะไร การออกแบบ คอื ศาสตร์แห่งการแก้ปัญหา ท่ีมนษุ ยส์ ร้างสรรค์ขึ้น โดยอาศัยความรู้ และ หลกั การของศลิ ปะ นำมาใช้ให้เกดิ ความสวยงาม และมีประโยชนใ์ ชส้ อย 3.3.1.2 ความสวยงาม จะเน้นด้านจิตใจเป็นหลัก เป็นสิ่งแรกที่เราได้สมั ผสั กอ่ น คนเราแต่ละคนต่างมีความรับรู้ เรื่อง ความสวยงาม กับความพอใจ ในทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอย่างมาก และไม่มี เกณฑ์ ในการ ตัดสนิ ใดๆ เปน็ ตัวทก่ี ำหนดชัดเจน ดงั นัน้ งานท่เี ราได้มีการจดั องคป์ ระกอบทเ่ี หมาะสมน้ัน ก็ จะมองวา่ สวยงาม ไดเ้ หมือนกัน ซ่ึงผลจากการออกแบบจะทำให้ผทู้ พ่ี บเห็นเกิดความสุข เกิดความพงึ พอใจ การออกแบบประเภทนี้ ได้แก่ การออกแบบด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ตลอดจนงานออกแบบตกแต่ง ต่างๆ เช่น งานออกแบบ ตกแตง่ ภายในอาคาร งานออกแบบตกแตง่ สวนหย่อม 3.3.1.3 ประโยชนใ์ ช้สอย ผู้ออกแบบโดยมากจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับเป็นจุดมุ่งหมายแรกของการ ออกแบบ ซ่ึงประโยชนท์ ีจ่ ะได้รับมที ั้งประโยชนใ์ นการใชส้ อย และประโยชนใ์ นการติดต่อสื่อสาร การออกแบบเพ่ือ ประโยชน์ ในการใช้สอยที่ สำคัญ ไดแ้ ก่ ทอี่ ยู่อาศัย เครอ่ื งน่งุ หม่ ยานพาหนะ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น อุปกรณ์ในการ ประกอบอาชีพทางการเกษตรมีแห อวน ไถ หรืออุปกรณ์สำนักงาน ต่างๆ เชน่ โตะ๊ , เกา้ อ้.ี ตู้, ชนั้ วางหนังสือ เปน็ ต้น ประโยชนเ์ หลา่ นี้จะเนน้ ประโยชน์ทางกายโดยตรง สว่ น ประโยชน์ในการตดิ ต่อส่ือสาร ไดแ้ ก่ การออกแบบหนังสือ โปสเตอร์ งานโฆษณา ส่วนใหญ่มักจะเน้น การสื่อสารถึงกันด้วยภาษาและภาพ ซึ่งสามารถรับรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ผู้ออกแบบจำเป็นจะต้องมี ความร้คู วามสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งการออกแบบ โดยมากมักจะเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาชุมชน ประโยชน์ด้านนี้จะเน้น ทางด้านความศรัทธาเชื่อถือ และการ ยอมรับ ตามสื่อทไี่ ดร้ ับรู้ 3.3.1.4 ความสำคัญของการออกแบบ ถ้าการออกแบบสามารถแก้ไขปัญหาของเราได้ การออกแบบจึงมีความสำคัญ และคุณค่า ต่อการดำรงชีวิตของเรา ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และทัศนคติ กล่าวคือ มีความสำคัญต่อการดำเนิน ชีวิตของเรา เช่น 1. การวางแผนการการทำงาน งานออกแบบจะช่วยให้การทำงานเป็นไปตาม ขั้นตอน อย่างเหมาะสม และประหยัดเวลา ดังนั้นอาจถือว่าการออกแบบ คือ การวาง แผนการทำงานทด่ี ี

76 2. การนำเสนอผลงาน ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องมีความเข้าใจ ตรงกันอย่าง ชัดเจน ดงั น้ัน ความสำคัญในด้านนี้ คือ เป็นส่อื ความหมายเพื่อความเขา้ ใจ ระหวา่ งกนั 3. สามารถอธบิ ายรายละเอียดเก่ียวกับงาน งานบางประเภท อาจมีรายละเอียดมากมาย ซับซอ้ น ผลงานออกแบบ จะช่วยให้ผเู้ ก่ยี วข้อง และผ้พู บเห็นมีความเข้าใจที่ชดั เจนขนึ้ หรอื อาจกล่าวได้ว่า ผลงานออกแบบ คือ ตัวแทนความคดิ ของผู้ออกแบบไดท้ ้ังหมด 4. แบบ จะมีความสำคัญมาก ถ้าผู้ออกแบบกับผู้สร้างงานหรือผู้ผลิต เป็นคนละคนกัน เช่น สถาปนิกกับช่างก่อสร้าง นักออกแบบกับผู้ผลิตในโรงงาน หรือถ้าจะเปรียบไปแล้ว นักออกแบบก็ เหมอื นกบั คนเขยี นบทละครน่นั เอง 3.3.1.5 หลกั สำคญั ของการออกแบบ การออกแบบมีหลักการพื้นฐาน โดยอาศัยส่วนประกอบขององค์ประกอบศิลป์ตามที่ได้ กล่าวมาแล้วในบทเรียนเรื่อง “ องค์ประกอบศิลป์ ” คือ จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก สี และพื้นผิว นำมาจัดวางเพอ่ื ใหเ้ กิดความสวยงาม โดยมหี ลกั การ ดงั น้ี 1) ความเปน็ หน่วย (Unity) ในการออกแบ ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงงานทั้งหมดให้อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน เป็นกลุ่มก้อน หรือมีความ สัมพันธ์กัน ทั้งหมดของงานนั้นๆ และพิจารณาส่วนย่อยลงไปตามลำดับ ใน สว่ นยอ่ ย ๆ ก็คงตอ้ งถอื หลักน้เี ชน่ กนั 2) ความสมดลุ หรือความถว่ ง (Balancing) เป็นหลักทั่วๆไปของงานศิลปะที่จะต้องดูความสมดุลของงานนั้นๆ ความรู้สึก ทางสมดุลของงานนี้ เป็นความรู้สกึ ที่เกิดขึ้นในส่วนของความคิดในเรื่องของความงามในส่ิงนั้นๆ มีหลัก ความสมดุลอยู่ 3 ประการ 2.1) ความสมดุลในลักษณะเท่ากัน (Symmetry Balancing) คือมีลักษณะ เปน็ ซ้าย-ขวา บน-ลา่ ง เป็นตน้ ความสมดุลในลักษณะนีด้ แู ละเขา้ ใจงา่ ย 2.2) ความสมดุลในลักษณะไม่เท่ากัน (Non-symmetry Balancing) คือ มี ลักษณะสมดุลกันในตัวเองไม่จำเป็นจะต้องเท่ากัน แต่ดูในด้านความรู้สึกแล้วเกิดความสมดุลกันในตัว ลักษณะการสมดุลแบบนี้ผู้ออกแบบจะต้องมีการประลองดูให้แน่ใจในความรู้สึกของ ผู้พบเห็นด้วย ซ่ึง เป็น ความสมดุลที่เกิดในลักษณะที่แตกต่างกันได้ เช่น ใช้ความสมดุลด้วยผิว (Texture) ด้วยแสง-เงา (Shade) หรอื ด้วยสี (Colour)

77 2.3) จดุ ศูนยถ์ ่วง (Gravity Balance) การ ออกแบบใดๆทเ่ี ปน็ วัตถุสง่ิ ของและ จะต้องใช้งานการทรงตัวจำเปน็ ท่ีผูอ้ อกแบบจะ ต้องคำนึงถึงจดุ ศูนยถ์ ่วง ได้แก่ การไม่โยกเอียง หรือให้ ความรู้สึกไม่มั่นคงแข็งแรง ดังนั้นสิง่ ใดท่ีตอ้ งการจศุ ูนย์ถ่วงแล้ว ผู้ออกแบบ จะต้อง ระมัดระวังในส่งิ น้ี ให้มาก ตวั อย่างเชน่ เกา้ อจี้ ะตอ้ งตั้งตรง ยึดมั่นทง้ั ส่ขี าเทา่ ๆกัน การทรงตัวของ คน ถ้ายนื 2 ขา ก็ จะตอ้ งมนี ำ้ หนักลงท่ีเท้าทั้ง 2 ข้างเทา่ ๆกัน ถ้ายนื เอยี งหรือพิงฝา นำ้ หนักตัวกจ็ ะลงเท้าข้างหนึ่ง และ ส่วนหนึ่งจะลงที่หลังพิงฝา รูปปั้นคนในท่าวิ่ง จุดศูนย์ถ่วงจะอยู่ที่ใด ผู้ออกแบบจะต้องรู้ และวางรูป ได้ ถกู ตอ้ ง เรอ่ื ง ของจุดศนู ยถ์ ่วง จงึ หมายถึงการทรงตัวของวตั ถสุ ่ิงของน่ันเอง 3) ความสัมพันธ์ทางศิลปะ ( Relativity of Arts) ในเร่ืองของศลิ ปะน้ัน เป็นส่ิงทีจ่ ะต้องพจิ ารณากันหลายข้นั ตอน เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกที่สัมพันธ์กัน อนั ได้แก่ 3.1) การเน้นหรือจุดสนใจ ( Emphasis or Centre of Interest) งาน ด้าน ศิลปะผอู้ อกแบบจะตอ้ งมจี ดุ เน้นให้เกิดสิ่งท่ปี ระทับใจแกผ่ พู้ บเหน็ โดยมขี ้อบอกกล่าว เป็นความรู้สึกร่วม ทเ่ี กิดขึน้ เองจากตัวของศลิ ปกรรมนั้นๆ ความรู้สึกน้ีผอู้ อกแบบจะตอ้ งพยายามให้เกิดข้นึ เหมือนกนั 3.2) จุดสำคญั รอง ( Subordinate) คงคลา้ ยกบั จุดเนน้ น่นั เอง แต่มคี วามสำคัญรองลงไปตามลำดับ ซงึ่ อาจจะเป็น รองส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ก็ได้ ส่วนนี้จะช่วยให้เกิดความลดหลั่นทางผลงานที่แสดง ผู้ออกแบบจะต้อง คำนึงถึงส่ิงนด้ี ้วย 3.3) จงั หวะ ( Rhythem) โดยทั่วๆไปสิ่งที่สัมพันธ์กันในสิ่งนั้นๆยอ่ มมีจังหวะ ระยะหรือความถี่ห่างในตัวมันเองก็ดี หรือสิ่งแวดล้อม ที่ สัมพันธ์ อยู่ก็ดี จะเป็นเส้น สี เงา หรือช่วงจังหวะของการตกแตง่ แสงไฟ ลวดลาย ที่มีความสัมพนั ธ์กนั ในท่นี ้ัน เป็นความรู้สกึ ของผูพ้ บเห็นหรือผู้ออกแบบจะรู้สึกในความงามนัน่ เอง 3.4) ความตา่ งกัน (Contrast) เป็นความรู้สึกที่เกิดข้ึนเพื่อช่วยให้มกี ารเคล่ือนไหวไมซ่ ้ำซากเกนิ ไป หรือเกิดความเบ่ือหน่าย จำเจ ในการ ตกแตง่ กเ็ ช่นกัน ปจั จบุ นั ผู้ออกแบบมกั จะหาทางให้เกิดความรสู้ ึกขัดกันต่างกัน เช่น เกา้ อ้ีชดุ สมัยใหม่ แต่ ขณะ เดยี วกนั กม็ ีเก้าอส้ี มยั รชั กาลท่ี 5 อย่ดู ว้ ย 1 ตวั เช่นนผี้ ู้พบเหน็ จะเกดิ ความร้สู ึกแตกต่างกัน ทำให้เกิด ความรสู้ ึก ไมซ่ ้ำซาก รสชาตแิ ตกต่างออกไป

78 3.5) ความกลมกลนื (Harmomies) ความกลมกลืนในที่นี้หมายถึงพิจารณาในส่วนรวมทั้งหมดแม้จะมีบางอย่างท่ี แตก ตา่ งกัน การใชส้ ีทีต่ ดั กนั หรือ การใช้ผวิ ใช้เส้นท่ขี ดั กนั ความรูส้ ึกส่วนนอ้ ยน้ไี มท่ ำใหส้ ่วนรวมเสียก็ถือ ว่าเกิดความกลมกลนื กันในส่วน รวม ความกลมกลืนในส่วนรวมน้ีถ้าจะแยกก็ได้แก่ความเน้นไปในส่วนมูล ฐานทางศลิ ปะอนั ได้แก่ เสน้ แสง-เงา รูปทรง ขนาด ผวิ สี นนั่ เอง 3.3.2 การออกแบบสอื่ สง่ิ พมิ พ์และเอกสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ก่อนที่จะศึกษาถึงการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ว่ามีความหมาย หรือความแตกตา่ งอยา่ งไร เรามาเรยี นรู้ลักษณะเฉพาะ ของสื่อ แตล่ ะประเภทกนั กอ่ น 3.3.2.1 สอ่ื ส่งิ พมิ พ์ \"สื่อสิ่งพิมพ\"์ มีความหมายว่า \"สิ่งที่พิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรือวัตถุใดๆ ด้วย วิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นชิ้นงานท่ีมลี ักษณะเหมอื น ต้นฉบับขึ้นหลายสำเนาในปริมาณมากเพื่อเป็นสิ่งที่ทำ การตดิ ต่อ หรือชักนำใหผ้ ้อู น่ื ได้เหน็ หรือทราบ ข้อความต่างๆ\" \"สื่อสิ่งพิมพ์\" พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 ได้ให้ความหมายไว้ว่า สิ่งพิมพ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรือวัตถุใด ๆ ที่พิมพ์ขึ้น รวมตลอดทั้งบทเพลง แผนที่ แผนผัง แผนภาพ ภาพระบายสี ใบประกาศ แผน่ เสียง หรือสิง่ อื่นใดอนั มลี ักษณะเชน่ เดยี วกนั \"ส่ือสิง่ พมิ พ\"์ คือ สอื่ ท่ีใชก้ ารพิมพ์เป็นหลักเพ่ือติดต่อสื่อสาร ทำความเข้าใจกันด้วยภาษา เขยี นโดยใช้วัสดุกระดาษหรอื วัสดุอื่นใดทีพ่ ิมพไ์ ดห้ ลายสำเนา เชน่ ผา้ แผ่นพลาสติก 3.3.2.2 ความสำคญั ของส่อื ส่งิ พิมพ์ สิ่งพิมพ์ในสังคมไทยมีหลายแบบหลายลักษณะ มีทั้งที่พิมพ์ในวงจำกัดและที่พิมพ์ แพรห่ ลายทวั่ ไป ตามความต้องการของสงั คมและจดุ มุ่งหมายของผ้ผู ลติ ยิ่งในอนาคตอนั ใกล้นีป้ ระเทศไทย กำลังก้าวสู่การเป็นประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนมีความต้องการที่จะรับรู้ข่าวสารที่ดี ท่ี ถูกต้อง กว้างขวางและมีประสิทธิภาพ ในบรรดาสื่อต่าง ๆ ที่นำเสนอข้อมูลในปัจจุบันสื่อสิ่งพิมพ์นับเป็น ส่อื ทสี่ ำคญั สงิ่ หนึง่ ที่สามารถตอบสนองความต้องการเหลา่ น้ันได้ บทบาทของสือ่ ส่ิงพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์เปรียบเสมือนสื่อกลางหรือกระจกสะท้อนให้เห็นลักษณะต่างๆ ของสังคม บ้านเมือง หรือของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคมประเพณีและวัฒนธรรม โดยทำ หน้าที่และบทบาท ในการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล การนำเสนอ แสดงความคิดเห็นต่างๆ ดังนั้นบทบาท

79 ของส่อื สิ่งพิมพ์ กค็ อื การกระทำ หรือการส่อื สารของส่ือสิ่งพิมพท์ ่ีได้ส่งผลกำลังส่งผล หรอื จะส่งผลต่อชีวิต และสังคม 3.3.2.3 หนา้ ท่ขี องสอื่ ส่ิงพิมพ์ 1. ใหข้ ่าวสารและรายงานความเคล่อื นไหวของเหตกุ ารณ์ต่างๆ 2. เป็นแหลง่ กลางในการนำเสนอความคิดเห็นหรอื ข้อโตแ้ ย้งต่อปัญหาที่เกดิ ข้นึ ในสงั คม 3. ใหส้ าระและความบันเทงิ 4. ให้ความรทู้ างการศึกษาและบำรุงศิลปวฒั นธรรมของชาติ 5. ให้บรกิ ารด้านธรุ กิจการคา้ 3.3.2.4 บทบาทของสื่อส่ิงพิมพ์ ส่อื สิ่งพมิ พ์มบี ทบาท ดังตอ่ ไปนี้ 1. บทบาทของสือ่ สิง่ พมิ พใ์ นงานสอื่ มวลชน สอ่ื สิง่ พิมพม์ คี วามสำคัญในดา้ นการนำเสนอข้อมลู ขา่ วสาร สาระ และความบนั เทิง ซึง่ เมือ่ งานสอ่ื มวลชนต้องเผยแพร่ จึงต้องผลิตสอ่ื สิ่งพิมพ์ เชน่ หนังสือพิมพ์, วารสาร, นติ ยสาร เป็นต้น 2. บทบาทของสอ่ื สิ่งพิมพใ์ นสถานศกึ ษา สื่อสิ่งพิมพ์ถูกนำไปใช้ในสถานศึกษาโดยทั่วไป ซึ่งทำให้ผู้เรียน ผู้สอนเข้าใจในเนื้อหา มากขึ้น เช่น หนังสือ ตำรา แบบเรียน แบบฝึกหัดสามารถพัฒนาได้เป็นเนื้อหาในระบบ เครือข่าย อินเตอร์เนต็ ได้ 3. บทบาทของสอื่ สิ่งพมิ พ์ในงานด้านธุรกิจ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ถูกนำไปใช้ในงานธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น งานโฆษณา ได้แก่ การผลิต หัวจดหมาย/ซองจดหมาย, ใบเสร็จรับเงิน/ใบส่งของ, โฆษณาหนา้ เดียว, นามบตั ร เปน็ ต้น 4. บทบาทของสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ในงานธนาคาร งานดา้ นการธนาคาร ซ่ึงรวมถึง งานการเงินและงานท่ีเกี่ยวกบั หลักฐานทางกฎหมาย ได้นำสื่อสิ่งพิมพ์หลาย ๆ ประเภทมาใช้ในการดำเนินงาน เช่น ใบนำฝาก, ใบถอน, ธนบัตร, เช็คธนาคาร, ต๋วั แลกเงิน และหนงั สือเดินทาง บทบาทของส่ือส่งิ พมิ พ์ในหา้ งสรรพสินค้า และร้านค้าปลีก สอื่ ส่ิงพิมพ์ที่ทางหา้ งสรรพสินค้าหรือรา้ นค้า ปลกี ใชใ้ นการดำเนนิ ธรุ กิจ ได้แก่ ใบปดิ โฆษณาตา่ ง ๆ ใบปลวิ , แผ่นพับ, จุลสาร

80 สื่อสิ่งพิมพ์มีลักษณะพิเศษหลายประการทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ ยังคงเป็นสื่อที่มี ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน แม้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้สื่อสิ่งพิมพ์จะลดน้อยลง และจะหายไปจาก บรรณพิภพ เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะสื่ออินเทอร์เน็ตจะเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตข้างต้นยังไม่เป็นความจริงในเวลา นี้เพราะ ข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของ สงั คมไทย ในทน่ี จี้ ะขอกล่าวถงึ ลกั ษณะพิเศษของสื่อสิ่งพิมพ์ทท่ี ำให้สื่อสิ่งพิมพ์ยังมีความสำคญั อย่เู วลาน้ี สงิ่ พิมพ์ เป็นส่งิ ท่มี รี าคาถูก เมือ่ เปรยี บเทียบกบั สอ่ื มวลชนประเภทอน่ื ๆ 3.4 การเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ การจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ความหมายของการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และลักษณะของ การเรยี นรู้ ความหมาย ประเภทของแหลง่ เรียนร้แู ละเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ รูปแบบเครอื ข่ายการเรยี นรู้ การ เรยี นการสอนและการฝกึ อบรมออนไลน์ 3.4.1 การเรียนรู้ (Learning Ecology) การเรียนรู้ คือ กระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิด มนุษย์เรา สามารถเรียนรู้ได้จาก การได้ยิน การสัมผัส การอ่าน การเห็น รวมถึงผ่านการใช้ สื่อ อุปกรณ์ เครื่องมือ เป็นสว่ นสง่ ผา่ น ในเร่ืองของการเรยี นรู้ มผี ู้ให้ความหมายของคำว่าการเรียนรู้ไวห้ ลากหลาย นักการศึกษาต่าง มีแนวคิด โดยนำมาจากพัฒนาการของมนุษย์ ในแงม่ มุ ตา่ งๆ เกิดเปน็ ทฤษฎีทีแ่ ตกตา่ งกนั ไป อาทิ การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการของประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาว ะ หรือ สัญชาตญาณ(Klein 1991:2)

81 การเรียนรู้ (Learning) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์ ( ประสบการณต์ รงหรือประสบการณ์ทางออ้ ม) การเรียนรู้ (Learning) คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจากประสบการณ์ท่ี คนเรามปี ฏสิ มั พันธก์ บั ส่งิ แวดล้อมหรือจากการฝึกหัด (สรุ างค์ โค้วตระกูล :2539) 3.4.2 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ (Learning Theory) หมายถึงข้อความรู้ที่พรรณา / อธิบาย / ทำนาย ปรากฏการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ ซึ่ง ได้รับการพิสูจน์ ทดสอบตามกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และได้รับการยอมรับว่าเชื่อถือได้ และ สามารถนำไปนิรนัยเป็นหลักหรือกฎการเรียนรู้ย่อยๆ หรือนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียนได้ ทฤษฎีโดยทั่วไปมักประกอบด้วยหลักการย่อยๆ หลายหลักการ มนุษย์สามารถรับข้อมูล โดยผา่ นเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คอื 1. พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับผู้เรียน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียน อาจ กระทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม ผเู้ รียนทำในสงิ่ ท่ีพวกเขาได้รบั ฟังและจะไม่ทำการคดิ ริเริม่ หา หนทางดว้ ยตนเองต่อการเปล่ยี นแปลง หรือ พฒั นาปรับปรุงเปล่ยี นแปลงสิง่ ตา่ งๆ ให้ดขี ึ้น 2. ปญั ญานยิ ม (Cognitivism) ปัญญานิยมอยู่บนฐานของกระบวนการคิดก่อน แสดงพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่จะถูกสังเกต สิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นเพียงแต่การบ่งชี้ว่าสิ่งนี้ กำลังดำเนินต่อไปในสมองของ ผเู้ รยี น เทา่ นนั้ ทักษะใหมๆ่ ทีจ่ ะทำ การสะท้อนส่งออกมา กระบวนการประมวลผลข้อมูลสารสนเทศทาง ปญั ญา 3. การสร้างสรรค์องคค์ วามรู้ดว้ ยปัญญา (Constructivism) การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยปัญญาอยู่บนฐานของ การอ้างอิงหลักฐานในสิ่งที่พวกเรา สร้างขึ้นแสดงใหป้ รากฏแกส่ ายตาของ เราด้วยตวั ของเราเอง และอยูบ่ นฐานประสบการณ์ของแต่ละบุคคล องค์ความรู้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เรียน และโดยเหตุผลที่ทุกคนต่างมีชุดของประสบการณ์ต่างๆ ของการ เรยี นรจู้ งึ มีลกั ษณะเฉพาะตน และมี ความแตกต่างกนั ไปในแตล่ ะคน ทั้งสามทฤษฎีต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อได้การตัดสินใจที่จะใช้ยุทธศาสตร์นี้ มีสิ่งท่ี สำคัญและจำเป็นที่สุดของชีวิตที่ต้องพิจารณาทั้งสองระดับ คือ ระดับองค์ความรู้ของนักเรียนของท่าน และระดับการประมวลผลทางสติปัญญาที่ ต้องการในผลงานหรือภาระงานแห่งการเรียนรู้ ระดับการ

82 ประมวลผลทางสติปัญญาที่ ต้องการสร้างผลงาน/ภาระงาน และระดับความชำนิชำนาญของนักเรียนของ เรานี้ การมองหาภาพทางทฤษฎี จะมีความเป็นไปได้ที่สนับสนุนการมีความ พยายามที่จะเรียนรู้ทาง ยุทธวิธีบางทีก็มีความซับซ้อนและมีความเลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง และก็มีความจำเป็นเหมือนๆ กัน ในกา รวบรวมยทุ ธวธิ ีตา่ ง ๆ จากความแตกตา่ งท่ีเป็นจริง ทางทฤษฎี เม่อื เรามคี วามตอ้ งการ 3.4.2.1 การเรียนรตู้ ามทฤษฎขี อง Bloom ( Bloom's Taxonomy) Bloom ไดแ้ บ่งการเรยี นรูเ้ ปน็ 6 ระดับ 1. ความรู้ท่ีเกดิ จากความจำ (knowledge) ซึ่งเปน็ ระดับล่างสดุ 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 3. การประยุกต์ (Application) 4. การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปญั หา ตรวจสอบได้ 5. การสังเคราะห์ ( Synthesis) สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ ให้แตกตา่ งจากรูปเดิม เน้นโครงสรา้ งใหม่ 6. การประเมนิ ค่า ( Evaluation) วดั ได้ และตัดสินไดว้ า่ อะไรถกู หรือผิด ประกอบการ ตัดสนิ ใจบนพน้ื ฐานของเหตุผลและเกณฑท์ ่แี นช่ ัด 3.4.2.2 การเรียนรู้ตามทฤษฎขี องเมเยอร์ (Mayor) ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ความจำเป็นเป็นสิ่งสำคัญ และตาม ดว้ ยจดุ ประสงค์ของการเรียน โดยแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ 3 ส่วนดว้ ยกัน 1. พฤติกรรม ควรชช้ี ดั และสงั เกตได้ 2. เง่อื นไข พฤติกรรมสำเร็จไดค้ วรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ

83 3. มาตรฐาน พฤติกรรมทีไ่ ดน้ น้ั สามารถอยู่ในเกณฑท์ ่กี ำหนด 4. ผู้เรยี นอยู่ในสภาพแวดล้อมท่เี ป็นจริง เน้ือหาควรถูกสรา้ งในภาพรวมความต่อเน่ือง (continuity) 5. การเรยี นรตู้ ามทฤษฎขี องบรูเนอร์ (Bruner) ความรู้ถูกสรา้ งหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์ ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรยี น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง ผู้เรียนเลือก เนอื้ หาและกิจกรรมเอง เน้อื หาควรถกู สร้างในภาพรวม 3.4.2.3 การเรยี นรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor) ความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะใน กจิ กรรมและประสบการณบ์ ่อยๆ และตอ่ เนื่องกนั การจัดชว่ งลำดบั (sequence) หมายถึง หรอื การจดั สงิ่ ท่มี คี วามง่าย ไปสสู่ งิ่ ทม่ี คี วามยาก ดังนัน้ การจดั กจิ กรรมและประสบการณ์ ใหม้ กี ารเรยี งลำดบั กอ่ นหลงั เพ่ือให้ได้เรยี นเน้ือหาทลี่ ึกซึ้งยง่ิ ขน้ึ บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ ผู้เรียน ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่ม ความสามารถทัง้ หมด ของผเู้ รยี นที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณต์ า่ งๆ กนั ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของ ปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรยี น กับสถานการณท์ แ่ี วดลอ้ ม 3.4.2.4 ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 8 ขัน้ ของกาเย่ ( Gagne ) ทฤษฎีของกาเย่นี้จะให้ความสำคัญในการจัดลำดับขั้นการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้สิ่งเร้า สิ่งแวดล้อมภายนอกกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ และ สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ว่ามีการตอบสนองอย่างไร เพื่อที่จะจัดลำดับขั้นของการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ ถูกต้อง ทฤษฎีการเรยี นรู้ 8 ขน้ั ประกอบดว้ ย

84 1. การจงู ใจ ( Motivation Phase) การคาดหวงั ของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้ 2. การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่ สอดคล้องกับความตัง้ ใจ 3. การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ ( Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจำ ระยะส้ันและระยะยาว 4. ความสามารถในการจำ (Retention Phase) 5. ความสามารถในการระลึกถงึ สิ่งทไี่ ดเ้ รียนรไู้ ปแลว้ (Recall Phase ) 6. การนำไปประยุกตใ์ ช้กบั สิง่ ทเี่ รียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase) 7. การแสดงออกพฤติกรรมท่ีเรียนรู้ ( Performance Phase) 8. การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase)ผู้เรียนได้รับทราบ ผลเรว็ จะทำใหม้ ีผลดี และประสทิ ธิภาพสูง องค์ประกอบทสี่ ำคัญทกี่ อ่ ให้เกิดการเรยี นรู้ คือ ผเู้ รยี น ( Learner) มีระบบสมั ผสั และระบบประสาทในการรบั รู้ สงิ่ เรา้ ( Stimulus) คอื สถานการณ์ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ส่งิ เรา้ ให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ การตอบสนอง (Response) คอื พฤติกรรมท่เี กดิ ข้นึ จากการเรียนรู้

85 3.4.3 ความหมายของเครือขา่ ยความร(ู้ การเรยี นร)ู้ มผี ใู้ หค้ วามหมายของเครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ ไวห้ ลากหลาย อาทิ เครือข่ายการเรียนรู้ คือ การที่ชาวบ้านรวมตัวกัน ขบคิดปัญหาของเขา รวมพลัง แก้ปญั หา และหาผู้นำข้นึ มาจากหมชู่ าวบ้านดว้ ยกนั เอง แล้วรวมตวั กันเพื่อมีอำนาจต่อรอง มีการต่อสู้ทาง ความคดิ มีการเรียนรู้จากภายนอก มกี ารไปมาหาสูก่ ันเรียนรูด้ ูงานดว้ ยกนั จนกระท่ังเกิดเปน็ กระบวนการ แก้ปญั หาได้ การทำมาหากนิ ดขี นึ้ เศรษฐกิจแต่ละครอบครวั ดีขึ้น (เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, 2539) เครือข่ายการเรียนรู้ หมายถึง ขอบเขตแห่งความสัมพันธ์ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ลักษณะประสาน ติดต่อสัมพันธ์ เชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือหลายกิจ กรรม ระหว่างคนกับคน คนกบั กลมุ่ และกลุ่มกับกล่มุ \" (ประทีป อนิ แสง, 2539) เครือข่ายการเรียนรู้ หมายถึง การประสานแหล่งความรู้และข้อมูลข่าวสารการใช้ ทรัพยากร ธรรมชาติและการปฏิบัติงานอย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงกันทั้งระหว่างงานที่รับผิดชอบ การ จัดการศกึ ษาทง้ั ในระบบและนอกระบบโรงเรียนและระหวา่ งหน่วยงานอ่นื ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในระดับ ต่างๆ ตลอดจนระบบการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อสร้างแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดและกระจายความรู้ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามความ ต้องการของบคุ คลและชุมชน (สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2535) เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน เป็นการร่วมมือกันระหว่างแหล่งการเรียนรู้ ประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระการเรียนรู้ ห้องโสตทัศน ศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเทอร์เน็ต ห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องพิพิธภัณฑ์ อุทยานการศึกษา สวน สมนุ ไพร สวนหย่อม สวนวรรณคดี สวนคณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้นอกโรงเรียน คือ โรงเรียนดำเนินงานประสานความร่วมมอื ใน การจัดให้ผู้เรียนได้ใช้แหล่งการเรียนรู้ที่อยู่นอกโรงเรยี น เช่น วัด ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ สวน สัตว์ ศูนยก์ ีฬา สถานประกอบการ อุทยานแหง่ ชาตทิ ม่ี ีอย่ใู นท้องถ่ิน ภูมิปญั ญาท้องถ่ิน เปน็ ต้น การจัดการศึกษาในลักษณะ “เครือข่ายการเรียนรู้” นี้เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา ชุมชนให้เกิดความยั่งยืน เนื่องจากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกัน เป็นส่วนสำคัญท่ี ทำให้คนในชุมชนได้มีโอกาสคิด วิเคราะห์หาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข ทดลองปฏิบัติและสรุปบทเรียน ร่วมกัน กระบวนการดังกล่าวเมื่อนำมาใช้ในชีวิตจริงของคนในชุมชน จะช่วยให้คนเหล่านี้เรียนรู้ และ พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการเรียนรู้จากปัญหาจริง และจะช่วย ใหช้ มุ ชนสามารถยกระดบั การเรยี นรู้ ในการจดั การกบั ปัญหาต่าง ๆ นำไปสูก่ ารพฒั นาชุมชนทีย่ ัง่ ยืนสบื ไป

86 3.5 การจัดการเรยี นรูบ้ นเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต 3.5.1 การจดั กระบวนการเรียนรู้ ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) งาน ตา่ งๆ จำเปน็ ตอ้ งใชค้ วามรู้มาสรา้ งผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิง่ ขึ้น การจัดการความรู้เปน็ คำกว้างๆ ที่มี ความหมายครอบคลุมถึง เทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนให้การทำงานในองค์กร มี ประสิทธิภาพยิง่ ขึ้น ในการรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดยี วกัน ซึ่งช่องทางบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปัน นำไปสสู่ งั คมแหง่ การเรยี นรู้ท่ีย่ังยืน การจัดการความรู้ (Knowledge management - KM) คือ การรวบรวม (ร่วม)สร้างสาระ ความรู้ ทั้งของบุคคล หรือของกลุ่ม หรือจากสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยพัฒนาจากข้อมูลดังกล่าวไปสู่ สารสนเทศ เพื่อนำไปสู่การหลอมรวม แลกเปลี่ยน ร่วมศึกษาเรียนรู้ นำไปสู่การต่อเติมความสว่างทาง ปัญญาของบุคลากร ในองค์กร หรือของผู้เรียนรู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย หรือเผยแพร่เป็นข้อมูลสาธารณะสู่ เครอื ข่ายการเรียนรู้ การจัดการความรู้ ประกอบด้วย 2 คำ คอื การจดั การ และ ความรู้ ซึ่งแต่ละคำนี้ ตา่ งมคี วามหมายในตัวเอง ดังนี้ พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้คำนิยามไว้ ดงั น้ี การจัดการ คือ จดั การ ก. สั่งงาน ควบคมุ งาน ดำเนินงาน ความรู้ คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมท้ัง ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมา จากการไดย้ นิ ไดฟ้ ัง การคดิ หรือการปฏิบตั ิองค์วชิ าในแตล่ ะสาขา นพ.วิจารณ์ พานชิ กลา่ ววา่ ความรู้ มี 2 ประเภท คือ 1. ความรทู้ ฝี่ ังอยูใ่ นคน (Tacit Knowledge)

87 เป็นความรู้ท่ไี ด้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลใน การทำความเขา้ ใจในสิง่ ตา่ ง ๆ เป็นความรทู้ ี่ไม่สามารถถา่ ยทอดออกมาเปน็ คำพดู หรือลายลักษณ์อักษรได้ โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบ นามธรรม 2. ความรทู้ ีช่ ดั แจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็น ลายลักษณ์อกั ษร ทฤษฎี คมู่ อื ต่าง ๆ และบางครงั้ เรยี กว่าเป็นความรแู้ บบรูปธรรม อา้ งอิง : www.dopa.go.th ยืน ภู่วรวรรณ (2543, หน้า 110) ได้อธิบายความหมายของความรู้ว่า “เป็นการใช้ สารสนเทศในการสร้างให้เกิดการคิดและตัดสินใจ” ซึ่งเป็นการให้ความหมายของความรู้ในแง่ของการใช้ เคร่อื งมือในการส่ือความรู้ (สารสนเทศ) เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการคิดและตดั สินใจ วจิ ารณ์ พานชิ (2547, หน้า 4-5) ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกบั ความรู้ในหลายความหมายสรุป ได้ว่า ความรู้ หมายถึง สิ่งที่เม่ือนำไปใช้ จะไม่มีวันหมดหรอื สกึ หรอ แต่จะยิ่งงอกเงยหรืองอกงามขึน้ หรือ หมายถึง สารสนเทศท่นี ำไปสู่การปฏบิ ตั ิ และเป็นสิ่งทคี่ าดเดาไม่ไดซ้ ่ึงเกิดขึน้ ณ จุดท่ีต้องการใช้ความรู้น้ัน อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ขึ้นกับบริบทและสามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ตามความต้องการ ขณะที่ ชัชวาลย์ วงศ์ ประเสริฐ (2548, หน้า 17) เหน็ ว่าความรู้ คือ กรอบของการประสมประสานระหวา่ ง สถานการณ์ ค่านิยม รวมไปถงึ ความรู้ 3.5.2 ความหมายของการจัดการความรู้ การจัดการความรู้ เป็น กระบวนการรวบรวม การจัดระบบ การแลกเปลี่ยน และการ ประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยการพัฒนา จากระบบข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อก่อให้เกิดความรู้และ ปัญญา ซึ่งจะทำให้ทุกคนในองค์กรมีความสามารถ เข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ สามารถนำ ความรไู้ ปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ โดยใชก้ ารคิดวเิ คราะห์ และการถา่ ยทอดแลกเปลี่ยน เรียนรู้ นอกจากนี้ นกั การศกึ ษา ผ้ทู รงคณุ วุฒิ องค์ภาคเอกชน ได้ใหน้ ยิ ามของการจัดการความรู้ ไว้ หลากหลายความหมาย ดงั นี้ Ryoko Toyama การจัดการเพ่ือเอ้ือใหเ้ กิดความรู้ใหม่ โดยใช้ความรูท้ ี่มีอยู่ ระสบการณ์ ของคนในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพอ่ื พฒั นา นวตั กรรมทจี่ ะทำให้มคี วามไดเ้ ปรียบคู่แขง่ ขนั ทางธุรกิจ

88 World Bank เปน็ การรวบรวมวธิ ีปฏบิ ัติขององค์กร และกระบวนการทเี่ กี่ยวกับการสร้าง การนำมาใช้ และเผยแพร่ความรู้ และบรบิ ทต่างๆ ท่ีเก่ยี วข้องกับการดำเนนิ ธรุ กจิ EFQM เปน็ วิธกี ารจดั การความรู้ เปน็ กลยทุ ธ์ และกระบวนการในการจำแนก จดั หา และ นำความรมู้ าใชป้ ระโยชน์ เพือ่ ชว่ ยให้องค์กรประสบความสำเรจ็ ตามเปา้ หมายท่ีตั้งไว้ ศาสตราจารย์ น.พ.วิจารณ์ พานิช เครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไป พร้อมๆกนั ไดแ้ ก่ บรรลเุ ปา้ หมายของงาน บรรลเุ ป้าหมายการพฒั นาคน บรรลุเปา้ หมายการพฒั นาองค์กร ไปเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และบรรลคุ วามเปน็ ชมุ ชน เป็นหมู่คณะ ความเออื้ อาทร ระหว่างกันในทีง่ าน อ้างในเอกสาร การประชุมปฏิบัติการพัฒนาวิทยากรแกนนำนักจัดการความรู้สำนักงาน คณะกรรมการ การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 22-26 พฤษภาคม 3550 ณ โรงแรม แกนด์ เดอรว์ ิลล์ กรงุ ทพมาหานคร สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ (2543) ไดเ้ สนอแนวข้นั ตอนการจดั กระบวนการ เรยี นรู้ ไวด้ ังน้ี 1. สำรวจความต้องการ โดยการซกั ถามสังเกต สมั ภาษณ์ พูดคุย ทดสอบกอ่ นเรยี น 2. เตรียมการ เกี่ยวกับสาระการเรียนรู้และองค์ประกอบอื่นๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น วสั ดุอุปกรณ์ สื่ออน่ื ๆท่ีเกี่ยวข้อง วางแผนการจดั กิจกรรม, วางแผนการเรียนการสอน ให้เช่ือมโยงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ ความตอ้ งการ ความสนใจของผู้เรียน 3. ดำเนินกจิ กรรมการการเรียนรู้ มขี น้ั ตอนยอ่ ยคอื 3.1 ข้ันนำเขา้ สบู่ ทเรียน 3.2 ขนั้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 3.3 ข้ันวเิ คราะห์ อภปิ รายผลงาน/องคค์ วามร้ทู ส่ี รปุ ไดจ้ ากการจัดกจิ กรรม การเรยี นรู้ วิเคราะห์ อภปิ รายกระบวนการเรยี นรู้ 4. ประเมินผล 5. สรปุ และนำไปประยกุ ต์ใช้ 3.5.3 กรอบแนวคิดอยา่ งง่ายในการจัดการความรู้ กรอบแนวคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือ แผนผังก้างปลา (Fish Bone Diagram) หรือ แผนผังอิชิคะวะ (Ishikawa diagram) ซึ่งแผนผังก้างปลาเป็นแผนผังที่แสดง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา (Problem) กับสาเหตุทั้งหมดที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้น (Possible Cause)จีงมีผู้เรียกแผนผังกางปลานี้ว่า แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) สำนักงานมาตรฐานอตุ สาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JIS) ได้นิยามความหมายของผงั ก้างปลานวี้ า่ \" เป็นแผนผังท่ีใช้

89 แสดงความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบระหว่างสาเหตุหลายๆ สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหา หนง่ึ ปัญหา \" โครงสร้างของแผนผงั สาเหตแุ ละผล รูปแบบของการจัดการความรู้มีการพัฒนาแพร่หลายไปในหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ และ เอกชน เกิดรูปแบบที่หลากหลาย แต่ก็ อยู่ภายใต้พื้นฐาน การหลอมรวมมวลความรู้มาใช้ร่วมกัน ซึ่งใน เร่ืองดงั กล่าวมี นกั วชิ าการไดใ้ หแ้ นวคิดของการจัดการความรู้ไวแ้ นวทางหน่ึงวา่ ถา้ จะจัดการความรู้อย่าง เปน็ ระบบนัน้ จะต้องมีองค์ประกอบหลกั หรือ KM elements อยู่ 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. ทรัพยกรด้านการจัดการความรู้ 2. กิจกรรมการจัดการความรู้ 3. อทิ ธพิ ลของการจดั การความรู้ แตส่ ิง่ สำคัญในการสร้างแผนผังก้างปลา ก็คอื ต้องทำเป็นทมี เปน็ กลุม่ โดยใช้ขน้ั ตอน 6 ข้นั ตอนดังตอ่ ไปนี้ 1. กำหนดประโยคปัญหาทหี่ ัวปลา 2. กำหนดกลมุ่ ปจั จัยท่จี ะทำให้เกิดปญั หานน้ั ๆ 3. ระดมสมองเพือ่ หาสาเหตุในแต่ละปัจจัย 4. หาสาเหตหุ ลักของปญั หา 5. จดั ลำดบั ความสำคัญของสาเหตุ 6. ใชแ้ นวทางการปรับปรุงที่จำเปน็ การถา่ ยทอดความรู้ การถ่ายทอดความรู้ อันเป็นส่วนประกอบของการจัดการองค์ความรู้ ถูกประพฤติปฏิบัติ กันมานานแล้ว ตัวอย่างรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เช่น การอภิปรายของเพื่อนร่วมงานในระหว่างการ ปฏิบัติงาน, การอบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการ, ห้องสมุดขององค์กร, โปรแกรมการฝึกสอนทาง

90 อาชีพและการเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งรูปแบบการถ่ายทอดความรู้มีการพัฒนารูปแบบ โดยอาศัยเทคโนโลยี คอมพิวเตอรท์ ี่กระจายอย่างกวา้ งขวางในศตวรรษที่ 20 กอ่ ให้เกิดเทคโนโลยีฐานความรู้, ระบบผ้เู ชย่ี วชาญ และคลงั ความรู้ ซ่ึงทำใหก้ ระบวนการถา่ ยทอดความรงู้ า่ ยมากข้นึ (จากวกิ พิ ีเดยี ) กระบวนการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ เกิดพฒั นาการของความรู้ หรือการจดั การความรู้ท่ีจะเกดิ ขน้ึ ภายในองคก์ ร มีทัง้ หมด 7 ข้ันตอน คอื 1. การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) บุคคลควรต้องรู้ว่าต้องการความรู้ อะไรในการทำงาน และตอ้ งดวู ่าเรามคี วามรูน้ ้ันแลว้ หรอื ยัง ควรมีความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ 2. การสร้างและการแสวงหาความรู้ ( Knowledge Creation and Acquistion) บุคคลและองค์กรต้องพยายามหาความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ไปทั่วทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่อยู่ นง่ิ ๆ รอให้ความรูเ้ ดินทางมาหา 3. การจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge ownledge Organization) เป็น การแบ่งชนิดและประเภทของความรู้ จดั ทำระบบใหง้ ่ายและสะดวกตอ่ การคน้ หาและใช้งาน 4 . ก า ร ป ร ะ ม ว ล แ ล ะ ก ล ั ่ น ก ร อ ง ค ว า ม ร ู ้ ( Knowledge Codification and Refinement) เป็นการจัดทำรูปแบบและภาษาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งองค์กร มีการเรียบเรียง ปรบั ปรงุ เนือ้ หาใหท้ นั สมัยและตรงความต้องการ 5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) ความสามารถในการเข้าถึงความรู้อย่าง รวดเร็ว ในเวลาทตี่ อ้ งการ 6. การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) การจัดทำเอกสาร การจัดทำ ฐานความรู้ ชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ 7. การเรียนรู้ (Learning) เป็นการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ การ แกป้ ญั หาและปรับปรุงองค์กรช่วยให้องคก์ รดขี ้ึน การจัดการความรู้ประกอบด้วย กระบวนการหลัก ๆ ได้แก่ การค้นหาความรู้ การสร้างและ แสวงหา ความรู้ใหม่ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลผลและกลั่นกรองความรู้ การแบ่งปัน แลกเปลย่ี นความรู้ สุดทา้ ยคอื การเรยี นรรู้ ่วมกัน และเพอ่ื ใหม้ กี ารนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ องค์กร เครือ่ งมือหลากหลายประเภทถกู สรา้ งขึน้ มาเพ่ือนำไปใช้ในการถ่ายทอดและแลกเปลยี่ นความรู้ ซ่ึง อาจแบง่ เปน็ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. เคร่อื งมอื ท่ชี ว่ ยในการเข้าถึง ความรู้ ซึ่งเหมาะสำหรับความรปู้ ระเภท Explicit

91 2. เครื่องมอื ท่ชี ่วยในการถา่ ยทอด ความรู้ ซ่ึงเหมาะสำหรบั ความรปู้ ระเภท Tacit ซงึ่ ต้อง อาศัยการถ่ายทอด โดยปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างบุคคลเป็นหลัก ในบรรดาเครื่องมือดังกล่าวที่มีผู้นิยมใช้กันมาก ประเภทหนึง่ คือ ชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ หรอื ชุมชน นักปฏิบตั ิ 3.6 ระบบการสบื คน้ ผา่ นเครอื ขา่ ยเพอ่ื การเรยี นรู้ ในปัจจุบันสื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประโยชน์ในการสืบค้นข้อมูล และแสวงหาความรู้ให้ กว้างขวางมากขึ้น พื้นที่ที่ใช้สืบค้นองค์ความรู้ต่างๆ มิได้จำกัดเพียงตำราและหนังสือเท่านั้นส่ือ อินเตอร์เน็ตนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เรียนรู้กลุ่มยุคใหม่ ระบบอินเ ตอร์เน็ตเป็น แหล่งข้อมูล องค์ความรู้ที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลได้ง่ายดายและสะดวกรวดเร็วที่สุด ผู้สืบค้นข้อมูล สามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างเห็นความสำคัญ ของการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง เพื่อบริการบุคคลในองค์กรเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ได้ สะดวกยิง่ ข้ึน 3.6.1 การใชอ้ นิ เตอร์เนต็ เพอื่ การเรียนรู้ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเพื่อค้นหา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้อย่าง แทบไมม่ ีขีดจำกัด การใช้อนิ เทอร์เน็ตเพ่ือประโยชน์ดังกล่าว จำเป็นท่ีเราจะต้องมีความรู้และทักษะในการ ค้นหาข้อมูล (Search) รู้จักแหล่งเรียนรู้ และวิธีการนำเสนอข้อมูลความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม จะ ชว่ ยให้เราสามารถใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเป็นเครอื่ งมือในการสบื คน้ ขอ้ มลู ในหัวขอ้ เรื่องทีน่ ักเรยี นสนใจ กิจกรรมการนำเสนอ เป็นการเปิดเวทีเพื่อนำเสนอผลงานจากการสืบค้นและสร้างองค์ ความรู้ดว้ ยตนเอง สามารถทำได้หลายวธิ ี เชน่ 3.6.1.1 การนำเสนอแบบ Online เช่น 1) สรา้ ง Web Page 2) สร้าง Blog

92 3) การส่งข้อมลู ออนไลน์ 3.6.1.2 การนำเสนอแบบ Off line เชน่ 1) การนำเสนอด้วยวาจา 2) ทำเอกสารรายงาน 3) จดั นทิ รรศการ 4) การสร้างชิน้ งาน 3.6.1.3 การนำเสนอแบบสื่อผสม โดยการเลือก Online และ Off line ซึ่งในปัจจุบัน เป็นท่นี ิยมอยา่ งกวา้ งขวางในทุกวงการ 3.6.2 รูปแบบการใช้อนิ เตอรเ์ นต็ เพ่อื การเรียนรู้ การประยุกต์น็ตเป็นเครือข่ายที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้กับแหล่งที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สามารถสืบค้นข้อมูลได้และมีสถาบนั ต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้เชื่อมเครือข่ายร่วมกัน จึงเป็น แหล่งที่จะสืบค้นข้อมูลเพื่อนำมาศึกษาหาความรู้ได้ การนำอินเทอร์เน็ใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทาง การศกึ ษา ดงั น้ี 1. การใช้เครือข่ายเพื่อการติดต่อสื่อสาร เป็นการติดต่อระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เพื่อส่ง รายงาน การบ้าน วิทยานิพนธ์ ในรูปแบบแฟ้มข้อมลู การเป็นสมาชิกกลุ่มสนทนาเพื่อเป็นเวทีแลกเปล่ยี น ความคิดเห็น เผยแพร่ผลงานวิจัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางด้านวิชาการ และแจ้งข่าวความเคลื่อนไหว ทางวิชาการ 2. การใชเ้ ครอื ข่ายเพื่อการสืบคน้ ข้อมูล ซ่งึ ผู้เรียน นกั วิจัย และ ผูส้ อนสามารถสืบค้นจาก ฐานข้อมูลทางการศึกษา และ Online Library Catalog ของห้องสมุดต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงในอินเทอร์เน็ต จากประเทศในทวีปตา่ ง ๆ ทว่ั โลก 3. การใช้เครือข่ายเพื่อการสอน หรือการสอนทางไกลโดยผ่านเครือข่าย โดยเปิดเป็น หลักสูตรการสอนในระดับปริญญาและในแบบประกาศนียบัตร เรียกว่า Online Program ซึ่งผู้เรียน สามารถสมัครและเรียนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วนกิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารและการติดต่อ ต่าง ๆ อยูใ่ นรูปของแฟ้มข้อมลู อเิ ล็กทรอนิกส์ การใช้ Internet ในชีวิตประจำวันส่งผลในด้านการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อ ค้นคว้าหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลทางวิชาการจากที่ต่าง ๆ ซึ่งในกรณีนี้ อินเตอร์เน็ต จะทำหน้าท่ี เหมือนห้องสมุด ขนาดยกั ษ์ สง่ ข้อมลู ที่เราต้องการ มาให้ถงึ บนจอคอมพิวเตอร์ท่บี ้านหรือท่ีทำงานของเรา ไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลก ไม่ว่าจะเปน็ ขอ้ มูลด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม สังคมศาสตร์

93 กฎหมาย ความบันเทิง และการ พักผ่อนหย่อนใจ หรือสันทนาการ เช่น เลือกอ่านวารสารต่างๆ ผ่าน อินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า magazine แบบ online รวมถึงหนังสือพิมพ์ และข่าวสารอื่น ๆ โดยมี ภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกบั หนงั สอื 3.6.3 การสบื ค้นข้อมูลในการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง เนื่องจากข้อมูลที่อยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันมีมากมายและกระจัดกระจายอยู่ ตามที่ต่างๆ ดังนั้นผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้บริการอินเตอร์เน็ตและเลือกใช้ให้ เหมาะสม เพอื่ การคน้ หาข้อมลู ในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้อนิ เตอร์เน็ตใน การสบื คน้ ข้อมลู ศึกษา คน้ ควา้ และวจิ ยั ไดห้ ลายวธิ ดี ว้ ยกัน วธิ ที ี่เป็นทน่ี ิยมมากท่สี ดุ ในปัจจบุ นั คอื การสืบค้นทาง เวิลด์ ไวด์ เว็บ เนื่องจากสามารถรองรับข้อมูลได้หลายๆ รูปแบบ และ เช่ือมโยงขอ้ มลู ท่ีเกี่ยวเนื่องกนั ใหเ้ ราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย และมซี อฟตแ์ วร์ สำหรับอ่านข้อมูลในเว็บ ที่สมบูรณ์แบบมากการค้นหาข้อมูล ในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้เครื่องมอื ช่วยค้น (Search engine) ซึ่งซอฟต์แวร์สำหรับอ่านข้อมูลในเว็บ (Web Browser) ส่วนใหญ่บริการ เชื่อมต่อกับเครื่องมือเหล่านี้ไว้ให้แล้ว ผู้ใช้เพียงแต่กดปุ่มสำหรับเรียกเครื่องมือนี้ขึ้นมา พิมพ์คำ หรือ ข้อความที่ต้องการสืบค้นลงไป เครื่องก็จะแสดงผลการคน้ โดยการแสดงชื่อของข้อมูลที่เราต้องการศึกษา (Web Page) ซึ่งถ้าต้องการเข้าไปอ่าน ก็สามารถกดลงไปบนชื่อนั้นได้เลย ข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏบนจอ ไมว่ า่ จะเป็นข้อมูลจากเคร่ืองคอมพิวเตอรเ์ ครือ่ งใดในโลกก็ตาม นอกจากนี้การเข้าใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่ต่ออยู่กับเครือข่าย และมีการอนุญาตให้เข้า ไปใช้ได้ เช่น การติดต่อเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพื่อค้นหา ยืม ต่อเวลาการยืม หรือการจอง หนังสอื สงิ่ พิมพ์ต่าง ๆ ก็เป็นท่ีนยิ มกันมาก ปัจจุบนั มหี ้องสมุดหลายแห่งเปิดใหบ้ ริการบริการน้ีสามารถเข้า ใช้ได้โดยการ ใช้คำสั่ง Telnet และตามด้วยชื่อเครื่อง หรือหมายเลขของเครื่องแล้วพิมพ์ช่ือในการขอเข้า ใช้ (Login) บางเครื่องอาจต้องใช้รหัสลับ (Password) ด้วย หลังจากนั้นต้องทำตามคำสั่งที่ปรากฏบนจอ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละระบบของเครื่อง นอกจากห้องสมุดแล้ว เราอาจจะใช้คอมพิวเตอร์ที่เป็น ฐานขอ้ มูลต่าง ๆ ไดด้ ้วย โดยในบางฐานขอ้ มลู นอกจากผู้ใชจ้ ะเขา้ ไปค้นหาบทความที่เคยตีพมิ พใ์ นวารสาร ตา่ ง ๆ แลว้ ยังสามารถใช้บริการพิเศษอื่น ๆ เช่น บรกิ ารส่งอเี มลแ์ จ้งให้ทราบเก่ยี วกบั บทความใหม่ ๆ ท่ีได้ ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาที่สนใจเล่มล่าสุด โดยต้องมีการกำหนดชื่อของวารสารทีส่ นใจไว้ลว่ งหนา้ หรือ มีบริการสง่ แฟกซ์ บทความนัน้ ใหแ้ กผ่ ู้ใชท้ ีส่ นใจ

94 3.6.4 สรุป อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีบทบาทในยุคนี้ โดยการนำความรู้ การเชื่อมโยง แหล่งความรู้มาประกอบกันเพื่อให้ผู้เรียน ที่ต้องการเรียนรู้ให้เข้าถึงได้จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อวง การศึกษาในการใช้สืบค้นข้อมูลต่างๆจากความจำเป็นและความสำคัญของอินเทอร์เน็ตดังกล่าว ผู้วิจัยจึง สนใจที่จะศกึ ษาพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเพือ่ การศึกษาของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผลการวิจยั ครัง้ นีเ้ ป็นประโยชนต์ ่อสถาบันเพือ่ ใชใ้ นการวางแผนการบริหารจัดการ และการลงทนุ ดา้ นเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเปน็ ประโยชน์สำหรับ ตัวเราเอง 3.7 การสบื ค้น และรับส่งข้อมูล แฟ้มข้อมลู 3.7.1 ความหมายของอนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต (Internet) คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันจำนวนมากและครอบคลุม ไปทั่วโลก เครือข่ายนี้เชื่อมเข้าหากันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน (TCP/IP) ทำให้สามารถ แลกเปลีย่ นข้อมูลและส่งผ่านข้อมลู ระหว่างกนั ได้ 3.7.2 ประวตั ิความเป็นมา ปี 2512 กระทรวงกลาโหมสหรัฐให้ทุนมหาวิทยาลัยศึกษาวิธีการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้า เป็นเครอื ขา่ ย เรียกว่า อาร์ปาเน็ต (Arpanet) ปี 2524 มหาวิทยาลัยทุกแห่งในสหรัฐเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่าย แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น อนิ เทอร์เน็ต

95 ปี 2532 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อส่ง E-mail กับประเทศ ออสเตรเลยี 3.7.3 บรกิ ารในระบบอนิ เทอรเ์ น็ต ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-mail) เป็นบริการรับ-ส่งจดหมายและแนบ ไฟลภ์ าพหรือเอกสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ท่รี วดเรว็ สามารถตดิ ต่อกนั ได้ทั่วโลก โดยผู้ใช้งานจะต้อง มที ่อี ยอู่ ีเมลล์ หรอื E-mail Address การถ่ายโอนข้อมูล (File Transfer Protocol: FTP) เป็นบริการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลข่าวสาร บทความจากคอมพิวเตอร์เคร่ืองหน่ึงไปส่อู ีกเคร่ืองหนึ่ง การโอนยา้ ยแฟ้มข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น มาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ เรา เรียกว่า การดาวน์โหลด (Download) ส่วนการนำแฟ้มข้อมูลจาก เครื่องคอมพิวเตอร์เราไปยงั เครอื่ งคอมพิวเตอร์ เครอื่ งอน่ื เรียกวา่ การอัพโหลด (Upload) การเรียกใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น (Telnet) เป็นบริการที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง คอมพวิ เตอร์เครื่องอืน่ ๆในท่หี ่างไกล โดยไม่ต้องเดินทางไปถงึ เครือ่ งคอมพวิ เตอรน์ น้ั ๆ ขา่ วสาร (Usenet) เปน็ บรกิ ารจดั เกบ็ ข่าวสารทสี่ ่งไปไวใ้ นเครื่องคอมพิวเตอรท์ เ่ี ปน็ ศูนย์กลาง โดยที่ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านข่าวสาร มีการจัดกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะ และแสดงความคิดเห็นใน หัวขอ้ ต่างๆ เวิล์ดไวด์เว็บ (World-Wide-Web : WWW) เป็นบริการเครือข่ายที่เชื่อมโยงแหล่งข้อมูล ข่าวสารเข้าหากัน และครอบคลุมทั่วโลก ลักษณะของข้อมูลที่สืบค้นไดจ้ ะเป็นเอกสารไฮเปอร์ลิงค์ ที่สร้าง ด้วยภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML) การเข้าถึงข้อมูลแต่ละแห่งจะเข้าไปยังโฮมเพจ (Homepage) และจะ เช่ือมตอ่ ไปยังเวบ็ เพจ (Webpage) อนื่ ๆไดอ้ ีก การสนทนาผ่านเครือข่าย (Chat) เป็นบริการการสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อคิดเห็น ซึ่ง สนทนาผ่านการพิมพ์ข้อความ,การรับ-ส่งแฟ้มข้อมูล,การสนทนาด้วยเสียง และการติดตั้งกล้องเว็บแคม เพอ่ื ให้เห็นภาพคู่สนทนาดว้ ย ชุมชนออนไลน์ เป็นบริการเครือข่ายที่ผู้ใช้สามารถส่งข้อความถึงกัน ติดต่อสื่อสารกับกลุ่ม เพื่อน แลกเปล่ยี นประสบการณ์และรปู ภาพกันได้ เชน่ เฟสบคุ๊ ทวสิ เตอร์ อนิ สตาแกรม 3.7.4 การคน้ หาข้อมูลความรู้ผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต 3.7.4.1 รปู แบบการคน้ หาขอ้ มลู ความรู้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook