พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปิด อนาคามี ขอ้ แตกต่�งระหว่�งอริยส�วกผู้ไดส้ ดบั ๒8กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ ม�ธิ (นยั ท่ี ๒) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๔๓/๕๕๖. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๓ จำ�พวกน้ี มีอยู่ในโลก ห�ไดใ้ นโลก ๓ จำาพวกเป็นอยา่ งไร คือ (๑) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะกา้ วลว่ งรปู สญั ญา เสยี ไดโ้ ดยประการทง้ั ปวง เพราะความดบั ไปแหง่ ปฏฆิ สญั ญา เพราะการไม่ใส่ใจซ่ึงนานัตตสัญญา จึงเข้�ถึงอ�ก�ส�- นัญจ�ยตนะ อันมีการทำาในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังน้ี แลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถึงความยินดีด้วยธรรมน้นั เขาดำารงอย่ใู นธรรมน้นั น้อมใจ ไปในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเหล�่ เทวด�ท่ี เข�้ ถงึ ชนั้ อ�ก�ส�นญั จ�ยตนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหล�่ เทวด� ทเ่ี ขา้ ถงึ ชน้ั อากาสานัญจายตนะ มีอายุประมาณสองหมื่นกัป ปถุ ชุ นดาำ รงอยใู่ นชน้ั อากาสานญั จายตนะนน้ั ตราบเทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มเข�้ ถงึ นรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วก ของพระผมู้ พี ระภ�คดำารงอยู่ในชั้นอากาสานัญจายตนะนั้น ตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้น ไปแล้ว ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนัน้ เอง. ๗๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเม่ือคติอบุ ัตยิ งั มอี ยู.่ (๒) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะผา่ นพน้ อากาสานญั จายตนะเสยี ได้ โดยประการทง้ั ปวง จงึ เข�้ ถงึ วญิ ญ�ณญั จ�ยตนะ อนั มกี ารทาำ ในใจวา่ “วญิ ญาณ ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ” เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถึงความยินดีด้วยธรรมน้นั เขาดาำ รงอย่ใู นธรรมน้นั น้อมใจ ไปในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เส่ือมจากธรรมนั้น เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเหล�่ เทวด�ท่ี เข�้ ถงึ ชนั้ วญิ ญ�ณญั จ�ยตนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหล�่ เทวด� ท่ีเข้าถึงช้ันวิญญาณัญจายตนะมีอายุประมาณส่ีหมื่นกัป ปุถุชนดำารงอยู่ในชน้ั วญิ ญาณญั จายตนะนน้ั ตราบเทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้� ถงึ นรกบ�้ ง กาำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นส�วกของ พระผมู้ พี ระภ�คดำารงอยู่ในช้ันวิญญานัญจายตนะน้ันตราบ เทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ย่อมปรินิพพ�นในภพนัน้ เอง. ๘๐
เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเม่อื คติอุบัตยิ ังมีอย.ู่ (๓) อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะ ผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะเสียได้ โดยประการท้ังปวง จึง เข�้ ถงึ อ�กญิ จญั ญ�ยตนะ อนั มกี ารทาำ ในใจวา่ “อะไรๆ ไมม่ ”ี เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และถึงความ ยินดีด้วยธรรมน้ัน เขาดำารงอยู่ในธรรมนั้น น้อมใจไปใน ธรรมนน้ั อยมู่ ากดว้ ยธรรมนนั้ ไมเ่ สอื่ มจากธรรมนน้ั เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเหล�่ เทวด�ทเ่ี ข�้ ถงึ ชน้ั อ�กญิ จญั ญ�ยตนะ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหล�่ เทวด�ทเ่ี ขา้ ถงึ ชั้นอากิญจัญญายตนะมีอายุประมาณหกหมื่นกัป ปุถุชน ดำารงอยู่ในชั้นอากิญจัญญายตนะนั้นตราบเท่าส้ินอายุ ยัง ประมาณอายุของเทวดาเหลา่ นัน้ ใหส้ ้นิ ไปแลว้ ยอ่ มเข�้ ถึง นรกบ�้ ง กาำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นส�วกของ พระผมู้ พี ระภ�คดาำ รงอยใู่ นชน้ั อากญิ จญั ญายตนะนนั้ ตราบ เทา่ สน้ิ อายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ ิพพ�นในภพนั้นเอง. ๘๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคติอบุ ัติยังมีอยู.่ ภกิ ษุท้งั หลาย บคุ คล ๓ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก ห�ไดใ้ นโลก. ๘๒
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี ข้อแตกต�่ งระหว่�งอรยิ ส�วกผู้ไดส้ ดับ ๒9กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เจรญิ พรหมวหิ �ร -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๗๒/ ๒๕. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกน้ี มีอยู่ในโลก ห�ไดใ้ นโลก ๔ จำาพวกเปน็ อยา่ งไร คือ (๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ มีจิตประกอบด้วย เมตต� แผไ่ ปสทู่ ศิ ทห่ี นง่ึ ทศิ ทส่ี อง ทศิ ทส่ี าม ทศิ ทส่ี ่ี กเ็ หมอื น อย่างน้ัน ทั้งเบ้ืองบน เบ้ืองล่างและเบ้ืองขวาง เธอแผ่ไป ตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั วท์ ง้ั หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแล้วแลอยู่ เขาย่อม ชอบใจธรรมน้ัน ปรารถนาธรรมน้ัน และถึงความยินดีด้วย ธรรมนั้น เขาดำารงอยู่ในธรรมน้ัน น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมน้ัน เม่ือทำากาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเป็นสห�ยของเทวด�เหล�่ พรหมก�ยกิ � ภิกษุท้ังหลาย กัปหนึ่งเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่า พรหมกายิกา ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง ๘๓
พุทธวจน-หมวดธรรม เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ช้ันพรหมกายิกาน้ันตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมอ่ื คติอุบัติยังมีอย.ู่ (๒) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วยกรุณ� แผ่ไปสู่ทิศท่ีหน่ึง ทิศท่ีสอง ทิศ ท่ีสาม ทิศทสี่ ี่ กเ็ หมอื นอยา่ งนัน้ ทง้ั เบ้ืองบน เบอ้ื งล่างและ เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกท้ังสิ้น ในที่ท้ังปวง แก่สัตว์ ทง้ั หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ดว้ ยจติ อนั ประกอบดว้ ยกรณุ า เปน็ จติ ไพบลู ย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไมม่ ีเวร ไมม่ ีพยาบาท แลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนาธรรมนน้ั และ ถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั นอ้ มใจไป ในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมนั้น เม่อื ทำากาละ ย่อมเข้�ถึงคว�มเป็นสห�ยของเทวด�เหล่� อ�ภัสสระ ภิกษุท้ังหลาย ๒ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าอาภัสสระ ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นอาภัสสระน้ัน ๘๔
เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ช้ันอาภัสสระนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมอ่ื คตอิ บุ ตั ยิ งั มอี ย.ู่ (๓) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีจิตประกอบด้วยมุทิต� แผ่ไปสู่ทิศท่ีหน่ึง ทิศที่สอง ทิศ ทสี่ าม ทิศทีส่ ี่ กเ็ หมอื นอยา่ งนน้ั ทง้ั เบอ้ื งบน เบือ้ งลา่ งและ เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวงแก่สัตว์ ทั้งหลายท่ัวหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยมุทิตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มี พยาบาทแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนาธรรม น้ัน และถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจาก ธรรมนนั้ เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเทวด� ๘๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เหล�่ สภุ กณิ หะ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ๔ กปั เปน็ ประมาณอายขุ อง เทวดาเหล่าสุภกิณหะ ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นสุภกิณหะน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ช้ันสุภกิณหะน้ันตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมือ่ คติอุบตั ยิ ังมอี ย.ู่ (๔) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วยอุเบกข� แผ่ไปสู่ทิศท่ีหนึ่ง ทิศท่ีสอง ทศิ ทส่ี าม ทศิ ทส่ี ่ี กเ็ หมอื นอยา่ งนน้ั ทง้ั เบอ้ื งบน เบอ้ื งลา่ ง และ เบื้องขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกท้ังสิ้น ในท่ีทั้งปวง แก่สัตว์ ทั้งหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยอุเบกขา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มี พยาบาทแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนน้ั ปรารถนาธรรม นั้น และถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั ๘๖
เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี น้อมใจไปในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมนั้น ไม่เส่ือมจาก ธรรมนน้ั เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเทวด� เหล�่ เวหปั ผละ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ๕๐๐ กปั เปน็ ประมาณอายุ ของเทวดาเหลา่ เวหปั ผละ ปถุ ชุ นดาำ รงอยใู่ นชน้ั เวหปั ผละนน้ั ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ช้ันเวหัปผละนั้นตราบเท่าสิ้นอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนน้ั เอง. ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเม่อื คตอิ บุ ตั ิยังมอี ย.ู่ ภิกษุทั้งหลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก ห�ไดใ้ นโลก. ๘๗
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี ผลของก�รได้สม�ธิ ๓0 แล้วเห็นคว�มไม่เที่ยง (นยั ท่ี 1) -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๗ / ๒๔. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกนี้ มีอยู่ในโลก ห�ได้ในโลก ๔ จำาพวกเป็นอย่างไร คือ (๑) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะสงดั จากกามและ อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌ�น อันมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ รูป เวทน� สัญญ� สงั ข�ร และวญิ ญ�ณอนั ใด ทม่ี อี ยใู่ นปฐมฌ�นนน้ั บคุ คลนน้ั พิจ�รณ�เห็นธรรมเหล่�น้ัน โดยคว�มเป็นของไม่เท่ียง (อนิจฺจโต) เป็นทกุ ข์ (ทุกฺขโต) เปน็ ดังโรค (โรคโต) เป็นดงั หัวฝี (คณฺฑโต) เป็นดังลูกศร (สลฺลโต) เป็นของทนได้ยาก(อฆโต) เปน็ ของเบยี ดเบยี น (อาพาธโต) เปน็ ของผอู้ น่ื (ปรโต) เปน็ ของ ต้องแตกสลาย (ปโลกโต) เป็นของว่างเปล่า (สุ ฺ โต) เป็น อนตั ตา (อนตตฺ โต) บคุ คลนน้ั เมอื่ ต�ยไป ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�ม เป็นสห�ยของเทวด�เหล่�สุทธ�ว�ส ภิกษุท้ังหลาย ความอุบัตินีแ้ ล ไม่ทัว่ ไปดว้ ยปถุ ุชน. (๒) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะสงบวติ กวจิ ารเสยี ได้ จงึ บรรลทุ ตุ ยิ ฌ�น … รปู เวทน� ๘๘
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี สญั ญ� สงั ข�ร และวญิ ญ�ณอนั ใด ทมี่ อี ยใู่ นทตุ ยิ ฌ�นนน้ั บุคคลนั้นพิจ�รณ�เห็นธรรมเหล่�นั้น โดยคว�มเป็นของ ไม่เท่ียง … บคุ คลนนั้ เมอื่ ต�ยไป ยอ่ มเข้�ถงึ คว�มเป็น สห�ยของเทวด�เหล�่ สทุ ธ�ว�ส ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความอบุ ตั ิ นี้แล ไม่ท่วั ไปด้วยปุถุชน. (๓) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เพราะความจางไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และยอ่ มเสวยสขุ ดว้ ยกาย จงึ บรรลตุ ตยิ ฌ�น … รปู เวทน� สญั ญ� สงั ข�ร และวญิ ญ�ณอนั ใด ทมี่ อี ยใู่ นตตยิ ฌ�นนน้ั บุคคลนั้นพิจ�รณ�เห็นธรรมเหล่�น้ัน โดยคว�มเป็น ของไมเ่ ท่ยี ง … บคุ คลนน้ั เมอื่ ต�ยไป ย่อมเข�้ ถึงคว�ม เป็นสห�ยของเทวด�เหล่�สุทธ�ว�ส ภิกษุทั้งหลาย ความอบุ ัตนิ ีแ้ ล ไม่ท่วั ไปด้วยปถุ ุชน. (๔) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง โสมนสั และโทมนสั ทงั้ หลายในกาลกอ่ น จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌ�น อันไมม่ ีทุกขไ์ ม่มีสุข มีแต่ความที่มสี ติเปน็ ธรรมชาติบริสุทธ์ิ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วญิ ญาณอนั ใด ทม่ี อี ยใู่ นจตตุ ถฌานนนั้ บคุ คลนน้ั พจิ �รณ� ๘๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เห็นธรรมเหล่�นั้น โดยคว�มเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เปน็ ของเบยี ดเบยี น เปน็ ของผอู้ น่ื เปน็ ของแตกสลาย เปน็ ของ ว่างเปล่า เป็นอนัตตา บุคคลนั้นเมื่อต�ยไป ย่อมเข้�ถึง คว�มเปน็ สห�ยของเทวด�เหล�่ สทุ ธ�ว�ส ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความอบุ ัตนิ ้ีแล ไมท่ ว่ั ไปด้วยปถุ ชุ น. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก ห�ไดใ้ นโลก. ๙๐
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี ผลของก�รไดส้ ม�ธิ ๓1 แลว้ เหน็ คว�มไมเ่ ที่ยง (นัยที่ ๒) -บาลี วก. อ.ํ ๒๓/๔๓๘/๒๔๐. ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวความส้ินไปแห่งอาสวะ เพราะอาศยั ปฐมฌานบา้ ง เพราะอาศยั ทตุ ยิ ฌานบา้ ง เพราะ อาศยั ตตยิ ฌานบา้ ง เพราะอาศยั จตตุ ถฌานบา้ ง เพราะอาศยั อากาสานญั จายตนะบา้ ง เพราะอาศยั วญิ ญาณณญั จายตนะบา้ ง เนพารสาญั ะอญาาศยยั ตอนาะกบญิ ้าจงญั เพญราายะตอนาะศบัยา้ สงัญเพญราาเะวอทายศิตยั นเนโิ รวธสบญั า้ ญง.า1- ภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อท่ีเรากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความส้ินไปแห่งอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้น้ัน เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีน้ี ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณอันใด ท่ีมีอยู่ใน ปฐมฌานนน้ั บคุ คลนน้ั พจิ ารณาเหน็ ธรรมเหลา่ นน้ั โดยความ เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง (อนจิ จฺ โต) เปน็ ทกุ ข์ (ทกุ ขฺ โต) เปน็ ดงั โรค (โรคโต) เปน็ ดงั หวั ฝี (คณฑฺ โต) เปน็ ดงั ลกู ศร (สลลฺ โต) เปน็ ของทนไดย้ าก ๑. พระไตรป กฉบับมอญ มีระบุเลยไปถึง เพร�ะอ�ศัยสัญญ�เวทยิตนิโรธบ้�ง แตพ่ ระไตรป กฉบบั สย�มรั มถี งึ เนวสญั ญ�น�สญั ญ�ยตนะเท�่ นน้ั . ผรู้ วบรวม ๙๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม (อฆโต) เป็นของเบียดเบยี น (อาพาธโต) เป็นของผ้อู น่ื (ปรโต) เป็นของต้องแตกสลาย (ปโลกโต) เป็นของว่างเปล่า (สุ ฺ โต) เป็นอนัตตา (อนตฺตโต) เธอดำารงจิตด้วยธรรม เหล่าน้ัน แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นระงับ น่ันประณีต น่ันคือธรรมเป็นท่ีสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นท่ีสลัดคืนซึ่งอุปธิท้ังปวง เป็นท่ีส้ินไปแห่งตัณหา เป็น ความจางคลาย เปน็ ความดบั เปน็ นิพพาน ดงั นี้ เธอดำารง อยู่ในปฐมฌานน้ัน ย่อมถึงความส้ินไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ก็เป็นโอปปาติกะ ผปู้ รนิ พิ พานในภพนน้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป (ป ฺจนฺน โอรมฺภาคิยาน สโยชนานปรกิ ขฺ ยา) และเพราะอาำ นาจแหง่ ธมั มราคะ ธมั มนนั ทนิ น้ั ๆ น่ันเอง. ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือ ลูกมือของเขา ประกอบการฝึกยิงรูปหุ่นที่ทำาด้วยหญ้าหรือ กอ้ นดนิ สมยั ตอ่ มา เขากเ็ ปน็ นายขมงั ธนผู ยู้ งิ ไดไ้ กล ยงิ ไดเ้ รว็ ทำาลายหมู่พลอันใหญ่ได้ ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันน้ัน ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ ๙๒
เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั มอี ยใู่ นปฐมฌานนน้ั โดยความเปน็ ของ ไมเ่ ทย่ี ง โดยความเปน็ ทกุ ข์ เปน็ โรค เปน็ ดงั หวั ฝี เปน็ ดงั ลกู ศร เปน็ ความยากลาำ บาก เปน็ อาพาธ เปน็ ของผอู้ น่ื เปน็ ของแตก สลาย เปน็ ของวา่ งเปลา่ เปน็ อนตั ตา เธอดาำ รงจติ ดว้ ยธรรม เหล่านั้น แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า นั่นสงบ น่ันระงับ นั่นประณีต น่ันคือธรรมเป็นท่ีสงบระงับแห่งสังขารท้ังปวง เป็นที่สลัดคืนซ่ึงอุปธิท้ังปวง เป็นท่ีส้ินไปแห่งตัณหา เป็น ความจางคลาย เป็นความดบั เปน็ นิพพาน ดงั น้ี เธอดำารง อยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ก็เป็นโอปปาติกะ ผปู้ รนิ พิ พานในภพนนั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป และเพราะอำานาจแห่ง ธมั มราคะ ธมั มนนั ทนิ นั้ ๆ นน่ั เอง ภกิ ษทุ งั้ หลาย ขอ้ ทเี่ รา กลา่ วแลว้ วา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรากลา่ วความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะ เพราะอาศยั ปฐมฌานบา้ ง ดงั นน้ี น้ั เราอาศยั ความขอ้ นก้ี ลา่ วแลว้ . (ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง เพราะ อาศัยตติยฌานบ้าง เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ก็มีคำาอธิบายท่ีตรัสไว้ โดยทาำ นองเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ ปฐมฌานขา้ งบนน้ี ทง้ั ในสว่ นอปุ ไมย และส่วนอปุ มา ผดิ กนั แตช่ ่ือแห่งฌานเทา่ นั้น) ๙๓
พุทธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอ้ ทเี่ รากลา่ วแลว้ วา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เรากล่าวความส้ินไปแห่งอาสวะ เพราะอาศัยอากาสานัญ- จายตนะบา้ ง ดงั นน้ี นั้ เราอาศยั อะไรกลา่ วเลา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในกรณีน้ี ภิกษุเพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการ ทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ ใส่ใจซ่ึงนานัตตสัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมี การทาำ ในใจวา่ อากาศไม่มที ี่ส้ินสดุ ดงั นี้แล้วแลอยู่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณอนั ใด ทมี่ อี ยใู่ นอากาสานญั จายตนะ นน้ั บคุ คลนน้ั พจิ ารณาเหน็ ธรรมเหลา่ นน้ั โดยความเปน็ ของ ไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ ดงั โรค เปน็ ดงั หวั ฝี เปน็ ดงั ลกู ศร เปน็ ของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียน เป็นของผู้อื่น เป็นของ ตอ้ งแตกสลาย เป็นของว่างเปลา่ เป็นอนตั ตา เธอดาำ รงจติ ด้วยธรรมเหล่านั้น แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า นั่นสงบ นนั่ ระงบั นน่ั ประณตี นนั่ คอื ธรรมเปน็ ทสี่ งบระงบั แหง่ สงั ขาร ทงั้ ปวง เปน็ ทสี่ ลดั คนื ซง่ึ อปุ ธทิ ง้ั ปวง เปน็ ทส่ี นิ้ ไปแหง่ ตณั หา เปน็ ความจางคลาย เปน็ ความดบั เปน็ นพิ พาน ดงั น้ี เธอดาำ รง อยู่ในอากาสานัญจายตนะน้ัน ย่อมถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ก็เป็นโอปปาติกะ ผู้ปรินิพพานในภพน้ัน มีอันไม่กลับจาก โลกน้ันเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป และเพราะอาำ นาจแห่งธมั มราคะ ธมั มนนั ทนิ นั้ ๆ นน่ั เอง. ๙๔
เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมอื นนายขมงั ธนหู รอื ลกู มอื ของเขา ประกอบการฝกึ ยงิ รปู หนุ่ ทท่ี าำ ดว้ ยหญา้ หรอื กอ้ นดนิ สมยั ตอ่ มา เขากเ็ ปน็ นายขมงั ธนผู ยู้ งิ ไดไ้ กล ยงิ ไดเ้ รว็ ทาำ ลาย หมู่พลอันใหญ่ได้ ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น ท่ีภิกษุ เพราะกา้ วลว่ งซงึ่ รปู สญั ญาเสยี ไดโ้ ดยประการทงั้ ปวง เพราะ ความดบั ไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไมใ่ สใ่ จซ่ึงนานตั ต- สัญญา จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำาในใจว่า อากาศไม่มีที่ส้ินสุด ดังน้ีแล้วแลอยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็น ธรรมทง้ั หลาย คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั มอี ยใู่ น อากาสานญั จายตนะนน้ั โดยความเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง โดยความ เปน็ ทกุ ข์ เป็นโรค เปน็ ดงั หัวฝี เปน็ ดังลูกศร เปน็ ความยาก ลำาบาก เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นอนัตตา เธอดำารงจิตด้วยธรรมเหล่านั้น แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุว่า น่ันสงบระงับ นั่นประณีต นนั่ คอื ธรรมเปน็ ทส่ี งบระงบั แหง่ สงั ขารทง้ั ปวง เปน็ ทสี่ ลดั คนื ซ่ึงอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เปน็ ความดบั เปน็ นพิ พาน ดงั น้ี เธอดาำ รงอยใู่ นอากาสานญั - จายตนะน้ัน ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ก็เป็นโอปปาติกะ ผปู้ รนิ พิ พานในภพนนั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป และเพราะอำานาจแห่ง ๙๕
พุทธวจน-หมวดธรรม ธัมมราคะ ธัมมนันทิน้ันๆ นั่นเอง ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ เรากล่าวแล้วว่า ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวความส้ินอาสวะ เพราะอาศยั อากาสานญั จายตนะบา้ ง ดงั นน้ี นั้ เราอาศยั ความ ข้อนี้กลา่ วแลว้ . (ในกรณแี หง่ การสน้ิ อาสวะ เพราะอาศยั วญิ ญาณญั จายตนะบา้ ง เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง ก็มีคำาอธิบายท่ีตรัสไว้โดยทำานอง เดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนน้ี ทุกตัวคำาพูดทั้ง ในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ช่ือแห่งสมาธิเท่าน้ัน ผู้ศึกษา พึงเทียบเคียงได้เอง ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ จบแล้ว ได้ตรัสข้อความน้ี ต่อไปวา่ ) ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุดังกล่าวมาน้ีแล เป็นอัน กล่าวได้ว่า สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การบรรลุอรหตั ตผล) ก็มีประมาณเท่านั้น. ภิกษุท้ังหลาย ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ สัญญา- เวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติเหล่าน้ัน เรากล่าวว่า เป็นส่ิงที่ฌายีภิกษุ1 ผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ ฉลาดใน การออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ แล้วกลา่ ววา่ เป็นอะไรได้เองโดยชอบ ดงั น้.ี ๑. �ยี กิ ษุ คอื กิ ษผุ เู้ พง่ อย.ู่ ผรู้ วบรวม ๙๖
เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด อนาคามี (ในสตู รอน่ื เปน็ คาำ กลา่ วของพระอานนทท์ อี่ า้ งถงึ วา่ เปน็ คาำ ตรสั ของพระผู้มีพระภาค โดยกล่าวถึงการทำาสมาธิตั้งแต่ระดับปฐมฌาน จนถึงอากิญจัญญายตนะ และการเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (อย่างใดอย่างหน่ึง) โดยให้พิจารณาว่าธรรมแต่ละอย่างนี้ มีเหตุปัจจัย ปรงุ แตง่ ขน้ึ (อภสิ งขฺ ต) มเี หตปุ จั จยั ทาำ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ขน้ึ (อภสิ ญเฺ จตยติ ) ก็ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งข้ึน อันเหตุปัจจัยทำาให้เกิดความ รสู้ กึ ขน้ึ สง่ิ นน้ั ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา เมอ่ื ดาำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั ก็จะเป็นเหตุให้ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไป แหง่ อาสวะทงั้ หลาย กจ็ ะเปน็ โอปปาตกิ ะ ผปู้ รนิ พิ พานในภพนน้ั มอี นั ไม่ กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป และ เพราะอำานาจแห่งธัมมราคะ ธัมมนันทินั้นๆ น่ันเอง -บาลี ม. ม. ๑๓/๑9/๑9. จากพระสูตรในบทที่ ๒๗ - ๓๑, ๑๗๔ และพระสูตรอน่ื ๆ ใน หนงั สือเลม่ นี้ พอสรปุ ได้วา่ ผทู้ ี่ได้ฌาน ๑ - ๔ แล้วเหน็ ขนั ธ์ทง้ั ๕ ทอี่ ยู่ ในธรรมน้ัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง … เป็นอนัตตา สามารถเข้าถึง ความเป็นสหายของเทวดาเหล่าอวิหา อตัปปา สุสัสสา สุทัสสี และ อกนิฏฐา ส่วนผู้ได้สมาธิในระดับอรูปสัญญา (อากาสานัญจายตนะ, วญิ ญาณญั จายตนะ และอากญิ จญั ญายตนะ) แลว้ เหน็ ขนั ธท์ ง้ั ๔ ท่ีอยู่ใน ธรรมนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง … เป็นอนัตตา พระองค์จะชี้ว่า เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป จงึ สง่ ผลใหเ้ ขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของ เทวดาเหล่าอกนิฏฐา. -ผูร้ วบรวม) ๙๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ อนาคามี เหตุไดค้ ว�มเปน็ อน�ค�มี ๓๒ หรอื อ�ค�มี -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ /๒ ๓/ ๗ . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง ใหส้ ตั วบ์ างจาำ พวกในโลกนี้ จตุ จิ ากกายนนั้ แลว้ เปน็ อาคามกี ลบั มาสคู่ วาม เป็นอย่างนี้ อน่ึง อะไรเป็นปัจจัยเคร่ืองให้สัตว์บางจำาพวกในโลกนี้ จุติ จากกายน้ันแลว้ เป็นอนาคามี ไมก่ ลบั มาส่คู วามเป็นอยา่ งนี้ พระเจา้ ข้า. สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกน้ี ยังละโอรัมภา- คิยสังโยชน์ไม่ได้ แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปจั จบุ นั บคุ คลนน้ั ชอบใจ ยนิ ดี และถงึ ความปลมื้ ใจดว้ ย เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ดำารงอยู่ในเนวสัญญา- นาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่มากด้วยเนวสัญญา- นาสญั ญายตนะนน้ั ไมเ่ สอ่ื มเมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเหลา่ เทวดาผเู้ ขา้ ถงึ ชน้ั เนวสญั ญานาสญั ญายตนภพ เขาจุติจากช้ันน้ันแล้ว ย่อมเป็นอ�ค�มี กลับมาสู่ความเป็น อย่างน้.ี สารบี ตุ ร อนง่ึ บคุ คลบางคนในโลกน้ี ละโอรมั ภาคยิ - สงั โยชนไ์ ดแ้ ลว้ เขาบรรลเุ นวสญั ญานาสญั ญายตนะ ในปจั จบุ นั บคุ คลนน้ั ชอบใจ ยนิ ดี และถงึ ความปลมื้ ใจ ดว้ ยเนวสญั ญา- ๙๘
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี นาสัญญายตนะนั้น ยับย้ังในเนวสัญญานาสัญญายตนะน้ัน นอ้ มใจไป อยจู่ นคนุ้ ในเนวสญั ญานาสญั ญายตนะนนั้ ไมเ่ สอื่ ม เมอื่ กระทาำ กาละ ยอ่ มเขา้ ถงึ ความเปน็ สหายของเหลา่ เทวดา ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นน้ัน แลว้ ยอ่ มเปน็ อน�ค�มี ไมก่ ลับมาสคู่ วามเปน็ อย่างน.ี้ สารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์ บางจาำ พวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแลว้ เปน็ อาคามี กลับมา สคู่ วามเปน็ อยา่ งนี้ อนงึ่ นเี้ ปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั เครอ่ื งใหส้ ตั ว์ บางจาำ พวกในโลกนี้ จตุ จิ ากกายนนั้ แลว้ เปน็ อนาคามไี มก่ ลบั มาสู่ความเป็นอยา่ งนี.้ ๙๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี ผลของก�รเจรญิ พรหมวหิ �ร ๓๓ แล้วเห็นคว�มไมเ่ ทย่ี ง -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๗๕/ ๒๖. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำาพวกนี้ มีอยู่ในโลก หาไดใ้ นโลก ๔ จาำ พวกเป็นอย่างไร คือ (๑) บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจิตประกอบด้วย เมตต� แผไ่ ปสทู่ ศิ ทห่ี นง่ึ ทศิ ทส่ี อง ทศิ ทส่ี าม ทศิ ทส่ี ่ี กเ็ หมอื น อย่างนั้น ทั้งเบื้องบน เบ้ืองล่าง และเบ้ืองขวาง เธอแผ่ไป ตลอดโลกทง้ั สน้ิ ในทท่ี ง้ั ปวง แกส่ ตั วท์ ง้ั หลายทว่ั หนา้ เสมอกนั ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มปี ระมาณ ไม่มเี วร ไมม่ พี ยาบาทแล้วแลอยู่ รปู เวทน� สัญญ� สังข�ร และวิญญ�ณอันใด มีอยู่ในธรรมนั้น บุคคลนน้ั พจิ �รณ�เหน็ ธรรมเหล่�นั้น โดยคว�มเป็นของ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของเบียดเบียน เป็นของไม่เชื่อฟัง เป็นของต้องทำาลายไป เป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่ใช่ตน บุคคลน้ันเมื่อต�ยไปย่อมเข้�ถึงคว�มเป็นสห�ยของ เทวด�เหล่�สุทธ�ว�ส ภิกษุท้ังหลาย ความอุบัติน้ีแล ไมท่ ่ัวไปดว้ ยปถุ ชุ น. ๑๐๐
เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี (๒) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี มจี ติ ประกอบด้วยกรุณ� … . (๓) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี มีจติ ประกอบด้วยมทุ ติ � … . (๔) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ มีจิตประกอบด้วยอุเบกข� แผ่ไปสู่ทิศท่ีหน่ึง ทิศท่ีสอง ทศิ ทส่ี าม ทศิ ทส่ี ่ี กเ็ หมอื นอยา่ งนน้ั ทง้ั เบอ้ื งบน เบอ้ื งลา่ ง และ เบ้ืองขวาง เธอแผ่ไปตลอดโลกท้ังสิ้น ในที่ท้ังปวง แก่สัตว์ ท้ังหลายทั่วหน้าเสมอกัน ด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา เป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มี พยาบาทแลว้ แลอยู่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ อันใด มีอยู่ในธรรมนั้น บุคคลน้ันพิจ�รณ�เห็นธรรม เหล่�นั้น โดยคว�มเปน็ ของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของทนได้ยาก เป็นของ เบียดเบียน เป็นของไม่เช่ือฟัง เป็นของต้องทำาลายไป เป็น ของวา่ งเปลา่ เปน็ ของไมใ่ ชต่ น บคุ คลนน้ั เมอ่ื ต�ยไปยอ่ ม เข้�ถึงคว�มเป็นสห�ยของเทวด�เหล่�สุทธ�ว�ส ภิกษุ ทง้ั หลาย ความอบุ ตั นิ ้แี ล ไม่ท่ัวไปดว้ ยปถุ ุชน. ภิกษุท้ังหลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก ห�ไดใ้ นโลก. ๑๐๑
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี โลก คือ ส่งิ ทีแ่ ตกสล�ยได้ ๓๔ -บาลี ส า. ส.ํ ๘/๖๔/๙๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่กล่าวกันว่า โลก โลก ดังนี้ อันว่าโลก มไี ดด้ ้วยเหตุเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า. ภิกษุ เพราะจะต้องแตกสลาย เราจึงกล่าวว่าโลก กอ็ ะไรเลา่ จะตอ้ งแตกสลาย. ภิกษุ ตาแตกสลาย รูปแตกสลาย จักษุวิญญาณ แตกสลาย จกั ษสุ มั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะจกั ษสุ มั ผสั เปน็ ปจั จยั ก็แตกสลาย. ภิกษุ หูแตกสลาย เสียงแตกสลาย โสตวิญญาณ แตกสลาย โสตสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะโสตสมั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ภกิ ษุ จมกู แตกสลาย กลน่ิ แตกสลาย ฆานวญิ ญาณ แตกสลาย ฆานสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะฆานสมั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ๑๐๒
เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี ภิกษุ ล้ินแตกสลาย รสแตกสลาย ชิวหาวิญญาณ แตกสลาย ชวิ หาสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะชวิ หาสมั ผสั เปน็ ปจั จยั ก็แตกสลาย. ภิกษุ กายแตกสลาย โผฎฐัพพะแตกสลาย กาย- วิญญาณแตกสลาย กายสัมผัสแตกสลาย แม้สุขเวทนาก็ดี ทกุ ขเวทนากด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะกายสมั ผสั เป็นปัจจัยกแ็ ตกสลาย. ภิกษุ ใจแตกสลาย ธรรมแตกสลาย มโนวิญญาณ แตกสลาย มโนสมั ผสั แตกสลาย แมส้ ขุ เวทนากด็ ี ทกุ ขเวทนา กด็ ี หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพราะมโนสมั ผสั เปน็ ปจั จยั กแ็ ตกสลาย. ภกิ ษุ เพร�ะจะตอ้ งแตกสล�ย เร�จงึ กล�่ วว�่ โลก ดงั น.้ี ๑๐๓
๑๐๔
ข้อควรร้เู กยี่ วกับ “กาม” ๑๐๕
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี ก�มคุณ ๕ คือ โลกในอริยวินัย ๓๕ -บาลี วก. อ.ํ ๒๓/๔๔๖/๒๔๒. คร้ังหนึ่ง พราหมณ์ผู้ชำานาญในคัมภีร์โลกายตะ ๒ คน เข้าไป เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค และไดท้ ลู ถามวา่ ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ ปรู ณกสั สปะ เปน็ ผรู้ สู้ งิ่ ทง้ั ปวง เหน็ สงิ่ ทงั้ ปวง ปฏญิ าณการรกู้ ารเหน็ อนั ไมม่ สี ว่ นเหลอื วา่ เมื่อเราเดิน ยนื หลับ และตืน่ อยู่ ญาณทัสสนะปรากฏตดิ ต่อเนอ่ื งกนั ไป ปูรณกัสสปะน้นั กล่าวอย่างน้วี ่า เราร้เู ราเห็นโลกอันไม่มีท่สี ุด ด้วยญาณ อนั ไมม่ ที ส่ี ดุ ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ แมน้ คิ รณฐนาฏบตุ รกเ็ ปน็ ผรู้ สู้ ง่ิ ทง้ั ปวง เหน็ สง่ิ ทงั้ ปวง ปฏญิ าณการรกู้ ารเหน็ ไมม่ สี ว่ นเหลอื วา่ เมอ่ื เราเดนิ ยนื หลบั และต่ืนอยู่ ญาณทัสสนะปรากฏติดต่อเนื่องกันไป นิครณฐนาฏบุตรน้ัน กล่าวอย่างน้ีว่า เรารู้ เราเห็นโลกอันไม่มีท่ีสุด ด้วยญาณอันไม่มีท่ีสุด ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ คนทงั้ ๒ ตา่ งกพ็ ดู อวดรกู้ นั มคี าำ พดู ขดั แยง้ กนั ใครพูดจริง ใครพูดเทจ็ . พราหมณ์ อยา่ เลย ขอ้ ทคี่ นทง้ั ๒ นตี้ า่ งพดู อวดรกู้ นั มคี าำ พดู ขดั แยง้ กนั ใครพดู จรงิ ใครพดู เทจ็ นนั้ พกั ไวก้ อ่ นเถดิ พราหมณ์ เราจกั แสดงธรรมแก่ท่านทัง้ หลาย ท่านทัง้ หลาย จงฟงั จงใส่ใจให้ดี เราจักกลา่ ว. พราหมณ์ เปรยี บเหมอื นชาย ๔ คน ยนื อยใู่ น ๔ ทศิ ตา่ งกม็ ฝี เี ทา้ ในการเดนิ และการวงิ่ ทเี่ ยยี่ มพอๆ กนั ความเรว็ ในการวง่ิ ของเขา ประดจุ ลกู ธนชู นดิ เบาทถ่ี กู ยงิ ผา่ นเงาตน้ ตาล ๑๐๖
เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ตามขวางได้โดยง่าย ของนายขมังธนูท่ถี ือธนูไว้อย่างม่นั คง ผทู้ ศ่ี กึ ษามาเจนฝมี อื แลว้ ผา่ นการประลองฝมี อื แลว้ ในการ ก้าวของเขา ประดจุ กา้ วจากมหาสมทุ รด้านทิศตะวันออกถงึ มหาสมุทรด้านทิศตะวันตก1 คร้ังน้ัน ชายผู้ยืนอยู่ด้าน ทิศตะวันออก กล่าวอย่างน้ีว่า เราจะเดินไปให้ถึงท่ีสุดโลก เขาเวน้ การดมื่ การกนิ การลม้ิ เวน้ การถา่ ยอจุ จาระปสั สาวะ และเว้นจากการหลับและการพัก เขามีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิต อยู่ ๑๐๐ ปี เดนิ ไปตลอด ๑๐๐ ปี ยังไมท่ ันถงึ ท่ีสดุ โลกเลย ก็ตายเสียก่อน ถ้าชายผู้ยืนอยู่ด้านทิศตะวันตก … ถ้าชาย ผู้ยืนอยู่ด้านทิศเหนือ … ถ้าชายผู้ยืนอยู่ด้านทิศใต้ กล่าว อย่างน้ีว่า เราจะเดินไปให้ถึงที่สุดโลก โดยเขาเว้นจากการ ด่ืม การกิน การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เว้นจากการหลับและการพัก เขามีอายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี เดินไปตลอด ๑๐๐ ปี ยงั ไมถ่ งึ ที่สุดโลกเลย กต็ าย เสยี กอ่ น ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะเราไมก่ ลา่ ววา่ บคุ คล จะพงึ รพู้ งึ เหน็ จะพงึ ถงึ ทส่ี ดุ ของโลกดว้ ยการวง่ิ เหน็ ปานนน้ั และเราไม่กล่าวว่า บุคคลยังไม่ถึงที่สุดแห่งโลก จะกระทำา ทสี่ ุดแห่งทุกขไ์ ด.้ ๑. สำ�นวนแปลมีคว�มแตกต่�งจ�กพระไตรป ก �ษ�ไทยฉบับหลวงบ้�ง เพ่อื ให้ ส�ม�รถเข�้ ในเนอ้ื คว�มไดด้ ขี น้ึ จงึ ไดน้ �ำ ส�ำ นวนของโรหติ สั สสตู ร และฉบบั แปล �ษ�องั กฤษของ กิ ขโุ พธมิ �ปรบั ใชบ้ �งสว่ น ผรู้ วบรวม ๑๐๗
พุทธวจน-หมวดธรรม พราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการน้ี เรียกว่าโลกใน อรยิ วินยั กามคณุ ๕ ประการเป็นไฉน คอื รปู ทีจ่ ะพึงรู้แจ้ง ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นท่ีรัก ยว่ั ยวน ชวนใหก้ าำ หนดั เสยี งทจ่ี ะพงึ รแู้ จง้ ดว้ ยหู … กลน่ิ ทจ่ี ะ พึงรู้แจ้งด้วยจมูก … รสท่ีจะพงึ รแู้ จง้ ดว้ ยล้ิน … โผฏฐัพพะ ท่ีจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวนชวนให้กำาหนัด พราหมณ์ ก�มคุณ ๕ ประก�รนแ้ี ล เรียกว�่ โลกในอรยิ วนิ ยั . พราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยน้ี สงัดจากกาม สงัด จากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงท่ีสุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในท่สี ุดแหง่ โลก คนเหล่าอนื่ กล่าวภิกษนุ ัน้ อยา่ งน้ีวา่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอ่ื งอยใู่ นโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก พราหมณ์ เปน็ ความจริง แม้เรากก็ ล่าวอย่างน้ีว่า แมภ้ กิ ษุน้ี ก็ยังนับเนือ่ งอยใู่ นโลก ยังสลดั ตนไมพ่ ้นไปจากโลก. พราหมณ์ อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษุ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน … บรรลตุ ตยิ ฌาน … บรรลจุ ตตุ ถฌาน … ภกิ ษนุ เ้ี รยี กวา่ ไดถ้ งึ ท่ีสุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก แต่ชนเหล่าอื่น กล่าวภิกษุน้ันอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุน้ีก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ๑๐๘
เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก. อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงรูปสัญญาโดย ประการทั้งปวง ... บรรลุอากาสานัญจายตนะ ... ภิกษุนี้ เรียกว่า ได้ถึงท่ีสุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในท่ีสุดแห่งโลก แตช่ นเหลา่ อนื่ กลา่ วภกิ ษนุ นั้ อยา่ งนวี้ า่ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี ย็ งั นบั เนอ่ื ง อยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก พราหมณ์ เป็น ความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุน้ียังนับเนื่องอยู่ ในโลก ยงั สลดั ตนไม่พ้นไปจากโลก. อีกประการหน่ึง ภิกษุ เพราะล่วงอากาสา- นัญจายตนะโดยประการท้ังปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนะ … เพราะลว่ งวญิ ญาณญั จายตนะโดยประการท้งั ปวง บรรลุ อากิญจัญญายตนะ … เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดย ประการทงั้ ปวง บรรลเุ นวสญั ญานาสญั ญายตนะ … ภกิ ษนุ ้ี เรียกว่าได้ถึงท่ีสุดโลกแล้ว และอยู่ในท่ีสุดแห่งโลก แต่ ชนเหลา่ อน่ื กลา่ วภกิ ษนุ นั้ อยา่ งนวี้ า่ ภกิ ษนุ ย้ี งั นบั เนอ่ื งอยใู่ น โลก ยงั สลดั ตนไมพ่ น้ ไปจากโลก พราหมณ์ เปน็ ความจรงิ แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุน้ียังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลดั ตนไม่พน้ ไปจากโลก. ๑๐๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงเนวสัญญานา- สัญญายตนะโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ อาสวะของเธอส้ินรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา พราหมณ์ ภิกษุน้ีเรียกว่า ได้ถึงท่ีสุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ ในทส่ี ดุ แหง่ โลก ข้ามพน้ ตณั หาเครื่องข้องในโลกไดแ้ ลว้ . ๑๑๐
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี ก�มคณุ คอื เครอ่ื งจองจ�ำ ในอรยิ วนิ ยั ๓๖ -บาลี ส.ี .ี ๙/๓๐๕/๓๗๗. วาเสฏฐะ เปรยี บเหมอื นแมน่ า้ำ อจริ วดี นา้ำ เตม็ เปย่ี ม เสมอฝงั่ กาดม่ื กนิ ได้ ครง้ั นน้ั บรุ ษุ ผตู้ อ้ งการฝงั่ แสวงหาฝงั่ ไปยังฝ่ัง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขามัดแขนไพร่หลังอย่าง แน่น ด้วยเชือกอย่างเหนียวท่ีริมฝั่งน้ี วาเสฏฐะ ท่านจะ สำาคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร บุรุษน้ันพึงไปสู่ฝั่งโน้นจาก ฝั่งนแ้ี หง่ แมน่ ้ำาอจิรวดีได้หรอื ไม.่ ขา้ แต่พระโคดมผู้เจริญ ไม่ได.้ วาเสฏฐะ ฉันนั้นเหมือนกัน กามคุณ ๕ เหล่าน้ี ในอริยวินัย เรียกว่าขื่อคาบ้าง เรียกว่าเครื่องจองจำาบ้าง กามคุณ ๕ เป็นอย่างไร คือ รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ เสียงที่ พึงรู้ด้วยโสตะ กล่ินที่พึงรู้ด้วยฆานะ รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก เกี่ยวด้วยกามเป็นที่ต้ังแห่งความกำาหนัด กามคุณ ๕ เหล่านี้ ในอรยิ วนิ ัย เรียกวา่ ข่ือคาบ้าง เรียกว่าเคร่อื งจองจำา บ้าง พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชา กำาหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แล เหน็ โทษ ไมม่ ปี ญั ญาคดิ สลดั ออก บรโิ ภคกามคณุ ๕ เหลา่ น้ี ๑๑๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม อยู่ ก็พราหมณ์ผู้ได้ไตรวิชชาเหล่านั้น ละธรรมท่ีทำาบุคคล ให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมท่ีมิใช่ทำาบุคคลให้เป็น พราหมณ์ประพฤติอยู่ กำาหนัด สยบ หมกมุ่น ไม่แลเห็น โทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคกามคุณ ๕ พัวพันใน กามฉันทะอยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งพรหม ข้อนี้ไมเ่ ปน็ ฐานะที่จะมีได.้ วาเสฏฐะ เปรยี บเหมอื นแมน่ า้ำ อจริ วดี นาำ้ เตม็ เปยี่ ม เสมอขอบฝ่ัง กาก้มลงดื่มได้ คร้ังน้ัน บุรุษผู้ต้องการฝั่ง แสวงหาฝ่ัง ไปยังฝั่ง ประสงค์จะข้ามฝั่งไป เขากลับนอน คลุมตลอดศีรษะเสียที่ฝ่ัง วาเสฏฐะ ท่านจะสำาคัญความ ขอ้ นนั้ เปน็ อยา่ งไร บรุ ษุ นน้ั พงึ ไปสฝู่ งั่ โนน้ จากฝง่ั นแี้ หง่ แมน่ า้ำ อจิรวดีได้หรือไม่. ข้าแตพ่ ระโคดมผ้เู จริญ ไม่ได.้ วาเสฏฐะ ฉันน้นั เหมือนกัน นิวรณ์ ๕ อยา่ งเหลา่ น้ี ในอรยิ วนิ ยั เรยี กวา่ เครอ่ื งหนว่ งเหนย่ี วบา้ ง เครอ่ื งกางกน้ั บา้ ง เครือ่ งรดั รงึ บ้าง เครอื่ งตรงึ ตราบ้าง นิวรณ์ ๕ เปน็ อย่างไร คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์ นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล ๑๑๒
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี ในอริยวินัย เรียกว่าเครื่องหน่วงเหน่ียวบ้าง เคร่ืองกางก้ัน บ้าง เครื่องรัดรงึ บ้าง เครอื่ งตรงึ ตราบ้าง. วาเสฏฐะ พวกพราหมณผ์ ไู้ ดไ้ ตรวชิ ชา ถกู นวิ รณ์ ๕ เหล่าน้ี ปกคลมุ หุ้มหอ่ รดั รงึ ตรงึ ตราแล้ว กพ็ ราหมณ์ผู้ได้ ไตรวิชชาเหล่าน้ัน ละธรรมท่ีทำาบุคคลให้เป็นพราหมณ์เสีย สมาทานธรรมท่ีมิใช่ทำาบุคคลให้เป็นพราหมณ์ประพฤติอยู่ ถูกนิวรณ์ ๕ ปกคลุม หุ้มห่อรัดรึง ตรึงตราแล้ว เบื้องหน้า แตต่ ายเพราะกายแตก จกั เขา้ ถงึ ความเปน็ สหายแหง่ พรหม ขอ้ น้ีไมเ่ ปน็ ฐานะทจี่ ะมไี ด้. ๑๑๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี เครอื่ งจองจ�ำ ท่ีมน่ั คง ๓7 -บาลี ส า . ส.ํ ๕/ /๓๕๒. ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ วนั น้หี มมู่ หาชนถูกพระเจา้ ปเสนทโิ กศล ใหจ้ องจาำ ไวแ้ ลว้ บางพวกถกู จองจาำ ดว้ ยเชอื ก บางพวกถกู จองจาำ ดว้ ยขอื่ คา บางพวกถกู จองจาำ ด้วยโซต่ รวน. ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ไม่กล่าวเคร่ืองจองจำาที่ทำาด้วย เหล็ก ทำาด้วยไม้ และทำาด้วยหญ้า (เชือก) ว่าเป็นเครื่อง จองจำาที่มัน่ คง. ผู้มีปัญญาท้ังหลาย ย่อมกล่าวความรักใคร่พอใจ ในตุ้มหู แก้วมณี และความห่วงอาลัยในบุตรและภรรยา นั่นแหละว่า เป็นเคร่ืองจองจำาที่ม่ันคง ฉุดให้สัตว์ลงตำ่า ซง่ึ เปน็ เครอื่ งจองจาำ ที่ผกู ไวห้ ยอ่ นๆ แต่แกไ้ ด้ยาก. ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ตัดเครื่องจองจำาแม้เช่นน้ัน ออกบวช เปน็ ผไู้ มม่ คี วามห่วงอาลัย ละกามสุขเสียแล้ว. ๑๑๔
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี คว�มหม�ยของก�มและก�มคุณ ๓8 -บาลี กกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๕๙/๓๓๔. ภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายพึงทราบกาม เหตุเกิด แหง่ กาม ความตา่ งแหง่ กาม วบิ ากแหง่ กาม ความดบั แหง่ กาม ปฏปิ ทาทใ่ี หถ้ งึ ความดบั แหง่ กาม. ภิกษุท้ังหลาย ข้อท่ีเรากล่าวน้ีว่า เธอท้ังหลายพึง ทราบกาม เหตเุ กดิ แหง่ กาม ความตา่ งแหง่ กาม วบิ ากแหง่ กาม ความดับแห่งกาม ปฏิปทาท่ใี ห้ถึงความดับแห่งกามน้นั เรา อาศยั อะไรกลา่ ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กามคณุ ๕ ประการนค้ี อื รปู ทพ่ี งึ รแู้ จง้ ด้วยตาุ อันนา่ ปรารถนา นา่ รักใคร่ นา่ พอใจ มีลกั ษณะน่ารกั เปน็ ทต่ี ง้ั อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความกาำ หนดั เสยี ง ทพ่ี งึ รแู้ จง้ ดว้ ยหู ... กลน่ิ ทพ่ี งึ รแู้ จง้ ดว้ ยจมกู ... รสทพ่ี งึ รแู้ จง้ ดว้ ยลน้ิ ... สมั ผสั ทางผวิ ทพ่ี งึ รแู้ จง้ ดว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนา นา่ รกั ใคร่ นา่ พอใจ มลี กั ษณะนา่ รกั เปน็ ทต่ี งั้ อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความกาำ หนดั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กแ็ ตว่ า่ สง่ิ เหลา่ นไ้ี ม่ ชอ่ื วา่ กาม สง่ิ เหลา่ นเ้ี รยี กวา่ ก�มคณุ ในอรยิ วนิ ยั . ความกาำ หนดั ไปตามอาำ นาจความตรติ รกึ (สงกฺ ปปฺ ราค) นน่ั แหละคอื กามของคนเรา อารมณอ์ นั วจิ ติ รทง้ั หลายในโลก ๑๑๕
พุทธวจน-หมวดธรรม ไมช่ อ่ื วา่ กาม ความกาำ หนดั ไปตามอาำ นาจความตรติ รกึ นน่ั แหละ คอื กามของคนเรา อารมณอ์ นั วจิ ติ รทงั้ หลายในโลก ยอ่ มตงั้ อยู่ ตามสภาพของมนั เทา่ นน้ั ผมู้ ปี ญั ญาทง้ั หลายยอ่ มกาำ จดั ความ พอใจในอารมณอ์ ันวิจิตรเหลา่ นั้น. ภิกษุท้ังหลาย เหตุเกิดแห่งกามเป็นอย่างไร คือ ผสั สะเป็นเหตเุ กิดแหง่ ก�มท้งั หล�ย. ภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นอย่างไร คือ กามในรูปเป็นอย่างหน่ึง กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง กามในกล่ินเป็นอยา่ งหนึง่ กามในรสเปน็ อย่างหนงึ่ กามใน โผฏฐพั พะเปน็ อยา่ งหนง่ึ นเ้ี รยี กวา่ คว�มต�่ งกนั แหง่ ก�ม. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย วบิ ากแหง่ กามเปน็ อยา่ งไร คอื การท่ี บุคคลผู้ใคร่อยู่ซึ่งอารมณ์ใด ย่อมยังอัตภาพท่ีเกิดข้ึนจาก ความใครน่ นั้ ๆ ใหเ้ กดิ ขน้ึ เปน็ สว่ นบญุ หรอื เปน็ สว่ นมใิ ชบ่ ญุ น้ีเรียกว่า วิบ�กแห่งก�ม. ภิกษุท้ังหลาย ความดับแห่งกามเป็นอย่างไร คือ คว�มดับแห่งก�ม ย่อมมี เพร�ะคว�มดับแห่งผัสสะ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการน้ี คอื สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปท�ให้ถึง คว�มดบั แหง่ ก�ม. ๑๑๖
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี คณุ ของก�มและโทษของก�ม ๓9 -บาลี . . ๒/ ๗๙/๒๐๙. เจา้ ศากยะทรงพระนามว่า มหานาม ไดก้ ราบทลู ถามพระผูม้ -ี พระภาควา่ ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ ขา้ พระองคเ์ ขา้ ใจขอ้ ธรรมท่ีพระผู้มี- พระภาคทรงแสดงมานานแล้วอย่างน้ีว่า โลภะ โทสะ โมหะ ต่างเป็น อุปกิเลสแห่งจิต ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใด โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยังครอบงำาจิตของข้าพระองค์ไว้ได้เป็นบางคร้ังบางคราว ข้าพระองค์เกิดความคิดเห็นอย่างน้ีว่า ธรรมช่ืออะไรเล่า ท่ีข้าพระองค์ ยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้โลภธรรมก็ดี โทสธรรมก็ดี โมหธรรมก็ดี ยงั ครอบงำาจิตของข้าพระองคไ์ ว้ได้เปน็ บางคร้งั บางคราว. มหานาม ธรรมนั้นน่ันแหละ (ราคะ โทสะ โมหะ) ที่ ท่านยังละไม่ได้เด็ดขาดในภายใน อันเป็นเหตุให้โลภธรรม กด็ ี โทสธรรมกด็ ี โมหธรรมกด็ ี ยงั ครอบงาำ จติ ของทา่ นไวไ้ ด้ เปน็ บางคร้ังบางคราว. มหานาม ถ้าธรรมนั้นเป็นอันท่านละได้เด็ดขาด ในภายในแล้ว ท่านก็จะไม่อยู่ครองเรือน ไม่บริโภคกาม แต่เพราะท่านละธรรมเช่นน้ันยังไม่ได้เด็ดขาดในภายใน ฉะนัน้ ทา่ นจึงยังอยคู่ รองเรอื น จงึ ยังบรโิ ภคกาม. มหานาม ถ้าแม้ว่าอริยสาวกเล็งเห็นด้วยปัญญา โดยชอบตามเป็นจริงว่า กามให้ความยินดีน้อย มีทุกข์มาก ๑๑๗
พุทธวจน-หมวดธรรม มีความคับแค้นมาก โทษในกามน้ันย่ิงนัก ดังนี้ ถึงแม้ อรยิ สาวกนนั้ เวน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม แตย่ งั ไมบ่ รรลุ ปีติและสุข หรือกุศลธรรมอื่นที่สงบกว่าน้ัน เธอก็จะยังเป็น ผู้เวียนกลับมาในกามได้ แต่เม่ือใด อริยสาวกได้เล็งเห็น ด้วยปัญญาโดยชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า กามให้ ความยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนนั้ ยง่ิ นกั ดงั น้ี และเธอกเ็ วน้ จากกาม เวน้ จากอกศุ ลธรรม บรรลุ ปตี แิ ละสขุ หรอื กศุ ลธรรมอน่ื ทสี่ งบกวา่ นน้ั เมอื่ นนั้ เธอยอ่ ม เป็นผู้ไมเ่ วียนกลบั มาในกามได้เป็นแท.้ มหานาม แมเ้ ราเมอื่ ยงั เปน็ โพธสิ ตั ว์ ยงั ไมไ่ ดต้ รสั รู้ ก่อนการตรัสรู้ ก็เล็งเห็นด้วยปัญญาโดยชอบ ตามเป็นจริง อยา่ งนวี้ า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนั้นย่ิงนัก ดังน้ี และเราก็เว้นจากกาม เว้น จากอกศุ ลธรรม แตย่ งั ไมบ่ รรลปุ ตี แิ ละสขุ หรอื กศุ ลธรรมอน่ื ทส่ี งบกวา่ นน้ั เราจงึ ปฏญิ าณไมไ่ ดว้ า่ เราเปน็ ผไู้ มเ่ วยี นมาใน กาม แตเ่ มอ่ื ใด เราเลง็ เหน็ ดว้ ยปญั ญาโดยชอบ ตามเปน็ จรงิ อยา่ งนว้ี า่ กามใหค้ วามยนิ ดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก โทษในกามนั้นยิ่งนัก ดังนี้ และเราก็เว้นจากกาม เว้น จากอกศุ ลธรรม บรรลปุ ตี แิ ละสขุ และกศุ ลอนื่ ทส่ี งบกวา่ นน้ั เมือ่ น้นั เราจึงปฏญิ าณไดว้ ่า เราเป็นผไู้ มเ่ วยี นมาในกาม. ๑๑๘
เปิดธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี มหานาม ก็อะไรเล่าเป็นคุณของกามท้ังหลาย มหานาม กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นอย่างไร คือ รปู ทรี่ ู้ไดด้ ้วยตา อนั นา่ ปรารถนา น่ารกั ใคร่ นา่ พอใจ มี ลักษณะน่ารัก เป็นท่ีตั้งอาศัยแห่งความใคร่ เป็นท่ีตั้งแห่ง ความกำาหนัด เสียงที่รู้ได้ด้วยหู … กลิ่นท่ีรู้ได้ด้วยจมูก … รสท่ีรู้ได้ด้วยลิ้น … สัมผัสทางผิวท่ีรู้ได้ด้วยกาย อันน่า ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่ต้ัง อาศยั แหง่ ความใคร่ เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความกาำ หนดั มหานาม เหล่าน้ีแลกามคุณ ๕ ประการ ความสุข ความโสมนัสใด อาศยั กามคณุ ๕ เหลา่ นเ้ี กดิ ขน้ึ นเ้ี ปน็ คณุ ของกามทง้ั หลาย. มหานาม ก็อะไรเล่าเป็นโทษของกามทั้งหลาย กุลบุตรในโลกน้ี เลี้ยงชีวิตด้วยความขยันในการประกอบ ศลิ ปะ คอื ด้วยการนบั คะแนนกด็ ี ดว้ ยการคาำ นวณก็ดี ดว้ ย การนบั จาำ นวนกด็ ี ดว้ ยการไถกด็ ี ดว้ ยการคา้ ขายกด็ ี ดว้ ยการ เลีย้ งโคกด็ ี ดว้ ยการยงิ ธนกู ด็ ี ดว้ ยการเปน็ ราชบุรษุ ก็ดี ด้วย ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ต้องตรากตรำากับความหนาว ต้องตรากตรำากับความร้อน ต้องลำาบากอยู่ด้วยสัมผัสอัน เกิดจากเหลอื บ ยุง ลม แดด และสตั ว์เลอ้ื ยคลาน หรอื ตอ้ ง ตายเพราะความหิว ความกระหาย มหานาม แม้น้ีก็เป็น โทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ท่ีเห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตุแหง่ กามทั้งหลายท้ังน้ัน. ๑๑๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม มหานาม ถา้ เมอื่ กลุ บตุ รนน้ั ขยนั สบื ตอ่ พยายามอยู่ อย่างนั้น โภคะเหล่านั้นก็ไม่สำาเร็จผล เขาย่อมเศร้าโศก ลำาบาก ราำ่ ไรรำาพัน ทุบอก ครำ่าครวญ ถงึ ความหลงเลือนว่า ความขยันของเราเป็นโมฆะหนอ ความพยายามของเรา ไม่มีผลหนอ มหานาม แม้น้ีก็เป็นโทษของกามท้ังหลาย เปน็ กองทกุ ขท์ เ่ี หน็ ไดเ้ องวา่ มกี ามเปน็ เหตุ มกี ามเปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลายทง้ั นนั้ . มหานาม ถา้ เม่อื กุลบุตรน้ัน ขยัน สบื ต่อ พยายาม อยู่อย่างน้ัน โภคะเหล่านั้นก็สำาเร็จผล เขาก็ยังเสวย ทุกขโทมนัส เพราะการคอยรักษาโภคะเหล่าน้ันเป็นตัว บงั คบั วา่ ทาำ อยา่ งไร พระราชาทงั้ หลายไมพ่ งึ รบิ โภคะเหลา่ นน้ั ไปได้ พวกโจรไมพ่ งึ ปลน้ ไปได้ ไฟไมพ่ งึ ไหม้ นาำ้ ไมพ่ งึ พดั ไป ทายาทอันไม่เป็นท่ีรักไม่พึงนำาไปได้ เมื่อกุลบุตรน้ันคอย รกั ษาคมุ้ ครองอยอู่ ยา่ งนี้ พระราชาทงั้ หลายรบิ โภคะเหลา่ นนั้ ไปกด็ ี โจรปลน้ เอาไปกด็ ี ไฟไหมก้ ด็ ี นา้ำ พดั ไปกด็ ี ทายาทอนั ไม่เป็นท่ีรักนำาไปก็ดี เขาย่อมเศร้าโศก ลำาบาก ร่ำาไรรำาพัน ทบุ อก ครา่ำ ครวญ ถงึ ความหลงเลอื นวา่ สงิ่ ใดเคยเปน็ ของเรา แม้ส่ิงน้ันก็ไม่เป็นของเรา มหานาม แม้นี้ก็เป็นโทษของ กามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่ง กามท้งั หลายทัง้ น้นั . ๑๒๐
เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี มหานาม โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย นั่นเอง คือ ข้อท่ีพวกพระราชาก็วิวาทกันกับพวกพระราชา พวกกษตั รยิ ก์ ว็ วิ าทกนั กบั พวกกษตั รยิ ์ พวกพราหมณก์ ว็ วิ าท กันกับพวกพราหมณ์ พวกคหบดีก็วิวาทกันกับพวกคหบดี มารดาก็วิวาทกันกับบุตร บุตรก็วิวาทกันกับมารดา บิดาก็ วิวาทกันกับบุตร บุตรก็วิวาทกันกับบิดา พ่ีชายน้องชายก็ ววิ าทกนั กบั พชี่ ายนอ้ งชาย พช่ี ายนอ้ งชายกว็ วิ าทกนั กบั พสี่ าว นอ้ งสาว พส่ี าวนอ้ งสาวกว็ วิ าทกนั กบั พชี่ ายนอ้ งชาย สหายก็ วิวาทกันกับสหาย เขาเหล่านั้นต่างถึงการทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาทกัน ทำาร้ายซึ่งกันและกันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดิน บา้ ง ด้วยท่อนไมบ้ ้าง ด้วยศาสตราบ้าง ถึงความตายไปบ้าง ไดร้ บั ทกุ ขป์ างตายบา้ งอยใู่ นทน่ี น้ั ๆ มหานาม แมน้ ก้ี เ็ ปน็ โทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ท่ีเห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตุแหง่ กามท้ังหลายทง้ั น้ัน. มหานาม โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย นั่นเอง คือ คนท้ังหลายต่างถือดาบและโล่ห์ สอดแล่งธนู วง่ิ เขา้ สู่สงคราม ปะทะกันท้ัง ๒ ฝา่ ย เมอื่ ลูกศรทั้งหลายถกู ๑๒๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ยงิ ไปบา้ ง เมอ่ื หอกท้งั หลายถกู พ่งุ ไปบา้ ง เม่อื ดาบท้งั หลาย ถูกกวัดแกว่งอยู่บ้าง คนเหล่าน้ันต่างก็ถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบตัดศีรษะบ้าง ถึงความตายไปบ้าง ไดร้ บั ทกุ ขป์ างตายบา้ งอยใู่ นทนี่ น้ั ๆ มหานาม แมน้ กี้ เ็ ปน็ โทษของกามทั้งหลาย เป็นกองทุกข์ท่ีเห็นได้เองว่า มีกาม เป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะ เหตุแห่งกามท้งั หลายทัง้ น้ัน. มหานาม โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย นั่นเอง คือ คนทั้งหลายต่างถือดาบและโล่ห์ สอดแล่งธนู กรูกนั เข้าไปส่เู ชงิ กำาแพงทฉ่ี าบดว้ ยเปือกตมร้อน เมอ่ื ลูกศร ถูกยิงไปบ้าง เมื่อหอกถูกพุ่งไปบ้าง เม่ือดาบถูกกวัดแกว่ง อยู่บ้าง คนเหล่าน้ันต่างถูกลูกศรแทงบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถกู ราดดว้ ยโคมยั รอ้ นๆ บา้ ง ถกู สบั ดว้ ยคราดบา้ ง ถกู ตดั ศรี ษะ ด้วยดาบบ้าง ถึงความตายไปบ้าง ได้รับทุกข์ปางตายบ้าง อยู่ในที่น้ันๆ มหานาม แม้น้ีก็เป็นโทษของกามทั้งหลาย เปน็ กองทกุ ขท์ เ่ี หน็ ไดเ้ องวา่ มกี ามเปน็ เหตุ มกี ามเปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลายทง้ั นนั้ . ๑๒๒
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี มหานาม โทษอ่นื ยังมีอีก ท่มี ีกามเป็นเหตุ มีกาม เปน็ ตน้ เคา้ มกี ามเปน็ ตวั บงั คบั เกดิ เพราะเหตแุ หง่ กามทง้ั หลาย นั่นเอง คือ คนทั้งหลายตัดช่องย่องเบาบ้าง ปล้นอย่าง กวาดล้างบ้าง ปล้นในเรือนหลังเดียวบ้าง ดักปล้นในทาง เปล่ียวบ้าง สมสู่ภรรยาคนอ่ืนบ้าง พระราชาทั้งหลายจับ คนๆ นนั้ ไดแ้ ลว้ ใหท้ าำ การลงโทษแบบตา่ งๆ คอื เฆยี่ นดว้ ย แส้บา้ ง เฆ่ยี นด้วยหวายบา้ ง ทุบด้วยทอ่ นไม้บา้ ง ตดั มอื บา้ ง ตดั เทา้ บา้ ง ตดั ทงั้ มอื และเทา้ บา้ ง ตดั หบู า้ ง ตดั จมกู บา้ ง ตดั ทงั้ หแู ละจมกู บา้ ง ลงโทษดว้ ยวธิ หี มอ้ เคยี่ วนา้ำ สม้ บา้ ง ดว้ ยวธิ ี ขอดสงั ข์บ้าง ดว้ ยวิธปี ากราหบู ้าง ด้วยวิธีพ่มุ เพลงิ บา้ ง ด้วย วธิ มี อื ไฟบา้ ง ดว้ ยวธิ นี งุ่ หนงั ชา้ งบา้ ง ดว้ ยวธิ นี งุ่ เปลอื กไมบ้ า้ ง ดว้ ยวธิ ยี นื กวางบา้ ง ดว้ ยวธิ กี ระชากเนอ้ื ดว้ ยเบด็ บา้ ง ดว้ ยวธิ ี ควักเนื้อทีละกหาปณะบ้าง ด้วยวิธีแปรงแสบบ้าง ด้วยวิธี กางเวยี นบา้ ง ด้วยวธิ ีตง่ั ฟางบา้ ง ราดดว้ ยนา้ำ มนั ร้อนๆ บา้ ง ให้สุนัขกัดกินบ้าง เสียบด้วยหลาวท้ังเป็นๆ บ้าง ใช้ดาบ ตัดศีรษะบ้าง1 คนเหล่านั้นถึงความตายไปบ้าง ได้รับทุกข์ ปางตายบ้างอยู่ในที่นั้นๆ มหานาม แม้นี้ก็เป็นโทษของ กามท้ังหลาย เป็นกองทุกข์ที่เห็นได้เองว่า มีกามเป็นเหตุ มีกามเป็นต้นเค้า มีกามเป็นตัวบังคับ เกิดเพราะเหตุแห่ง กามทัง้ หลายทัง้ นั้น. ๑.ร�ยละเอยี ดวธิ กี �รลงโทษนน้ั ส�ม�รถดเู พม่ิ เตมิ ไดจ้ �กก หม�ยตร� ๓ ดวง หมวด พระไอยก�รกระบดศกึ ผรู้ วบรวม ๑๒๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ อนาคามี สุขทีค่ วรกลวั และไมค่ วรกลวั ๔0 -บาลี อุ .ิ . ๔/๔๒๗/๖๕๙. ... ก็ข้อนั้น อันเรากล่าวแล้วว่า บุคคลควรรู้จักการ วินิจฉัยในความสุข เมื่อรู้จักการวินิจฉัยความสุขแล้ว ควร ประกอบความสุขชนิดที่เป็นภายใน ข้อน้ันเรากล่าวเพราะ อาศัยเหตุผลอะไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ อย่าง เหลา่ นี้ ๕ อยา่ งเปน็ อยา่ งไร คอื รปู ทเี่ หน็ ดว้ ยตา เสยี ง ทฟ่ี งั ด้วยหู กลิ่น ที่ดมด้วยจมูก รส ทล่ี ิม้ ดว้ ยล้นิ และโผฏฐัพพะ ท่ีสัมผัสด้วยกาย (แต่ละอย่าง) เป็นส่ิงที่น่าปรารถนา น่ารัก ใคร่ น่าพอใจ เป็นสิ่งที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไป ต้ังอาศัยซึ่งความใคร่ เป็นท่ีตั้งแห่งความกำาหนัดย้อมใจ ภิกษุท้ังหลาย สุข โสมนัสอันใดอาศัยกามคุณ ๕ เหล่าน้ี เกิดข้ึน สุข โสมนัสนั้น เราเรียกว่ากามสุข อันเป็นสุขของ ปุถุชน เป็นสุขทางเมถุน ไม่ใช่สุขอันประเสริฐ เรากล่าวว่า สุขนั้น บุคคลไม่ควรเสพ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรทำาให้มาก ควรกลวั . ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าถึงซ่ึง ปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... แลว้ แลอยู่ นเ้ี ราเรยี กวา่ สขุ อาศยั เนกขมั มะ เปน็ สขุ เกดิ แต่ ๑๒๔
ความสงัดเงยี บ สขุ เกิดแต่ความเขา้ ไปสงบราำ งับ สขุ เกดิ แต่ ความรู้พร้อม เรากล่าวว่า สุขนั้น บุคคลควรเสพให้ท่ัวถึง ควรทาำ ให้เจริญ ควรทำาให้มาก ไมค่ วรกลวั . คำาใดที่เรากล่าวแล้วว่า บุคคลควรรู้จักการวินิจฉัย ในความสขุ เมอ่ื รจู้ กั การวนิ ิจฉยั ความสขุ แล้ว ควรประกอบ ความสขุ ชนิดที่เป็นภายในนนั้ คาำ นนั้ เรากล่าวแลว้ เพราะ อาศยั เหตผุ ลน้ี. ๑๒๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี บ่วงแห่งม�ร ๔1 - บาลี อุ .ิ . ๔/๗๔/๘ . ภกิ ษุท้งั หลาย กามทั้งหลาย เปน็ ของไม่เทีย่ ง เปน็ ของวา่ งเปลา่ เปน็ ของเทจ็ มคี วามเลอื นหายไปเปน็ ธรรมดา ลักษณะของกามน้ี เป็นความล่อลวง เป็นที่พร่ำาบ่นหาของ คนพาล กามและกามสัญญา ท้ังที่มีในภพน้ี และทั้งที่มี ในภพหน้า ท้ัง ๒ อย่างน้ี เป็นบว่ งแห่งมาร (มารเธยยฺ ) เป็น แดนแหง่ มาร (มารสฺเสส วสิ โย) เปน็ เหย่อื แห่งมาร (มารสเฺ สส นวิ าโป) เปน็ ทเี่ ทย่ี วไปของมาร (มารสเฺ สส โคจโร) บาปอกศุ ล ทางใจเหล่านี้ คือ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะ (การแข่งดี) บ้าง ย่อมเป็นไปในบ่วงแห่งมารนั้น อน่ึง อกศุ ลธรรมเหลา่ นนั้ ยอ่ มเกดิ เพอ่ื เปน็ อนั ตรายแกอ่ รยิ สาวก ผู้ตามศกึ ษาอยูใ่ นธรรมวินัยนี้ได้… . ๑๒๖
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี ก�รรู้สกึ ตวั ในเร่ืองก�มคุณ ๕ ๔๒ -บาลี อุ .ิ . ๔/๒๔๐/๓๔๙. อานนท์ กามคณุ นมี้ ี ๕ อยา่ งแล ๕ อยา่ งเปน็ อยา่ งไร คือ รูปที่เห็นด้วยตา อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มลี ักษณะน่ารัก เปน็ ท่ีต้ังอาศัยแห่งความใคร่ เปน็ ทีต่ ั้งแหง่ ความกำาหนัด เสียงที่ได้ยินด้วยหู … กลิ่นท่ีดมด้วยจมูก … รสท่ีลิ้มด้วยลิ้น … สัมผัสทางผิวที่รู้ได้ด้วยกาย อันน่า ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นท่ีต้ัง อาศัยแห่งความใคร่ เป็นท่ีต้ังแห่งความกำาหนัด อานนท์ เหล่าน้ีแล กามคุณ ๕ อย่าง ภิกษุพึงพิจารณาจิตของตน เนืองๆ ว่า มีอยู่หรือไม่หนอ ที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้น แก่เราเพราะกามคุณ ๕ น้ี อย่างใดอย่างหน่ึง หรือเพราะ อายตนะใดอายตนะหนงึ่ เมอ่ื ภกิ ษพุ ิจารณาอยู่ รูช้ ดั อย่างนี้ ว่า มีอยู่แก่เราแล ท่ีความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นเพราะ กามคุณ ๕ นี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพราะอายตนะใด อายตนะหนึ่ง เม่ือเป็นเช่นน้ี ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ฉันทราคะในกามคุณ ๕ เรายังละไม่ได้ ด้วยอาการอย่างนี้ ภกิ ษนุ น้ั ชอื่ วา่ เปน็ ผรู้ สู้ กึ ตวั ตอ่ ฉนั ทราคะในกามคณุ ๕ ทตี่ น ยังละไมไ่ ด้. ๑๒๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้ชัดอย่างนี้ว่า ไม่มีอยู่แก่ เราเลย ทค่ี วามฟงุ้ ซา่ นแหง่ ใจเกดิ ขน้ึ เพราะกามคณุ ๕ น้ี อยา่ งใด อย่างหน่ึง หรือเพราะอายตนะใดอายตนะหน่ึง เมื่อเป็น เช่นนี้ ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ฉันทราคะในกามคุณ ๕ เราละไดแ้ ลว้ ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ชอื่ วา่ เปน็ ผรู้ สู้ กึ ตวั ตอ่ ฉนั ทราคะในกามคุณ ๕ ท่ีตนละได้แล้ว. ๑๒๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 544
Pages: