พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี เหตุเกดิ ของวิตกทีเ่ ป็นอกุศล ๔๓ -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/ ๘ /๓๕๕. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กามวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อย่างไม่มีเหตุ พยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิด อยา่ งไมม่ เี หตุ วหิ งิ สาวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อยา่ ง ไม่มีเหต.ุ ภกิ ษทุ งั้ หลาย กก็ ามวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อย่างไม่มีเหตุ พยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิด อยา่ งไมม่ เี หตุ วหิ งิ สาวติ กยอ่ มเกดิ อยา่ งมเี หตุ ไมเ่ กดิ อยา่ ง ไมม่ ีเหตุ เปน็ อย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยกามธาตุ จึงเกิดความ หมายรูใ้ นกาม (กามธาตุ ภกิ ฺขเว ปฏจิ ฺจ อุปฺปชฺชติ กามส ฺ า)1 เพราะอาศัยความหมายรู้ในกาม จึงเกิดความดำาริ ในกาม (กามส ฺ ปฏิจจฺ อุปฺปชชฺ ติ กามสงกฺ ปฺโป) เพราะอาศัยความดำาริในกาม จึงเกิดความพอใจ ในกาม (กามสงฺกปปฺ ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชฺชติ กามจฺฉนฺโท) เพราะอาศยั ความพอใจในกาม จงึ เกดิ ความเรา่ รอ้ น เพราะกาม (กามจฉฺ นฺท ปฏจิ ฺจ อุปปฺ ชชฺ ติ กามปรฬิ าโห) เพราะอาศยั ความเรา่ รอ้ นในกาม จงึ เกดิ การแสวงหา กาม (กามปรฬิ าห ปฏจิ จฺ อุปปฺ ชชฺ ติ กามปรเิ ยสนา). ๑. ได้ปรับสำ�นวนแปลให้เป็นแบบป ิจจ ่งึ เป็นลักษณะพิเศษของคำ�พระศ�สด� อนั เปน็ สคุ ตวนิ โย. ผรู้ วบรวม ๑๒๙
พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษทุ ้งั หลาย ปถุ ุชนผ้ไู มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื แสวงหากาม ยอ่ มปฏบิ ตั ผิ ดิ โดยฐานะ ๓ คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะอาศยั พยาบาทธาตุ จงึ เกดิ ความ หมายรใู้ นพยาบาท เพราะอาศยั ความหมายรใู้ นพยาบาท จงึ เกดิ ความดาำ รใิ นพยาบาท เพราะอาศยั ความดาำ รใิ นพยาบาท จึงเกิดความพอใจในพยาบาท เพราะอาศัยความพอใจใน พยาบาท จึงเกิดความเร่ารอ้ นเพราะพยาบาท เพราะอาศยั ความเร่าร้อนเพราะพยาบาท จึงเกิดการแสวงหาพยาบาท ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื แสวงหาพยาบาทยอ่ ม ปฏิบัตผิ ดิ โดยฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะอาศยั วหิ งิ สาธาตุ จงึ เกดิ ความ หมายรใู้ นวหิ งิ สา เพราะอาศยั ความหมายรใู้ นวหิ งิ สา จงึ เกดิ ความดาำ รใิ นวหิ งิ สา เพราะอาศยั ความดาำ รใิ นวหิ งิ สา จงึ เกดิ ความพอใจในวหิ งิ สา เพราะอาศยั ความพอใจในวหิ งิ สา จงึ เกิดความเร่าร้อนเพราะวิหิงสา เพราะอาศัยความเร่าร้อน เพราะวิหิงสา จึงเกิดการแสวงหาวิหิงสา ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เมื่อแสวงหาวิหิงสา ย่อมปฏิบัติผิดโดย ฐานะ ๓ คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ๑๓๐
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี ภิกษุทั้งหลาย บุรุษวางคบหญ้าท่ีไฟติดแล้วในป่า หญ้าแห้ง ถ้าหากเขาไม่รีบดับด้วยมือและเท้าไซร้ ก็เมื่อ เปน็ เชน่ น้ี สตั วม์ ชี วี ติ ทงั้ หลายบรรดาทอี่ าศยั หญา้ และไมอ้ ยู่ พงึ ถงึ ความพนิ าศฉบิ หาย แมฉ้ นั ใด ภกิ ษทุ งั้ หลาย สมณะ หรือพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่รีบละ ไม่รีบบรรเทา ไม่รบี ทาำ ให้สิ้นสุด ไม่รบี ทำาให้ไม่มีซ่งึ อกุศล- สญั ญาทกี่ อ่ กวนอนั บงั เกดิ ขนึ้ แลว้ สมณะหรอื พราหมณน์ นั้ ยอ่ มอยเู่ ปน็ ทกุ ข์ มคี วามอดึ อดั คบั แคน้ เรา่ รอ้ นในปจั จบุ นั เบ้อื งหน้าแต่มรณะ เพราะกายแตก พงึ หวังทคุ ติได.้ ภิกษุท้ังหลาย เนกขัมมวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ อัพยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไมม่ ีเหตุ. ภิกษุท้ังหลาย ก็เนกขัมมวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ อัพยาบาทวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอย่างไม่มีเหตุ อวิหิงสาวิตกย่อมเกิดอย่างมีเหตุ ไม่เกิดอยา่ งไมม่ เี หตุ เป็นอย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยเนกขัมมธาตุ จึงเกิด ความหมายร้ใู นเนกขัมมะ (เนกขฺ มมฺ ธาตุ ภกิ ขฺ เว ปฏจิ ฺจ อุปฺปชชฺ ติ เนกขฺ มฺมส ฺ า) ๑๓๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เพราะอาศยั ความหมายรใู้ นเนกขัมมะ จึงเกดิ ความ ดาำ รใิ นเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ ส ฺ ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปโฺ ป) เพราะอาศยั ความดาำ รใิ นเนกขมั มะ จงึ เกดิ ความพอใจ ในเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปปฺ ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ จฉฺ นโฺ ท) เพราะอาศัยความพอใจในเนกขัมมะ จึงเกิดความ เรา่ รอ้ นเพราะเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ จฉฺ นทฺ ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ - ปรฬิ าโห) เพราะอาศัยความเร่าร้อนเพราะเนกขัมมะ จึงเกิด การแสวงหาเนกขมั มะ (เนกขฺ มมฺ ปรฬิ าห ปฏจิ จฺ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เนกขฺ มมฺ - ปรเิ ยสนา) ภิกษุท้ังหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ เม่ือแสวงหา เนกขัมมะ ย่อมปฏิบัติชอบโดยฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย เพราะอาศัยอัพยาบาทธาตุ จึงเกิด ความหมายรู้ในอัพยาบาท เพราะอาศัยความหมายรู้ใน อพั ยาบาท จงึ เกดิ ความดาำ รใิ นอพั ยาบาท เพราะอาศยั ความ ดำาริในอัพยาบาท จึงเกิดความพอใจในอัพยาบาท เพราะ อาศัยความพอใจในอัพยาบาท จึงเกิดความเร่าร้อนเพราะ อพั ยาบาท เพราะเพราะอาศยั ความเรา่ รอ้ นเพราะอพั ยาบาท จึงเกิดการแสวงหาอัพยาบาท ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผไู้ ดส้ ดบั เมอ่ื แสวงหาอพั ยาบาท ยอ่ มปฏบิ ตั ชิ อบโดยฐานะ ๓ คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ๑๓๒
เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะอาศยั อวหิ งิ สาธาตุ จงึ เกดิ ความ หมายรู้ในอวิหิงสา เพราะอาศัยความหมายรู้ในอวิหิงสา จงึ เกดิ ความดาำ รใิ นอวหิ งิ สา เพราะอาศยั ความดาำ รใิ นอวหิ งิ สา จึงเกิดความพอใจในอวิหิงสา เพราะอาศัยความพอใจใน อวิหิงสา จึงเกิดความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสา เพราะอาศัย ความเร่าร้อนเพราะอวิหิงสา จึงเกิดการแสวงหาอวิหิงสา ภกิ ษทุ งั้ หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั เมอื่ แสวงหาอวหิ งิ สา ยอ่ ม ปฏบิ ตั ิชอบโดยฐานะ ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ. ภิกษุทั้งหลาย บุรุษพึงวางคบหญ้าท่ีไฟติดแล้วใน ป่าหญ้าแห้ง เขาจึงรีบดับคบนั้นเสียด้วยมือและเท้า ก็เมื่อ เป็นเช่นนี้สัตว์มีชีวิตทั้งหลายบรรดาท่ีอาศัยหญ้าและไม้อยู่ ไมพ่ งึ ถงึ ความพนิ าศฉบิ หาย แมฉ้ นั ใด ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สมณะ หรือพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง ก็ฉันน้ันเหมือนกัน รีบละ รีบบรรเทา รีบทำาให้หมด รีบทำาให้ไม่มีซึ่งอกุศลสัญญาที่ ก่อกวนอันบังเกิดข้ึนแล้ว เขาย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความ อดึ อดั ไมม่ คี วามคบั แคน้ ไมม่ คี วามเรา่ รอ้ นในปจั จบุ นั เบอื้ ง หนา้ แต่การตาย เพราะการทำาลายแหง่ กาย พงึ หวังสคุ ตไิ ด.้ (ดูเพิ่มเติมเก่ียวกับวิธีการละ หรือวิธีการดับอกุศลวิตกได้ท่ี หน้า ๔๖๕ - ๔๖๘ ของหนังสอื เลม่ นี้. -ผู้รวบรวม) ๑๓๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี เหตเุ กดิ ของก�มฉันทะ ในนิวรณ์ ๕ ๔๔ -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๒๐/๔๓๘. ภิกษุท้ังหลาย กามฉันทะท่ียังไม่เกิด ย่อมเกิดข้ึน และท่ีเกิดข้ึนแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความเจริญไพบูลย์ย่ิง เพราะกระทาำ ในใจมากถงึ ธรรมอันเปน็ ท่ีตงั้ แห่งกามราคะ. ภิกษุทั้งหลาย พยาบาทท่ียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และท่ีเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ย่ิง เพราะกระทาำ ในใจมากถงึ ธรรมอนั เปน็ ที่ต้งั แหง่ พยาบาท. ภิกษุท้ังหลาย ถีนมิทธะท่ียังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ย่ิง เพราะกระทาำ ในใจมากถึงธรรมอันเป็นทต่ี ัง้ แห่งถนี มิทธะ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อทุ ธจั จกกุ กจุ จะทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ และทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเจรญิ ไพบลู ยย์ ง่ิ เพราะ กระทาำ ในใจมากถงึ ธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย วจิ กิ จิ ฉาทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ และ ท่ีเกิดขน้ึ แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจรญิ ไพบูลยย์ ง่ิ เพราะ กระทาำ ในใจมากถงึ ธรรมอนั เป็นทตี่ ง้ั แหง่ วิจกิ ิจฉา. (ในสตู รอน่ื ตรสั วา่ เพราะกระทาำ ในใจโดยไมแ่ ยบคาย จงึ เปน็ เหตใุ หน้ วิ รณท์ ง้ั ๕ ทย่ี งั ไมเ่ กดิ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ และทเ่ี กดิ แลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความไพบลู ยย์ ง่ิ ขน้ึ -บาลี มหาวาร. ส.ำ ๑9/๑๓๒/๔๘๒. -ผรู้ วบรวม) ๑๓๔
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี อ�ห�รของก�มฉนั ทะ ในนวิ รณ์ ๕ ๔๕ -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๙๔/๓๕๗. ภิกษุท้ังหลาย กายนี้มีอาหารเป็นท่ีตั้ง ดำารงอยู่ได้ เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำารงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นท่ตี ้งั ดำารงอยูไ่ ด้เพราะอาศยั อาหาร ไมม่ ีอาหารดาำ รงอยู่ไมไ่ ด้ ฉนั น้นั เหมอื นกัน. ภิกษุท้ังหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ก�มฉันทะ ท่ยี ังไมเ่ กิด เกดิ ข้ึน หรือท่ีเกดิ ข้ึนแลว้ ใหเ้ จริญไพบูลยย์ งิ่ ข้นึ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ศภุ นมิ ติ มอี ยู่ การกระทาำ ใหม้ ากซง่ึ อโยนโิ ส- มนสกิ ารในศภุ นมิ ติ นน้ั นเี้ ปน็ อาหารใหก้ ามฉนั ทะทย่ี งั ไมเ่ กดิ เกิดขน้ึ หรอื ที่เกิดขึน้ แลว้ ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งข้ึน. ภิกษุท้ังหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พย�บ�ท ท่ียังไม่เกิด เกดิ ข้ึน หรอื ทเี่ กิดข้ึนแล้วให้เจรญิ ไพบลู ยย์ งิ่ ขึ้น ภกิ ษทุ งั้ หลาย ปฏฆิ นมิ ติ มอี ยู่ การกระทาำ ใหม้ ากซงึ่ อโยนโิ ส- มนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยัง ไม่เกดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ท่ีเกิดขนึ้ แล้วให้เจรญิ ไพบลู ย์ยงิ่ ขึ้น. ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดข้ึนแล้วให้เจริญไพบูลย์ย่ิงข้ึน ภิกษุทั้งหลาย คว�มไม่ยินดี คว�มเกียจคร้�น คว�มบิด ข้ีเกียจ คว�มเม�อ�ห�ร คว�มท่ีใจหดหู่มีอยู่ การกระทำา ๑๓๕
พุทธวจน-หมวดธรรม ให้มากซ่ึงอโยนิโสมนสิการในส่ิงเหล่านั้น น้ีเป็นอาหารให้ ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือที่เกิดข้ึนแล้วให้เจริญ ไพบลู ย์ย่งิ ขนึ้ . ภิกษุท้ังหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจ- กุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือที่เกิดข้ึนแล้วให้เจริญ ไพบูลย์ยิ่งข้ึน ภิกษุทั้งหลาย คว�มไม่สงบใจมีอยู่ การ กระทำาให้มากซ่ึงอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจน้ัน นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือ ทเี่ กดิ ขึ้นแล้วให้เจริญไพบลู ย์ย่ิงข้นึ . ภิกษุท้ังหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉ� ที่ยังไมเ่ กิด เกิดข้ึน หรือท่เี กดิ ขึ้นแลว้ ให้เจรญิ ไพบลู ยย์ ิ่งขนึ้ ภิกษุท้ังหลาย ธรรมทั้งหล�ยอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉ� มอี ยู่ การกระทาำ ใหม้ ากซง่ึ อโยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา่ นนั้ นเ้ี ปน็ อาหารใหว้ จิ กิ จิ ฉาทย่ี งั ไมเ่ กดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ ให้เจรญิ ไพบูลยย์ ่งิ ข้ึน. ภิกษุท้ังหลาย กายน้ีมีอาหารเป็นท่ีต้ัง ดำารงอยู่ได้ เพราะอาศยั อาหารไมม่ อี าหารดาำ รงอยไู่ มไ่ ด้ แมฉ้ นั ใด นวิ รณ์ ๕ เหล่าน้ี ก็มีอาหารเป็นที่ต้ัง ดำารงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไมม่ ีอาหารดาำ รงอยูไ่ ม่ได้ ฉันนั้นเหมอื นกนั . ๑๓๖
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี นิวรณ์ ๕ คอื กองอกุศล ๔๖ สตปิ ัฏฐ�น ๔ คอื กองกุศล -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๙๖/๖๙๖. ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าว ให้ถูก ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เพราะว่ากองอกุศลท้ังสิ้นนี้ ไดแ้ กน่ ิวรณ์ ๕ นวิ รณ์ ๕ เป็นอยา่ งไร คอื กามฉนั ทนวิ รณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจกิ ิจฉานวิ รณ์. ภิกษุท้ังหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าว ใหถ้ กู ตอ้ งกลา่ วถงึ นวิ รณ์ ๕ เหลา่ นี้ เพราะกองอกศุ ลทง้ั สนิ้ น้ี ไดแ้ ก่นิวรณ์ ๕. ภิกษุท้ังหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าว ให้ถูก ต้องกลา่ วถงึ สตปิ ฏั ฐาน ๔ เพราะว่ากองกศุ ลทง้ั ส้นิ น้ี ได้แก่สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นอย่างไร ภิกษุใน ธรรมวินัยน้ี ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติ พงึ กาำ จดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็น จติ ในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความ เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำาจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกเสยี . ๑๓๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าว ใหถ้ ูก ต้องกลา่ วถงึ สติปฏั ฐาน ๔ เพราะวา่ กองกศุ ลทัง้ ส้นิ น้ี ได้แกส่ ติปฏั ฐาน. ๑๓๘
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี นิวรณ์ ๕ ท�ำ ปญั ญ�ใหถ้ อยก�ำ ลงั ๔7 -บาลี ฺ ก. อ.ํ ๒๒/๗๒/๕ . ภิกษุท้ังหลาย นิวรณ์เครื่องกางกั้น ๕ ประการนี้ ครอบงำาจิตแล้ว ทำาปัญญาให้ถอยกำาลัง ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไร. (๑) นิวรณเ์ ครอ่ื งกางกน้ั คือ กามฉนั ทะ (๒) นิวรณ์เครอ่ื งกางก้นั คือ พยาบาท (๓) นิวรณเ์ ครือ่ งกางกั้น คอื ถีนมทิ ธะ (๔) นวิ รณเ์ ครือ่ งกางกนั้ คือ อทุ ธจั จกุกกจุ จะ (๕) นวิ รณ์เครอ่ื งกางก้ัน คือ วจิ ิกจิ ฉา ภกิ ษทุ งั้ หลาย นวิ รณเ์ ครอ่ื งกางกนั้ ๕ ประการนแ้ี ล ครอบงาำ จิตแล้ว ทาำ ปญั ญาใหถ้ อยกาำ ลงั . ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุน้ันไม่ละนิวรณ์เครื่องกางก้ัน ๕ ประการน้ี อันครอบงำาจิต ทำาปัญญาให้ถอยกำาลังแล้ว จักรู้จักประโยชน์ของตน ประโยชน์ของผู้อ่ืน ประโยชน์ทั้ง สองฝา่ ย หรอื จกั ทาำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ ญาณทสั สนะอนั วเิ ศษ สามารถ กระทำาความเป็นอริยะย่ิงกว่าธรรมของมนุษย์ด้วยปัญญาท่ี ไมม่ กี ำาลงั ถอยกาำ ลัง ขอ้ นม้ี ิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรยี บเหมือน แม่นำ้าท่ีไหลลงจากภูเขา ไปสู่ท่ีไกล มีกระแสเช่ียว พัดส่ิงที่ ๑๓๙
พุทธวจน-หมวดธรรม จะพัดไปได้ บุรุษพึงเปิดปากเหมืองแห่งแม่นำ้าน้ันทั้งสอง ข้าง เม่ือเป็นเช่นนี้ กระแสนำ้าในท่ามกลางแห่งแม่น้ำาน้ัน ก็ ซัดส่าย ไหลผิดทาง ไม่พึงไหลไปสู่ท่ีไกล ไม่มีกระแสเช่ียว ไม่พัดสิ่งท่ีพอจะพัดไปได้ ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันน้ันเหมือน กันแลหนอ ไม่ละนิวรณ์ เครื่องกางกั้น ๕ ประการนี้ อัน ครอบงำาจิตทำาปัญญาให้ถอยกำาลังแล้ว จักรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อ่ืน ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรือจักทำาให้แจ้งซ่ึง ญาณทสั สนะอนั วเิ ศษ สามารถกระทาำ ความเปน็ อรยิ ะยง่ิ กวา่ ธรรมของมนุษย์ ด้วยปัญญาอันไม่มีกำาลังถอยกำาลัง ข้อน้ัน ไม่เปน็ ฐานะทจี่ ะมไี ด้. ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุนั้นละนิวรณ์เครื่องกางกั้น ๕ ประการน้ี อันครอบงำาจิต ทำาปัญญาให้ถอยกำาลังแล้ว จักรู้ ประโยชนต์ น ประโยชนผ์ ู้อื่น ประโยชน์ทัง้ สองฝา่ ย หรือจัก ทาำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ ญาณทสั สนะอนั วเิ ศษ สามารถกระทาำ ความเปน็ อรยิ ะ ยงิ่ กวา่ ธรรมของมนษุ ยด์ ว้ ยปญั ญาอนั มกี าำ ลงั ขอ้ นเี้ ปน็ ฐานะท่ีจะมีได้ เปรียบเหมือนแม่นำ้าที่ไหลลงจากภูเขาไปสู่ ท่ีไกล พัดสิ่งที่พอจะพัดไปได้ บุรุษพึงปิดปากเหมืองแห่ง แม่น้ำานั้นท้ังสองข้าง เม่ือเป็นเช่นน้ี กระแสนำ้าในท่ามกลาง แม่นำ้านั้น ก็จักไม่ซัดส่าย ไม่ไหลผิดทาง พึงไหลไปสู่ ๑๔๐
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี ท่ีไกลได้ มีกระแสเช่ียว และพัดในส่ิงท่ีพอพัดไปได้ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกันแลหนอ ละนิวรณ์เครื่องกางกั้น ๕ ประการนี้ อันครอบงำาจิตทำาปัญญาให้ถอยกำาลังแล้ว จักรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อ่ืน ประโยชน์ท้ังสองฝ่าย หรือจักทำาให้แจ้งซ่ึงญาณทัสสนะอันวิเศษ สามารถกระทำา ความเปน็ อรยิ ะยง่ิ กวา่ ธรรมของมนษุ ย์ ดว้ ยปญั ญาอนั มกี าำ ลงั ข้อน้เี ป็นฐานะที่จะมีได้. ๑๔๑
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี นวิ รณ์ ๕ ทต่ี ง้ั แหง่ คว�มดบั ปญั ญ� ๔8 โพชฌงค์ 7 ทต่ี ง้ั แหง่ คว�มเจรญิ ปญั ญ� -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๓๖/๕๐ . ภิกษุท้ังหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่าน้ี กระทำาให้มืด กระทาำ ไม่ใหม้ จี กั ษุ กระทำาไม่ใหม้ ีญาณ เปน็ ที่ตัง้ แหง่ ความ ดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไป เพื่อนพิ พาน นวิ รณ์ ๕ เปน็ อยา่ งไร คือ ก�มฉันทนิวรณ์ กระทำาให้มืด กระทำาไม่ให้มีจักษุ กระทาำ ไมใ่ หม้ ญี าณ เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความดบั ปญั ญา เปน็ ไปใน ฝกั ฝา่ ยแหง่ ความคบั แคน้ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื นพิ พาน พย�บ�ท- นิวรณ์ ... ถีนมิทธนิวรณ์ ... อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ... วิจิกิจฉ�นิวรณ์ กระทำาให้มืด กระทำาไม่ให้มีจักษุ กระทำา ไมใ่ หม้ ญี าณ เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ความดบั ปญั ญา เปน็ ไปในฝกั ฝา่ ย แห่งความคับแค้น ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื นิพพาน. ภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่าน้ีแล กระทำาให้มืด กระทาำ ไม่ให้มีจักษุ กระทำาไม่ให้มญี าณ เป็นทตี่ ั้งแห่งความ ดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไป เพือ่ นพิ พาน. ๑๔๒
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โพชฌงค์ ๗ เหลา่ น้ี กระทาำ ใหม้ จี กั ษุ กระทาำ ใหม้ ญี าณ เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความเจรญิ ปญั ญา ไมเ่ ปน็ ไป ในฝกั ฝา่ ยแหง่ ความคบั แคน้ เปน็ ไปเพอื่ นพิ พาน โพชฌงค์ ๗ เปน็ อย่างไร คอื สติสัมโพชฌงค์ กระทำาให้มจี ักษุ กระทาำ ให้มญี าณ เป็นที่ต้ังแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่ง ความคับแค้น เป็นไปเพ่ือนิพพาน ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ... วิริยสัมโพชฌงค์… ปีติสัมโพชฌงค์... ปัสสัทธิ- สมั โพชฌงค.์ .. สม�ธสิ มั โพชฌงค.์ .. อเุ บกข�สมั โพชฌงค์ กระทาำ ให้มีจักษุ กระทาำ ใหม้ ีญาณ เป็นทตี่ ้ังแห่งความเจรญิ ปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพ่ือ นิพพาน. ภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่าน้ีแล กระทำาให้ มีจักษุ กระทำาให้มีญาณ เป็นท่ีตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไมเ่ ปน็ ไปในฝกั ฝา่ ยแหง่ ความคบั แคน้ เปน็ ไปเพอ่ื นพิ พาน. ๑๔๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี เหตปุ จั จยั เพอ่ื คว�มไมร่ ู้ คว�มไมเ่ หน็ ๔9และเหตปุ จั จยั เพอ่ื คว�มรู้ คว�มเหน็ -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๗๕/๖๒๘. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปุรณกัสสปกล่าวอย่างน้ีว่า เหตุไม่มี ปจั จยั ไมม่ ี เพอื่ ความไมร่ ู้ เพอื่ ความไมเ่ หน็ ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ ไมม่ ี เหตุ ไมม่ ปี จั จยั เหตไุ มม่ ี ปจั จยั ไมม่ ี เพอื่ ความรู้ เพอื่ ความเหน็ ความรู้ ความเห็น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ดังน้ี ในเร่ืองนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ อยา่ งไร. ราชกุมาร เหตุมี ปัจจัยมี เพอ่ื ความไม่รู้ เพ่ือความ ไมเ่ หน็ ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ มเี หตุ มปี จั จยั เหตมุ ี ปจั จยั มี เพอ่ื ความรู้ เพอ่ื ความเหน็ ความรู้ ความเหน็ มเี หตุ มปี จั จยั . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุเป็นอย่างไร ปัจจัยเป็นอย่างไร เพอื่ ความไมร่ ู้ เพอื่ ความไมเ่ หน็ ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ มเี หตุ มปี จั จยั อย่างไร. ราชกมุ าร สมยั ใด บคุ คลมใี จฟงุ้ ซา่ นดว้ ยก�มร�คะ อันกามราคะเหน่ียวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น อุบายเป็น เครอ่ื งสลดั ออกซง่ึ กามราคะทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ แลว้ ตามความเปน็ จรงิ แมข้ อ้ นแ้ี ล กเ็ ปน็ เหตุ เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ความไมร่ ู้ เพอ่ื ความไมเ่ หน็ ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ มเี หตุ มปี จั จยั แมด้ ว้ ยประการฉะน.้ี ๑๔๔
เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟุง้ ซา่ นด้วยพย�บ�ท ... . ราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟงุ้ ซ่านดว้ ยถีนมิทธะ ... . ราชกุมาร อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟงุ้ ซ่านด้วยอุทธัจจกกุ กุจจะ ... . ราชกุมาร อีกประการหน่ึง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟงุ้ ซ่านดว้ ยวิจกิ จิ ฉ� อันวิจิกจิ ฉาเหนีย่ วรงั้ ไป และยอ่ มไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ อบุ ายเปน็ เครอื่ งสลดั ออกซง่ึ วจิ กิ จิ ฉาทบ่ี งั เกดิ ขนึ้ แลว้ ตามความเป็นจริง แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพื่อ ความไมร่ ู้ เพอื่ ความไมเ่ หน็ ความไมร่ ู้ ความไมเ่ หน็ มเี หตุ มปี ัจจยั ดว้ ยประการฉะน.ี้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ ธรรมปริยายน้ีช่อื อะไร. ราชกมุ าร ธรรมเหล่�นี้ชือ่ นิวรณ.์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นิวรณ์เป็นอย่างน้ี ข้าแต่พระสุคต นวิ รณเ์ ปน็ อย่างน้ี ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ บุคคลถกู นวิ รณ์แม้อยา่ งเดียว ครอบงำาแล้ว ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ จะกล่าวไปไยถึง การถูกนิวรณ์ท้งั ๕ ครอบงำาเลา่ . ๑๔๕
พุทธวจน-หมวดธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุเป็นอย่างไร ปัจจัยเป็นอย่างไร เพ่ือความรู้ เพอ่ื ความเหน็ ความรู้ ความเห็น มีเหตุ มปี จั จัยอย่างไร. ราชกุมาร ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญสติ- สมั โพชฌงค์ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไป ในการสละ เธอเจริญสติสัมโพชฌงค์อยู่ ย่อมรู้ ย่อมเห็น ตามความเป็นจริงด้วยจิตนั้น แม้ข้อนี้แล ก็เป็นเหตุ เป็น ปจั จยั เพอื่ ความรู้ เพอ่ื ความเหน็ ความรู้ ความเหน็ มเี หตุ มปี จั จยั ด้วยประการฉะน.้ี ราชกุมาร อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค.์ .. วริ ยิ สมั โพชฌงค.์ .. ปตี สิ มั โพชฌงค.์ .. ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค.์ .. สมาธสิ มั โพชฌงค.์ .. ภกิ ษยุ อ่ มเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไปในการสละ เธอเจรญิ อเุ บกขาสัมโพชฌงคอ์ ยู่ ย่อมรู้ ยอ่ มเหน็ ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยจติ นนั้ แมข้ อ้ นแ้ี ล กเ็ ปน็ เหตุ เป็นปัจจัย เพ่ือความรู้ เพ่ือความเห็น ความรู้ ความเห็น มีเหตุ มีปัจจยั ดว้ ยประการนี้. ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ ธรรมปรยิ ายนชี้ ่ืออะไร. ราชกุมาร ธรรมเหล่�นีช้ ่อื โพชฌงค.์ ๑๔๖
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โพชฌงค์เป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์เป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วย โพชฌงค์แมอ้ ยา่ งเดยี ว พงึ รู้ พึงเหน็ ตามความเป็นจรงิ ได้ จะกลา่ วไปไย ถึงการที่ประกอบด้วยโพชฌงค์ท้ัง ๗ เล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เม่ือ ข้าพระองค์ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ แม้ความเหน็ดเหน่ือยกาย ความ เหนด็ เหนอื่ ยใจของขา้ พระองค์ กส็ งบระงบั แลว้ และธรรมอนั ขา้ พระองค์ ก็ได้บรรลุแลว้ . ๑๔๗
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี สง่ิ ที่ทำ�ให้จติ หมน่ หมอง ๕0 -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๓๐/๔๖๗. ภิกษุทั้งหลาย อุปกิเลส (ส่ิงทำาให้หม่นหมอง) ของ ทอง ๕ อย่างเหล่านี้ เป็นเครื่องทำาทองไม่ให้อ่อน ไม่ให้ ควรแก่การงาน ไม่ใหม้ ีสีสุก ให้เปราะ และให้ใชก้ ารไมไ่ ดด้ ี อุปกเิ ลส ๕ อยา่ งเป็นอยา่ งไร. ภิกษุท้ังหลาย เหล็กเป็นอุปกิเลสของทอง ทำาทอง ไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้มีสีสุก ให้เปราะ และให้ใช้การไม่ได้ดี โลหะ … ดีบุก … ตะก่ัว … เงิน เปน็ อปุ กเิ ลสของทอง ทาำ ทองไมใ่ หอ้ อ่ น ไมใ่ หค้ วรแกก่ ารงาน ไม่ให้มีสสี ุก ใหเ้ ปราะ และใหใ้ ชก้ ารไมไ่ ด้ดี. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อปุ กเิ ลสของทอง ๕ อยา่ งนเ้ี หลา่ นแ้ี ล เป็นเครื่องทำาทองไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้ มีสสี ุก ใหเ้ ปราะ และให้ใช้การไม่ไดด้ ี. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ฉันน้นั ก็เหมอื นกัน อุปกิเลสของจิต ๕ อย่างเหล่านี้ เป็นเคร่ืองทำาจิตไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควร แก่การงาน ไม่ให้ผุดผ่อง ให้เสียไป และไม่ให้ตั้งม่ันด้วยดี เพือ่ ความส้นิ อาสวะ อุปกเิ ลส ๕ อยา่ งเป็นอย่างไร. ๑๔๘
เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี ภิกษุทั้งหลาย กามฉันทะ เป็นอุปกิเลสของจิต เป็นเคร่ืองทำาจิตไม่ให่้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้ ผดุ ผอ่ ง ใหเ้ สยี ไป และไมใ่ หต้ ง้ั มน่ั ดว้ ยดเี พอ่ื ความสนิ้ อาสวะ พยาบาท … ถีนมิทธะ … อุทธัจจกุกกุจจะ … วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต เป็นเคร่ืองทำาจิตไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควร แก่การงาน ไม่ให้ผุดผ่อง ให้เสียไป และไม่ให้ตั้งม่ันด้วยดี เพื่อความสิ้นอาสวะ. ภิกษุท้ังหลาย อุปกิเลสของจิต ๕ อย่างเหล่านี้แล เป็นเคร่ืองทำาจิตไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้ ผุดผ่อง ให้เสียไป และไม่ให้ตั้งมั่นด้วยดีเพ่ือความส้ิน อาสวะ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นี้ ไมเ่ ปน็ ธรรมกน้ั ไมเ่ ปน็ ธรรมหา้ ม ไมเ่ ปน็ อปุ กเิ ลสของจติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำาให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำาให้แจ้งซึ่งผล คอื วชิ ชาและวิมตุ ติ โพชฌงค์ ๗ เปน็ อย่างไร. ภิกษุท้ังหลาย สติสัมโพชฌงค์ไม่เป็นธรรมก้ัน ไมเ่ ปน็ ธรรมหา้ ม ไมเ่ ปน็ อปุ กเิ ลสของจติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทาำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อกระทำาใหแ้ จ้งซ่ึงผล คือ วิชชาและวิมุตติ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ … วิริยสัมโพชฌงค์ ๑๔๙
พุทธวจน-หมวดธรรม … ปีติสัมโพชฌงค์ … ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ … สมาธิ- สมั โพชฌงค์ … อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ไมเ่ ปน็ ธรรมกนั้ ไมเ่ ปน็ ธรรมห้าม ไม่เป็นอุปกิเลสของจิต อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำาให้มากแล้ว ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ กระทำาใหแ้ จง้ ซง่ึ ผล คอื วิชชาและวิมตุ ติ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นแ้ี ล ไมเ่ ปน็ ธรรมกนั้ ไมเ่ ปน็ ธรรมหา้ ม ไมเ่ ปน็ อปุ กเิ ลสของจติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทาำ ใหม้ ากแลว้ ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำาให้แจ้งซง่ึ ผล คอื วชิ ชาและวมิ ตุ ต.ิ (ในสูตรอ่ืน ตรัสว่า เมื่อละอุปกิเลสแห่งจิต ๕ อย่างเหล่านี้ ได้ ภิกษุหวังจะแสดงอิทธิวิธี, ได้ทิพพโสต, บรรลุเจโตปริยญาณ, บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ, บรรลุจุตูปปาตญาณ หรือกระทำา ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ก็สามารถทำาได้ -บาลี ปญฺจก. อำ. ๒๒/๑๗/๒๓. -ผรู้ วบรวม) ๑๕๐
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี เหตุใหส้ �ธย�ยธรรมได้แจม่ แจ้ง ๕1 -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๖๖/๖๐ . ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ อะไรหนอเปน็ เหตุ เปน็ ปจั จยั ใหม้ นต์ แม้ที่บุคคลกระทำาการสาธยายไว้นาน ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว ไม่ต้อง กลา่ วถงึ มนตท์ ม่ี ไิ ดก้ ระทาำ การสาธยาย ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ อะไรหนอ เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั ใหม้ นตแ์ มท้ มี่ ไิ ดก้ ระทาำ การสาธยายเปน็ เวลานาน กย็ งั แจ่มแจ้งในบางคราว ไมต่ อ้ งกล่าวถึงมนต์ทีก่ ระทำาการสาธยาย. พราหมณ์ สมัยใดแล บุคคลมีใจฟุ้งซ่�นด้วย ก�มร�คะ อนั กามราคะเหนย่ี วรง้ั ไป และไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ อบุ ายเปน็ เคร่อื งสลัดออกซ่งึ กามราคะท่บี ังเกิดแล้วตามความเป็นจริง สมยั นน้ั เขาไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ แมซ้ ง่ึ ประโยชนต์ นตามความเปน็ จรงิ แมซ้ งึ่ ประโยชนบ์ คุ คลอน่ื ตามความเปน็ จรงิ แมซ้ งึ่ ประโยชน์ ทงั้ สองอยา่ งตามความเปน็ จรงิ มนตแ์ มท้ กี่ ระทาำ การสาธยาย ไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ท่ีมิได้กระทำา การสาธยาย. พราหมณ์ เปรียบเหมือนภ�ชนะใส่น้ำ�ซึ่งระคน ด้วยสีครัง่ สเี หลือง สเี ขยี ว สแี ดงออ่ น บรุ ษุ ผู้มีจกั ษุ เม่ือ มองดเู งาหน้าของตนในนา้ำ นั้น ไม่พึงรู้ ไมพ่ ึงเหน็ ตามความ ๑๕๑
พุทธวจน-หมวดธรรม เป็นจริงได้ฉันใด ฉันน้ันเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมีใจ ฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ อันกามราคะเหนี่ยวร้ังไป และไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก ซึ่งกามราคะท่ีบังเกิดขึ้น แลว้ ตามความเปน็ จรงิ ในสมยั นน้ั เขายอ่ มไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ แมซ้ ง่ึ ประโยชน์ตนตามความเป็นจริง แม้ซ่ึงประโยชน์บุคคลอ่ืน ตามความเป็นจริง แม้ซ่ึงประโยชน์ท้ังสองน้ันตามความ เปน็ จรงิ มนตแ์ มท้ กี่ ระทาำ การสาธยายไวน้ าน กไ็ มแ่ จม่ แจง้ ได้ ไมต่ อ้ งกล่าวถงึ มนต์ท่ีมไิ ด้กระทำาการสาธยาย. พราหมณ์ อีกประการหน่ึง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟงุ้ ซ�่ นดว้ ยพย�บ�ท อนั พยาบาทเหนยี่ วรง้ั ไป และยอ่ มไมร่ ู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเคร่ืองสลัดออก ซึ่งพยาบาทท่ีบังเกิดขึ้น แลว้ ตามความเป็นจรงิ … . พราหมณ์ เปรียบเหมือนภ�ชนะใส่น้ำ�ซึ่งร้อน เพร�ะไฟ เดือดพล่�น มีไอพลุ่งข้นึ บรุ ุษผ้มู จี กั ษุ เมื่อมอง ดูเงาหน้าของตนในนา้ำ นัน้ ไมพ่ ึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็น จรงิ ฉนั ใด ฉนั นน้ั เหมอื นกนั สมยั ใด บคุ คลมใี จฟงุ้ ซา่ นดว้ ย พยาบาท อันพยาบาทเหน่ียวร้ังไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น อุบายเป็นเคร่ืองสลัดออกซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตาม ความเป็นจรงิ … . ๑๕๒
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟุ้งซ่�นด้วยถีนมิทธะ อันถีนมิทธะเหน่ียวรั้งไป ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก ซ่ึงถีนมิทธะที่บังเกิดข้ึน แลว้ ตามความเปน็ จรงิ … . พราหมณ์ เปรยี บเหมอื นภ�ชนะใสน่ �้ำ อนั ส�หร�่ ย และจอกแหนปกคลุมไว้ บุรุษผู้มีจักษุ เม่ือมองดูเงาหน้า ของตนในนาำ้ นน้ั ไมพ่ งึ รู้ ไมพ่ งึ เหน็ ตามความเปน็ จรงิ ฉนั ใด ฉนั นน้ั เหมอื นกนั สมยั ใด บคุ คลมใี จฟงุ้ ซา่ นดว้ ยถนี มทิ ธะ อนั ถนี มทิ ธะเหนยี่ วรง้ั ไป และยอ่ มไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ อบุ ายเปน็ เครอื่ ง สลดั ออก ซง่ึ ถนี มทิ ธะทบี่ งั เกดิ ขน้ึ แลว้ ตามความเปน็ จรงิ … . พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟุ้งซ่�นด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ อันอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยว ร้ังไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเคร่ืองสลัดออกซึ่ง อุทธจั จกกุ กจุ จะที่บังเกิดขน้ึ แล้วตามความเป็นจริง … . พราหมณ์ เปรียบเหมือนภ�ชนะใส่นำ้�อันลมพัด ต้องแล้ว หว่ันไหวกระเพ่ือม เกิดเป็นคล่ืน บุรุษผู้มีจักษุ เม่ือมองดูเงาหน้าของตนในน้ำาน้ัน ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตาม ความเปน็ จริง ฉนั ใด ฉันน้นั เหมือนกนั สมยั ใด บุคคลมใี จ ฟงุ้ ซา่ นดว้ ยอทุ ธจั จกกุ กจุ จะ อนั อทุ ธจั จกกุ กจุ จะเหนย่ี วรงั้ ไป ๑๕๓
พุทธวจน-หมวดธรรม และย่อมไม่รู้ ไมเ่ ห็นอุบายเปน็ เครอ่ื งสลดั ออก ซ่งึ อทุ ธจั จ- กุกกจุ จะทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ แล้วตามความเปน็ จรงิ … . พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ ฟุ้งซ่�นด้วยวิจิกิจฉ� อันวิจิกิจฉาเหน่ียวร้ังไป และไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเคร่ืองสลัดออก ซ่ึงวิจิกิจฉาที่บังเกิดข้ึน แล้วตามความเป็นจริง สมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ ไม่เห็นแม้ซึ่ง ประโยชน์ตนตามความเป็นจริง แม้ซ่ึงประโยชน์บุคคลอ่ืน ตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ท้ังสองอย่างตามความ เปน็ จรงิ มนตแ์ มท้ ก่ี ระทาำ การสาธยายไวน้ าน กไ็ มแ่ จม่ แจง้ ได้ ไม่ตอ้ งกล่าวถึงมนต์ทีม่ ไิ ดก้ ระทำาการสาธยาย. พราหมณ์ เปรยี บเหมอื นภ�ชนะใสน่ �ำ้ ทข่ี นุ่ มวั เปน็ เปือกตมอันบุคคลว�งไว้ในท่ีมืด บุรุษผู้มีจักษุ เม่ือมองดู เงาหนา้ ของตนในนา้ำ นน้ั ไมพ่ งึ รู้ ไมพ่ งึ เหน็ ตามความเปน็ จรงิ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วย วจิ กิ จิ ฉา อนั วจิ กิ จิ ฉาเหนย่ี วรงั้ ไป และยอ่ มไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ อบุ าย เป็นเคร่ืองสลัดออก ซึ่งวิจิกิจฉาท่ีบังเกิดขึ้นแล้วตามความ เปน็ จรงิ สมยั นนั้ เขายอ่ มไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ แมซ้ ง่ึ ประโยชนต์ นตาม ความเป็นจริง แม้ซ่ึงประโยชน์บุคคลอ่ืนตามความเป็นจริง แมซ้ ง่ึ ประโยชนท์ งั้ สองอยา่ งตามความเปน็ จรงิ มนตท์ กี่ ระทาำ ๑๕๔
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี การสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ท่ี มิไดก้ ระทาำ การสาธยาย. พราหมณ์ น้ีแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มนต์แม้ที่ กระทำาการสาธยายไว้นาน ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว ไม่ต้อง กล่าวถึงมนต์ท่ีมิไดก้ ระทำาการสาธยาย. (ถัดจากน้ีได้ตรัสโดยนัยตรงกันข้ามถึง เม่ือจิตปราศจาก นิวรณ์ เป็นเหตุให้มนต์แม้ท่ีมิได้กระทำาการสาธยายเป็นเวลานาน ย่อมแจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ท่ีกระทำาการสาธยาย ผู้ศึกษา พึงเทียบเคียงได้เอง ในสูตรอ่ืน ก็ได้ตรัสไว้โดยทำานองเดียวกันน้ี -บาลี ปญฺจก. อ.ำ ๒๒/๒๕๗/๑9๓. -ผรู้ วบรวม) ๑๕๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี นวิ รณ์ ๕ อกี นัยหนงึ่ ๕๒ -บาลี ส.ี .ี ๙/๙๔/ ๒๔. มหาราช อยา่ งไร ภกิ ษชุ อ่ื วา่ เปน็ ผสู้ นั โดษ มหาราช ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยจวี รเปน็ เครอ่ื งบรหิ าร กาย ดว้ ยบณิ ฑบาตเปน็ เครอ่ื งบรหิ ารทอ้ ง เธอจะไปทางทสิ า ภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง มหาราช นกมีปีกจะบินไปทาง ทิสาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุ กฉ็ นั นน้ั แล เปน็ ผสู้ นั โดษดว้ ยจวี รเปน็ เครอ่ื งบรหิ ารกาย ดว้ ย บณิ ฑบาตเปน็ เครอ่ื งบรหิ ารทอ้ ง เธอจะไปทางทสิ าภาคใดๆ กถ็ อื ไปไดเ้ อง มหาราช ดว้ ยประการดงั กลา่ วมานแ้ี ล ภกิ ษุ ชอื่ ว่าเปน็ ผู้สนั โดษ. ภิกษุน้ันประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สตสิ มั ปชญั ญะ และสนั โดษอนั เปน็ อรยิ ะเชน่ นแ้ี ลว้ ยอ่ มเสพ เสนาสนะ อนั สงดั คอื ปา่ โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถาำ้ ปา่ ช้า ป่าชัฏ ท่ีแจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจาก บิณฑบาตแล้ว น่ังคู้บัลลังก์ต้ังกายตรง ดำารงสติเฉพาะหน้า เธอละความเพง่ เลง็ ในโลก (อภชิ ฌฺ โลเก ปหาย) มใี จปราศจาก ความเพง่ เลง็ อยู่ ยอ่ มชาำ ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธจ์ิ ากความเพง่ เลง็ ได้ ๑๕๖
เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี ละความประทุษร้ายคือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความ กรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำาระจิตให้ บรสิ ทุ ธจ์ิ ากความประทษุ รา้ ยคอื พยาบาทได้ ละถนี มทิ ธะแลว้ เปน็ ผปู้ ราศจากถนี มทิ ธะ มคี วามกาำ หนดหมายอยทู่ แี่ สงสวา่ ง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำาระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ได้ละอุทธัจจะกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำาระจิตให้บริสุทธ์ิจากอุทธัจจะกุกกุจจะได้ ละวจิ ิกิจฉาแล้วเป็นผขู้ า้ มวิจกิ ิจฉา ไมม่ ีความคลางแคลงใน กศุ ลธรรมทง้ั หลายอยู่ ยอ่ มชาำ ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธจ์ิ ากวจิ กิ จิ ฉาได.้ มหาราช ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการ เหล่านี้ท่ียังละไม่ได้ในตนเหมือนหน้ี เหมือนโรค เหมือน เรือนจำา เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการท่ีละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมอื นความไมม่ โี รค เหมอื นการพน้ จากเรือนจำา เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถาน อันเกษม ฉนั นัน้ แล. ๑๕๗
พุทธวจน-หมวดธรรม (ยังมีตรัสเหมือนในพระสูตรนี้อีกมาก ที่ใช้ อภิชฺฌ โลเก แทน กามฉนทฺ หรอื กามจฉฺ นทฺ ซงึ่ ปรากฏในพระไตรปฎิ กหลายเลม่ ไดแ้ ก่ เล่มท่ี 9 พบทกุ พระสตู ร, เล่ม ๑๑ ข้อ ๒๖, เลม่ ๑๒ ขอ้ ๓๓๔, เลม่ ๑๒ ขอ้ ๔๕๖, เลม่ ๑๒ ข้อ ๔๖9, เลม่ ๑๓ ขอ้ ๑๓, เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๒๓, เล่ม ๑๓ ข้อ ๓๐9, เล่ม ๑๓ ข้อ ๖๓9, เลม่ ๑๔ ขอ้ ๑9, เลม่ ๑๔ ขอ้ 99, เลม่ ๑๔ ขอ้ ๑๗๕, เลม่ ๑๔ ขอ้ ๓9๖, เลม่ ๒๑ ขอ้ ๑9๘, เลม่ ๒๒ ขอ้ ๗๕, เลม่ ๒๒ ขอ้ ๗๕, เล่ม ๒๓ ข้อ ๒๔๔, เลม่ ๒๔ ข้อ 99 เปน็ ตน้ . -ผ้รู วบรวม) ๑๕๘
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี อวชิ ช� คอื นวิ รณ์ ๕๓ -บาลี อติ วิ .ุ ข.ุ ๒๕/๒๓๕/ ๙๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราไมพ่ จิ ารณาเหน็ แมน้ วิ รณอ์ นั หนง่ึ อย่างอ่ืน ซึ่งเปน็ เหตุใหห้ มสู่ ัตวถ์ ูกนวิ รณห์ ุ้มหอ่ แล้วแล่นไป ทอ่ งเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เหมือนนวิ รณ์คอื อวชิ ช�นเี้ ลย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย หมสู่ ตั วผ์ ถู้ กู นวิ รณ์ คอื อวชิ ชาหมุ้ หอ่ แล้วยอ่ มแล่นไป ทอ่ งเทย่ี วไปส้นิ กาลนาน. ธรรมอ่ืนแม้อย่างหน่ึง ซึ่งเป็นเหตุให้หมู่สัตว์ถูก ธรรมนนั้ หมุ้ หอ่ แลว้ ทอ่ งเทยี่ วไปสน้ิ กาลนาน เหมอื นหมสู่ ตั ว์ ผู้ถูกโมหะหุ้มห่อแล้ว ไม่มีเลย ส่วนพระอริยสาวกเหล่าใด ละโมหะแลว้ ทาำ ลายกองแหง่ ความมดื ไดแ้ ลว้ พระอรยิ สาวก เหลา่ นนั้ ยอ่ มไมท่ อ่ งเทยี่ วไปอกี เพราะอวชิ ชาอนั เปน็ ตน้ เหตุ (แห่งสงสาร) ย่อมไม่มแี ก่พระอริยสาวกเหลา่ นน้ั . ๑๕๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี เมอ่ื ตง้ั ใจฟงั ธรรม นวิ รณ์ ๕ ยอ่ มไมม่ ี ๕๔ -บาลี าวา . ส.ํ ๙/ ๓๔/๔๙๒. ภิกษุท้ังหลาย สมัยใด อริยสาวกตั้งใจ ใส่ใจ รวม เข้าไวด้ ว้ ยใจทั้งหมด เง่ียโสตลงฟังธรรม สมัยนน้ั นิวรณ์ ๕ ยอ่ มไม่มีแก่เธอ โพชฌงค์ ๗ ยอ่ มถงึ ความเจริญบริบรู ณ.์ ในสมัยน้ัน นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่มีแก่เธอ เป็นอย่างไร คอื กามฉนั ทนวิ รณ์ ยอ่ มไมม่ ี พยาบาทนวิ รณ…์ ถนี มทิ ธ- นวิ รณ…์ อทุ ธจั จกกุ กจุ จนวิ รณ…์ วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ์ ยอ่ มไมม่ ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในสมยั นน้ั นวิ รณ์ ๕ เหลา่ น้ี ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ. ในสมัยนั้น โพชฌงค์ ๗ ย่อมถึงความเจริญ บริบูรณ์ เป็นอย่างไร คือ สติสัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความ เจริญบริบูรณ์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์... ปีติสัมโพชฌงค์... ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์... สมาธิสัมโพชฌงค์... อุเบกขา- สัมโพชฌงค์ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ ภิกษุทั้งหลาย ในสมยั นน้ั โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นี้ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกต้ังใจ ใส่ใจ รวมเข้าไว้ด้วยใจทั้งหมด เงี่ยโสตลงฟังธรรม สมัยนั้น นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่มีแก่เธอ โพชฌงค์ ๗ เหล่าน้ี ย่อมถึง ความเจริญบรบิ ูรณ์. ๑๖๐
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี ก�รพจิ �รณ�เห็นธรรมในธรรม ๕๕ ในแงม่ มุ ของนิวรณ์ -บาลี า. .ี ๐/๓๓๕/๒๙๐. ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อยา่ งไรเลา่ ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นพ้ี จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื นวิ รณ์ ๕ ภิกษพุ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมคอื นวิ รณ์ ๕ อยา่ งไรเลา่ . ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เมอ่ื กามฉนั ทะมอี ยู่ ณ ภายในจติ ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันทะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ เมือ่ กามฉนั ทะไมม่ ีอยู่ ณ ภายในจิต ยอ่ มร้ชู ดั วา่ กามฉันทะ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา อนึ่ง กามฉันทะท่ียังไม่ เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย กามฉนั ทะทเี่ กดิ ขนึ้ แลว้ จะละเสยี ไดด้ ว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการน้ันด้วย กามฉันทะท่ีละได้แล้วจะไม่เกิดข้ึนต่อไป ดว้ ยประการใด ย่อมร้ชู ัดประการน้ันด้วย. อีกอย่างหน่งึ เมอื่ พยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อม รชู้ ดั วา่ พยาบาทมอี ยู่ ณ ภายในจติ ของเรา หรอื เมอื่ พยาบาท ไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ พยาบาทไมม่ อี ยู่ ณ ภายใน จติ ของเรา อนงึ่ พยาบาททย่ี งั ไมเ่ กดิ จะเกดิ ขน้ึ ดว้ ยประการใด ๑๖๑
พุทธวจน-หมวดธรรม ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย พยาบาททเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ จะละเสยี ได้ ดว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนนั้ ดว้ ย พยาบาททลี่ ะไดแ้ ลว้ จะไมเ่ กดิ ขน้ึ ตอ่ ไปดว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนนั้ ดว้ ย. อีกอย่างหน่ึง เม่ือถีนมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมื่อ ถนี มทิ ธะไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ ถนี มทิ ธะไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ของเรา อนงึ่ ถนี มทิ ธะทย่ี งั ไมเ่ กดิ จะเกดิ ขน้ึ ดว้ ย ประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย ถนี มทิ ธะทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ จะละเสยี ไดด้ ว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย ถนี มทิ ธะ ท่ีละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัด ประการนน้ั ด้วย อกี อยา่ งหนงึ่ เมอ่ื อทุ ธจั จกกุ กจุ จะมอี ยู่ ณ ภายในจติ ย่อมร้ชู ัดวา่ อุทธัจจกุกกุจจะมอี ยู่ ณ ภายในจิตของเราหรือ เมอ่ื อทุ ธจั จกกุ กจุ จะไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ อทุ ธจั จ- กกุ กจุ จะไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ของเรา อนงึ่ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ท่ียังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการน้ัน ดว้ ยอทุ ธจั จกกุ กจุ จะทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ จะละเสยี ไดด้ ว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย อทุ ธจั จกกุ กจุ จะทล่ี ะไดแ้ ลว้ จะไม่ เกดิ ขึ้นตอ่ ไปดว้ ยประการใด ย่อมรชู้ ดั ประการนนั้ ดว้ ย. ๑๖๒
เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี อีกอย่างหน่ึง เมื่อวิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อม รู้ชัดว่าวิจกิ ิจฉามอี ยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือเมอื่ วิจกิ ิจฉา ไมม่ อี ยู่ ณ ภายในจติ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ วจิ กิ จิ ฉาไมม่ อี ยู่ ณ ภายใน จติ ของเรา อนง่ึ วจิ กิ จิ ฉาทย่ี งั ไมเ่ กดิ จะเกดิ ขนึ้ ดว้ ยประการใด ยอ่ มรู้ชัดประการนั้นด้วย วจิ ิกิจฉาที่เกดิ ขนึ้ แล้วจะละเสยี ได้ ดว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนนั้ ดว้ ย วจิ กิ จิ ฉาทล่ี ะไดแ้ ลว้ จะไมเ่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ไปดว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนนั้ ดว้ ย ดงั พรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายนอกบา้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรม ทงั้ ภายในทงั้ ภายนอกบา้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเกดิ ขน้ึ ในธรรมบา้ ง พิจารณาเหน็ ธรรมคือความเส่ือมในธรรมบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเส่ือมใน ธรรมบา้ ง อกี อยา่ งหนง่ึ สตขิ องเธอทตี่ ง้ั มนั่ อยวู่ า่ ธรรมมอี ยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็น ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก. ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็น ธรรมในธรรม คือ นวิ รณ์ ๕ อย.ู่ ๑๖๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี จติ ทีห่ ลดุ พน้ ดีแลว้ ๕๖ -บาลี ฺ ก. อ.ํ ๒๒/๒๗๒/๒๐๐. ภิกษุทั้งหลาย ธาตุท่ีพึงพรากได้ (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕ ประการน้ี ๕ ประการเป็นอย่างไร คอื ภิกษุท้ังหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการ ถึงกามทั้งหลาย จติ ของเธอย่อมไมแ่ ล่นไป ย่อมไมเ่ ลอ่ื มใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในกามทั้งหลาย แต่เม่ือเธอ มนสิการถงึ เนกขมั มะ จิตของเธอยอ่ มแล่นไป ยอ่ มเลอ่ื มใส ย่อมต้ังอยู่ ย่อมน้อมไปในเนกขัมมะ จิตของเธอน้ันช่ือว่า เป็นจิตดำาเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว ต้ังอยู่ดีแล้ว หลุดพ้น ดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากกามทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์และ ความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะกามเป็นปัจจัย เธอ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าน้ัน เธอย่อมไม่เสวยเวทนาท่ีเกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออกแห่งกามท้งั หลาย. ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เม่ือภิกษุมนสิการ ถงึ พยาบาท จติ ของเธอยอ่ มไมแ่ ลน่ ไป ยอ่ มไมเ่ ลอื่ มใส ยอ่ ม ไม่ต้ังอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในพยาบาท แต่เมื่อเธอมนสิการ ถึงความไม่พยาบาท จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ๑๖๔
เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี ย่อมตั้งอยู่ ยอ่ มนอ้ มไปในความไม่พยาบาท จติ ของเธอนัน้ ช่ือว่าเป็นจิตดำาเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดแี ลว้ จากพยาบาท อาสวะ ทกุ ข์ และความเรา่ รอ้ น เหลา่ ใด ยอ่ มเกดิ เพราะพยาบาทเปน็ ปจั จยั เธอหลดุ พน้ แลว้ จากอาสวะ ทกุ ข์ และความเรา่ รอ้ นเหลา่ นนั้ เธอยอ่ มไมเ่ สวย เวทนาทเี่ กดิ เพราะเหตนุ น้ั นเี้ รากลา่ ววา่ เปน็ การพรากออก แหง่ พยาบาท. ภิกษุท้ังหลาย อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการ ถึงวิหิงสา จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เล่ือมใส ย่อม ไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในวิหิงสา แต่เมื่อเธอมนสิการถึง อวิหิงสา จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในอวิหิงสา จิตของเธอนั้นช่ือว่าเป็นจิตดำาเนิน ไปดแี ลว้ อบรมดแี ลว้ ตง้ั อยดู่ แี ลว้ หลดุ พน้ ดแี ลว้ พรากออก ดแี ลว้ จากวหิ งิ สา อาสวะ ทกุ ข์ และความเรา่ รอ้ นเหลา่ ใด ยอ่ ม เกดิ เพราะวหิ งิ สาเปน็ ปจั จยั เธอหลดุ พน้ แลว้ จากอาสวะ ทกุ ข์ และความเร่าร้อนเหล่าน้ัน เธอย่อมไม่เสวยเวทนาท่ีเกิด เพราะเหตุน้ัน นเ้ี รากลา่ ววา่ เปน็ การพรากออกแหง่ วหิ ิงสา. ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหน่ึง เม่ือภิกษุมนสิการ ถึงรูปท้ังหลาย จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เล่ือมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในรูปท้ังหลาย แต่เมื่อเธอ ๑๖๕
พุทธวจน-หมวดธรรม มนสกิ ารถงึ อรปู จติ ของเธอย่อมแลน่ ไป ยอ่ มเลอ่ื มใส ยอ่ ม ตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในอรูป จิตของเธอน้ันชื่อว่าเป็นจิต ดำาเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ต้ังอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากรูปทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์ และความ เรา่ รอ้ นเหลา่ ใด ยอ่ มเกดิ เพราะรปู เปน็ ปจั จยั เธอหลดุ พน้ แลว้ จากอาสวะ ทกุ ข์ และความเรา่ รอ้ นเหลา่ นนั้ เธอยอ่ มไมเ่ สวย เวทนาทเ่ี กดิ เพราะเหตนุ น้ั นเ้ี รากลา่ ววา่ เปน็ การพรากออก แหง่ รปู ทง้ั หลาย. ภิกษุท้ังหลาย อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการ ถงึ สกั กายะ จติ ของเธอยอ่ มไมแ่ ลน่ ไป ยอ่ มไมเ่ ลอื่ มใส ยอ่ ม ไม่ตั้งอยู่ ย่อมไมน่ ้อมไปในสกั กายะ แตเ่ ม่อื เธอมนสิการถึง ความดบั แหง่ สกั กายะ จติ ของเธอยอ่ มแลน่ ไป ยอ่ มเลอื่ มใส ยอ่ มตง้ั อยู่ ยอ่ มนอ้ มไปในความดบั แหง่ สกั กายะ จติ ของเธอ นั้นช่ือว่าเป็นจิตดำาเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากสักกายะ อาสวะ ทุกข์ และความเรา่ รอ้ นเหลา่ ใด ยอ่ มเกดิ เพราะสกั กายะเปน็ ปจั จยั เธอหลดุ พน้ แลว้ จากอาสวะ ทกุ ข์ และความเรา่ รอ้ นเหลา่ นนั้ เธอย่อมไม่เสวยเวทนาท่ีเกิดเพราะเหตุนั้น น้ีเรากล่าวว่า เปน็ การพรากออกแหง่ สกั กายะ. ๑๖๖
เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความเพลนิ ในกามกด็ ี ความเพลนิ ใน พยาบาทก็ดี ความเพลนิ ในวหิ งิ สากด็ ี ความเพลนิ ในรูปก็ดี ความเพลินในสักกายะก็ดี ย่อมไม่บังเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะ ความเพลินในกามก็ดี ความเพลินในพยาบาทก็ดี ความ เพลินในวิหิงสาก็ดี ความเพลินในรูปก็ดี ความเพลินใน สกั กายะกด็ ี ไมบ่ งั เกดิ ขนึ้ ภกิ ษนุ เ้ี รากลา่ ววา่ เปน็ ผไู้ มม่ อี าลยั ตดั ตณั หาไดแ้ ล้ว คลายสังโยชน์ไดแ้ ลว้ ทาำ ท่สี ุดทกุ ข์ไดแ้ ล้ว เพราะละมานะไดโ้ ดยชอบ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธาตทุ ่ีพึงพรากได้ ๕ ประการนแ้ี ล. ๑๖๗
๑๖๘
ภพ ๓ - คติ ๕ ๑๖๙
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี ภพ ๓ ๕7 -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/๕๒/๙๒. ภกิ ษุทั้งหลาย ภพ1 เปน็ อย�่ งไรเล่�. ภกิ ษุทงั้ หลาย ภพทง้ั หลาย ๓ อยา่ ง เหลา่ นค้ี อื ก�มภพ รูปภพ อรูปภพ.2 ภิกษทุ ั้งหลาย น้เี รยี กว่� ภพ. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ภพ ย่อมมี เพราะความกอ่ ข้นึ พรอ้ มแห่งอุปาทาน ความดับไมเ่ หลอื แหง่ ภพ ย่อมมี เพราะความดบั ไมเ่ หลือแห่งอปุ าทาน มรรคอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง เปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ ึงความดับไม่เหลือแหง่ ภพ ไดแ้ ก่ส่งิ เหลา่ นค้ี ือ ความเหน็ ชอบ ความดำาริชอบ การพูดจาชอบ การทำาการงานชอบ การเลย้ี งชวี ิตชอบ ความพากเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ๑. พ สถ�นท่ีอันวิญญ�ณใช้ต้ังอ�ศัยเพ่ือเกิดข้ึน หรือเจริญงอกง�มต่อไป. ดเู พม่ิ เตมิ ทต่ี ง้ั อ�ศยั ของวญิ ญ�ณ ๑๘ ตรสั พเปรยี บกบั ดนิ วญิ ญ�ณเปรยี บ กบั สว่ นของพชื เชน่ เมลด ทส่ี �ม�รถเจรญิ งอกง�มตอ่ ไปได้ . ก�ม พ ทเ่ี กดิ อนั อ�ศยั ดนิ น�ำ้ ไ ลม รปู พ สถ�นทเ่ี กดิ อนั อ�ศยั สง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ในสว่ นละเอยี ด อรปู พ สถ�นทเ่ี กดิ อนั อ�ศยั สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชร่ ปู . ๑๗๐
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี คว�มมีขน้ึ แห่งภพ (นยั ท่ี 1) ๕8 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๗/๕ ๖. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ‘ภพ–ภพ’ ดังน้ี ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท์ ถ้ากรรมมกี ามธาต1ุ เป็นวบิ าก จักไม่ไดม้ ี แล้วไซร้ ก�มภพ จะพึงปรากฏได้หรือ. ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจา้ ขา้ . อานนท์ ดว้ ยเหตนุ แี้ หละ กรรมจงึ เปน็ ผนื น� (กมมฺ เขตฺต) วิญญ�ณเป็นพืช (วิ ฺ าณ พีช) ตัณห�เป็นย�งของ พืช (ตณฺหา สิเนโห) วิญญ�ณของสัตว์ท้ังหล�ย ที่มีอวิชช� เป็นเครื่องก้ัน มีตัณห�เป็นเคร่ืองผูก ตั้งอยู่แล้วด้วย ธ�ตุช้ันทร�ม ก�รบังเกิดข้ึนในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอ�ก�รอย่�งนี้ (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหาส ฺโ ชนาน หนี าย ธาตยุ า วิ ฺ าณ ปตฏิ ฺ ิต เอว อายตึ ปุนพภฺ วาภนิ ิพพฺ ตฺติ โหต)ิ . อานนท์ ถ้ากรรมมีรูปธาตุ2 เป็นวิบาก จักไม่ได้มี แล้วไซร้ รปู ภพ จะพงึ ปรากฏไดห้ รอื . ไม่พงึ ปรากฏเลย พระเจา้ ข้า. ๑. ก�มธ�ตุ ธ�ตุดิน ธ�ตุนำ�้ ธ�ตุลมและธ�ตุไ . ดูเพ่มิ เติม ไทย นิท�น. สำ. ๑๖ ๑ ๘ ๓๕๕ ๖. ผรู้ วบรวม . รูปธ�ตุ ส่งิ ท่เี ป็นรูปในส่วนละเอียด. ดูเพ่มิ เติม มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มอี นิ ทรยี ไ์ มบ่ กพรอ่ ง ไทย ส.ี ท.ี ๓๓ . ผรู้ วบรวม ๑๗๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม อานนท์ ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อน� วิญญ�ณเป็นพืช ตัณห�เป็นย�งของพืช วิญญ�ณ ของสัตว์ท้ังหล�ย ท่ีมีอวิชช�เป็นเคร่ืองก้ัน มีตัณห�เป็น เครอ่ื งผกู ตงั้ อยแู่ ลว้ ดว้ ยธ�ตชุ นั้ กล�ง (มชฌฺ มิ าย ธาตยุ า) ก�ร บงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ ่อไป ยอ่ มมไี ด้ ด้วยอ�ก�รอย�่ งน้ี. อานนท์ ถ้ากรรมมีอรูปธาตุ1เป็นวิบาก จักไม่ได้มี แล้วไซร้ อรูปภพ จะพงึ ปรากฏไดห้ รือ. ไมพ่ ึงปรากฏเลย พระเจ้าขา้ . อานนท์ ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นเน้ือน� วิญญ�ณเป็นพืช ตัณห�เป็นย�งของพืช วิญญ�ณ ของสัตว์ทั้งหล�ย ท่ีมีอวิชช�เป็นเคร่ืองกั้น มีตัณห�เป็น เครอ่ื งผูก ต้ังอยแู่ ล้วดว้ ยธ�ตุช้ันประณตี (ปณีตาย ธาตุยา) ก�รบงั เกดิ ขน้ึ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยอ�ก�รอย�่ งน.้ี อานนท์ ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยอ�ก�รอย�่ งนแ้ี ล. ๑. อรูปธ�ตุ ส่ิงท่ีไม่ใช่รูป เป็นน�มธรรม เช่น เวทน� สัญญ� สังข�ร. ผไู้ ดส้ ม�ธริ ะดบั อ�ก�ส�นญั จ�ยตนะขน้ึ ไป ๑๗๒
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี คว�มมีขน้ึ แหง่ ภพ (นยั ท่ี ๒) ๕9 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๘๘/๕ ๗. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ‘ภพ–ภพ’ ดังน้ี ภพ ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ ไร พระเจา้ ขา้ . อานนท์ ถา้ กรรมมกี ามธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ ไซร้ ก�มภพ จะพึงปรากฏได้หรือ. ไมพ่ งึ ปรากฏเลย พระเจา้ ข้า. อานนท์ กรรมจงึ เปน็ ผนื น� (กมมฺ เขตตฺ ) วญิ ญ�ณ เปน็ พชื (วิ ฺ าณ พชี ) ตณั ห�เปน็ ย�งของพชื (ตณหฺ า สเิ นโห) คว�มเจตน�กด็ ี คว�มปร�รถน�กด็ ี ของสตั วท์ ง้ั หล�ย ทมี่ ี อวิชช�เป็นเครื่องกั้น มีตัณห�เป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้ว ดว้ ยธ�ตชุ นั้ ทร�ม ก�รบงั เกดิ ขนึ้ ในภพใหมต่ อ่ ไป ยอ่ มมไี ด้ ด้วยอ�ก�รอย่�งนี้ (อวิชฺชานีวรณาน สตฺตาน ตณฺหาส ฺโ ชนาน หนี าย ธาตุยา เจตนา ปตฏิ ฺ ิตา ปตฺถนา ปตฏิ ฺ ิตา เอว อายตึ ปนุ พภฺ วา ภินพิ ฺพตตฺ ิ โหติ). อานนท์ ถา้ กรรมมรี ปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ล้ว ไซร้ รูปภพ จะพงึ ปรากฏได้หรอื . ไมพ่ งึ ปรากฏเลย พระเจ้าขา้ . ๑๗๓
พุทธวจน-หมวดธรรม อานนท์ ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นเน้ือน� วิญญ�ณเป็นพืช ตัณห�เป็นย�งของพืช คว�มเจตน�ก็ดี คว�มปร�รถน�ก็ดีของสัตว์ทั้งหล�ย ที่มีอวิชช�เป็น เคร่ืองก้ัน มีตัณห�เป็นเครื่องผูก ตั้งอยู่แล้วด้วยธ�ตุ ชั้นกล�ง (มชฺฌิมาย ธาตุยา) ก�รบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ยอ่ มมไี ด้ ดว้ ยอ�ก�รอย�่ งนี.้ อานนท์ ถา้ กรรมมอี รปู ธาตเุ ปน็ วบิ าก จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ ไซร้ อรูปภพ จะพึงปรากฏไดห้ รือ. หามิได้ พระเจ้าข้า. อานนท์ ด้วยเหตุน้ีแหละ กรรมจึงเป็นเนื้อน� วิญญ�ณเป็นพืช ตัณห�เป็นย�งของพืช คว�มเจตน�ก็ดี คว�มปร�รถน�กด็ ขี องสตั วท์ ง้ั หล�ย ทม่ี อี วชิ ช�เปน็ เครอื่ ง กนั้ มตี ณั ห�เปน็ เครอ่ื งผกู ตง้ั อยแู่ ลว้ ดว้ ยธ�ตชุ นั้ ประณตี (ปณีตาย ธาตุยา) ก�รบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ดว้ ยอ�ก�รอย่�งน.ี้ อานนท์ ภพ ยอ่ มมีได้ ด้วยอ�ก�รอย�่ งนแ้ี ล. ๑๗๔
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด อนาคามี เคร่อื งนำ�ไปสภู่ พ ๖0 -บาลี ข ฺ . ส.ํ ๗/๒๓๓/๓๖๘. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ พระองคต์ รสั วา่ ‘เครอ่ื งนาำ ไปสภู่ พ เครอื่ ง นาำ ไปสภู่ พ’ ดงั น้ี กเ็ ครอื่ งนาำ ไปสภู่ พ เปน็ อยา่ งไร และความดบั ไมเ่ หลอื ของเครอื่ งนาำ ไปสภู่ พ เปน็ อย่างไร พระเจา้ ข้า. ราธะ ฉนั ทะ (ความพอใจ) กด็ ี ร�คะ (ความกาำ หนดั ) ก็ดี นันทิ (ความเพลิน) ก็ดี ตัณห� (ความอยาก) ก็ดี อุป�ยะ (ความเข้าถึง) และอุป�ท�น (ความถือมั่น) อันเป็น เครื่องตั้งทับ เครื่องเข้าไปอาศัย และเคร่ืองนอนเนื่องแห่ง จิตก็ดีใดๆ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวญิ ญาณ สงิ่ เหล�่ น้ี เร�เรยี กว�่ ‘เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พ’ คว�มดับไม่เหลือของเคร่ืองนำ�ไปสู่ภพ มีได้ เพร�ะคว�มดับไม่เหลือของฉันทะ ร�คะ นันทิ ตัณห� อปุ �ยะ และอปุ �ท�นในรปู ในเวทนา ในสัญญา ในสงั ขาร ทง้ั หลาย และในวิญญาณเหลา่ นนั้ นนั่ เอง. ๑๗๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี คว�มเกดิ ขึ้นแหง่ ภพใหม่ (นยั ที่ 1) ๖1 -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/๘๐/ ๔๙. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใด อยู่ ย่อมดำาริ (ปกปฺเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อมมีใจฝังลงไป (อนุเสติ) ในส่ิงใดอยู่ ส่ิงน้ันย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่ แห่งวิญญาณ เม่ืออารมณ์มีอยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่ง วญิ ญาณยอ่ มมี เมอ่ื วญิ ญาณนน้ั ตง้ั ขน้ึ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ เคร่ืองนำ�ไปสู่ภพใหม่ (นติ) ย่อมมี เม่อื เคร่อื งนำาไปส่ภู พ ใหมม่ ี การมาการไป (อาคตคิ ต)ิ ยอ่ มมี เมอ่ื การมาการไปมี การเคลอ่ื นและการบงั เกดิ ยอ่ มมี เมอ่ื มกี ารเคลอ่ื นและการ บงั เกดิ มี ชาตชิ รามรณะ โสกะปรเิ ทวะทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะ ทง้ั หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ข์ ทง้ั สน้ิ น้ีย่อมมี ดว้ ยอาการอยา่ งนี.้ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงส่ิงใด ย่อม ไม่ดำาริถึงสิ่งใด แต่เขายังมีใจปักลงไปในสิ่งใดอยู่ สิ่งน้ัน ยอ่ มเปน็ อารมณ์ เพอ่ื การตง้ั อยแู่ หง่ วญิ ญาณ เมอ่ื อารมณ์ มอี ยู่ ความตั้งข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี เม่ือวิญญาณน้ัน ตง้ั ขน้ึ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ เครอ่ื งนาำ ไปสภู่ พใหม่ ยอ่ มมี เมอ่ื เคร่ืองนาำ ไปสภู่ พใหมม่ ี การมาการไป (อาคตคิ ต)ิ ย่อมมี ๑๗๖
เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี เมื่อการมาการไปมี การเคล่ือนและการบังเกิดย่อมมี เมอ่ื การเคลอ่ื นและการบงั เกดิ มี ชาตชิ รามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะท้ังหลาย จึงเกิดข้ึนครบถ้วนต่อไป ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ท้ังสิ้นน้ีย่อมมี ด้วยอาการ อยา่ งนี้. ๑๗๗
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด อนาคามี คว�มเกดิ ขนึ้ แห่งภพใหม่ (นยั ท่ี ๒) ๖๒ -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/๗๙/ ๔๗. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถา้ บคุ คลยอ่ มคดิ (เจเตต)ิ ถงึ สงิ่ ใดอยู่ ยอ่ มดาำ ริ (ปกปเฺ ปต)ิ ถงึ สง่ิ ใดอยู่ และยอ่ มมจี ติ ปกั ลงไป (อนเุ สต)ิ ในสิ่งใดอยู่ สิ่งน้ันย่อมเป็นอารมณ์ เพ่ือการต้ังอยู่แห่ง วญิ ญาณ เมอ่ื อารมณม์ อี ยู่ ความตง้ั ขนึ้ เฉพาะแหง่ วญิ ญาณ ย่อมมี เม่ือวิญญาณน้ัน ต้ังขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ก�รก�้ วลงแหง่ น�มรปู (นามรปู สสฺ อวกกฺ นตฺ )ิ ยอ่ มมี เพราะมี นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเป็น ปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็น ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมภี พเปน็ ปจั จยั จงึ มชี าติ เพราะมชี าตเิ ปน็ ปจั จยั ชรา มรณะ โสกะปรเิ ทวะทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทงั้ หลาย จงึ เกดิ ขึ้นครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมี ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมไม่คิดถึงสิ่งใด ย่อม ไม่ดำาริถึงสิ่งใด แต่เขายังมีใจฝังลงไป (คือมีอนุสัย) ในสิ่งใด อยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพ่ือการตั้งอยู่แห่งวิญญาณ ๑๗๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 544
Pages: