47 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั (ชว่ั โมง) คะแนน (100) - คาํ ที่มี ฤ ฤๅ 10 - คําที่ใช้ บัน บรร 20 - คาํ ท่ใี ช้ รร (ร หัน) - คําทมี่ พี ยัญชนะที่ไม่ออกเสยี ง - คาํ พอ้ ง - คาํ ภาษาไทยถ่นิ - ระบขุ ้อคดิ ท่ีได้จากการอ่าน วรรณกรรมเพื่อนาํ ไปใชใ้ ชวี ิต ประจาํ วัน - ท่องจาํ บทอาขยานตามท่ีกําหนด และบทร้อยกรองท่ีมคี ุณค่าตาม ความสนใจ สอบกลางปี 1 35 4 ลูกแกะของ ท 1.1 - การอา่ นออกเสียงและการบอก ซาฟยี ะห์ ป. 3/1 ความหมายของคาํ คําคล้องจอง ป. 3/2 ขอ้ ความ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ป. 3/4 ที่ประกอบด้วยคําพนื้ ฐาน รวมทั้งคาํ ป. 3/5 ทเี่ รยี นรู้ในกลุม่ สาระการเรยี นรู้อ่นื ป. 3/9 ประกอบด้วย ท 2.1 คาํ ทีม่ ีเคร่อื งหมายทัณฑฆาต ป. 3/1 - ลําดับเหตกุ ารณ์และคาดคะเน ป. 3/5 เหตุการณจ์ ากเรอ่ื งที่อ่านโดยระบุ ป. 3/6 เหตุผลประกอบ ท 3.1 - สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากเรื่องท่ี ป. 3/1 อ่านเพื่อนําไปใชใ้ นชวี ิตประจําวนั ป. 3/2 - มารยาทในการอ่าน เช่น ไม่อ่าน ป. 3/6 เสียงดังรบกวนผอู้ ่ืน ไม่เลน่ กัน ท 4.1 ขณะท่อี า่ น ป. 3/1 - คดั ลายมอื ตวั บรรจงเตม็ บรรทัด ป. 3/2 ตามรปู แบบการเขยี นอกั ษรไทย ท 5.1 - เขยี นเรอ่ื งตามจนิ ตนาการ ป. 3/1 - มมี ารยาทในการเขียน เชน่ เขยี น ป. 3/3 ดว้ ยลายมือบรรจง เป็นระเบียบ เขยี นสะกดคําถูกต้อง - เล่ารายละเอยี ดเก่ยี วกับเรอ่ื งท่ฟี ง๎ และดูท้ังทเ่ี ปน็ ความรู้และความ
48 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 5 กาเหวา่ ท่กี ลาง ท 1.1 บันเทงิ 35 กรงุ ป. 3/1 - บอกสาระสําคัญจากการฟ๎งและ 20 ป. 3/2 การดู ป. 3/7 - มมี ารยาทในการฟง๎ การดู และ ป. 3/8 การพูด ป. 3/9 - คาํ ที่มเี ครื่องหมายทณั ฑฆาต ท 2.1 - คาํ นาม ป. 3/2 - คําสรรพนาม ป. 3/4 - คาํ กรยิ า ป. 3/6 - คาํ วเิ ศษณ์ ท 3.1 - ระบุข้อคดิ ท่ีไดจ้ ากการอ่าน ป. 3/3 วรรณกรรมเพ่ือนําไปใช้ใน ป. 3/4 ชีวิตประจาํ วัน ป. 3/6 - แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับ ท 4.1 วรรณคดีทีอ่ ่าน ป. 3/1 ป. 3/2 - การอ่านออกเสียงและการบอก ป. 3/4 ความหมายของคาํ คาํ คล้องจอง ท 5.1 ขอ้ ความ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ป. 3/2 ที่ประกอบด้วยคําพื้นฐาน รวมทัง้ คํา ป. 3/3 ที่เรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่นื ประกอบดว้ ย - คาํ ท่ใี ช้ อํา และอมั - คาํ ทใ่ี ช้ ใ_ ไ_ ไ_ย - อา่ นข้อเขียนเชิงอธิบายและปฏบิ ตั ิ ตามคําสง่ั หรือข้อแนะนาํ - อธบิ ายความหมายของขอ้ มูลจาก แผนภาพ แผนท่ี และแผนภูมิ - มารยาทในการอ่าน เชน่ ไม่อ่าน เสียงดงั รบกวนผ้อู ่นื ไม่เลน่ กัน ขณะทอี่ ่าน ไมท่ ําลายหนงั สือ - เขียนบรรยายเก่ยี วกับสงิ่ ใดส่ิงหน่งึ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน - การเขยี นคาํ อวยพร - เขยี นจดหมายลาครู - มีมารยาทในการเขียน เช่น เขยี น ดว้ ยลายมือบรรจง เป็นระเบียบ
49 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ เรียนรู้/ตัวช้วี ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 6 ธนูดอกไม้กบั ท 1.1 เขยี นสะกดคําถูกต้อง 30 - ต้ังคาํ ถามและตอบคาํ ถามเกี่ยวกบั 20 เรื่องท่ีฟ๎งและดู เจ้าชายนอ้ ย ป. 3/1 - พดู แสดงความคิดเห็นและ ความรู้สึกจากเรื่องที่ฟ๎งและดู ป. 3/2 - มีมารยาทในการฟ๎ง การดู และ ป. 3/3 การพดู ป. 3/9 - คําท่ีใช้ อาํ และอัม - คาํ ที่ใช้ ใ_ ไ_ ไ_ย ท 2.1 - ประโยคเพ่ือการสื่อสาร - เพลงพน้ื บา้ นและเพลงกลอ่ ม ป. 3/3 เด็ก เพื่อปลูกฝง๎ ความชื่นชม วัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน ป. 3/5 - แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั วรรณคดีท่ีอ่าน ป. 3/6 - การอ่านออกเสียงและการบอก ท 3.1 ความหมายของคํา คําคล้องจอง ขอ้ ความ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ป. 3/5 ที่ประกอบดว้ ยคําพื้นฐาน รวมทง้ั คํา ท่เี รยี นรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรูอ้ ่ืน ป. 3/6 - ต้งั คาํ ถามและตอบคาํ ถามเชิง เหตผุ ลเกย่ี วกับเรื่องที่อา่ น ท 4.1 - มารยาทในการอา่ น เช่น ไม่อ่าน เสียงดงั รบกวนผอู้ น่ื ไม่เล่นกัน ป. 3/1 ขณะท่ีอ่าน ไมท่ ําลายหนงั สือ - เขยี นบนั ทกึ ประจําวนั ป. 3/3 - เขียนเรอ่ื งตามจนิ ตนาการ - มมี ารยาทในการเขียน เช่น เขยี น ท 5.1 ด้วยลายมอื บรรจง เปน็ ระเบยี บ เขยี นสะกดคาํ ถูกต้อง ป. 3/1 - พดู ส่อื สารได้ชัดเจนตรงตาม วัตถุประสงค์ - มมี ารยาทในการฟ๎ง การดู และ การพูด - สาํ นวน - ใชพ้ จนานุกรมคน้ หาความหมาย
50 ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวช้ีวดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) ของคาํ - เขยี นสะกดคําและบอกความหมาย ของคํา - การใช้เคร่อื งหมายต่างๆ - ระบุขอ้ คิดท่ีได้จากการอ่าน วรรณกรรมเพ่ือนาํ ไปใชใ้ น ชีวิตประจาํ วัน สอบปลายปี - 30 รวมตลอดทั้งปี 200 100
51 คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ าพน้ื ฐาน ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย จานวน 4.0 หนว่ ยกติ ท 14101 ภาษาไทย เวลาเรยี น 160 ชั่วโมง (4 ช่ัวโมง/สัปดาห์) มีความสามารถในการอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ร้อยกรอง คําท่ีมี ร ล ว เป็นพยัญชนะต้น ตัวควบกลํ้า อักษรนํา คําประสม อักษรย่อ เคร่ืองหมายวรรคตอน ตํานาน สุภาษิต อ่านจับใจความ เร่ืองส้ัน เรื่องเล่าจากประสบการณ์ แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากการอ่าน คาดคะเนจากเร่ืองที่อ่าน โดยมีเหตุผลประกอบ สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน ไปใช้ในชีวิตประจําวัน คัดลายมือตัวเต็มบรรทัด และคร่งึ บรรทัดตามรูปแบบการเขยี นอักษรไทย เขยี นคาํ ขวญั คําแนะนํา แผนภาพโครงเรื่อง และแผนภาพ ความคิดไปพัฒนาตนเอง เขียนย่อความจากนิทาน ความเรียง ประกาศ คําสอน เขียนจดหมายถึงเพื่อน บิดา มารดา เขียนบันทึกความรู้หรือเร่ืองราวจากจินตนาการ จําแนกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นจากการฟ๎ง การดู การตง้ั คําถามตอบคําถามจากการฟ๎ง การดจู ากส่ิงตา่ งๆเชน่ เรอ่ื งเลา่ บทความส้ันๆ ข่าว เหตุการณ์ ประจําวนั โฆษณา หรือเรื่องราวจากบทเรียนในกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทยและกลมุ่ สาระอ่ืนๆ สามารถ สะกดคํา และบอกความหมายจากคําแม่ ก กา มาตราตัวสะกด การผันอักษร คํา ชนิดของคํา การใช้ พจนานุกรม ประโยค บทร้อยกรอง สํานวน สุภาษิต คําพังเพย ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาถิ่น การอธบิ ายระบขุ อ้ คดิ จากการอ่านนทิ านพืน้ บ้าน นิทานคติธรรม เพลงพนื้ บา้ น ทอ่ งจําบทอาขยาน บทรอ้ ยกรองตามทก่ี าํ หนดและความสนใจ ใช้ทักษะกระบวนการอ่าน คิด เขียน ฟ๎ง ดู และพูด เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถ ส่ือสารนําความรู้จากทักษะ ด้านภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจําวัน เห็นคุณค่าด้านภาษาไทย รักและหวงแหน ภาษาไทย มีคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มท่ีเหมาะสม รหัสตัวช้ีวัด ท 1.1 ป.4/1,ป.4/2,ป.4/3,ป.4/4,ป.4/5,ป.4/6,ป.4/7, ป.4/8 ท 2.1 ป.4/1,ป.4/2,ป.4/3,ป.4/4,ป.4/5,ป.4/6,ป.4/7,ป.4/8 ท 3.1 ป.4/1,ป.4/2,ป.4/3,ป.4/4,ป.4/5,ป.4/6 ท 4.1 ป.4/1,ป.4/2,ป.4/3,ป.4/4,ป.4/5,ป.4/6,ป.4/7 ท 5.1 ป.4/1,ป.4/2,ป.4/3,ป.4/4 รวมทั้งหมด 33 ตัวชี้วดั
52 โครงสรา้ งรายวชิ า รหสั วิชา ท 14101 รายวิชา ภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย จานวน 4.0 หน่วยกติ ระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 เวลา 160 ชั่วโมง/ปี สัดส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก เรียนรู้/ตวั ชี้วดั (ชว่ั โมง) คะแนน 1 มาตรา ก กา... ท 4.1 ป.4/1 คาํ ทไ่ี มม่ ตี ัวสะกดทุกคําจดั เป็นคาํ ใน 41 จาํ ไว้หนาไม่มีตัวสะกด มาตรา ก กา 2 มาตราตวั สะกด... ท 4.1 ป.4/1 ตัวสะกดเปน็ ส่วนประกอบหน่ึงของคํา 4 1 มีทงั้ หมด 8 มาตรา ท 4.1 ป.4/1 เสียงตัวสะกดมี 8 มาตรา บางมาตรามี 4 2 ท 4.1 ป.4/1 พยัญชนะท่เี ป็นตวั สะกดตวั เดยี ว บาง 4 2 3 ไตรยางศ.์ ..สรา้ งคํา มาตรามีพยญั ชนะท่ีเป็นตวั สะกดหลาย ท 4.1 ป.4/1 ตวั 4 2 4 คาํ เป็น คาํ ตาย... ท 4.1 ป.4/1 4 2 ดงู ่ายไมย่ าก พยัญชนะไทย 44 ตวั แบ่งตามระดบั เสียงของพยญั ชนะไดเ้ ป็นอกั ษรสูง อกั ษร 5 วรรณยกุ ต์...สง่ิ สําคัญ กลาง และอักษรตํา่ ซง่ึ เป็นหลักเกณฑ์ ผนั อักษร หนึ่งทใี่ ชใ้ นการผันอักษร 6 คําพ้อง... คาํ ท่ีไมม่ ีตวั สะกดและประสมสระ ต้องพิจารณา เสียงยาวรวมทง้ั คําทป่ี ระสมสระ อํา ใ- ไ- เ-า กบั คําที่มีตัวสะกดอยู่ในมาตรา กง กม เกย เกอว กน ทกุ คําเรยี กวา่ คําเปน็ ส่วนคาํ ท่ไี ม่มีตัวสะกดและประสมสระ เสียงสัน้ กบั คําที่มตี วั สะกดอยใู่ นมาตรา กก กด กบ ทกุ คาํ เรียกวา่ คําตาย วรรณยุกต์มที ั้งเสียงและรปู คาํ ทุกคํามี เสียงวรรณยุกตแ์ ม้จะไมม่ รี ูปวรรณยกุ ต์ ปรากฏ การผนั คาํ ตามเสียงวรรณยกุ ต์ จะทําให้คาํ เดิมมีเสียงเปลยี่ นไป และ ความหมายกเ็ ปลี่ยนไปดว้ ย คาํ พ้องมีทั้งคําที่เขยี นเหมอื นกนั และอา่ น ออกเสยี งเหมือนกัน การฝึกอ่านและเขยี น เป็นประจําจะทําให้อา่ น เขยี น และใช้คํา ตา่ ง ๆ ส่ือสารได้ถูกต้อง
53 ท่ี ช่อื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั เรยี นรู้/ตัวช้วี ดั (ชั่วโมง) คะแนน 7 อ่านเขียนอย่างไร...ตอ้ ง ท 4.1 ป.4/3 พจนานกุ รมใชอ้ า้ งอิงการเขยี นสะกดคํา 4 2 4 2 ใชพ้ จนานุกรม การอ่านคํา ความหมายของคํา รวมทง้ั 2 3 ชนดิ และที่มาของคํา 3 2 2 8 ภาษาไทยมาตรฐาน ท 4.1 ป.4/7 ภาษาถนิ่ เปน็ ภาษาท่ีใช้ส่ือสารเฉพาะ 1 2 ภาษาถน่ิ ...บอกความ ทอ้ งถน่ิ คําท่ีมคี วามหมายอยา่ งเดียวกัน 2 เปน็ ไทย อาจใชค้ ําแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะถนิ่ 4 3 การเข้าใจความหมายของภาษาถนิ่ 1 ทาํ ให้การส่ือสารกบั คนในท้องถน่ิ ดีข้นึ 9 อา่ นได้คลอ่ ง... ท 1.1 ป.4/1, - การอ่านบทร้อยแก้วไดถ้ ูกต้องชัดเจน ตอ้ งรวู้ ธิ ี ป.4/2, จะทําให้การอา่ นมีประสิทธิภาพ ผ้อู ่าน ป.4/4, สามารถจับใจความได้ถูกต้อง 10 เขยี นชาํ นาญ... ป.4/8 - การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรองต้องแบง่ งานสร้างสรรค์ จังหวะให้ถกู ตอ้ ง การอา่ นตอ้ งมีเสยี งสงู ท 3.1 ป.4/1 ตาํ่ หนกั เบา เอ้ือนเสยี งเพอื่ ความไพเราะ - การแยกข้อเทจ็ จรงิ และข้อคิดเห็นได้ ท 2.1 ป.4/1, อยา่ งถูกต้อง จะชว่ ยให้เปน็ คนมเี หตุผล ป.4/2, ไม่หลงเช่อื สง่ิ ต่าง ๆ ไดง้ า่ ย ป.4/3, - การมมี ารยาทในการอ่าน ชว่ ยให้เปน็ ป.4/4, ผู้อา่ นท่ีดี และการอ่านมปี ระสทิ ธิภาพ ป.4/5, ป.4/6, - การคดั ลายมือได้ถกู ต้องตามหลกั การ ป.4/7, เขยี นตวั อักษรไทยและสวยงามช่วยให้ ป.4/8 อ่านงา่ ย และเปน็ การเชดิ ชูภาษาไทย - การเขยี นแผนภาพโครงเร่ืองและ แผนภาพความคิด เปน็ การจัดขอ้ มลู อย่าง มรี ะบบ ทาํ ใหเ้ ข้าใจเรื่องราวได้ดียง่ิ ขน้ึ - การเขียนจดหมายถงึ เพ่ือนและบดิ า มารดา ควรใชภ้ าษาใหถ้ ูกต้องเหมาะสม - การเขยี นเรอื่ งตามจินตนาการเปน็ การ ฝกึ ความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ และ จินตนาการ - การมีมารยาทในการเขียนจะช่วยให้ การถา่ ยทอดความรู้ และความคดิ ของ ผเู้ ขยี นไปสู่ผู้อา่ นอย่างมีประสิทธภิ าพ
54 ที่ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก เรียนรู้/ตัวช้ีวัด (ช่ัวโมง) คะแนน 11 ฟง๎ ดู รูส้ นทนา...ภาษา ท 3.1 ป.4/2, - การพดู สรปุ ความจากการฟ๎งและดู เป็น 3 2 สอ่ื สาร ป.4/3, การพดู ใจความสําคัญของเรอ่ื ง ซ่งึ ผพู้ ดู 2 ป.4/4, ต้องฟ๎งและดูเร่ืองนน้ั อย่างต้ังใจ และมี ป.4/5, วจิ ารณญาณจงึ จะทําให้พดู สรุปความได้ดี ป.4/6 - การตงั้ คาํ ถามและตอบคําถามเชิง เหตุผลจากเรื่องที่ฟง๎ และดู ทําให้ วเิ คราะหค์ วามน่าเชอื่ ถือ และสรปุ ใจความสาํ คัญของเรอื่ งได้ 12 บทละครเรื่องเงาะปาุ ท 1.1 ป.4/3, บทละครเรื่อง เงาะปุา พระราชนิพนธใ์ น 8 2 ป.4/5, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ป.4/6, เจา้ อยูห่ ัว ป.4/7, มเี คา้ เรื่องจรงิ ของเงาะซาไก ซึ่งอาศยั อยู่ แถบจังหวดั พัทลงุ ในเนื้อเรื่องมีการใช้ ท 5/1 ป.4/2, ภาษากอ็ ยทเี่ ป็นภาษาเงาะด้วย ป.4/4 13 บทเห่กล่อมพระบรรทม ท 1.1 ป.4/3, บทเห่กลอ่ มพระบรรทม เห่เร่ืองจับระบํา 4 2 4 2 เห่เร่ืองจบั ระบํา ป.4/5, เปน็ ผลงานประพันธ์ของสุนทรภู่ เน้อื 4 2 ป.4/6, เรอ่ื งกล่าวถงึ นางเมขลากบั รามสรู ซึ่งเป็น ป.4/7 ตํานานการเกิดฟูาแลบ ฟูาร้อง และ ท 5.1 ป.4/1, ฟาู ผ่าตามความเชือ่ ของไทย ป.4/2, ป.4/4 14 คาํ ประพันธ์สภุ าษิต...ให้ ท 1.1 ป.4/3, ความดที ีเ่ รากระทาํ ไว้ จะทาํ ให้ผูอ้ ืน่ ข้อคิดสอนใจ ป.4/5, จดจําเราตลอดไป ป.4/6, ป.4/7 ท 5.1 ป.4/2, ป.4/4 15 เพลงพื้นบ้าน ท 5.1 ป.4/3 เพลงพื้นบา้ นจะใช้คําภาษาถิ่นเปน็ เนอ้ื รอ้ ง ซ่งึ เปน็ เอกลักษณ์ประจําถิ่น 16 บทอาขยาน ท 5.1 ป.4/4 การทอ่ งจําบทอาขยาน นอกจากจะช่วย 2 2 ฝกึ ความจาํ แลว้ ยังเป็นการปลูกฝ๎ง 1 10 \\ ความคดิ และคําสอนดี ๆ ใหฝ้ ๎งแน่นอยใู่ น ตัวเราดว้ ย สอบกลางปี
55 ท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก เรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 1 คํานาม...ใชเ้ รียกตามช่ือ ท 4.1 ป.4/2 คําทใ่ี ช้เรยี กช่ือคน พืช สัตว์ สง่ิ ของ 4 สถานที่และส่ิงตา่ ง ๆ จัดเปน็ คํานาม 2 2 คําแทนช่อื ...น้ี ท 4.1 ป.4/2 คําท่ีใช้เรียกแทนคาํ นามในการสนทนา 4 2 คอื สรรพนาม ท 4.1 ป.4/2 จัดเปน็ คําสรรพนาม ซึง่ มีท้ังคําสรรพนาม 4 2 สําหรับใช้แทนผพู้ ดู ผ้ฟู ๎ง และผู้ท่ีกลา่ วถึง 3 คาํ กรยิ า...สื่ออาการ คาํ สรรพนามชว่ ยให้การส่ือสารกระชับ เพราะไม่ต้องกลา่ วคาํ นามนัน้ ซ้าํ คําทีแ่ สดงอาการหรือการกระทําของนาม และสรรพนามซ่งึ เป็นประธานของประโยค เรียกวา่ คํากรยิ า คํากรยิ าบางคาํ มีใจความ สมบูรณใ์ นตัว ไมต่ ้องมีกรรมมาตอ่ ท้าย แต่ คํากรยิ าบางคําต้องมีกรรมมาตอ่ ทา้ ย จงึ จะได้ใจความสมบรู ณ์ 4 คําวิเศษณ.์ .. ท 4.1 ป.4/2 คําทท่ี าํ หน้าท่ขี ยายคาํ ตา่ ง ๆ ใหม้ ี 4 2 ขยายคาํ จําให้แมน่ ความหมายชัดเจนขึน้ เรียกวา่ คาํ วเิ ศษณ์ คาํ วเิ ศษณส์ ามารถขยายได้ทั้งคาํ นาม คาํ สรรพนาม คํากริยา และคําวิเศษณ์ 5 ภาษาไทยนา่ เรียน... ท 4.1 ป.4/4 ประโยคเกิดจากการนําคําหรือกล่มุ คาํ 4 2 ฝกึ เขยี นดว้ ยประโยค มาเรยี บเรียงใหไ้ ดใ้ จความเพื่อใชส้ อ่ื สาร 6 กลอนสี่...วรรคละ ท 4.1 ป.4/5 กลอนส่ีเป็นบทร้อยกรองท่ีมี 4 วรรค 4 2 4 2 ส่ีคํา จาํ ไดง้ า่ ย วรรคละ 4 คํา บทร้อยกรองจะมสี ัมผัส 4 2 ระหวา่ งวรรคและระหว่างบททาํ ให้เกดิ ความไพเราะ 7 คําขวัญเตือนใจ... ท 4.1 ป.4/5 คําขวญั เปน็ ถ้อยคําท่มี ีเสียงคลอ้ งจอง ใหท้ าํ ความดี ทาํ ใหไ้ พเราะ และมีความหมายกนิ ใจ สามารถจดจําได้งา่ ย 8 คาํ พงั เพยและสุภาษติ ... ท 4.1 ป.4/6 คาํ พังเพยและสภุ าษิตเปน็ สาํ นวนท่ใี ห้ ให้ขอ้ คิดสอนใจ ข้อคิด คตสิ อนใจในการดําเนินชีวติ ถอ้ ยคํามลี กั ษณะกระชบั กนิ ใจ ไพเราะ
56 ท่ี ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เรยี นรู้/ตัวชวี้ ดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 9 เขยี นชํานาญ... ท 2.1 ป.4/2, - การเขยี นส่อื สารต้องใช้คาํ ให้ถกู ต้อง 3 2 งานสรา้ งสรรค์ ป.4/4, เหมาะสม สามารถสื่อความหมาย ป.4/6, ได้ชดั เจน ป.4/7 - การเขียนยอ่ ความเปน็ การสรุปใจความ 3 สาํ คญั จากเรื่องที่อา่ น จะทําให้เขา้ ใจเนื้อ เรอ่ื งชัดเจน - การเขียนบนั ทกึ จากการศึกษาค้นควา้ 2 ชว่ ยให้มีความรู้และประสบการณ์ในการ เขยี นเพ่มิ มากขึ้น - การเขียนรายงานเป็นการนําเสนอข้อมลู 5 จากการศึกษาค้นคว้า การเขียนได้ถูกตอ้ ง ครบถ้วนจะทาํ ใหร้ ายงานมีความ น่าเชือ่ ถือ ผู้อ่านเขา้ ใจได้งา่ ย 10 ฟง๎ ดู รสู้ นทนา...ภาษา ท 3.1 ป.4/3, - การพดู แสดงความรู้ ความคิดเหน็ และ 4 2 ส่ือสาร ป.4/5, ความรู้สกึ เก่ยี วกับเรื่องที่ฟ๎งและดู ตอ้ ง 6 2 ป.4/6 พดู อย่างมเี หตุผล สภุ าพ และมีมารยาท จงึ จะเกดิ ประโยชน์ต่อผู้พูด และผู้ฟ๎ง 1 - การพดู รายงานเป็นการนาํ เสนอขอ้ มลู 6 ทไ่ี ดจ้ ากการศึกษาค้นควา้ อย่างถกู ต้องให้ ผฟู้ ๎งเขา้ ใจ ผู้พดู รายงานต้องมีทักษะใน การพูด การพูดรายงานน้ันจึงจะ สัมฤทธ์ิผล และได้รบั ประโยชน์อยา่ งเตม็ ท่ี - การมมี ารยาทในการฟง๎ การดู และการ พดู ทําให้ไดร้ ับความรู้ท่ีดี มีประโยชน์ใน การดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั 11 พระอภยั มณี ท 1.1 ป.4/3, เรื่องพระอภัยมณี เปน็ นิทานคาํ กลอน ตอน กาํ เนิดสดุ สาคร ป.4/5, ท่ีสุนทรภู่แต่งได้อยา่ งสนุกสนาน ป.4/6, เรือ่ งราวการผจญภยั ล้วนน่าต่ืนเตน้ ป.4/7 ชวนใหต้ ิดตาม และตนื่ ตาต่ืนใจไปกบั จินตนาการของกวี ท 5.1 ป.4/2, ป.4/4
57 ท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เรียนรู้/ตัวช้วี ัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) 12 นทิ านเทยี บสุภาษิตเรื่อง ท 1.1 ป.4/3, นิทานเทยี บสุภาษติ เร่ือง นาํ้ ผึ้งหยดเดียว 4 2 นาํ้ ผง้ึ หยดเดียวก่อเหตุ ป.4/5, กอ่ เหตุ แสดงถงึ สาเหตุเพยี งเลก็ น้อยท่ี ป.4/6, ทําใหเ้ กดิ เร่ืองราวใหญโ่ ตเพราะความ ป.4/7 ขาดสตยิ ั้งคดิ ท 5.1 ป.4/1, ป.4/2 13 นริ าศเดอื น ท 1.1 ป.4/3, นริ าศเดอื นของนายมี เปน็ วรรณคดี 62 ป.4/4, ทก่ี ลา่ วถึงประเพณไี ทยท้ัง 12 เดอื น ป.4/6, โดยบรรยายใหเ้ ห็นถึงวิถชี ีวิตและ ป.4/7 ความเป็นไทย ท 5.1 ป.4/2, ป.4/4 14 บทละครพูดคํากลอน ท 1.1 ป.4/3, บทละครพดู คํากลอนเร่ือง พระร่วง 62 เรื่อง พระรว่ ง ป.4/5, พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระ- ป.4/6, มงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั เปน็ วรรณคดที ี่มี ป.4/7 เนอ้ื หายกย่องวีรบุรษุ ปลูกฝ๎งความรกั ท 5.1 ป.4/1, ชาตแิ ละแสดงใหเ้ ห็น พลังของความ ป.4/2, สามัคคี ป.4/4 15 บทอาขยาน ท 5.1 ป.4/4 การทอ่ งจาํ บทอาขยาน นอกจากจะช่วย 2 2 ฝึกความจาํ แลว้ ยังเปน็ การปลูกฝง๎ ความคิดและคาํ สอนดี ๆ ให้ฝ๎งแนน่ อยู่ ในตวั เราดว้ ย สอบปลายปี - 30 รวมตลอดท้ังปี 160 100
58 คาอธบิ ายรายวชิ า รายวิชาพ้นื ฐาน ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย จานวน 4.0 หนว่ ยกิต ท 15101 ภาษาไทย เวลาเรียน 160 ชว่ั โมง (4 ชั่วโมง/สัปดาห์) ศกึ ษาความหมายของบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรอง คําที่มีพยัญชนะควบกล้ํา คําที่มีอักษรนํา คําท่ีมีตัว การันต์ อักษรยอ่ และเคร่อื งหมายวรรคตอน ขอ้ ความท่เี ป็นการบรรยายและพรรณนา ข้อความท่ีมีความหมาย โดยนัยการอ่านบทร้อยกรองเป็นทํานองเสนาะ การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ วรรณคดี ในบทเรียน บทความ บทโฆษณา งานเขียนประเภทโน้มน้าวใจ ข่าวและเหตุการณ์ประจําวัน การอ่านงานเขียนเชิงอธิบาย คําส่ัง ข้อแนะนํา และปฏิบัติตาม การใช้พจนานุกรม การใช้วัสดุอุปกรณ์ การอ่านฉลากยา คู่มือและเอกสาร ของโรงเรียนที่เก่ียวข้องกับนักเรียน ข่าวสารทางราชการ การอ่านหนังสือตามความสนใจ หนังสือท่ีนักเรียน สน ใ จ แ ล ะเ ห ม า ะ ส มกั บ วั ย ห นัง สื อ ที่ ค รูแ ล ะ นั ก เ รีย น กํ า ห น ดร่ ว ม กั น ม า ร ย า ท ใน ก า ร อ่ า น ฝึกคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด และการคัดลายมือตัวบรรจงคร่ึงบรรทัดตามรูปแบบการเขียนตัว อักษรไทย การเขียนสื่อสาร การเขียนคําขวัญ คําอวยพร คําแนะนํา และคําอธิบายแสดงข้ันตอน การนํา แผนภาพโครงเรื่องและแผนภาพความคิดไปพัฒนางานเขียน การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ ย่อความจาก นิทาน ความเรียงประเภทต่างๆ ประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์ จดหมาย คําสอน โอวาท คําปราศรัย การเขียนจดหมายถึงผู้ปกครองและญาติ การเขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น การกรอกแบบรายการ ใบฝากเงิน ธนาณัติ แบบฝากส่งพัสดุไปรษณียภัณฑ์ การเขียนเรื่องตามจินตนาการ มารยาทในการเขียน ฝึกจับใจความจากการฟ๎ง การพูดแสดงความรู้ ความคิดในเรื่องที่ฟ๎งและดู จากส่ือต่างๆ เร่ืองเล่า บทความ ข่าวและเหตุการณ์ประจําวัน โฆษณา สื่ออิเล็กทรอนิกส์ การวิเคราะห์ความน่าเช่ือถือจากเรื่องท่ีฟ๎ง และดูในชีวิตประจําวัน การรายงาน การพูดลําดับข้ันตอนการปฏิบัติงาน การพูดลําดับเหตุการณ์ มารยาทใน การฟ๎ง การดู และการพดู ฝึกการใช้คําบุพบท คําสันธาน คําอุทาน ประโยคและส่วนประกอบของประโยค ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาถ่ิน คําราชาศัพท์ คําท่ีมาจากภาษาต่างประเทศ กาพย์ยานี 11 สํานวนท่ีเป็นคําพังเพยและสุภาษิต ฝึกอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม นทิ านพืน้ บา้ น นิทานคติธรรม เพลงพ้ืนบ้าน วรรณคดีและวรรณกรรม ในบทเรียนและตามความสนใจ บทอาขยานและบทร้อยกรองท่ีมีคุณค่า บทอาขยานตามที่กําหนด บทร้อย กรองตามความสนใจ โดยใช้กระบวนการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถ แก้ป๎ญหา พัฒนากระบวนการอ่าน คิดวิเคราะห์ จับใจความและเขียนสื่อความสําคัญและเขียนสื่อความ วจิ ารณ์ ศึกษาค้นคว้า ทําโครงงาน เลือกใช้สือ่ อเิ ล็กทรอนกิ สท์ เ่ี หมาะสม มีวินยั ใฝุเรียนรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีทักษะชีวิต ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชื่นชมและเห็นคุณค่าของภาษา ซ่ึงเป็นภูมิป๎ญญาไทยท่ีเป็น เอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาํ ชาติ มีมารยาททีด่ ี และมนี สิ ัยรกั การอ่าน สามารถใชภ้ าษาส่ือสารอย่างถูกต้อง และมปี ระสิทธิภาพ
59 รหัสตัวช้ีวัด ท 1.1ป.5/1, ป.5/2, ป.5/3, ป.5/4, ป.5/5, ป.5/6, ป.5/7, ป.5/8 ท 2.1ป.5/1, ป.5/2, ป.5/3, ป.5/4, ป.5/5, ป.5/6, ป.5/7, ป.5/8, ป.5/9 ท 3.1ป.5/1, ป.5/2, ป.5/3, ป.5/4, ป.5/5 ท 4.1ป.5/1, ป.5/2, ป.5/3, ป.5/4,ป.5/5,ป.5/6,ป.5/7 ท 5.1ป.5/1, ป.5/2,ป.5/3, ป.5/4 รวมทั้งหมด 33 ตวั ช้ีวดั
60 โครงสรา้ งรายวิชา รหสั วิชา ท 15101 รายวิชา ภาษาไทย กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย จานวน 4.0 หนว่ ยกติ ระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 เวลา 160 ช่ัวโมง/ปี สดั ส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ การเรยี นรู้/ (ชั่วโมง) คะแนน ตวั ชี้วัด (100) 1 บุพบทจดจาํ ท 4.1 ป.5/1 - คาํ บุพบทอยู่หน้าคํานามหรือคําสรรพนาม 4 3 นาํ หนา้ คาํ หรอื ขอ้ ความ ในประโยคเพื่อบอกเวลา บอกตําแหนง่ ทีต่ ัง้ 3 สถานท่ี บอกความเปน็ เจ้าของบอกความ 3 เก่ียวขอ้ งหรือความประสงค์ ทําให้ประโยค 3 สอื่ สารนน้ั มใี จความสมบรู ณ์ยิ่งข้นึ 3 2 คําสนั ธาน ท 4.1 ป.5/1 - คําสนั ธานใช้เชื่อมประโยค 2 ประโยคให้ 4 สะพานเช่อื มประโยค เป็นประโยคเดยี วกัน เพอ่ื ให้มีใจความคล้อย ตามกัน ขดั แยง้ กนั ให้เลือกอย่างใดอยา่ งหน่งึ หรือเป็นเหตุเปน็ ผลกันตามจุดประสงค์ของผู้ สง่ สาร 3 คาํ อทุ าน สื่อสาร ท 4.1 ป.5/1 - คําอทุ านเป็นเสยี งทเี่ ปล่งออกมาแตกตา่ ง 4 อารมณ์ จากเสยี งของคาํ ทัว่ ๆ ไปทาํ ให้ทราบอารมณ์ 4 ภาษาไทยน่าเรียน ฝกึ เขยี นประโยค ความรสู้ กึ ของผู้พูดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่ เนน้ ความหมายของคาํ ท 4.1 ป.5/2 - การสื่อสารในชวี ิตประจําวนั ตอ้ งใช้ประโยค 4 เพ่อื สื่อความหมาย ดังนั้น การร้จู ักจาํ แนก และเรียบเรียงประโยคใหถ้ ูกต้อง มี สว่ นประกอบของประโยคครบถว้ นสมบูรณ์จะ ทาํ ใหก้ ารสื่อสารมีประสิทธภิ าพ 5 อา่ นได้คล่อง ต้องรวู้ ิธี ท 1.1 ป.5/1, 1. การอ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ 9 ป.5/2, ได้ถูกต้องตามอักขรวิธี โวหารและประเภท ป.5/3, ของงานเขียน จะทาํ ใหเ้ กดิ ความไพเราะการ ป.5/4, อา่ นมปี ระสิทธภิ าพ ผฟู้ ง๎ สามารถเข้าใจได้ ป.5/5, ชัดเจน ป.5/6, 2. การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรองเปน็ ทํานอง ป.5/7, เสนาะได้ถูกต้องตามอักขรวธิ แี ละฉนั ทลักษณ์ ป.5/8 ของบทร้อยกรองน้นั ๆ รู้จักทอดจังหวะ เอ้อื นเสยี งแสดงอารมณต์ ามเน้ือหา จะทําให้ ผูฟ้ ง๎ เขา้ ใจเร่ืองได้ชดั เจน และบทร้อยกรอง น้นั มีความไพเราะยิ่งขน้ึ
61 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ การเรียนรู้/ (ชวั่ โมง) คะแนน ตวั ช้ีวัด (100) 3. การอา่ นจับใจความโดยสามารถแยกข้อ 3 เท็จจรงิ ข้อคดิ เหน็ และสรปุ ความจากการ อ่านทาํ ใหเ้ รามเี หตุผล ไม่หลงเชอื่ ส่งิ ตา่ ง ๆ ได้ ง่าย ซงึ่ ก่อให้เกิดประโยชน์ รู้จักเลือก พิจารณานาํ ความร้ทู ่ีได้จากการอ่านไปใช้ใน การดําเนินชีวิต 4. การอ่านงานเขียนเชิงอธิบายคาํ ส่ัง ข้อแนะนํา ให้เข้าใจชดั เจนเสียก่อน จะทาํ ให้ ปฏิบัติตามได้ถูกต้อง ทาํ งานอยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพและปลอดภัยในการใช้งาน 5. การเลือกอ่านหนงั สือให้เหมาะสมกับความ ตอ้ งการและวัยทําใหไ้ ด้รับคณุ คา่ สามารถ นําไปใชป้ ระโยชน์ได้อย่างแท้จริง 6. การมมี ารยาทในการอ่านทําใหเ้ ปน็ ทน่ี ่าช่ืนชมตอ่ ผพู้ บเห็น 6 เขยี นชาํ นาญ ท 2.1 ป.5/1, 1. การคดั ลายมือเป็นการฝึกเขยี นตัว 24 งานสรา้ งสรรค์ ป.5/2, อกั ษรไทยใหส้ วยงามและถูกต้อง ป.5/3, 2. การเขยี นส่ือสารควรเลือกใชถ้ อ้ ยคาํ ป.5/4, สํานวนให้ถูกตอ้ งเหมาะสมกบั งานเขียน ป.5/5, ประเภทนนั้ ๆ จึงจะสื่อความหมายไดช้ ดั เจน ป.5/6, ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ป.5/7, 3. แผนภาพโครงเร่ืองใชใ้ นการวางโครงเรือ่ ง ป.5/8, ที่มีการดาํ เนนิ เรื่องเป็นไปตามลาํ ดับ ป.5/9 เหตกุ ารณ์ ส่วนแผนภาพความคดิ ใชใ้ นการ วางโครงเรื่องท่ีมคี วามคดิ รวบยอดเปน็ สาํ คญั การนาํ แผนการโครงเรอ่ื งและแผนภาพ ความคิดมาใชใ้ นงานเขียนทําให้งานเขียนมี คณุ ภาพ และได้ความครบถว้ นสมบูรณ์ 4. ยอ่ ความเป็นการนาํ ใจความสําคัญของแต่ ละตอนจากเรื่องท่อี ่านมาเรยี บเรยี งใหม่ เพอ่ื ให้เข้าใจเรื่องท่ีต้องการสื่อสารได้งา่ ย ยิ่งขน้ึ 5. การเขยี นจดหมายถงึ ผูป้ กครองและญาติ ต้องใช้ภาษาท่ีสภุ าพ แสดงถึงความเคารพให้ เหมาะสมกับบุคคล 6. การเขยี นแสดงความรสู้ กึ และความ
62 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ การเรยี นรู้/ (ช่ัวโมง) คะแนน ตวั ชี้วัด (100) 7 คดิ เหน็ เป็นการนําเสนอข้อเท็จจรงิ ทไี่ ด้จาก 2 8 การตรวจสอบโดยใชเ้ หตผุ ลประกอบ ซึง่ ทาํ 2 ให้ผู้อ่านได้รบั ทราบข้อมูลและข้อคิดเหน็ ท่ี เป็นประโยชน์ 7. การกรอกแบบรายการตา่ ง ๆ ได้อยา่ ง ถกู ต้อง ใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน ทาํ ให้ สอื่ สารได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละสะดวก ในการติดต่อทําธุระ 8. การเขียนเรือ่ งตามจินตนาการได้ดี ต้อง หมัน่ ฝกึ การคิด การสังเกต และมคี วามคิด ริเรม่ิ สร้างสรรค์ 9. การมีมารยาทในการเขยี นจะทําใหผ้ ู้อ่าน สามารถเขา้ ใจสารท่ีผเู้ ขยี นถ่ายทอดไดง้ า่ ย และมีประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขนึ้ 7 ฟง๎ ดู รู้สนทนา ท 3.1 ป.5/1, 1. การพดู แสดงความรู้ ความคิดเห็น และ ภาษาสอ่ื สาร ป.5/2, ความรสู้ ึกจากเร่ืองท่ีฟ๎งและดู ควรพิจารณา ป.5/3, อย่างรอบคอบก่อนพดู เพื่อไม่ใหเ้ กิดความ ป.5/4, ขดั แย้งกับผอู้ ืน่ เพราะในเรื่องเดียวกนั แต่ละ ป.5/5 คนอาจมีมมุ มองและความคิดเหน็ แตกตา่ ง กนั ได้ 2. การตั้งคําถามและตอบคําถามเชิงเหตผุ ล จากเรอ่ื งท่ฟี ๎งและดู ทําให้สามารถวิเคราะห์ ความนา่ เชอ่ื ถือของเรื่อง และนาํ ความร้หู รือ ข้อคิดทไ่ี ด้รับไปใช้เปน็ ประโยชน์ในชวี ิต ประจาํ วนั 3. การวเิ คราะห์ความนา่ เช่อื ถือจากเร่ืองที่ ฟง๎ และดใู นชวี ติ ประจาํ วันต้องใชเ้ หตผุ ลมี ขอ้ เท็จจรงิ และหลกั ฐานมาประกอบ 4. การพดู รายงานตามหลักการทถ่ี ูกต้องจะ ทําให้การนําเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจและ ผฟู้ ง๎ ไดร้ ับประโยชน์จากการฟ๎งนนั้ 5. การมีมารยาทในการฟ๎ง การดู และการ พูด ทําให้การตดิ ต่อสอื่ สารมปี ระสทิ ธิภาพ และเป็นมารยาททางสังคมที่พงึ ปฏิบัติ 8 บทละครเรื่อง สังข์ทอง ท 1.1 ป.5/1, - บทละครเรอื่ ง สังขท์ อง ตอน กําเนิด ตอน กําเนิดพระสังข์ ป.5/5, พระสังข์ แสดงให้เหน็ ถึงความรักของแม่ทม่ี ี
63 ช่อื หน่วย มาตรฐาน เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน ท่ี การเรยี นรู้/ สาระสาคัญ (100) 6 ตัวช้ีวัด 2 4 ป.5/7 ต่อลูกไม่ว่าลกู จะเกิดมาเปน็ เช่นไรก็ย่อมเปน็ 2 4 ท 5.1 ป.5/1, ท่ีรกั ดงั่ ดวงใจของแม่เสมอ นอกจากนัน้ ยงั 2 2 1 ป.5/2, แสดงถึงความกตญั ํูกตเวทีของพระสังข์ท่ี 5 2 5 10 ป.5/3, รจู้ ักชว่ ยเหลอื แบง่ เบาภาระของแม่เท่าทเ่ี ด็ก 3 3 ป.5/4 จะทาํ ได้ ซ่ึงเป็นสง่ิ ที่ลูกทกุ คนควรประพฤติ ปฏิบตั ิตาม 9 กระเชา้ สดี า ท 1.1 ป.5/1, - นทิ านเร่อื ง กระเชา้ สีดา มีเนอ้ื เร่อื ง ป.5/5, สนกุ สนาน ใชภ้ าษาบรรยายได้สละสลวย ป.5/7 ชดั เจน อา่ นเขา้ ใจง่าย เหมาะสําหรบั เดก็ ท 5.1 ป.5/1, แฝงแนวคดิ ในเร่ืองผลของการทาํ ความดี คือ ป.5/2, การเชือ่ ฟ๎งผู้ใหญ่ ความมนี ้าํ ใจ และความ ป.5/3 สภุ าพอ่อนโยน ซงึ่ นักเรยี นควรนําไป ประพฤติปฏิบัตใิ นชวี ิตประจาํ วันให้ สมํา่ เสมอจนเปน็ นิสัย 10 บทประพันธ์ ท 1.1 ป.5/1, - บทประพันธ์ร้อยกรองสุภาษิตมีคณุ ค่าดา้ น รอ้ ยกรองสุภาษติ ป.5/5, วรรณศิลป์และให้คตสิ อนใจเพอ่ื ประพฤตใิ น 11 เพลงชาตไิ ทย ป.5/7 ส่ิงทีถ่ กู ต้องดีงาม ผู้นําไปปฏบิ ัติย่อมประสบ 12 บทอาขยาน ท 5.1 ป.5/1, ความสขุ ความเจรญิ ในการดําเนนิ ชวี ิต 13 ภาษาถิ่น บอกความเปน็ ไทย ป.5/2, 14 ใชใ้ หถ้ กู พงึ จํา ป.5/3, ป.5/4 ท 1.1 ป.5/5 เพลงชาตเิ ปน็ เพลงประจําชาติ ทแ่ี สดงถงึ ท 5.1 ป.5/1, ความเปน็ ชาติ เอกราช ศิลปวฒั นธรรม และ ป.5/2, ลักษณะนิสยั ของชนในชาติ เราจงึ ควรรู้ ป.5/3, ประวัติ ตระหนักถงึ ความสําคัญของเพลง ป.5/4 ชาติ และรอ้ งเพลงชาติไทยอย่างภาคภมู ิ ท 5.1 ป.5/4 การท่องจําบทอาขยานสามารถนําไปใช้ อา้ งองิ และนําข้อคิดไปเปน็ แนวทางในการ ดําเนินชีวิต สอบกลางปี ท 4.1 ป.5/3 - ภาษาไทยในแตล่ ะท้องถน่ิ มีการใชถ้ ้อยคํา สาํ นวนท่ีแตกตา่ งกนั การรู้ และเขา้ ใจความหมายของคาํ จะทําให้การ สอ่ื สารดีย่ิงขึน้ ท 4.1 ป.5/4 - คําราชาศัพทเ์ ป็นคําในภาษาไทยที่ต้อง
64 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ การเรยี นรู้/ (ช่วั โมง) คะแนน ตัวชี้วดั (100) คําราชาศพั ท์ เลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั บคุ คลระดับต่าง ๆ 3 15 คําในภาษาไทย ท 4.1 ป.5/5 - ภาษาไทยมีการนําคําจาก 5 3 ทีน่ าํ มาใช้จาก ภาษาต่างประเทศ ภาษาตา่ งประเทศมาใชเ้ ป็นจํานวนมาก เรา 3 ควรทราบทีม่ าของคําเรียนรู้ การอ่าน การ 2 เขยี น และการใช้คาํ เหลา่ น้นั ให้ถูกต้อง 16 กาพย์ยานลี ํานาํ ... ท 4.1 ป.5/6 - กาพยย์ านี 11 นยิ มใชใ้ นการแต่งพรรณนา 5 สิบเอ็ดคําจาํ ได้งา่ ย เรื่องต่าง ๆ ลกั ษณะของคําประพนั ธท์ ําใหบ้ ท ร้อยกรองมีความไพเราะ งดงาม สละสลวย ผู้อา่ นจดจําได้งา่ ยและเกดิ จนิ ตนาการตามเน้ือ เรือ่ งเป็นอยา่ งดี 17 สํานวน คําพังเพย ท 4.1 ป.5/7 - การใชส้ ํานวนได้ถกู ต้องทาํ ใหส้ ื่อ 5 สภุ าษิต ให้ข้อคิด สอนใจ ความหมายชดั เจน ไดเ้ รียนรู้ความงดงาม 18 อ่านได้คล่อง ต้องร้วู ธิ ี ของภาษาไทย และเปน็ การอนรุ กั ษภ์ าษาไทย ท 1.1 ป.5/1, 1. การอ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ ได้ถูกต้อง 16 ป.5/2, ตามอักขรวธิ ี โวหารและประเภทของงาน ป.5/3, เขียน จะทาํ ใหเ้ กิดความไพเราะการอา่ นมี ป.5/4, ประสทิ ธภิ าพ ผู้ฟ๎งสามารถเข้าใจได้ชัดเจน ป.5/5, 2. การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรองเป็น ป.5/6, ทาํ นองเสนาะได้ถกู ต้องตามอักขรวิธแี ละ ป.5/7, ฉนั ทลักษณ์ ของบทร้อยกรองน้ัน ๆ รู้จกั ป.5/8 ทอดจงั หวะเอ้ือนเสยี งแสดงอารมณ์ตาม เนือ้ หา จะทําให้ผฟู้ ง๎ เข้าใจเร่ืองได้ชัดเจน และบทร้อยกรองนั้นมีความไพเราะยิ่งขึ้น 3. การอา่ นจับใจความโดยสามารถแยก ข้อเทจ็ จริง ข้อคดิ เห็น และสรุปความจาก การอ่านทาํ ให้เรามีเหตผุ ล ไม่หลงเช่ือสิ่งต่าง ๆ ไดง้ า่ ย ซ่งึ กอ่ ให้เกดิ ประโยชน์ รู้จักเลอื ก พจิ ารณานําความรู้ท่ีไดจ้ ากการอ่านไปใช้ใน การดําเนินชีวิต 4. การอ่านงานเขยี นเชิงอธบิ ายคาํ สั่ง ขอ้ แนะนาํ ให้เข้าใจชัดเจนเสียกอ่ นจะทําให้ ปฏิบัติตามได้ถูกต้อง ทํางานอย่างมี ประสทิ ธภิ าพและปลอดภัยในการใช้งาน 5. การเลือกอ่านหนังสอื ใหเ้ หมาะสมกับ ความต้องการและวยั ทาํ ให้ได้รับคณุ ค่า
65 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ การเรียนรู้/ (ชวั่ โมง) คะแนน ตวั ชี้วดั สามารถนําไปใชป้ ระโยชน์ได้อย่างแท้จริง (100) 19 เขียนชาํ นาญ 6. การมีมารยาทในการอา่ นทําใหเ้ ปน็ ท่ี 11 งานสรา้ งสรรค์ ท 2.1 ป.5/1, นา่ ช่นื ชมต่อผู้พบเหน็ 2 ป.5/2, 1. การคดั ลายมือเปน็ การฝึกเขียนตัว ป.5/3, อกั ษรไทยให้สวยงามและถกู ต้อง ป.5/4, 2. การเขยี นสอื่ สารควรเลอื กใช้ถอ้ ยคาํ ป.5/5, สํานวนใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมกับงานเขยี น ป.5/6, ประเภทนน้ั ๆ จึงจะส่ือความหมายได้ชดั เจน ป.5/7, ตรงตามวัตถุประสงค์ ป.5/8, 3. แผนภาพโครงเรื่องใช้ในการวางโครงเร่ือง ป.5/9 ท่มี ีการดาํ เนนิ เรื่องเปน็ ไปตามลาํ ดับ เหตุการณ์ ส่วนแผนภาพความคิดใช้ในการ วางโครงเรื่องที่มีความคิดรวบยอดเปน็ สําคญั การนําแผนการโครงเร่ืองและแผนภาพ ความคดิ มาใช้ในงานเขยี นทาํ ให้งานเขยี นมี คณุ ภาพ และได้ความครบถว้ นสมบรู ณ์ 4. ยอ่ ความเปน็ การนาํ ใจความสําคญั ของแต่ ละตอนจากเรื่องที่อ่านมาเรียบเรยี งใหม่ เพือ่ ให้เขา้ ใจเร่ืองที่ตอ้ งการสื่อสารไดง้ ่าย ยงิ่ ข้ึน 5. การเขียนจดหมายถงึ ผปู้ กครองและญาติ ตอ้ งใชภ้ าษาที่สภุ าพ แสดงถึงความเคารพให้ เหมาะสมกับบุคคล 6. การเขยี นแสดงความรู้สกึ และความ คดิ เห็น เป็นการนาํ เสนอข้อเท็จจริงที่ได้จาก การตรวจสอบโดยใช้เหตผุ ลประกอบ ซงึ่ ทาํ ให้ผู้อา่ นไดร้ บั ทราบข้อมลู และข้อคดิ เหน็ ท่ี เป็นประโยชน์ 7. การกรอกแบบรายการตา่ ง ๆ ได้อย่าง ถูกต้อง ใชภ้ าษาที่กระชบั ชดั เจน ทําให้ สือ่ สารได้ตรงตามวัตถุประสงคแ์ ละสะดวก ในการตดิ ต่อทําธรุ ะ 8. การเขียนเร่ืองตามจินตนาการไดด้ ี ต้อง หมัน่ ฝกึ การคิด การสงั เกต และมคี วามคิด รเิ ริม่ สร้างสรรค์ 9. การมีมารยาทในการเขียนจะทาํ ให้ผู้อา่ น
66 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ การเรียนรู้/ (ชัว่ โมง) คะแนน ตัวชี้วัด สามารถเข้าใจสารทผ่ี ้เู ขยี นถ่ายทอดไดง้ า่ ย (100) 20 ฟ๎ง ดู รูส้ นทนา ท 3.1 ป.5/1, และมีประสิทธิภาพยงิ่ ขึน้ 8 ภาษาสอื่ สาร 1. การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และ 3 ป.5/2, ความรสู้ ึกจากเร่ืองท่ีฟ๎งและดู ควรพิจารณา 8 21 ราชาธริ าช ป.5/3, อย่างรอบคอบก่อนพูด เพื่อไม่ใหเ้ กดิ ความ 2 ตอนกาํ เนิดมะกะโท ป.5/4, ขัดแย้งกับผ้อู ่นื เพราะในเรื่องเดยี วกันแต่ละ 6 ป.5/5 คนอาจมีมุมมองและความคดิ เห็นแตกตา่ ง 2 22 โคลงโลกนิติ กันได้ ท 1.1 ป.5/1, 2. การตง้ั คาํ ถามและตอบคาํ ถามเชงิ เหตุผล ป.5/5, จากเรื่องท่ีฟง๎ และดู ทําใหส้ ามารถวเิ คราะห์ ป.5/7 ความนา่ เชอ่ื ถือของเร่ือง และนาํ ความร้หู รอื ขอ้ คิดท่ีได้รบั ไปใช้เป็นประโยชนใ์ นชวี ติ ท 5.1 ป.5/1, ประจาํ วัน ป.5/2, 3. การวเิ คราะห์ความนา่ เชอื่ ถือจากเร่ืองท่ี ป.5/3 ฟ๎งและดใู นชีวติ ประจําวันต้องใช้เหตผุ ลมี ข้อเท็จจรงิ และหลักฐานมาประกอบ ท 1.1 ป.5/1, 4. การพูดรายงานตามหลกั การทถ่ี กู ต้องจะ ทําให้การนําเสนอข้อมูลมีความนา่ สนใจและ ผูฟ้ ง๎ ได้รบั ประโยชนจ์ ากการฟ๎งนัน้ 5. การมมี ารยาทในการฟง๎ การดู และการ พดู ทาํ ให้การตดิ ต่อส่ือสารมีประสิทธภิ าพ และเปน็ มารยาททางสงั คมท่ีพึงปฏิบัติ เร่ือง ราชาธริ าช ตอน กําเนิดมะกะโท แสดงใหเ้ ห็นถงึ คุณธรรมและคุณลักษณะ พิเศษของมะกะโท ซง่ึ จะเปน็ ผนู้ าํ ในภาย หน้า เชน่ ความกตัญํูความจงรกั ภกั ดี ความเมตตา ความมานะอุตสาหะ สติป๎ญญา ไหวพรบิ อนั ชาญฉลาด มองเห็นการณไ์ กล และรจู้ กั แกป้ ๎ญหาเมอ่ื เกิดเหตุยงุ่ ยากต่าง ๆ นอกจากจะไดร้ บั ความเพลดิ เพลนิ จากเนื้อ เร่ืองแล้ว ยงั ไดร้ ับความรู้เก่ียวกบั เรอ่ื งราวใน ประวตั ิศาสตร์ วิถชี วี ิตความเป็นอย่ขู องคน ไทยในอดีต รวมท้ังขอ้ คดิ ต่าง ๆ ที่นาํ ไปใช้ ในชีวิตจริงไดเ้ ปน็ อยา่ งดสี ง่ิ เหลา่ นค้ี อื ประโยชนห์ ลายประการท่ีไดร้ ับจากวรรณคดี -คําสอนจากโคลงโลกนติ ิพระนิพนธ์ของ
67 ชอื่ หน่วย มาตรฐาน เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ที่ การเรียนรู้/ สาระสาคญั (100) 4 ตัวชี้วดั 2 2 ป.5/5, สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาติศร ที่กรม - 2 160 30 ป.5/7 วิชาการกระทรวงศกึ ษาธิการไดร้ วบรวมไว้ 100 ท 5.1 ป.5/1, นัน้ ล้วนเป็นคําสอนทเี่ หมาะสมจะนาํ ไปใช้ ป.5/2, เปน็ หลกั ปฏบิ ตั ิในการดาํ เนนิ ชีวิตป๎จจุบันได้ ป.5/3, อยา่ งดี ทงั้ ใหข้ ้อคดิ เตือนใจสาํ หรบั ตนเอง ป.5/4 หรือใช้แนะนาํ สั่งสอนผ้อู ่นื คําสอนในโคลง โลกนิตจิ ึงทรงคุณคา่ เสมอสาํ หรบั ผทู้ ี่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตาม 23 นทิ านคติธรรม ท 1.1 ป.5/1, -นทิ านคตธิ รรมเรอื่ ง พญาชา้ งผเู้ สียสละ เร่อื ง พญาชา้ ง ผูเ้ สยี สละ ป.5/5, ใหค้ ตวิ า่ “ทําดีไดด้ ี ทาํ ชั่วไดช้ ั่ว” ในสงั คม 24 บทอาขยาน ป.5/7 ยอ่ มมีทั้งคนดีและคนชว่ั เราจึงควรนาํ ท 5.1 ป.5/1, คณุ ธรรมของคนดีมาเปน็ แบบอย่าง พร้อม ป.5/2, ท้ังใช้สติป๎ญญาพิจารณาให้รู้ทันเล่ห์เหลีย่ ม ป.5/3 ของคนชวั่ เพื่อหลกี เลีย่ งการคบหาอนั อาจจะ นาํ ภัยมาสตู่ นเอง ท 5.1 ป.5/4 การท่องจําบทอาขยานสามารถนาํ ไปใช้ อา้ งอิงและนําข้อคดิ ไปเปน็ แนวทางในการ ดําเนินชีวิต สอบปลายปี รวมตลอดท้ังปี
68 คาอธิบายรายวิชา รายวชิ าพื้นฐาน ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 กล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย จานวน 4.0 หน่วยกติ ท 16101 ภาษาไทย เวลาเรยี น 160 ช่ัวโมง (4 ช่ัวโมง/สัปดาห์) อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว บทร้อยกรอง และอ่านบทร้อยกรองเป็นทํานองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของคํา ประโยคและข้อความท่ีเป็นโวหาร เข้าใจเกี่ยวกับชนิด หน้าที่ของคําในประโยค ลักษณะของประโยคใช้คําได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล รวบรวมและเข้าใจความหมายของคํา ภาษาต่างประเทศ แต่งบทร้อยกรอง เปรียบเทียบสํานวน คําพังเพยและสุภาษิต อ่านเรื่องส้ันอย่าง หลากหลาย อา่ นจับใจความจากส่อื ต่างๆ แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากเร่ืองท่ีอ่าน นําความรู้ ความคิด จากเร่ืองที่อ่านไปตัดสินใจแก้ป๎ญหา ปฏิบัติตามคําส่ัง คําอธิบายจากเรื่องท่ีอ่านได้ เข้าใจความหมายของ ขอ้ มูลจากแผนผงั แผนท่ี แผนภมู แิ ละกราฟ พูดแสดงความรู้ความเข้า วิเคราะห์ความน่าเช่ือถือจากการฟ๎ง และดูสื่อโฆษณาอย่างมีเหตุผล พูดลําดับข้ันตอนการปฏิบัติงาน ลําดับเหตุการณ์จากเร่ืองท่ีศึกษาค้นคว้า พูดโน้มน้าวในสถานการณ์ต่างๆ ให้ผู้อ่ืนน่าเช่ือถือ คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด เขียนคํา ขวัญ คําอวยพร ประกาศ เขียนแผนภาพโครงเร่ืองและแผนภาพความคิด เขียนเรียงความ เขียนย่อความ เขียนจดหมายส่วนตัว กรอกแบบรายการ เขียนเรื่องรามจินตนาการ มีมารยาทในการอ่าน การเขียน การฟง๎ การดู และการพูด มีความเข้าใจ เห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน เล่านิทานพ้ืนบ้าน ร้อง เพลงพื้นบา้ นในท้องถนิ่ โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว บทร้อยกรองและคําประพันธ์ตามลักษณะของคําประพันธ์ เป็นทํานองเสนาะ อ่านจับใจความ ตีความ แปลความ วิเคราะห์ความ อธิบายและสรุปความ ทักษะการ คดั ลายมอื การเขยี นโดยใชห้ ลกั การเขยี นสือ่ สาร การเขยี นเรอ่ื งตามจิตนาการ เขียนจดหมายและกรอกแบบ รายการ ทักษะการฟ๎ง การพูดแสดงความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น การพูดวิเคราะห์เร่ืองจาการฟ๎ง การดูสอ่ื โฆษณา พดู รายงานและพูดโนม้ นา้ ว สามารถเลอื กใช้คาํ ได้เหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคลสามารถนําความรู้และข้อคิดไปใช้ในตัดสินใจ แกป้ ๎ญหาในการดาํ เนนิ ชวี ิตประจําวนั มจี ิตสาธารณะ มีคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มทเ่ี หมาะสม รหสั ตัวชี้วัด ท 1.1ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4,ป.6/5,ป.6/6,ป.6/7,ป.6/8,ป.6/9 ท 2.1ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4,ป.6/5,ป.6/6,ป.6/7,ป.6/8,ป.6/9 ท 3.1ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4,ป.6/5,ป.6/6 ท 4.1ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4,ป.6/5,ป.6/6 ท 5.1ป.6/1,ป.6/2,ป.6/3,ป.6/4 รวมทั้งหมด 34 ตัวช้ีวดั
69 โครงสร้างรายวิชา รหัสวิชา ท 16101 รายวชิ า ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จานวน 4.0 หน่วย ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 เวลา 160 ชว่ั โมง/ปี สดั สว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ การเรยี นรู้/ (ช่ัวโมง) คะแนน ตัวช้ีวดั คํานามเป็นคาํ ชนิดหน่ึงที่ใช้เรียกคนพืชสตั ว์ (100) 1 คํานาม...ใชเ้ รียกตาม ท 4/1 ป.6/1 สิง่ ของและสถานท่คี ํานามทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ ได้ท้ัง 4 ช่อื ประธานและกรรมในประโยคซ่งึ ใช้ส่ือสารใน 2 ท 4/1 ป.6/1 ชีวิตประจาํ วัน 4 2 คาํ แทนชอื่ ... คาํ สรรพนามเป็นคําท่ีใชแ้ ทนคาํ นามเพอ่ื ไม่ 2 น้ีคือสรรพนาม ท 4/1 ป.6/1 ตอ้ งกล่าวคํานามนั้นซํ้าอีกคาํ สรรพนามเปน็ 4 คาํ ที่ต้องใช้ในการสนทนาในชีวติ ประจาํ วนั จึง 2 3 คํากริยา...สอื่ อาการ ตอ้ งเลือกใช้กับบุคคลตา่ งๆให้ถกู ต้องและ เหมาะสม คํากรยิ าเปน็ คาํ ท่ีแสดงอาการหรือสภาพหรอื การกระทําของประธานในประโยคซึ่งเป็น คํานามหรือคาํ สรรพนามประโยคทกุ ประโยค จะต้องมีคํากริยา 4 ขยายคํา...ควรจํา ท 4/1 ป.6/1 คําวเิ ศษณ์เปน็ คําทใี่ ชข้ ยายหรือประกอบคาํ 4 2 คําวิเศษณ์ อ่นื คือคํานามคาํ สรรพนามคาํ กรยิ าหรือ คําวิเศษณ์ดว้ ยกันเองเพื่อให้ไดใ้ จความชัดเจน ย่ิงขึน้ 5 บพุ บท...จดจาํ ท 4/1 ป.6/1 คาํ บพุ บททําหนา้ ท่ีแสดงความสมั พนั ธ์ 4 2 นําหน้าคาํ หรอื ขอ้ ความ ระหวา่ งคําหรอื กลมุ่ คาํ เพื่อบอกเวลาตาํ แหน่ง ทต่ี ัง้ สถานที่ความเป็นเจา้ ของความเกีย่ วข้อง หรือความประสงค์จงึ ควรเลือกใช้คําบุพบท แตล่ ะชนิดให้ถูกตอ้ งและเหมาะสม 6 คาํ สันธาน...สะพาน ท 4/1 ป.6/1 คําสันธานใชเ้ ชอ่ื มคาํ ประโยคหรอื ขอ้ ความให้ 4 2 เช่อื มคําและประโยค มีใจความต่อเนื่องกนั ประโยคท่ีมีคาํ สนั ธานจะ สามารถแยกเป็นประโยคย่อยไดค้ าํ สันธานทํา ใหป้ ระโยคหรอื ข้อความสละสลวยขึ้น
70 ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ การเรยี นรู้/ (ชว่ั โมง) คะแนน ตัวช้ีวัด (100) 7 อา่ นคล่อง...ตอ้ งรู้วธิ ี 1 ท 1.1 ป.6/1 1. การอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้วตอ้ งออก 17 เสยี งให้ถกู ต้องชัดเจนตามอักขรวิธีเว้นวรรค 9 4 8 เขยี นชํานาญ... ป.6/2 ตอนเหมาะสมใช้นํา้ เสยี งนา่ ฟ๎งมีเสยี งหนัก งานสรา้ งสรรค์ 1 ป.6/3 เสียงเบาการอ่านนัน้ จงึ จะมีประสิทธิภาพเกิด 4 ป.6/4 ความน่าสนใจผฟู้ ง๎ สามารถจับใจความได้ง่าย ป.6/5 และถูกตอ้ ง ป.6/9 2. การอ่านออกเสยี งบทร้อย-กรองไดถ้ ูกตอ้ ง ตามลักษณะคาํ ประพันธ์และอักขรวธิ รี ู้จกั ท 2.1 ป.6/1 เอื้อนเสียงแสดงอารมณ์ตามเน้อื หาความจะ ป.6/2 ทาํ ใหบ้ ทร้อยกรองนนั้ เกิดความไพเราะน่าฟง๎ ป.6/5 ยง่ิ ขึ้น ป.6/9 3. การฝึกฝนการอ่านจบั ใจความตาม หลักเกณฑอ์ ยา่ งสมาํ่ เสมอจะทาํ ให้เขา้ ใจ สาระสําคัญของเรื่องไดถ้ ูกต้องและอ่านเร่ือง ไดร้ วดเรว็ ย่งิ ข้นึ 4. การมมี ารยาทในการอ่านแสดงถึงอปุ นสิ ัย ที่ดซี ่ึงนา่ ชนื่ ชม 1. การคัดลายมือเป็นทักษะท่ีต้องฝกึ ฝนอยู่ เสมอเพื่อพฒั นาลายมือและเขียนหนงั สอื ให้ ถกู ต้องลายมือท่ีอ่านง่ายเปน็ ระเบียบ เรียบรอ้ ยสะอาดนอกจากทําให้ผอู้ ่านสบาย ตาเกิดความรู้สึกอยากอา่ นข้อความนน้ั แล้ว ยังแสดงใหเ้ หน็ วา่ ผู้เขยี นมีความตัง้ ใจและมี มารยาททด่ี ีในการเขยี น 2. การเขียนสอ่ื สารต้องใชถ้ ้อยคําสํานวน ภาษารวมทั้งรูปแบบใหถ้ กู ต้องเหมาะสมเพื่อ สื่อความหมายไดช้ ดั เจนตรงตามวตั ถุประสงค์ 3. การเขยี นยอ่ ความเป็นการนาํ ใจความ สําคัญของเนื้อเร่ืองแตล่ ะย่อหน้ามาเรียบเรยี ง ใหม่ใหต้ ่อเนื่องกันซึง่ จะช่วยให้การสื่อสารเกิด ความเข้าใจไดง้ า่ ยยิ่งข้นึ 4. การมมี ารยาทในการเขยี นจะช่วยใหก้ าร ถ่ายทอดความรแู้ ละความคดิ ของผู้เขยี นไปสู่ ผูอ้ ่านมปี ระสิทธิภาพและประสบผลสาํ เร็จ
71 ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ การเรยี นรู้/ (ชว่ั โมง) คะแนน ตัวชี้วัด (100) 9 ฟ๎งดรู สู้ นทนา...ภาษา 1.การพูดแสดงความร้คู วามเข้าใจจุดประสงค์ 11 สอ่ื สาร 1 ท 3.1 ป.6/1 ของเรื่องที่ฟ๎งและดูต้องฟง๎ และดูเร่ืองนนั้ ให้ 8 2 ป.6/2 ตลอดจงึ จะสามารถพูดไดถ้ กู ตอ้ งและนํา ป.6/5 ความรู้หรอื ข้อคิดไปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้ 2 ป.6/6 2. การต้ังคําถามและตอบคาํ ถามเชิงเหตุผล จากเรือ่ งท่ฟี ๎งและดูทาํ ใหส้ ามารถวิเคราะห์ 2 10 บทละครเร่ือง ท 1.1 ป.6/1 ความนา่ เช่ือถือเพื่อนําความรู้และข้อคดิ ทไี่ ด้ จากเร่ืองนน้ั ไปปฏิบัตใิ หเ้ กิดประโยชน์ 2 รามเกยี รตติ์ อน ป.6/2 3. การพูดโน้มน้าวเปน็ การพดู จูงใจหรอื เชิญ ชวนใหผ้ ้ฟู ง๎ เกิดความรสู้ ึกคล้อยตามหรือเกดิ ศกึ ไมยราพ ป.6/5 กาํ ลังใจในการทําส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ ทีเ่ กิดประโยชน์ แก่สว่ นรวม ป.6/8 4. การมีมารยาทในการฟ๎งการดูและการพูด จะทําให้รบั สารและสง่ สารไดเ้ หมาะสมกับ ท 5.1 ป.6/1 กาลเทศะเป็นทชี่ ่นื ชมของผทู้ ่ีพบเหน็ ป.6/3 รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีไทยที่มเี ค้าโครงเรื่อง มาจากรามายณะของอินเดียเน้ือเรอ่ื งเป็นการ ทาํ สงครามอันยืดเย้ือระหวา่ งมนุษยล์ ิงและ ยกั ษม์ ีความสนุกสนานตืน่ เต้นเร้าใจโดยมี แกน่ สาํ คญั ของเรื่องคอื ธรรมะย่อมชนะ อธรรม ป.6/4 11 สภุ าษติ สอนหญิง ท 1.1 ป.6/1 สุภาษิตสอนหญงิ เปน็ วรรณคดคี าํ สอนแก่ 5 หญงิ ไทยให้คตเิ ตือนใจแนวทางในการ ป.6/2 ประพฤติปฏบิ ัตติ นทงั้ ทางกายวาจาใจทดี่ งี าม สอดคลอ้ งกบั ค่านยิ มและขนบธรรมเนียม ป.6/5 ประเพณไี ทยซึ่งยังคงทันสมยั และใชไ้ ดต้ ลอด กาล ป.6/8 ท 5.1 ป.6/1 ป.6/3 ป.6/4 12 คํากลอนสอนสภุ าษติ ... ท 1.1 การนําข้อคดิ จากคาํ กลอนสภุ าษิตไปปฏิบตั ิ 4 ทําใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อการดําเนินชีวติ ใหข้ ้อคิดสอนใจ ป.6/1 ประจาํ วัน และการอยู่ร่วมกันในสงั คม ป.6/2 ป.6/5 ป.6/8
72 ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ การเรยี นรู้/ (ช่ัวโมง) คะแนน ตวั ชี้วัด การทอ่ งจําบทอาขยานเพ่ือนําไปใช้อา้ งอิง (100) และนําข้อคดิ ไปเปน็ แนวทางในการดาํ เนนิ 13 บทอาขยาน ท 5.1 ชวี ิต 22 ป.6/1 ป.6/3 ป.6/4 ท 5.1 ป.6/4 14 คาํ อทุ าน... สอบกลางปี 1 10 สื่อสารอารมณ์ 4 2 ท 4/1 คาํ อุทานใชแ้ ทนอารมณ์ความรู้สกึ ตา่ งๆของผู้ ป.6/1 พูดทาํ ใหผ้ ู้ฟง๎ เข้าใจสิ่งท่ีพดู ชัดเจนยิง่ ขน้ึ 15 ระดบั ภาษาราชาศัพท์ ท 4/1 การเลอื กใช้ภาษาในการสือ่ สารกบั บคุ คล 6 2 5 2 ภาษาถิ่น...ใช้ให้เคยชิน ป.6/2 ตา่ งๆได้อยา่ งเหมาะสมเปน็ การอนรุ ักษ์ 5 2 4 2 และเหมาะสม วัฒนธรรมทางภาษาซ่งึ เปน็ เอกลักษณ์อย่าง 4 2 หนง่ึ ของชาติ 7 4 16 คําในภาษาไทย... ท 4/1 การรูล้ ักษณะของคาํ และความหมายของคาํ ท่นี ํามาใช้จาก ป.6/3 ภาษาต่างประเทศทใ่ี ช้ในภาษาทาํ ใหอ้ ่าน ภาษาตา่ งประเทศ เขียนและเขา้ ใจข้อความต่างๆได้ถูกต้อง ชัดเจนยิง่ ขน้ึ 17 สงั เกตอย่างไร... ท 4/1 ประโยคใช้สือ่ สารในชีวติ ประจําวนั การใช้ ประโยคชนิดใด ป.6/4 ประโยคได้ถกู ต้องจะทาํ ให้การส่ือสารมี หรอื กลมุ่ คํา ประสิทธิภาพ 18 กลอนสภุ าพ...ซาบซง้ึ ท 4/1 การแต่งบทร้อยกรองต้องคาํ นึงถงึ ลกั ษณะ ใจ ป.6/5 และข้อกําหนดของบทร้อยกรองแตล่ ะ ประเภทรจู้ กั เลือกสรรถ้อยคาํ ที่มีความหมาย และเสยี งคล้องจองเหมาะสมมาใชจ้ ึงจะทําให้ บทรอ้ ยกรองน้นั ไพเราะสละสลวย 19 สาํ นวนไทย...สอนใจ ท 4/1 คําพังเพยและสภุ าษิตเปน็ สํานวนไทยที่มี ให้คิด ป.6/6 ความหมายในเชิงเปรยี บเทียบและใหค้ ติ สอนใจ 20 อ่านคล่อง...ตอ้ งร้วู ิธี 2 ท 1.1 1.การอ่านงานเขยี นเชิงอธบิ ายคําสัง่ ป.6/6 ขอ้ แนะนาํ และปฏบิ ัตติ ามอย่างถกู ต้องจะทาํ ป.6/7 ให้ไดร้ ับประโยชน์ในการนาํ ไปใช้อยา่ งเต็มที่ ป.6/8 2. การอา่ นข้อมลู จากแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ
73 21 เขียนชํานาญ... ป.6/9 และกราฟทาํ ให้เขา้ ใจความหมายรวดเร็ว 20 4 งานสรา้ งสรรค์ 2 ชัดเจนยงิ่ ขึน้ และนาํ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้งา่ ย 6 2 ท 2.1 3. การอ่านหนังสือไมว่ า่ จะเป็นหนังสอื 22 ฟง๎ ดรู ู้สนทนา...ภาษา ป.6/2 ประเภทใดลว้ นแต่มีความสําคัญในการสรา้ ง ส่ือสาร 2 ป.6/3 พฤติกรรมแหง่ การเรียนร้ไู ด้ตลอดชีวิต ป.6/4 4. การมีมารยาทในการอา่ นแสดงถึงอปุ นสิ ยั ป.6/6 ทด่ี ซี ึง่ น่าชื่นชม ป.6/7 ป.6/8 1. การเขยี นสื่อสารต้องใชถ้ ้อยคาํ สํานวน ป.6/9 ภาษารวมท้งั รูปแบบใหถ้ ูกต้องเหมาะสมเพ่ือ สื่อความหมายได้ชดั เจนตรงตามวัตถุประสงค์ ท 3.1 2. การเขยี นแผนภาพโครงเรื่องและแผนภาพ ป. 6/3 ความคิดเพอื่ ใช้พฒั นางานเขียนจะช่วยใหก้ าร นาํ เสนอข้อมลู มรี ะบบงานเขียนมีประเด็น ชดั เจนและได้ความครบถว้ นสมบูรณ์ 3. การเขียนเรียงความมีรูปแบบเฉพาะคือมี คาํ นําเนือ้ เร่ืองและสรปุ เป็นการเขียนเพื่อ ถา่ ยทอดความรู้ความคิดความร้สู กึ และ ประสบการณ์ไปยงั ผู้อ่าน 4. การเขยี นจดหมายส่วนตวั เพ่อื ใช้ ติดต่อส่อื สารกับบิดามารดาญาตพิ ่นี ้องหรือ เพ่อื นควรเลือกใช้ถอ้ ยคาํ สํานวนภาษาให้ ถกู ต้องเหมาะสมกับสถานการณ์จะทําใหก้ าร สือ่ สารน้นั ประสบผลสาํ เร็จตรงตาม วตั ถปุ ระสงค์ 5. การกรอกแบบรายการได้ครบถว้ นถกู ต้อง ด้วยลายมอื ที่อ่านง่ายสะอาดเรยี บร้อยจะทํา ใหก้ ารตดิ ต่อสื่อสารกบั หน่วยงานหรือองคก์ ร ต่างๆประสบความสาํ เรจ็ 6. การเขียนเรอื่ งตามจนิ ตนาการต้องมี ความรู้เก่ยี วกับเรื่องน้ันอยา่ งดจี ากนั้นจงึ วาง โครงเรื่องทส่ี นุกและน่าสนใจแลว้ เรียบเรียง เรอ่ื งโดยใชส้ าํ นวนภาษาทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ให้ ผอู้ ่านเห็นภาพและเกดิ ความรู้สึกคลอ้ ยตาม เนอื้ เรอื่ งท่อี ่าน 7. การมมี ารยาทในการเขยี นจะชว่ ยให้การ ถ่ายทอดความรูแ้ ละความคิดของผเู้ ขียนไปสู่ ผอู้ า่ นมีประสิทธิภาพและประสบผลสําเรจ็ 1. การวเิ คราะห์ความน่าเช่อื ถือจาก สอ่ื โฆษณาต้องใช้ข้อมูลและเหตผุ ลประกอบ
74 ป. 6/4 เพื่อจะได้เลือกซ้อื สินค้าท่มี ีคุณภาพหรือใช้ ป. 6/6 บริการตามที่ต้องการอย่างคุ้มคา่ 2. การพูดรายงานทด่ี ที าํ ให้การนําเสนอข้อมลู มีความนา่ สนใจผู้ฟ๎งได้รบั ความรู้และ ประโยชนจ์ ากการฟง๎ 3. การมีมารยาทในการฟ๎งการดแู ละการพูด จะทาํ ให้รบั สารและส่งสารได้เหมาะสมกบั กาลเทศะเปน็ ท่ีชืน่ ชมของผทู้ ่ีพบเห็น 23 นิทานทองอนิ ตอน ท 1.1 นิทานทองอนิ ตอนนากพระ-โขนงทสี่ อง 7 2 นากพระโขนงทสี่ อง ป. 6/1 สะท้อนให้เหน็ การเกดิ ข่าวลอื ข้นึ ในสังคม 6 2 ป. 6/2 แมก้ ระทั่งได้เห็นสง่ิ นน้ั ด้วยตาก็อาจไมใ่ ช่ 4 2 24 บทเสภาเรอ่ื ง ป. 6/3 ความจริงยงิ่ ผรู้ บั ข่าว ขุนช้างขุนแผน ป. 6/5 สารต้องมีวจิ ารณญาณไตรต่ รองเพ่ือไมใ่ หห้ ลง ตอนกําเนิดพลายงาม ป. 6/8 ผดิ หรอื ตกเป็นเหย่ือของผ้ไู ม่หวงั ดี 25 นทิ านพนื้ บา้ น ท 5.1 บทเสภาเร่อื งขนุ ช้างขุนแผนเปน็ วรรณคดที ี่ และเพลงพน้ื บ้าน ป.6/1 สะทอ้ นความเป็นไทยอย่างเด่นชัดทงั้ สภาพ ป.6/2 สังคมวถิ ชี วี ติ วัฒนธรรมความเชอื่ และยัง ป.6/3 สะทอ้ นความจรงิ ของชีวิตทตี่ ้องพบกับความ ทกุ ข์ความเสียใจความพลดั พรากสง่ิ เหล่าน้ี ท 1.1 ลว้ นเปน็ คณุ ค่าของวรรณคดี ป.6/1 ที่ผู้อา่ นจะได้รับ ป.6/2 ป.6/5 การนาํ ข้อคดิ จากคาํ กลอน ป.6/8 สภุ าษติ ไปปฏิบัติทําใหเ้ กิด ประโยชน์ตอ่ การดาํ เนนิ ชวี ติ ท 5.1 ประจําวนั และการอยูร่ ่วมกนั ป.6/1 ในสงั คม ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ท5.1 ป.6/2
75 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ การเรียนร้/ู (ชั่วโมง) คะแนน การทอ่ งจําบทอาขยานเพ่ือนาํ ไปใช้อ้างองิ (100) 26 บทอาขยาน ตวั ชีว้ ัด และนาํ ข้อคิดไปเป็นแนวทางในการดาํ เนนิ 2 ชีวติ 2 ท 5.1 ป.6/4 สอบปลายปี - 30 รวมตลอดทั้งปี 160 100
76 ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ไดจ้ ัดทาํ สอื่ และจัดให้มแี หลง่ เรียนรู้ ตามหลักการและนโยบายของการ จัดการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ดังนี้ ส่ือการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มี หลากหลายประเภท ท้ังสื่อธรรมชาติ สื่อส่ิงพิมพ์ ส่ือเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีมีในท้องถิ่น การเลอื กใช้ส่อื ควรเลอื กให้มคี วามเหมาะสมกับระดบั พัฒนาการ และลีลาการเรยี นรู้ท่ีหลากหลายของผเู้ รียน การจัดหาส่อื การเรยี นรู้ ผเู้ รียนและผ้สู อนสามารถจดั ทําและพัฒนาข้ึนเอง หรือปรบั ปรุงเลือกใช้อย่างมีคุณภาพ จากสื่อต่าง ๆ ท่ีมีอยู่รอบตัวเพื่อนํามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถส่งเสริมและส่ือสารให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพ่ือพัฒนาให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพ้ืนที่การศึกษา หน่วยงานที่เก่ียวข้องและผู้มีหน้าท่ีจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดําเนินการ ดังนี้ 1. จดั ใหม้ แี หล่งการเรยี นรู้ ศนู ยส์ ่ือการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการเรียนรู้ท่ีมี ประสิทธิภาพทงั้ ในสถานศึกษาและในชุมชน เพ่อื การศึกษาคน้ คว้าและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศึกษา ท้องถ่นิ ชมุ ชน สังคมโลก 2. จัดทําและจัดหาสื่อการเรียนรู้สําหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทั้ง จัดหาสิ่งท่ีมอี ยู่ในท้องถ่ินมาประยกุ ตใ์ ช้เปน็ สื่อการเรียนรู้ 3. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรยี นรู้ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผู้เรียน 4. ประเมนิ คุณภาพของสือ่ การเรียนรู้ท่ีเลือกใช้อย่างเป็นระบบ 5. ศกึ ษาคน้ คว้า วจิ ัย เพื่อพฒั นาสื่อการเรยี นรใู้ หส้ อดคล้องกบั กระบวนการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น 6. จัดให้มีการกํากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับสื่อและการใช้ส่ือการเรียนรู้ เป็นระยะ ๆ และสมํ่าเสมอ ในการจัดทํา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ท่ีใช้ในสถานศึกษาควรคํานึงถึง หลักการสําคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เน้ือหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคง ของชาติ ไมข่ ัดต่อศีลธรรม มกี ารใชภ้ าษาท่ีถูกตอ้ ง รูปแบบการนาํ เสนอท่ีเขา้ ใจง่าย และนา่ สนใจ
77 คะแนน (70) การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 60 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย 10 (30) 1. อตั ราส่วนคะแนน (ระดับประถมศึกษา) 100 คะแนนระหวา่ งปีการศกึ ษา : สอบปลายปกี ารศกึ ษา = 70 : 30 รายการวดั ระหว่างภาค มกี ารวัดและประเมินผล ดงั น้ี 1. คะแนนระหว่างปกี ารศกึ ษา 1.1 วัดโดยใชแ้ บบทดสอบ 1.2 วดั ทกั ษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ (เลือกวัดตามแผนการจัดการเรียนร)ู้ 1.2.1 ภาระงานที่มอบหมาย - การทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หัด/สมดุ งาน - การศึกษาคน้ ควา้ /การนาํ เสนองาน - การรว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ 1.2.2 ทกั ษะการสอ่ื สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสําคัญของผู้เรยี น - การอ่าน - การเขียน - การฟ๎ง ดู พูด 1.3 วัดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 2. คะแนนสอบกลางปกี ารศึกษา มกี ารวัดและประเมินผลโดยใชแ้ บบทดสอบ คะแนนสอบปลายปีการศึกษา มีการวดั และประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบ รวมทั้งภาคเรยี น
78 2. อัตราสว่ นคะแนน (ระดบั มธั ยมศึกษา) คะแนน (70) คะแนนระหวา่ งภาคเรียน : สอบปลายภาคเรยี น = 70 : 30 60 รายการวดั 10 (30) ระหวา่ งภาค 100 มีการวัดและประเมนิ ผล ดงั น้ี 1. คะแนนระหวา่ งปีการศึกษา 1.1 วดั โดยใชแ้ บบทดสอบ 1.2 วัดทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ (เลือกวัดตามแผนการจัดการเรียนรู้) 1.2.1 ภาระงานที่มอบหมาย - การทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทักษะ - การศึกษาค้นควา้ /การนําเสนองาน - การรว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.2.2 ทกั ษะการสื่อสารทางภาษาไทย และสมรรถนะสําคัญของผู้เรยี น - การอ่าน - การเขียน - การฟง๎ ดู พูด 1.3 วดั คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2. คะแนนสอบกลางภาค มีการวดั และประเมนิ ผลโดยใช้แบบทดสอบ คะแนนสอบปลายภาค มกี ารวดั และประเมินผลโดยใชแ้ บบทดสอบ รวมท้ังภาคเรยี น 3. เกณฑก์ ารวดั ผลประเมินผล 1. การวัดและประเมนิ ผลโดยใชแ้ บบทดสอบ กําหนดเกณฑ์การให้คะแนนแต่ละแบบทดสอบ ดังน้ี 1.1 เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบเลอื กตอบ พจิ ารณาจากความถูกผดิ ของการเลือกตอบ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน 1.2 เกณฑ์ให้คะแนนแบบทดสอบแบบถูกผดิ พิจารณาจากความถูกผดิ ของคําตอบ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน 1.3 เกณฑ์ใหค้ ะแนนแบบทดสอบแบบเตมิ คาํ พจิ ารณาจากความถกู ผดิ ของคาํ ตอบ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน
79 1.4 เกณฑ์ใหค้ ะแนนแบบทดสอบแบบเขียนตอบ พจิ ารณาจากคาํ ตอบในภาพรวมทง้ั หมด โดยกําหนดระดบั คะแนนเปน็ 4 ระดบั ดงั นี้ ระดับคะแนน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 4 ตอบได้ถูกต้อง และสามารถอธบิ ายเหตุผลไดอ้ ยา่ งชัดเจน พรอ้ มทั้งแสดงแนวคดิ เชิงเปรยี บเทียบ 3 ตอบได้ถกู ต้อง และสามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชดั เจน 2 ตอบได้ถกู ต้อง และสามารถอธิบายเหตุผลไดเ้ ป็นบางส่วน แตย่ งั ไม่อย่างชัดเจน 1 ตอบได้ถูกต้อง แต่ไม่สามารถอธิบายเหตผุ ลได้ 0 ตอบได้ถกู ต้อง และไมส่ ามารถอธิบายเหตุผลได้ 2. การวดั และประเมนิ ผลดา้ นทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ 2.1 ภาระงานท่ีมอบหมาย ดังนี้ - ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะ กําหนดเกณฑ์การประเมนิ ผลของการทาํ ใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะ เปน็ 4 ระดับ ดังนี้ ระดับคุณภาพ เกณฑก์ ารพิจารณา 4 - ทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะครบถ้วนและเสรจ็ ตามกาํ หนดเวลา (ดมี าก) - ทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หัด/แบบฝึกทักษะไดถ้ ูกต้อง - แสดงลําดับขน้ั ตอนของการทําใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทกั ษะชัดเจนเหมาะสม 3 (ด)ี - ทาํ ใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะครบถ้วนและเสรจ็ ตามกําหนดเวลา - ทาํ ใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะได้ถูกต้อง 2 - สลับข้นั ตอนของการทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทักษะ หรือไมร่ ะบุขน้ั ตอนของการ (พอใช้) ทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะ 1 (ต้องปรับปรุง) - ทําใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะครบถว้ น แต่เสรจ็ หลงั กาํ หนดเวลาเล็กนอ้ ย - ทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะข้อไม่ถูกต้อง - สลับขน้ั ตอนของการทาํ ใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะ หรอื ไม่ระบขุ น้ั ตอนของการ ทําใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทักษะ - ทาํ ใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะไม่ครบถ้วน หรือไม่เสรจ็ ตามกาํ หนดเวลาเล็ก - ทาํ ใบงาน/แบบฝกึ หดั /แบบฝึกทกั ษะไม่ถกู ต้อง - แสดงลาํ ดบั ขนั้ ตอนของการทําใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝกึ ทักษะไม่สัมพนั ธ์กบั โจทย์ หรอื ไม่แสดงลาํ ดบั ขน้ั ตอน
80 2.2 ทกั ษะการส่ือสารทางภาษาไทย และสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น - การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นภาษาไทย การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษาเป็นงานที่ยากซึ่งต้องการความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับการ พัฒนาทางภาษา ดังน้ันผู้ปฏิบัติหน้าท่ีวัดผลการเรียนรู้ด้านภาษาจําเป็นต้องเข้าใจหลักการของการเรียนรู้ ภาษาไทย เพ่ือเป็นพื้นฐานการดาํ เนนิ งานดังน้ี 1. ทกั ษะทางภาษาทงั้ การฟ๎ง การดู การพูด การอ่าน และการเขียนมคี วามสาํ คัญเท่า ๆ กันและทกั ษะ เหล่านจ้ี ะบูรณาการกันในการเรียนการสอนจะไม่แยกฝึกทักษะทีละอย่างจะต้องฝึกทักษะไปพร้อม ๆ กนั และ ทักษะทางภาษาทักษะหนึ่งจะสง่ ผลตอ่ การพัฒนาทกั ษะทางภาษาอื่น ๆ ดัวย 2. ผู้เรยี นตอ้ งไดร้ บั การพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกบั การพัฒนาความคดิ เพราะภาษาเป็น สื่อของความคดิ ผทู้ ี่มที ักษะและความสามารถในการใช้ภาษาจะช่วยใหผ้ เู้ รียนมีความสามารถในการคิดด้วย ขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรยี นรว่ มกันกับผู้อืน่ มีการติดต่อส่อื สาร ใช้ภาษาในการติดต่อกบั เพ่ือนกับครูจึง เปน็ การฝกึ ทักษะทางสงั คมด้วย เมอื่ ผเู้ รยี นไดใ้ ช้ภาษาในสถานการณ์จริงทง้ั ในบริบททางวชิ าการในห้องเรยี น และในชมุ ชนจะทาํ ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ช้ภาษาและได้ฝกึ ทักษะทางสงั คมในสถานการณจ์ ริง 3. ผูเ้ รียนต้องเรยี นรกู้ ารใช้ภาษาพดู และภาษาเขียนอย่างถูกต้องด้วยการฝกึ การใช้ภาษามใิ ช่เรียนรู้ กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพยี งอย่างเดยี ว การเรียนภาษาจะต้องเรยี นรู้ไวยากรณ์หรอื หลักภาษาการสะกดคาํ การ ใช้เครอื่ งหมายวรรคตอน และนําความร้ดู ังกลา่ วไปใช้ในการฝึกฝนการเขยี นพฒั นาทักษะทางภาษาของตน 4. ผูเ้ รยี นทกุ คนจะได้รับการพัฒนาทกั ษะทางภาษาเทา่ กนั แต่การพัฒนาทางภาษาจะไมเ่ ทา่ กนั และ วิธกี ารเรยี นร้จู ะตา่ งกนั 5. ภาษากบั วัฒนธรรมมคี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างใกล้ชดิ หลักสตู รจะต้องใหค้ วามสําคัญและใช้ความ เคารพและเห็นคุณคา่ ของเชื้อชาติ จดั กจิ กรรมภูมหิ ลังของภาษาและการใชภ้ าษาถิ่นของผู้เรยี นและชว่ ยให้ ผ้เู รยี นพัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สกึ ทด่ี เี ก่ียวกบั ภาษาไทยและกระต้นุ ให้ผู้เรียนสามารถเรยี น ภาษาไทยดว้ ยความสุข 6. ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือของการเรียนรู้ และทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องใช้ภาษาไทยเป็น เคร่อื งมอื การสอื่ สารและการแสวงหาความรู้ การเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะใช้ภาษาในการหลักสูตรกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ คิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การอภิปราย การเขียน รายงาน การเขียนโครงการ การตอบคําถามการตอบข้อทดสอบ ดังนั้นครูทุกคนไม่ว่าจะสอนวิชาใดก็ตาม จะตอ้ งใช้ภาษาทเ่ี ป็นแบบแผน เป็นตัวอยา่ งทดี่ แี ก่นักเรียน และต้องสอนการใช้ภาษาแก่ผู้เรียนดว้ ยเสมอ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลผลการเรยี นของผู้เรยี น วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีถูกนํามาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป ได้แก่ การสังเกตการตรวจงานหรือ ผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออกอย่างไรก็ตาม มีการนําเสนอแนว ทางการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเปูาประสงค์ของการประเมินที่เฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพื่อ ขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ะสามารถนํามาใช้ประโยชนต์ อ่ การปรับปรุงพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ ดังนี้ 1. การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคําตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบเลือกตอบ ถูก- ผิด จับคู่ และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคําตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่างคําตอบส้ันเป็นประโยค เป็น ข้อความ แผนภูมกิ ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยวกี ารนี้เหมาะกับการวัดความรู้เก่ียวกับข้อเท็จจริง ความรู้เก่ียวกับ กระบวนการ ซึ่งมีข้อดีท่ีใช้เวลาในการดําเนินการน้อย ง่าย และสะดวกต่อการนําไปใช้ให้ผลการประเมินท่ี ตรงไปตรงมา เน่ืองจากมีเกณฑ์การประเมินชัดเจน แต่ไม่เหมาะกับการนําไปใช้กับผลการเรียนรู้ท่ีเป็นเจตคติ คา่ นิยม
81 2. การพิจารณาจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บันทึกประจําวัน รายงานการทดลอง บทละครบทร้อยกรอง แฟมู ผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นตัวแสดงให้เห็นการนําความรู้และทักษะไปใช้ในการ ปฏิบัติงานของผู้เรียน จุดเด่นของการประเมินโดยดูจากผลงานนี้คือจะแสดงให้เห็นส่ิงท่ีนักเรียนสามารถทําได้ มีการกําหนดเกณฑ์การประเมิน เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ เพื่อการปรับปรุงพัฒนาตนเองของ ผูเ้ รยี น เพ่อื นกส็ ามารถใชเ้ กณฑใ์ นการประเมนิ ผลงานของผู้เรยี นไดเ้ ช่นกัน จดุ ด่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมีการกําหนดเกณฑ์การประเมินร่วมกัน ต้องใช้เวลาในการประเมินมาก รวมท้ังตัวแปรภายนอกอาจ เข้ามามอี ทิ ธิพลต่อการประเมินได้ง่าย 3. พจิ ารณาการปฏิบตั ิ โดยผู้สอนสามารถสงั เกตการนําทกั ษะและความรู้ไปใช้ได้โดยตรงในสถานกรณี ท่ีให้ปฏิบัติจริง วิธีการน้ีถูกนําไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมิน มีคุณค่ามาก หากผู้เรียนได้นําไปใช้ในการ ประเมินตนเองเพ่ือสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ในกระบวนการประเมินจะมีเครื่องมือ ประกอบการดําเนนิ การคอื แบบสาํ รวจรายการ ประมาณคา่ และเกณฑก์ ารให้ระดบั คะแนน (scoring rubic) 4. พิจารณากระบวนการ วิธีการนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ กระบวนการคิดของผู้เรียน มากกว่าที่จะดูผลงานหรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทําให้เข้าใจกระบวนการคิดที่ผู้เรียนใช้ วิธีการท่ีครูผู้สอนใช้อยู่เป็น ประจาํ ในกระบวนการเรยี นการสอน คอื การให้นักเรียนคิดดัง ๆ การตั้งคาํ ถามใหน้ ักเรียนตอบ โดยครูจะเป็นผู้ สงั เกตวธิ กี ารคิดของผเู้ รยี น วธิ ีการเช่นนี้เป็นกระบวนการท่จี ะใหข้ ้อมลู เพอ่ื การวนิ ิจฉัย และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน โดยการ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู อย่างต่อเนื่อง ซ่งึ เหมาะกบั การประเมินพัฒนาการด้านคุณธรรม จริยธรรมและลักษณะนิสัย จากแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้นสามารถนํามาพิจารณา กาํ หนดแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะทางภาษาได้โดยการสังเกตผ่านพฤติกรรมการปฏิบัติต่าง ๆ ของ ผู้เรยี น เช่น การเล่าเร่อื ง การใหค้ ําชีแ้ จง การเล่าประสบการณ์ การรว่ มกิจกรรมต่าง ๆ การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม หรือบุคคล หากผลการเรียนรู้ท่ีต้องการจากการเรียนคือความรู้ ความคิดเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของภาษา การใช้ ภาษา วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินท่ีเหมาะสม คือ การใช้ข้อสอบ ซึ่งอาจเป็นแบบเลือกตอบ หรือให้สร้างคําตอบการประเมินด้วยการกําหนดประเด็นการประเมินท่ีแจกแจงระดับการปฏิบัติ (Rubric) Rubric เป็นเคร่อื งมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้ท่ีกาํ ลังได้รบั การยอมรบั และถูกนํามาใช้ในการประเมินผลการเรียน อย่างกว้างขวาง เนื่องจากผลการประเมินที่ได้มีคุณค่าต่อการปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่า ตัวเลขคะแนน และมีประสทิ ธิภาพสาํ หรบั การประเมินการปฏบิ ตั ิหรือผลงานที่ไม่มคี าํ ตอบถูกเพียงคําตอบเดียว หรือการแก้ป๎ญหาทางเดียว แต่จะมีคําตอบที่หลากหลายการตัดสินผลการประเมินจําเป็นต้องมีเกณฑ์การ ประเมินที่แสดงระดับคุณภาพที่ต้องการการประเมินความสามารถหรือทักษะทางภาษา เคร่ืองมือประเภทน้ี น่าจะเป็นเครื่องมือที่สามารถนําไปใช้ได้อย่างสอดคล้อง แต่เน่ืองจากสร้างยากแต่หากสามารถพัฒนาข้ึนใช้ได้ จะช่วยให้ผลการประเมินเท่ียงตรง เชื่อถือได้ และยุติธรรม รวมทั้งมีคุณค่าต่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง ของผู้เรยี น เน่ืองจากระบคุ วามคาดหวงั ของการปฏิบัติไวอ้ ยา่ งชัดเจน
82 - การประเมินผลสมรรถนะสําคัญของผเู้ รียน การประเมนิ ผลสมรรถนะสาํ คัญของผ้เู รยี น ประเมินโดยใชแ้ บบประเมนิ สมรรถนะสําคญั ของผูเ้ รยี น โดยกาํ หนดเกณฑ์ในการประเมิน ดังน้ี ระดับคุณภาพ ความหมาย (3) ผเู้ รยี นปฏบิ ัติตนตามสมรรถนะจนเปน็ นิสยั และนําไปใชใ้ นชวี ติ ประจําวันเพื่อ ดีเย่ยี ม ประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพจิ ารณาจากผลการประเมินระดับดเี ยยี่ ม จาํ นวน 3-5 สมรรถนะ และไม่มสี มรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ต่ํากวา่ ระดบั ดี (2) ดี ผเู้ รยี นมสี มรรถนะในการปฏิบัตติ ามกฎเกณฑ์ เพ่ือใหเ้ ป็นการยอมรบั ของสังคม โดยพิจารณาจาก 1. ได้ผลการประเมินระดบั ดีเยยี่ ม จาํ นวน 1-2 สมรรถนะ และไม่มี สมรรถนะใดได้ผลการประเมินตา่ํ กวา่ ระดบั ดี หรือ 2. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดเี ยย่ี ม จํานวน 2 สมรรถนะ และไมม่ สี มรรถนะ ใดไดผ้ ลการประเมินต่ํากว่าระดับผา่ น หรือ 3. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดี จาํ นวน 4-5 สมรรถนะ และไมม่ ีสมรรถนะใด ได้ผลการประเมินตา่ํ กว่าระดับผ่าน ผเู้ รียนรับรแู้ ละปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขทสี่ ถานศึกษากาํ หนด โดย พิจารณาจาก (1) 1. ได้ผลการประเมนิ ระดับผา่ น จาํ นวน 4-5 สมรรถนะ และไม่มสี มรรถนะ ผ่าน ใดไดผ้ ลการประเมินต่ํากวา่ ระดบั ผา่ น หรือ 2. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับดี จาํ นวน 2 สมรรถนะ และไมม่ สี มรรถนะใด ไดผ้ ลการประเมินตํา่ กว่าระดับผา่ น (0) ผ้เู รียนรับรู้และปฏบิ ัติได้ไม่ครบตามเกณฑแ์ ละเง่ือนไขทีก่ ําหนด โดยพิจารณา ไม่ผา่ น จากผลการประเมินระดบั ต้องปรบั ปรุง ต้ังแต่ 1 สมรรถนะ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั สิ มํา่ เสมอ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมทีป่ ฏิบตั ิบ่อยครงั้ ให้ 1 คะแนน พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัตบิ างครง้ั ให้ 0 คะแนน พฤติกรรมท่ีปฏบิ ตั ิน้อยคร้ัง เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคุณภาพตามสมรถนะรายข้อ ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ 13 - 15 ดีเยย่ี ม (3) 9 - 12 ดี (2) 5-8 ผ่าน (1) ต่าํ กวา่ 5 ไมผ่ ่าน (0)
83 แบบประเมินสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน ชอ่ื .......................................................นามสกลุ ....................................................เลขท.่ี .............ชน้ั ................... คาชี้แจง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน และขีด ลงในช่องท่ีตรงกบั คะแนน สมรรถนะดา้ น รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม ดี ผา่ น ไมผ่ ่าน (3) (2) (1) (0) 1. ความสามารถ 1.1 มคี วามสามารถในการรบั -ส่งสาร ในการส่อื สาร 1.2 มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจ ของตนเอง โดยใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสม 1.3 ใชว้ ิธกี ารส่อื สารท่เี หมาะสม มปี ระสทิ ธิภาพ 1.4 เจรจาต่อรองเพือ่ ขจดั และลดป๎ญหาความขดั แย้งตา่ ง ๆ ได้ 1.5 เลือกรับและไม่รับขอ้ มลู ข่าวสารด้วยเหตผุ ลและถกู ตอ้ ง 2. ความสามารถ สรุปผลการประเมิน รวม .......... คะแนน ระดับ ............... ในการคิด 2.1 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ รวม .......... คะแนน ระดับ ............... 2.2 มีทกั ษะในการคิดนอกกรอบอย่างสรา้ งสรรค์ 2.3 สามารถคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ 2.4 มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ 2.5 ตดั สินใจแก้ป๎ญหาเกย่ี วกับตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สรุปผลการประเมนิ 3. ความสามารถ 3.1 สามารถแก้ป๎ญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้ ในการแก้ปญ๎ หา 3.2 ใช้เหตผุ ลในการแกป้ ญ๎ หา 4. ความสามารถ 3.3 เขา้ ใจความสมั พันธ์และการเปล่ียนแปลงในสังคม รวม .......... คะแนน ระดับ ............... ในการใช้ทกั ษะ 3.4 แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความร้มู าใช้ในการปอู งกนั และแก้ไข รวม .......... คะแนน ระดับ ............... ชวี ิต ป๎ญหา 3.5 สามารตดิ สินใจไดเ้ หมาะสมตามวยั 5. ความสามารถ ในการใช้ สรปุ ผลการประเมนิ เทคโนโลยี 4.1 เรียนรูด้ ว้ ยตนเองได้เหมาะสมตามวัย 4.2 สามารถทํางานกลุ่มร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้ 4.3 นําความรู้ท่ีได้ไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาํ วัน 4.4 จดั การป๎ญหาและความขดั แย้งได้เหมาะสม 4.5 หลกี เล่ยี งพฤตกิ รรมไม่พึงประสงคท์ ีส่ ่งผลกระทบตอ่ ตนเอง สรุปผลการประเมนิ 5.1 เลือกและใชเ้ ทคโนโลยไี ดเ้ หมาะสมตามวัย 5.2 มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี 5.3 สามารถนาํ เทคโนโลยไี ปใช้พัฒนาตนเอง 5.4 ใชเ้ ทคโนโลยีในการแก้ป๎ญหาอยา่ งสร้างสรรค์ 5.5 มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการใชเ้ ทคโนโลยี รวม .......... คะแนน ระดับ ............... สรุปผลการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑก์ ารประเมินในหลักสูตรรายชัน้ ลงชอ่ื ...................................................ผปู้ ระเมนิ
84 3. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ การประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมนิ โดยใช้แบบประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ โดยกาํ หนดเกณฑ์ในการประเมิน ดงั น้ี ระดบั คุณภาพ ความหมาย (3) ผูเ้ รยี นปฏบิ ตั ติ นตามคณุ ลักษณะจนเปน็ นิสัยและนาํ ไปใช้ในชวี ติ ประจําวนั เพื่อ ดีเย่ยี ม ประโยชนส์ ุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมนิ ทั้ง 8 คุณลกั ษณะ คือ ไดร้ ะดับ 3 จาํ นวน 5-8 คุณลกั ษณะ และไม่มคี ณุ ลักษณะใดได้ผล (2) การประเมินตาํ่ กว่าระดับ 2 ดี ผู้เรียนมีคณุ ลักษณะในการปฏิบัติตามเกณฑ์ เพื่อให้เปน็ ท่ียอมรบั ของสังคม (1) โดยพจิ ารณาจาก ผ่าน 1. ได้ผลการประเมินระดบั 3 จาํ นวน 1-4 คณุ ลักษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใด (0) ไดผ้ ลการประเมินตํ่ากว่าระดับ 2 หรอื ไมผ่ ่าน 2. ได้ผลการประเมินระดับ 3 จาํ นวน 4 คุณลกั ษณะ และไม่มีคุณลักษณะใด ได้ผลการประเมินตํา่ กว่าระดับ 1 หรอื 3. ไดผ้ ลการประเมินระดบั 2 จาํ นวน 5-8 คุณลกั ษณะ และไม่มคี ุณลักษณะใด ได้ผลการประเมินตํ่ากว่าระดับ 1 ผเู้ รยี นรับรูแ้ ละปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ และเงื่อนไขท่ีสถานศึกษากาํ หนด โดยพจิ ารณาจาก 1. ได้ผลการประเมนิ ระดับ 1 จํานวน 5-8 คณุ ลกั ษณะ และไม่มคี ณุ ลกั ษณะใด ได้ผลการประเมนิ ต่ํากวา่ ระดับ 1 หรือ 2. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั 2 จํานวน 4 คุณลกั ษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใด ไดผ้ ลการประเมินตาํ่ กว่าระดับ 1 ผเู้ รียนรบั รู้และปฏิบตั ิได้ไมค่ รบตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขที่สถานศกึ ษากาํ หนด โดย พจิ ารณาจากผลการประเมินระดับ 0 ตง้ั แต่ 1 คณุ ลักษณะข้ึนไป เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติสมา่ํ เสมอ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัตบิ ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ัติบางครง้ั ให้ 0 คะแนน พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิน้อยครั้ง
85 แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ชือ่ .......................................................นามสกลุ ....................................................เลขที่..............ช้ัน................... คาชแี้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน และขดี ลงในชอ่ งทีต่ รงกบั คะแนน สมรรถนะด้าน รายการประเมิน ดเี ยี่ยม ระดับคุณภาพ ไม่ผ่าน 1. รักชาติ ศาสน์ (3) (0) - ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาติได้ ดี ผ่าน กษตั ริย์ - เขา้ รว่ มกจิ กรรมทสี่ รา้ งความสามคั คี ปรองดอง และเปน็ (2) (1) 2. ซ่ือสัตย์ สุจรติ ประโยชนต์ ่อโรงเรียน 3. มวี นิ ัย รับผิดชอบ - เข้าร่วมกจิ กรรมทางศาสนาท่ีตนนบั ถือ ปฏิบัติตามหลัก 4. ใฝุเรยี นรู้ ศาสนา 5. อยอู่ ยา่ งพอเพียง - เข้าร่วมกิจกรรมทเ่ี กย่ี วกบั สถาบันพระมหากษตั ริยต์ ามที่ 6. มุง่ ม่นั ในการทาํ งาน 7. รกั ความเป็นไทย โรงเรียนจัดขึ้น 8. มีจิตสาธารณะ - ให้ขอ้ มูลท่ถี ูกตอ้ ง และเปน็ จริง - ปฏิบตั ิในสิ่งทถ่ี กู ต้อง - ปฏบิ ตั ิตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบงั คับของ ครอบครัว มีความตรงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกจิ กรรม ตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจําวนั - รู้จกั ใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ และนําไปปฏบิ ตั ิได้ - รู้จกั จัดสรรเวลาใหเ้ หมาะสม - เช่ือฟง๎ คําสัง่ สอนของบดิ า - มารดา โดยไม่โต้แย้ง - ตั้งใจเรยี น - ใช้ทรัพย์สินและสิ่งของของโรงเรยี นอย่างประหยดั - ใชอ้ ุปกรณ์การเรยี นอย่างประหยดั และรูค้ ณุ ค่า - ใช้จ่ายอย่างประหยดั และมกี ารเกบ็ ออมเงนิ - มีความตัง้ ใจและพยายามในการทาํ งานทีไ่ ด้รับมอบหมาย - มคี วามอดทนและไม่ทอ้ แท้ต่ออุปสรรคเพอื่ ใหง้ านสาํ เรจ็ - มจี ิตสาํ นกึ ในการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภมู ปิ ๎ญญาไทย - เหน็ คุณคา่ และปฏบิ ตั ติ นตามวฒั นธรรมไทย 1. ร้จู กั ช่วยพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครทู ํางาน 2. รู้จักการดแู ลรกั ษาทรพั ย์สมบตั ิและสงิ่ แวดลอ้ มของ ห้องเรียนและโรงเรียน ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑ์การประเมนิ ในหลกั สูตรรายชน้ั ลงชือ่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
86 4. เกณฑ์การตัดสินผลการเรยี น 4.1 เกณฑ์การตดั สนิ ระดับผลการเรียน ระดับผลการเรียน ความหมาย ชว่ งคะแนน 4 ผลการเรียนดีเยยี่ ม 0 - 49 3.5 ผลการเรียนดีมาก 50 - 54 3 55 - 59 2.5 ผลการเรยี นดี 60 - 64 2 ผลการเรียนคอ่ นขา้ งดี 65 - 69 1.5 ผลการเรียนปานกลาง 70 - 74 1 75 - 79 0 ผลการเรียนพอใช้ 80 - 100 ผลการเรียนผา่ นเกณฑ์ขั้นต่ํา ผลการเรียนตํ่ากว่าเกณฑ์ 4.2 เกณฑ์การตดั สนิ ผลการเรียน ร และ มส. 4.2.1 ตัดสนิ ผลการเรียน ร หมายถงึ รอการตดั สินและยงั ตัดสนิ ผลการเรยี นไม่ไดเ้ นื่องจาก ผู้เรียนไม่มีขอ้ มูลผลการเรยี น ในรายวชิ าครบถ้วน ได้แก่ ไม่ไดว้ ัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงาน ทม่ี อบหมายใหท้ ํา ซ่ึงงานน้นั เป็นส่วนหน่ึงของการตัดสนิ ผลการเรยี น หรือมเี หตุ สุดวิสัยทที่ าํ ใหป้ ระเมินผลการเรียนไม่ได้ 1.2.2 ตัดสินผลการเรียน มส. หมายถึง ผเู้ รียนไม่มีสทิ ธิเขา้ รับการวดั ผลปลายภาคเรยี น เน่ืองจากผเู้ รียนมเี วลาเรียนไมถ่ งึ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด และไม่ได้รับการผ่อนผนั ใหเ้ ขา้ รบั การวดั ผล ปลายภาคเรยี น 5. การประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์และการเขียน เกณฑ์การประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละการเขียน คะแนนเต็ม 20 คะแนน ระดับคณุ ภาพ ความหมาย ช่วงคะแนน ดเี ยีย่ ม 16 - 20 ดี มีผลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ 13 - 15 ผ่าน และเขยี น ท่ีมคี ณุ ภาพดีเลศิ อยู่เสมอ 10 - 12 ไมผ่ ่าน มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ 0–9 และเขียน ที่มีคณุ ภาพเป็นที่ยอมรบั ได้ มีผลงานท่ีแสดงถึงความสามารถในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียน ท่ีมคี ณุ ภาพเปน็ ที่ยอมรับได้ แตย่ งั มีขอ้ บกพร่อง บางประการ ไมม่ ผี ลงานท่ีแสดงถึงความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน หรือถ้ามีผลงาน ผลงานนัน้ ยังมีข้อบกพรอ่ งที่ ตอ้ งการไดร้ บั การปรับปรงุ แก้ไขหลายประการ
ภาคผนวก
88 สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย องคค์ วามรู้ ทกั ษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคณุ ลักษณะ อันพงึ ประสงค์ ซึง่ กําหนดให้ผเู้ รยี นทกุ คนในระดบั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานจําเป็นต้องเรียนรู้ ดงั นี้ องคค์ วามรู้ ทักษะสาคัญและคณุ ลักษณะ ในหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน ภาษาไทย : ความรู้ ทกั ษะ และวัฒนธรรมการใช้ภาษา ความชน่ื ชม การเห็นคุณคา่ ภูมปิ ๎ญญาไทยและภูมิใจใน ภาษาประจําชาติ
89 ความสัมพันธ์ของการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี นตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน วสิ ัยทศั น์ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน มุ่งพฒั นาผู้เรียนทุกคน ซ่งึ เป็นกําลังของชาติใหเ้ ป็นมนุษย์ทม่ี คี วามสมดลุ ท้ังด้านรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเปน็ พลโลก ยดึ มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ มี ความรแู้ ละทักษะพนื้ ฐาน รวมทั้ง เจตคติ ท่ีจําเปน็ ตอ่ การศึกษาตอ่ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ติ โดยมุง่ เนน้ ผู้เรียนเปน็ สําคัญบน พน้ื ฐานความเชอื่ วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ จดุ หมาย 1. มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทีพ่ งึ ประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มวี นิ ยั และปฏบิ ตั ิตนตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนบั ถือ ยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแกป้ ๎ญหา การใชเ้ ทคโนโลยีและมที กั ษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตที่ดี มสี ุขนสิ ยั และรกั การออกกาํ ลังกาย 4. มคี วามรกั ชาติ มจี ติ สํานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชวี ติ และการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มี พระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข 5. มจี ติ สาํ นึกในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและภมู ิปญ๎ ญาไทย การอนุรกั ษ์และพฒั นาสง่ิ แวดลอ้ ม มจี ติ สาธารณะท่ีม่งุ ทําประโยชนแ์ ละสร้าง สง่ิ ทดี่ ีงามในสงั คม และอย่รู ่วมกันในสังคมอยา่ งมคี วามสุข สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. รกั ชาตศิ าสน์ กษตั รยิ ์ 2. ความสามารถในการคดิ 2. ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ 3. ความสามารถในการแก้ปญ๎ หา 3. มวี ินยั 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ 4. ใฝุเรียนรู้ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 6. มุ่งมั่นในการทาํ งาน 7. รกั ความเป็นไทย 8. มจี ติ สาธารณะ มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวชี้วัด 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์ 1. กิจกรรมแนะแนว 2. กจิ กรรมนักเรียน 4. สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม 5. สขุ ศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 3. กิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ 7. การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ คุณภาพของผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
90 อภิธานศัพท์ กระบวนการเขยี น กระบวนการเขียนเป็นการคิดเรื่องทจี่ ะเขยี นและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน มี 5 ข้นั ดังนี้ 1. การเตรียมการเขียน เป็นขั้นเตรียมพร้อมท่ีจะเขียนโดยเลือกหัวข้อเร่ืองที่จะเขียน บนพื้นฐาน ของประสบการณ์ กําหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ สนทนา จัดหมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด จดบันทึกความคิดท่ีจะเขียนเป็นรูปหัวข้อ เรอ่ื งใหญ่ หวั ข้อย่อย และรายละเอียดคร่าวๆ 2. การยกร่างข้อเขียน เม่ือเตรียมหัวข้อเรื่องและความคิดรูปแบบการเขียนแล้ว ให้นําความคิดมา เขียนตามรูปแบบท่ีกําหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคํานึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไรให้ เหมาะสมกับเรื่องและเหมาะกับผู้อ่ืน จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเร่ืองอย่างไร ลําดับความคิดอย่างไร เช่ือมโยงความคิดอยา่ งไร 3. การปรบั ปรุงข้อเขยี น เม่อื เขียนยกร่างแล้วอา่ นทบทวนเร่ืองท่ีเขยี น ปรับปรุงเรื่องท่ีเขียนเพิ่มเติม ความคดิ ให้สมบูรณ์ แก้ไขภาษา สํานวนโวหาร นําไปใหเ้ พอ่ื นหรอื ผ้อู ่นื อ่าน นาํ ข้อเสนอแนะมาปรับปรงุ อกี คร้งั 4. การบรรณาธิการกิจ นําข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคําผิด แก้ไขให้ถูกต้อง แล้วอ่าน ตรวจทานแกไ้ ขขอ้ เขยี นอกี คร้งั แกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดทง้ั ภาษา ความคิด และการเว้นวรรคตอน 5. การเขียนให้สมบูรณ์ นําเร่ืองที่แก้ไขปรับปรุงแล้วมาเขียนเร่ืองให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรูป ประกอบ เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมือท่ีสวยงามเป็นระเบียบ เมื่อพิมพ์หรือเขียนแล้วตรวจทานอีกคร้ังให้ สมบูรณก์ ่อนจัดทํารูปเล่ม กระบวนการคิด การฟ๎ง การพดู การอา่ น และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟ๎ง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี บุคคลท่ีจะคดิ ไดด้ ีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พ้ืนฐานในการคิด บุคคลจะมีความสามารถ ในการรวบรวมข้อมูล ขอ้ เทจ็ จริง วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า จะต้องมีความรู้และประสบการณ์ พ้ืนฐานที่นํามาช่วยในการคิดทั้งสิ้น การสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือกข้อมูล ถ่ายทอด รวบรวม และ จําข้อมูลต่างๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสาร และสามารถแปลความข้อมูลข่าวสาร และ สามารถนาํ มาใช้อ้างอิง การเปน็ ผฟู้ ๎ง ผพู้ ูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี จะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารท่ี ดีและเป็นนกั คิดที่ดีด้วย กระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีทักษะการ คิด นําข้อมลู ขา่ วสารทไ่ี ดจ้ ากการฟง๎ และการอ่านนํามาสู่การฝึกทักษะการคิด นําการฟ๎ง การพูด การอ่าน และ การเขียน มาสอนในรูปแบบ บูรณาการทักษะ ตัวอย่าง เช่น การเขียนเป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การ แยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียนจะนําความรู้และประสบการณ์สู่การคิดและ แสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟ๎งเพื่อรับรู้ข่าวสารที่จะนํามาวิเคราะห์และสามารถ แสดงทรรศนะได้ กระบวนการอา่ น การอ่านเป็นกระบวนการซึ่งผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนา การตีความระหว่างการอ่านผู้อ่าน จะต้องร้หู ัวข้อเรอ่ื ง รจู้ ดุ ประสงคข์ องการอ่าน มีความร้ทู างภาษาทใี่ กล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือท่ีอ่าน โดย ใช้ประสบการณ์เดมิ เป็นประสบการณ์ทําความเขา้ ใจกับเรอื่ งท่ีอ่าน กระบวนการอา่ นมดี งั นี้ 1. การเตรยี มการอ่าน ผ้อู า่ นจะตอ้ งอ่านชอ่ื เรอ่ื ง หวั ขอ้ ย่อยจากสารบัญเร่อื ง อ่านคํานํา ให้ทราบ จดุ ม่งุ หมายของหนงั สอื ตั้งจดุ ประสงค์ ของการอา่ นจะอ่านเพื่อความเพลดิ เพลนิ หรืออา่ นเพอ่ื หาความรู้ หลักสูตรกลุ่ มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนพิบูลอปุ ถัมภ์
91 วางแผนการอา่ นโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสือมีความยากมากน้อยเพียงใด รูปแบบของหนังสือเป็นอย่างไร เหมาะกับผู้อ่านประเภทใด เดาความว่าเป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร เตรียมสมุด ดนิ สอ สาํ หรบั จดบนั ทกึ ขอ้ ความหรือเน้อื เร่อื งท่ีสําคัญขณะอา่ น 2. การอ่าน ผู้อ่านจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่มหรือเฉพาะตอนท่ีต้องการอ่าน ขณะอ่านผู้อ่านจะใช้ ความรู้จากการอ่านคํา ความหมายของคํามาใช้ในการอ่าน รวมท้ังการรู้จักแบ่งวรรคตอนด้วย การอ่านเร็ว จะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ดีกว่าผู้อ่านช้า ซึ่งจะสะกดคําอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อนมา ผู้อ่านจะใช้ บรบิ ทหรือคาํ แวดลอ้ มชว่ ยในการตคี วามหมายของคาํ เพอื่ ทําความเขา้ ใจเรื่องที่อา่ น 3. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความท่ีมีความสําคัญ หรือเขียนแสดง ความ คิดเห็น ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ําในตอนท่ีไม่เข้าใจเพ่ือทําความเข้าใจให้ถูกต้อง ขยายความคิดจาก การอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ต้ังข้อสังเกตจากเร่ืองท่ีอ่าน ถ้าเป็นการอ่านบท กลอนจะตอ้ งอา่ นทํานองเสนาะดงั ๆ เพ่อื ฟ๎งเสยี งการอา่ นและเกดิ จนิ ตนาการ 4. การอ่านสารวจ ผู้อ่านจะอ่านซ้ําโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหน่ึง ตรวจสอบคําและภาษา ที่ใช้ สํารวจโครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือท่ีอ่านกับหนังสือท่ีเคยอ่าน สํารวจและเช่ือมโยงเหตุการณ์ใน เร่อื งและการลําดับเร่อื ง และสํารวจคําสําคญั ทใี่ ช้ในหนงั สอื 5. การขยายความคิด ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของเร่ือง เช่ือมโยงเร่ืองราวในเร่ืองกับชีวิตจริง ความรู้สึกจากการอ่าน จัดทําโครงงานหลักการอ่าน เช่น วาดภาพ เขยี นบทละคร เขยี นบันทึกรายงานการอา่ น อา่ นเรื่องอืน่ ๆ ท่ผี ้เู ขยี นคนเดยี วกนั แตง่ อ่านเร่ืองเพ่ิมเติม เรื่อง ที่เกย่ี วโยงกับเร่ืองที่อา่ น เพือ่ ใหไ้ ด้ความรู้ที่ชดั เจนและกว้างขวางขน้ึ การเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขียน เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เรื่องส้ัน นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนจะต้องมี ความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคาํ อย่างหลากหลาย สามารถนาํ คาํ มาใช้ ในการเขียน ต้องใช้เทคนิค การเขียน และใช้ถ้อยคาํ อย่างสละสลวย การดู การดูเป็นการรับสารจากส่ือภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปลความ วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากส่ือ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดูภาพยนตร์ การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคําอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร จากการดูและนํามา วิเคราะห์ ตีความ และประเมินคุณค่าของสารที่เป็นเนื้อเร่ืองโดยใช้หลักการพิจารณาวรรณคดีหรือการ วิเคราะห์วรรณคดีเบื้องต้น เช่น แนวคิดของเร่ือง ฉากที่ประกอบเร่ืองสมเหตุสมผล กิริยาท่าทาง และการ แสดงออกของตัวละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้ประกอบการแสดงให้ อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ท่ีจําลองสู่บทละคร คุณค่าทางจริยธรรม คณุ ธรรม และคณุ คา่ ทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อผู้ดูหรือผู้ชม ถ้าเป็นการดูข่าวและเหตุการณ์ หรือการอภิปราย การใชค้ วามรหู้ รือเรือ่ งทเ่ี ปน็ สารคดี การโฆษณาทางสอ่ื จะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเช่ือหรือไม่ ความคิดสําคัญและมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก และการดูละครเวที ละคร โทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับความสนุกสนาน ต้องดูและวิเคราะห์ ประเมินค่า สามารถ แสดงทรรศนะของตนไดอ้ ย่างมเี หตุผล การตีความ การตีความเป็นการใชค้ วามร้แู ละประสบการณข์ องผ้อู ่านและการใช้บริบท ได้แก่ คําที่แวดล้อมข้อความ ทําความเข้าใจขอ้ ความหรือกาํ หนดความหมายของคาํ ให้ถูกต้อง
92 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรือกําหนด ความหมาย ใหค้ วามหมายหรืออธิบาย ใช้หรือปรับให้เข้าใจเจตนา และความมงุ่ หมายเพอื่ ความถูกต้อง การเปล่ยี นแปลงของภาษา ภาษายอ่ มมกี ารเปล่ยี นแปลงไปตามกาลเวลา คําคําหนึ่งในสมัยหนึ่งเขียนอย่างหนึ่ง อีกสมัยหนึ่งเขียนอีก อยา่ งหนึ่ง คําว่า ประเทศ แต่เดิมเขียน ประเทษ คําว่า ป๎กษ์ใต้ แต่เดิมเขียน ป๎กใต้ ในป๎จจุบันเขียน ป๎กษ์ ใต้ คาํ วา่ ลมุ่ ลกึ แต่ก่อนเขยี น ล่มุ ฦก ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ท้ังความหมายและการเขียน บางครั้งคํา บางคํา เชน่ คําวา่ หลอ่ น เป็นคําสรรพนามแสดงถึงคาํ พดู สรรพนามบุรุษท่ี 3 ทีเ่ ป็นคําสุภาพ แต่เดี๋ยวนี้คําว่า หลอ่ น มีความหมายในเชิงดแู คลน เปน็ ตน้ การสรา้ งสรรค์ การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ท่ีมีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ ความคิดใหม่ หรือส่ิงแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมีความสามารถในการ สร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลท่ีมีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเช่ือม่ันในตนเอง มองโลกในแง่ดี คิดไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจสิ่งใดง่ายๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเกี่ยวเน่ืองกันกับความคิด การพูด การเขียน และการ กระทําเชงิ สรา้ งสรรค์ ซ่งึ จะต้องมีการคดิ เชิงสรา้ งสรรค์เปน็ พื้นฐาน ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดท่ีพัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น ป๎จจัยพ้นื ฐานของการพดู การเขยี น และการกระทาํ เชิงสรา้ งสรรค์ การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาท่ีใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม เหมาะสม ถูกตอ้ งตามเนอ้ื หาท่ีพดู และเขยี น การกระทําเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระทําท่ีไม่ซ้ําแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และเป็น ประโยชนท์ สี่ งู ข้นึ ข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เร่ืองราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือส่ิงใดสิ่งหน่ึงที่สามารถ ส่ือความหมาย ด้วยการพูดบอกเล่า บนั ทึกเปน็ เอกสาร รายงาน หนงั สอื แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทึกด้วยเสียงและ ภาพ บันทกึ ดว้ ยเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ เปน็ การเกบ็ เรื่องราวตา่ งๆ บันทกึ ไว้เปน็ หลักฐานด้วยวธิ ีตา่ งๆ ความหมายของคา คําทใี่ ชใ้ นการติดต่อสือ่ สารมีความหมายแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ลักษณะ คือ 1. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย คําหนึ่งๆ น้ัน อาจมี ความหมายได้หลายความหมาย เช่น คําว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่นํ้า หรืออาจหมายถึง นกชนิด หนึ่ง ตัวสีดาํ รอ้ ง กา กา เปน็ ความหมายโดยตรง 2. ความหมายแฝง คําอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย เก่ียวกับความรู้สึก เช่น คําว่า ข้ีเหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นความหมาย ตรง แตค่ วามรูส้ กึ ตา่ งกัน ประหยัดเปน็ ส่ิงดี แตข่ ้เี หนยี วเป็นสิ่งไมด่ ี 3. ความหมายในบริบท คําบางคํามีความหมายตรง เม่ือร่วมกับคําอ่ืนจะมีความหมายเพ่ิมเติมกว้าง ขนึ้ หรอื แคบลงได้ เช่น คําว่า ดี เด็กดี หมายถึง วา่ นอนสอนงา่ ย เสียงดี หมายถงึ ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียนได้ดี สขุ ภาพดี หมายถึง ไม่มโี รค ความหมายบริบทเปน็ ความหมายเช่นเดียวกับความหมายแฝง
93 คณุ คา่ ของงานประพันธ์ เม่ือผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน ประพันธ์ ทําให้ผู้อ่านอ่านอย่างสนุก และได้รับประโยชน์จาการอ่านงานประพันธ์ คุณค่าของงานประพันธ์ แบง่ ได้เป็น 2 ประการ คอื 1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองก็จะพิจารณากลวิธีการแต่ง การเลือกเฟูนถ้อยคํามา ใช้ได้ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี รปู แบบการเขยี นจะเหมาะสมกับเน้ือเรื่อง วิธีการนําเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษาสละสลวย ชัดเจน การนาํ เสนอมคี วามคดิ สร้างสรรค์ ถ้าเป็นรอ้ ยแก้วประเภทบนั เทิงคดี องค์ประกอบของเร่ืองไม่ว่าเร่ือง สั้น นวนิยาย นิทาน จะมีแก่นเรื่อง โครงเร่ือง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธีการแต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทือนอารมณ์ การใช้ถ้อยคําสร้างภาพได้ชัดเจน คําพูดใน เร่อื งเหมาะสมกับบคุ ลกิ ของ ตวั ละครมีความคิดสรา้ งสรรคเ์ ก่ียวกับชวี ติ และสงั คม 2. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความ เป็นอยขู่ องมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าท่ีผู้อ่านจะ เข้าใจชีวิตท้ังในโลก ทัศน์และชีวทศั น์ เข้าใจการดําเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เน้ือหาย่อมเกี่ยวข้องกับการช่วยจรรโลงใจ แกผ่ ูอ้ า่ น ชว่ ยพัฒนาสังคม ช่วยอนุรักษส์ ง่ิ มคี ณุ ค่าของชาติบ้านเมอื ง และสนับสนนุ ค่านิยมอันดีงาม โครงงาน โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการค้นคว้า ลงมือปฏิบัติจริง ใน ลักษณะของการสํารวจ คน้ คว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นํามาวิเคราะห์ ทดสอบ เพื่อแก้ป๎ญหาข้องใจ ผู้เรียนจะนําความรู้จากชั้นเรียนมาบูรณาการในการแก้ป๎ญหา ค้นหาคําตอบ เป็น กระบวนการค้นพบนาํ ไปสูก่ ารเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทํางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการจัดการ ผู้สอนจะ เข้าใจผูเ้ รียน เห็นรูปแบบการเรยี นรู้ การคดิ วธิ ีการทาํ งานของผ้เู รียน จากการสงั เกตการทํางานของผเู้ รยี น การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาค้นคว้าวิธีการหนึ่ง แต่เป็นการศึกษาค้นคว้าที่ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ป๎ญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุปเรื่องราว อยา่ งมีกฎเกณฑ์ ทํางานอยา่ งมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าจัดทํารายงานเพียงอย่าง เดยี ว ต้องมกี ารวิเคราะห์ขอ้ มูลและมีการสรปุ ผล ทักษะการส่ือสาร ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟ๎ง การอ่าน และการเขียน ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือของการ ส่งสารและการรับสาร การส่งสาร ได้แก่ การส่งความรู้ ความเช่ือ ความคิด ความรู้สึกด้วยการพูด และการ เขียน ส่วนการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชื่อ ความคิด ด้วยการอ่านและการฟ๎ง การฝึกทักษะ การส่ือสารจึงเป็นการฝึกทักษะการพูด การฟ๎ง การอ่าน และการเขียน ให้สามารถ รับสารและส่งสาร อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ธรรมชาตขิ องภาษา ธรรมชาตขิ องภาษาเปน็ คณุ สมบตั ขิ องภาษาทีส่ ําคญั มคี ุณสมบตั ิพอสรปุ ได้ คอื ประการ ที่หนึ่ง ทุกภาษาจะประกอบด้วยเสียงและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อย่างเป็นระบบ ประการที่สอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรู้สิ้นสุด หมายถึง มนุษย์สามารถใช้ภาษา สื่อความหมายได้โดยไม่ ส้ินสุด ประการที่สาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติร่วมกัน และมีการรับรู้ สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน เพ่ือสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่ส่ี ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดในการ ติดต่อสื่อสาร ไม่จํากัดเพศของผู้ส่งสาร ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสารและรับ
94 สารได้ ประการท่หี า้ ภาษาพูดย่อมใชไ้ ด้ท้ังในป๎จจุบนั อดีต และอนาคต ไม่จํากัดเวลาและสถานท่ี ประการ ท่ีหก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรม และวิชาความรู้นานาประการ ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและการสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ แนวคิดในวรรณกรรม แนวคดิ ในวรรณกรรมหรือแนวเรอ่ื งในวรรณกรรมเป็นความคิดสาํ คญั ในการผูกเรอ่ื งให้ ดําเนินเรื่องไป ตามแนวคิด หรือเป็นความคิดที่สอดแทรกในเร่ืองใหญ่ แนวคิดย่อมเกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม เป็นสารที่ ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ทําดีได้ดีทําช่ัวได้ชั่ว ความยุติธรรมทําให้โลกสันติสุข คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะน้ันแนวคิดเป็นสารท่ีผู้เขียนต้องการส่งให้ผู้อ่ืนทราบ เช่น ความดี ความยตุ ิธรรม ความรัก เป็นตน้ บรบิ ท บรบิ ทเปน็ คาํ ท่ีแวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากําหนดความหมาย หรือความเข้าใจ โดยนําคําแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพ่ือทํา ความเข้าใจหรือ ความหมายของคํา พลังของภาษา ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการดํารงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพ่ือการดํารงชีวิต เป็น เคร่ืองมือของการสื่อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออกของ ความคดิ ดว้ ยการพดู การเขียน และการกระทําซึ่งเป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มีภาษา คนจะคิดไม่ได้ ถ้าคน มภี าษานอ้ ย มีคําศพั ทน์ ้อย ความคิดของคนกจ็ ะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย คน จะใชค้ วามคดิ และแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซ่ึงส่งผลไปสู่ การกระทํา ผลของการกระทําส่งผลไปสู่ ความคดิ ซ่งึ เปน็ พลังของภาษา ภาษาจึงมบี ทบาทสําคญั ต่อมนุษย์ ช่วยให้มนษุ ยพ์ ฒั นาความคิด ช่วยดํารง สังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษาติดต่อส่ือสารกัน ช่วยให้คนปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา ใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยน ความคดิ เหน็ การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อนําไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึกความรู้ แสวงหา ความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษายังมีพลังในตัวของมันเอง เพราะภาพย่อม ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การใช้ภาษาใช้ถ้อยคําทําใหเ้ กิดความรู้สึกต่อผู้รับสาร ให้เกิดความจงเกลียด จงชังหรือเกดิ ความช่ืนชอบ ความรกั ย่อมเกิดจากภาษาทั้งสนิ้ ท่นี ําไปส่ผู ลสรุปทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ภาษาถ่นิ ภาษาถ่ินเปน็ ภาษาพืน้ เมอื งหรือภาษาท่ใี ชใ้ นท้องถิน่ ซ่งึ เป็นภาษาดงั้ เดิมของชาวพ้ืนบ้านที่ใช้พูดจากัน ในหมู่เหล่าของตน บางคร้ังจะใช้คําที่มีความหมายต่างกันไปเฉพาะถ่ิน บางคร้ังคําที่ใช้พูดจากันเป็นคําเดียว ความหมายต่างกันแล้วยังใชส้ าํ เนยี งท่ีต่างกนั จงึ มคี าํ กล่าวทว่ี า่ “สําเนียง บอกภาษา” สาํ เนยี งจะบอกว่าเป็น ภาษาอะไร และผู้พูดเป็นคนถิ่นใด อย่างไรก็ตามภาษาถ่ินในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นภาษาถ่ินเหนือ ถิ่น อสี าน ถนิ่ ใต้ สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ เพยี งแต่สําเนยี งแตกตา่ งกนั ไปเทา่ นัน้ ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐานหรอื บางทีเรยี กวา่ ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่ใช้ สื่อสารกัน ท่ัวประเทศและเป็นภาษาท่ีใช้ในการเรียนการสอน เพ่ือให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการติดต่อส่ือสาร สรา้ งความเปน็ ชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาท่ีใช้กันในเมืองหลวง ท่ีใช้ติดต่อกันทั้งประเทศ มีคําและ สําเนียงภาษาที่เป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคําได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือ
95 ภาษาไทยมาตรฐานมีความสําคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่น วรรณคดีมีการถ่ายทอดกันมาเป็นวรรณคดี ประจําชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ ทําให้วรรณคดีเป็นเครื่องมือ ในการศกึ ษาภาษาไทยมาตรฐานได้ ภาษาพูดกับภาษาเขยี น ภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้พูดจากัน ไม่เป็นแบบแผนภาษา ไม่พิถีพิถันในการใช้แต่ใช้สื่อสารกันได้ดี สรา้ งความรูส้ ึกท่เี ป็นกันเอง ใช้ในหมเู่ พ่ือนฝงู ในครอบครัว และติดตอ่ ส่ือสารกันอย่างไม่เป็นทางการ การใช้ ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คํานึงว่าพูดกับบุคคลท่ีมีฐานะต่างกัน การใช้ ถอ้ ยคาํ กต็ า่ งกนั ไปดว้ ย ไมค่ ํานงึ ถึงหลักภาษาหรอื ระเบียบแบบแผนการใชภ้ าษามากนัก ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาท่ีใช้เครง่ ครัดตอ่ การใช้ถ้อยคํา และคาํ นงึ ถงึ หลกั ภาษา เพ่ือใช้ในการสื่อสาร ให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคําท่ีสุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ถ้อยคําท่ี เหมาะสมกบั สถานการณใ์ นการส่อื สาร เป็นภาษาที่ใชใ้ นพธิ กี ารต่างๆ เช่น การกล่าวรายงาน กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คําท่ีไม่จําเป็นหรือ คําฟุมเฟือย หรือการ เลน่ คําจนกลายเป็นการพดู หรือเขียนเล่นๆ ภูมิปัญญาท้องถิน่ ภูมิป๎ญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิป๎ญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของคนในท้องถ่ินที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอด แต่คน ในทอ้ งถิน่ จะสรา้ งความรูจ้ ากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ท่ีนํามาใช้ในท้องถิ่นของ ตนเพื่อการดํารงชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผู้รู้จึงกลายเป็น ปราชญ์ชาวบ้านท่ีมีความรู้ เกย่ี วกับภาษา ยารกั ษาโรคและการดาํ เนินชีวิตในหม่บู า้ นอย่างสงบสขุ ภมู ิปญั ญาทางภาษา ภูมปิ ญ๎ ญาทางภาษาเป็นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ บทเพลง สภุ าษิต คําพังเพยในแต่ละ ท้องถ่ิน ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่ต่างกัน โดยนํา ภูมิป๎ญญาทางภาษาในการส่ังสอนอบรมพิธกี ารตา่ งๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการแต่งเป็นคําประพันธ์ใน รูปแบบต่างๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ตํานาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวดต่างๆ บททํา ขวญั เพื่อประโยชน์ทางสังคมและเปน็ ส่วนหน่งึ ของวัฒนธรรมประจําถ่ิน ระดับภาษา ภาษาเป็นวัฒนธรรมทค่ี นในสังคมจะต้องใชภ้ าษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสท่ีใช้ภาษา บุคคล และประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบ ตําราแต่ละเล่มจะแบ่ง ระดับภาษาแตกตา่ งกนั ตามลักษณะของสมั พันธภาพของบุคคลและสถานการณ์ การแบง่ ระดบั ภาษาประมวลไดด้ งั น้ี 1. การแบ่งระดบั ภาษาทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ 1.1 ภาษาท่ีไม่เป็นทางการหรือภาษาท่ีเป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการกล่าว สุนทรพจน์ เปน็ ตน้ 1.2 ภาษาท่ีไม่เป็นทางการหรือภาษาท่ีไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา การใช้ ภาษาในการเขยี นจดหมายถึงผคู้ ้นุ เคย การใช้ภาษาในการเล่าเรื่องหรอื ประสบการณ์ เปน็ ตน้ 2. การแบ่งระดบั ภาษาทีเ่ ป็นพิธกี ารกับระดบั ภาษาท่ีไม่เป็นพิธีการ การแบ่งภาษาแบบน้ีเป็นการแบ่ง ภาษาตามความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลเป็นระดบั ดงั น้ี
96 2.1 ภาษาระดบั พธิ ีการ เปน็ ภาษาแบบแผน 2.2 ภาษาระดับกึ่งพิธกี าร เป็นภาษากง่ึ แบบแผน 2.3 ภาษาระดับที่ไม่เป็นพิธกี าร เป็นภาษาไม่เป็นแบบแผน 3. การแบ่งระดบั ภาษาตามสภาพแวดลอ้ ม โดยแบง่ ระดบั ภาษาในระดับย่อยเปน็ 5 ระดบั คือ 3.1 ภาษาระดับพิธีการ เชน่ การกล่าวปราศรยั การกลา่ วเปิดงาน 3.2 ภาษาระดบั ทางการ เชน่ การรายงาน การอภปิ ราย 3.3 ภาษาระดับกึ่งทางการ เชน่ การประชมุ อภปิ ราย การปาฐกถา 3.4 ภาษาระดบั การสนทนา เชน่ การสนทนากับบุคคลอย่างเปน็ ทางการ 3.5 ภาษาระดบั กันเอง เชน่ การสนทนาพดู คยุ ในหมเู่ พื่อนฝงู ในครอบครวั วิจารณญาณ วจิ ารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทําความเข้าใจเรือ่ งใดเร่ืองหนึ่งอย่างมีเหตุผล การมี วจิ ารณญาณตอ้ งอาศัยประสบการณใ์ นการพจิ ารณาตัดสนิ สารดว้ ยความรอบคอบ และอย่างชาญฉลาด เป็นเหตุเปน็ ผล
Search