ใบความรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ นางสาววนันทา แฝงพุต ตาแหน่ง ครู กศน.ตาบลท่าเสา ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอทา่ มะกา สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจังหวัดกาญจนบรุ ี สานักงานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธิการ
คำนำ ใบความรู้ ประกอบแผนการจัดการการเรียนรู้รายวิชา ประจำภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ของศูนย์ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่ามะกา ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพ่ือใช้ในการประกอบการเรียนรู้ รายวิชา ตามแผนการลงทะเบียน ประจำภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2564 หลักสูตรการการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น จำนวน 4 รายวิชา ได้แก่ รายวิชาทกั ษะการเรียนรู้ (ทร21001) รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว21001) รายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย (สค22020) และรายวิชาลูกเสือ กศน. (สค22021) ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย ตารางวิเคราะห์เนื้อหา แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา ใบความรู้ ใบความรู้ ใบงาน เฉลยใบงาน และบนั ทกึ หลงั การสอน ในการจัดทำใบความรู้ ฉบับนี้ ได้รับความร่วมมือร่วมใจอย่างดียิ่งจากผู้บริหาร ข้าราชการ ครูอาสาสมัครฯ ครู กศน.ตำบล ร่วมกันแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้จนเกิดกิจกรรมการเรียนรู้ครบถ้วนตามตัวชี้วัด ผลการ เรยี นร้ทู ค่ี าดหวงั และคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ของสถานศึกษา ขอขอบคุณ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ที่ให้ความรู้และคำแนะนำ ทำให้ใบความรู้ประกอบแผนการ จัดการเรียนรู้รายวิชา ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ครั้งน้ีประสบความสำเร็จเป็นรูปเล่มสมบูรณ์ คณะ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพตอ่ ไป คณะผู้จดั ทำ ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอทา่ มะกา
สารบญั เร่ือง หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข ใบความรคู้ รั้งท่ี 1 วชิ าทักษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 เรอ่ื งการเรียนร้ดู ้วยตนเอง ใบความรู้ครั้งท่ี 2 วิชาทักษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 เร่ือง การคดิ เป็น ใบความรคู้ รง้ั ที่ 3 วชิ าทักษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร21001 เร่ือง การวิจยั อย่างง่าย ใบความรคู้ รงั้ ท่ี 4 วิชาทักษะการเรียนรู้ รหัสวชิ า ทร21001 เรอื่ ง แหล่งเรียนรู้ ใบความรคู้ ร้งั ที่ 5 วิชาทักษะการเรยี นรู้ รหสั วชิ า ทร21001 เร่อื ง การจดั การความรู้ ใบความรู้ครั้งท่ี 1 วชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 เรือ่ ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใบความรู้คร้งั ท่ี 2 วิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 เร่อื ง สิง่ มีชวี ติ และส่ิงแวดล้อม ใบความร้คู รง้ั ที่3 วิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 เร่อื ง สารเพ่อื ชีวิต ใบความรู้ครง้ั ที่ 4 วิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 เรื่อง สารเพ่ือชวี ิต(ตอ่ ) ใบความรคู้ ร้งั ท่ี 1 วิชาประวตั ิศาสตรช์ าตไิ ทย รหสั วิชา สค 220020 เรอ่ื ง ประวัตคิ วามเปน็ มาของ ชนชาตไิ ทย และสถาบนั ของชาติ ใบความรู้ครง้ั ที่ 2 วิชาประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย รหสั วิชา สค 220020 เรื่องที่ 1 สถาบันหลักของชาติ ใบความรคู้ รั้งที่ 3 วิชาประวัตศิ าสตร์ชาติไทย รหสั วชิ า สค 220020 เร่ือง ความเปน็ มาประเพณไี ทย ใบความรคู้ รง้ั ที่ 4 วชิ าประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย รหสั วิชา สค 220020 เรอื่ ง ศิลปะไทยและวรรณกรรม สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ใบความรู้ครงั้ ที่ 1 วิชาลูกเสอื กศน. รหสั วิชา สค22021 เรอื่ ง คำปฏิญาณ กฎ และคติพจนข์ องลูกเสือ ใบความรู้ครง้ั ท่ี 2 วิชาลกู เสือ กศน. รหสั วิชา สค22021 เร่ือง การเขียนโครงการเพื่อพฒั นาชมุ ชน สังคม ทกั ษะลกู เสือ และความมวี นิ ยั ใบความรู้ครั้งท่ี 3 วิชาลกู เสือ กศน. รหัสวชิ า สค22021 เรอ่ื ง การปฐมพยาบาล ใบความรคู้ รง้ั ท่ี 4วชิ าลูกเสอื กศน. รหัสวิชา สค22021 เรอ่ื ง การฝกึ ปฏิบตั กิ ารเดินทางไกลอยู่คา่ ยพกั แรม และชีวติ ชาวคา่ ย ภาคผนวก คณะผจู้ ัดทำ
ใบความรู้ที่ 1 วิชาทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ เร่อื งการเรยี นรู้ด้วยตนเอง …………………………………………………………………… ความหมาย และความสำคัญ ของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ในปัจจุบันโลกมีความก้าวหน้าทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ต่าง ๆ ได้เพิ่มข้ึนเป็นอันมาก การ เรียนรู้จากสถาบันการศึกษาไม่อาจทำให้บุคคลศึกษาความรู้ได้ครบท้ังหมด การไขว่คว้าหาความรู้ด้วยตนเอง จึงเป็น อีกวิธีหน่ึงท่ีจะสนองความต้องการของบุคคลได้ เพราะเม่ือใดก็ตามท่ีบุคคลมใี จรักท่ีจะศึกษา ค้นคว้า สิ่งที่ตนตอ้ งการ จะรู้ บคุ คลนั้นก็จะดำเนนิ การศกึ ษาเรยี นรูอ้ ยา่ งต่อเน่อื งโดยไม่มใี ครต้องบอก ประกอบกับระบบการศึกษาและปรัชญา การศึกษาเพื่อเตรียมคนให้สามารถเรียนรไู้ ด้ตลอดชีวิต แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ใฝ่หาความรู้ รู้แหล่งทรัพยากรการ เรียน รู้วิธีการหาความรู้ มีความสามารถในการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น มีนิสัยในการทำงานและการดำรงชีวิต และมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ การเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของ ตนเองโดยการค้นพบความสามารถและสิ่งที่มีคุณค่าในตนเองที่เคยมองข้ามไป (“...it is possible to help learners expand their potential by discovered thatwhich is yet untapped…”) (Brockett & Hiemstra, 1991) ความหมาย และความสำคญั ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้เป็นเร่ืองของทุกคน ศักด์ิศรีของผู้เรียนจะมีได้เมื่อมีโอกาสในการเลือกเรียนในเร่ืองท่ีหลากหลาย และมีความหมายแก่ตนเอง การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 2 ด้าน คือ องค์ประกอบภายนอกได้แก่ สภาพแวดล้อม โรงเรียน สถานศึกษา สิ่งอำนวยความสะดวก และครู องค์ประกอบภายใน ได้แก่ การคิดเป็น พ่ึงตนเองได้ มีอิสรภาพ ใฝ่รู้ ใฝ่สร้างสรรค์ มีความคิดเชิงเหตุผล มีจิตสำนึกในการเรียนรู้ มีเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน มิได้เกิดขนึ้ จากการฟังคำบรรยายหรอื ทำตามที่ครผู ูส้ อนบอก แตอ่ าจเกิดขน้ึ ได้ในสถานการณต์ า่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. การเรียนรู้โดยบงั เอญิ การเรียนรแู้ บบน้ีเกิดข้ึนโดยบงั เอญิ มไิ ด้เกิดจากความต้งั ใจ 2. การเรียนรดู้ ้วยตนเอง เป็นการเรียนร้ดู ้วยความตง้ั ใจของผู้เรยี น ซึง่ มีความปรารถนาจะรู้ในเร่ืองนั้น ผู้เรยี น จงึ คิดหาวิธีการเรียนด้วยวิธีการต่างๆ หลงั จากน้ันจะมกี ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็นรูปแบบการเรยี นร้ทู ่ี ทวีความสำคัญในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ บุคคลซ่ึงสามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหน้าของโลกโดยใช้สื่ออุปกรณ์ ยคุ ใหมไ่ ด้ จะทำใหเ้ ปน็ คนท่ีมีคุณค่าและประสบความสำเรจ็ ได้อย่างดี ความพร้อมในการเรียนรูด้ ้วยตนเอง ในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นบุคลิกลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียน ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนตาม เปา้ หมายของการศกึ ษา ผู้เรียนทม่ี ีความพร้อมในการเรยี นดว้ ยตนเองจะมคี วามรับผดิ ชอบส่วนบุคคล ความรบั ผิดชอบ ต่อความคิดและการกระทำของตนเอง สามารถควบคุมและโต้ตอบสถานการณ์ สามารถควบคุมตนเองให้เป็นไปใน ทศิ ทางท่ตี นเลอื ก โดยยอมรับผลท่ีเกิดขน้ึ จากการกระทำทมี่ าจากความคิดตดั สนิ ใจของตนเอง 3. การเรียนรู้โดยกลุ่ม การเรียนรู้แบบนี้เกิดจากการที่ผู้เรียนรวมกลุ่มกันแล้วเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยาย ใหก้ บั สมาชิกทำให้สมาชิกมคี วามรู้เรอื่ งที่วิทยากรพดู
4. การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษา เป็นการเรียนแบบเปน็ ทางการ มีหลกั สูตร การประเมินผล มรี ะเบียบการ เข้าศึกษาที่ชัดเจน ผู้เรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที กำหนด เม่ือ ปฏิบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ท่ีกำหนดก็จะได้รับ ปริญญา หรือประกาศนยี บัตร จากสถานการณ์การเรยี นรู้ดงั กล่าวจะเห็นได้ว่า การเรียนรอู้ าจเกิดไดห้ ลายวิธี และการ เรียนรู้นั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดข้ึนในสถาบันการศึกษาเสมอไป การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือ จากการเรียนโดยกลุ่มก็ได้ และการท่ีบุคคลมีความตระหนักเรียนรู้อยู่ภายในจิตสำนึกของบุคคลนั้น การเรียนรู้ด้วย ตนเองจึงเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ในลักษณะที่เป็นการเรียนรู้ ท่ีทำให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมีความสำคัญ สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงของโลกปจั จบุ ันและสนบั สนนุ สภาพ “สงั คมแหง่ การเรยี นรู้” ไดเ้ ป็นอย่างดี การเรยี นรูด้ ้วยตนเองคอื อะไร เมื่อกล่าวถึง การเรียนด้วยตนเอง แล้วบุคคลโดยท่ัวไปมักจะเข้าใจว่าเป็นการเรียนที่ผู้เรียนทำการศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองตามลำพังโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้สอน แต่แท้ที่จริงแล้วการเรียนด้วยตนเองที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัว ผูเ้ รยี นนนั้ เป็นกระบวนการเรียนรูท้ ผี่ ู้เรียนริเริ่มการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัด มี เป้าหมาย รู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลือกวิธีการเรียนรู้ จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการ เรียนรู้ของตนเอง โดยจะดำเนินการด้วยตนเองหรือร่วมมือช่วยเหลือกับผู้อื่นหรือไม่ก็ได้ ซ่ึงผู้เรียนจะต้องมีความ รับผิดชอบและเป็นผู้ควบคุมการเรียนของตนเองท้ังนี้การเรียนด้วยตนเองน้ันมีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดทฤษฎี กลุ่มมนษุ ย์นิยมท่ีมีความเชอื่ ในเรื่องความเป็นอิสระและความเป็นตวั ของตัวเองของมนุษย์วา่ มนุษย์ทุกคนเกดิ มาพร้อม กับความดี มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง สามารถหาทางเลือกของตนเอง มีศักยภาพและสามารถพัฒนา ศักยภาพของตนเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัด รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งการเรียนด้วยตนเอง ก่อให้เกิดผลในทางบวกต่อการเรียน โดยจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความเช่ือม่ันในตนเอง มีแรงจูงใจในการเรียนมากข้ึน มี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงขน้ึ และมกี ารใชว้ ิธีการเรียนที่หลากหลาย การเรียนด้วยตนเองจงึ เปน็ มาตรฐานการศึกษาที่ ควรส่งเสริมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ทุกคน เพราะเม่ือใดก็ตามท่ีผู้เรียนมีใจรักท่ีจะศึกษา ค้นคว้าจากความต้องการของ ตนเอง ผู้เรียนก็จะมีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ต้องมีใครบอกหรือ“การเรียนรู้เป็นเพื่อนท่ีดีท่ีสุดของ มนุษย์”(LEARNING makes a man fit company for himself) ... (Young)... การเรียนด้วยตนเองมีอยู่ 2 ลักษณะคือ ลักษณะท่ีเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมีจุดเน้นให้ผู้เรยี นเป็นศูนย์กลางใน การเรียนโดยเป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมการเรียนของตนเองโดยการวางแผน ปฏิบัติการเรียนรู้ และประเมินการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเรียนด้วยตนเองเพียงคนเดียวตามลำพัง และผู้เรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ และทักษะที่ได้จากสถานการณ์หน่ึงไปยังอีก สถานการณ์หน่ึงได้ ในอีกลักษณะหนึ่งเป็นลักษณะทางบุคลิกภาพท่ีมีอยู่ ในตัวผู้ท่ีเรียนด้วยตนเองทุกคนซึ่งมีอยู่ในระดับท่ีไม่เท่ากันในแต่ละสถานการณ์การเรียน โดยเป็นลักษณะท่ีสามารถ พฒั นาใหส้ งู ขนึ้ ไดแ้ ละจะพฒั นาได้สงู สุดเมือ่ มกี ารจดั สภาพการจัดการเรียนรทู้ เ่ี ออื้ กัน การเรยี นรู้ด้วยตนเองมีความสำคัญอย่างไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หน่ึงที่สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของสภาพปัจจุบัน และเป็นแนวคิดที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสมาชิกในสังคมสู่การเป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ที่ทำให้บุคคลมีการริเร่ิมการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีเป้าหมายใน
การเรียนรู้ที่แน่นอน มีความรับผิดชอบในชีวิตของตนเอง ไม่พ่ึงคนอื่น มีแรงจงู ใจ ทำให้ผู้เรียนเปน็ บุคคลท่ีใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ท่ีมีการเรยี นรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้วิธีเรียน สามารถเรียนรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ได้มากกว่าการเรียนท่ีมีครูป้อนความรู้ให้เพียง อย่างเดียว การเรียนรู้ด้วยตนเองได้นับว่าเป็นคุณลักษณะที่ดีที่สุดซ่ึงมีอยู่ใน ตัวบุคคลทุกคน ผู้เรียนควรจะมี คณุ ลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรู้ด้วยตนเองจัดเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวติ ยอมรบั ในศักยภาพ ของผู้เรียนว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง เพ่ือที่ตนเองสามารถท่ีดำรงชีวิตอยู่ใน สังคมทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงอย่ตู ลอดเวลาได้อย่างมีความสขุ ดงั นนั้ การเรียนรูด้ ้วยตนเองมีความสำคญั ดังน้ี 1. บุคคลท่เี รียนร้ดู ว้ ยการริเรม่ิ ของตนเองจะเรียนไดม้ ากกวา่ ดกี วา่ มคี วามตง้ั ใจ มีจุดม่งุ หมายและมแี รงจูงใจ สูงกว่า สามารถนำประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีกว่าและยาวนานกว่าคนที่เรียนโดยเป็นเพียงผู้รับ หรือรอการ ถ่ายทอดจากครู การเรยี นด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรยี นริเร่มิ การเรียนรู้ด้วย ตนเอง ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัด มีเป้าหมาย รู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลือก วิธีการเรียนรู้ จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดำเนินการด้วยตนเองหรือร่วมมือ ช่วยเหลอื กับผู้อน่ื หรอื ไม่กไ็ ด้ ซึ่งผ้เู รยี นจะตอ้ งมีความรบั ผดิ ชอบและเปน็ ผคู้ วบคมุ การเรียนของ ตนเอง 2. การเรียนรู้ด้วยตนเองสอดคล้องกับพัฒนาการทางจิตวิทยา และกระบวนการทางธรรมชาติ ทำให้บุคคลมี ทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลักษณะหน่ึงไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง คือ เม่ือตอนเด็ก ๆ เป็นธรรมชาติที่จะต้องพึ่งพิง ผู้อื่น ต้องการผู้ปกครองปกป้องเลี้ยงดู และตัดสินใจแทนให้ เมอ่ื เติบโตมีพัฒนาการขึน้ เร่ือยๆ พฒั นาตนเองไปสู่ความ เปน็ อสิ ระ ไมต่ ้องพ่งึ พิงผ้ปู กครอง ครู และผอู้ ืน่ การพฒั นาเป็นไปในสภาพที่เพิม่ ความเป็นตวั ของตวั เอง 3. การเรียนรดู้ ้วยตนเองทำให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นลักษณะท่ีสอดคล้องกับพัฒนาการใหม่ ๆ ทาง การศึกษา เช่น หลักสูตร ห้องเรียนแบบเปิด ศูนย์บริการวิชาการ การศึกษาอย่างอิสระมหาวิทยาลัยเปิด ล้วนเน้นให้ ผเู้ รยี นรับผิดชอบการเรยี นรเู้ อง 4. การเรียนรดู้ ้วยตนเองทำให้มนษุ ยอ์ ยู่รอด การมคี วามเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ทำใหม้ ีความจำเป็น ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษาเรยี นรู้ การเรียนรูด้ ้วยตนเองจึงเปน็ กระบวนการต่อเนอ่ื งตลอดชีวิต การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมีลักษณะอย่างไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถจำแนกออกเป็น 2 ลักษณะสำคญั ดงั น้ี 1. ลกั ษณะทเี่ ปน็ บุคลิกคุณลกั ษณะส่วนบคุ คลของผเู้ รียนในการเรียนดว้ ยตนเอง จดั เปน็ องค์ประกอบภายในท่ี จะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจอยากเรียนต่อไป โดยผู้เรียนที่มี คุณลักษณะในการเรยี นด้วยตนเองจะมีความรับผิดชอบต่อ ความคิดและการกระทำเก่ียวกับการเรียน รวมท้ัง รับผิดชอบในการบริหารจัดการตนเอง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงสุด เม่อื มีการจดั สภาพการเรียนรูท้ ่ีสง่ เสรมิ กนั 2. ลักษณะท่ีเป็นการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยตนเอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการวางแผนการเรียน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผลการเรียน จัดเป็นองค์ประกอบ ภายนอกที่ส่งผลต่อการเรียนด้วยตนเองของ ผู้เรียน ซ่ึงการจัดการเรียนรู้แบบนี้ผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากการเรียนมากท่ีสุดKnowles (1975) เสนอให้ใช้สัญญา การเรียน (Learning contracts) เป็นการมอบหมายภาระงานให้แก่ผู้เรียนว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพ่ือให้ได้รับความรู้ ตามเป้าประสงคแ์ ละผู้เรียนจะปฏิบตั ติ ามเงอื่ นไขนั้น องคป์ ระกอบของการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองมอี ะไรบ้าง
การเรียนรดู้ ้วยตนเอง เป็นคุณลกั ษณะที่สำคญั ต่อการดำเนินชวี ิตที่มีประสิทธภิ าพ ช่วยให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ และมีแรงจูงใจสูง มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการปรับพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้ รู้จักเหตุผล รู้จกั คดิ วเิ คราะห์ ปรับและประยกุ ตใ์ ช้วิธกี ารแก้ปัญหาของตนเองจัดการกับปัญหาได้ดีข้นึ และสามารถนำ ประโยชน์ของการเรียนรไู้ ปใช้ไดด้ แี ละยาวนานขึน้ ทำใหผ้ ู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน องค์ประกอบของการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง มดี งั น้ี 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเองจะเริ่มจากให้ผู้เรียนแต่ละคนบอกความต้องการและความสนใจของ ตนในการเรียนกบั เพ่อื นอกี คน ทำหนา้ ท่เี ป็นทป่ี รกึ ษา แนะนำ และเพ่ือนอีกคนทำหนา้ ทจี่ ดบันทึก และใหก้ ระทำเช่นน้ี หมุนเวียน ท้ัง 3 คน แสดงบทบาทครบทั้ง 3 ด้าน คือ ผู้เสนอความต้องการ ผู้ให้คำปรึกษา และผู้คอยจดบันทึก การ สงั เกตการณ์ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการเรียนรว่ มกนั และช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกันในทกุ ๆ ด้าน 2. การกำหนดจดุ มุ่งหมายในการเรยี น โดยเร่ิมจากบทบาทของผ้เู รียนเป็นสำคัญ ผูเ้ รยี นควรศกึ ษาจดุ มุ่งหมาย ของวิชา แล้วเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียนของตนให้ชัดเจน เน้นพฤติกรรมท่ีคาดหวัง วัดได้ มีความแตกต่างของ จดุ มุ่งหมายในแตล่ ะระดับ 3. การวางแผนการเรียน ให้ผู้เรียนกำหนดแนวทางการเรียนตามวัตถุประสงค์ท่ีระบุไว้จัดเน้ือหาให้เหมาะสม กับสภาพความต้องการและความสนใจของตน ระบกุ ารจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับตนเองมากท่สี ุด 4. การแสวงหาแหลง่ วทิ ยาการท้งั ที่เปน็ วัสดุและบคุ คล 4.1 แหล่งวิทยาการทเ่ี ปน็ ประโยชน์ในการศกึ ษาคน้ คว้า เชน่ หอ้ งสมดุ พพิ ธิ ภณั ฑ์ เปน็ ต้น 4.2 ทักษะต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยในการแสวงแหล่งวทิ ยาการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เช่น ทกั ษะการต้ังคำถาม ทกั ษะการอ่าน เปน็ ตน้ 5. การประเมินผล ควรประเมินผลการเรียนด้วยตนเองตามที่กำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนไว้ และให้ สอดคล้องกับวตั ถุประสงคเ์ กี่ยวกบั ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติ คา่ นิยม มีขัน้ ตอนในการประเมิน คอื 5.1 กำหนดเปา้ หมาย วัตถปุ ระสงค์ใหช้ ัดเจน 5.2 ดำเนนิ การใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ซึ่งเป็นสิง่ สำคัญ 5.3 รวบรวมหลักฐานจากผลการประเมินเพ่ือตัดสินใจซ่ึงต้องตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของข้อมูลท่ีสมบูรณ์และ เชอ่ื ถือ 5.4 เปรียบเทียบข้อมลู กอ่ นเรยี นกับหลงั เรียนเพือ่ ดวู า่ ผู้เรยี นมีความกา้ วหน้าเพยี งใด 5.5 ใช้แหลง่ ขอ้ มลู จากครแู ละผเู้ รยี นเป็นหลกั ในการประเมิน องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนควรมีการวิเคราะห์ความต้องการ วิเคราะห์เน้ือหา กำหนดจุดมุ่งหมาย และการวางแผนในการเรียน มคี วามสามารถในการแสวงหาแหล่งวิทยาการ และมีวิธใี นการประเมนิ ผลการเรียนรูด้ ว้ ย ตนเอง โดยมีเพ่ือนเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันและมีครูเป็นผู้ชี้แนะ อำนวยความสะดวก และให้คำปรึกษา ทั้งนี้ ครู อาจตอ้ งมีการวิเคราะหค์ วามพร้อมหรือทักษะท่ีจำเป็นของผเู้ รยี นในการกา้ วสกู่ ารเปน็ ผู้เรยี นรู้ด้วยตนเองได้ กระบวนการของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง กระบวนการของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ความรับผดิ ชอบในการเรยี นร้ดู ้วยตนเองของผู้เรยี น เป็นสิ่งสำคญั ทีจ่ ะ นำผู้เรียนไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะความรับผิดชอบในการเรียนรู้ด้วยตนเองน้ัน หมายถึงการท่ีผู้เรียนควบคุม เนื้อหา กระบวนการ องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของตนเอง ได้แก่การวางแผนการเรียนของตนเอง
โดยอาศยั แหล่งทรพั ยากรทางความร้ตู า่ งๆ ที่จะช่วยนำแผนสู่การปฏบิ ัติ แตภ่ ายใตค้ วามรบั ผิดชอบของผเู้ รียน ผเู้ รียนรู้ ด้วยตนเองต้องเตรียมการวางแผนการเรียนรู้ของตน และเลือกส่ิงที่จะเรียนจากทางเลือกท่ีกำหนดไว้ รวมท้ัง วาง โครงสร้างของแผนการเรียนรู้ของตนอีกด้วย ในการวางแผนการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องสามารถปฏิบัติงานที่กำหนด วินิจฉัยความช่วยเหลือท่ีต้องการ และทำให้ได้ความช่วยเหลือน้ัน สามารถเลือกแหล่งความรู้ วิเคราะห์ และวางแผน การการเรียนท้ังหมด รวมทั้งประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของตนกระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็น วธิ กี ารท่ีผเู้ รียนตอ้ งจัดกระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง โดยดำเนนิ การ ดังนี้ 1. การวนิ ิจฉัยความต้องการในการเรยี น 2. การกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี น 3. การออกแบบแผนการเรยี น 4. การดำเนนิ การเรียนรจู้ ากแหลง่ วทิ ยาการ 5. การประเมินผล
ใบความร้ทู ี่ 2 วชิ าทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เรื่อง การคดิ เป็น ********************************************* 1. รูปแบบการจดั การความรู้ การจัดการความรู้นั้นมีหลายรูปแบบหรือท่ีเรียกกันว่า “โมเดล” มีหลากหลายโมเดล หัวใจ ของการจัดการ ความรู้ คือการจัดการความรู้ที่อยู่ในตัวคนในฐานะผู้ปฏิบัติและเป็นผู้มีความรู้ การจัดการความรู้ท่ีทำให้คนเคารพใน ศักดิ์ศรีของคนอื่น การจัดการความรู้นอกจากการจัดการความรู้ใน ตนเองเพื่อให้เกิดการพัฒนางานและพัฒนาตนเอง แล้ว ยังมองรวมถึงการจดั การความรู้ในกลุ่มหรือ องค์กรด้วยรูปแบบการจัดการความรู้จึงอยู่บนพ้ืนฐานของความเช่ือ ที่ว่าทุกคนมีความรู้ ปฏบิ ัตใิ นระดบั ความชำนาญที่ตา่ งกัน เคารพความร้ทู ่ีอยู่ในตัวคน ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด ได้คดิ ค้น รูปแบบการจัดการความรู้ไว้ 2 รูปแบบ คือรูปแบบ ปลาทูหรือที่เรียกว่า “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพียน หรือที่เรียกว่า “โมเดลปลาตะเพยี น” แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการจัดการความรใู้ นภาพรวมของการจัดการที่ครอบคลุม ทั้งความรทู้ ่ีชัดแจง้ และความรูท้ ฝ่ี งั ลกึ ดังน้ี โมเดลปลาทู เพ่ือให้การจัดการความรู้ หรือ KM เป็นเร่ืองที่เข้าใจง่าย จึงกำหนดให้การจัดการความรู้ เปรียบเหมือนกับ ปลาทูตัวหน่ึง มีส่ิงท่ีต้องดำเนินการจัดการความรู้อยู่ 3 ส่วน โดยกำหนดว่า ส่วนหัว คือการกำหนดเป้าหมายของการ จัดการความรู้ที่ชัดเจน ส่วนตัวปลาคือการแลกเปล่ียนความรู้ซ่ึงกัน และกัน และส่วนปางปลาคือ ความรู้ที่ได้รับจาก การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ รปู แบบการจดั การความรู้ตาม โมเดลปลาทู ส่วนท่ี “หัวปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” KV คือเปูาหลายของการจัดการความรู้ ผู้ใช้ ต้องรู้ว่าจะ จัดการความรเู้ พื่อบรรลุเป้าหมายอะไร เก่ียวข้องหรือสอดคล้องกับวสิ ัยทัศน์พันธกิจ และยุทธศาสตร์ขององค์กรอย่าง ใด เช่น จดั การความรู้เพ่อื เพ่ิมประสิทธิภาพของงาน จดั การความรู้ เพ่ือพฒั นาทักษะชีวิตด้านยาเสพตดิ จัดการความรู้ เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านสิ่งแวดล้อม จัดการ ความรู้เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิตด้านชีวิตและทรัพย์สิน จัดการความรู้เพ่ือ ฟนื้ ฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี ดง้ั เดิมของคนในชมุ ชน เปน็ ตน้
ส่วนท่ี “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือการแบ่งปัน ความรู้ทฝี่ งั ลกึ ในตัวคนผูป้ ฏิบตั ิ เน้นการแลกเปลี่ยนวิธีการท างานที่ประสบผลสำเร็จ ไม่เนน้ ที่ปัญหา เคร่ืองมอื ในการแลกเปล่ียนเรียนรมู้ ีหลากหลาย แบบ อาทิ การเล่าเรื่องการสนทนา เชิงลึก การช่ืนชมหรือการสนทนาสนเชิงบวก เพ่ือนช่วยเพื่อน การทบทวนการ ปฏิบตั ิงาน การถอด บทเรียน การถอดองค์ความรู้ สว่ นที3่ “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เปน็ ขุมความรู้ท่ีไดจ้ ากการแลกเปลี่ยนความรู้ มีเคร่ืองมือในการจัดเก็บความรู้ที่มีชีวิตไม่หยุดน่ิง คือ นอกจากจัดเก็บความรู้ แล้วยังง่ายในการนำความรู้ออกมาใช้ จริงง่ายในการนำความรู้ออกมาต่อยอด และง่ายในการปรับข้อมูลไมใ่ ห้ล้าสมัย ส่วนนี้จึงไม่ใช่ส่วนท่ีมีหน้าท่ีเก็บข้อมูล ไว้เฉย ๆ ไม่ใชห่ อ้ งสมุดสำหรับเกบ็ สะสม ข้อมลู ทน่ี ำไปใชจ้ รงิ ได้ยาก ดังนั้น เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ จึงเป็นเคร่ืองมือจัดเก็บความรู้ อันทรงพลังย่ิงในกระบวนการ จัดการความรู้ตัวอย่างการจดั การความรูเ้ รอื่ ง “พฒั นากลุ่มวสิ าหกจิ ชมุ ชน ในรปู แบบปลาทู ปรัชญาคดิ เปน็ แนวความคิดเร่ืองคิดเป็นมีองค์ประกอบท่ีสำคัญในเชิงปรัชญา 3 ส่วน กล่าวคือ เป้าหมายสูงสุดของชีวิต มนษุ ย์ คือ ความสขุ มนษุ ยจ์ ึงแสวงหาวิธีการต่าง ๆ เพ่ือท่ีจะมงุ่ ไปส่คู วามสขุ น้ัน แตเ่ นื่องจากมนุษยม์ ีความแตกต่างกัน โดยพื้นฐานทั้งทางกายภาพ อารมณ์ สังคม จิตใจและสภาวะแวดล้อม ทำให้ความต้องการของคนแต่ละคนมีความ แตกต่างกัน การให้คุณค่าและความหมายของความสุขของมนุษย์จงึ แตกตา่ งกัน การแสวงหาความสุขท่ีแตกต่างกันนั้น ข้ึนอยู่กับการตัดสินใจของคนแต่ละคน การตัดสินใจน้ัน จำเป็นจะต้องใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ซึ่งโดยหลักการของการ คิดเป็น มนุษย์ควรจะใช้ข้อมูลอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลตนเอง ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ทั้งทางด้านกายภาพ สุขภาพอนามัยความพร้อมต่าง ๆ ข้อมูลสังคม ซึ่งเป็นข้อมูลเก่ียวกับสภาพแวดล้อม ครอบครัว สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี ค่านิยมตลอดจนกรอบคณุ ธรรม จริยธรรม และข้อมูลทางวชิ าการ คือความรทู้ ี่เก่ียวข้องกบั เรื่องท่ี ตอ้ งคิด ตัดสินใจน้ัน ๆ ว่ามีหรือไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้หรือไม่ การใชข้ ้อมลู อย่างรอบด้านน้ีจะช่วยให้การคิดตัดสนิ ใจ เพื่อแสวงหาความสุขของมนุษย์เป็นไปอย่างรอบคอบ เรียกวิธีการคิดตัดสินใจนี้ว่า “คิดเป็น” และเป็นความคิดที่มี พลวตั คือ ปรับเปลีย่ นไดเ้ สมอ เม่ือขอ้ มลู เปล่ียนแปลงไป เปา้ หมายชวี ิตเปลี่ยนไป กระบวนการคิดเป็น กระบวนการคิดเป็นอาจจำแนกให้เห็นข้ันตอนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นกระบวนการคิดได้ ดังน(ี้ สำนัก บริหารงานการศึกษานอกโรงเรยี น.2547:31-32) ขน้ั ที่ 1 การระบุปญั หาทีก่ ำลังเผชิญอยู่ ขน้ั ท่ี 2 การศึกษารวบรวมข้อมูลเก่ียวกับปัญหาเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและสถานการณ์น้ัน ๆ โดยจำแนกข้อมูล ออกเปน็ 3 ประเภท คอื ข้อมูลสังคม : ได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวปัญหา สภาพสังคมของแต่ละบุคคล ตั้งแต่ ครอบครัว ชุมชนและสังคมทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณี ความเช่ือ ค่านยิ ม เป็นต้น
ข้อมูลตนเอง : ไดแ้ กข่ อ้ มูลเกีย่ วกบั ตวั บคุ คล ซงึ่ จะเป็นผู้ตัดสินใจ เป็นข้อมูลทัง้ ทางดา้ นกายภาพ ความพรอ้ มท้งั ทาง อารมณ์ จติ ใจ เปน็ ต้น ข้อมลู ทางวชิ าการ : ไดแ้ กข่ ้อมลู ด้านความรใู้ นเชงิ วชิ าการท่จี ะชว่ ยสนับสนุนในการคดิ การดำเนินงาน ขั้นท่ี 3 การสังเคราะห์ข้อมูลท้ัง 3 ด้าน เข้ามาช่วยในการคิดหาทางแก้ปัญหาภายในกรอบแห่งคุณธรรม ประเด็น เด่นของข้ันตอนน้ีคือระดับของการตัดสินใจท่ีจะแตกต่างกันไปแต่ละคนอันเป็นผลเนื่องมาจากข้อมูลในขั้นที่ 2 ความ แตกตา่ งของการตดั สนิ ใจดังกล่าว มุ่งไปเพ่ือความสุขของแต่ละคน ข้ันที่ 4 การตัดสินใจ เป็นข้ันตอนสำคัญของแต่ละคนในการเลือกวิธีการหรือทางเลือกในการแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับ วา่ ผลของการตัดสินใจนน้ั พอใจหรอื ไม่ หากไม่พอใจก็ตอ้ งทบทวนใหม่ ขนั้ ท่ี 5 เป็นการปฏบิ ตั ิตามสิ่งทไี่ ด้คดิ และตัดสนิ ใจแลว้
ใบความรู้ที่ 3 วชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เรือ่ ง การวจิ ัยอย่างงา่ ย ********************************************* แนวทางการเขียนโครงรา่ งการวิจยั โดย การวิจัย คือ กระบวนการค้นหาความรู้ ข้อเท็จจริง อย่างมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ในการรวบรวมข้อมูล วเิ คราะห์และแปลความข้อมูล เพ่ือแสวงหาคำตอบ สำหรับคำถามหรือประเด็นการศกึ ษาที่ตั้งไว้ ดว้ ยกระบวนการ อัน เป็นที่ยอมรับ ในแต่ละสาขาวิชา ซ่งึ ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ นิยมใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะเชือ่ ว่า วิธนี มี้ ีความถกู ตอ้ ง เชื่อถือได้มากทสี่ ุด โดยท่ัวไปก่อนที่นักวิจัยจะทำการวิจัย จะต้องมีการวางแผนงานเก่ียวกับเรื่องท่ีจะทำการวิจัยไว้ล่วงหน้า การ เขียนโครงร่างการวิจัย (Research proposal) นอกจากจะทำให้ผู้วิจัยทราบขั้นตอนและรายละเอียดในแต่ละข้ันตอน ของการทำวิจัยแล้ว ยังใช้เป็นเคร่ืองมือในการพิจารณาขออนุมัติทำวิจัย หรือขอทุนสำหรับทำวิจัยอีกด้วย เพ่ือให้ ผู้ พิจารณาอนุมัติเชื่อว่า การวิจัยที่จะทำนั้นมีระเบียบวิธีการวิจัยท่ีดี มีความเป็นไปได้ในการทำวิจัยให้สำเร็จ และ ประโยชน์ สมควรได้รับการอนมุ ัติใหท้ ำการวิจัยได้ สงิ่ สำคัญท่ีสุดในการเขียนโครงร่างการวิจัยที่ดี ก็คือความรู้และความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ของผทู้ ี่จะการวิจัยว่า จะทำวิจัยเร่ืองอะไร มีวัตถุประสงค์อะไร จะใช้ระเบียบวิธีการศึกษาอะไรและอย่างไร และงานวิจัยนั้นมีประโยชน์ อะไรบ้าง ซ่ึงหากผทู้ ีท่ ำวิจัยไมม่ ีความชัดเจนในเรื่องตา่ งๆเหล่านี้แล้ว กย็ ากท่ีจะเขยี นข้อเสนอโครงการวจิ ยั ที่ดไี ด้ การเขียนรายงานวจิ ัยและการเผยแพรง่ านวิจัย รูปแบบของรายงานวจิ ยั ข้ันตอนสุดท้ายของงานวิจัยคือ การเขียนรายงานและการนำเสนอ ผลงานวิจัย โดยการเผยแพร่งานใน ทีน่ ้ี จะเสนอเป็นรูปของรายงานการวิจัย อันเป็นการเผยแพร่ผลงานวิจัยที่นิยมทำกันมากท่ีสุด ซ่งึ โดยท่ัวไป การเขียน รายงานการวิจยั ใดๆ กต็ ามจะประกอบดว้ ย การเขียนรายงานวจิ ยั และการเผยแพร่งานวจิ ยั 1. ส่วนนำเรอื่ ง 2. ส่วนเนือ้ เรื่อง 3. ส่วนทา้ ยเรอ่ื งหรืออ้างองิ สว่ นนำเร่ือง ประกอบดว้ ย 1. ปกนอกและปกใน หรือหนา้ ทม่ี ีรายชื่อเร่อื ง รายชือ่ ผแู้ ตง่ 2. บทคัดยอ่ หรอื บทสรปุ สำหรบั ผู้บริหาร 3. กิตตกิ รรมประกาศ 4. คำนำ 5. สารบญั 6. สารบญั ตาราง 7. สารบญั ภาพ 8. คำยอ่ 9. คำศพั ท์
ส่วนเนือ้ เรือ่ ง ประกอบด้วย บทท่ี 1 บทนำ 1. ปญั หาและความสำคญั 2. วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 3. ของเขตของการวิจัย 4. ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั 5. การนำเสนอรายงาน บทท่ี 2 การนำเสนอรายละเอียดของเร่ืองทศี่ กึ ษา บทที่ 3 วรรณกรรมปรทิ ศั น์ 1. แนวคิด ทฤษฏี................. 2. งานวจิ ยั ทท่ี ำมาแล้ว บทท่ี 4 วิธีการศกึ ษา 1. แนวคิด / กรอบแนวคิด 2. การวิเคราะหข์ อ้ มูล/แบบจำลอง 3. ข้อมูลและการเก็บรวบรวมขอ้ มูล บทท่ี 5 ผลการวเิ คราะห์ บทท่ี 6 สรปุ และขอ้ เสนอแนะ 1.สรุป 2. ขอ้ เสนอแนะ - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย - ข้อเสนอแนะเพ่ือการศกึ ษา สว่ นทา้ ยเรอื่ ง หรือส่วนอา้ งองิ ประกอบด้วย 1. เอกสารอ้างองิ 2. ภาคผนวก 3. ดรรชนี การเขียนบทคัดยอ่ มีไว้ในรายงานการวิจัย โดยจะอยู่ในหน้าสุดท้ายก่อนสารบัญ เพ่ือให้ผู้อ่านได้รับความรู้เกี่ยวกับเร่ืองการวจิ ัย เบื้องต้น ก่อนท่ีจะอ่านรายละเอียดในส่วนของเนื้อหา ผู้วิจัยควรเขียนให้กระชับที่สุด แต่ให้ครอบคลุมงานวิจัย โดยมี ขอ้ มูลครบถ้วน ให้ผู้อา่ นเห็นความสำคญั ของงานวิจยั ท่ีทำ การนำเสนอและเผยแพรผ่ ลงานการวิจยั ผู้วิจัย สามารถทำการเผยแพร่ผลงานโดยเขียนเป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ เสนอใสวารสารต่าง ๆ หรือเสนอในที่ประชุมทางวิชาการ หรือเป็นบทความที่มาจากงานที่ทำ หรือบทความท่ีตีพิมพ์ตามเวลาท่ีมีผลงาน ออกมา ซ่ึงเป็นการกำหนดของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อชี้แจงให้เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรของหน่วยงานนั้นผลิตผลงาน ออกมาอย่างสม่ำเสมอ บรรณานกุ รม
ใบความรู้ท่ี 4 วชิ าทักษะการเรยี นรู้ รหสั วิชา ทร21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื ง แหล่งเรียนรู้ ********************************************* ความหมายประเภทของแหล่งการเรียนรู้ 1 ความหมายของแหลง่ การเรยี นรู้ แหลง่ การเรียนรู้ หมายถงึ แหลง่ ขา่ วสารข้อมลู สารสนเทศ แหลง่ ความรูท้ างวิทยาการ และประสบการณท์ ี่ สนับสนุนส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รียน ใฝเ่ รยี น ใฝร่ ู้ แสวงหาความรู้และเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ตามอธั ยาศยั อยา่ งกวา้ งขวางและ ตอ่ เนือ่ งจากแหล่งตา่ ง ๆ เพ่ือเสรมิ สรา้ งให้ผ้เู รียนเกิดกระบวนการเรยี นรู้ และเปน็ บุคคลแห่งการเรยี นรู้ 2 ความหมายประเภทของแหลง่ การเรยี นรู้ ในการแบง่ ประเภทของแหล่งการเรยี นรู้นัน้ พระพุทธทาสภกิ ขุ ได้แสดงธรรมเรือ่ ง “โรงเรยี นท่ีทา่ นยังไม่ รู้จกั ”มคี วามตอนหนงึ่ ว่า โรงเรยี นมีอยู่ท่วั ทุกหนทุกแห่ง ตำหตู ำตาของท่านท้งั หลายแตท่ า่ นก็ไม่รูจ้ ัก การเรียนรจู้ าก ธรรมชาติชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเข้าใจความเป็นจรงิ ของชวี ิต ทีม่ ีการเปลี่ยนแปลง มีการต่อสูด้ น้ิ รน มปี ญั หา มีสุนทรยี ภาพ มี คณุ คา่ ทง้ั ความจรงิ ความงามและความดี ในทางตรงกนั ขา้ ม ธรรมชาติก็มีทงั้ ความเสื่อมสลาย และความโหดรา้ ย ทำลายล้าง มนษุ ยจ์ งึ จำเป็นต้องเรยี นรู้ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ดว้ ยการอนรุ ักษ์ และยอมรับคณุ คา่ ของธรรมชาติ ปรบั ตนเองได้ในความเปลยี่ นแปลง และทำอย่างไรจงึ จะให้เด็กรู้ ด้วยตนเองมากขนึ้ นัน่ คือ ตอ้ งสร้างแหล่งการเรยี นรู้ ให้เขา ต้องสอนให้เขารจู้ กั ใช้แหล่งการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้แบง่ ได้2 ประเภทดงั นี้ 1) แหลง่ การเรียนรู้ในโรงเรียน 2) แหล่งการเรียนร้นู อกโรงเรียน หรืออาจแบ่งแหล่งการเรยี นรทู้ ่ีอยู่รอบตวั ผ้เู รียน เทคโนโลยี ไดแ้ ก่ - คอมพิวเตอร์ - อีเมล์ (e-mail) - อนิ เทอรเ์ น็ต - สงิ่ แวดล้อม ไดแ้ ก่ - แหล่งนำ้ เชน่ แมน่ ำ้ ลำคลอง หว้ ย หนอง บงึ วนอุทยาน ภเู ขา เชน่ ถำ้ หนิ งอก หินย้อย -สวนพฤกษศาสตร์ เช่น สวนสมนุ ไพร สวนปา่ ธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน สวนสาธารณะ - สถานท่ี ได้แก่ - สถานที่สำคญั ทางศาสนา เช่น วดั โบสถ์ มัสยดิ สเุ หรา่ - ปชู ณยี สถาน โบราณสถาน - โรงเรียน - โรงพยาบาล - ไปรษณยี ์ - สถานีตำรวจ - พิพธิ ภณั ฑ์ - หอ้ งสมดุ เชน่ ห้องสมดุ โรงเรียน หอ้ งสมดุ ในชุมชน
- สื่อสารมวลชน ไดแ้ ก่ - หนังสอื พมิ พ์ -โทรทัศน์ ETV - วทิ ยุ สารสนเทศ - บุคลากร ได้แก่ - เพ่ือน เชน่ เพื่อนในห้องเรยี น เพื่อนในชมุ ชน - ครู เชน่ ครใู หญ่ ผู้อำนวยการ ครูวิชาต่าง ๆ - ผนู้ ำชุมชน ช่น ผูน้ ำศาสนา - แพทย์ - องค์การบรหิ ารส่วนตำบล (อบต.) - ตำรวจ - ภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน เช่น ดนตรี ก่อสรา้ ง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ ความสำคญั ของแหล่งการเรียนรู้ การเพมิ่ ศกั ยภาพของผ้เู รียนให้สูงขึน้ สามารถดำรงชวี ิตอยา่ งมีความสขุ ได้บนพน้ื ฐานของความเปน็ ไทย และ ความเปน็ สากลเป็นการเรียนรคู้ ู่ขนานระหว่างความรู้สากลกับความรู้ท้องถนิ่ เพราะท้องถน่ิ เป็นระบบความรทู้ ี่มี การพฒั นาอย่างต่อเน่ือง โดยผา่ นมติ ิสมั พันธก์ ารส่งั สมและถ่ายทอดผา่ นรุ่นส่รู ุ่น สว่ นใหญ่เป็นช้ินงาน เครื่องดนตรี เครื่องใช้ ผา้ ไหม ผ้าฝ้าย การละเล่น ของเลน่ และความรู้ท่ีอยู่ในตัวของบุคคลทีเ่ ปน็ ขอ้ ควรปฏิบตั ิ บทสวด ภาษา เขยี น นทิ าน คำกลอน บทเพลง ตำรายาของปราชญ์ชาวบ้าน ซง่ึ ส่ิงเหล่านม้ี ี ความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และ เทคโนโลยีพ้ืนบ้าน สอดคล้องกับสงั คมการดำรงชีวติ ของผเู้ รียน ถอื วา่ เปน็ การเรยี นรูแ้ บบคขู่ นานระหวา่ งความรู้ ทอ้ งถนิ่ สูส่ ากล 2.1 เจเดด (Jedede 1995: 97-137) ไดเ้ สนอว่ารูปแบบของการเรียนรู้คขู่ นาน ระหว่างความรสู้ ากล แหลง่ การเรยี นรู้และภูมปิ ัญญา สง่ ผลต่อการพฒั นากระบวนการเรยี นรทู้ มี่ ีความจำระยะยาวของผู้เรียน ทำให้สนใจ ใฝ่ รู้ รักการเรยี นรู้ แสวงหาความรู้ และสามารถนำความรูท้ ้องถน่ิ ไปปรับประยุกตส์ สู่ ากล 2.2 ซนิ เวลี่และคอรซ์ ิงเลีย (Sinvely และCorsinglia 2001d:a6-34) กล่าวถงึ กระบวนการผสมผสาน ความรู้ทอ้ งถน่ิ เข้ากับความร้สู ากลในการจัดการเรยี นการสอน โดยยึดแหล่งการเรียนรู้ในทอ้ งถ่นิ เป็นแกนหลักเสริม การเรยี นรูท้ ำใหเ้ กิดการยอมรับ พูดคยุ และรับฟังความเหมือนความต่างระหวา่ งวัฒนธรรม โครงสร้าง รปู แบบการคดิ โดยทว่ี ฒั นธรรมเดมิ ไมจ่ ำเป็นต้องเปลยี่ นโครงสรา้ งตวั เองท้ังหมด กอ่ นทจ่ี ะรับวัฒนธรรมใหม่เขา้ ไป 2.3 แอพเพลิ (Apple 1990: 50-67) การนำวิทยาการพื้นบ้านมาใช้ในการเรียน การสอนจะชว่ ยให้เกดิ ความเจริญงอกงามทางสตปิ ัญญา ผู้เรยี นสามารถดำรงชวี ิตอยู่ได้ในท้องถ่ินอย่างปกติสุข บนพืน้ ฐานของกระบวนการ เรียนรูต้ ามสภาพภมู ิศาสตร์ นิเวศวิทยา ความเชอื่ ปรชั ญา วิถีท้องถ่ิน และวถิ ีแห่งการดำรงชวี ิต 2.4 ก่งิ แกว้ อารีรกั ษ์ (2548:118) ใหค้ วามสำคัญของการศกึ ษาโดยใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ ไว้ดังน้ี 1) กระตุน้ ใหเ้ กิดการเรยี นรเู้ ร่ืองใดเรือ่ งหน่งึ โดยอาศัยการมีปฏสิ ัมพันธ์กบั ส่อื ทห่ี ลากหลาย
2)ชว่ ยเสรมิ สรา้ งการเรยี นรใู้ ห้ลกึ ซ้ึงขึ้น โดยใชเ้ วลาในการรวบรวมขอ้ มลู สะท้อนความ คิดเหน็ จากแหล่งการเรยี นรู้ 3) กระตนุ้ มงุ่ เน้นลึกในเรื่องใดเรือ่ งหน่ึง ซ่ึงผลกั ดันใหผ้ ้เู รยี นแสวงหาข้อมลู ที่เกยี่ วข้องเพ่มิ มากข้ึน สามารถสร้างผลผลติ ในการเรียนรู้ทีม่ ีคุณภาพสงู ขึ้น 4) เสรมิ สร้างการเรยี นรู้ จนเกดิ ทกั ษะการแสวงหาข้อมูลที่มีประสทิ ธิภาพ โดยอาศัยการ สร้างความตระหนักเชงิ มโนทัศน์เกี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละความแตกตา่ งของข้อมลู 5) แหลง่ การเรียนรเู้ สริมสรา้ งการพฒั นาการคดิ เชน่ การแก้ปญั หา การใหเ้ หตุผล และการ ประเมินอยา่ งมวี จิ ารญาณ โดยอาศัยกระบวนการวิจัยอิสระ 6) เปล่ยี นเจตคตขิ องครูและผู้เรียนที่มีตอ่ เนื้อหารายวชิ า และผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 7) พัฒนาทักษะการวิจัยและความเช่ือมัน่ ในตนเองในการคน้ หาขอ้ มลู 8) เพมิ่ ผลสัมฤทธด์ิ ้านวชิ าการ ในด้านเน้อื หา เจตคติ และการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ โดย อาศัยแหล่งการเรยี นรูท้ ห่ี ลากหลายในการเรยี นรู้ 2.5 นเรนทร์ คำมา ไดก้ ลา่ ว ถงึ ความสำคัญของแหลง่ การเรียนร้ไู ว้ดงั น้ี 1) เป็นแหล่งทีร่ วบรวมขององค์ความรู้อันหลากหลาย พร้อมที่จะใหผ้ ู้เรยี นไดศ้ กึ ษาค้นควา้ ด้วยกระบวนการจดั การเรยี นรูท้ ี่แตกตา่ งกันของแตล่ ะบุคคล และเปน็ การส่งเสรมิ การเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) เปน็ แหลง่ เชือ่ มโยงใหส้ ถานศกึ ษาและท้องถ่ินมคี วามใกล้ชิดกัน ทำให้คนในท้องถน่ิ มี สว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาแก่บตุ รหลาน 3) เป็นแหล่งข้อมูลท่ีทำให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนรู้อยา่ งมีความสุข เกดิ ความสนุกสนานและมี ความสนใจทจี่ ะเรียนรู้ไมเ่ กิดความเบื่อหน่าย 4) ทำให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรจู้ ากการท่ีได้คิดเอง ปฏิบตั ิเอง และสรา้ งความรู้ ดว้ ยตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถเข้ารว่ มกิจกรรมและทำงานรว่ มกับผอู้ นื่ ได้ 5) ทำให้ผ้เู รยี นไดร้ ับการปลูกฝังให้ร้แู ละรกั ท้องถ่นิ ของตน มองเห็นคุณคา่ และตระหนักถึง ปัญหาในท้องถ่ิน พรอ้ มท่ีจะเป็นสมาชกิ ทดี่ ีของท้องถน่ิ ท้ังปัจจบุ ันและอนาคต 2.6 ประเวศ วะสี กล่าวว่า ท้องถน่ิ มีแหลง่ การเรียนรู้ และผ้รู ดู้ า้ นตา่ งๆมากมาย มากกว่าทีค่ รสู อนท่อง หนงั สือ ถ้าเปิดโรงเรียนสู่ท้องถ่ินใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ รยี นรจู้ ากครใู นทอ้ งถิน่ จะมีครูมากมายหลากหลายเป็นครูท่ีรูจ้ ริงทำจริง จะทำให้การเรยี นรไู้ ปสู่การปฏบิ ัติจริง การเรยี นสนกุ ไม่น่าเบอ่ื ที่สำคญั เปน็ การปรบั ระบบที่มีคณุ ค่า เดมิ การศึกษา มองขา้ มคุณคา่ เหล่านี้ เม่ือผู้รู้ในท้องถน่ิ เหล่านี้เปน็ ครูได้ จะเปน็ การยกระดับคณุ ค่า ศักดศ์ิ รีและความภาคภมู ิใจของ ท้องถ่นิ อย่างแรง เป็นการถักทอทางสังคม แหลง่ การเรียนรมู้ บี ทบาทในการให้การศึกษาแกผ่ เู้ รยี น ท้งั ในระบบและ นอกระบบดังน้ี 1) แหล่งการเรยี นรสู้ ามารถตอบสนองการเรยี นรทู้ ีเ่ ปน็ กระบวนการ (Process Of Learning) การ เรียนรู้โดยการปฏิบตั ิจรงิ (Learning By Doing) ทัง้ จากท้องถิ่น ซึ่งเปน็ แหล่งการเรยี นรูท้ ี่ตนเองมีอยแู่ ลว้ 2) เปน็ แหล่งกิจกรรม แหลง่ ทัศนศึกษา แหลง่ ฝึกงาน และแหล่งประกอบอาชีพของผเู้ รยี น 3) เป็นแหลง่ สร้างกระบวนการเรยี นรู้ให้เกดิ ขึน้ โดยตรง 4) เป็นห้องเรียนธรรมชาติ เป็นแหล่งค้นควา้ วจิ ยั และฝึกอบรม
5) เป็นองคก์ รเปิด ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมลู ได้อยา่ งเต็มทแ่ี ละทัว่ ถึง 6) สามารถเผยแพร่ข้อมูลแกผ่ เู้ รียนในเชิงรุก เข้าสู่กลุ่มเปา้ หมายอย่างท่วั ถึงประหยดั และสะดวก 7) มกี ารเชอื่ มโยงและแลกเปลย่ี นข้อมูลระหว่างกัน 8) มีสอ่ื ประเภทตา่ งๆ ประกอบด้วย สอื่ สิง่ พิมพ์ และสื่ออิเลกทรอนิกส์ เพื่อเสรมิ กิจกรรมการ เรียนการสอนและพฒั นาอาชีพ สรปุ ความสำคัญของแหลง่ การเรยี นรู้ไดว้ ่า แหลง่ การเรยี นรู้ชว่ ยเชื่อมโยงเรือ่ งราวในท้องถ่ินสู่การ เรียนร้สู ากล พฒั นาคณุ ลกั ษณะและความคดิ ความเขา้ ใจในคุณค่า และทัศนคติ ค่านิยม ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รกั การเรยี นรู้ มี ทักษะการแสวงหาความรู้ สามารถจัดการความรู้ ซึ่งมีความสำคัญและมคี วามหมายอย่างมากสำหรับผู้เรยี น ดังน้ี 1)ผู้เรยี นไดเ้ รยี นร้จู ากสภาพชวี ิตจรงิ สามารถนำความรู้ท่ไี ด้ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ได้ ช่วยใหเ้ กิด การพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน ครอบครวั ท้องถน่ิ 2)ผู้เรยี นได้เรียนในสิง่ ทมี่ ีคุณค่า มีความหมายตอ่ ชีวิต ทำให้เห็นคณุ คา่ เหน็ ความสำคญั ของสง่ิ ท่ี เรยี น 3)ผเู้ รยี นสามารถเชื่อมโยงความรทู้ ้องถ่ินสู่ความรสู้ ากลสิ่งทอ่ี ยู่ใกลต้ วั ไปส่สู ่ิงทีอ่ ยู่ไกลตัวไดอ้ ย่างเป็น รปู ธรรม 4)เห็นความสำคัญของการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนาภูมิปญั ญาท้องถิน่ วัฒนธรรม ทรัพยากร และ ส่ิงแวดล้อมในท้องถนิ่ ได้อยา่ งต่อเน่อื ง 5) มีสว่ นรว่ มในองค์กร ท้องถิน่ บคุ คล และครอบครัวในการพัฒนาท้องถนิ่ 6)ได้เรยี นรูจ้ ากแหล่งการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ได้ลงมอื ปฏิบัติจรงิ สง่ ผลให้ เกิดทักษะการแสวงหา ความรู้ เปน็ บุคคลแห่งการเรยี นรู้ ขอบขา่ ยของอนิ เทอร์เน็ต การคน้ หาข้อมลู ผ่าน Website การสง่ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ 3.1 ขอบข่ายของอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบันอินเทอรเ์ น็ตมีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก เพราะทำ ใหว้ ิถีชวี ิตเราทันสมยั และทนั เหตุการณ์อยู่เสมอ เนอ่ื งจากอินเทอร์เน็ตจะมีการเสนอข้อมูลข่าวปัจจุบัน และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปล่ียนแปลงไปทุกวัน สารสนเทศท่ีเสนอในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายหลายรูปแบบเพ่ือสนอง ความสนใจและความต้องการของผู้ใช้ทกุ กลมุ่ อินเทอร์เนต็ จงึ เป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทกุ คนเพราะสามารถ ค้นหาสิ่งที่ตนสนใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปค้นคว้าในห้องสมุด หรือแม้แต่การรับรู้ข่าวสารทั่วโลกก็ สามารถอ่านได้ในอินเทอร์เนต็ จากเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ ของหนังสอื พิมพ์ ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงมคี วามสำคัญกบั วิถีชีวิตของ คนเราในปัจจุบันเปน็ อยา่ งมากในทุก ๆ ดา้ น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทอ่ี ยู่ในวงการธุรกจิ การศึกษา ต่างกไ็ ด้รบั ประโยชน์ จากอนิ เทอรเ์ นต็ ดว้ ยกนั ทง้ั นัน้ 3.1.1 ด้านการศึกษา อินเทอรเ์ น็ตมคี วามสำคัญ ดงั น้ี 1) สามารถใชเ้ ป็นแหล่งค้นควา้ หาขอ้ มูล ไม่ว่าจะเปน็ ขอ้ มูลทางวชิ าการ ข้อมูลด้านการ บนั เทิง ดา้ นการแพทย์ และอื่น ๆ ท่นี า่ สนใจ 2) ระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต จะทำหน้าท่เี ปรียบเสมอื นเปน็ ห้องสมดุ ขนาดใหญ่
3) นักเรียนนักศึกษาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนอื่น ๆ เพื่อ คน้ หาขอ้ มูลที่กำลังศกึ ษาอย่ไู ด้ ทงั้ ท่ีขอ้ มูลที่เป็นข้อความเสยี ง ภาพเคลือ่ นไหวต่าง ๆ 3.1.2 ดา้ นธุรกจิ และการพาณชิ ย์ อนิ เทอร์เน็ตมีความสำคัญดังนี้ 1) คน้ หาขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่ือชว่ ยในการตดั สินใจทางธรุ กิจ 2) สามารถซื้อขายสินคา้ ทำธุรกรรมผา่ นระบบเครือข่าย 3) เปน็ ช่องทางในการประชาสัมพนั ธ์ โฆษณาสินคา้ ติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ 4) ผู้ใช้ทเี่ ป็นบริษทั หรือองค์กรตา่ ง ๆ ก็สามารถเปิดใหบ้ ริการ และสนบั สนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรม ทดลองใช้ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware) 3.1.3 ด้านการบันเทงิ อินเทอร์เน็ตมีความสำคญั ดังนี้ 1) การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบที่ จอคอมพวิ เตอร์เหมอื นกับวารสารตามรา้ นหนังสือทั่ว ๆ ไป 2) สามารถฟังวทิ ยุหรือดูรายการโทรทศั นผ์ ่านระบบเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตได้ 3) สามารถดงึ ข้อมูล (Download) ภาพยนตร์มาดูได้ 3.2 การสืบคน้ ข้อมลู ผา่ น Website Search Engineเป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บต่างๆ โดยมีการเก็บ รายชื่อเว็บไซต์และ ข้อมูลที่เก่ียวข้องต่างๆ ของเว็บไซต์และนำมาจัดเก็บไว้ใน server เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวก และ รวดเร็วมากย่ิงขึ้น ทั้งน้ี บาง search engine อาจไม่ได้มีการเก็บข้อมูลในserverของตัวเอง แต่อาจอาศัยข้อมูลจาก เจา้ ของ server น้ันๆ เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตาม เว็บไซต์ต่างๆ ท่ีใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นข้ึนกับประเภทของข้อมูล สารสนเทศท่ีต้องการ สืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ ไม่เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ทีน่ ยิ มใช้มที ั้งเว็บไซต์ที่เปน็ ของตา่ งประเทศ และของไทยเอง
ใบความรู้ที่ 5 วชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทร 21001 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เรอื่ ง การจดั การความรู้ ********************************************* การจัดการความรู้ หรือ KM : Knowledge Management คือ การรวบรวมองค์ความรู้ท่ีมีอยู่ในองค์กร ซ่ึงกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพ่ือให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิ ง แข่งขันสงู สดุ โดยท่ีความรมู้ ี 2 ประเภท คือ 1) ความรู้ท่ีฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณ ของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ เป็นความรู้ท่ีไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์ อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางคร้ัง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบ นามธรรม 2) ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ท่ีสามารถรวบรวม ถา่ ยทอดได้ โดยผา่ นวธิ ีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางคร้ังเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ระบุว่าการจัดการความรู้สามารถใช้เป็นเครื่องมือเพ่ือการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1) บรรลุ เปา้ หมายของงาน 2) บรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองคก์ รไปเป็นองคก์ รเรยี นรู้ 4) บรรลุ ความเป็นชมุ ชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกนั ในทท่ี ำงาน การจัดการความรู้เป็นการดำเนนิ การอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้ ไดแ้ ก่ 1) การกำหนดความรู้หลักทีจ่ ำเป็นหรือสำคัญต่องานหรือกิจกรรมของกลุ่มหรือองค์กร 2) การเสาะหาความรทู้ ตี่ อ้ งการ 3) การปรบั ปรุง ดดั แปลง หรอื สรา้ งความร้บู างสว่ น ให้เหมาะต่อการใชง้ านของตน 4) การประยุกต์ใชค้ วามรใู้ นกจิ การงานของตน 5) การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปล่ียนเรียนรู้ และสกัด “ขุมความรู้” ออกมาบนั ทกึ ไว้ 6) การจดบันทกึ “ขมุ ความร้”ู และ “แก่นความรู้” สำหรับไว้ใช้งาน และปรับปรุงเปน็ ชดุ ความรู้ทคี่ รบถ้วน ลมุ่ ลึกและ เชอ่ื มโยงมากขน้ึ เหมาะต่อการใช้งานมากยิ่งข้ึน โดยทกี่ ารดำเนนิ การ 6 ประการนี้ บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน ความรู้ ที่เกี่ยวข้องเป็นท้ังความรู้ที่ชัดแจ้ง อยู่ในรูปของตัวหนังสือหรือรหัสอย่างอ่ืนท่ีเข้าใจได้ทั่วไป (Explicit Knowledge) และความรู้ฝังลึกอยู่ในสมอง (Tacit Knowledge) ที่อยู่ในคน ทั้งท่ีอยู่ในใจ (ความเช่ือ ค่านิยม) อยู่ในสมอง (เหตุผล) และอยู่ในมือ และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (ทักษะในการปฏิบัติ) การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมท่ีคนจำนวนหน่ึงทำ ร่วมกันไม่ใช่กิจกรรมที่ทำโดยคนคนเดียว เน่ืองจากเช่ือว่า “จัดการความรู้” จึงมีคนเข้าใจผิด เริ่มดำเนินการโดยร่ีเข้า ไปที่ความรู้ คือ เร่ิมที่ความรู้ น่ีคือความผิดพลาดท่ีพบบ่อยมาก การจัดการความรู้ที่ถูกต้องจะต้องเริ่มที่งานหรื อ เป้าหมายของงาน เป้าหมายของงานที่สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามท่ีกำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสมั ฤทธ์ิ ออกเป็น 4 ส่วน คือ
1) การสนองตอบ (Responsiveness) ซ่ึงรวมท้ังการสนองตอบความต้องการของลูกค้า สนองตอบความต้องการของ เจ้าของกิจการหรือผถู้ ือหนุ้ สนองตอบความต้องการของพนักงาน และสนองตอบความต้องการของสงั คมสว่ นรวม 2) การมีนวัตกรรม (Innovation) ท้งั ทเี่ ปน็ นวัตกรรมในการทำงาน และนวตั กรรมด้านผลติ ภณั ฑห์ รอื บริการ 3) ขีดความสามารถ (Competency) ขององคก์ ร และของบคุ ลากรทพี่ ัฒนาข้ึน ซงึ่ สะทอ้ นสภาพการเรียนรขู้ ององคก์ ร และ 4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซ่ึงหมายถึงสัดส่วนระหว่างผลลัพธ์ กับต้นทุนท่ีลงไป การทำงานที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย แตไ่ ดผ้ ลมากหรือคณุ ภาพสูง เป้าหมายสุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การ ที่กลุ่มคนท่ีดำเนินการจัดการความรรู้ ว่ มกนั มีชดุ ความรู้ของตนเอง ทรี่ ่วมกันสร้างเอง สำหรับใช้งานของตน คนเหล่านี้ จะสร้างความร้ขู ้ึนใช้เองอยู่ตลอดเวลา โดยที่การสรา้ งน้ันเป็นการสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผา่ นการทดลองเอา ความรู้จากภายนอกมาปรบั ปรงุ ให้เหมาะต่อสภาพของตน และทดลองใช้งาน จัดการความร้ไู ม่ใช่กจิ กรรมท่ีดำเนนิ การ เฉพาะหรือเกี่ยวกับเรื่องความรู้ แต่เป็นกิจกรรมท่ีแทรก/แฝง หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า บูรณาการอยู่กับทุก กิจกรรมของการทำงาน และที่สำคัญตัวการจัดการความรู้เองก็ต้องการการจัดการดว้ ย ต้ังเปา้ หมายการจดั การความรู้ เพือ่ พฒั นา 3 ประเดน็ - งาน พัฒนางาน - คน พัฒนาคน - องคก์ ร เปน็ องค์กรการเรียนรู้ ความเปน็ ชมุ ชนในที่ทำงาน การจดั การความรจู้ ึงไมใ่ ช่เป้าหมายในตัวของมนั เอง น่คี ือ หลมุ พรางข้อท่ี 1 ของ การจดั การความรู้ เม่ือไรกต็ ามท่มี ีการเขา้ ใจผดิ เอาการจัดการความรูเ้ ปน็ เป้าหมาย ความผดิ พลาดกเ็ ร่ิมเดินเขา้ มา อนั ตรายทจี่ ะเกิดตามมาคอื การจดั การความรู้เทียม หรือ ปลอม เป็นการดำเนินการเพียงเพือ่ ให้ได้ชื่อว่ามกี ารจดั การ ความรู้ การริเรมิ่ ดำเนินการจัดการความรู้ แรงจูงใจ การริเร่มิ ดำเนนิ การจดั การความรู้เป็นก้าวแรก ถ้าก้าวถูกทิศทาง ถกู วธิ ี กม็ ีโอกาสสำเร็จสงู แตถ่ า้ กา้ วผดิ กจ็ ะเดนิ ไปสคู่ วามล้มเหลว ตัวกำหนดท่ีสำคัญคือแรงจูงใจในการริเรม่ิ ดำเนินการจัดการความรู้ การจัดการความรู้ทีด่ ีเริ่มด้วย สมั มาทิฐิ : ใชก้ ารจดั การความรู้เป็นเครอื่ งมอื เพื่อบรรลุความสำเรจ็ และความ มนั่ คงในระยะยาว การจดั ทมี รเิ ริ่มดำเนินการ การฝกึ อบรมโดยการปฏิบตั ิจรงิ และดำเนินการตอ่ เน่ือง การจดั การระบบการจัดการความรู้ แรงจูงใจในการรเิ รม่ิ ดำเนินการจัดการความรู้ แรงจงู ใจแทต้ ่อการดำเนนิ การจัดการความรู้ คอื เป้าหมายที่ งาน คน องคก์ ร และความเป็นชมุ ชนในท่ีทำงานดังกลา่ วแลว้ เปน็ เงื่อนไขสำคญั ในระดับท่เี ปน็ หวั ใจสู่ความสำเร็จใน การจดั การความรู้ แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจดั การความรูแ้ บบเทียม และไปสู่ความล้มเหลวของการ จัดการความรใู้ นท่สี ุด แรงจงู ใจเทยี มต่อการดำเนนิ การจดั การความรใู้ นสงั คมไทย มีมากมายหลายแบบ ทพ่ี บบ่อยท่สี ดุ คอื ทำเพยี งเพ่ือให้ไดช้ ่ือว่าทำ ทำเพราะถูกบงั คับตามข้อกำหนด ทำตามแฟชนั่ แต่ไม่เขา้ ใจความหมาย และวิธกี าร ดำเนนิ การ จัดการความร้อู ย่างแท้จริง
องคป์ ระกอบสำคญั ของการจดั การความรู้ (Knowledge Process) และเปน็ ผนู้ ำความรู้ไปใช้ให้เกดิ 1.“คน”เปน็ องคป์ ระกอบทีส่ ำคัญท่ีสดุ เพราะเป็นแหลง่ ความรู้ ประโยชน์ 2.“เทคโนโลย”ี เปน็ เครอื่ งมือเพ่ือให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปล่ียน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ อย่างง่าย และรวดเร็วข้นึ 3.“กระบวนการความรู้” เป็นการบรหิ ารจัดการ เพือ่ นำความรูจ้ ากแหล่งความรู้ไปให้ผ้ใู ช้ เพ่ือทำให้ เกิดการปรับปรงุ และนวตั กรรม
ใบความรู้ที่ 1 วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น เร่อื ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี …………………………………………………………………… กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การดำเนินการเร่ืองใดเรือ่ งหน่ึงจะต้องมีการกำหนดขน้ั ตอน อย่างเป็น ลำดบั ต้งั แตต่ น้ จนแล้วเสร็จ ตามจุดประสงคท์ ่ีกำหนด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็นแนวทางการดำเนนิ การ โดยใช้ทักษะวทิ ยาศาสตรใ์ ช้จึงเป็นแนวทางการดำเนนิ การโดยใชท้ กั ษะวิทยาศาสตรใ์ ชใ้ นการ จัดการ ซ่งึ มีลำดับ ข้นั ตอน 5ข้ัน ตอน ดังน้ี 1. การกำหนดปัญหา 2. การตงั้ สมมตฐิ าน 3. การทดลองและรวบรวมข้อมลู 4. การวิเคราะหข์ ้อมูล 5. การสรุปผล ขั้นตอนท่ี 1 การกำหนดปัญหา เป็นการกำหนดหัวเรื่องท่ีจะศึกษาหรือปฏิบัติการแก้ปัญหาเป็น ปัญหาท่ีได้มาจากการสังเกต จากข้อ สงสัยในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีพบเห็น เช่น ทำไมต้นไม้ท่ีปลูกไว้ใบเห่ียวเฉา ปญั หามีหนอนมาเจาะกงิ่ มะมว่ งแก้วได้อยา่ งไรปลากัดขยายพันธ์ได้อย่างไร ตัวอยา่ งการกำหนดปัญหา ปา่ ไม้หลายแหง่ ถูกทำลายอย่ใู นสภาพที่ไม่สมดุล หน้าดินเกดิ การพงั ทลาย ไมม่ ีต้นไม้หรอื วัชพืช หญา้ ปกคลุมดิน เม่ือฝนตกลงมานำ้ ฝนจะกัดเซาะหน้าดินไปกับกระแสนา้ แตบ่ ริเวณพื้นทม่ี วี ัชพืช และหญ้าปกคลุมดินจะช่วยดูดซับน้ำฝนและลดอัตราการไหลของน้า ดังน้ันผู้ดำเนินการจึงสนใจอยากทราบว่า อัตรา การไหลของน้า จะข้ึนอยู่กับสิ่งที่ช่วยดูดซับน้ำหรือไม่ โดยทดลองใช้แผ่นใยขัดเพื่อทดสอบอัตรา การไหลของน้ำจึง จดั ทำโครงงาน การทดลอง การลดอตั ราไหลของน้า โดยใชแ้ ผ่นใยขด ขั้นตอนท่ี 2 การต้ังสมมติฐานและการกำหนดตัวแปรเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาใด ปัญหา หน่ึงอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยข้อมูลจากการสังเกต การศึกษาจากเอกสารท่ีเก่ียวข้องการพบผู้รู้ใน เรื่องนั้นๆ ฯลฯ และกำหนดตัวแปรทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การทดลอง ไดแ้ ก่ ตวั แปรต้นตัวแปรตาม ตวั แปร ควบคมุ ตวั อย่าง สมมติฐาน แผ่น ใยขดช่วยลดอัตราการไหลของนา้ (ทำใหน้ ำ้ ไหลชา้ ลง) ตัวแปร ตวั แปรตน้ คือ แผน่ ใยขดั ตัวแปรตาม คอื ปริมาณน้ำทีไ่ หล ตวั แปรควบคุม คือ ปริมาณนำ้ ท่ีเทหรอื รด ขั้นตอนท่ี 3 การทดลองและรวบรวมข้อมูล เป็นการปฏิบัตกิ ารทดลองค้นหาความจริงให้ สอดคล้อง กับ สมมติฐานท่ีต้ังไว้ในขั้น ตอนการตั้งสมมติฐาน (ขั้นตอนที่2 ) และรวบรวมข้อ มูลจากการ ทดลองหรือปฏิบัติการ นน้ั อย่างเปน็ ระบบ
1. ปรากฏการณ์ธรรมชาตกิ บั วิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์หรือการเปลย่ี นแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมนุษยไ์ ม่ได้กระทำ เรียกว่า ปรากฏการณธ์ รรมชาติ เช่น กลางวัน กลางคนื นำ้ ขึน้ นำ้ ลง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ เป็นตน้ ในอดีตท่มี นษุ ยย์ ัง ไม่มีการศึกษา ไม่มีความรู้ ไม่มีเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ใช้วัดหรือตรวจสอบปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ ไม่ สามารถหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดข้ึนในธรรมชาติเหล่านี้ได้ มนุษย์จะเกิดความกลัวและยกให้เป็นเรื่องท่ีอยู่ เหนือเหตุผล เปน็ การกระทำของผู้มอี ิทธฤิ ทธิ์ เทพเจ้า หรือภูตผปี ีศาจ เชน่ การเกดิ โรคระบาดในอดีตทคี่ ร่าชวี ิตของ ผู้คนครั้งละมากๆ มนุษย์ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ไม่มีเคร่ืองมือท่ีจะตรวจสอบ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจาก สาเหตุใด จึงยกให้เป็นการกระทำของภูตผีปิศาจ ที่ทำการลงโทษมนุษย์ หรือการเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ความ เช่ือของคนไทยในสมัยก่อน เชื่อว่าฟ้าแลบเกิดจากประกายหรือแสงสะท้อน ของแก้วสารพัดนึกในมือของนาง เมขลา ท่ีนำออกมาร่ายรำในเวลาฝนตก ส่วนฟ้าร้องและฟ้าผ่า เกิดจากอิทธิฤทธ์ิของขวานรามสูรที่ขว้างใส่นาง เมขลา เพอื่ แย่งแก้วสารพดั นกึ มาครอบครอง ความกลัวในปรากฏการณ์ธรรมชาติ ท่ีไม่สามารถหาเหตผุ ลมาอธิบายได้ ทำให้มนุษย์หาทางเอาตัว รอดและขจัดความหวาดกลัวเหล่าน้ัน มนุษย์จึงพยายามหาส่ิงยึดเหนี่ยวทางใจ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ในการ เผชิญกับสง่ิ ตา่ งๆ ในธรรมชาติเหลา่ น้ี จึงเกิดเปน็ ความเช่ือและพธิ กี รรมต่างๆ ตามมา เม่ือมนุษย์มีการศึกษาค้นคว้าและพัฒนามากข้ึน มีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ รู้จักพัฒนา เคร่ืองมือและเทคโนโลยีใหมๆ่ ในการแก้ไขปัญหาและแสวงหาความรู้ ทำให้มนุษย์ทราบข้อเทจ็ จริงต่างๆ ที่ไมส่ ามารถ หาคำตอบได้ในอดีตว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ทั้งหลายนั้น ล้วนมีรูปแบบการ เปล่ียนแปลงของตัวเอง มี สาเหตขุ องการเกิดและกอ่ ให้เกิดผลจากการเปล่ยี นแปลงเหล่าน้นั เชน่ ทราบว่าโรคภยั ไขเ้ จ็บต่างๆ ทค่ี ร่าทำลายชีวิต ของมนุษย์น้ัน เกิดจากการกระทำของส่ิงมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สามารถติดต่อกันได้ อย่างไร และจะป้องกันได้โดยวิธีใด หรือการเกิดฟ้าแลบ ฟ้ารอ้ ง ฟ้าผ่า ในปัจจุบันเราทราบว่าปรากฏการณ์นี้ เกิด จากการถา่ ยเทประจุไฟฟ้าจากก้อนเมฆลงไปยังพ้ืนดิน จากบริเวณที่มีประจุไฟฟ้ามากหรือศักย์ไฟฟ้าสูง ไปยังบริเวณ ท่ีมีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ซึ่งมักจะเกิดในช่วงเปล่ียนฤดู คือเกิดมากในตอนต้นและปลายฤดูฝน การหลบฝนใต้ต้นไม้สูงๆ เสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า ก็เพราะว่าขณะที่เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าน้ัน อิเล็กตรอนจากก้อนเมฆในปริมาณมาก จะ พยายามเคลื่อนท่ีลงมายังพ้ืนดินและกระจายไปในอากาศทุกทิศทาง อย่างไม่มีรูปแบบที่แน่นอน เพราะอากาศไม่ใช่ ตัวนำไฟฟ้า เม่ือประจุไฟฟ้าเหล่านี้เคล่ือนท่ีไปเจอส่ิงกีดขวางที่เป็นต้นไม้ หรอื ส่ิงก่อสร้างสงู ๆ มันจะเคลือ่ นที่ไปตาม วัตถุเหลา่ น้นั ลงไปท่ีพ้ืนดิน ท้ังนี้เป็นเพราะว่าถึงแม้วา่ ต้นไม้หรือส่ิงก่อสร้างเหล่านั้น จะไมใ่ ช่โลหะหรอื ตัวนำไฟฟ้า แต่ ก็ยังเป็นทางวิ่งที่ดีกว่าที่มันจะเคลื่อนท่ีไปในอากาศ มันจึงเลือกที่จะเคล่ือนที่ไปตามวัตถุเหล่านั้น ซ่ึงอาจจะทำลาย หรอื กอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายกบั วัตถทุ ีม่ ันวง่ิ ผา่ นน้นั อย่างรุนแรง นอกจากนักวิทยาศาสตร์จะรู้ และเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติดีขึ้นแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังใช้ ประโยชน์จากความรู้น้ัน ในการเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติน้ันๆ ได้ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าถ้าประจุไฟฟ้าวิ่งลงมาตาม ต้นไม้ หรือส่ิงก่อสร้างในปริมาณมากๆ ก็สามารถทำความเสียหายแก่สิ่งเหล่ านั้นได้ ท่ีเรียกกันว่าถูกฟ้าผ่า นั่นเอง ดังน้ันถ้ามีตัวนำหรือทางวิ่ง ให้ประจุไฟฟ้าว่ิงได้อย่างสะดวกจะสามารถลดหรือป้องกันการถูกฟ้าผ่า
ได้ แนวคิดหรือหลักการของเบนจามิน แฟรงคลิน จึงถูกนำมาสร้างเป็นสายล่อฟ้า ที่ใช้ติดต้ังตามอาคารหรือ สิง่ กอ่ สร้างสงู ๆ เพอื่ ป้องกันอันตรายจากการถกู ฟ้าผา่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นอกจากจะทำให้มนุษย์เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติแล้วยังทำให้มนุษย์ สามารถ นำปรากฏการณ์หรือพลังงานจากธรรมชาติ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์อีกด้วย เช่น นำพลังน้ำจาก เขื่อนไปผลิตกระแสไฟฟ้าและประดิษฐ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆมาช่วยในการทำงาน และอำนวยความสะดวกใน ชวี ิตประจำวนั ก่อใหเ้ กิดความสะดวกสบาย ตอ่ การดำรงชีวิตของมนุษยใ์ นปจั จุบนั เปน็ อยา่ งมาก 2. ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ มาจากคำในภาษาละตินว่า “Scientia” หมายถึงความรู้ ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษ ว่า “Science” ในปัจจุบันเป็นท่ียอมรับกันว่าวิทยาศาสตร์ ไม่ได้หมายถึงความรู้เท่านั้นแต่ยังประกอบด้วย กระบวนการแสวงหาความรู้ น่ันคือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ได้มาจากการศกึ ษาคน้ คว้าหาคำตอบโดยใชก้ ระบวนการ แสวงหาความรู้ สรปุ ได้วา่ วิทยาศาสตร์ หมายถึงความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้า และรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ วิชาวิทยาศาสตร์ จึงเป็นวิชาท่ศี ึกษาค้นควา้ หาความรใู้ นเรือ่ งท่เี ปน็ จรงิ และสามารถพสิ ูจน์ได้ 3.ขอบเขตของวิชาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นวิชาความรู้ ท่ีว่าด้วยความเป็นจริงของธรรมชาติ ทั้งท่ีมนุษย์ค้นพบแล้ว และที่ กำลังศึกษาค้นคว้า เป็นวิชาท่ีมีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลไม่จำกัด นักวิทยาศาสตร์จึงรวบรวมกลุ่มของความรู้เข้า ด้วยกัน แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะความเหมือน และความแตกต่างขององค์ความรู้ สามารถจำแนกหมวดหมู่ ออกได้ดังน้ี 3.1 วิทยาศาสตร์พื้นฐานหรือวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิ เป็นองค์ความรู้ต่างๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษา ค้นพบ แล้วรวบรวมเก็บไว้เป็นหมวดหมู่ อธิบายความเป็นไปของธรรมชาติและกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นองค์ความรู้ พนื้ ฐานท่ีนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นอ่นื เช่น การเกษตร การแพทย์ วทิ ยาศาสตรพ์ ้ืนฐานจำแนกออกได้เป็น 2 สาขา ไดแ้ ก่สาขาวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพกับวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 3.2 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับส่ิงมีชีวิตท้ังหลาย องค์ประกอบ ของสิ่งมีชีวติ ตลอดจนกลไกและปฏกิ ิรยิ าชีวเคมีหรือเมแทบอลิซึมต่างๆ ที่เกิดข้ึนในร่างกายของสงิ่ มีชีวิต การจำแนก ประเภท วิวัฒนาการ และความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต 3.3 วิทยาศาสตร์กายภาพ จำแนกออกไดเ้ ปน็ 2 สาขา ไดแ้ ก่สาขาเคมแี ละฟสิ ิกส์ - เคมี เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสารต่างๆ การจำแนกประเภทของสาร สมบัติต่างๆ ตลอดจนการ เปลีย่ นแปลงหรอื ปฏิกริ ิยาเคมขี องสาร โครงสร้างภายในของธาตุ ทีท่ ำปฏกิ ิริยารวมตวั กันเกิดเปน็ สารประกอบ
- ฟสิ ิกส์ เปน็ วชิ าทศ่ี ึกษาเกี่ยวกับพลังงานและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่มีพลังงานเข้ามาเก่ียวขอ้ ง ไมว่ ่า จะเป็นพลงั งานรปู ตา่ งๆ เช่น พลังงานไฟฟา้ ความรอ้ น แสง เสียง การเปลย่ี นรูปของพลังงาน ตลอดจนผลท่ีเกิด จากพลังงานไมว่ ่าจะเปน็ ความเรว็ ความเรง่ นำ้ หนัก แรงโน้มถว่ งทโี่ ลกกระทำตอ่ วัตถตุ า่ งๆ วิท ยาศาสตร์พื้ นฐาน สาขาต่างๆ เห ล่านี้ เป็น รากฐานของวิท ยาศาสตร์ประยุกต์ ที่ จะ นำไป ดัดแปลง หรือประยุกต์ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ต่อมนษุ ยต์ อ่ ไป 3.4 วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เปน็ การนำเอาวิทยาศาสตรพ์ ื้นฐานแตล่ ะสาขา ไปประยุกต์ใช้ใน กิจการ ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ในอุตสาหกรรมหรือในด้านอ่ืนๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ตัวอย่างของวิทยาศาสตร์ ประยุกตท์ ่ีนำไปใชป้ ระโยชน์ เช่น - วิทยาศาสตร์เกษตร ท่ีประยุกต์มาจากวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เคมีและฟิสิกส์ เป็นความรู้ความเข้าใจ ในเร่ืองต่างๆ เกี่ยวกับการเกษตร เช่น การกสิกรรม การประมง การปศุสัตว์ การป่าไม้ เพ่ือผลิตอาหาร วัตถุดิบ อตุ สาหกรรม - วิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นการนำความรู้สาขาชีวภาพ เคมี และฟิสิกส์ มาพัฒนาเป็นความรู้ เกี่ยวกับการทำงานของร่างกายมนุษย์ สมมติฐานของโรคภัยไข้เจ็บ ปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายต่อสาร ตา่ งๆ ตลอดจนการบำบดั รกั ษา - วิทยาศาสตร์ก่อสร้างหรือวิศวกรรมศาสตร์ เป็นการนำเอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไป ประยุกต์ใช้ในด้านการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารท่ีอยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม ถนนหนทาง เขื่อน กกั เก็บนำ้ สะพาน หรอื ส่งิ กอ่ สร้างอ่นื ๆ จำเปน็ ต้องใชค้ วามร้แู ละหลกั การทางด้านวิทยาศาสตร์มาใชท้ ง้ั นั้น นอกจากวิชาเหล่าน้ีแล้ว ยังมีวิชาอ่ืนอีกมากมาย ที่นำเอาหลักการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไป ประยกุ ต์ใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ กับมนษุ ย์ 4. ความรวู้ ทิ ยาศาสตรเ์ กิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร เมอ่ื วทิ ยาศาสตร์ หมายถึง ตัวความรู้และกระบวนการท่ีทำใหไ้ ด้มาซึ่งความร้นู ั้น ซ่ึงเราเรียกกันโดยทั่วไป วา่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนน้ั การไดม้ าซึง่ ความรู้วิทยาศาสตร์ จงึ เกดิ ขนึ้ ไดห้ ลายทาง เชน่ 4.1 เกิดจากการสังเกต (observation) การสังเกต เป็นทักษะเบ้ืองต้นที่สำคัญในการศึกษาและสร้าง องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ส่วนมาก เกิดจากการสังเกตและคิดวิเคราะห์อย่างเป็น ระบบของนักวิทยาศาสตร์ การสังเกตที่ถูกต้องนั้น ต้องมีการจดบันทึกข้อมูลเอาไว้อย่างละเอียด เพ่ือป้องกันการ หลงลืมและสูญหายของข้อมูล ตัวอย่างของความรู้ท่ีเกิดจากการสังเกต เช่น ฟรานซิส เรดิ (Francis Redi) ท่ีสังเกต พบวา่ ตัวหนอนในเนอ้ื เนา่ เกดิ จากไขแ่ มลงวัน 4.2 เกิดจากการทดลองและการวัด (experimentation and measurement) การทดลองและ การวัด ทำให้เรารู้ปรากฏการณ์ และการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติมากมาย ในการวัดบางครง้ั เราสามารถใช้ประสาท สัมผัสของร่างกายวัดได้ แต่ในบางคร้ังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่ให้ความ ถูกต้อง แม่นยำ มากกว่า เช่น เคร่ืองชั่ง เทอร์มอมิเตอร์ ไม้บรรทัด เป็นต้น ตัวอย่างของความรู้ท่ีได้จากการทดลองและการ วดั ไดแ้ ก่ น้ำจะแข็งตวั ทอี่ ุณหภมู ิ 0 องศาเซลเซยี ส และเดอื ดที่อณุ หภูมิ 100 องศาเซลเซยี ส เปน็ ต้น
4.3 เกิดจากความบังเอิญ (accidental) ความบังเอิญเป็นอีกสาเหตุหน่ึง ที่ทำให้ได้มาซ่ึงความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้และคาดไม่ถึง เช่น การบังเอิญ ของเรินต์ เกน (Roentgen) นกั ฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ทผี่ ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดสุญญากาศและพบรังสีเอกซ์ (X-rays) ในปี พ.ศ. 2438 หรือการทดลองเหน่ียวนำไฟฟ้าของเฮิรตซ์ (Herzt) ท่ีทำให้เขาพบคลื่นวิทยุ ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ชนิดหนึง่ ในปี พ.ศ. 2430 4.4 เกดิ จากการจัดระบบระเบยี บโดยอาศัยการสงั เกต เช่น การจดั ระบบหรอื หมวดหมขู่ องพืชและ สตั ว์ เช่น การจำแนกประเภทของสิง่ มชี ีวติ ของลนิ เนียส (Linnaeus) ที่ไดจ้ ดั ระบบการจำแนก ส่ิงมีชีวิตออกเปน็ ลำดับขัน้ จากลำดับใหญ่ไปหาลำดับ ย่อย ได้แก่ อาณาจกั ร (kingdom) ไฟลัม (phylum) ช้นั (class) อันดบั (order) วงศ์ (family) สกุล (genus) ชนิด (species) ซึ่งทำให้งา่ ยและสะดวกในการศกึ ษาคน้ คว้า 4.5 เกิดจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาท่ีใช้วิธีการ ข้ันตอน และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นคว้าหาคำตอบของปัญหาท่ีต้องการทราบ ทำให้ได้องค์ ความรทู้ ี่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เป็นท่ีมาของความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ที่สำคัญในปัจจุบัน เชน่ การวิจัยขา้ วเพ่ือผลิต ข้าวพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีความต้านทานโรคและแมลง ให้ผลผลิตสูง การวิจัย เกี่ยวกับจุลินทรีย์ เพื่อหาทางผลิตวัคซีน ปอ้ งกันโรค เปน็ ตน้ 5.ประเภทของความร้ทู างวิทยาศาสตร์ ความรวู้ ิทยาศาสตร์ที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะอยู่ในสาขา ใด เชน่ ฟิสกิ ส์ เคมี ชวี วทิ ยา หรือวิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชวี ภาพ สามารถจำแนกออกเปน็ ประเภทตา่ งๆ ไดด้ ังน้ี
ใบความรู้ที่ 2 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ความสัมพนั ธข์ องกลมุ่ ส่งิ มชี ีวติ เรือ่ ง สง่ิ มีชีวติ และสิ่งแวดล้อม กลุ่มส่ิงมีชีวติ ในแต่ละแหลง่ ท่อี ยู่ สงิ่ ต่าง ๆ รอบตวั เรามที งั้ สิ่งมชี วี ิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชวิตต้ังแต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไป เรยี กว่า กลุ่มส่งิ มชี ีวิต ความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ แหล่งที่อยู่แหลง่ ใดแหลง่ หน่ึงเรียกวา่ ระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังน้ี 1. ระบบนเิ วศบนบก เช่น • ระบบนเิ วศป่าไม้ • ระบบนเิ วศทะเลทราย • ระบบนิเวศทงุ่ หญ้า • ระบบนิเวศชายป่า 2. ระบบนเิ วศในนำ้ เช่น • ระบบนิเวศน้ำจืด - หนองนำ้ - แมน่ ำ้ • ระบบนเิ วศนำ้ เค็ม - ทะเล - มหาสมทุ ร ลักษณะความสมั พนั ธข์ องกลุ่มสง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศ 1. ความสมั พนั ธแ์ บบไดป้ ระโยชน์รว่ มกัน ความสัมพันธแ์ บบได้ประโยชน์ร่วมกนั หรอื เรยี กอีกชอ่ื หนง่ึ ว่าแบบซิมไบโอซสิ เปน็ การอยู่รว่ มกนั ของสิ่งมีชีวติ ซึง่ ต่างก็พงึ่ พาอาศยั กนั และกัน โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปรยี บหรือเสียเปรยี บกนั เช่น - นกเอย้ี งบนหลงั ควาย โดยนกเอย้ี งช่วยจกิ แมลงท่ีรบกวนบนหลังควาย ในขณะเดยี วกนั ควายกเ็ ป็นแหล่ง อาหารของนกเอยี้ ง - ดอกไมก้ บั ผง้ึ ผงึ้ ได้นำ้ หวานจากดอกไม้ ดอกไม้ไดร้ บั การขยายพันธโุ์ ดยผ้ึงเป็นผชู้ ว่ ย - มดดำกับเพลย้ี อ่อน มดดำดดู นำ้ เล้ยี งจากเพล้ียอ่อน และคาบเพลีย้ อ่อนไปวางตามท่ตี า่ ง ๆ เพลี้ยอ่อนได้ แหลง่ อาหารใหม่ 2. ความสัมพนั ธแ์ บบต้องพง่ึ พาอาศยั กัน ความสัมพนั ธ์แบบต้องพ่งึ พากัน เป็นความสัมพันธท์ ีส่ งิ่ มีชีวิตทงั้ 2 ชนิดได้ประโยชนโ์ ดยที่ตอ้ งอาศยั อยู่รว่ มกัน ตลอดชีวติ เช่น - ต่อไทรกับลูกไทร ต่อไทรเปน็ แมลงชนิดหนงึ่ อาศัยอยใู่ นลกู ไทรตลอดชีวติ สว่ นต้นไทรสบื พนั ธต์ ่อไปได้เพราะ ต่อไทรทำหน้าที่ผสมเกสร
- โปรโตซวั ในลำไสข้ องปลวก ปลวกอาศัยโปรโตซัวลำไสข้ องปลวก ปลวกจะอาศัยโปรโตซวั ช่วยย่อยเน้ือไม้ หรอื กระดาษที่ปลวกกนิ เข้าไป ส่วนโปรโตซวั กไ็ ด้อาหารจากปลวก - ไลเคน (รากับสาหรา่ ย) ไลเคนที่ขึ้นอยู่กบั ตน้ ไม้ เปน็ ชีวิตระหว่างเช้อื รากบั สาหร่ายอยรู่ ว่ มกัน โดยทีส่ าหรา่ ย สร้างอาหารได้เองและอาศยั ความชืน้ จากเชอื้ รา ราจะดดู อาหารทสี่ าหรา่ ยอยู่ร่วมกัน โดยทสี่ าหร่ายสรา้ งอาหารได้เอง และอาศยั ความช้นื จากเช้ือรา ราจะดูดอาหารทีส่ าหร่ายสรา้ งขึ้น 3. ความสัมพันธ์แบบองิ อาศัย ความสัมพันธแ์ บบอิงอาศัยหรอื แบบไดป้ ระโยชนฝ์ า่ ยเดียว หมายถึงส่ิงมีชีวิตสองชนิดมาอาศยั อยู่ดว้ ยกันโดยฝ่าย หนึ่งไดป้ ระโยชน์ แต่อีกฝา่ ยหนึง่ กไ็ ม่เสียประโยชนอ์ าจจะเรียกการอย่รู ว่ มกนั แบบนี้ได้ว่า เปน็ แบบเก้ือกูล - กล้วยไม้ พลดู ่าง เฟิรน์ กับตน้ ไม้ใหญ่ ท่ีอาศยั อยู่เฉพาะบริเวณของเปลือกตน้ ไม้ ไมไ่ ด้แยง่ อาหารภายใน ลำต้น - เหาฉลามกับปลาฉลาม กไ็ ด้อาศยั อาหารทลี่ อยมากับน้ำ ทง้ั นมี้ ิได้แย่งอาหารของปลาฉลาม ปลาฉลามก็ไม่ เสียประโยชน์ - หมาไฮยีนากบั สิงโต หมาไฮยนี า่ จะคอยกินซากเหยือ่ จากทีส่ งิ โตกินอิ่มและทงิ้ ไว้ ส่วนสงิ โตไม่ไดป้ ระโยชน์ อะไรจากหมาไฮยีนา 4. ความสมั พนั ธแ์ บบล่าเหยื่อ ความสัมพนั ธ์แบบลา่ เหยอื เปน็ ความสมั พนั ธข์ องสิ่งทีม่ ีชีวติ ทั้ง 2 ชนิด โดยฝา่ ยหนง่ึ เป็นผลู้ า่ และอีกฝ่ายเปน็ ผู้ถูก ล่าหรือเป็นเหยอื ผู้ลา่ เป็นผู้ไดป้ ระโยชน์ สว่ นผถู้ กู ล่าจะเป็นผูเ้ สียประโยชน์ เชน่ - หนอนกบั ใบไม้ หนอนเป็นผู้ลา่ ใบไม้เปน็ เหยอ่ื - นกกบั หนอน นกเป็นผลู้ ่า หนอนเปน็ เหยือ - แมวกับหนู แมวเปน็ ผู้ลา่ หนูเปน็ เหย่อื 5. ความสมั พันธแ์ บบพาราสติ ความสัมพนั ธแ์ บบพาราสิตเปน็ การอยู่รว่ มกนั ของส่งิ มีชีวติ โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ สว่ นอกี ฝ่ายหน่งึ เสยี ประโยชน์ เชน่ - พยาธกิ ับคน พยาธเิ ป็นสตั วท์ ่ีอาศยั อยู่ในตัวสัตวอ์ ่ืน เช่น คน สนุ ขั แมว สุกร โดยพยาธจิ ะดูดกินเลอื ดของ สัตว์ท่ีมนั อาศยั อยู่ จนทำให้สตั วน์ นั้ มีสขุ ภาพทรดุ โทรมทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ - กาฝากกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ กาฝากบนต้นไม้ใหญ่คอยแย่งอาหารจากตน้ ไม้ ซง่ึ ขณะเดียวกันตน้ ไม้กไ็ มไ่ ด้รับ ประโยชนอ์ ะไรจากกาฝากเลย
โซ่อาหารและสายใยอาหาร โซอ่ าหารเปน็ การกินตอ่ กนั เป็นทอด ๆ ของสิ่งมชี วี ิต โดยมี โซอ่ าหาร โซ่อาหารและสายใย
ใบความรู้ที่ 3 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เร่ือง สงิ่ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมชี ีวิตตา่ งๆ กบั สภาพแวดล้อมท่ีอาศัยอยู่ เรียกว่า ระบบนเิ วศ (ecosystem) การรวมกนั ขนาดใหญ่ของระบบนเิ วศหลากหลายระบบเรยี กวา่ ชวี ภาคหรอื โลกของสง่ิ มชี วี ติ (biosphere) ระบบนเิ วศแบ่งเปน็ 2 ประเภท คอื ระบบนิเวศธรรมชาตแิ ละระบบนิเวศท่ีมนุษย์สร้างข้ึน ระบบนิเวศธรรมชาติ ระบบนเิ วศธรรมชาติ คอื ระบบท่ีธรรมชาติมบี ทบาทในกระบวนการต่าง ๆ และอาศัยพลังงานจากดวงอาทิตย์ใน กระบวนการทำงาน แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ ระบบนเิ วศบนดิน ระบบนิเวศบนดิน (terrestrial ecosystem) เป็นระบบนิเวศทมี่ ีสว่ นประกอบและกระบวนการตา่ ง ๆ เกดิ ขนึ้ บน พนื้ ดิน มลี ักษณะแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมทางกายภาพ – ระบบนเิ วศทนุ ดรา พบบรเิ วณทม่ี ีอากาศหนาวเย็น ฝนตกเล็กน้อย มชี ั้นน้ำแขง็ ปกคลุมผิวดินเกือบตลอดปี – ระบบนิเวศป่าผลัดใบเขตอบอนุ่ พบบริเวณที่มีฤดรู อ้ นและฤดูหนาวสลับกนั มีดินอุดมสมบรู ณ์ พืชสามารถ เจรญิ เตบิ โตไดด้ ี – ระบบนเิ วศทงุ่ หญ้า พบบรเิ วณคาบเกี่ยวระหวา่ งทะเลทรายกบั ปา่ เขตอบอุน่ เป็นทุ่งหญ้าในทร่ี าบ มเี นินไดเ้ ลก็ น้อย – ระบบนเิ วศปา่ ดบิ ช้นื พบบริเวณทมี่ ีฝนตกหนัก ความชืน้ สงู และมสี ่งิ มชี ีวติ หลายชนิดอาศยั อยดู่ ว้ ยกัน – ระบบนเิ วศทะเลทราย พบบริเวณทีม่ ีอุณหภมู ิอยู่ระหวา่ ง 0–50 องศาเซลเซยี ส มฝี นตกเล็กนอ้ ย มสี ภาพแหง้ แล้ง และอากาศร้อน พืชท่ีอาศัยอยูต่ ้องปรบั ตัวเพื่อดำรงชีวิต ระบบนิเวศแหลง่ น้ำ ระบบนเิ วศแหลง่ นำ้ (aquatic ecosystem) เปน็ ระบบนิเวศท่ปี ระกอบดว้ ยกระบวนการทำงานและส่วนตา่ ง ๆ ท่ี เกิดข้นึ ในบริเวณแหลง่ น้ำธรรมชาติ โดยมสี ภาพแวดลอ้ มเป็นตัวกำหนดชนิดของระบบนิเวศ
– ระบบนเิ วศนำ้ จืด เปน็ ระบบนเิ วศทไี่ ม่มคี วามเค็ม เมื่อใช้ความเรว็ ของกระแสนำ้ เป็นเกณฑจ์ ะแบง่ ไดเ้ ป็นแหล่งนำ้ นง่ิ และแหล่งนำ้ ไหล – ระบบนิเวศน้ำเค็ม พบในส่วนท่เี ป็นทะเลและมหาสมุทรต่าง – ระบบนิเวศนำ้ กร่อย เป็นระบบนเิ วศทม่ี คี วามเคม็ ของเกลือประมาณ 1–35 สว่ น ใน 1,000 ส่วนของนำ้ เป็นบริเวณ ทม่ี ีแร่ธาตุและสารอาหารอุดมสมบูรณ์ มแี สงแดดส่องถงึ เหมาะต่อการเจรญิ เตบิ โตของส่งิ มชี ีวิต พบตามป่าชายเลน และปากแม่น้ำของประเทศในเขตร้อนแถบศูนยส์ ตู ร ระบบนเิ วศที่มนษุ ย์สรา้ งขึ้น ระบบนิเวศทม่ี นุษย์สรา้ งข้นึ เปน็ ระบบนเิ วศท่ีมนุษยเ์ ข้าไปมีส่วนรว่ มหรอื ทดแทนธรรมชาติในกระบวนการต่าง ๆ จำแนกออกเป็น 2 ระบบ คือ 1. ระบบนิเวศกึ่งธรรมชาติหรอื ระบบนเิ วศชนบท–เกษตรกรรม เปน็ ระบบนิเวศทีม่ นุษย์มสี ว่ นร่วมในกระบวนการ ผลิต การหมุนเวียนของพลังงานและสารอาหาร 2. ระบบนิเวศเมืองและอตุ สาหกรรม เป็นระบบนิเวศทม่ี นุษยม์ สี ว่ นรว่ มหรือแทนที่โดยนำวัตถุดิบจากระบบนิเวศ ธรรมชาติและระบบนเิ วศก่ึงธรรมชาตมิ าแปรสภาพให้เปน็ ผลติ ภัณฑส์ ำเร็จรูปท่แี ตกต่างไปจากเดิม เพื่อใช้ตอบสนอง ความตอ้ งการของมนษุ ย์
องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศ องคป์ ระกอบทางชีวภาพ (biological components) หรอื องค์ประกอบที่มีชีวิต จำแนกตามหน้าที่ในระบบนิเวศ ดังนี้ 1. ผู้ผลิต (producer) เป็นส่งิ มชี วี ติ ท่สี ร้างอาหารไดเ้ องโดยการสังเคราะห์แสง 2. ผบู้ ริโภค (consumer) เป็นสงิ่ มชี ีวิตทีส่ ร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ต้องบรโิ ภคส่ิงมีชวี ิตอื่น เพื่อรบั สารอาหารและ พลังงาน ได้แก่ – ผ้บู ริโภคพืช (herbivore) คือ สิ่งมีชีวิตท่กี ินพืชเป็นอาหาร จัดเป็นผู้บริโภคอนั ดับ 1 เพราะได้รับถ่ายทอดพลงั งาน จากพชื โดยตรง – ผบู้ รโิ ภคสตั ว์ (carnivore) คือ สิ่งมชี ีวิตท่กี ินสตั ว์อน่ื เปน็ อาหาร – ผูบ้ รโิ ภคทัง้ พชื และสัตว์ (omnivore) คือ สิง่ มชี ีวิตที่กินท้งั พืชและสตั วเ์ ปน็ อาหาร – ผบู้ รโิ ภคซากพชื ซากสัตว์ (scavenger) คือ ส่ิงมีชวี ติ ทกี่ นิ ซากพชื ซากสัตวเ์ ป็นอาหาร 3. ผู้ย่อยสลายอนิ ทรียสาร (decomposer) คอื สงิ่ มชี วี ติ ที่ย่อยสลายซากใหก้ ลายเปน็ แรธ่ าตุกลับลงสู่ดินและน้ำ องค์ประกอบทางกายภาพ (physical components) หรอื องค์ประกอบทไี่ มม่ ีชวี ิต ไดแ้ ก่ อินทรยี สาร อนนิ ทรีย สาร สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ เชน่ แสงสวา่ ง อุณหภมู ิ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ความสมั พันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกับสิ่งมีชีวิต สภาพแวดล้อมท่ีมีความจำเป็นต่อสิ่งมีชวี ติ นน้ั ๆภายในระบบนเิ วศ เรียกวา่ ปจั จัยจำกัด (limiting factor) เชน่ 1. แสงสว่าง พืชใช้แสงในการสงั เคราะหแ์ สง และแสงสวา่ งเปน็ ตัวกระตุ้นใหส้ ัตว์กลางวันออกหากิน 2. อุณหภมู ิ นกและสตั วเ์ ลี้ยงลูกดว้ ยนำ้ นมจะอพยพยา้ ยถิ่นฐานไปยังบริเวณที่มอี ุณหภูมเิ หมาะสมกวา่ 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละแก๊สออกซิเจน พืชใช้แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง และสตั วใ์ ชแ้ กส๊ ออกซิเจนในการหายใจ 4. แรธ่ าตตุ ่าง ๆ เช่น ไนโตรเจน โพแทสเซียม จำเป็นการเจรญิ เตบิ โต และกระบวนการเมแทบอลิซึมของพืช 5. น้ำหรอื ความชืน้ น้ำเปน็ วตั ถุดบิ ในการสงั เคราะหแ์ สง และใช้เปน็ ตวั ทำละลายสารบางชนดิ ทำใหเ้ กดิ ปฏิกริ ยิ าตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย 6. ความเป็นกรด–เบส พืชแตล่ ะชนดิ เจรญิ เตบิ โตไดด้ ีในดินทม่ี ีความเป็นกรด-เบสตา่ งกัน 7. สภาพภูมปิ ระเทศ สภาพภมู ิประเทศ เช่น ความสูงของพ้นื ทท่ี ่ีแตกตา่ งกันทำให้องค์ประกอบของสิ่งมีชวี ิตแต่ละ พนื้ ท่ีตา่ งกนั ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชีวิตท่ีอาศัยรว่ มกันในระบบนิเวศ ความสมั พันธข์ องส่งิ มีชีวิตชนิดเดยี วกัน ความสมั พนั ธ์ของสิง่ มีชวี ติ ชนิดเดยี วกนั ส่วนใหญจ่ ะอยรู่ วมกันเป็นกล่มุ ซงึ่ มผี ลดี คอื ชว่ ยลดอตั ราการล่าจากศัตรู เพ่ิม โอกาสในการแพร่ขยายพนั ธุ์ ส่วนผลเสีย คือ อาจเกิดการแยง่ อาหารกันได้
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ ต่างชนดิ ท่ีอาศัยอยรู่ ่วมกัน 1. ภาวะพ่ึงพากนั (mutualism) เป็นความสัมพนั ธ์ทสี่ ่ิงมชี ีวิต 2 ชนดิ ไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั โดย ตอ้ งอาศยั อยรู่ ่วมกันจงึ จะสามารถดำรงชีวติ อยู่ได้ เช่น รากับสาหร่าย (ไลเคน) และแบคทีเรยี ไรโซเบียมในปมรากถ่ัว 2. ภาวะการไดร้ บั ประโยชนร์ ่วมกนั (protocooperation) เป็นความสัมพันธท์ ส่ี งิ่ มีชีวติ ต่างได้ ประโยชนท์ ้งั 2 ฝา่ ย แต่ไมจ่ ำเป็นต้องอาศัยอยรู่ ว่ มกัน เช่น ดอกไม้กับแมลง และปูเสฉวนกบั ดอกไมท้ ะเล 3. ภาวะเกื้อกลู หรอื ภาวะอิงอาศัย (commensalism) เป็นความสัมพนั ธ์ที่สิง่ มีชีวิตชนดิ หน่งึ ได้ ประโยชน์ ส่วนสง่ิ มชี ีวติ อีกชนดิ หนง่ึ ไม่เสยี ประโยชน์ เช่น กล้วยไม้บนตน้ ไม้ใหญ่ และปลาฉลามกับเหาฉลาม 4. ภาวะปรสติ (parasitism) เป็นความสัมพันธท์ ี่ส่ิงมชี ีวติ ชนดิ ทเ่ี สยี ประโยชน์ เรยี กว่า ผถู้ ูก อาศยั (host) และส่ิงมชี วี ติ ท่ไี ด้ประโยชน์ เรียกวา่ ปรสติ (parasite) เชน่ การฝากบนต้นไม้ และพยาธใิ บไม้ในตบั 5. ภาวะการลา่ เหยือ่ (predation) เปน็ ความสัมพันธ์ที่สิง่ มชี ีวิตชนิดหนง่ึ เสยี ประโยชน์ เรยี กว่า เหย่ือ (prey) และสิง่ มีชีวิตอีกชนิดหน่ึงได้ประโยชน์ เรยี กว่า ผ้ลู ่า (predator) เช่น เสอื ลา่ กวาง และนกกนิ ปลา 6. ภาวะเปน็ กลาง (neutralism) เปน็ ความสัมพันธ์ทีส่ ่งิ มีชีวิตทงั้ 2 ฝา่ ย ไม่ไดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ เกดิ ข้นึ เมื่อคู่ สัมพันธม์ ีการดำรงชีวิตท่ีแตกต่างกนั เช่น เตา่ กับกระตา่ ยหาอาหารในบริเวณเดยี วกัน 7. ภาวะมีการแก่งแยง่ (competition) เปน็ ความสัมพันธ์ทสี่ งิ่ มีชวี ติ ท่ีอยู่ร่วมกันต้องแก่งแยง่ ปัจจัยท่จี ำเปน็ ต่อการ ดำรงชีวติ เช่น การแย่งกนั ครอบครองอาณาเขต การแย่งอาหาร นำ้ และแสงแดด 8. ภาวะย่อยสลายซาก (saprophytism) เป็นความสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกบั ซากของสงิ่ มชี วี ิต โดยผู้ย่อยสลาย ยอ่ ยซากอนิ ทรยี สาร (decomposer) เปน็ สารอนินทรยี ์กลบั สสู่ ิ่งแวดล้อม เช่น แบคทีเรยี เหด็ และรา
กลุ่มสิง่ มชี วี ิตที่อาศยั อยรู่ ว่ มกันจะถ่ายทอดพลังงานจากผูผ้ ลิตไปยงั ผบู้ ริโภคโดยการกินกันเปน็ ทอดๆ ต่อเน่ืองเป็น ลกู โซ่ เรยี กวา่ โซ่อาหาร (food chain) เช่น หญ้า ----------> ต๊กั แตน ----------> กบ ----------> งู ----------> เหย่ียว ลำดับข้นั การกินอาหารในระบบนิเวศสามารถประกอบดว้ ยโซอ่ าหารท่ซี ับซ้อน เรียกวา่ สายใยอาหาร (food web) ดังรปู 1.4 การถา่ ยทอดพลังงานในโซ่อาหารหรือสายใยอาหารแตล่ ะคร้ังจะถูกถา่ ยทอดไปยงั ผบู้ รโิ ภคลำดับถดั ไปเพียงรอ้ ยละ 10 สว่ นพลงั งานอีกร้อยละ 90 จะถกู เปล่ยี นไปเป็นพลงั งานความรอ้ น การถา่ ยทอดพลงั งานในโซ่อาหารอาจแสดงในรปู แบบท่เี รียกว่า พรี ะมิดพลังงานของสิ่งมีชีวติ (pyramid of energy) ซ่ึงเปน็ พีระมิดแสดงปรมิ าณพลงั งานของแตล่ ะลำดับข้ันของการกนิ โดยผูผ้ ลติ จะอยู่ในลำดับล่างสุด นอกจากน้ยี ังสามารถแสดงในรปู ของพีระมิดจำนวนของสงิ่ มีชวี ติ (pyramid of numbers) และพีระมิดมวลของ ส่ิงมีชีวติ (pyramid of mass) ได้อีกดว้ ย แม้แตส่ ารปนเปื้อน เชน่ สารกำจดั ศัตรูพชื และโลหะหนกั ก็สามารถถ่ายทอดไปตามโซอ่ าหารได้ซึ่งสารพษิ ดังกลา่ ว สง่ิ มชี วี ติ ไม่มกี ลไกทีจ่ ะขจดั ออกทำใหส้ ะสมอยู่ในโซ่อาหารและตกคา้ งในเนื้อเย่ือของสงิ่ มีชวี ิต สิ่งมชี ีวิตในระบบนิเวศมีความสมั พนั ธ์กัน ทำให้เกิดการหมุนเวยี นของสารและแรธ่ าตุพร้อมกบั การถ่ายทอดพลงั งาน ดงั เช่นการหมุนเวียนของสารในระบบนิเวศป่าไม้ สารอาหารถูกถา่ ยทอดจากผผู้ ลิตไปยงั ผูบ้ ริโภคจนถึงผู้ย่อยสลายอทิ รยี ส์ ารซงึ่ เปลี่ยนสารอนิ ทรีย์เปน็ สารอนินทรีย์ให้พชื นำไปใชใ้ หม่
ตอนท่ี 2 ประชากรและการเปล่ยี นแปลงในระบบนิเวศ เมอ่ื องค์ประกอบทางกายภาพและชีวภาพในระบบนิเวศเปลีย่ นแปลง ทำให้ระบบนิเวศเสยี สมดุล สง่ ผลกระทบต่อ ประชากรในระบบนิเวศนน้ั ได้ ประชากรและการเปล่ยี นแปลงขนาดประชากร เมอ่ื สงิ่ มีชวี ิตประกอบกจิ กรรมต่าง ๆ จะปล่อยสารบางอยา่ งกลับคืนสธู่ รรมชาติ ทำใหอ้ งค์ประกอบของระบบนิเวศ เปล่ียนแปลง ซ่ึงสง่ ผลกระทบตอ่ การดำรงชวี ิตและจำนวนประชากรของสงิ่ มีชีวิต ประชากร (population) ในระบบนเิ วศ หมายถึง สง่ิ มีชวี ติ ชนดิ เดยี วกนั อาศยั อยู่ในแหลง่ ทอ่ี ยู่เดยี วกนั ภายในชว่ ง ระยะเวลาใดเวลาหนึง่ สาเหตุของการเปลีย่ นแปลงจำนวนประชากรของส่ิงมชี ีวติ ต่าง ๆ จำแนกได้ 4 ประการ ดังน้ี 1. การเกดิ (birth or natality) เปน็ การเพม่ิ ข้นึ ของจำนวนประชากร โดยจำนวนประชากรท่ีเกิดใหม่ในชว่ ง ระยะเวลาหนึ่งเมื่อเทียบกบั จำนวนประชากรท่มี ีอย่เู ดมิ เรียกว่า อัตราการเกดิ 2. การตาย (death or mortality) เป็นการลดลงของจำนวนประชากร จำนวนประชากรทต่ี ายลงในช่วงระยะเวลา หนงึ่ เมอื่ เทยี บกบั จำนวนประชากรท่ีมอี ยู่เดมิ เรยี กวา่ อตั ราการตาย
3. การอพยพเข้า (immigration) เปน็ การเพ่ิมจำนวนประชากร จากการย้ายเขา้ มาอยู่ในแหล่งทอี่ ยู่ใหม่ 4. การอพยพออก (emigration) เป็นการลดจำนวนประชากร จากการย้ายออกจากแหล่งที่อยู่เดมิ การเพิ่มข้ึนของจำนวนประชากรทำให้เกิดการแออดั ของประชากรในบางพ้นื ท่ี และเกิดความต้องการอาหารมากขน้ึ ซง่ึ จะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละระบบนิเวศ ดังน้นั เราจงึ ตอ้ งช่วยกนั ปกป้องดูแลรกั ษาสภาพแวดล้อม และใชท้ รัพยากรเท่าท่จี ำเปน็ เพอื่ ใหม้ ีทรัพยากรใช้ตอ่ ไปในอนาคต กระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนที่ ระบบนิเวศเกดิ ขึน้ จากการเปล่ียนแปลงทางธรรมชาติ โดยเริ่มจากกล่มุ สงิ่ มชี ีวิตชนิดหนึง่ เข้าไปแทนท่ีอกี กลุ่มส่งิ มีชีวติ หนงึ่ ท่อี ยู่กอ่ นเป็นลำดับๆ จนกระท่ังไม่มีการเปลย่ี นแปลง เรยี กว่า การเปลี่ยนแปลงแทนทีข่ องส่งิ มีชีวิต (succession) ซ่งึ มี 2 ชนดิ ดังนี้ การเปล่ียนแปลงแทนที่ขั้นปฐมภูมิ การเปล่ยี นแปลงแทนทข่ี ั้นปฐมภมู ิ (primary succession) เกดิ ข้นึ ในที่ไมเ่ คยมสี ง่ิ มีชีวิตขึ้นมาก่อน โดยเกดิ สิง่ มชี ีวิตกลมุ่ แรกที่เจริญขน้ึ เรยี กว่า กลมุ่ สิ่งมชี ีวติ เบกิ นำ (pioneer species) ซ่งึ เปน็ กลุ่มสง่ิ มีชวี ิตขนาดเลก็ เจรญิ และขยายพันธไ์ุ ด้เร็ว เช่น ไลเคน ซงึ่ ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทจ่ี ำกัด เมอื่ เวลาผา่ นไปอินทรยี สารจากไลเคนท่ี ตายลงและแร่ที่เกิดจากการผุพังของก้อนหินก่อให้เกิดเนื้อดินเพมิ่ ขึ้น อินทรยี วตั ถุและความช้นื มากข้ึนนำมาซ่ึงการ เปล่ยี นแปลงแทนที่ของพืชชน้ั ตำ่ พชื พวกหญ้าไม้พมุ่ ไมย้ นื ต้น จำนวนชนิด ของสัตวเ์ พ่ิมขึ้น เกดิ ความสมั พันธ์กนั ระหว่างส่งิ มีชวี ิตกับแหล่งท่ีอยู่ ทำให้ระบบนเิ วศมีความสมดุล เรยี กกลุ่มสง่ิ มีชีวิตท่ีพบในสภาวะสมดลุ นว้ี ่า สังคม ส่ิงมีชวี ิตขั้นสดุ (climax community) สังคมสง่ิ มีชีวติ ข้ันสุดอาจเปล่ียนแปลงได้จากสภาพแวดล้อมท่กี ่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สมดุลธรรมชาติ แตถ่ า้ สิ่งมชี วี ิต สามารถปรับตัวในสภาพแวดล้อมท่เี ปลย่ี นแปลงนนั้ ได้ ก็จะกลับเข้าส่สู มดลุ อีกครั้ง หรืออาจเกดิ ระบบนิเวศใหมข่ ้ึน การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีขน้ั ทุตยิ ภมู ิ การเปลยี่ นแปลงแทนทีข่ ้ันทุตยิ ภมู ิ (secondary succession) เปน็ พืน้ ที่ที่เคยมีสงิ่ มชี ีวติ ดำรงชวี ติ อยู่ แต่ถกู ทำลาย ลง ทำใหม้ ีการเร่ิมต้นของกลุม่ สง่ิ มีชวี ิตใหม่ในลกั ษณะทุ่งหญ้าหรือวัชพืช แลว้ เปล่ียนแปลงแทนทด่ี ว้ ยไม้พุ่ม ไมย้ นื ต้น จนกระท่งั เกิดสิ่งมีชวี ิตขนั้ สดุ อกี คร้ังหนง่ึ
ระบบนเิ วศในท้องถิ่นมีการเปลีย่ นแปลงแทนที่ของชุมชนเมืองมากขึน้ ซ่ึงทำใหเ้ กิดมลพิษกบั สงิ่ แวดลอ้ ม เพ่อื มิให้เกิด การรบกวนสมดุลในระบบนเิ วศ จึงควรวางผังก่อนทีจ่ ะทำการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ สาระสำคญั ประจำหนว่ ย ตอนท่ี 1 ระบบนเิ วศ 1. ระบบนิเวศมที ้ังระบบนเิ วศธรรมชาติและระบบนเิ วศที่มนษุ ยส์ รา้ งข้นึ 2. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกล่มุ สง่ิ มชี ีวติ และส่ิงมีชีวติ กับสภาพแวดลอ้ มเรยี กว่า ระบบนิเวศ ซึ่งประกอบดว้ ย องค์ประกอบทางชีวภาพ องค์ประกอบทางกายภาพ และสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ 3. ในระบบนเิ วศมีการหมนุ เวียนพลังงาน สารอาหาร และแร่ธาตุ โดยสิ่งมีชีวิตทเ่ี ปน็ ผู้ผลติ ส่งตอ่ พลังงานใหส้ ิ่งมชี ีวติ ที่ เป็นผบู้ รโิ ภคร้อยละ10 ตามลำดับขั้น พลังงานท่เี หลือจะสูญเสียให้กับสิ่งแวดล้อม ตอนที่ 2 ประชากรและการเปลย่ี นแปลงในระบบนเิ วศ 1. ประชากรคอื สิ่งมชี วี ิตชนดิ เดียวกนั ท่ีอาศยั อยู่ในแหลง่ ที่อยเู่ ดียวกัน 2. เมื่อประชากรมนุษยเ์ พม่ิ ขึ้น มีการรุกล้ำพ้ืนทปี่ า่ มากข้นึ จึงเกิดการเปลย่ี นแปลงเป็นระบบนเิ วศเมืองหรือ เกษตรกรรม 3. ระบบนเิ วศธรรมชาตมิ กี ารเปล่ียนแปลงแทนท่ีของประชากรสง่ิ มีชวี ติ โดยอาจเกดิ ขน้ึ ในพืน้ ท่ที ่ีไม่เคยมี สงิ่ มชี วี ิตอยู่ อาศัยมาก่อน เรียกวา่ การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีขั้นปฐมภมู ิ สว่ นการเปลย่ี นแปลงแทนที่ท่ีเกดิ ข้นึ ในพื้นที่ทเ่ี คยมีส่งิ มชี ีวิต ดำรงชีวติ อยูแ่ ล้วถกู ทำลายลง เรยี กว่า การเปลี่ยนแปลงแทนทข่ี ัน้ ทตุ ิยภูมิ Key word ตอน 1 ระบบนิเวศ : ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิง่ มชี วี ิตตา่ งๆ กบั สภาพแวดล้อมท่ีอาศัยอยู่ ชีวภาคหรอื โลกของส่งิ มีชวี ติ : การรวมกันขนาดใหญข่ องระบบนเิ วศหลากหลายระบบ ผผู้ ลติ : เป็นสงิ่ มีชีวิตทสี่ ร้างอาหารได้เองโดยการสงั เคราะห์แสง ผู้บรโิ ภค : เปน็ สง่ิ มีชวี ติ ท่สี ร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ต้องบริโภคสิง่ มีชวี ติ ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร : ส่งิ มีชวี ติ ทย่ี อ่ ยสลายซากให้กลายเป็นแร่ธาตุกลบั ลงสูด่ นิ และน้ำ
โซอ่ าหาร : การถา่ ยทอดพลังงานจากผผู้ ลิตไปยังผู้บรโิ ภคโดยการกนิ กันเป็นทอดๆ สายใยอาหาร : การรวมกันของหว่ งโซอ่ าหารหลายๆหว่ งโซ่ท่ีมคี วามสัมพันธ์กัน Key word ตอน 2 ประชากร : สงิ่ มีชวี ิตชนิดเดียวกัน อาศยั อยู่ในแหลง่ ทอี่ ยเู่ ดียวกัน ภายในชว่ งระยะเวลาใดเวลาหน่ึง การเปลย่ี นแปลงแทนที่ข้นั ปฐมภมู ิ : การเปลย่ี นแปลงที่เกดิ ขึน้ ในที่ไมเ่ คยมสี งิ่ มีชวี ิตข้นึ มากอ่ น กล่มุ สิง่ มชี ีวิตาเบิกนำ : ส่ิงมีชีวิตกลมุ่ แรกทเ่ี จริญข้ึนในทไี่ ม่เคยมสี งิ่ มีชวี ติ ข้ึนมาก่อน สังคมสิง่ มีชีวติ ข้ันสดุ : กล่มุ ส่งิ มชี ีวติ ท่ีพบในระบบนิเวศท่ีมีสภาวะสมดลุ การเปลย่ี นแปลงแทนที่ขนั้ ทตุ ิยภูมิ : เรมิ่ ต้นของกลุ่มส่งิ มีชวี ติ ใหม่บนพ้นื ทีท่ ่ีเคยมีส่งิ มีชีวติ ดำรงชวี ิตอยู่ แต่ถูกทำลาย ลงไปแล้ว
ใบความรู้ท่ี 4 วิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เร่ือง สารเพอ่ื ชีวติ …………………………………………………………………… สารและสมบตั ิของสาร สาร หมายถงึ สิ่งทม่ี ีมวล ตอ้ งการท่ีอยู่และสัมผสั ได้ มที ง้ั สถานะท่ีเป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ตัวอยา่ งเชน่ เงิน และเกลอื แกง เป็นของแข็ง นำ้ และเอธานอล เปน็ ของเหลว คารบ์ อนไดออกไซด์ และก๊าซออกซิเจน เปน็ กา๊ ซ เปน็ ต้น สมบัติของสาร หมายถึง ลกั ษณะประจำตัวของสาร เช่น สถานะ สี กล่ิน รส การละลาย การนำไฟฟ้า จดุ เดือด และการเผาไหม้ เปน็ ต้น 1. สมบตั ิของสาร อาจจะนำมาแบง่ เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ ประเภทที่ 1 สมบัติทางกายภาพ หมายถึง สมบตั ิเฉพาะตวั ของสารท่ีสามารถสังเกตเหน็ ได้ง่ายจากลกั ษณะ ภายนอก หรือจากการทดลองง่ายๆ โดยไมเ่ กีย่ วข้องกับการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตวั อยา่ งทางกายภาพได้แก่ สถานะ รูปรา่ ง สี กล่นิ รส การละลาย จดุ เดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น การนำความร้อน การนำไฟฟ้า ความรอ้ นแฝง ความถ่วงจำเพาะ เปน็ ต้น ประเภทท่ี 2 สมบตั ิทางเคมี หมายถึง สมบัติเฉพาะตวั ของสารท่ีเกยี่ วข้องกบั การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี เช่น การ เกดิ สารใหม่ การสลายตัวให้ได้สารใหม่ การเผาไหม้ การระเบิด ความเปน็ กรด - เบส ของสาร และการเกดิ สนิมของ โลหะ เป็นต้น 2. การจดั จำแนกสาร สามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ไดแ้ ก่ 2.1 การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุม่ คือ – สถานะท่เี ปน็ ของแขง็ (Solid) จะมีรปู ร่าง และ ปริมาตรคงท่ี ซง่ึ อนภุ าคภายในจะอยู่ชิดตดิ กนั เชน่ ดา่ ง ทบั ทมิ , ทองแดง – สถานะทเ่ี ป็นของเหลว (Liquid) จะมรี ูปรา่ งตามภาชนะท่ีบรรจุ และ มีปรมิ าตรที่คงที่ ซ่งึ อนุภาคภายในจะ อยชู่ ดิ กนั นอ้ ยกว่าของแข็ง และมีสมบัตเิ ปน็ ของไหล เช่น น้ำมัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท ฯลฯ – สถานะที่เปน็ กา๊ ซ (Gas) จะมรี ูปรา่ ง และปริมาตรที่ไม่คงท่ี โดยรปู รา่ ง จะเปลยี่ นไปตามภาชนะท่บี รรจุ อนุภาคภายในจะอยู่หา่ งกนั มากท่ีสุด และมสี มบตั ิเปน็ ของไหลได้ เช่น กา๊ ซหุงต้ม , อากาศ 2.2 การใช้เน้อื สารเป็นเกณฑ์ จะมสี มบัตทิ างกายภาพของสารทีไ่ ดจ้ ากการสงั เกตลักษณะความแตกตา่ งของ เน้ือสาร ซ่งึ จะจำแนกไดอ้ อกเปน็ 2 กลุม่ คอื – สารเนือ้ เดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถงึ สารทีม่ เี น้ือสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมี สมบตั เิ หมอื นกันตลอดทกุ ส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ (Au) , โลหะบดั กรี – สารเนือ้ ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารท่ีมีเนอ้ื สารแตกต่างกันในแตล่ ะสว่ น จะทำให้ สารน้ันมีสมบัติ ไม่เหมอื นกันตลอดทุกสว่ น เชน่ น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ
2.3 การละลายน้ำเปน็ เกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุม่ คอื – สารท่ลี ะลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง , ดา่ งทบั ทมิ ฯลฯ – สารทีล่ ะลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรนี , กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ – สารทีไ่ ม่สามารถละลายน้ำได้ เชน่ กำมะถัน , เหล็ก ฯลฯ 2.4 การนำไฟฟ้าเปน็ เกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ – สารที่นำไฟฟา้ ได้ เชน่ ทองแดง , น้ำเกลอื ฯลฯ – สารทไี่ ม่นำไฟฟ้า เชน่ หนิ ปูน , กา๊ ซออกซเิ จน
ใบความรู้ท่ี 5 วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น เรื่อง สารเพอื่ ชีวิต …………………………………………………………………… สารและผลติ ภัณฑข์ องสารท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวนั ในชวี ิตประจำวัน เราจะตอ้ งเก่ยี วข้องกบั สารหลายชนดิ ซึ่งมีสารเคมเี ป็นองค์ประกอบ เราสามารถจำแนกเปน็ สาร สังเคราะหแ์ ละสารธรรมชาติ เชน่ สารปรงุ รสอาหาร สารทำความสะอาด สารกำจดั แมลงและสารกำจัดศัตรูพชื เครอื่ งสำอาง เปน็ ตน้ ในการจำแนกสารเคมนี ้ัน ใชเ้ กณฑ์ตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ 1. สารปรุงแต่งอาหาร หมายถงึ สารปรงุ รสอาหารใช้ใสใ่ นอาหารเพ่ือทำให้อาหารมรี สดีขึ้น หรือเพ่ิมรสชาติ ตา่ งๆ เช่น นำ้ ตาล ใหร้ สหวาน เกลือ นำ้ ปลา ให้รสเค็ม น้ำสม้ สายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขอื เทศ ใหร้ สเปร้ียว 2. สารทำความสะอาด หมายถึง สารที่มคี ุณสมบตั ิในการกำจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆา่ เชื้อโรค ประเภทของสารทำความสะอาด แบง่ ตามการเกดิ ได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ได้จากการสังเคราะห์ เช่น นำ้ ยาล้างจาน สบูก่ ้อน สบเู่ หลว แชมพูสระผมผงซักฟอก สารทำความสะอาด พื้น เปน็ ตน้ 2.2 ได้จากธรรมชาติ เช่น น้ำมะกรดู มะขามเปียก เกลอื เปน็ ตน้ 3. สารกำจดั แมลง และสารกำจัดศตั รพู ชื หมายถงึ สารเคมีทผี่ ลติ ขน้ึ เพื่อใชป้ อ้ งกันการกำจดั และควบคุม แมลงต่างๆ ไมใ่ ห้มารบกวน มีทัง้ ชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ ประเภทของสารกำจัดแมลงและสารกำจดั ศัตรพู ืช แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 3.1 ได้จากการสงั เคราะห์ เช่น สารฆา่ ยงุ สารกำจดั แมลง เป็นตน้ 3.2 ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ เปลอื กมะนาว เปลือกมะกรดู เปลอื กส้ม เป็นต้น 4. เคร่ืองสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑท์ ีใ่ ช้ทา ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบรา่ งกาย เพื่อใชท้ ำความสะอาด เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสดชนื่ ความสวยงาม และเพ่ิมความม่นั ใจ ประเภทของเครื่องสำอาง แบ่งเปน็ 5 ประเภท คือ 4.1 สำหรบั ผม เชน่ แชมพู ครมี นวด เจลแตง่ ผม
4.2 สำหรบั ร่างกาย เชน่ สบู่ ครีม และโลช่ันทาผิว ยาทาเลบ็ น้ำยาดบั กลิ่นตัว แปง้ โรยตัว 4.3 สำหรับใบหนา้ เชน่ ครมี โฟมลา้ งหนา้ แป้งผดั หนา้ ลิปสตกิ ดินสอเขียนค้วิ และดินสอเขียนขอบตา 4.4 น้ำหอม 4.5 เบ็ดเตล็ด เชน่ ครมี โกนหนวด ผ้าอนามยั ยาสฟี นั 5. สารเคมีทเ่ี ปน็ อนั ตรายแต่พบมกี ารปนเปื้อนในอาหาร อาหารเป็นสงิ่ ที่มีความจำเป็นตอ่ ชีวิตมนุษย์เราทกุ คน เพราะเปน็ สว่ นหน่ึงในปัจจยั ที่ช่วยใหร้ ่างกายมนุษย์เจรญิ เติบโตและยงั ทำใหม้ นุษย์ดำรงชวี ติ อยไู่ ด้ ซง่ึ ในสมัยก่อน อาหารทเี่ รารับประทานยังไม่มกี ารผลติ ครง้ั ละปรมิ าณมากๆเพ่อื การค้า จะรบั ประทานเปน็ มือ้ เกบ็ ไว้อยา่ งมากก็ข้าม วนั เทา่ น้นั แต่ในปัจจบุ นั โลกมีการพัฒนาเทคโนโลยกี ารผลิตอาหารในปรมิ าณมากๆทำให้มกี ารคิดค้นวิธีการตา่ งๆใน การเก็บรักษาอาหารไดน้ าน รวมท้งั ชว่ ยให้อาหารมีรปู ลักษณท์ ดี่ ี ทำใหผ้ ู้บริโภคสนใจและต้องการเลือกซ้ือ โดยมกี าร นำสารเคมีต่างๆมาผสมในอาหาร ซึ่งสารเคมีบางอยา่ งเป็นอันตรายต่อร่างกาย บางชนดิ หากบริโภคเข้าไปในปรมิ าณ มากอาจถึงแกช่ ีวติ ได้ พบว่ามีอาหารหลายชนดิ ทเี่ รารบั ประทานเข้าไปโดยไมร่ ้วู ่ามสี ารเคมีปนเป้ือนอยู่ โดยสารเคมที ่ี เปน็ อนั ตรายแต่พบมีการปนเปื้อนในอาหาร ไดแ้ ก่ 5.1 บอแรกซ์ เรยี กอีกชอื่ หนึง่ ว่า เพ่งเซ เมง่ เซ ผงกรอบ ผงกันบดู น้ำประสานทอง มีลักษณะ เปน็ ผงสีขาว ไม่ มีกลน่ิ มีรสขมเล็กนอ้ ย ใช้ในอตุ สาหกรรมการทำแกว้ เพ่ือให้ทนความร้อน ใช้ประสานในการเชือ่ มทอง โดยอาหารทม่ี ัก ตรวจพบวา่ มบี อแรกซ์ เช่น ลูกชน้ิ หมูบด ทอดมนั ทับทิมกรอบ ลอดชอ่ ง ผัก ผลไม้ดอง อันตรายต่อสขุ ภาพรา่ งกาย เป็นพษิ ต่อไต และสมอง มีอาการ คอื ออ่ นเพลีย อาเจยี น ปวดหัว เบ่ืออาหาร ท้องร่วง เยื่อตาอักเสบ และอาจถึงตาย ได้ 5.2 สารกนั รา (กรดซาลซิ ลิ ิค) เปน็ กรดมฤี ทธ์ใิ นการยบั ยงั้ จุลินทรีย์ แต่ห้ามใช้กบั อาหาร มกั ใส่ในอาหารหมัก ดอง โดยอาหารทม่ี กั ตรวจพบวา่ มสี ารกนั รา เช่น ผัก ผลไม้ดองต่างๆ ปลาส้ม ปลาทเู ค็มอนั ตรายต่อสขุ ภาพร่างกาย อ่อนเพลีย วงิ เวียนศรี ษะ มไี ข้ขนึ้ สงู หูอ้ือ ผิวหนังเป็นผ่ืนแดง 5.3 ฟอร์มาลีน เรยี กอีกช่ือหน่ึงว่า นำ้ ยาดองศพ ใช้ฆ่าเชื้อโรค/ดองศพ มีกลน่ิ ฉนุ แสบจมูก โดยอาหารทม่ี ักตรวจพบวา่ มีฟอร์มาลีน เชน่ อาหารทะเลสด ผกั ผลไมส้ ด สไบนาง (ผ้าขี้รว้ิ สขี าว) อันตรายต่อสุขภาพ ร่างกาย ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ปวดท้องรุนแรง ปวดศรี ษะ ชัก ช็อค หมดสติ
ใบความรทู้ ่ี 1 วิชา ประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัสวชิ า สค 220020 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรอ่ื ง ประวัตคิ วามเปน็ มาของชนชาติไทย และสถาบันของชาติ ชนชาตไิ ทย การสันนิษฐานของนักโบราณคดมี ีมตวิ ่า ชาติไทยเดิมเปน็ ชาติใหญช่ าติหน่ึงมีภาษาใชโ้ ดยเฉพาะ แยกสาขามาจากพวกมองโกลลงมาทางใตเ้ ดิมตัง้ ถิน่ ฐานอยู่ในดินแดนทีเ่ ป็นภาคตะวันตกเฉยี งเหนือแหง่ มณฑลเสฉ วนทุกวันน้เี ป็นเวลานานกว่า 4000 ปขี ้นึ ไป คร้นั ต่อ ๆ มาจำนวนพลเมืองของชาตไิ ทยได้ทวีข้ึนเปน็ ลำดับจึงไดข้ ยบั ขยายอาณาเขตออกไปทางตะวนั ออกคอื ในดินแดนมณฑลเสฉวนเวลานี้ โดยยดึ เอาลำแม่น้ำแยงซเี ป็นแนวทางนำ การแผอ่ าณาเขตของชาตไิ ทยในครงั้ นน้ั เปน็ ทำนองท่ีพากนั ไปหาท่ีทำกินตามทำเลเหมาะ ๆ ตามชอบใจตา่ ง พวกต่างทยอยกันไปเป็นคราว ๆ และแยกกนั อยู่ตามความสะดวกใจเปน็ ประมาณ เหตนุ อ้ี าณาเขตของชาติไทยจึงได้ แยกเปน็ เมืองย่อย ๆ และต่างเปน็ อสิ ระแก่กนั อยู่หลายเมือง อาณาจกั รอา้ ยลาว คอื พวกไทยทอ่ี พยพลงมาทางใต้เนอื่ งจากถูกพวกตาดและพวกตีนรุกรานแย่งชิงท่ีทำมา หากนิ ในทางเศรษฐกิจเรามีแสนยานภุ าพน้อยจำต้องท้ิงท่ีทำมาหากนิ ถอยลงมาทางใต้ก่อนพุทธศกั ราช 392 ปีและ คร้งั ท่ี 2 ในราว พ.ศ. 400 แล้วพากันมาตั้งอาณาจกั รอสิ ระข้ึนใหมใ่ ห้ชอ่ื ว่า อาณาจกั รอ้ายลาว มีราชธานอี ยู่ทาง ฮุนหนำเรียกว่า เพงาย ผเู้ ป็นหวั หนา้ ตงั้ ตวั เปน็ กษัตริยป์ กครองทรงพระนามวา่ ขุนเมือง ระยะน้ีเราต้องทำสงคราม ต่อสู้กับจีนอยเู่ สมอเปน็ เวลาเกือบ 200 ปีในราว พ.ศ. 622 เราตอ้ งเสยี อสิ รภาพให้แกจ่ นี อกี ครั้งหน่งึ พวกไทย ส่วนมากทีร่ กั อิสระภาพก็พากันถอยรน่ มาทางใตเ้ ป็นลำดับเรามีกษตั รยิ ์ท่ีเข้มแขง็ อีกองค์หนง่ึ ในสมัยนี้ อาณาจักรน่านเจ้า พวกไทยท่อี พยพลงใตไ้ ด้แยกยา้ ยกันตงั้ เป็นอสิ ระมี 6 หัวเมืองมีชื่อเรยี กตามภาษาจนี ว่า 1. มงซุ้ย 2. เอย้ี แซ่ 3. ล่างกง 4. เทง่ เซย้ี ง 5. ซีล่าง 6. มุ่งเส ปกครองโดยสามัคคธี รรมนครมุ่งเสมีความเจรญิ และพลเมืองมากกว่าหัวเมืองอ่ืน ๆ เพราะมีกษัตรยิ ์สินโุ ลทีเ่ ข้มแขง็ ปกครองโอรสสบื ราชสมบัตติ ่อมามีพระนามวา่ พระเจา้ โก๊ะลอ่ ฝางและเมือ่ จนี มารกุ รานก็ตอ้ งพ่ายแพไ้ ป
ใบความรทู้ ี่ 2 วชิ า ประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัสวชิ า สค 220020 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เร่อื งที่ สถาบนั หลกั ของชาติ สถาบนั หลักของชาติ ประกอบดว้ ย ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ ซงึ่ เป็นสถาบันท่อี ยู่กับสงั คมไทยมา ชา้ นาน โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ สถาบนั พระมหากษัตริยซ์ ง่ึ เป็นเสาหลกั ในการสร้างชาติใหเ้ ป็นปึกแผน่ เปน็ ศูนย์รวมจิตใจ ของปวงชน เปน็ บอ่ เกดิ ของความรกั ความสามัคคี นำพาประเทศชาติให้ผา่ นพ้นภยั นานาประการ ไม่วา่ จะเปน็ ภัย รุกรานของประเทศอนื่ ภยั จากการลา่ อาณานิคมและการแผ่ขยายลทั ธกิ ารปกครอง อีกทั้งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ม์ ี บทบาทสำคัญในการพฒั นาความเปน็ อยขู่ องประชาชนในทั่วทกุ ภมู ิภาค โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในท้องถ่นิ ท่หี า่ งไกลสง่ ผล ให้มกี ารยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของประชาชนในทุกมิติ และเป็นรากฐานใหป้ ระเทศชาตมิ ีความมนั่ คงสบื มาจนถงึ ปัจจบุ ันชนชาติไทยในอดีต จึงถือวา่ สถาบันพระมหากษัตรยิ ์ เปน็ สถาบนั สูงสดุ ของชาติท่ีมีบทบาทสำคญั ในการเปน็ ผู้นำ รวมประเทศชาตใิ ห้เปน็ ปึกแผ่น และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ปกครอง ดูแลและบริหารประเทศชาตโิ ดยใช้ หลกั ธรรม ท่ีเปน็ คำสอนของศาสนา ด้วยความเข้มแขง็ ของสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในสถาบนั ศาสนา ทีเ่ ป็นเสมือนเคร่ืองยึดเหนี่ยวทางจิตใจใหค้ นในชาตปิ ระพฤติปฏบิ ตั ิในทางทีด่ ีงาม เพราะทุกศาสนาล้วนแต่ สอนให้คนประพฤติ และคอยประคบั ประคองจิตใจให้ดงี าม มคี วามศรทั ธาในการบำเพ็ญตนตามรอยพระศาสดาของ แตล่ ะศาสนา และเม่ือพระมหากษัตริย์เปน็ ผทู้ ีป่ ระพฤติตนอยู่ในธรรม และปกครองแผน่ ดินโดยธรรมแล้ว ไพร่ฟ้า ประชาราษฎรต์ ่างอยู่ดว้ ยความร่มเย็นเป็นสุข จึงทำใหส้ ถาบันชาติ ทเี่ ปน็ สญั ลกั ษณ์เปรยี บเสมือนอาณาเขตผนื แผ่นดิน ท่เี ราอยู่อาศัย มีความมน่ั คง พฒั นาและยนื หยดั ได้อย่างเท่าเทยี มอารยประเทศ ดังนัน้ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเปน็ สถาบันหลกั ของชาติไทย ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้ สามารถยดึ เหนยี่ วจิตใจของ ปวงชนชาวไทยและคนในชาติมาจวบจนทุกวนั นี้ “ชนชาตไิ ทย” เป็นชนชาติทม่ี ีรากเหง้าทางประวัตศิ าสตรแ์ ละความเป็นมาทีย่ าวนานไมแ่ พช้ าตใิ ดในโลก เรามีแผ่นดนิ ไทยท่ีอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมปี ลา ในนามีขา้ ว มีพชื พนั ธธุ์ ัญญาหารทอี่ ุดมสมบรู ณ์ มีภูมิอากาศ และภูมปิ ระเทศทีเ่ ป็น ชยั ภมู ิ อากาศไมร่ ้อนมาก ไม่หนาวมากมีความหลากหลายของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทส่ี มบูรณ์ มีที่ราบลุ่มแม่นำ้ ท่ี อดุ มสมบรู ณ์เหมาะแก่การเพาะปลกู มีภเู ขา มที ะเลทม่ี ีความสมดุลและสมบูรณ์เพยี บพร้อมเปน็ ทีห่ มายปองของนานา ประเทศ นอกจากน้ี ชนชาติไทยยังมีขนมธรรมเนยี ม ประเพณีและวัฒนธรรมทีด่ งี ามหลากหลาย งดงาม เปน็ เอกลักษณ์ของชาติที่โดดเดน่ ซึ่งสงิ่ เหล่านีล้ ูกหลานไทยทุกคนควรมคี วามภาคภมู ิใจทไี่ ด้เกิดมาเป็นคนไทย ในแผ่นดิน ไทย แต่ก่อนทีจ่ ะสามารถรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น ทำใหล้ ูกหลานไทยไดม้ ีแผน่ ดินอาศัยอยู่อย่างรม่ เย็นเป็นสุข หลายชว่ั อายคุ นมาจวบจนทกุ วนั นี้ บรรพบรุ ุษของชนชาติไทยในอดีต ทา่ นได้สละชีพเพ่อื ชาติ ใชเ้ ลือดทาแผน่ ดนิ ต่อสู้ เพื่อปกปอ้ งดินแดนไทย กอบกูเ้ อกราชดว้ ยหวงั ไว้ว่า ลูกหลานไทยต้องมีแผ่นดินอยู่ ไม่ต้องไปเป็นทาสของชนชาติอ่ืน ซงึ่ การรวมตัวมาเป็นชนชาติไทยทมี่ ที ั้งคนไทยและแผน่ ดินไทยของบรรพบรุ ุษไทยในอดีต ก็ไม่ใช่เร่อื งทส่ี ามารถทำได้ โดยงา่ ย ต้องอาศยั ความรัก ความสามัคคี ความกลา้ หาญ ความเสยี สละอดทน และสงิ่ ท่สี ำคญั คือ ตอ้ งมีศูนย์รวมใจที่ เป็นเสมอื นพลังในการตอ่ สแู้ ละผนู้ ำทีม่ ีความชาญฉลาดด้านการปกครองและการรบ คือ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ท่ีอยู่ คู่คนไทยมาชา้ นาน และหากลูกหลานไทยและคนไทยทุกคนไดศ้ ึกษาพงศาวดารและประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย กจ็ ะเห็น
วา่ ดว้ ยเดชะพระบารมีและพระปรชี าสามารถของบูรพมหากษัตริยข์ องไทยในอดีตที่เปน็ ผูน้ ำสามารถรวบรวมชนชาติ ไทยให้เปน็ ปึกแผน่ แมว้ ่าเราจะเคยเสียเอกราชและดินแดนมามากหมายหลายครง้ั บรู พมหากษัตริย์ไทยก็สามารถกอบ กู้เอกราชและรวบรวมชนชาวไทยใหเ้ ปน็ ปึกแผ่นได้เสมอมา และเหนอื ส่งิ อนื่ ใดพระมหากษัตริยไ์ ทยทกุ พระองค์ เป็น พระมหากษัตรยิ ์ที่ปกครองประเทศชาตดิ ว้ ยพระบารมแี ละทศพิธราชธรรม ใช้ธรรมะและคำส่ังสอนของพระพทุ ธองค์ มาเป็นแนวในการปกครอง ทำใหค้ นในชาติอยู่รว่ มกนั อย่างร่มเยน็ เปน็ สขุ สมกับคำทีว่ ่า “ประเทศไทย เปน็ ประเทศ แผ่นดินธรรมแผ่นดนิ ทอง” แผ่นดนิ ธรรม หมายถึง แผ่นดินทม่ี ีผูป้ ฏบิ ตั ธิ รรม และการปฏิบัติธรรมนน้ั หมายถึงการปฏบิ ัติหนา้ ที่อยา่ งถกู ต้อง แผ่นดินทอง หมายถึง แผน่ ดินทปี่ ระชาชนได้รบั ประโยชน์ และความสขุ อยา่ งทัว่ ถงึ ตามควรแก่อตั ภาพ
ใบความรทู้ ี่ 3 วิชา ประวัตศิ าสตร์ชาติไทย รหสั วิชา สค 220020 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เร่อื ง ความเป็นมาประเพณไี ทย ความเปน็ มาของประเพณี ประเพณีมบี ่อเกิดมาจากสภาพสงั คม ธรรมชาติ ทัศนคติ เอกลกั ษณ์ ค่านิยมโดยความเชอ่ื ของคนในสงั คม ต่อสิ่งทีม่ ี อำนาจเหนือมนษุ ย์นน้ั ๆ เชน่ อำนาจของดนิ ฟ้าอากาศและเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนโดยไมท่ ราบสาเหตตุ ่างๆ ฉะน้ันเม่ือเวลาเกิดภยั พิบตั ขิ ึ้นมนษุ ยจ์ ึงต้องอ้อนวอนร้องขอในสงิ่ ทต่ี นคิดวา่ จะชว่ ยได้พอภยั น้ันผ่านพน้ ไป แล้ว มนุษย์ ก็แสดงความรู้คุณต่อสิ่งนัน้ ๆด้วยการทำพธิ ีบชู าเพอื่ เปน็ สิรมิ งคลแกต่ นเอง ตามความเชือ่ ความรู้ของตนเมื่อความ ประพฤตนิ ้นั คนส่วนรวมสังคมยดึ ถือปฏิบัติเปน็ ธรรมเนยี ม หรอื เปน็ ระเบยี บแบบแผน และทำจนเปน็ พมิ พเ์ ดยี วกนั สบื ตอ่ ๆกนั จนกลายเปน็ ประเพณีของสงั คมน้ันๆ ประเพณแี ละวัฒนธรรม เมื่อว่าโดยเน้อื ความกเ็ ปน็ สงิ่ อย่างเดียวกัน คือ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่มีอยใู่ นธรรมชาตโิ ดยตรง แต่เปน็ สง่ิ ท่ีสงั คมหรอื คนในสว่ นรวมรว่ มกนั สรา้ งให้มีขน้ึ แลว้ ถา่ ยทอด ใหแ้ ก่กนั ได้ด้วยลักษณะและวิธกี ารต่างๆว่าโดยเน้อื หาของประเพณี และวฒั นธรรมท่ีอยใู่ นจิตใจของประชาชนเกีย่ วกับ เรื่องความคดิ เห็น ความรสู้ ึก ความเชอื่ ซ่งึ สะสมและสบื ต่อร่วมกันมานานในสว่ นรวม จนเกดิ ความเคยชนิ เรยี กวา่ นิสัยสังคมหรอื ประเพณี ประเภทของประเพณีแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.จารีตประเพณี หรอื กฎศีลธรรม หมายถึง ส่งิ ซึง่ สงั คมใดสงั คมหน่งึ ยดึ ถือและปฏบิ ัตสิ บื กนั มาอย่างต่อเนอื่ งและ ม่ันคง เป็นเรอ่ื งของความผดิ ถูก มเี รอ่ื งของศีลธรรมเขา้ มาร่วมด้วย ดงั นน้ั สมาชิกในสังคมตอ้ งทำ ผูใ้ ดฝา่ ฝนื ถอื วา่ เป็น ผดิ เป็นชั่วจะตอ้ งถูกตำหนิหรือไดร้ ับการลงโทษจากคนในสังคมนนั้ เชน่ ลกู หลานต้องเลี้ยงดูพ่อแมเ่ มือ่ ท่านแก่เฒ่า ถ้า ใครไม่เล้ยี งดูถือวา่ เป็นคนเนรคุณหรือลูกอกตัญญู จารีตประเพณีของแต่ละสังคมนั้นย่อมไม่เหมือนกนั เพราะมคี ่านิยม ทย่ี ดึ ถอื ตา่ งกัน การนำเอาจารีตประเพณขี องตนไปเปรยี บเทียบกบั ของคนอื่นแล้วตดั สนิ วา่ ดหี รือเลวกวา่ ของตนยอ่ ม เป็นสิ่งทไ่ี ม่ถูกต้อง เพราะสภาพสงั คม ส่งิ แวดล้อม ตลอดจนความเชือ่ ของแต่ละสังคมยอ่ มแตกต่างกนั ไป 2.ขนบประเพณี หรอื สถาบัน หมายถึง ระเบยี บแบบแผนทสี่ ังคมได้กำหนดไวแ้ ลว้ ปฏิบัตสิ บื ต่อกันมา ทง้ั โดยทางตรง และทางอ้อม ทางตรง ได้แก่ ประเพณีทมี่ ีการกำหนดเปน็ ระเบียบแบบแผนในการปฏบิ ัติอยา่ งชดั แจง้ วา่ บุคคลตอ้ ง ปฏิบตั ิอย่างไร เชน่ สถาบันโรงเรยี น ทางอ้อม ได้แก่ ประเพณีทีร่ ู้กันโดยท่วั ๆไป โดยไมไ่ ดว้ างระเบยี บไวแ้ น่นอน แต่ ปฏบิ ตั ไิ ปตามคำบอกเล่า หรือตัวอยา่ งจากทผี่ ใู้ หญห่ รอื บุคคลในสังคมปฏบิ ตั ิ เชน่ ประเพณเี กย่ี วกับการเกดิ การตาย การแตง่ งาน ซ่งึ เปน็ ประเพณเี ก่ยี วกับชวี ิต หรือประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล ตรุษ สารท การขึ้นบ้านใหม่ เปน็ ต้น 3.ธรรมเนียมประเพณี หมายถงึ ประเพณเี ก่ยี วกับเร่อื งธรรมดาสามัญท่ีทกุ คนควรทำ มีความผดิ ถกู เหมือนจารตี ประเพณี เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติท่ีทกุ คนปฏบิ ัตกิ นั ทั่วไปจนเกิดความเคยชินและไม่ร้สู ึกเป็นภาระหน้าทเ่ี พราะเปน็ สิ่งที่มีมานานและใช้กันอย่างแพรห่ ลายส่วนมากเป็นมารยาทในด้านต่างๆ เช่น การแตง่ กาย การพดู การรบั ประทาน อาหาร การเปน็ แขกไปเย่ยี มผู้อ่นื ฯลฯ
อาจแบ่งประเภทของประเพณีไทยออกไดอ้ กี 4 ประเภท คือ ประเพณีท่ีเก่ียวกับชีวิตหรือประเพณีครอบครัว ได้แก่ประเพณีการเกิด ประเพณีการบวช ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีงานศพประเพณีท้องถิ่นของชุมชนหรือประเพณีส่วนรวมตามเทศกาล ประเพณีการชักพระ ประเพณี สงกรานต์ ประเพณงี านบุญบ้งั ไฟ ประเพณกี ารรับประทานอาหาร ประเพณีท้องถ่ิน ได้แก่ ประเพณีท่ีเกี่ยวกับอาชีพ เช่น ภาคใต้ ได้แก่ การลงขันลงหิน การทำขันและเคร่ืองลงยา การ ทำผ้าบาติก การทำโสร่งปาเต๊ะ ประเพณีการแต่งกาย ประเพณีการแต่งกาย ประเพณีการละเล่นในงานนักขัตฤกษ์ เช่น การละเล่นหนังตะลุง มโนราห์ เป็นต้น ประเพณีราชการ คือประเพณีที่ทางราชการเป็นผู้กำหนดข้ึน จำแนกได้ เป็น 2 ประเภท คือ รัฐพิธีและพระราชพิธีรัฐพิธี เป็นพิธีประจำปีท่ีทางราชการกำหนดขั้น โดยพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอย่หู ัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธาน หรอื โปรดเกลา้ ฯ ให้พระราชวงศ์เสดจ็ ไปแทนพระองค์ ไดแ้ ก่ รัฐ พิธีที่ระลึกวนั จักรี ตรงกับวันที่ 6 เมษายน ของทุกปี รัฐพิธีวนั พระราชทานรัฐธรรมนูญ ตรงกบั วันที่ 10 ธันวาคม ของ ทุกปี พระราชพิธี หมายถึง พิธีท่ีจัดขึ้นอันเก่ียวเน่ืองกับพระมหากษัตริย์ เป็นพิธีหลวง ได้แก่ พระราชพิธีเฉลิมพระ ชนมพรรษา พระราชพิธฉี ัตรมงคล พระราชพิธพี ชื มงคลจรดพระนงั คัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีกาญจนาภิเษก(วโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ เสด็จขน้ึ เถลิงถวัลยราชสมบัตคิ รบ 50 ปี ในวันท่ี 9 มถิ นุ ายน 2539)
ใบความรทู้ ี่ 4 วชิ า ประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย รหสั วชิ า สค 220020 ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื ง ศลิ ปะไทยและวรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยา ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะไทย มี 3 ประเภท แบ่งออกดังนี้ ถา้ ยอ้ นศกึ ษาถึงเรื่องประวัตศิ าสตร์ความเปน็ มาของศิลปะไทย สามารถแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่… 1.จติ รกรรมไทย 2.ประติมากรรมไทย 3.สถาปตั ยกรรมไทย 1. จิตรกรรมไทย คือ ภาพเขียนซึ่งมีเอกลักษณ์ตามแบบอย่างของไทย โดยมีความแตกต่างแปลกแยก จากศิลปะของประเทศ อื่นอย่างชัดเจน มีลายไทย เป็นองค์ประกอบ ซ่ึงหยิบนำรูปร่างมาจากธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบ เช่น ลายกนก , ลายประจำยาม, ลายเครือเถา เป็นตน้ รวมทงั้ รูปท่มี าจากความเชื่อ เชน่ รปู เทวดา หรือ รปู ยกั ษ์ เป็นต้น สำหรบั จิตรกรรมไทย จัดเปน็ งานวจิ ิตรศิลป์ประเภทหน่ึง โดยใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการสะท้อนใหเ้ ห็นถึง วัฒนธรรมโบราณของประเทศชาติ อัดแน่นไปด้วยคณุ ค่าทางศลิ ปะ ในยุคปัจจบุ ันใช้เปน็ เครือ่ งมอื ในการศึกษาค้นคว้า เร่อื งราวในอดีต ทเ่ี กย่ี วข้องกับศาสนา, ประวตั ศิ าสตร์,วิถีชีวติ รวมทงั้ การแสดงพ้นื เมืองต่างๆ ซ่งึ สามารถนำมา ถา่ ยทอดเป็นภาพจิตรกรรมไทยได้ เมื่อมผี ้รู ับชมงานจิตรกรรมจะเกดิ สุนทรียภาพข้ึน ภายในจิตใจมนุษย์ผนู้ ัน้ สำหรบั งานจติ รกรรมไทย สามารถแบง่ ออกตามลกั ษณะซ่ึงเปน็ รปู แบบทางศลิ ปกรรม ได้ 2 แบบ คอื … 1.1) จติ รกรรมไทยแบบประเพณี ไดร้ บั การยกย่องให้เป็นศิลปะ อนั มคี วามประณตี สวยงาม ซ่ึงสะท้อนและแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความรสู้ กึ ทอี่ ย่เู บ้ือง ลกึ ภายในจติ ใจ รวมทั้งชูจดุ เด่นของความเป็นไทยได้อย่างดเี ย่ียม โดยเฉพาะในเรอ่ื งของความอ่อนโยน จนกลายมา เป็นลกั ษณะประจำชาติ นิยมเขียนบนฝาผนงั พร้อมเลา่ เรอ่ื งราวเกยี่ วกบั พุทธศาสนา เขียนด้วยสีฝุ่น ซง่ึ เป็นเทคนิคใน การสรา้ งสรรคผ์ ลงานของช่างเขียนไทยในครัง้ โบราณ 1.2) จติ รกรรมไทยแบบรว่ มสมยั มาจากความเจรญิ ก้าวหน้าของโลก อนั สะท้อนใหเ้ หน็ ถึงเอกลกั ษณ์ของวัฒนธรรมไทยอนั เต็มไปด้วยความเปน็ เอกลกั ษณ์ ซึ่งอดั แน่นไปดว้ ยคณุ ค่าในรูปแบบของตวั เอง ดำเนนิ ไปในแนวทางเดยี วกันกับศลิ ปะตะวนั ตกภายใตล้ ทั ธิ ตา่ งๆ มีการสร้างสรรคต์ ามความชอบในของศลิ ปนิ ในแตล่ ะคน 2. ประติมากรรมไทย จดั เปน็ ผลงานศลิ ปะประเภทหน่ึง ซ่ึงแสดงออกผ่านทางการปั้น, แกะสลัก, หลอ่ ตลอดจนประกอบให้เข้าเป็น รปู ร่าง 3 มิติขนึ้ มา โดยมีรูปแบบเป็นของไทยโดยเฉพาะ ส่วนวัสดทุ ี่ใช้ เช่น ดิน, ปูน, หิน, อิฐ ,เขาสัตว์, กระดูก และ อื่นๆ สำหรับผลงาน มีท้ังแบบนูนต่ำ, นูนสูง และลอยตัว นิยมสร้างสรรค์ข้ึนมาเป็นลวดลาย เพื่อรวมเข้ากับงาน
สถาปัตยกรรม เช่น ลวดลายแกะสลกั เพอ่ื นำไปประดับตามอาคาร, บา้ น, โบสถ์วหิ าร และอ่ืนๆ อีกทั้งยังสามารถสรา้ ง เป็นลวดลายตกแต่งงานประติมากรรมแบบลอยตัวไดอ้ ีกดว้ ย ซ่ึงมักสร้างสรรค์ผลงาน ออกมาในลกั ษณะของความเป็น พระพุทธรูป, เทวรูป รวมท้ังรูปเคารพต่างๆ จนถงึ ข้าวของเคร่ืองใช้ โดยมีลักษณะแตกต่างกนั ออกไปตามฝีมือของช่าง ในแต่ละแห่ง หรอื มคี วามแตกต่างกันไปตามคตนิ ยิ ม 3. สถาปัตยกรรมไทย จดั เป็นศิลปะการก่อสร้างของไทยที่มีต้งั แตโ่ บราณ แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันเป็นรสนิยมของชาวไทย เช่น อาคาร บ้านเรือน, โบสถ,์ วหิ าร ตลอดจนสงิ่ ก่อสรา้ งอ่ืนๆ โดยรูปแบบของสถาปตั ยกรรมในแต่ละท้องถิน่ จะมีลักษณะ ที่แตกต่างกันไปบ้าง ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น หากแต่อย่างไรก็ตามส่ิงก่อสร้างทาง ศาสนา จะมีลกั ษณะที่ไม่ค่อยแตกตา่ งกันมากเทา่ ไหรน่ ัก ซึง่ สามารถแบง่ แยกหมวดหมูไ่ ด้ 2 ประเภท คือ… 3.1) ใช้เปน็ ทีอ่ ยอู่ าศยั เชน่ บ้าน, ตำหนกั , วงั เป็นตน้ โดยมีทัง้ การก่อสร้างดว้ ยไม้และการกอ่ สรา้ งดว้ ยปนู ลกั ษณะเรือนไม้ของ ประเทศไทยในแตล่ ะท้องถ่นิ จะมรี ปู แบบท่แี ตกตา่ งกัน หากแต่ส่วนใหญ่จะมีลกั ษณะเปน็ เรอื นไมช้ ้นั เดียว ยกใตถ้ ุนสงู ส่วนวังเป็นที่อยอู่ าศัยของชนช้ันสงู และพระราชวัง เปน็ ท่ีประทับของพระมหากษตั รยิ ์ 3.1) เกี่ยวข้องกับศาสนา ส่วนใหญ่สามารถพบเห็นได้ในบริเวณ วัด โดยประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมหลายประเภท เช่น โบสถ์ , วหิ าร, กุฎิ, หอไตร และอน่ื ๆ โดยคุณผูอ้ า่ นคงจะเหน็ ว่า งานศลิ ปะของไทยในอดีตสว่ นใหญแ่ ล้วบอกเล่าเร่ืองราวเกย่ี วกบั ความเชือ่ ทาง ศาสนา ซงึ่ ศาสนาเป็นส่ิงท่ีผูกพนั กับชวี ติ ของชาวไทยมาเป็นเวลาชา้ นานแล้วน่ันเอง
ใบความรู้ท่ี 1 วิชาลกู เสอื กศน. รหสั วิชา สค22021 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เร่ือง คำปฏิญาณ กฎ และคตพิ จนข์ องลูกเสือ คำปฏิญาณของลูกเสือไม่มีคำว่า \"อย่า\" หรือ \"ต้อง\" คือไม่มีการห้ามหรือบังคับแต่เป็นคำปฏิญาณ หรือ คำมั่นสัญญาที่ลูกเสือและผู้บังคับบัญชาได้กล่าวรับรองด้วยเกียรติของตนเอง และด้วยความสมัครใจ ส่วนกฎของ ลกู เสอื ได้กำหนดไว้เป็นกลาง เพอื่ ให้ลกู เสอื ถอื เป็นหลกั ปฏบิ ตั ิในชวี ติ ประจำวัน และโดยผบู้ งั คบั บัญชา ลูกเสือจะต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎของลูกเสือเป็นพิเศษ เพ่ือบำเพ็ญตนให้เป็นตัวอย่างท่ีดีแก่ลูกเสือ คำ ปฏิญาณและกฎของลูกเสือ ทำให้ลกู เสือมีความจงรกั ภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รจู้ ักบำเพ็ญประโยชน์ แก่ผู้อ่ืน มีระเบียบวินัย อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม และไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากใด ๆ ในบ้านเมือง ดังน้ัน จึงอาจ กล่าวได้ว่าการลูกเสือเป็นกำลังสำคัญส่วนหน่ึงในการสร้างความม่ันคงให้แก่ประเทศชาติคำว่า \"ปฏิญาณ\" ตาม พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานแปลว่า \"การให้คำม่ันโดยสุจรติ ใจ\"ลกู เสอื จะตอ้ งสำนกึ วา่ เขากลา่ วคำปฏญิ าณดว้ ย ความสมัครใจของเขาเอง อน่ึง เขาจะต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้จะเรียกได้ว่าเป็น \"คนจริง\" เพ่ือให้ผู้อ่ืนนับถือหรือเช่ือถือได้ นั้นจะต้องเป็นผู้รักษาคำพูด โดยเฉพาะที่เป็นคำปฏิญาณหรือคำมั่นสัญญาของตนกล่าวคือ ข้าสัญญาว่าจะทำอย่างไร แลว้ ต้องทำเหมอื นปากพูดทุกอยา่ ง ดังคำปฏิญาณทกี่ ลา่ วว่า ด้วยเกยี รตขิ องขา้ ข้าสัญญาว่า ข้อ 1 ข้าจะจงรักภกั ดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอ้ 2 ขา้ จะชว่ ยเหลือผูอ้ นื่ ทุกเมอื่ ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลกู เสือ จากคำปฏญิ าณข้อท่ี ๑ นั้น แสดงใหเ้ ห็นวา่ ลูกเสอื มหี น้าท่ดี งั ตอ่ ไปนี้ ก. หน้าทตี่ ่อชาติ ชาติไทย คือ แผ่นดินและน่านน้ำที่รวมกันเรียกวา่ ประเทศไทย ประกอบด้วยประชาชนพลเมืองทร่ี วมกัน เรียกว่าคนไทย ธงชาติ เป็นเคร่ืองหมายแทนชาติ ฉะน้ัน ธงชาติจงึ เป็นส่ิงที่ควรแก่การเคารพเป็นหน้าท่ีของลูกเสือทุก คน จะต้องแสดงความเคารพในโอกาสทชี่ ักธงขน้ึ สูย่ อดเสา และเวลาชักธงลงจากยอดเสาพธิ ี ชักธงชาติข้ึนสู่เสา หรือชักธงลงจากเสานี้ เป็นพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของลูกเสือซึ่งจะต้องกระทำด้วยความเป็นระเบียบ เรยี บร้อย ผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมายใหช้ ักธงลงควรถอื ว่าเป็นเกียรตทิ ไ่ี ดร้ บั มอบหมายให้ทำงานน้ี และจะต้องระมัดระวังไมใ่ ห้ สว่ นหน่ึงส่วนใดของธงสัมผสั กับพ้ืนดินเป็นอนั ขาด ลูกเสือไม่ควรกระทำการใด ๆ ในอนั ที่จะ นำมาซ่ึงความเส่ือมเสียแก่เกียรติของธงชาติ เช่น นำผืนธงไปปูพื้นเช็ดส่งของ หรือเหยียบย่ำ และกองไว้แทบเท้า ธง ชาติไทยเรียกว่า \"ธงไตรรงค์\" แปลว่า ธงสามสี ลูกเสือควรจะทราบด้วยว่าแต่ละสีมีความหมายอย่างไร สัญลักษณ์อีก อยา่ งหนง่ึ ของธงชาติไทยคือ\"เพลงชาติ\" ลกู เสอื และผบู้ ังคับบัญชาลกู เสือทกุ คนจะต้อง สามารถร้องเพลงชาตไิ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง ข. หน้าทตี่ อ่ ศาสนา ลูกเสือจะนับถือศาสนาใด ๆ ก็ได้ เพราะทุกศาสนากม็ ีความมุ่งหมายอย่างเดยี วกนั คือใหใ้ หบ้ ุคคลเป็นคน ดี ไดแ้ ก่ การละเวน้ ความชวั่ กระทำแต่ความดี และทำใจใหผ้ อ่ งใสบรสิ ุทธ์ิ
Search