Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 2 ความร้อนและทฤษฎีจลน์

หน่วยที่ 2 ความร้อนและทฤษฎีจลน์

Published by khaimook spp, 2022-08-02 17:38:37

Description: หน่วยที่ 2 ความร้อนและทฤษฎีจลน์

Search

Read the Text Version

2. กฎของชารล์ (Charles' law) ชาก อาแลกซองตร์ เซซา ชาร์ล (Jacques Alexandre Ce'sar Charles) (พ.ศ. 2289-2366) ไดส้ รปุ ผลการศึกษาและทดลอง แล้วเสนอแนวคิดว่า \"สาหรับแกส๊ ในภาชนะปดิ ถา้ ความดัน (P) ของแก๊สคงตัว ปริมาตร (V) ของแก๊สใด ๆ จะแปรผันตรงกบั อณุ หภูมสิ ัมบูรณ์ (T) ของแกส๊ นัน้ ๆ\" สามารถเขียนแสดงความสัมพนั ธ์ได้ ดังน้ี ������ ∝ ������ หรือ ������ = ������ ������ 3. กฎของเกย-์ ลูสแซก (Gay-Lussac's law) โชแซฟ-ลุย เก-ลูซกั (Joseph-Loius Gay-Lussac) (พ.ศ. 2321-2393) ได้สรุปผลการศกึ ษาและทดลอง แล้วเสนอแนวคิดวา่ \"สาหรับแกส๊ ในภาชนะปิด ถา้ ปรมิ าตร (V) ของแก๊สคงตวั ดวามดนั (P) ของแกส๊ ใด ๆ จะแปรผนั ตรงกับอุณหภูมิสัมบรู ณ์ (T) ของแกส๊ น้ัน ๆ\" สามารถเขียนแสดงความสัมพันธไ์ ด้ ตังนี้ ������ ∝ ������หรอื ������ = ������ ������ สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคิด - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทกั ษะการคดิ สังเคราะห์ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (จติ วิทยาศาสตร์) ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการทีจ่ ะรู้และ เสาะแสวงหาความรเู้ กย่ี วกับสิ่งตา่ งๆ ทีสนใจหรอื ตอ้ งการค้นพบสิง่ ใหม่ แสดงออกไดโ้ ดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากจิ กรรมต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรยี นรตู้ ่างๆ อยเู่ สมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ได้ ช้นิ งาน/ภาระงาน ใบงานที่ 2.3 แก๊สในอดุ มคติ

กจิ กรรมการเรยี นรู้ วธิ ีสอนใชร้ ปู แบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน (5E Learning Cycle model) ข้นั ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมในเรื่อง ความร้อน อุณหภูมิ การเปลี่ยนสถานะสสาร การถ่ายโอนความร้อน และการขยายตวั เชงิ ความร้อนของของแขง็ 2. ครนู าลูกโป่งอดั แก๊สทีม่ รี ูปร่างต่างๆ มาให้นกั เรยี นดู โดยมปี ระเดน็ คาถาม ดังนี้ - เพราะเหตใุ ด รปู รา่ ง รวมท้งั ปรมิ าตรของสารท่ีอยูใ่ นสถานะแกส๊ จึงมีความไม่แนน่ อน (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบท่ี ถูกต้อง) 3. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สนทนาอภปิ รายเกยี่ วกบั แก๊สในอุดมคติ เพ่ือเข้าส่บู ทเรียน ขน้ั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา ( 40 นาที ) 4. ให้นักเรยี นแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ 4 - 5 คน และให้ตวั แทนกลุม่ มารบั ใบงาน 5. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษากิจกรรมจากใบงานท่ี 2.3 แก๊สในอดุ มคติ 6. ครชู ้แี จงจดุ ประสงค์และวิธีการปฏิบัติกจิ กรรมให้นักเรียนทราบ 7. นักเรยี นลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และรายงานผล ข้นั ที่ 3 ข้นั สร้างคาอธบิ ายและลงขอ้ สรุป ( 35 นาที ) 8. นกั เรียนแต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหนา้ ช้ัน 9. ครูให้นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเพื่อนาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้ - นักวิทยาศาสตร์ในอดีตศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและสมบัติต่างๆ ของแก๊ส พบว่า โดยทั่วไปแกส๊ เกือบทกุ ชนิดจะมีสมบตั บิ างประการท่คี ลา้ ยกัน สามารถสรปุ และอธิบายสมบัติต่างๆ ของแกส๊ ไดด้ ว้ ยทฤษฎใี ด (แนวคาตอบ ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ (Kinetic theory of gas)) - โมเลกุลของแก๊สที่มีลักษณะ เป็นก้อนกลม ขนาดเท่ากัน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมาก โมเลกุลเหล่าน้ี จะมีการขนผนงั ภาชนะ แล้วกระดอนแบบยดื หยนุ่ เรยี กว่า การชนแบบใด (แนวคาตอบ การชนแบบยดื หยนุ่ (clastic collision)) - แก๊สที่มีสมบัตเิ ปน็ ไปสมมติฐานทกุ ประการ ถือได้ว่าเป็นแก๊สอุดมคติ (idical gas) ซึ่งเรียกอีกช่อื หนงึ่ วา่ อย่างไร (แนวคาตอบ เรยี กว่า แก๊สสมบรู ณ์ (perfect gas)) - แก๊สจรงิ (real gas) กับ แกส๊ อดุ มคติ (idical gas) แตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวคาตอบ แตกต่างกัน เพราะแกส๊ จริง เปน็ แกส๊ ทสี่ ามารถพบได้ตามธรรมชาติ ส่วนแก๊สอุดมคติ เปน็ แก๊สทไ่ี ม่สามารถพบได้ในธรรมชาติ)

10. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เรื่อง แก๊สอุดมคติ ดังนี้ คุณสมบัติของแก๊สอุดมคติ สามารถอธิบายได้ด้วยตัวแปร 3 ตัว คอื ความดนั ปรมิ าตร และอุณหภูมิ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรทั้งสามสามารถอธิบายได้ด้วยสมการต่างๆ เรียกว่า กฎของแก๊ส ประกอบด้วย กฎของบอยล์ กล่าวไวว้ ่า สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้ารักษาอุณหภูมิให้คงตัว ปริมาณของแก๊สจะแปรผกผันกับความดันของแก๊ส ดังสมการ ������ ∝ 1 กฎของชาร์ล กล่าวไว้ว่า สาหรับแก๊สในภาชนะปิด เมื่อความดันคงตัว ปริมาตรของแก๊สที่ ������ มีมวลคงตัวจะแปรผนั ตรงกับอุณหภูมิ ดังสมการ ������ ∝ ������ และกฎของเกย์-ลูสแซก กล่าวไว้ว่า เม่ือปริมาตรของ แก๊สคงตัว ความดันของแก๊สท่ีมีมวลคงตัวจะแปรผันตรงกับอุณหภูมิ ดังสมการ ������ ∝ ������ ซ่ึงจากกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล และกฎของเกย์-ลูสแซก สามารถเขียนความสัมพันธ์ของกฎทั้งสามได้เป็น ������������ = ������������������ และ ������������ = ������������������������ เรยี กวา่ กฎของแก๊สอดุ มคติ ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 20 นาที ) 11. ครูอธิบายความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องการดารงชวี ิตในชีวิตประจาวนั น่ันคือ การหายใจ (breathing) การหายใจ เป็นกลไกการสูดลมหายใจเข้าและปล่อยลมหายใจออก เกิดจากการทางานร่วมกันของกะบังลม และกล้ามเนื้อยืดกระดูกซ่ีโครง โดยเมื่อเราหายใจเขา้ กล้ามเนื้อยืดกระดูกซี่โครงจะหดตวั กะบังลมเลื่อนต่าลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงข้ึน ส่งผลให้มีปริมาตรภายในช่องอกเพิม่ ขึ้น ความดันภายในช่องอกลดต่าลงอากาศจาก ภายนอกจึงเคลื่อนที่เข้าสู่ปอด และเมื่อเราหายใจออกกล้ามเนื้อยืดกระดูกซี่โครงจะคลายตัวกะบังลมเลื่อน สูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่าลง ส่งผลให้มีปริมาตรภายในช่องอกลดลง ความดันภายในช่องอกลดเพิ่มสูงขึ้น อากาศจึงเคลื่อนที่ออกจากปอด ซึ่งกลไกดังกล่าวมีความสอดคล้องกับกฎของบอยล์ (ปริมาตรแปรผกผันกับ ความดัน) ขั้นท่ี 5 ประเมนิ ผล ( 10 นาที ) 12. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม วสั ด/ุ อุปกรณ์ ส่ือและแหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียนฟิสกิ ส์ ม.6 เลม่ 1 สงั กัด อจท. 2. หนังสือเรยี นฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 5 สังกัด สสวท. 3. PowerPoint เรอ่ื ง ความรอ้ นและทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ 4. ลูกโป่งอดั แก๊สรูปรา่ งตา่ งๆ 5. ห้องเรียน 6. ห้องสมุด 7. แหล่งข้อมูลสารสนเทศ 8. ใบงานที่ 2.3 แกส๊ อุดมคติ

การวดั ผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธวี ัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน 1. นกั เรียนอธบิ ายความสัมพันธ์ ตรวจใบงาน ใบงานท่ี 2.3 แก๊สอุดม ได้ระดับคุณภาพดี ระหว่างอุณหภูมิ ความดัน และ คติ จงึ ผา่ นเกณฑ์ ปรมิ าตรของแกส๊ ได้ (K) 2. นักเรียนสืบค้นความสัมพันธ์ สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ระหว่างอุณหภูมิ ความดัน และ ปฏิบตั กิ จิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จงึ ผา่ นเกณฑ์ ปริมาตรของแกส๊ ได้ (P) สบื คน้ 4. มคี วามอยากรูอ้ ยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรูอ้ ยากเหน็ อยากรอู้ ยากเห็น จึงผา่ นเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สงั เกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรยี นรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จงึ ผา่ นเกณฑ์ ดา้ นใฝ่เรยี นรู้ ความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ................................................................ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........

การประเมินด้านความรู้ (K) เกณฑ์การใหค้ ะแนนใบงาน ประเด็นการประเมนิ คะแนน 4 321 คุณสมบัติของแก๊สอุดมคติสามารถ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมีความ อธิบายได้ด้วยตัวแปร 3 ตัว คือ ความ กับประเด็นการ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ ดัน ปริมาตร และอุณหภูมิ นอกจากนี้ ประเมิน เนื้อหา ประเมนิ สว่ นใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสาม สามารถอธิบายได้ด้วยสมการต่าง ๆ สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา เรียกว่า กฎของแก๊ส ประกอบด้วย กฎ ถูกต้องครบถว้ น ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ของบอยล์ กล่าวไว้ว่า สาหรับแก๊สใน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง ภาชนะปิด ถ้ารักษาอุณหภูมิให้คงตัว เล็กนอ้ ย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก ปรมิ าณของแกส๊ จะแปรผกผันกับความ บางส่วน ดันของแก๊ส ดังสมการ ������ ∝ 1 กฎ ������ ของชาร์ล กล่าวไว้ว่า สาหรับแก๊สใน ภาชนะปิด เมอื่ ความดนั คงตัว ปริมาตร ของแก๊สท่ีมีมวลคงตวั จะแปรผนั ตรงกับ อุณหภูมิ ดังสมการ ������ ∝ ������ และกฎ ของเกย์-ลูสแซก กล่าวไว้ว่า เม่ือ ปริมาตรของแก๊สคงตัว ความดันของ แก๊สท่ีมีมวลคงตัวจะแปรผันตรงกับ อุณหภูมิ ดังสมการ ������ ∝ ������ ซึ่งจากกฎ ของบอยล์ กฎของชาร์ล และกฎของ เ ก ย์ - ลู ส แ ซ ก ส า ม า ร ถ เ ขี ย น ความสัมพันธ์ของกฎท้ังสามได้เป็น ������������ = ������������������ แ ล ะ ������������ = ������������������������ เรยี กว่า กฎของแก๊สอุดมคติ

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ดมี าก 4 อยู่ในระดับ ดี 3 อยู่ในระดบั พอใช้ 2 อยู่ในระดับ ปรับปรงุ 1 อย่ใู นระดบั

การประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมนิ การปฏบิ ัติกจิ กรรมการสบื คน้ ประเดน็ การประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การวางแผน การแบ่ง วางแผนงานล่วงหน้า ไม่มีการวางแผนงาน ไม่มีการวางแผนงาน หนา้ ท่ีกันทางาน และแบ่งหน้าที่งานให้ ลว่ งหนา้ แต่สามารถแบ่ง ล่วงหนา้ แต่สามารถแบ่ง ชัดเจนเพื่อให้การสืบค้น หน้าที่งานได้เพื่อให้การ หน้าที่งานได้เพื่อให้การ ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และครอบคลุม สืบค้นได้ข้อมูลที่ ถูกต้อง สืบค้นได้ข้อมูลที่ ถูกต้อง ประเด็นสาคญั และตรงประเด็นมาก บางส่วน และตรง ท่ีสุด ประเด็นบา้ งเล็กนอ้ ย 2.ส ื บ ค ้ น จ า ก แ ห ล ่ ง ท่ี ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือ ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือ ใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่ เหมาะสม และหลากหลาย ได้ มีความถูกต้อง และ ไ ด ้ เ ป ็ น ส ่ ว น ใ ห ญ ่ มี น่าเชื่อถือ แต่เนื้อหายังมี ได้ข้อมูลที่น่าสนใจใน ความถูกต้องบ้าง และ ความถูกต้องเล็กน้อย หลากหลายมมุ มอง ข้อมูลมีความน่าสนใจ แ ล ะ ข ้ อ ม ู ล ม ี ค ว า ม เลก็ นอ้ ย น่าสนใจแตเ่ ปน็ ส่วนน้อย 3.การรวบรวมข้อมูล การ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ วิเคราะห์ และสรุป และสรุปได้ถูกต้อง และ และสรุปได้ถูกต้องเป็น แ ล ะ ส ร ุ ป ไ ด ้ ถ ู ก ต ้ อ ง สอดคล้องกับประเด็น ส่วนใหญ่ และสอดคล้อง เล็กน้อย และสอดคล้อง สาคัญ กบั ประเด็นสาคญั กับประเด็นสาคัญบ้าง บางส่วน 4.งานสาเร็จทันเวลาและมี งานส าเร็จลุล่วงได้ใน งานส าเร็จได้ มีความ งานส าเร็จได้แต่ไม่ คุณภาพ เว ลาที่ก าหนด และ ล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังมี ทันเวลาที่ก าหนด มี ถูกต้อง ครอบคลุม และ ความถูกต้อง ครอบคลุม ความถูกต้อง ครอบคลุม สอดคล้องกับประเด็น แ ล ะ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ สอดคล้องกับประเด็น ส า ค ั ญ ท า ใ ห ้ ง า น มี ประเด็นสาคัญถือว่างาน สาคัญบ้างเล็กน้อย และ คณุ ภาพ มีคณุ ภาพ มขี ้อบกพรอ่ งบางส่วน

เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ดีมาก 9 – 12 อยู่ในระดับ ดี 5 – 8 อยู่ในระดบั พอใช้ 1 – 4 อยใู่ นระดบั

การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรู้อยากเห็น ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มกี ารแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้นั ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรูไ้ ดน้ ้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ท่ี อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบที่เป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพิม่ เติมจากความรเู้ ดิม ยิ่งขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดบั

การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รียนรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตัวชวี้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครูผู้สอน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครงั้ โรงเรยี นเป็นประจา

ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์

การประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการสืบคน้ รายช่อื สมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแ้ี จง: ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน ประเด็นการประเมิน ระดบั คะแนน 3 21 1.การวางแผน การแบ่งหน้าที่กัน ทางาน 2.สืบค้นจากแหล่งที่เหมาะสม และ หลากหลาย 3.การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และสรุป 4.งานสาเรจ็ ทนั เวลาและมีคุณภาพ รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดับ เกณฑ์การให้คะแนน 3 หมายถงึ ดมี าก 2 หมายถงึ ดี 1 หมายถึง พอใช้ เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ 9 – 12 อยู่ในระดบั ดมี าก 5 – 8 อยู่ในระดับ ดี 1 – 4 อยู่ในระดับ พอใช้

การประเมินดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมินการมีความอยากร้อู ยากเหน็ รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ประเด็นการประเมนิ 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบย่งิ ขึ้น รวมคะแนน ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั

การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ – นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23

เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์

บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ที่ ระดบั ช้นั จานวน ดมี าก (4) สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดบั ช้ัน จานวน สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดมี าก (9 – 12) ดี (5 – 8) พอใช้ (1 – 4) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5

บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5

บนั ทึกหลังการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ผลการสอน ดา้ นความรู้.................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ดา้ นทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ................................................................................................................................ ............................................ ............................................................................................................................................................................ ด้านเจตคติ................................................................................................................... ........................................ ................................................................................................................................ ............................................ ............................................................................................................................................................................ ดา้ นสมรรถนะ.................................................................................................................. ................................... ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์........................................................................................................... ................. ปัญหา/อุปสรรค................................................................................................... ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ แนวทางการแก้ไข............................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหตุ..................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงชือ่ ..........................................................ผู้สอน (.............................................................) ........./........................./.........

ใบงานที่ 2.3 แกส๊ อุดมคติ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งอณุ หภูมิ ความดัน และปริมาตรของแก๊สได้ (K) 2. นกั เรียนสบื คน้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอณุ หภมู ิ ความดนั และปรมิ าตรของแก๊สได้ (P) 3. ความใฝเ่ รยี นร้แู ละอยากร้อู ยากเหน็ (A) คาชี้แจง : ให้นกั เรียนสืบคน้ ความสัมพนั ธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความดนั และปรมิ าตรของแก๊สและตอบคาถามดัง ประเด็นคาถามทก่ี าหนดให้ตอ่ ไปนี้ 1. นักวทิ ยาศาสตร์ในอดตี ศึกษาเกยี่ วกับพฤติกรรมและสมบัตติ ่างๆ ของแกส๊ พบว่า โดยท่ัวไปแก๊สเกือบ ทุกชนิดจะมสี มบตั บิ างประการที่คลา้ ยกัน สามารถสรปุ และอธบิ ายสมบตั ิต่างๆ ของแก๊สได้ด้วยทฤษฎใี ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................... ......... 2. โมเลกุลของแก๊สที่มีลักษณะ เป็นก้อนกลม ขนาดเท่ากัน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมาก โมเลกุลเหล่านี้จะมี การขนผนังภาชนะ แล้วกระดอนแบบยืดหยนุ่ เรียกวา่ การชนแบบใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. แก๊สที่มีสมบัติเป็นไปสมมติฐานทุกประการ ถือได้ว่าเป็นแก๊สอุดมคติ (idical gas) ซึ่งเรียกอีกชื่อหน่ึง ว่าอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ................................. 4. แก๊สจริง (real gas) กบั แก๊สอดุ มคติ (idical gas) แตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................................................................... ..... ..............................................................................................................................................................................

5. จงอธิบายกฎของบอย์ (Boyle's law) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6. จงอธิบายกฎของชาร์ล (Charles' law) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 7. จงอธบิ ายกฎของเกย์-ลูสแซก (Gay-Lussac's law) ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................. ................................. .................................................................................................. ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................. ............................................ ....................................................................................... ....................................................................................... สมาชิกในกลุม่ ช่ือ.............................................................................................ช้นั ........................ ..เลขท่ี....................... ชื่อ.............................................................................................ชั้น........................ ..เลขที่....................... ชอ่ื .............................................................................................ชัน้ ..........................เลขท่.ี ...................... ชอื่ .............................................................................................ช้นั ........................ ..เลขท.่ี ...................... ช่ือ.............................................................................................ชั้น........................ ..เลขที่.......................



แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 17 กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว30205 รายวชิ า ฟิสิกส์ 5 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ ความรอ้ นและทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ เรอ่ื ง การคานวณปรมิ าณท่เี กี่ยวขอ้ งกบั แกส๊ อุดมคติ วันท…่ี …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ชั่วโมง ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้สอน นางสาวไข่มุก สพุ ร สาระฟสิ กิ ส์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกริ ยิ านิวเคลยี ร์ พลงั งานนิวเคลียร์ ฟิสกิ สอ์ นภุ าค รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ อธบิ ายกฎของแก๊สอุดมคตแิ ละคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายและใช้กฎต่าง ๆ ของแกส๊ อดุ มคติได้ (K) 2. นกั เรียนคานวณหาอุณหภมู ิ ความดัน ปรมิ าตร และจานวนโมลหรือมวลของแกส๊ อดุ มคติได้ (P) 3. ความใฝเ่ รียนรู้และอยากรู้อยากเหน็ (A) สาระการเรียนรู้ แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สที่โมเลกุลมีขนาดเลก็ มากไม่มีแรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกุล มีการเคลื่อนที่แบบสมุ่ และมีการชนแบบยืดหย่นุ ความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติเป็นไปตามกฎของแก๊สอุดม คติ เขยี นแทนไดด้ ้วยสมการ ������������ = ������������������ = ������������������������

สาระสาคัญ สมบตั ิของแก๊สอุดมคติ จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับพฤติกรรมและสมบัติต่างๆ ของแก๊ส พบว่า โดยทวั่ ไปแก๊สเกอื บทุกชนิดจะมีสมบัตบิ างประการท่ีคลา้ ยกนั สามารถสรปุ และอธบิ ายสมบัติต่างๆ ของแก๊สได้ ด้วย ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (Kinetic theory of gas) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายเกี่ยวกับ สมบัติทางกายภาพและ การเคล่อื นท่ีของแก๊ส โดยมสี มมติฐาน ดังนี้ 1. แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลจานวนมาก โดยทุกๆ โมเลกลุ ของแก๊สจะมลี ักษณะ เป็นกอ้ นกลม ขนาด เท่ากัน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมาก โมเลกุลเหล่านี้จะมีการขนผนังภาชนะ แล้วกระดอนแบบยืดหยุ่น เรียกว่า การชนแบบยืดหยุ่น (clastic collision) และเนื่องจากโมเลกุล ของแก๊สอยู่ห่างกันมาก โอกาสของการชน กนั เองระหวา่ งโมเลกุลจงึ นอ้ ยมาก ถือได้วา่ ไมม่ ีการชน กนั ระหว่างโมเลกุล 2. แต่ละโมเลกุลของแก๊สมีขนาดเล็ก มากถือได้ว่ามีปริมาตรน้อยมากเมื่อเทียบกับ ปริมาตรของแก๊ส ทั้งหมดในภาชนะ จึงกลา่ วไดว้ า่ โมเลกลุ ของแกส๊ ไมม่ ปี ริมาตร 3. โมเลกุลของแกส๊ อยู่ห่างกันมาก ส่งผลให้มแี รงยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุลของ แกส๊ น้อยมากจนถือได้ วา่ ไม่มีแรงยดึ เหนี่ยว ระหว่างโมเลกลุ หรือแรงใดๆ มากระทาตอ่ กัน แมก้ ระทัง้ แรงดึงดดู ของโลก 4. โมเลกุลของแก๊สมีการเคลือ่ นท่ีแบบสุ่มหรอื เปน็ การเคลือ่ นท่ีแบบอิสระในทุกๆ ทิศทางแบบไม่เป็น ระเบยี บ ดว้ ยอตั ราเร็วคงตวั ซงึ่ เป็นไปตามกฎการเคลอื่ นที่ของนวิ ตนั แก๊สที่มีสมบัติเป็นไปสมมติฐานดังกล่าวทุกประการ เรียกว่า แก๊สสมบูรณ์ (perfect gas) ถือได้ว่า เป็นแก๊สอุดมคติ (idical gas) โดยสมมติฐานเป็นแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ (ideal gas model) ไม่สามารถ พบไดใ้ นธรรมชาติ ดงั น้ัน แก๊สท่มี ีอยู่ในธรรมชาตจิ ะเรียกว่า แกส็ จริง (real gas) เนอื่ งจากจะประกอบด้วย โมเลกุลของ แก๊สที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลกับมีปรมิ าตร แต่อย่างไรกต็ าม แก๊สจริงจะมสี มบัติใกล้เคยี งกบั แก๊สอุดม คติได้เมอื่ อุณหภมู ิสงู และมคี วามดนั ตา่ กฎของแก๊สอุดมคติ จากการศึกษาและทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความ ดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊ส แล้วสรุปความสัมพันธ์ของปริมาณดังกล่าวออกมาเป็นกฎต่างๆ เรียกว่า กฎของแกส๊ (gas law) 1. กฎของบอยล์ (Boyle's law) รอเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle) (พ.ศ. 2170-2234) ได้สรุปผล การศึกษาและทดลองแล้วเสนอแนวคิดว่า 'สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าอุณหภูมิ (T) ของแก๊สคงตัว ปริมาตร (V) ของแกส๊ ใด ๆ จะแปรผกผันกบั ความดนั (P) ของแก๊สนัน้ ๆ \"สามารถเขียนแสดงความสมั พนั ธ์ได้ ดงั นี้ ������ ∝ ������ หรือ PV = k ������ เม่ือ k เปน็ คา่ คงตัว

จากสมการ เมื่อนามาพิจารณาพลังงานจลน์ของแก๊ส ที่อุณหภูมิและมวลของแก๊สคงตัว จะได้ว่า พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สก็จะคงตัวด้วย ถ้าหากพิจารณาการเปลี่ยนสภาวะของแก๊สจากสภาวะที่ 1 ไปสภาวะที่ 2 โดยท่อี ุณหภูมิมีค่าคงตวั สามารถเขียนแสดงความสมั พันธ์ได้ ดังนี้ P1V1 = P2Y2 2. กฎของชาร์ล (Charles' law) ชาก อาแลกซองตร์ เซซา ชาร์ล (Jacques Alexandre Ce'sar Charles) (พ.ศ. 2289-2366) ได้สรุปผลการศึกษาและทดลอง แล้วเสนอแนวคิดว่า \"สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าความดัน (P) ของแกส๊ คงตวั ปริมาตร (V) ของแกส๊ ใด ๆ จะแปรผันตรงกับอุณหภูมสิ ัมบรู ณ์ (T) ของแก๊สน้ัน ๆ\" สามารถเขียนแสดงความสัมพนั ธไ์ ด้ ดงั น้ี ������ ∝ ������ หรือ ������ = ������ ������ เม่อื k เปน็ คา่ คงตัว จากสมการ เมื่อนามาพิจารณาพลังงานจลน์ของแก๊ส ที่ความดันและมวลของแก๊สคงตัว จะได้ว่า เมื่อ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น ความเร็วของโมเลกุลของแก๊สจะเพิ่มขึ้นดว้ ย จึงทาให้การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมที่เกิดจาการ ชนกันของแกส๊ และการชนผนังภาชนะของแก๊สมคี ่าเพ่มิ ขนึ้ ตาม แตเ่ พอ่ื ให้อัตราการเปลีย่ นแปลงโมเมนตัมเท่า เดิมตามกฎการอนุรักษ์โมเมนตัมจึงต้องทาให้เกิดอัตราการชนลดลง ดังนั้น แก๊สจึงต้องเพิ่มปริมาตรเพื่อให้ ระยะห่างระหว่างโมเลกุลของแก๊สมีมากขึ้น ซึ่งถ้าหากพิจารณาการเปลี่ยนสภาวะของแก๊สจากสภาวะที่ 1 ไป สภาวะท่ี 2 โดยทคี่ วามดนั มีคา่ คงตวั สามารถเขยี นแสดงดวามสมั พนั ธ์ได้ ดังน้ี ������1 = ������2 ������1 ������2 โดยที่ T คอื อุณหภมู ิสมั บรู ณ์หรอื อณุ หภมู ิในหนว่ ยเคลวิน 3. กฎของเกย์-ลูสแซก (Gay-Lussac's law) โชแซฟ-ลุย เก-ลูซัก (Joseph-Loius Gay-Lussac) (พ.ศ. 2321-2393) ได้สรุปผลการศึกษาและทดลอง แล้วเสนอแนวคิดว่า \"สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าปรมิ าตร (V) ของแกส๊ คงตวั ดวามดนั (P) ของแกส๊ ใด ๆ จะแปรผนั ตรงกับอุณหภูมสิ ัมบูรณ์ (T) ของแก๊สนั้น ๆ\"สามารถเขยี นแสดงความสัมพันธ์ได้ ตงั น้ี ������ ∝ ������หรือ ������ = ������ ������ เมอ่ื k เป็นค่าคงตวั จากสมการ เมื่อนามาพิจารณาพลังงานจลน์ของแก๊ส ที่ปริมาตรและมวลของแก๊สคงตัว จะได้ว่า เมื่อ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการชนกันของแก๊สและการชนผนังภาชนะ ของแก๊สมากขึ้น ทาให้อัตราการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม จากการชนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความดันของแก๊ส เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากพิจารณาการเปลี่ยนสภาวะของแก๊สจากสภาวะที่ 1ไปสภาวะที่ 2 โดยที่ปริมาตรของ แกส๊ มีคา่ คงตัว สามารถเขียนแสดงความสมั พันธไ์ ด้ ดงั นี้

������1 = ������2 ������1 ������2 จากผลการทดลองรวมทง้ั ข้อสรปุ ของนักวิทยาศาสตรห์ ลายทา่ น จึงมีการรวบรวมกฎของแก๊ส ที่ได้ กลา่ วมาทัง้ หมด โดยสามารถสรปุ ความสัมพันธ์ของกฎต่าง ๆ ได้ ดังนี้ กฎของบอยล์ : ������ ∝ 1 เมอื่ มวลและอุณหภมู ิของแก๊สคงตัว กฎของชารล์ ������ : ������ ∝ ������ เม่ือมวลและความดนั ของแก๊สคงตัว กฎของเกย-์ ลูสแซก : ������ ∝ ������ เมอื่ มวลและปริมาตรของแก๊สคงตวั หากนากฎของแกส๊ ทั้งสามมารวมกัน สามารถเขยี นแสดงความสมั พันธ์ได้ ดงั นี้ ������ ∝ ������ หรอื ������������ = ������ ������ ������ เม่ือ k เปน็ คา่ คงตวั และสามารถเขียนความสัมพันธก์ ารเปล่ยี นสภาวะของแก๊สจากสภาวะท่ี 1 ไปสภาวะที่ 2 ได้ดังนี้ ������1������1 = ������2������2 ������1 ������2 เมอ่ื พิจารณาสมการท่ี 2.17 พบว่า จากการทดลองใชแ้ ก๊สชนิดต่าง ๆ ทมี่ ปี ริมาตรต่างกัน คา่ คงตัว (k) ในสมการท่ี 2.16 จะแปรผนั ตรงกับจานวนโมล (n) ของแก๊ส กลา่ วได้วา่ สาหรบั แกส๊ ชนิดหนึง่ ๆ สามารถเขยี น แสดงความสัมพนั ธ์ไดด้ ังน้ี ������������ ������ ������ หรอื ������������ = ������������ ������ ������ โดยที่ R เปน็ คา่ คงตัว เรยี กว่า คา่ คงตัวของแก๊ส (gas constant) ดังน้ัน กฎของแก๊สอดุ มคติ (ideal gas law) สามารถเขยี นแสดงความสัมพันธไ์ ด้ ดังน้ี ������������ = ������������������ P คอื ความดันของแก๊ส มหี น่วยเป็น นิวตนั ต่อตารางเมตร (N/m2) V คือ ปริมาตรของภาชนะบรรจแุ ก๊ส มีหนว่ ยเปน็ ลกู บาศก์เมตร (m2) n คอื จานวนโมลของแก๊ส มีหน่วยเป็นโมล (mol) R คอื ค่าคงตัวของแก๊ส มีค่าเท่ากบั 8.314510 จูลต่อโมล เควิน (J/mol K) T คอื อุณหภูมสิ มั บรู ณ์ มีหนว่ ยเป็น เคลวิน (K) จากนิยามของโมล (mole) ซงึ่ เปน็ หน่วยฐานในระบบเอสไอ จะไดว้ ่า ปริมาณของสาร1 โมล มีอนุภาค เท่ากับจานวนอะตอมของคาร์บอน-12 ที่มีมวล 12 กรัม พอดี โดยมีค่าเท่ากับ 6.02 x 1023 อะตอม เรียก จ านวนนี้ว่าค่าคงตัวอาโวกาโตร (Avogadro constant) เขียนแทน ด้วยสัญลักษณ์ NA จะได้ว่า NA = 6.02 x 1023 mol-1

เมอื่ n เป็นจานวนโมลของแก๊ส และ N เป็นจานวนโมเลกุลของแกส๊ สามารถเขียนความสมั พนั ธไ์ ด้ ดังน้ี ������ ������ = ������������ หากนาจานวนโมลของแก๊ส จากสมการที่ 2.20 แทนลงในสมการท่ี 2.19 จะไดว้ ่า ������ ������������ = ������ ������������ ������ ������ เรียกว่า ค่าคงตัวของโบลด์ซมันน์ (Bolizmann constan) มีค่าเทา่ กบั เน่อื งจาก ������������ = ������������ ������������ = 8.31 ������/������������������ ������ = 1.38 ������ 10−23 ������/������ 6.02 ������ 1023 ������������������−1 ดังนัน้ กฎของแกส๊ อดุ มคติ สามารถเขียนดวามสัมพนั ธ์อกี รูปแบบหนึง่ ได้ ดงั น้ี PV = NkBT P คอื ความตนั ของแก๊ส มหี น่วยเปน็ นิวตนั ตอ่ ตารางเมตร (N/m2) V คือ ปรมิ าตรของภาชนะบรรจุแก๊ส มหี น่วยเป็น ลกู บาศก์เมตร (m3) N คือ จานวนโมเลกุลของแก๊ส มหี น่วยเปน็ โมเลกุล (molecule) kB คือ ค่าคงตัวของโบลด์ซมันน์ มีคา่ เท่ากบั 1.38 x 10-23 จลู ต่อเควนิ (J/K) T คือ อุณหภูมสิ ัมบูรณ์ มหี นว่ ยเปน็ เคลวนิ (K) การนาแก๊สหลายชนิดที่ไม่ทาปฏิกิริยาเคมีต่อกันมาผสมรวมกัน สามารถนากฎของแก๊สอุดมคติมาใช้ ในการพจิ ารณาได้ เชน่ หากนาแกส๊ 3 ชนิด ทมี่ จี านวนโมล n1 n2 และ n3 ตามลาดับ มาผสมกนั สามารถเขียน แสดงความสมั พนั ธ์กฎของแกส๊ อดุ มคตสิ าหรบั แก๊สผสมน้ีได้ ดังสมการ PV = (n1 + n2 + n3) RT โดยท่ี P คือ ความดนั รวม และ T คือ อุณหภูมิของแกส๊ ซึ่งจากสมการที่ 2.16 เขยี นไดเ้ ป็น ������ = (������1+ ������2+ ������3 )������������ ������ ������ = ������1������������ + ������2������������ + ������3������������ ������ ������ ������ ������ = ������1 + ������2 + ������3 จะได้ว่า P1 P2 และ P3 คือ ความดนั ของแกส๊ ชนดิ ท่ี 1 2 และ 3 ตามลาดับ ซงึ่ เรยี กว่า ความดันย่อย (partial pressure) ของแก๊สแตล่ ะชนิด และในกรณีแกส๊ ผสมน้ี สามารถเขียนแสดงความสัมพนั ธก์ ฎของแก๊ส อุดมดตสิ าหรับแกส๊ ผสมอีกรปู แบบหนึง่ ได้ ดังสมการ PV = (N1 + N2+ N3)kBT โดยที่ N1 N2 และ N3 คอื จานวนโมเลกลุ ของแกส๊ แต่ละชนิด

สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ - ทกั ษะการคิดสงั เคราะห์ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (จิตวิทยาศาสตร์) ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการทีจ่ ะรู้และ เสาะแสวงหาความรเู้ ก่ยี วกับสง่ิ ตา่ งๆ ทสี นใจหรือต้องการค้นพบส่ิงใหม่ แสดงออกได้โดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากจิ กรรมต่างๆ แสวงหาความรูจ้ ากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ อยเู่ สมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ ช้ินงาน/ภาระงาน ใบงานที่ 2.4 การคานวณปริมาณที่เก่ยี วข้องกบั แกส๊ อดุ มคติ กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ ีสอนใช้รูปแบบวงจรการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน (5E Learning Cycle model) ข้นั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ ( 10 นาที ) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมในเร่อื งนิยามของแกส๊ อดุ มคติ 2. ครใู ชค้ าถามเพอ่ื กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมปี ระเดน็ คาถาม ดงั นี้ - กฎของแก๊สอดุ มคติ เกิดจากความสมั พนั ธ์ระหว่างกฎของแก๊สใดบ้าง อยา่ งไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถูกตอ้ ง) 3. ครูและนกั เรยี นร่วมกันสนทนาอภิปรายเกีย่ วกบั การคานวณปริมาณต่างๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับแก๊สในอุดม คติ เพ่ือเข้าสู่บทเรียน ขัน้ ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา ( 25 นาที ) 4. นักเรยี นแต่ละคนศกึ ษากิจกรรมจากใบงานท่ี 2.4 การคานวณปรมิ าณทเี่ กย่ี วข้องกบั แก๊สในอุดมคติ 5. ครชู ีแ้ จงจุดประสงคแ์ ละวธิ กี ารปฏิบตั กิ จิ กรรมให้นักเรียนทราบ 6. นักเรียนลงมอื ปฏิบตั กิ จิ กรรม และรายงานผล

ขั้นที่ 3 ขั้นสร้างคาอธิบายและลงขอ้ สรปุ ( 15 นาที ) 7. ครูใหน้ กั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเพ่อื นาไปสู่การสรุป โดยใช้คาถามต่อไปน้ี - แนวคิดที่ว่า “สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าอุณหภูมิของแก๊สคงตัว ปริมาตรของแก๊สใดๆ จะ แปรผกผนั กบั ความดันของแก๊สน้นั ๆ แนวคิดนเ้ี ป็นกฎของใคร (แนวคาตอบ กฎของบอยล์ (Boyle’s lew) ) - กฎของชารล์ กลา่ วไวว้ ่าอย่างไร (แนวคาตอบ สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าความดันของแก๊สคงตัว ปริมาตรของแก๊สใดๆ จะแปร ผันตรงกับอณุ หภูมิสมั บูรณ์ของแก๊สนัน้ ๆ) - จงอธิบายตัวแปรสถานะของแก๊สอดุ มคติ (แนวคาตอบ T อุณหภูมิ ใช้อุณหภูมิในหน่วยเคลวิน ซึ่งก็คืออุณหภูมิสัมบูรณ์, V ปริมาตร จาก สมบัติของแก๊สอุดมคติ ทาให้สามารถใช้ปริมาตรของภาชนะได้, P ความดัน เป็นความดันสัมบูรณ์ของระบบ แก๊สท่กี าลงั พจิ ารณา) 8. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายเก่ียวกับการใชก้ ฎของแก๊สอดุ มคติ ดงั น้ี กฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas law) สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ ดังน้ี PV =nRT P คือ ความดันของแก๊ส มีหน่วยเป็น นิวตันต่อตารางเมตร (N/m2) V คือ ปริมาตรของภาชนะบรรจุแก๊ส มีหน่วยเป็น ลูกบาศก์เมตร (m2) n คือ จานวนโมลของแก๊ส มีหน่วยเป็นโมล (mol) R คือ ค่าคงตัวของแก๊ส มีค่าเท่ากับ 8.314510 จูลต่อโมล เควิน (J/mol K) T คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ มีหน่วยเป็น เคลวิน (K) จากนิยามของโมล (mole) ซ่งึ เปน็ หน่วยฐานในระบบเอสไอ จะได้วา่ ปริมาณของสาร1 โมล มีอนุภาค เท่ากับจานวนอะตอมของคาร์บอน-12 ที่มีมวล 12 กรัม พอดี โดยมีค่าเท่ากับ 6.02 x 1023 อะตอม เรียก จ านวนนี้ว่าค่าคงตัวอาโวกาโตร (Avogadro constant) เขียนแทน ด้วยสัญลักษณ์ NA จะได้ว่า NA = 6.02 x 1023 mol-1 เมือ่ n เป็นจานวนโมลของแก๊ส และ N เป็นจานวนโมเลกุลของแกส๊ สามารถเขียนความสัมพันธ์ได้ ดงั นี้ ������ ������ = ������������ หากนาจานวนโมลของแก๊ส จากสมการท่ี 2.20 แทนลงในสมการท่ี 2.19 จะได้ว่า ������ ������������ = ������ ������������ ������ ������ เรียกวา่ ค่าคงตัวของโบลด์ซมนั น์ (Bolizmann constan) มคี ่าเทา่ กบั เนื่องจาก ������������ = ������������ ������������ = 8.31 ������/������������������ ������ = 1.38 ������ 10−23 ������/������ 6.02 ������ 1023 ������������������−1

ดงั นั้น กฎของแกส๊ อดุ มคติ สามารถเขียนดวามสมั พนั ธ์อกี รูปแบบหน่ึงได้ ดังนี้ PV = NkBT P คอื ความตันของแก๊ส มหี น่วยเปน็ นวิ ตนั ตอ่ ตารางเมตร (N/m2) V คือ ปริมาตรของภาชนะบรรจุแกส๊ มหี นว่ ยเปน็ ลูกบาศก์เมตร (m3) N คือ จานวนโมเลกลุ ของแก๊ส มีหน่วยเปน็ โมเลกุล (molecule) kB คือ ค่าคงตัวของโบลด์ซมันน์ มคี า่ เทา่ กับ 1.38 x 10-23 จลู ตอ่ เควิน (J/K) T คือ อุณหภมู สิ มั บรู ณ์ มหี น่วยเปน็ เคลวิน (K) การนาแก๊สหลายชนิดที่ไม่ทาปฏิกิริยาเคมีต่อกันมาผสมรวมกัน สามารถนากฎของแก๊สอุดมคติมาใช้ ในการพิจารณาได้ เชน่ หากนาแก๊ส 3 ชนดิ ทีม่ จี านวนโมล n1 n2 และ n3 ตามลาดับ มาผสมกนั สามารถเขียน แสดงความสัมพันธ์กฎของแกส๊ อุดมคติสาหรบั แกส๊ ผสมน้ีได้ ดงั สมการ PV = (n1 + n2 + n3) RT โดยที่ P คือ ความดนั รวม และ T คือ อุณหภมู ิของแกส๊ ซ่งึ จากสมการที่ 2.16 เขียนได้เป็น ������ = (������1+ ������2+ ������3 )������������ ������ ������ = ������1������������ + ������2������������ + ������3������������ ������ ������ ������ ������ = ������1 + ������2 + ������3 จะไดว้ า่ P1 P2 และ P3 คือ ความดนั ของแกส๊ ชนิดท่ี 1 2 และ 3 ตามลาดับ ซึง่ เรยี กวา่ ความดันย่อย (partial pressure) ของแก๊สแตล่ ะชนิด และในกรณแี ก๊สผสมนี้ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์กฎของแกส๊ อุดมดติสาหรับแก๊สผสมอีกรูปแบบหน่ึงได้ ดังสมการ PV = (N1 + N2+ N3)kBT โดยที่ N1 N2 และ N3 คือ จานวนโมเลกลุ ของแก๊สแตล่ ะชนิด ข้นั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ ( 5 นาที ) 9. ครูยกตัวอย่างโจทย์ปัญหาเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ดังนี้ พิจารณากระบอกสูบ 2 กระบอก กระบอกสูบแรก มีปริมาตรเป็นสองเท่าของกระบอกสูบที่ 2 กระบอกสูบทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ากัน และบรรจุ แกส๊ ชนดิ เดียวกัน จะหาความดนั ของแกส๊ ภายในกระบอกสูบทงั้ สองได้หรือไม่ เพราะเหตใุ ด ข้ันที่ 5 ประเมนิ ผล ( 5 นาที ) 10. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม

วัสดุ/อปุ กรณ์ สอื่ และแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 1 สงั กัด อจท. 2. หนังสอื เรียนฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 5 สงั กดั สสวท. 3. PowerPoint เรอื่ ง ความร้อนและทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส 4. หอ้ งเรยี น 5. ห้องสมดุ 6. แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ 7. ใบงานท่ี 2.4 การคานวณปรมิ าณท่เี กยี่ วขอ้ งกบั แกส๊ ในอดุ มคติ การวดั ผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีวัด เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ 1. นักเรียนสามารถอธิบายและ ตรวจใบงาน ใ บ ง า น ท่ี 2 .4 ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ใช้กฎต่าง ๆ ของแก๊สอุดมคติได้ ค า น ว ณ ป ร ิ ม า ณ ที่ จงึ ผ่านเกณฑ์ (K) เกี่ยวข้องกับแก๊สใน อุดมคติ 2. นักเรียนคานวณหาอุณหภูมิ สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ความดัน ปริมาตร และจานวน ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จึงผ่านเกณฑ์ โมลหรือมวลของแก๊สอุดมคติได้ คานวณ (P) 4. มคี วามอยากรอู้ ยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรอู้ ยากเห็น อยากรอู้ ยากเหน็ จงึ ผ่านเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สงั เกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรยี นรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จงึ ผา่ นเกณฑ์ ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ ความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................

............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชอ่ื ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........

การประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) เกณฑ์การให้คะแนนใบงาน ประเดน็ การประเมนิ คะแนน 4 321 กฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas law) ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมี คว า ม สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ กับประเด็นการ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ ดังนี้ PV =nRT สามารถเขียนดวาม ประเมิน เนื้อหา ประเมนิ สว่ นใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร สัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งได้ ดังนี้ PV = NkBT การนาแก๊สหลายชนิดที่ไม่ทา สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา ปฏิกิริยาเคมีต่อกันมาผสมรวมกัน ถูกตอ้ งครบถ้วน ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง สามารถนากฎของแก๊สอุดมคติมาใช้ ในการพิจารณาได้ สามารถเขียน เลก็ นอ้ ย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก แสดงความสัมพันธ์กฎของแก๊สอุดม บางส่วน คติสาหรับแก๊สผสมนี้ได้ ดังสมการ PV = (n1 + n2 + n3) RT ความดัน ย่อย (partial pressure) ของแก๊สแต่ ละชนิด และในกรณีแก๊สผสมนี้ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์กฎ ของแก๊สอุดมดติสาหรับแก๊สผสมอีก รูปแบบหนึ่งได้ ดังสมการ PV = (N1 + N2+ N3)kBT เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ดีมาก 4 อยู่ในระดับ ดี 3 อยู่ในระดับ พอใช้ 2 อยใู่ นระดับ ปรับปรงุ 1 อยใู่ นระดบั

การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมการคานวณ ประเด็นการประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การว ิเคราะห์โ จทย์ บอกส่งิ ท่ีโจทยใ์ ห้มา และ บอกสงิ่ ท่โี จทยใ์ ห้มา และ บอกสิ่งท่ีโจทยใ์ หม้ า และ ปญั หา สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ อย่างถูก และเขียน และเขียนสมการการ และเขียนสมการการ สมการการคานวณของ โจทย์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ค านวณของโจทย์ได้ คานวณของโจทยไ์ ด้ อยา่ งถูกต้อง 2.เลือกสูตรที่เหมาะสม เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณท่ี และสมั พันธก์ ับโจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้ แต่ไม่ ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ถกู ต้อง สามารถหาค าตอบที่ ถกู ตอ้ งได้ 3.การแทนค่าและแสดงวิธี การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร หาคาตอบ ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้ และแสดง แสดงวิธีการคานวณเป็น แสดงวิธีการคานวณเป็น วิธกี ารคานวณได้ ลาดบั ขั้นตอนชดั เจนและ ล าดับขั้นตอนและได้ ได้ค าตอบที่ถูกต้องมี คาตอบทถ่ี กู ต้อง ความแมน่ ยา 4.ตรวจสอบค าตอบของ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ โจทย์ และระบุหน่วยได้ คาตอบของโจทยไ์ ด้อย่าง คาตอบของโจทยไ์ ด้ และ คาตอบของโจทย์ได้บ้าง ชดั เจน ถูกต้อง และระบุหน่วย ระบหุ นว่ ยไดช้ ัดเจน เล็กน้อย และระบุหน่วย ได้ชัดเจน ได้ เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 9 – 12 อย่ใู นระดับ ดีมาก 5 – 8 อยูใ่ นระดบั ดี 1 – 4 อยใู่ นระดับ พอใช้

การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรอู้ ยากเห็น ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มกี ารแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้ัน ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรู้ได้น้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ท่ี อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบที่เป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพิม่ เติมจากความรูเ้ ดิม ยิ่งขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดบั

การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รียนรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตัวชวี้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครูผู้สอน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครงั้ โรงเรยี นเป็นประจา

ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์

การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมการคานวณ รายช่ือสมาชกิ …………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแี้ จง: ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทต่ี รงกบั ระดับคะแนน ประเดน็ การประเมิน ระดับคะแนน 3 21 1.การวิเคราะห์โจทยป์ ัญหา 2.เลือกสตู รที่เหมาะสมและสัมพนั ธ์กับ โจทย์ 3.การแทนค่าและแสดงวธิ ีหาคาตอบ 4.ตรวจสอบคาตอบของโจทย์ และระบุ หน่วยได้ชัดเจน รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั เกณฑ์การใหค้ ะแนน ดมี าก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ ดมี าก 9 – 12 อย่ใู นระดบั ดี 5 – 8 อย่ใู นระดับ พอใช้ 1 – 4 อยู่ในระดบั

การประเมินดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมินการมีความอยากร้อู ยากเหน็ รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ประเด็นการประเมนิ 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบย่งิ ขึ้น รวมคะแนน ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั

การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ - นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23

เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์

บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ที่ ระดบั ช้นั จานวน ดมี าก (4) สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดบั ช้ัน จานวน สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดมี าก (9 – 12) ดี (5 – 8) พอใช้ (1 – 4) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5

บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5

บันทกึ หลังการสอน ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ผลการสอน ด้านความร.ู้ ................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ดา้ นทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ด้านเจตคติ......................................................................... ................................................................... ............... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ด้านสมรรถนะ........................................................................ ............................................................................. ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์................................................................................................... ......................... ปญั หา/อุปสรรค.................................................................................................................................... .............. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................. ............... แนวทางการแก้ไข..................................................................................................... ........................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหต.ุ .................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงช่อื ..........................................................ผู้สอน (.............................................................) ........./........................./.........

ใบงานที่ 2.4 การคานวณปริมาณทเี่ กยี่ วขอ้ งกับแกส๊ ในอุดมคติ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายและใช้กฎตา่ ง ๆ ของแก๊สอุดมคติได้ (K) 2. นักเรียนคานวณหาอุณหภมู ิ ความดนั ปริมาตร และจานวนโมลหรือมวลของแก๊สอดุ มคติได้ (P) 3. ความใฝ่เรียนรแู้ ละอยากรูอ้ ยากเหน็ (A) คาชแี้ จง : ให้นกั เรยี นคานวณปรมิ าณทเี่ กี่ยวขอ้ งกับแก๊สอุดมคติจากโจทย์ทีก่ าหนดให้ต่อไปนีใ้ ห้ถูกต้อง 1) ฟองอากาศใต้น้าลึก 30 เมตร มีปริมาตร 2 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ถ้าฟองอากาศลอยขึ้นมาสู่ผิวน้าจะมี ปรมิ าตรเท่าใด (อากาศที่ผิวน้ามีความดนั 1 x 105 พาสคลั ) ......................................................................................................................................................... ...................................................................................................... ................................................................. ....................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ ........................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... 2) อัดแก๊สเข้าไปในบอลลูนจนมีปริมาตร 5 ลิตร มีความดัน 300 กิโลนิวตันต่อตารางเมตร หลังจาก ปล่อยให้บอลลูนลอยขึ้นจนความดันแก๊สลดลงเหลือ 200 กิโลนิวตันต่อตารางเมตร โดยที่อุณหภูมิ คงที่ จงหาปริมาตรของแกส๊ ในบอลลูน ......................................................................................................................................................... ...................................................................................................... ................................................................. ....................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ ........................................... ...................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..........................................

3) ต้องเติมบอลลูนที่มีปริมาตร 450 ลูกบาศก์เมตร ด้วยแก๊สฮีเลียมให้เต็ม โดยเมื่อเต็มแล้วความดัน ภายในเป็น 2 บรรยากาศ ฮีเลียมที่ใช้เติมเก็บไว้ในถังขนาด 0.5 ลูกบาศก์เมตร ความดัน 30 บรรยากาศ จะตอ้ งใช้ฮีเลยี มกถี่ ัง ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ..................................................................................................... .................................................................. ...................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... .................... ....................................................................................................................................................................... 4) แก๊สจานวนหนึ่งบรรจุในกระบอกสูบมีปริมาตร 0.3 ลูกบาศก์เมตร มีความดัน 1 บรรยากาศ ท่ี 27 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิของแก๊สเพิ่มขึ้นเป็น 127 องศาเซลเซียส โดยความดันคงที่ จะมี ปริมาตรกล่ี กู บาศกเ์ มตร ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................... ................... ............................................................................................................... ........................................................ ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................. .......... ......................................................................................................................................................................

5) ถังบรรจุแก๊สใบหนึ่งมีปริมาตร 1 ลิตร ที่ 27 องศาเซลเซียส จะมีความดันเท่าใด (กาหนดให้ แก๊สนี้มี จานวน 5 x 1025 โมเลกุลตอ่ ลกู บาศก์เมตร) ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ............. ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................................................................................... ...

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 19 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30205 รายวิชา ฟิสิกส์ 5 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ ความรอ้ นและทฤษฎจี ลนข์ องแก๊ส เรอื่ ง พลงั งานในระบบ วันท…ี่ …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ช่วั โมง ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ผสู้ อน นางสาวไข่มุก สุพร สาระฟิสิกส์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ฟสิ กิ ส์อนุภาค รวมทัง้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของ แก๊ส รวมทง้ั คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่างความดนั และพลังงานจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแกส๊ ได้ (K) 2. นกั เรยี นสามารถคานวณหาความดันและพลงั งานจลน์เฉล่ียของโมเลกลุ ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์ เอ็มเอสของโมเลกุลของแกส๊ จากปรมิ าณทีเ่ กี่ยวขอ้ งได้ (P) 3. ความใฝ่เรียนร้แู ละอยากร้อู ยากเห็น (A) สาระการเรียนรู้ จากแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ กฎการเคล่อื นท่ีของนวิ ตัน และจากกฎของแก๊สอดุ มคติ ทาให้สามารถ ศึกษาสมบตั ทิ างกายภาพบางประการของแกส๊ ได้ ไดแ้ ก่ ความดัน พลังงานจลน์เฉล่ีย และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอส ของโมเลกลุ ของแก๊สได้ จากทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ความดันและพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สมีความสัมพันธ์ตาม สมการ ������������ = 2 ������������������ สว่ นอัตราเรว็ อารเ์ อม็ เอสของโมเลกุลของแกส๊ คานวณได้จากสมการ ������������������������ = √3������������������ 3 ������

สาระสาคัญ การคานวณหาความดนั และพลงั งานจลนเ์ ฉลยี่ ของแกส๊ หาได้จากสตู รดังต่อไปนี้ ‹ ›PV = 1mN V2 3 PV = NkBT ‹ ›Ek = 23kBT โดยที่ P = ความดนั ของแก๊ส (Pa) V = ปริมาตรของแก๊ส (m3) m = มวลของแกส๊ 1 โมเลกลุ (kg) N = จานวนโมเลกลุ ของแกส๊ ‹ ›V2 = อตั ราเฉลย่ี กาลังสอง (m/s)2 ‹ ›Ek = พลงั งานจลนเ์ ฉล่ียของการเคลื่อนทข่ี องโมเลกุลของแกส๊ (J) kB = คา่ คงตวั ของโบลซม์ ันน์ = 1.38 x 10-23 J/B T = อุณหภมู ขิ องแก๊ส (K) การหาอัตราเรว็ ของโมเลกลุ แก๊ส หาไดจ้ ากสตู ร ดังตอ่ ไปนี้ Vrms = √3������ ������ Vrms = √3������������������ ������ Vrms = √3������������ ������ ‹ ›Vrms = √ V 2 ‹ ›โดยท่ี V2 = รากที่สองของอัตราเร็วกาลังสองเฉลย่ี ของโมเลกุลของแกส๊ (m/s)2 P = ความหนาแนน่ ของแกส๊ (kg/m3) m = มวลของแก๊ส 1 โมเลกุล (kg) M = มวลของแก๊ส 1 โมล (kg/mol)

สมรรถนะสาคญั ความสามารถในการคดิ - ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ - ทักษะการคิดสังเคราะห์ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (จิตวิทยาศาสตร)์ ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความรเู้ ก่ยี วกับสิ่งตา่ งๆ ทสี นใจหรอื ต้องการค้นพบสง่ิ ใหม่ แสดงออกได้โดยการถามคาถาม หรือมี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากิจกรรมต่างๆ แสวงหาความร้จู ากแหล่งเรยี นรูต้ ่างๆ อยูเ่ สมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวันได้ ช้ินงาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 2.5 ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ กิจกรรมการเรียนรู้ วธิ ีสอนใชร้ ูปแบบวงจรการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน (5E Learning Cycle model) ขั้นที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครใู ชค้ าถามเพ่ือกระตุ้นให้นกั เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมปี ระเดน็ คาถาม ดงั นี้ - ทฤษฎีจลน์ของแก๊สศึกษาเกย่ี วกับสง่ิ ใด (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบท่ี ถูกต้อง) 2. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สนทนาอภิปรายเกี่ยวกับการคานวณปริมาณต่างๆ ทเ่ี กี่ยวข้องกับทฤษฎีจลน์ ของแกส๊ เพ่อื เข้าส่บู ทเรียน ขัน้ ที่ 2 ขัน้ สารวจและค้นหา ( 40 นาที ) 3. นกั เรียนแต่ละคนศึกษากิจกรรมจากใบงานท่ี 2.5 ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ 4. ครชู ีแ้ จงจุดประสงค์และวิธีการปฏิบัตกิ จิ กรรมใหน้ ักเรยี นทราบ 5. นกั เรยี นลงมือปฏิบัติกจิ กรรม และรายงานผล

ขัน้ ที่ 3 ขน้ั สรา้ งคาอธิบายและลงข้อสรุป ( 35 นาที ) 6. ครใู หน้ กั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเพื่อนาไปสูก่ ารสรุป โดยใช้คาถามต่อไปนี้ - การหาสมการพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกลุ ของแก๊ส สามารถพิจารณาไดจ้ ากสงิ่ ใด (แนวคาตอบ พิจารณาได้จากอัตราเร็วในการเคลือ่ นที่ของโมเลกุลของแก๊สและกฎของแก๊สอุดม คต)ิ - การบอกคา่ อตั ราเรว็ เฉล่ียของโมเลกุลของแกส๊ สามารถบอกไดด้ ้วยสิ่งใด (แนวคาตอบ ค่ารากทสี่ องของกาลงั สองเฉลีย่ ของอตั ราเร็ว หรอื เรียกวา่ อตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอส) 7. ครูนานักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับสมการความสัมพันธ์ของพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สว่า ณ อุณหภูมิเดียวกัน โมเลกุลของแกส๊ แต่ละโมเลกุลจะมีการเคลือ่ นที่ด้วยอัตราเรว็ ที่ไม่เทา่ กนั แต่จะมีพลังงาน จลนเ์ ฉลี่ยเท่ากัน โดยทพ่ี ลงั งานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สจะแปรผันตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์หรืออุณหภูมิ ของแก๊สในหนว่ ยเคลวิน 8. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ สตู รการคานวณเกยี่ วกบั ทฤษฎีจลน์ของแกส๊ ดังนี้ การคานวณหาความ ดนั และพลังงานจลน์เฉลย่ี ของแก๊ส หาได้จากสูตรดงั ต่อไปน้ี ‹ ›PV = 1mN V2 3 PV = NkBT ‹ ›Ek = 23kBT การหาอตั ราเรว็ ของโมเลกลุ แกส๊ หาไดจ้ ากสูตร ดังตอ่ ไปนี้ Vrms = √3������ ������ Vrms = √3������������������ ������ Vrms = √3������������ ������ ‹ ›Vrms = √ V 2 ข้ันที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ ( 20 นาที ) 9. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วในส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้นครูให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส มาเปิดให้ นักเรียนดูประกอบเพ่อื ชว่ ยในการอธบิ ายใหเ้ ข้าใจมากย่งิ ขึน้ 10. ครูมอบหมายให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานการสรุปความรู้ เรื่อง ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ออกมาใน รปู แบบแผ่นพบั ความรู้ ลงในกระดาษ A4 พร้อมทั้งตกแต่งให้สวยงาม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook