Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2 อนุพุทธประวัติ (นักธรรมโท)_151-280 หน้า

2 อนุพุทธประวัติ (นักธรรมโท)_151-280 หน้า

Published by อาจูหนานภิกขุ, 2019-12-25 08:13:48

Description: 2 อนุพุทธประวัติ (นักธรรมโท)_151-280 หน้า

Search

Read the Text Version

 2๒5๔1๙ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ ๑. พธิ ีเขาพรรษา การเขาพรรษา คือ การที่ภิกษุผูกใจวาจะอยูประจําเสนาสนะวัดใดวัดหนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือน ในฤดูฝน โดยไมไปคางแรมใหลวงราตรีในท่ีแหงอื่นระหวางที่ผูกใจน้ัน เปนพิธีกรรม สาํ หรบั พระภกิ ษสุ งฆโดยตรงตามขอกําหนดทางพระวินัยท่ีพระพุทธองคทรงบัญญัติไวใหปฏิบัติ ทกุ รปู โดยมีระเบียบพธิ ปี ฏิบตั ดิ ังน้ี ระเบียบพิธีเขาพรรษา : ในพระบาลีกลาวเพียงใหทําอาลัยคือผูกใจวาจักอยูในที่น้ัน ตลอด ๓ เดือน ก็ถือวาเปนอันเขาพรรษา แตธรรมเนียมปฏิบัติในบัดน้ี เม่ือถึงวันเขาพรรษา พระภิกษสุ ามเณรท้ังหมดภายในวัดเตรียมดอกไม ธูป เทยี นใสพาน หรอื ภาชนะท่ีสมควรเพอื่ ใช สักการะปูชนียวัตถุตาง ๆ ในวัด และใชทําสามีจิกรรมกันตามธรรมเนียมใหพ รอมกอน กาํ หนดเวลา การประกอบพธิ ีตองประชมุ พรอมกนั ในโรงพระอโุ บสถ (หรือสถานท่ีที่กําหนด) ควร กําหนดในตอนเย็นกอนคํ่า เพื่อความสะดวกแกสถานที่ นั่งใหเปนระเบียบเรียบรอยตามลําดับ อาวุโสพรรษา เมือ่ พรอ มกนั แลว พึงทาํ กิจไปตามลาํ ดบั ดังนี้ ๑. ทําวัตรเย็น โดยเจาอาวาสหรือพระเถระผูเปนประธานในท่ีประชุมสงฆจุดธูปเทียน บูชาพระรตั นตรยั แลว นาํ ทําวัตรเยน็ ตามธรรมเนียมของวดั น้ัน ๆ ๒. แสดงพระธรรมเทศนา หรือประกาศเร่ืองวัสสูปนายิกา เปนหนาที่ของเจาอาวาส โดยอาจมอบใหพระเถระที่สมควรรปู ใดรปู หนึ่งทาํ หนา ท่แี ทนกไ็ ด ซงึ่ ใจความของพระธรรมเทศนา นั้นควรมีสาระสําคัญ คือ บอกใหรูเรื่องเขาพรรษา แสดงเรื่องที่มาของการเขาพรรษาในพระบาลี วัสสูปนายิกขันธกะโดยใจความ บอกเขตของวัดนั้น ๆ ท่ีจะตองรักษาพรรษาหรือท่ีเรียกกันวา รักษาอรุณ ใหชัดเจน บอกวิธีปฏิบัติมิใหเกิดการชํารุดเสียหายในการถือครองเสนาสนะภายในวัด และบอกกตกิ าในเรอื่ งจําพรรษารวมกันใหผาสุกทกี่ าํ หนดขนึ้ อนื่ ๆ นอกจากน้ี ๓. ทําสามจี ิกรรม คือ การขอขมาโทษตอกัน ๔. อธิษฐานเขาพรรษา โดยใหพระภิกษุท้ังหมดคุกเขาข้ึนพรอมกันหันหนาไปทาง พระพุทธรูป กราบพระ ๓ คร้ัง แลวพระสังฆเถระนําประนมมือวานะโมพรอมกัน ๓ จบ ตอจากนั้น เปลงคําอธิษฐานเขาพรรษา พรอมกัน ๓ จบ วา “อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ. (หรือ อุเปม) : เราเขาจําพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน” เสร็จแลว กราบพระอีก ๓ คร้ัง น่งั ราบพับเพียบตามเดิม ๕. เจริญพระพุทธมนต ใหทําเปนกิจตอเน่ืองจากการอธิษฐานเขาพรรษา เปนการ เจริญจิตแผเมตตาตามบทสวดมนตท่ีกําหนดเปนแบบนิยมไวหรือตามธรรมเนียมของแตละวัด โดยเจา อาวาสหรือพระสังฆเถระจะพึงนาํ เจริญหรือสวดพรอมกนั ตามควรแกเวลา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 251

2๒๕5๐2 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๖. สักการบูชาปูชนียวัตถุภายในวัด โดยหากมิไดกระทํากอนเขาโรงอุโบสถ เมื่อออกจากโรงอุโบสถแลวพึงถือเคร่ืองสักการะรวมกันไปสักการบูชาปูชนียวัตถุสถานอ่ืน ๆ ในบริเวณวดั เชน พระเจดยี  ลานโพธ์ิ เปนตน เสรจ็ แลว ถาจะทาํ สามจี กิ รรมกันตามกฏุ ติ อ ก็พงึ ทําในชว งนี้ หลังจากแยกกลับถึงกุฏิหรือ เสนาสนะของตนแลว ถาจะอุตสาหะอธิษฐานพรรษาซํ้าจํากัดเฉพาะเขตกุฏิของตนอีกก็ทําได โดยต้ังใจกลาวคําอธิษฐานเฉพาะรูปที่กุฏิ ดังนี้ “อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ : เราเขาจําพรรษาในวิหาร (ที่อย)ู นตี้ ลอด ๓ เดือน” ๒. พิธถี อื นสิ สัย คําวา นิสสัย แปลวา กิริยาที่พ่ึงพิง ในทางพระวินัย หมายถึง การขออยูในปกครองของ พระอุปชฌาย พระอาจารย หรือการขอใหทานเปนท่ีพึ่งในการศึกษาไตรสิกขา เพ่ือประพฤติ พรหมจรรยย่ิงขึ้นตอไป และเปนกิจเบือ้ งตนในพธิ อี ุปสมบทโดยผูอุปสมบทไดเปลงวาจาขอนิสสัย กับพระอุปชฌายแลว ในกรณีท่ีไมไดอยูในปกครองของพระอุปชฌายดวยเหตุอยางใดอยางหน่ึง เชน พระอปุ ช ฌายไ ปอยูท อ่ี ืน่ ตองถอื นิสสยั กบั ภิกษุอ่ืนเปน นสิ สยาจารย (อาจารยผ ูใหน ิสสยั ) พิธีถือนิสัย เปนธรรมเนียมของนวกภิกษุ คือ ภิกษุท่ียังมีพรรษาไมถึง ๕ พรรษา ถือวา เปน นวกะ แปลวา ผูใหม ตามหลักพระวินัยทานใหถือนิสัยอยูกับพระอุปชฌาย เพ่ือเรียนรู ขอ วตั รปฏิบัตติ าง ๆ ใหด เี สยี กอ น พธิ กี ารถือนิสยั มีขั้นตอนที่พึงปฏิบตั ิ ดังน้ี ๑. น่ังในสถานที่ที่จัดเตรียมไวใหเรียบรอย ถาถือพรอมกันหลายรูปใหพระภิกษุนั่ง แถวหนา สามเณรนงั่ ตอจากพระ ๒. เม่ือถึงเวลาใหคุกเขากราบลงพรอ มกัน ๓ ครง้ั ๓. ยกเครื่องสักการะขน้ึ ระหวางอกแลวกลาวคําขอนิสยั ตามแบบ ๔. ประเคนเคร่อื งสกั การะแกพ ระอุปช ฌาย หรอื อาจารย กราบลง ๓ ครัง้ ๕. น่ังราบพับเพียบประนมมือฟงโอวาทจากพระอุปชฌาย หรืออาจารยไปจนจบ เปนอันเสรจ็ พิธีการถือนิสยั คําขอถือนิสสยาจารย : อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นสิ ฺสาย วจฺฉามิ. (๓ จบ) ถาหลายรูปพึงวา ดังนี้ : อาจริโย โน ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉาม. (หรอื บางวา อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ยาจามิ.) พระภกิ ษผุ ูถกู ขอเปน พระอาจารยก ็จะรบั วา “สาธุ” ดีละ หรือ “ลหุ” เบาใจเถดิ เปน ตน 252

 2๒5๕3๑ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ ๓. พิธสี ามจี กิ รรม สามีจิกรรม หมายถึง การกระทําใด ๆ ที่ชอบ ที่ดีงาม และเหมาะสมตอกันระหวางหมู สหธรรมิกดวยกัน โดยถือเปนธรรมเนียมของพระภิกษุสามเณรท่ีพึงทําความเคารพตอกัน เพือ่ ความสามคั คีรวมกันอยา งผาสกุ ไดแ ก การแสดงความเคารพ การขอขมาโทษกัน การให อภยั กัน ในทกุ โอกาส จึงจะไดชอื่ วา เปน พระภิกษุสามเณรท่ีดปี ฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยของ พระพุทธองค โอกาสทคี่ วรทําสามจี กิ รรมนนั้ ทานกําหนดใหนิยมทํา ๓ โอกาส คอื ๑. โอกาสวันเขาพรรษา ทั้งพระภิกษุสามเณรท่ีรวมอยูวัดเดียวกัน ควรทํา สามีจิกรรมตอ กัน เรียงบุคคลตงั้ แตผ มู อี าวโุ สมากทีส่ ดุ ถงึ สามเณรรปู สดุ ทา ยในวดั ๒. โอกาสในระยะเขาพรรษา เริ่มต้ังแตวันเขาพรรษา และหลังวันเขาพรรษา ระยะเวลาประมาณ ๗ วัน ควรทาํ สามีจกิ รรมตอ ทา นที่เคารพนับถือ ซงึ่ อยตู า งวัดโดยทวั่ ถึงกนั ๓. โอกาสที่จะจากกันไปอยูวัดอื่น หรือถ่ินอื่น นิยมทําตอทานผูมีอาวุโสทางพรรษา กวาตนในวัด และตอทานท่ีเคารพนบั ถอื ทั่วไป การทําสามีจิกรรมในโอกาสทั้ง ๓ ดังกลาวน้ี เปนการทํา สามีจิกรรมแบบขอขมาโทษ ยังมีโอกาสที่นิยมทําสามีจิกรรมอีกโอกาสหนึ่ง แตเปนการทํา สามีจิกรรมแบบถวายสักการะ นั่นคือโอกาสท่ีพระเถระหรือผูท่ีตนเคารพนับถือไดรับสมณศักด์ิ หรือดํารงตําแหนงพระสังฆาธิการ นิยมทําสามีจิกรรมแบบถวายสกั การะเพ่ือเปน การแสดงจิตใจทพี่ ลอยยนิ ดีใหปรากฏ หรือเรียกวา แสดงมุทิตาสักการะ การทําสามีจิกรรมมี ๒ แบบ ๑. แบบขอขมาโทษ ๒. แบบถวายสักการะ การทาํ สามจี ิกรรมแบบขอขมาโทษ มวี ิธีปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๑. จดั เตรียมเครือ่ งสักการะ คือ ดอกไม ธปู เทยี น วางบนพานใหพรอ ม ๒. ครองผาใหเ รียบรอย (พระภิกษพุ าดสงั ฆาฏิดว ย) ๓. ประคองเครื่องสักการะเขา ไปหาผูที่จะขอขมา แลววางไวดานซายมือ กราบลง ๓ คร้ัง ยกพานเคร่ืองสกั การะขนึ้ ประคอง แลวกลาวคําขอขมาโทษ การทาํ สามีจิกรรมแบบถวายสกั การะ มีวิธีปฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. จัดเตรยี มเครื่องสักการะใหพรอ ม ๒. แบบนท้ี ําไดทั้งผูอาวโุ สกวาหรอื ออนกวา ตน ไมมีคาํ กลา วโดยเฉพาะ ๓. ครองผาใหเรียบรอย ประคองเคร่ืองสักการะเขาไปประเคน (ถาพรรษาออนกวา พึงกราบ ๓ ครัง้ ถา แกกวา ไมต องกราบ เพียงแตร ับไหวโ ดยน่งั พับเพียบประนมมือ) เปน เสรจ็ พธิ ี ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 253

2๒๕5๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 คาํ ขอขมา (ผขู อวา) อายสฺมนฺเต ปมาเทน ทฺวารตฺตเยน กตํ สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺเต. (ผูร ับวา) อหํ ขมามิ ตยาป เม ขมติ พฺพ.ํ (ผูขอวา) ขมามิ ภนฺเต หมายเหตุ ถาผูขอหลายรูปเปลยี่ น เม เปน โน ตยาป เปน ตมุ เหหิป และ ขมามิ เปน ขมาม ฯ ๔. พธิ ที าํ วตั รสวดมนต การทําวตั ร หมายถงึ การทํากิจท่ีตองทําประจําจนเปนวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร รวมถงึ อุบาสกอุบาสิกา ที่เขาวัดรักษาอุโบสถศีล เรียกสั้น ๆ วา ทําวัตร เปนกิจที่ตองทําประจํา วันละ ๒ เวลา คือ เชากับเย็น โดยกิจท่ีตองทํานี้ไดแก การสวดบูชาพระรัตนตรัย การสวด พิจารณาปจจัยท่ีบริโภคใชสอยทุกวัน การสวดเจริญกัมมัฏฐานตามสมควร และการสวด อนุโมทนาทานของทายก รวมถึงการสวดแผกุศลเจริญเมตตาแกสรรพสัตว ซึ่งคําสวดเหลานี้ กําหนดเปน แบบแผนนิยมไวท ั้งสามัญทัว่ ไปและเฉพาะของแตล ะวดั กม็ ี การสวดมนต คือ การสวดบทพุทธมนตตางๆ จากพระไตรปฎก ท้ังท่ีเปนสวนพระสูตร พระปริตร หรือสวนคาถา อันนิยมกําหนดใหนํามาสวดประกอบในการสวดมนตเปนประจํา นอกเหนือการทาํ วตั ร การทําวัตรสวดมนต เปนกิจวัตรท่ีพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาตองทํา เปนประจําเปนการที่บรรพชิตและคฤหัสถ ท่ีเขามาอยูในวัดเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย แลวจะได นอ มนาํ ไปประพฤติปฏบิ ตั ิ เพื่อขดั เกลากาย วาจา ใหสงบเรยี บรอย เปนตน พิธที าํ วตั รสวดมนตน น้ั แบงออกเปน ๓ ประเภท ๑. พิธีทาํ วัตรสวดมนตสาํ หรบั พระภกิ ษสุ ามเณร ๒. พธิ ที าํ วัตรสวดมนตสําหรบั อบุ าสกอุบาสกิ า ๓. พธิ ีสวดมนตไหวพระสาํ หรับนกั เรยี น ๕. พิธกี รรมวนั ธรรมสวนะ คําวา ธรรมสวนะ หรือ ธัมมัสสวนะ แปลวา การฟงธรรม ดังน้ันวันธรรมสวนะ จึงหมายถึง วันแหงการฟงธรรม คือวันท่ีกําหนดประชุมฟงธรรมหรือเขาวัดปฏิบัติธรรมใน พระพทุ ธศาสนา ทเ่ี รียกเปน คาํ สามัญในภาษาไทยวา วันพระ อนั เปนพุทธประเพณีท่ีพุทธบริษัท 254

255 255 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2

2๒๕5๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๔. ภิกษุท่ีประชุมทํารวมกันนั้นไมเปนผูตองสภาคาบัติ หรือเปนผูตองสถาคาบัติแตได สวดประกาศกอนแลวโดยชอบดวยพระวินัย ๕. ในที่ประชุมสงฆนัน้ ไมมบี คุ คลท่คี วรเวนอยูภายในหัตถบาส ๖. พระสงฆเทา น้นั ไดท ําบุพกรณแ ละบพุ กจิ ของอโุ บสถกรรมเสร็จเรยี บรอยแลว ๗. มกี ารสวดพระปาติโมกขใ หไดฟ ง ทวั่ กันในทามกลางสงฆ หลกั การทาํ ปารสิ ุทธอิ โุ บสถ การทําปาริสุทธิอุโบสถน้ัน เปนการทําอุโบสถกรรมท่ีภิกษุประชุมรวมกันทําไมครบ จํานวน ๔ รูป ทําเพียง ๓ รูปบาง ๒ รูปบาง เรียกวา คณะ ทานหามสวดพระปาติโมกข แตให บอกความบรสิ ทุ ธ์แิ กก ันแทน หลกั การทําอธษิ ฐานอุโบสถ การทําอธิษฐานอุโบสถน้ัน เปนการทําอุโบสถกรรมที่ภิกษุทําเพียงรูปเดียว คือ เมื่อถึง วันอุโบสถ ใหทํากิจท่ีควรทําในอุโบสถใหเสร็จแลวรอภิกษุอ่ืน เมื่อไมมีภิกษุอื่นมาแลว พึง อธษิ ฐานในใจวา ดังน้ี อชฺช เม อโุ ปสโถ แปลวา วันน้ี (เปนวัน) อุโบสถของเรา ๗. พธิ อี อกพรรษา การออกพรรษา หมายถึง กาลเปนท่ีสิ้นสุดกําหนดอยูจําพรรษาตามพระวินัยบัญญัติ เรียกวา ปวารณากรรม การทําปวารณากรรมก็คือ การประกาศยินยอมใหวากลาวตักเตือนกัน ไดในทกุ กรณี หรือเม่อื มีขอขอ งใจในการประพฤตติ ามพระวนิ ยั วิธีการทําปวารณากรรม การทําปวารณากรรมตองทําในวันข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ ของทุกป ในวันน้ัน พระสงฆ ไมต อ งสวดพระปาติโมกข แตใ หทําปวารณากรรมแทน จัดเปนสังฆกรรมพิเศษท่ีพระสงฆตองทํา ทกุ รูป หรอื เรียกวา ปวารณาออกพรรษาก็ได 256

 2๒5๕7๕ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ หมวดที่ ๒ บุญพธิ ี บญุ พธิ ี หมายถึง พธิ ีทําบญุ ท่วั ๆ ไป หรือในวันสาํ คญั ตา ง ๆ ของพุทธศาสนิกชน แตใน ทนี่ เี้ นน ระเบียบพิธที ี่พระสงฆควรรูและปฏิบตั ิใหถูกตองโดยเฉพาะ แบง ออกเปน ๙ หมวด ดังน้ี เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๑. พธิ ีทาํ บุญตักบาตรเทโวโรหณะ พิธีทําบุญตักบาตรเทโวโรหณะ เปนการทําบุญเพื่อระลึกถึงวันคลายวันที่พระพุทธเจา เสด็จลงจากเทวโลก หลังจากท่ีเสด็จไปจําพรรษา และตรัสพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา เปนเวลา ๓ เดือน โดยไดเสด็จลง ณ ประตูเมืองสังกัสสนคร ตรงกับวันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๑๑ เรียกวา วันเทโวโรหณะ หรือ วันพระเจาเปดโลก ครั้นรุงเชาตรงกับวันแรม ๑ คํ่า เดือน ๑๑ พุทธบริษทั จงึ ทําบุญโดยการตักบาตรขาวสารอาหารแหง เพือ่ เปนการเฉลิมฉลองในการเสด็จลง จากเทวโลกของพระพทุ ธเจา เรียกวา วันตกั บาตรเทโวโรหณะ ๒. พธิ ีเจริญพระพทุ ธมนต พิธีเจริญพระพุทธมนต เปนพิธีกรรมท่ีทําขึ้นโดยปรารภงานมงคลตาง ๆ มีการต้ังบาตร นํ้ามนต ตั้งวงดายสายสิญจนและเรียกการสวดหรือสาธยายบทสวดมนตในการน้ีวา เจรญิ พระพทุ ธมนต มี ๒ ประการ คือ ๑. งานมงคลทั่วไป จัดขึ้นเพื่อความเปนสิริมงคล เชน งานทําบุญข้ึนบานใหมงาน 257

2๒๕5๖8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท ทาํ บุญอายุ หรอื ทําบุญประจําป เปน ตน บทสวดที่นยิ มสวดคือ เจด็ ตํานานเปน หลัก และบทสวดท่ี เสริมความเปน สริ มิ งคลอื่น ๆ ตามสมควร ๒. งานมงคลเฉพาะกรณี เปนงานท่ีปรารภการทําบุญโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งนิยมทํา อยูใ นปจจุบันดังน้ี ๑) งานฉลองพระบวชใหม ๒) งานมงคลสมรส ๓) งานทําบุญอายุ ๔) งานทาํ บญุ เอาฤกษเอาชัยมงคล ๕) งานทําบุญตอ นาม ๓. พธิ สี วดพระพทุ ธมนต พิธีสวดพระพุทธมนต เปนพิธีกรรมที่เน่ืองในงานอวมงคล ไมตองต้ังบาตรน้ํามนตและ วงดายสายสญิ จน งานอวมงคล แบงออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. งานทําบุญหนาศพ เปนการทําบุญในขณะที่ยังต้ังศพไวภายในบานหรือวัด มี ๔ ลักษณะ คือ ๑) งานทําบญุ สัตตมวาร คอื การทําบุญ ๗ วัน ๒) การทาํ ทกั ษณิ านปุ ระทาน คอื การทําบุญกอ นครบ ๕๐ วนั หรอื ๑๐๐ วนั ๓) การทําบุญครบ ๕๐ วนั หรือ ๑๐๐ วัน ๔) การทาํ บุญเปด ศพกอ นทําพิธีฌาปนกิจ ๒. งานทําบุญอัฐิ เปนการทําบุญภายหลังจากท่ีทําการฌาปนกิจศพแลว มี ๓ ลักษณะ คือ ๑) การทาํ บญุ ฉลองอฐั ทิ ีน่ าํ มาไวท ีบ่ า นหรอื วดั ๒) การทาํ บญุ ๗ วัน หลงั จากวันฌาปนกจิ ๓) การทําบุญอทุ ิศใหผ ูตายครบรอบ ๑ ป ๔. พิธสี วดพระอภิธรรม พิธีสวดพระอภิธรรม เปนการสวดเนื่องในการทําบุญศพ ตั้งแตวันมรณกรรมถึงวัน ฌาปนกิจ มี ๒ อยา งคือ ๑. สวดประจําคนื หนาศพ มีวธิ ปี ฏบิ ัตดิ ังน้ี - จัดเตรยี มอาสนะสําหรบั พระสงฆ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 258

 2๒5๕9๗ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ - จดั เตรียมเครือ่ งไทยทาน และปจ จยั - จัดสถานท่ี เชน โตะหมูบูชา ตูพระธรรม ภูษาโยง (ใชสายสิญจนแทนก็ได) และ ตาลปตร - การนมิ นตพระจะนิมนตชุดเดียว (๔ รูป) หรอื ๒ ชดุ กไ็ ด แลวแตเจาภาพ ๒. สวดพระอภิธรรมหนา ไฟ มีวิธปี ฏิบัตดิ ังน้ี - นยิ มสวดในขณะทาํ การฌาปนกิจ - นิมนตพระสงฆ ๔ รูป มาสวด - พอจุดไฟ พระสงฆเ ริ่มสวดพระอภธิ รรม ๕. พธิ ีสวดมาตกิ า พิธีสวดมาติกา เปนการทําบุญตอหนาศพ หรือการสวดบทมาติกาของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร ที่เรียกวา สัตตัปปกรณาภิธรรม หลังจากสวดจบแลวมีการชักบังสุกุลเปนขั้นตอน สดุ ทา ย มี ๒ ประเภท คือ ๑. สวดในงานหลวง เรยี กวา สดบั ปกรณ ๒. สวดในงานราษฎรธ รรมดาทว่ั ไป เรยี กวา สวดมาติกา เจาภาพ พระสงฆ - นิมนตพ ระสงฆตามจาํ นวน - เตรียมตาลปต ร - จดั เตรียมสถานที่ใหเรียบรอ ย - งานหลวงใชพดั ยศ - เมอ่ื พระสงฆสวดบท เหตปุ จจะโย - หัวหนานาํ สวดมาตกิ า พึงลากภูษาโยงจากศพลาดตรง เจา ภาพลาดภษู าโยงแลวชักบงั สกุ ุล ตง้ั พดั ขา งหนา พระสงฆ - อนุโมทนา เปน เสรจ็ พิธี - กรวดนํ้า รบั พร ๖. พธิ ีสวดแจง พิธีสวดแจง คือ การนิมนตพระสงฆจํานวนมาก ใหสวดสังคีติกถา คือ บทสวดวาดวย การแจกแจงวัตถุ และหัวขอพระไตรปฎกในการทําปฐมสังคายนา เรียกวา สวดแจง นิยมทําใน งานฌาปนกิจศพ และจัดใหมีการแสดงธรรมเทศนาแบบปุจฉา - วิสัชนา (ถาม - ตอบ) ๒ ธรรมมาสน เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 259

2๒๕6๘0 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 หรือ ๓ ธรรมาสนตามความตองการของเจาภาพ เพื่อแจกแจงสังคีติกถาอยางละเอียด เพื่อให ประชาชนทั่วไปไดร บั รู เรยี กวา เทศนแ จง มรี ะเบียบวธิ ีปฏบิ ตั ดิ ังนี้ ๑. จดั สถานท่ใี หเรยี บรอ ย คือ ธรรมาสน อาสนส งฆ เปนตน ๒. พระสงฆที่ไดรับนมิ นตน ั่งตามลําดับอาวุโส ๓. พระผูเทศนก็ข้ึนน่ังบนธรรมาสน เทศนไปตามลําดับ ในระหวางนี้พระภิกษุพึง ประนมมือดวยความเคารพ เมื่อผูเทศนเผดียงสงฆเสร็จแลว พระสงฆท้ังมวลเร่ิมสวดแจงไป ตามลาํ ดับ ๔. เมื่อพระสงฆสวดแจงบังสุกุลเสร็จแลว ภิกษุผูเทศนตั้งพัดกลาวอนุโมทนา จบแลว เจาภาพถวายไทยธรรมแกพระสงฆเปน อนั เสรจ็ พธิ ี ๗. พิธสี วดถวายพรพระ พิธีสวดถวายพรพระ หมายถึง พิธีสงฆที่สวดสรรเสริญพระรัตนตรัยและพุทธานุภาพ ตอเนื่องจากพิธีเจริญพระพุทธมนต หรือสวดพระพุทธมนต ในการทําบุญท่ัว ๆ ไปนั้น ถามี การเจริญพระพุทธมนต หรือสวดพระพุทธมนตจะมีการเลี้ยงพระดวย และกอนท่ีจะถวาย ภตั ตาหารแดพ ระสงฆ นยิ มสวดถวายพรพระเปนธรรมเนียม มี ๒ ประเภท คอื ๑. สวดถวายพรพระกรณีสามัญ ใชสวดในงานทําบุญท่ัวไป คือ งานมงคลและงาน อวมงคล ๒. สวดถวายพรพระกรณีพิเศษ ใชสวดในงานพระราชพิธีที่ประกอบดวยพระฤกษ เชน พระฤกษเกศากนั ตแ ละพระฤกษสรงในพระราชพธิ ฉี ตั รมงคล เปนตน ๘. พธิ อี นโุ มทนากรณตี าง ๆ คาํ วา อนโุ มทนา แปลวา ความพลอยยินดี เปนชื่อของกุศลจิตที่แสดงความยินดีในเม่ือ ผูอ่ืนทําความดี อันเปนบุญกุศล จัดเปนปตตานุโมทนามัยบุญ ในท่ีนี้ เปนชื่อพิธีสงฆท่ีกําหนด เปน แบบในการสวดตอทายพิธีทําบุญเลี้ยงพระ ซ่ึงการอนุโมทนานั้น ถือเปนธรรมเนียมปฏิบัติท่ี เม่ือพระสงฆรับปจจัยไทยธรรมภัตตาหาร หรือทานวัตถุ จากคฤหัสถแลว ตองทําพิธีอนุโมทนา ทานของทายกทายกิ าดว ย มรี ะเบียบปฏิบัติ ๒ อยา งคอื ๑. สามัญอนโุ มทนา การอนโุ มทนาทนี่ ยิ มใชใ นงานทั่วไป ๒. วิเสสอนโุ มทนา การอนุโมทนาเปน พเิ ศษเฉพาะกาล 260

 2๒6๕1๙ วชิ า อนพุ ทุ ธประวตั ิ ๙. พิธีแสดงพระธรรมเทศนา การแสดงพระธรรมเทศนา ไดแก การแสดงพระธรรมเทศนา ซ่ึงเรียกวา การเทศน เปนการแสดงธรรมในโอกาสตาง ๆ นับเปนกุศลพิธีท่ีนิยมสําคัญประการหน่ึง สวนมากนิยม ผนวกเขาในการทําบุญ ท้ังงานมงคลและงานอวมงคล โดยเหตุที่ชาวพุทธสวนใหญ แมไมตองมี งานทําบญุ อะไร ก็นยิ มจดั ใหมีเทศนข ึน้ เพอื่ ฟง กันตามกาลหรอื ตามโอกาสเหมาะก็ มี ๒ อยา งคอื ๑. การเทศนแบบธรรมดา เปน การแสดงธรรมรปู เดียว ๒. การเทศนแ บบปุจฉา - วิสชั นา เปนการแสดงธรรมต้งั แต ๒ รูป ข้นึ ไป การเทศนต ามประเพณีนยิ ม ๔ อยาง ๑. เทศนใ นงานทาํ บญุ คอื การเทศนในงานมงคลตาง ๆ ๒. เทศนตามกาลนิยม คือ การเทศนใ นวนั ธรรมสวนะและวนั สาํ คัญทางพระพุทธศาสนา ๓. เทศนพ ิเศษ คอื การเทศนาส่ังสอนประชาชนพุทธบริษัทท่รี วมกันฟงธรรมเปน หมูคณะ ๔. เทศนม หาชาติ คอื การเทศนาเรอื่ งเวสสนั ดรชาดก หมวดท่ี ๓ ทานพิธี ในวิชาศาสนพิธี หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี นักศึกษาไดรูจักทานพิธีท่ีกลาวถึงหลักการ ถวายทานเปนการสงฆและรูจักคําถวายทานตาง ๆ พรอมทั้งคําแปลมาแลว ฉะน้ัน การศึกษา ทานพิธีในหลักสูตรนักธรรมช้ันโทนี้จะไมกลาวถึงคําถวาย แตจะกลาวถึงรายละเอียดพรอมทั้ง เหตุผลตาง ๆ ของทานที่นิยมถวายกันทั่วไป เพื่อใหนักศึกษาไดทราบความมุงหมายของ การถวายทานแตละอยาง รวม ๑๖ เรอ่ื ง โดยลาํ ดับตอไปน้ี ๑. พิธีถวายสงั ฆทาน การถวายสังฆทาน หมายถึง ทานที่ตั้งใจถวายแกสงฆหรือผูแทนของสงฆไมจําเพาะ เจาะจงรปู ใดรูปหนงึ่ หากถวายโดยเจาะจงเรยี กวา บุคลิกทาน สังฆทานนนั้ มีผลมากกวาบุคลิกทาน เพราะผถู วายมีจติ ใจกวา งขวาง ไมเ จาะจงวาจะเปนพระภิกษุรปู ใด เปน การแสดงถงึ ความตง้ั ใจจะ ถวายทานดว ยศรัทธาอันเปน สาธารณะ การถวายสังฆทานน้ีมีมาตง้ั แตส มัยพุทธกาล เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 261

2๒๖6๐2 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 สังฆทาน ๗ ประการ ๑. ถวายแดหมูภิกษแุ ละภกิ ษุณี มีพระพทุ ธเจา เปนประมขุ ๒. ถวายแกหมภู ิกษุ มีพระพุทธเจาเปนประมุข ๓. ถวายแกห มภู ิกษุณี มพี ระพุทธเจาเปน ประมขุ ๔. ถวายแกห มูภิกษุและภกิ ษณุ ี ไมมพี ระพทุ ธเจา เปนประมขุ ๕. ถวายแกห มูภิกษุ ไมม พี ระพทุ ธเจาเปน ประมขุ ๖. ถวายแกหมภู ิกษณุ ี ไมมีพระพทุ ธเจา เปน ประมขุ ๗. รองตอสงฆใหส งคนไปรบั แลวถวายแกผนู ั้น ๒. พิธถี วายสลากภตั สลากภัต แปลวา อาหารทถี่ วายตามสลากหรอื โดยวธิ กี ารจับสลาก นิยมทํากันในฤดูกาล ท่ีผลไมออกผล พิธีถวายสลากภัต คือ ทายกทายิกาจัดอาหารคาวหวานและผลไมประจําฤดูกาล นําไปรวมกันท่ีวัด จัดวางไวเปนสวน ๆ เขียนชื่อหรือหมายเลขประจําตัวของตนใสกระดาษ แลวมว นไปใหพระภิกษสุ ามเณรจบั ถาจบั ไดของผูใดกร็ ับของผนู ั้น แลวอนโุ มทนากถาเปน เสรจ็ พิธี ๓. พธิ ตี ักบาตรขาวสาร พธิ ตี กั บาตรขาวสาร คือ การถวายขาวสารโดยการใสบาตร เพื่อใหพระภิกษุไดเก็บไว หุงตมในคราวขาดแคลนอาหาร การตักบาตรขาวสารเปนทานมยั ขอหน่ึงในบุญกิริยาวัตถุ มักทํา เปนสังฆทานบาง ปาฏิบุคลิกทานบาง ตามเจตนารมณของเจาภาพ และนิยมจัดในชวง เขาพรรษา ๔. พธิ ีตกั บาตรนา้ํ ผึง้ พิธีตักบาตรน้ําผึ้ง คือ การถวายน้ําผึ้งแกพระสงฆ จัดเปนเภสัชทาน และเปนกาลทาน อยางหน่ึง มีระยะเวลาในการทําในระยะเวลาแรม ๘ คํ่า เดือน ๑๐ การตักบาตรน้ําผ้ึงนี้ พระพุทธองคทรงมีพุทธานุญาต ใหพระภิกษุรับและฉันเภสัชไดในเวลาวิกาล เพื่อระงับโรคที่ เกิดข้ึนแกพระภิกษุในสมัยน้ัน คือ ครั้งหน่ึงในระหวางเดือน ๑๐ ภิกษุทั้งหลายมีกายชุมดวย น้ําฝน เหยียบยํ่าเปอกตม เกิดอาพาธ ฉันจังหัน(อาหาร) อาเจียน กายซูบผอมเศราหมองลง พระพุทธองคทรงทราบ จึงทรงอนุญาตเภสัช ๕ อยาง คือ เนยใส เนยขน นํ้ามัน น้ําผึ้ง และ น้ําออย ใหภิกษุรับและฉันไดในเวลาวิกาล เพื่อระงับโรคและบํารุงกําลัง จึงเปนประเพณีท่ีทายก ทายิกานิยมถวายเภสชั ทานแดพ ระสงฆขนึ้ ในสรทกาลมาจนถึงทุกวนั นี้ 262

263 263 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2

2๒๖6๒4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๘. พธิ ีถวายผา จาํ นาํ พรรษา ผาจํานําพรรษา คือ ผาที่ถวายแกภิกษุผูจําพรรษาครบ ๓ เดือน มีกาลเวลาที่ถวายได ตั้งแตวันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๑ ถึงวันข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ ซึ่งเปนเขตจีวรกาล หากถวายเกิน กําหนดนไี้ ป ไมน บั เปนผาจํานาํ พรรษา ๙. พธิ ีถวายผาอจั เจกจีวร ผาอัจเจกจีวร คือ ผาจํานําพรรษาที่ทายกทายิกาถวายกอนกาลกําหนด เปนผาที่ เจาภาพ ผูมีศรัทธามีกิจธุระท่ีจะตองไปในที่อ่ืน ไมสามารถถวายในชวงออกพรรษาได จึงถวาย ผาอัจเจกจีวรกอนออกพรรษา และพระพุทธองคทรงอนุญาตใหภิกษุรับไดภายใน ๑๐ วัน กอน ออกพรรษา ต้ังแตว ันขึน้ ๕ คํา่ เดอื น ๑๑ ถวายผาอัจเจกจีวรน้ีมมี าต้งั แตส มยั พทุ ธกาล ๑๐. พธิ ีถวายผา ปา ผาปา หรือผาบังสุกุล คือ ผาท่ีเปอนฝุนไมมีเจาของหวงแหน ท้ิงไวท่ีปาชาบาง ถนนหนทางบาง หรือแขวนอยูตามกิ่งไม หรือผาที่เขาอุทิศวางไวแทบเทา จัดเปนผาปาท้ังสิ้น การทอดผาปามีมาตั้งแตสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจาทรงอนุญาตใหภิกษุแสวงหาผาบังสุกุลได และการทอดก็มไิ ดก ําหนดระยะกาลไว สามารถทอดไดต ลอดฤดูกาล ๑๑. พิธถี วายผา กฐิน ผากฐิน คอื ผาทพ่ี ระพุทธเจาทรงอนญุ าตใหภิกษุผูอยูจําพรรษาครบ ๓ เดือน แลว รับมา นุงหมได พิธีถวายผากฐินมีกําหนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอดไปเหมือนผาชนิดอ่ืนมิได ทานกําหนดระยะเวลาไวเ พียง ๑ เดอื น คอื ตั้งแตวนั แรม ๑ คํ่า เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ เรยี กวา กฐนิ กาล คือ ระยะเวลาทอดกฐนิ หรือเทศกาลทอดกฐิน ๑๒. พิธีถวายธปู เทียน ดอกไม การถวายธปู เทียน ดอกไม หมายถงึ การถวายธปู เทียนดอกไมแ ดพระสงฆ เพ่ือใหทาน นาํ ไปบชู าพระอีกตอหน่งึ โดยทัว่ ไปนิยมถวายในวันเขา พรรษา มีวธิ ปี ฏิบตั ิ ๒ แบบ คอื ๑. แบบถวายโดยการประเคนทีละรูป โดยไมตองกลาวคาํ ถวาย และไมตอ งอนโุ มทนา ๒. แบบถวายโดยวางไวหนาพระสงฆ แลว กลา วคาํ ถวายและพระสงฆอนโุ มทนา 264

265 265 เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2

2๒๖6๔6 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ระเบียบวธิ ถี วายทานตา ง ๆ ทาน หมายถึง ส่ิงของสําหรับให สําหรับเสียสละแกผูอ่ืน ไดแกส่ิงของที่ควรถวายพระ หรือสิ่งของทีค่ วรนาํ ไปใหเ พื่อตอบแทนแกผ มู ีพระคุณ ทานโดยทั่วไปมี ๒ แบบ คอื ๑. อามิสทาน การใหวัตถสุ ิ่งของ ๒. ธรรมทาน การใหธรรม การบําเพ็ญทานถอื วาเปน บุญอยา งหน่ึงในบุญกิรยิ าวตั ถุ เรียกวา ทานมัย คือ บุญที่เกิด จากการให พิธีการถวายทานตา ง ๆ ดังท่ีไดกลา วมาทั้ง ๑๖ เรื่องนม้ี รี ะเบียบปฏบิ ัติ ดงั นี้ ๑) กลา วคําบูชาพระรตั นตรยั ๒) กลา วบท นะโม ๓ จบ ๓) กลา วคําถวายทานตามแบบ ๔) ประเคนแดพระสงฆ ๕) พระสงฆร บั แลว กลา วอนโุ มทนา เจาภาพกรวดน้ํา เปนเสรจ็ พิธี พิธถี วายทานพเิ ศษ ๑. พิธถี วายปราสาทผ้งึ มยํ ภนฺเต อมิ ํ สปริวารํ มธุปุปฺผปาสาทํ อมิ สมฺ ึ วิหาเร ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม , สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขุสงฺโฆ อิมํ สปริวารํ มธุปุปฺผปาสาทํ ปฏิคฺคณฺหาตุ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สุขาย. คําแปล : ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลาย ขอนอมถวาย ซ่ึงปราสาทผ้ึง กับทั้ง ของบริวารน้ีแดพ ระภิกษสุ งฆ ขอพระภิกษุสงฆจงรับ ซ่ึงปราสาทผ้ึง กับทั้งบริวารนี้ ของขาพเจา ทั้งหลาย เพอ่ื ประโยชนและความสุขแกขาพเจาทั้งหลาย สิน้ กาลนานเทอญ ฯ การถวายปราสาทผึ้ง เปนการถวายทานพิเศษอีกอยางหนึ่ง ท่ีทายกทายิกาไดจัดทํา ปราสาทโดยใชข ้ีผึ้งมาทาํ เปน ปราสาท ถือวา มผี ลานิสงสม าก และนิยมถวายในทุกฤดกู าล ๒. พธิ ีถวายโรงอุโบสถ มยํ ภนฺเต อิมํ อุโปสถาคารํ สงฺฆสฺส นิยฺยาเทม, สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ อุโปสถาคารํ ปฏคิ คฺ ณฺหาตุ อมหฺ ากํ ทฆี รตตฺ ํ หิตาย สขุ าย. คําแปล : ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลาย ขอนอมถวาย ซึ่งโรงอุโบสถหลังน้ี แดพระสงฆ ขอพระสงฆจงรับ ซ่ึงโรงอุโบสถหลังนี้ ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือประโยชนและ ความสขุ แกข าพเจาทง้ั หลาย สิ้นกาลนานเทอญฯ 266

 2๒6๖7๕ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ การถวายโรงอุโบสถ เปนการถวายทานพิเศษอีกอยางหน่ึง เพราะโรงอุโบสถ หรือ พระอโุ บสถ เปนสถานที่ทาํ สังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ และใชป ระกอบพิธีทางศาสนาของพุทธบริษัท ในวันพระและวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา การถวายโรงพระอโุ บสถมผี ลานสิ งสมาก ๓. พธิ ีถวายยานพาหนะ มยํ ภนเฺ ต อมิ ํ ยานํ ภกิ ฺขสุ งฆฺ สสฺ นิยยฺ าเทม , สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขุสงโฺ ฆ อมิ ํ ยานํ ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สขุ าย. คําแปล : ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลายขอนอมถวาย ซึ่งยานพาหนะน้ี แด พระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆจงรับ ซึ่งยานพาหนะนี้ ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือประโยชนและ ความสุข แกขา พเจา ท้งั หลาย สน้ิ กาลนานเทอญ ฯ พิธีถวายยานพาหนะ เปนการถวายทานพิเศษอีกอยางหน่ึง ยานพาหนะเปนส่ิงจําเปน ในการเดินทางสําหรับพระสงฆท่ีมีธุระจะตองเดินทางไปในท่ีตาง ๆ ถือวาเปนการถวายทานที่มี ผลานิสงสม ากอกี ดวย ๔. พธิ ถี วายคมั ภรี พระไตรปฎ ก มยํ ภนฺเต อิมํ สปริวารํ เตปฏกคนฺถํ สาตฺถํ สพฺยฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม , สาธุ โน ภนฺเต ภิกฺขุสงฺโฆ อิมํ สปริวารํ เตปฏกคนถฺ ํ สาตถฺ ํ สพยฺ ชฺ นํ เกวลปรปิ ณุ ณฺ ํ ปรสิ ทุ ฺธํ ปฏิคคฺ ณหฺ าตุ อมหฺ ากํ ทฆี รตตฺ ํ หติ าย สขุ าย. คําแปล : ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลายขอนอมถวาย ซึ่งคัมภีรพระไตรปฎก อันมีอรรถะและพยัญชนะครบถวนกระบวนความบริสุทธิ์บริบูรณส้ินเชิง กับทั้งบริวารน้ีแด พระภิกษุสงฆ ผูมีในทิศท้ังสี่ ขอพระภิกษุสงฆจงรับ ซึ่งคัมภีรพระไตรปฎก อันมีอรรถะและ พยัญชนะครบถวนกระบวนความบริสุทธิ์บริบูรณสิ้นเชิง กับทั้งบริวารนี้ ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือประโยชนและความสขุ แกขา พเจาทงั้ หลาย สิ้นกาลนานเทอญ ฯ พิธีถวายคัมภีรพระไตรปฎก เปนการถวายทานพิเศษอยางหนึ่ง พระไตรปฎกเปน คัมภีรสูงสุดของพระพุทธศาสนา เพราะเปนคัมภีรที่รวบรวมบรรจุพระธรรมคําสั่งสอนของ พระพุทธเจาไว ซึ่งรวมแลวไดถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ การถวายคัมภีรพระไตรปฎก เปน การสืบตออายุพระพทุ ธศาสนาไวและถอื วามผี ลานสิ งสม ากอีกดวย ๕. พธิ ถี วายคมั ภรี พ ระธรรม มยํ ภนเฺ ต อมิ ํ สปรวิ ารํ โปฏฐ กคนถฺ ํ พหชุ นหติ าย พหชุ นสขุ าย มหาเถเรหิ ยตุ ตฺ ปปฺ ยตุ ตฺ ํ ธมมฺ กิ ํ ธมมฺ ลทธฺ ํ จาตทุ ทฺ สิ สสฺ ภกิ ขฺ สุ งฆฺ สสฺ โอโณชยาม , สาธุ โน ภนเฺ ต เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 267

๒2๖6๖8 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ภกิ ขฺ สุ งโฺ ฆ อมิ ํ สปรวิ ารํ โปฏฐ กคนถฺ ํ พหชุ นหิตาย พหชุ นสขุ าย มหาเถเรหิ ยตุ ตฺ ปปฺ ยตุ ตฺ ํ ธมมฺ กิ ํ ธมมฺ ลทธฺ ํ ปฏคิ คฺ ณหฺ าตุ อมหฺ ากํ ทฆี รตตฺ ํ หติ าย สขุ าย. คําแปล : ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาท้ังหลาย ขอนอมถวาย ซ่ึงคัมภีรพระธรรม อันพระมหาเถระทั้งหลายชําระสอบทาน อันเกิดขึ้นโดยชอบธรรม อันไดมาโดยธรรม กับทั้ง บริวารน้ี แดพระภิกษุสงฆผูมีในทิศทั้งสี่ ขอพระภิกษุสงฆจงรับซ่ึงคัมภีรพระธรรม อันพระมหา เถระท้ังหลายชาํ ระสอบทานแลว อนั เกดิ ข้ึนแลว โดยชอบธรรม อันไดมาโดยธรรม กับท้ังบริวารนี้ ของขาพเจา ทัง้ หลาย เพ่ือประโยชนและความสุข แกข า พเจาทัง้ หลาย ส้นิ กาลนานเทอญ ฯ พิธีถวายคัมภีรพระธรรม เปนการถวายทานพิเศษอยางหนึ่ง เพราะคัมภีรพระธรรม หรือคัมภีรเทศนน้ันเปนการรวบรวมคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา สําหรับเทศนาสอนพุทธ บริษัทในงานตาง ๆ ทั่วไป ไดชื่อวาเปนการสืบตออายุพระพุทธศาสนาไวและถือวามีผลานิสงส มากอีกดวย หมวดท่ี ๔ ปกณิ กะ ๑. วธิ ีสวดมนตไหวพ ระของนักเรียน การสวดมนตไ หวพ ระของนกั เรียน เปน ระเบยี บของกระทรวงศึกษาธิการ เพ่ือเปนการ สง เสริมใหนกั เรยี นมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม สามารถนาํ ไปใชใ นชีวติ ประจําวันได และเปนการปลูกฝง อุปนิสัยที่ดีงามแกเยาวชนของชาติ เพื่อสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และบิดา มารดา ครู อาจารยด วย สําหรบั บทสวดมนตท ่ีระเบยี บกระทรวงศึกษาธิการกาํ หนดไว ดังน้ี ๑) แบบนําคําสวดมนตไ หวพ ระประจาํ วันและไหวพ ระวันสดุ ทายของสัปดาห ตอนเลกิ เรียน (หวั หนา สวดนํา ผอู ่ืนสวดตาม) อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา, พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ. (กราบ) สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม , ธมฺมํ นมสสฺ ามิ. (กราบ) สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ , สงฺฆํ นมามิ. (กราบ) ๒) สวดบทนมสั การ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ (๓ จบ) ๓) สวดบทพระพุทธคุณ อิติป โส ภควา ... พุทฺโธ ภควาติ. พรอมทั้งสวดทํานอง สรภญั ญะ องคใด พระสัมพุทธ ... ญภาพนัน้ นริ ันดรฯ (กราบ) ๔) สวดบทพระธรรมคณุ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ... เวทิตพโฺ พ วิฺูหีติ. พรอม ทงั้ สวดทํานองสรภัญญะ ธรรมะคอื คุณากร ... ดวยจติ และกายวาจาฯ (กราบ) ๕) สวดบทพระสงั ฆคุณ สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ ... ปุฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติ. พรอมท้งั สวดทาํ นองสรภัญญะ สงฆใดสาวกศาสดา ... จงดับและกลับเส่ือมสูญฯ (กราบ) 268

 2๒6๖9๗ วชิ า อนพุ ทุ ธประวตั ิ ๖) สวดชยสทิ ธิคาถา พาห฿ สหสสฺ มภนิ มิ มฺ ติ สาวธุ นตฺ ํ ... ตนเฺ ตชสา ภวตุ เต ชยสทิ ธิ นจิ ฺจ.ํ พรอ มท้งั สวดทํานองสรภัญญะ ปางเมื่อพระองคปะระมะพุท ... อรแิ มนมุนินทรฯ (กราบ ๓ ครั้ง) ๗) ขับบทสรรเสริญพระบารมี (ขา วรพุทธเจา ...) ๒. วธิ ไี หวค รขู องนกั เรียน การไหวครู ถือเปนธรรมเนียมที่ทํากันมาแตโบราณ เพื่อเปนการนอมระลึกถึงพระคุณ ของครูอาจารย ผูประสิทธ์ิประสาทวิชาการใหแกศิษย และการจะเริ่มกิจการใด ๆ ตองมีการ ไหวครูกอน ดังนั้น การไหวครูของนักเรียนจึงนิยมทําในชวงเปดเทอมแรก ส่ิงของที่ควรนํามา ไหวครู คือ หญาแพรก ขาวตอก และดอกมะเขือ เปนตน พรอมท้ังทองจําคําไหวครูและ บทสวดมนต คําไหวค รู : (นํา) ปาเจราจริยา โหนฺติ (รับพรอมกัน) คุณุตตฺ รานสุ าสกา. คาํ สรปุ : ปฺญาวฑุ ฒฺ ิกเรเตเต ทนิ ฺโนวาเท นมามหิ ํ. ๓. วธิ ีจบั ดายสายสญิ จน สายสิญจน เปนคําเรียกเสนดายสีขาวยาว ๆ ที่พระสงฆถือขณะประนมมือ เจริญพระพุทธมนต หรือที่วงรอบบานเรือนเพื่อใหเปนสิริมงคลในเวลาทําบุญที่บาน วิธีการจับ ดา ยสายสิญจนนนั้ ตอ งจบั เสน ดา ยในเขด็ ออกมาเปนหว ง ๆ ใหเปนสายเดียวกัน คร้ังแรก ๓ เสน ถาตอ งการ ๙ เสน กจ็ ับอีกครง้ั หนึ่ง สําหรบั ใชในงานมงคลท่ัวไป ๔. วิธีบังสุกุลเปน บังสุกุลเปน เปนการทําบุญอยางหนึ่ง ท่ีเจาภาพตองการบริจาคส่ิงของท่ีเนื่องดวยตน โดยมากนิยมทาํ ในตอนปว ยหนักเทานัน้ เพอ่ื ใหหายจากอาการปวยไข วิธีการก็คือใชผาขาวคลุม ผปู วยไวแลวนิมนตพ ระสงฆบ ังสกุ ุลให เรยี กวา บงั สกุ ลุ เปน พึงวา คาถาชกั บังสุกลุ เปน ดงั นี้ อจิรํ วตยํ กาโย , ปฐวึ อธเิ สสสฺ ติ , ฉฑุ โฺ ฑ อเปตวิฺญาโณ , นิรตถฺ วํ กลิงฺครํ. (ไมนานหนอ กายน้ีซึ่งถูกทิ้ง ปราศจากวิญญาณ ก็จักนอนทับแผนดินเหมือนทอนไม ทีไ่ รประโยชน) ๕. วิธีบอกศกั ราช วิธีบอกศักราช คือ การบอกวัน เดือน ป กอนที่จะแสดงพระธรรมเทศนา เพ่ือให พุทธบริษัททราบวา เปนวัน เดือน และปอะไร การบอกศักราชน้ัน นิยมบอกทั้งภาษาบาลีและ คําแปล โดยบอกเปน ภาษาบาลีกอ นแลว จงึ แปลเปน ภาษาไทย จบแลวจึงแสดงพระธรรมเทศนา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 269

2๒๖7๘0 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท ตวั อยางคาํ บาลีบอกศกั ราช อทิ านิ ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสฺส , ปรินพิ พฺ านโต ปฏฐาย , เอกนู ปญฺ า- สตุ ตฺ รปจฺ สตาธิกานิ , เทวฺ สํวจฉฺ รสหสสฺ านิ อติกฺกนตฺ านิ , ปจจฺ ปุ ปฺ นนฺ กาลวเสนจติ ตฺ มาสสสฺ เตวสี ตมิ ํ ทนิ ํ , วารวเสน ปน รววิ าโร โหติ , เอวํ ตสสฺ ภควโต ปรนิ ิพพฺ านา , สาสนายกุ าล คณนา สลลฺ กเฺ ขตพพฺ าติ. คําแปลทตี่ อ งบอกเปนภาษาไทย ศภุ มัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองคสมเด็จพระผูมีพระภาค อรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจานั้น บัดนี้ ลวงแลว สองพนั หา รอยส่ีสิบเกาพรรษา ปจจุบันสมัย จิตตมาส สุรทินท่ี ๒๓ อาทิจจวาร ศาสนายุกาลแหงสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น มีนัยอัน พุทธบรษิ ทั จะพึงกาํ หนดดว ยประการฉะนีฯ้ ตวั อยางในการเปลี่ยน เชน วันจันทร ท่ี ๒๔ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ เปลี่ยนคาํ ท่ีขีดเสน ใต ดังน้ี พ.ศ. ๒๕๕๐ เปล่ยี น เอกนู ปฺญาสตุ ตร เปน ปญฺ าสุตตฺ ร , ปณฺณาสตุ ฺตร เดือนพฤษภาคม เปลยี่ น จิตฺต เปน วสิ าข วันที่ ๒๔ เปลีย่ น เตวีสติมํ เปน จตุวีสตมิ ํ วันจันทร เปล่ยี น รววิ าโร เปน จนทฺ วาโร เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 270

 2๒7๖๙1 วชิ า อนพุ ทุ ธประวตั ิ ¢ÍŒ Êͺ¸ÃÃÁʹÒÁËÅǧ ËÅÑ¡ÊÙμù¡Ñ ¸ÃÃÁªéѹⷠÇÔªÒ͹¾Ø Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ »‚ ¾.È. òõõö - òõõø เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 271

2๒๗7๔2 คูม อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 »˜ÞËÒáÅÐà©ÅÂÇÔªÒ͹¾Ø Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ ¹Ñ¡¸ÃÃÁªé¹Ñ â· Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Ç¹Ñ ÍÒ·μÔ Â ·Õè òù ¾ÄȨԡÒ¹ ¾.È. òõõø ๑. อนุพทุ ธองคแ์ รก คอื ใคร ? สาํ เรจ็ เป็นพระอรหนั ตเ์ พราะฟงั พระธรรมเทศนาชืออะไร ? เฉลย คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ฯ ชอื อนตั ตลกั ขณสูตร ฯ ๒. “ทนี ีว่นุ วายหนอ ทนี ีขดั ขอ้ งหนอ” เป็นคาํ อทุ านของใคร ? เพราะเหตใุ ดจงึ อทุ านอยา่ งนัน ? เฉลย ของยสกลุ บตุ ร ฯ เพราะเหน็ หมชู่ นบรวิ ารนอนหลบั มอี าการพกิ ลต่าง ๆ ดุจซากศพ ทที งิ อยู่ในป่าชา้ เกดิ ความสลดใจ คิดเบอื หน่าย ฯ ๓. พระธรรมเทศนาทไี ดช้ ือวา่ อาทติ ตปรยิ ายสูตร เพราะเหตไุ ร ? พระพทุ ธองคท์ รงแสดงแกใ่ คร ? เฉลย เพราะแสดงสภาวธรรมเป็นของรอ้ น อนั เหมาะแก่บรุ พจรรยาของผูฟ้ งั ฯ แก่พวก ปรุ าณชฎลิ ฯ ๔. โกลติ ะถามอปุ ตสิ สะว่า “ดูท่านไม่สนุกเหมอื นในวนั อนื วนั นีดูใจเศรา้ ทา่ นเป็นอยา่ งไรหรอื ?” อปุ ตสิ สะตอบวา่ อยา่ งไร ? เฉลย ตอบว่า “โกลติ ะ อะไรทคี วรดูในการเลน่ นีมหี รือ ? คนเหลา่ นีทงั หมดยงั ไม่ทนั ถงึ ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครอื งพน้ ดกี วา่ ” ฯ 272

 2๒7๗3๕ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ ๕. พระโอวาทวา่ “เราจกั ไม่ชูงวง เขา้ ไปสูส่ กลุ ” พระพทุ ธองคต์ รสั แกพ่ ระสาวกองคใ์ ด ? ทไี หน ? เฉลย แก่พระมหาโมคคลั ลานะ ฯ ทบี า้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม แควน้ มคธ ฯ ๖. พระมหากสั สปเถระ ชกั ชวนภกิ ษุสงฆท์ ําสงั คายนารวบรวมพระธรรมวนิ ัย ตงั ไวเ้ ป็ นแบบฉบบั เพือสมกบั พระพุทธพจน์ทีไดป้ ระทานไวเ้ มือครงั ปรินิพพาน พระพุทธพจน์นันใจความว่า อย่างไร ? เฉลย วา่ ธรรมกด็ ี วนิ ยั กด็ ี อยา่ งใด อนั เราไดแ้ สดงไวแ้ ลว้ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ ธรรมวนิ ยั นนั จกั เป็นศาสดาของทา่ นทงั หลาย ในเมอื เราลว่ งไปแลว้ ฯ ๗. บรรดาศิษย์ ๑๖ คน ศิษยค์ นใดนําพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธองคไ์ ปบอกแกพ่ ราหมณ์ พาวรผี ูเ้ ป็นอาจารย์ ? พราหมณ์พาวรี ฟงั พระธรรมเทศนานนั แลว้ ไดบ้ รรลธุ รรมชนั ไหน ? เฉลย ปิงคยิ มาณพ ฯ ชนั เสขภมู ิ ฯ ๘. พระเถระและพระเถรผี ูม้ ีชือต่อไปนี ไดร้ บั เอตทคั คะในทางไหน ? ก. พระมหากจั จายนะ ข. พระโมฆราช ค. พระราหลุ ง. ปฏาจาราเถรี จ. อบุ ลวรรณาเถรี เฉลย ก. พระมหากจั จายนะ เป็นเอตทคั คะในทางอธบิ ายคาํ ยอ่ ใหพ้ สิ ดาร ข. พระโมฆราช เป็นเอตทคั คะในทางทรงจวี รเศรา้ หมอง ค. พระราหุล เป็นเอตทคั คะในทางผูใ้ ฝ่ใจศึกษาพระธรรมวนิ ยั ง. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทคั คะในทางทรงวนิ ยั จ. อบุ ลวรรณาเถรเี ป็นเอตทคั คะในทางมฤี ทธิ ฯ ศาสนพธิ ี ๙. จงเขยี นอโุ บสถศลี ขอ้ ที ๓ มาดู ฯ เฉลย อพรฺ หฺมจรยิ า เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 273

2๒๗7๔4 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท ๑๐. จงใหค้ วามหมายของคาํ ต่อไปนี ก. ปาฏปิ ุคคลกิ ทาน ข. เภสชั ทาน ค. สลากภตั ง. ผา้ วสั สกิ สาฎก จ. ผา้ อจั เจกจวี ร ฯ เฉลย ก. ปาฏปิ คุ คลกิ ทาน คือทานทถี วายเจาะจงเฉพาะรูปนนั รูปนี ข. เภสชั ทาน คอื การถวายเภสชั ๕ ไดแ้ ก่ เนยใส เนยขน้ นาํ มนั นาํ ผงึ นาํ ออ้ ย ค. สลากภตั คอื ภตั ตาหารทที ายกทายกิ าถวายตามสลาก ง. ผา้ วสั สกิ สาฎก คือผา้ ทอี ธิษฐานสาํ หรบั ใชน้ ุ่งในเวลาอาบนาํ ฝน หรอื อาบนาํ ทวั ไป จ. ผา้ อจั เจกจวี ร คือผา้ จาํ นาํ พรรษาทที ายกรบี ด่วนถวายก่อนวนั ออกพรรษา เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 274

 2๒7๗5๓ วชิ า อนพุ ทุ ธประวตั ิ »Þ˜ ËÒáÅÐà©ÅÂÇªÔ Ò͹¾Ø Ø·¸»ÃÐÇÑμÔ ¹Ñ¡¸ÃÃÁªÑ¹é â· Êͺã¹Ê¹ÒÁËÅǧ Çѹ¨¹Ñ ·Ã ·Õè ñð ¾ÄȨ¡Ô Ò¹ ¾.È. òõõ÷ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 275

2๒๗7๔6 คมู อื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 276

 2๒7๗7๓ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 277

2๒๗7๔๐8 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชน้ั โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ปญหาและเฉลยวชิ าอนพุ ุทธประวัติ นกั ธรรมช้ันโท สอบในสนามหลวง วนั พฤหัสบดี ท่ี ๒๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๕๕๖ ๑. อนพุ ทุ ธบคุ คล คือใคร ? มคี วามสําคญั อยา งไร ? ๑. คอื สาวกผตู้ รสั รตู้ ามพระพทุ ธเจา้ ฯ อนุพทุ ธบุคคลเป็นสงั ฆรตั นะในรตั นะ ๓ เป็นพยานยนื ยนั ความตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ และ เป็นกาํ ลงั ใหญ่ของพระพทุ ธเจา้ ในอนั ชว่ ยประกาศพระธรรมประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาขนึ เพอื ประโยชน์สขุ แกช่ นเป็นอนั มาก ฯ ๒. พระศาสดาทรงแสดงอาทติ ตปริยายสตู รโปรดพวกปรุ าณชฎลิ เพราะเหตุไร ? ๒. เพราะเป็นพระสตู รทเี หมาะแกบ่ ุรพจรรยาของพวกปรุ าณชฎลิ ผอู้ บรมมาในการบชู าเพลงิ ฯ ๓. พระสาวกรูปใดไดรับการยกยองจากพระศาสดาวาเปนผูกตัญูกตเวที ? จงแสดง ตัวอยา งมาสัก ๒ เรอ่ื ง ๓. พระสารบี ุตรเถระ ฯ เรอื งที ๑ พระสารบี ุตรนับถอื พระอสั สชเิ ป็นอาจารย์ เมอื อาจารยอ์ ย่ใู นทศิ ใด ก่อนจะนอน ทา่ นจะนมสั การและนอนหนั ศรี ษะไปทางทศิ นนั เรอื งที ๒ พระสารบี ุตรระลกึ ถงึ อุปการะของราธพราหมณ์ทเี คยถวายภกิ ษาแก่ท่านทพั พี หนงึ ฯ ๔. พระสาวกผบู วชเพราะเบ่อื หนา ย บวชเพราะเพอื่ น คือใคร ? ๔. บวชเพราะเบอื หน่าย คอื พระยสะ พระมหากสั สปะ ฯ บวชเพราะเพอื น คอื พระภทั ทยิ ศากยะ พระวมิ ละ พระสพุ าหุ พระปณุ ณชิ พระควมั ปติ และ เพอื นชาวชนบทอกี ๕๐ คน ฯ (ตอบองคใ ดองคห นงึ่ กใ็ ห และตอบองคอื่น ถา ถูกก็ควรให) 278

 2๒7๗9๑๕ วชิ า อนพุ ุทธประวตั ิ ๕. อุปสมบทวิธีพิเศษดวยการรับพระโอวาท ๓ ขอ และดวยการรับครุธรรม ๘ ขอ ทรงประทานใหแกใ คร ? และทา นนน้ั ๆ ไดร ับการยกยอ งเปน เอตทคั คะในทางไหน ? ๕. การรบั พระโอวาท ๓ ขอ้ ทรงประทานแกพ่ ระมหากสั สปะ การรบั ครธุ รรม ๘ ขอ้ ทรงประทานแกพ่ ระนางมหาปชาบดโี คตรมี ฯ พระมหากสั สปะไดร้ บั ยกย่องเป็นเอตทคั คะในทางทรงธุดงคคณุ พระนางมหาปชาบดโี คตรมี ไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะในทางรตั ตญั ู ฯ ๖. พระมหากัจจายนะไดรับมอบหมายจากพระพุทธเจาใหไปเผยแผพระพุทธศาสนา แทนพระองค ณ เมืองใด และไดผลเปน อยางไร ? ๖. ณ เมอื งอชุ เชนี ฯ ไดร้ บั ผล คอื พระเจา้ จณั ฑปชั โชตและชาวพระนครเลอื มใสในพระพทุ ธศาสนา ฯ ๗. ปญหาวา โลกคือหมูสัตวอันอะไรปดบังไวจึงหลงอยูในท่ีมืด ดังน้ี ใครเปนผูถาม ? และพระศาสดาทรงพยากรณว าอยางไร ? ๗. อชติ มาณพเป็นผถู้ าม ฯ ทรงพยากรณ์วา่ โลกคอื หมสู่ ตั ว์ อนั อวชิ ชาคอื ความไมร่ แู้ จง้ ปิดบงั ไว้ จงึ หลงดจุ อยใู่ นทมี ดื ฯ ๘. การทําสังคายนากอใหเ กิดคุณประโยชนแ กพระพุทธศาสนาอยางไรบา ง ? ๘. ใหเ้ กดิ คณุ ประโยชน์อยา่ งนี กาํ จดั และป้องกนั อลชั ชไี ด้ ทาํ ความเหน็ พทุ ธศาสนิกชนใหถ้ กู ตอ้ งและปฏบิ ตั ถิ ูกตอ้ งได้ และ ทาํ ใหพ้ ระศาสนามนั คงและแพรห่ ลายยงิ ขนึ ฯ ศาสนพธิ ี ๙. ศาสนพิธเี ลม ๒ แสดงอโุ บสถกรรมไวก่ีประเภท ? อะไรบาง ? ๙. ๓ ประเภท ฯ คอื สงั ฆอโุ บสถ ๑ ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ ๑ อธษิ ฐานอโุ บสถ ๑ ฯ เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 279

๒2๗8๒๖0 คูมอื การศกึ ษานกั ธรรมชนั้ โท เน้อื ใน นกั ธรรม ช้นั โท เลม 2 ๑๐. จงใหค วามหมายของคาํ ตอไปน้ี การเขา พรรษา การออกพรรษา ฯ ๑๐. การเขา้ พรรษา หมายถงึ การทภี กิ ษุผกู ใจว่าจะอยู่ ณ ทใี ดทหี นึงตลอดเวลา ๓ เดอื นในฤดฝู น ไมไ่ ปคา้ งแรมใหล้ ว่ งราตรใี นทแี ห่งอนื ระหว่างผกู ใจนนั เวน้ แตไ่ ปดว้ ยสตั ตาหกรณยี ะ ฯ การออกพรรษา หมายถงึ กาลทสี นิ สดุ กาํ หนดอยจู่ าํ พรรษาของภกิ ษุตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิ มี พธิ เี ป็นสงั ฆกรรมพเิ ศษโดยเฉพาะ เรยี กโดยภาษาพระวนิ ัยว่า ปวารณากรรม คอื การทํา ปวารณาของสงฆผ์ อู้ ยรู่ ว่ มกนั ตลอดเวลา ๓ เดอื น ฯ สีตํ อุณฺหํ ปฏิหนฺติ 280


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook