วิชาวินัย ระดับ ม.ปลาย
อบรมก่อนสอบ พระครูปริยตั โิ ชตยิ าภรณ์ อาจารยป์ ระจาวิชา วนิ ยั
เนื้อหา นักธรรมชนั้ ตรี วชิ าวินัย เนื้อหาหลกั จานวนขอ้ กณั ฑท์ ี่ 1 อุปสัมปทา 1 กณั ฑท์ ี่ 2 พระวินยั 5 กณั ฑท์ ่ี 3 สิกขาบท 1 กัณฑท์ ี่ 4 ปาราชกิ 4 1 กัณฑ์ท่ี 5 สงั ฆาทิเสส 13 1 กัณฑ์ที่ 6 นิสสัคคิยปาจติ ตีย์ 30 1 กัณฑท์ ี่ 7 ปาจติ ตีย์ 92 1
เน้ือหา นกั ธรรมชั้นตรี วชิ าวินยั เน้อื หาหลกั /เนื้อหารอง จานวนขอ้ กัณฑ์ที่ 8 ปฏิเทสนียะ 4 และเสขยิ วตั ร 75 1 กณั ฑท์ ี่ 9 อธกิ รณสมถะ 1 นกั ธรรมช้ัน โท 3 3 กัณฑ์ท่ี 11 กายบรหิ าร 4 กัณฑท์ ี่ 12 บรขิ ารบริโภค กณั ฑ์ที่ 13 นสิ ยั
เน้อื หา นกั ธรรมช้ัน โท เน้อื หาหลกั จานวนขอ้ กัณฑ์ท่ี 11 วตั ร 4 กัณฑ์ท่ี 15 คารวะ 1 กณั ฑท์ ่ี 16 จาพรรษา 4 กัณฑท์ ี่ 17 อโบสถ ปวารณา 4
เน้ือหา นกั ธรรมช้นั โท เนื้อหาหลกั จานวนขอ้ กัณฑท์ ่ี 18 อุปปถกิริยา 2 กัณฑ์ท่ี 19 กาลิก 4 5 กัณฑ์ท่ี 20 ภัณฑะต่างเจ้าของ 4 กณั ฑ์ท่ี 21 วินยั กรรม 3 กัณฑท์ ี่ 22 ปกณิ ณกะ 3 รวมขอ้ 50
1.1.1 ความรูเ้ ก่ียวกับศัพท์และนิยาม หมายถึง การ ถามเกี่ยวกับคาศัพท์ นิยามคาแปล ความหมาย ชื่อ อักษรย่อ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ ตัวอย่าง : ศีลพระภกิ ษุ ! มกี ขี่ ้อ ? ก. 112 ข. 222 ค. 227 ง. 300 1.1.2 ความรู้เกยี่ วกบั กฎและความจริง หมายถงึ การถามเกย่ี วกบั กฎ สูตร ความจริงตามท้องเรื่อง ขนาด ทศิ ทาง ปริมาณ เวลา คุณสมบัติ ระยะทาง เปรียบเทยี บ สาเหตุ ตัวอย่าง : พระภกิ ษุ ควรฉันนา้ อะไร ? ก. นา้ มูลเน่า ข. นา้ ประปา ค. นา้ ฝน ง. นา้ บาดาล
2.ดา้ นความเขา้ ใจ (COMPREHENSION) หมายถงึ ความสามารถในการนาความรู้ความจาไปดดั แปลงปรับปรุง เพื่อให้ สามารถจบั ใจความ หรือเปรียบเทยี บ ย่นย่อเรื่องราว ความคดิ ข้อเทจ็ จริง ต่าง ๆ แบ่งออกเป็ น 3 ด้านมีรายละเอยี ด ดงั นี้ 2.1 การแปลความ หมายถึง ความสามารถแปลส่ิงซ่ึงอยู่ในระดับหนึ่งไปยงั อกี ระดับหน่ึงได้ สุภาษติ สานวน โวหาร ตวั อย่าง : พระวนิ ัยมไี ว้เพื่อการใด ? ก. เกดิ ความสวยงาม ข. เกดิ ความดงี าม ค. เกดิ การนาไปสู้ความแจ้ง ง. เกดิ การนาไปสู่ความแจ้งต่าง
2.ดา้ นความเขา้ ใจ (COMPREHENSION) หมายถงึ ความสามารถในการนาความรู้ความจาไปดัดแปลงปรับปรุง เพื่อให้ สามารถจับใจความ หรือเปรียบเทียบ ย่นย่อเร่ืองราว ความคดิ ข้อเทจ็ จริง ต่าง ๆ แบ่งออกเป็ น 3 ด้านมีรายละเอยี ด ดงั นี้ 2.2 การตีความ หมายถึง การจับใจความสาคญั ของเรื่องหรือการเอาเร่ืองราว เดมิ มาคดิ ในแง่ใหม่ ตัวอย่าง : เหตุใดพระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิอนุบัญญตั ิขนึ้ มาเพ่ือกาลใด ? ก. เพื่อให้ทราบเหตุแห่งความผดิ ข. เพ่ือให้ทราบเหตุแห่งความคดิ ค. เพื่อให้ทราบถึงโทษ ง.เพื่อให้เข้าใจในโทษ
3.ดา้ นการนาไปใช้ (APPLICATION) หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องราวใด ๆ ไปใชใ้ นสถานการณจ์ ริงในชวี ติ ประจาวนั หรือในสถานการณท์ ่ี คลา้ ยคลึงกนั ตวั อยา่ ง : ภิกษุผูป้ ฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบยอมไดร้ บั ผลอะไร ? ก. ยอ่ มไดร้ บั ความเคารพ ข. ยอ่ มไดค้ วามไวใ้ จ ค. ยอ่ มไดร้ บั ความสรรเสริญ ง. ยอ่ มไดร้ บั อานิสงสส์ มควรแก่สถานะ
4.ดา้ นการวิเคราะห์ (ANALYSIS) หมายถึง การแยกแยะพิจารณาดูรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ หรือเร่ืองราวต่าง ๆ วา่ มีชิ้นส่วนใดสาคญั ท่ีสุด เป็นการใชว้ ิจารณญาณเพ่อื ไตร่ตรอง 4.1 การวิเคราะห์ ความสาคญั หมายถึง การพิจารณาหรือจาแนกวา่ ชิ้น ใด ส่วนใด เรื่องใด ตอนใด สาคญั ที่สุด หรือหาจุดเด่น จุดประสงคส์ าคญั ตวั อยา่ ง : ขอ้ ความใดต่อไปน้ีมีความสาคญั มากท่ีสุด ? ก.ปาราชิก ข.สงั ฆาทิเสส ค.ปาจิตตีย์ ง. นิสสคั คียปาจิตตีย์
แนวทางการทาขอ้ สอบ อุปสัมปทา(๑ขอ้ ) ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา คือ การอุปสมบทดว้ ยญัตติ จตุตถกรรม หมายถึง หมู่สงฆ์เป็ นผูบ้ วชใหด้ ว้ ยการสวดต้ัง ญัตติ สมบตั ิ ๕ ประการ จึงถือวา่ เป็ นการอุปสมบทท่ีถูกตอ้ ง สมบรู ณ์
พระวินัย ( ๕ ขอ้ ) อนุศาสน์ คือ การตาม คาพรา่ สอน หรือโอวาท คาที่อุปัชฌายส์ อน วินยั หมายถึง ระเบียบสาหรบั ควบคุมและอบรมกาย วินยั บญั ญตั ิ คือ พทุ ธบญั ญตั ิ หมายถึง กฎระเบียบท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิ อภิสมาจาร คือ อภิสมาจารกิ าสิกขา หมายถึง ขอ้ ศึกษาเก่ียวกบั ขนบธรรมเนียมประเพณี
พระวินัย ( ๕ ขอ้ ) พระบัญญัติ ไดแ้ ก่ มูลบัญญัติและอนุบัญญัติท่ีทรง บัญญัติ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ไดแ้ ก่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ เป็ นพุทธอาณา อภิสมาจาริกาสิกขา ไดแ้ ก่ สิกขาบทท่ีทรงบัญญัติเป็ น อภิสมาจารเป็ นหลัก ตามบาลีพระสูตร ทุติยปัณณาสกะติกนิบาต อังคุตตร นิกายมี ๑๕๐ สิกขาบท ในพระปาติโมกขท์ ี่สวดกันอยู่ในคัมภีร์วิภังค์แห่ง สิกขาบทแสดงไว้ มี ๒๒๗ สิกขาบท โดยเพิ่มอนิยต ๒ และเสขิย วตั ร ๗๕
ปาจิตตีย์ ๙๒ (๑ขอ้ ) (๒) ภิกษุด่าภิกษุ ตอ้ งปาจิตตีย์ คาด่า หรือ โอม สวาท คือ คาพูดที่เสียดแทงใหผ้ ูอ้ ื่นเกิดความเจ็บใจ ซ่ึงมี ลักษณะ ๒ อย่าง คือ ๑)แกลง้ พูดยกยอประชดประชัน ๒)พูด เหยียดหยาม (มุสาวาทวรรค) (๔)ภิกษุเอาเตียง ตงั ่ ฟูก เกา้ อ้ ี ของสงฆ์ไปต้ังในท่ีแจง้ แลว้ เม่ือหลีกไปจาก ท่ีน้ัน(ภูตคามวรรค) (๔) ภิกษุนัง่ ในท่ีลับกับผูห้ ญิง ไม่มีผูช้ ายอยู่เป็ นเพ่ือน (อเจลกวรรค)
ปฏิเทสนียะและ เสขยวัตร( ๑ ข้อ) ปาฏิเทสนียะ แปลว่า อาบตั ิที่ตอ้ งแสดงคืน เป็ นชื่อของอาบตั ิที่ภิกษุตอ้ งเขา้ แลว้ จะตอ้ งแสดง คืน จดั เป็ นลหุกาบตั ิ มีโทษเบา เป็ นสเตกิจฉา (๑๒) ภิกษุพึงทาความศึกษาว่า เราจกั ไม่ดู บาตรของผูอ้ ื่นดว้ ยคิดจะยกโทษ (โภชนปฏิสังยุต) อธิกรณสมถะ๗( ๒ ข้อ) (๑) ความเถียงกนั ว่า ส่ิงน้ันเป็ นธรรมเป็ น วินัย สิ่งน้ีไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย เรียก วิวาทาธิ กรณ์
อธิกรณสมถะ๗( ๑ ข้อ) อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเครื่องระงบั อธิกรณ์หรือ วิธีระงบั อธิกรณ์มี ๗ อย่าง คือ ๑. สัมมุขาวินยั คือ วิธีระงบั ในที่ พร้อมหน้า อธิกรณสมถะ ๗ อย่างน้ี กาหนดให้ ใชร้ ะงบั อธิกรณ์ ๔ อย่างได้
นักธรรมช้ันโท กายบริหาร(๓ ขอ้ ) ขอ้ ท่ี ๖ อย่าพึงผัดหน้า ไล่หน้า ทาหน้า เจิมหน้า ยอ้ มตัว ขอ้ ที่ ๗ อย่าพึงใส่เครื่องประดับต่างๆ บริขารบริโภค(๒ ขอ้ ) จีวรอันเป็ นบริขารเครื่องนุ่งห่มของภิกษุ จึงมี ๓ ผืน เรียกว่า “ติจีวร” หรือ ไตรจีวร แปลว่า ผา้ ๓ ผืน พระพุทธานุญาตใหย้ อ้ มจีวรดว้ ยของ ๖ นิสัย( ๒ ขอ้ ) เหตุที่นิสสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์ (ไม่เป็ นอันถือนิสสัย หมดวาระการถือนิสสัย) มี ๕ ขอ้ องค์สมบัติของภิกษุมัชฌิมะผูเ้ ป็ นนิสสัยมุตตกะ มี ๔ ขอ้
นักธรรมช้ันโท วัตร(๔ขอ้ ) จัดประเภทวตั รท่ีจะศึกษาเป้น ๓ ประเภท คือ (๑) กิจวตั ร ว่าดว้ ยกิจท่ีควรทา (๒) จริยาวตั ร ว่าดว้ ยกิจอันควร ประพฤติ (๓) วิธีวตั ร ว่าดว้ ยแบบอย่าง องค์สมบัติของภิกษุพยาบาลไขท้ ี่เขา้ ใจพยาบาล ตรัสไว้ ๕ ประการ คารวะ( ๑ ขอ้ ) บุคคลผูท้ ่ีภิกษุไม่ควรไหว้ มี ๓ ประเภท คือ (๑) อนุปสัมบัน (๒) ภิกษุผูเ้ ป็ นนานา สังวาส (ต่างนิกาย) พูดไม่ เป็ นธรรม (๓) ภิกษุผูอ้ ่อนพรรษากว่าตน
นักธรรมช้ันโท จาพรรษา( ๔ ขอ้ ) ดิถีท่ีกาหนดใหเ้ ขา้ พรรษา มี ๒ ช่วง คือ ๑. ปุริมิกา วสั สูปนายิกา วนั เขา้ พรรษาตน้ ๒. ปัจฉิมิกา วสั สูปนายิกา วนั เขา้ พรรษาหลัง สัตตาหกรณียะ หมายถึง กิจจาเป็ นท่ีทรงอนุญาต พิเศษใหภ้ ิกษุหรือภิกษุณีออกจาก สถานท่ีจาพรรษาไปคา้ งคืน ท่ีอื่นไดภ้ ายใน ๗ วนั อานิสงส์ของการเข็าพรรษา ๕ ประการ อุโบสถ ปวารณา ( ๓ ขอ้ ) บุพพกรณ์ คือ กิจที่พึงทาก่อนสงฆ์ลงประชุม มี ๔ อย่าง บุพพกิจ คือ กิจท่ีพึงทาก่อนสวดปาติโมกข์ มี ๕ อย่า
นักธรรมช้ันโท อุโบสถ ปวารณา ( ๔ ขอ้ ) การทาสังฆอุโบสถ คือการสวดปาติโมกข์น้ัน ตอ้ ง ประกอบดว้ ยองค์ ๔ คือ การบอกฤดู ในคร้ังพุทธกาล มี ๓ ฤดู คือ (๑) เหมันตฤดู ฤดูหนาว (๒) คิมหันตฤดู ฤดูรอ้ น (๓) วสันตฤดู ฤดูฝน การนับภิกษุ มี ๒ วิธี คือ (๑) เรียกช่ือ สาหรบั ภิกษุท่ีอยู่วัดเดียวกัน (๒) ใส่คะแนน สาหรับภิกษุอยู่ต่างวัดกัน
นักธรรมช้ันโท อุปปถกิริยา( ๒ ขอ้ ) อุปปถกิริยา ท่านจาแนกใหศ้ ึกษา ๓ ประเภท ๑. อนาจาร คือ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และการเล่นมีประการต่าง ๆ ๒. ปาปสมาจาร คือ ความประพฤติเลวทราม ๓. อเนสนา คือ การเล้ ียงชีพไม่สมควร
นักธรรมช้ันโท อุปปถกิริยา( ๒ ขอ้ ) อเนสนา หมายถึง กิริยาท่ีภิกษุแสวงหาเล้ ียงชีพในทาง ไม่สมควร จาแนกเป็ น ๒ ประเภท คือ (๑) การแสวงหาท่ีเป็ นโลกวชั ชะ คือ มีโทษทางโลก เช่น ทาโจรกรรม (๒) การแสวงหาท่ีเป็ นปัณณัตติวชั ชะ คือ มีโทษทาง พระวินัย เช่นการทาวิญญัติ คือ ออกปากขอ ต่อคนที่ไม่ควรขอ หรือในเวลาที่ไม่ควรขอ กาลิก ๔ ( ๓ ขอ้ ) ยามกาลิก ของที่รับประเคนไว้ และฉันไดช้ ัว่ วนั หนึ่งกับ คืนหนึ่ง คือก่อนอรุณข้ ึน ท่ีทรงอนุญาต ๘ ชนิด
นักธรรมช้ันโท กาลิก ๔ ( ๕ ขอ้ ) ยามกาลิก ของที่รับประเคนไว้ และฉันไดช้ ัว่ วนั หนึ่งกับคืนหน่ึง คือก่อนอรุณข้ ึน ที่รงอนุญาต ๘ ชนิด วิธีทาน้าปานะ คือปอกหรือควา้ นผลไมเ้ หล่าน้ ีท่ี สุก เน้ ือชนิดที่เป็ นอุทิสสมังสะ คือเน้ ือที่ฆ่าเฉพาะตน ท่านก็หา้ ม แต่ถา้ ไม่รู้ ฉันไม่เป็ น อาบัติ ส่วนเน้ ือที่เป็ นปวัตตมังสะ คือเน้ ือท่ีเขาฆ่า บริโภคกันทัว่ ไป
ภัณฑะต่างเจา้ ของ( ๔ ขอ้ ) ที่กัลปนา คือ ที่นา ท่ีสวน จดั เป็ นครุภณั ฑ์ ปัจจุบันเรียก ธรณีสงฆ์ วินัยกรรม ( ๒ ขอ้ ) ๑. วิธีแสดงอาบตั ิตัวเดียว ๒. ตอ้ งอาบัติอย่างเดียวกันหลายตัว การทาพิธีปลงบริขาร ในกรณีภิกษุอาพาธ หนัก ท่ีกัลปนา สวน ไร่นาที่ทายกถวาย(ปัจจุบนั เรียกธรณีสงฆ์
นักธรรมช้ันโท วินัยกรรม ( ๓ ขอ้ ) ๑. วิธีแสดงอาบตั ิตัวเดียว ๒. ตอ้ งอาบัติอย่างเดียวกนั หลายตัว อธิษฐานมี ๒ อย่าง คือ (๑) อธิษฐานดว้ ยกาย โดยเอามือลูบคลา บริขารท่ีอธิษฐานน้ัน (๒) อธิษฐานดว้ ยวาจา โดย เปล่งวาจาอธิษฐานไม่ตอ้ งถูกตอ้ งดว้ ยกายก็ได้ วิกัปป์ หมายถึง การทาใหเ้ ป็ นสองเจา้ ของ
นักธรรมช้ันโท ปกิณณกะ ( ๓ ขอ้ ) วิบัติ หมายถึง ความเสื่อมเสียหายของภิกษุ มี ๔ อย่าง คือ ๑. สีลวิบัติ ๒. อาจารวิบัติ ๓. ทิฏฐิวิบัติ ๔. อาชีววิบัติ อโคจร มี ๖ ประเภทคือ ๑. หญิงแพศยา ๒. หญิงหมา้ ย ๓. สาวเท้ ือ คือหญิงโสด ๔. ภิกษุณี เป็ นพรหมจารินี จัดว่าเป็ นหญิงโสด ๕. บัณเฑาะก์ ๖. รา้ นสุรา คือท่ีขายสุราและโรงกลัน่ สุรา
นักธรรมช้ันโท ปกิณณกะ ( ๓ ขอ้ ) ๑. ทรงอนุญาตเฉพาะอาพาธ เช่น ยามหาวิกัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถา้ ดิน ทรงอนุญาตเฉพาะภิกษุผูถ้ ูกงูกดั แม้ ไม่ไดร้ ับประเคน ก็ฉันได้ ไม่เป็ นอาบตั ิ น้าขา้ วใสหรือน้าขา้ วตม้ ท่ีไม่มีกากและ น้าเน้ ือตม้ ที่ไม่มีกาก เป็ นของทรงอนุญาต แก่ภิกษุไขท้ ี่จาจะตอ้ งไดอ้ าหารในเวลา วิกาล
แนวข้อสอบวิชาวินัย 1.ขอ้ ใดความหมายของคาว่า”วตั ถสุ มบตั ”ิ 1.ความถึงพรอ้ มแห่งบริษัท 2.ความพึงพรอ้ มแหง่ สมี า 3.คุณสมบตั ิของผูอ้ ุปสมบท 4.กจิ ที่จะตอ้ งทาใหแ้ ลว้ เสร็จก่อนการอปุ สมบท 5.การสวดประกาศรบั เขา้ หม่คู ือเป็ นภิกษุ
2.อาการที่ภิกษุตอ้ งอาบตั ิ ในขอ้ ใดท่ีเป็ น อเตกจิ ฉา 1.ด่ืมสุราจนเมาขาดสติ 2.ชกั สื่อใหช้ ายหญิงแต่งงาน 3.เปลือยกายอาบน้าในลาคลอง 4.แกลง้ ซอ่ นบริขารของภิกษุอ่นื 5.พดู อวดคุณวเิ ศษที่ไม่มีในเอง
3.เภสชั 5 น้นั ถา้ ภิกษุรบั ประเคนไวค้ รบ 7 วนั แลว้ สละ ภายหลงั มีผนู้ ากลบั มาประเคนภิกษุจะตอ้ งอาบตั หิ รือไม่ เพราะเหตใุ ด 1.เป็ นอาบตั ิ เพราะเกินกาหนด 7 วนั 2.เป็ นอาบตั ิ เพราะไมม่ ีขอ้ อนุญาตใหน้ ากลบั มาฉนั อีก 3.ไมเ่ ป็ นอาบตั ิ เพราะไมน่ ามาฉนั แต่นาไปใชท้ าอยา่ งอ่ืน 4.ไมเ่ ป็ นอาบตั ิ เพราะนามาประเคนใหมแ่ ลว้ สามารถฉนั ได้ 5.เป็ นอาบตั ิ เพราะนากลบั มาประเคนอีก
4.ขอ้ ใด มิใช่ จุดมุ่งหมายของการบญั ญตั ิพระวนิ ัย 1.เพื่อความดีงามแหง่ สงฆ์ 2.ป้องกนั ไม่ใหเ้ ป็ นคนดุรา้ ย 3.ใหเ้ ป็ นธรรมเนียมของภิกษุ 4.ไมใ่ หเ้ ป็ นคนประพฤติเสียหาย 5.ป้องกนั การหลอกผูอ้ ่ืนเล้ ียงชีพ
5.ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ สมุฏฐานท่ีเป็ นทางเกิดแหง่ อาบตั ิ 1.ลาพงั กาย 2.กายกบั จิต 3.วาจากบั จิต 4.ลาพงั วาจา 5.ตอ้ งดว้ ยไมล่ ะอาย
6.อาบตั ิตามขอ้ ใดเม่ือภิกษุตอ้ งเขา้ แลว้ จะตอ้ งประพฤติ วฏุ ฐานวธิ ี 1.ปาจิตตีย์ 2.ถุลลจั จยั 3.ปาราชิก 4.ทุพภาสิต 5.สงั ฆาทิเสส
7.ผา้ ท่ีนอกเหนือจากผา้ อธิษฐานไตรจวี ร ภิกษุเก็บไว้ ไดไ้ มเ่ กนิ กวี่ นั 1.5 วนั 2. 7 วนั 3. 9 วนั 4.10 วนั 5.11 วนั
8.ภิกษุใชส้ ามเณรขดุ ดิน เป็ นอาบตั ิหรือไม่เพราะเหตุ ใด 1.เป็ น เพราะไม่ขดุ เอง 2.เป็ น เพราะทาเองหรือใชใ้ หผ้ ูอ้ ืน่ ทากผ็ ิด 3.ไมเ่ ป็ น เพราะมขี อ้ อนุญาตไว้ 4.ไม่เป็ น เพราะใชใ้ หผ้ ูอ้ ื่นขุดแทน 5.ไม่เป็ น เพราะขุดเพอื่ ทาประโยชน์อยา่ งอื่น
9.ภิกษุควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ในขณะบิณฑบาต 1.ห่มจวี รใหส้ งู กวา่ ชายสบง 2.พดู ทกั ทายญาติโยมทุกคน 3.ห่มจวี รพาดสงั ฆาฏใิ หเ้ รียบรอ้ ย 4.รบั บิณฑบาตพอเสมอขอบปากบาตร 5.อุม้ บาตรดว้ ยมอื ขวา และเปิ ดบาตรดว้ ยมือ ซา้ ย
10.การวินิจฉยั อธิกรณ์ โดยใชห้ ลกั ประชาธิปไตย ตรงกบั ขอ้ ใด 1.สติวนิ ัย 2.อมูฬหวนิ ัย 3.สมั มุขาวนิ ัย 4.เยภุยยสิกา 5.ปฏญิ ญาตกรณะ
11.เพราะเหตใุ ด ในสมยั พทุ ธกาลพระ พทุ ธองคจ์ งึ ทรงหา้ มการผ่าตดั ทวารหนกั 1.เป็ นท่ีลบั 2.ขบั ถ่ายลาบาก 3.แผลอาจติดเช้ อื 4.ตอ้ งใชข้ องมคี ม 5.ทาใหเ้ กิดความกระสนั
12.ภกิ ษุเปลอื ยกายในสถานทแ่ี ละเวลาท่ี ไม่ บงั ควรจะปรบั อาบตั ติ ามขอ้ ใด 1.ปาจิตตีย์ 2.ทุกกฏ 3.ถุลลจั จยั 4.สงั ฆาทิเสส 5.ปาราชิก
13.การปฏิบตั ริ กั ษารา่ งกายใหส้ ะอาดปลอดภยั ตามหลกั กายบรหิ ารน้นั ขอ้ ท่ี 1 ใน กายบริหาร คือขอ้ ใด 1.อยา่ งพงึ ไวผ้ มยาว จะไวไ้ ดเ้ พียง 2 เดือนหรอื 2 น้ ิว 2.อยา่ งพงึ ไวห้ นวดเครา 3.อยา่ พึงไวเ้ ล็บยาว 4.อยา่ พงึ ไวข้ นจมูกยาว 5.อยา่ พงึ นุ่งห่มอยา่ งคฤหสั ถ์
14.ภิกษุทาจวี รดว้ ยฝ้ายปนกบั ผา้ ไหม จะผิดหรือไม่ เพราะเหตุใด 1.ผิด เพราะทรงอนุญาตใหท้ าจากฝ้ายอยา่ งเดียว 2.ผิด เพราะทรงอนุญาตใหท้ าจากไหมอยา่ งเดียว 3.ผิด เพราะไมท่ รงอนุญาตใหใ้ ชว้ ตั ถุดิบปนกนั 4.ไมผ่ ิด เพราะทรงอนุญาตใหใ้ ชว้ ตั ถุดิบปนกนั ได้ 5.ไมผ่ ิด เพราะสามารถปลงอาบตั ิได้
15.การกระทาในขอ้ ใดที่ถือวา่ ไม่วา่ ปฏบิ ตั ิ ตามธรรมเนียมระวงั รกั ษาบาตร 1.ลา้ งบาตรและผ่ึงบาตรใหแ้ หง้ กอ่ นเกบ็ 2.เชด็ บาตรใหแ้ หง้ กอ่ นานาไปผึ่งแดด 3.ท้ ิงเศษอาหารลงในบาตร 4.ลา้ งมือกอ่ นจะจบั บาตร 5.วางบาตรท่ีรองบาตร
16.คาวา่ “โกเสยยะ”เป็ นจวี รท่ีทาดว้ ยส่ิงใด 1.ผา้ ทาดว้ ยฝ้าย 2.ผา้ ทาดว้ ยเปลือกไม้ 3.ผา้ ทาดว้ ยไหม 4.ผา้ ทาดว้ ยขนสตั ว์ 5.ผา้ ทาดว้ ยเปลือกป่ าน
17.ภิกษุบวชแลว้ ไม่ได้ อยเู่ ดียวกบั พระอุปัชฌาย์ ควรถือนิสยั กบั ใคร 1.ดว้ ยตนเอง 2.พระอปุ ัชฌายต์ ่างวดั 3.ภิกษุผูม้ พี รรษาเท่ากนั 4.ภิกษุผูม้ ีพรรษาพน้ หา้ แลว้ 5.ภิกษุผูม้ ีพรรษาพน้ สบิ แลว้
18.ขอ้ ใด มิใช่ คุณสมบตั ิของผูจ้ ะพน้ การถือ นิสสยั จากอุปัชฌายอ์ าจารย์ 1.ผูม้ ีศีล 2.ผูม้ ศี รทั ธา 3.ผูม้ ีอุปัฏฐาก 4.ผูม้ พี รรษาพน้ หา้ แลว้ 5.ผูร้ อู้ าบตั ิมใิ ช่อาบตั ิ
19.คุณสมบตั ิของภิกษุรปู ใดถือวา่ ยงั ไมพ่ น้ จากการ ถือนิสสยั 1.ภิกษุแดง มพี รรษาครบสิบ 2.ภิกษุดา มีพรรษาครบหกพรรษาในปี น้ ี 3.ภิกษุทอง บวชพรอ้ มกบั ภิกษุดา 4.ภิกษุเขยี ว มพี รรษานอ้ ยกวา่ ภิกษุดาสองพรรษา 5.ภิกษุขาว เป็ นอาจารยข์ องภิกษุแดงเพราะบวช กอ่ น
20.การท่ภี กิ ษุบวชแลว้ จะพน้ การถือนิสสยั เกณฑต์ ามขอ้ ใดสาคญั ที่สุด 1.เป็ นผูม้ ศี รทั ธาหริ ิโอตปั ปะ 2.ถึงพรอ้ มดว้ ยศีลอาวาสะ 3.รจู้ กั อาบตั ิมใิ ช่อาบตั ิ 4.รูจ้ าปาฏิโมกขแ์ ม่นยา 5.มพี รรษา 5 ข้ นึ ไป
21.ขอ้ ใดเป็ นวตั รทมี่ ีความสมั พนั ธก์ นั 1.อุปัชฌายวตั ร กบั ภตั ตคั ควตั ร 2.อาคนั ตุกวตั ร กบั อาวาสิกวตั ร 3.คมกิ วตั ร กบั คิลานุปัฏฐากวตั ร 4.ปิ ณฑจาริกวตั ร กบั วจั จกุฏกิ วตั ร 5.เสนาสนคาหากวตั ร กบั คิลานวตั ร
22.ถา้ ภกิ ษุมีเหตจุ าเป็ นตอ้ งยา้ ยวดั พงึ ปฏิบตั ติ ามวตั รใด 1.คมิกวตั ร 2.คิลานวตั ร 3.อาวาสิกวตั ร 4.วจั จกุฏิกวตั ร 5.ปิ ณฑจาริกวตั ร
Search