Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทบทวนนักธรรมตรี 2563

ทบทวนนักธรรมตรี 2563

Published by อาจูหนานภิกขุ, 2020-09-22 09:09:19

Description: ทบทวนนักธรรมตรี 2563

Search

Read the Text Version

ทบทวนนักธรรมตรี เวอร์ช่ัน ๒๕๖๓

ทบทวนกร ฝึ กเขียนกระท้จู าก ปี พ.ศ. ภาษติ ท่ีออกข้อสอบ 2562 ททํ มติ ตฺ านิ คนฺถต.ิ ผ้ใู ห้ ย่อมผกู ไมตรีไว้ได้. ส.ํ ส. ๑๕/๓๑๖. 2561 สพพฺ ทานํ ธมมฺ ทานํ ชินาต.ิ การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทงั้ ปวง. ขุ. ธ. ๒๕/๖๓. 2560 สาธุ ปาเปน ทุกกฺ รํ. ความดี อนั คนชวั่ ทายาก ว.ิ จลุ . ๗/๑๙๕ ขุ. อ.ุ ๒๕/๑๖๗. 2559 ผาตึ กยริ า อวเิ หฐย ปรํ. ควรทาแตค่ วามเจริญ อยา่ เบียดเบยี นเขา. ขุ. ชา. สตตฺ ก. ๒๗/๒๑ 2558 สุขา สงฆฺ สฺส สามคคฺ ี ความพร้อมเพรียงของหมู่ ให้เกิดสขุ . ขุ. ธ. ๒๕/๔๑. ขุ. อติ .ิ ๒๕/๒๓ 2557 อพยฺ าปชฌฺ ํ สุขํ โลเก ความไมเ่ บยี ดเบียน เป็นสขุ ในโลก. (พุทธ) ว.ิ มหา. ๔/๖. ขุ. อุ. ๒ 2556 โกโธ ทุมเฺ มธโคจโร. ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนมีปัญญาทราม ขุ.ชา.ทสก. ๒๗/๒๘๐

ระท้ธู รรม อยู่ในหมวด กข้อสอบท่ผี ่านมา ทาน ชนะ ๑๒ กรรม ๓๘. อง.ฺ ทสก. ๒๔/๘๐ ๒๕/๘๖. บคุ คล ๐ สามคั คี สขุ โกรธ

2555 หริ ิโอตตฺ ปปฺ ิ ยญเฺ ญว โลกํ ปาเลติ สาธุกํ หิริและโอตตปั ปะ ย่อมรักษาโลกไว้เป็นอนั ดี (ว.ว) 2554 ททมาโน ปิ โย โหติ ผ้ใู ห้ ย่อมเป็นท่ีรัก องฺ ปญจฺ ก. ๒๒/๔๔ 2553 โมกฺโข กลยฺ าณิยา สาธุ เปลง่ วาจางาม ยงั ประโยชน์ให้สาเร็จ ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘ 2552 กาโล ฆสติ ภตู านิ สพพฺ าเนว สหตตฺ นา กาลเวลา ย่อมกินสรรพสตั ว์พร้อมทงั้ ตวั มนั เอง ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒ 2551 สพเฺ พสํ สงฆฺ ภตู านํ สามคคฺ ี วุฑฒฺ สิ าธิกา ความพร้อมเพรียงของปวงชนผ้เู ป็นหมู่ ยงั ความเจริญให้สาเร็จ ส. ส 2550 โกธาภภิ โู ต กุสลํ ชหาติ ผ้ถู กู ความโกรธครอบงา ย่อมละกศุ ลเสีย นัย. ขุ. ชา. ทสก. ๒๗/๒ 2549 สตมิ โต สุเว เสยโฺ ย คนมีสติ เป็นผ้ปู ระเสริฐทกุ วนั . ส.ํ ส. ๑๕/๓๐๖. 2548 อนตถฺ ํ ปริวชฺเชติ อตถฺ ํ คณฺหาติ ปณฺฑโิ ต. บณั ฑิตยอ่ มเว้นสง่ิ ท่ีไมเ่ ป็นประโยชน์ ถือเอาแตส่ งิ่ ที่เป็นประโยชน.์ 2547 ขนฺติ หติ สุขาวหา.

๒๘ เบด็ เตลด็ ส. ทาน ๒๘๖. วาจา เบด็ เตลด็ อง.ฺ จตุกกฺ . ๒๑/๕๙ สามคั คี โกรธ สติ บคุ คล อดทน

ความอดทน นามาซงึ่ ประโยชน์สขุ . ส. ม. 2546 สณฺหํ คริ ํ อตถฺ วตึ ปมุญเฺ จ. ควรเปลง่ วาจาไพเราะที่มีประโยชน์. ขุ. ชา. เตรส. ๒๗/๓๕๐ 2545 อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ ตนแล เป็นท่ีพงึ่ แห่งตน. ขุ. ธ. ๒๕/๓๖,๖๖. 2544 อปปฺ มตโฺ ต อุโภ อตเฺ ถ อธคิ คฺ ณฺหาติ ปณฺฑโิ ต. บณั ฑิตผ้ไู ม่ประมาท ย่อมได้รับประโยชน์ทงั้ สอง. ขุ. อติ .ิ ๒๕/๒๔๒ 2543 สีลํ โลเก อนุตตฺ รํ. ศีลเป็นเย่ียมในโลก. ขฺุ ชา. เอก. ๒๗/๒๘

วาจา ตน ไมป่ ระมาท ๒. ศีล



ทบทวน ธรรมวิภาค นักธรรมชัน้ ตรี หมวด ๒  ธรรมมีอุปการะมาก ๒ อยา่ ง ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒. สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั สติ และ สัมปชัญญะ ทงั้ สองนี ้ชื่อวา่ มอี ปุ การะมาก เพราะเป็ นคณุ ธรรมอดุ หนนุ ให้สาเร็จกิจในทางดี ไมห่ ลงลมื ไมผ่ ิดพลาด, เป็ นเคร่ืองนามาซง่ึ ประโยชน์เกือ้ กลู ในกิจการทงั้ ปวง และเป็ นอปุ การะให้ธรรมเหลา่ อนื่ เกิดขนึ ้ (ปี 2562, 2545) คนทท่ี าอะไรมกั พลงั้ พลาด เพราะขาดธรรมอะไร? ตอบ เพราะขาดสติ ความระลกึ ได้กอ่ นแตจ่ ะทา และขาดสมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ในขณะทา ฯ (ปี 2560) สติ แปลวา่ อะไร ? เพราะเหตไุ รจึงชื่อวา่ เป็ นธรรมมีอปุ การะมาก ? ตอบ สติ แปลวา่ ความระลกึ ได้ ฯ เพราะชว่ ยให้สาเร็จกิจในทางทด่ี ี ฯ (ปี 2557) ธรรมท่ไี ด้ช่ือวา่ มอี ปุ การะมาก คอื ธรรมอะไร? เพราะเหตไุ รจงึ จดั วา่ มีอปุ การะมาก? ตอบ คอื สติ ความระลกึ ได้ และสมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ฯ เพราะเป็ นคณุ ธรรมอดุ หนนุ ให้สาเร็จประโยชน์เกือ้ กลู ในกิจทงั้ ปวง ฯ (ปี 2555) สมั ปชญั ญะ หมายความวา่ อยา่ งไร ตอบ สมั ปชญั ญะ หมายถึง ความรู้ตวั (ปี 2553) ธรรมมีอปุ การะมากมีอะไรบ้าง? ทว่ี า่ อปุ การะมากนนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ มี สติ ความระลกึ ได้ สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ฯ ท่วี า่ อปุ การะมากนนั้ เพราะทาให้เป็ นผ้ไู มป่ ระมาทในการทากิจกรรมงานใดๆและเป็ นอปุ การะให้ธรรมเหลา่ อ่นื เกิดขนึ ้ ฯ (ปี 2548) ธรรมมีอปุ การะมาก ได้แกอ่ ะไรบ้าง? บคุ คลผ้ขู าดธรรมนจี ้ ะเป็ นเชน่ ไร? ตอบ ได้แก่ สติ ความระลกึ ได้ และ สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ฯ จะเป็ นคนหลงลมื จะทาจะพดู หรือจะคดิ อะไรมกั ผิดพลาด ฯ  ธรรมเป็ นโลกบาล คอื ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อยา่ ง ๑. หริ ิ ความละอายแก่ใจ ได้แก่ ความละอายใจในการประพฤติชว่ั ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ได้แก่ ความเกรงกลวั ผลชว่ั ไมก่ ล้าทาเหตชุ วั่ ธรรมเป็ นโลกบาล (เป็ นธรรมคุ้มครองโลก) เพราะเป็ นคณุ ธรรมทาบคุ คลให้รังเกียจ และเกรงกลวั ตอ่ ความชวั่ ไมก่ ล้าทา ชว่ั ทงั้ ในทลี่ บั และทแ่ี จ้ง (ปี 2562, 2560, 2546 และ 2543) โลก (สงั คม) เดือดร้อนวนุ่ วาย (ในปัจจบุ นั น)ี ้ เพราะขาดธรรมอะไร? ตอบ เพราะขาดธรรมค้มุ ครองโลก ๒ อยา่ ง คอื ๑) หิริ ความละอายแก่ใจ ๒) โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ฯ (ปี 2561) ธรรมค้มุ ครองโลก มีกี่อยา่ ง ? อะไรบ้าง ? ตอบ มี ๒ อยา่ ง ฯ คือ ๑. หริ ิ ความละอายบาป ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาป (ปี 2556) หิริ และ โอตตปั ปะ ได้ช่ือวา่ ธรรมเป็ นโลกบาล เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะเป็ นคณุ ธรรมทาบคุ คลให้รังเกียจ และเกรงกลวั ตอ่ บาปทจุ ริต ไมก่ ล้าทาความชวั่ ทงั้ ในท่ีลบั และทแ่ี จ้ง ฯ (ปี 2555) พระพทุ ธเจ้าทรงสอนธรรมอะไรไว้สาหรับค้มุ ครองโลก? ตอบ ทรงสอนไว้ ๒ คอื ๑. หริ ิ ความละอายตอ่ บาป ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลบาป ฯ 1|Page

(ปี 2551) การท่บี คุ คลพบงพู ษิ แล้วสะด้งุ กลวั วา่ จะถกู กดั ตาย จดั เป็ นโอตตปั ปะ ได้หรือไม่ ? เพราะเหตใุ ด ? ตอบ ไมไ่ ด้ ฯ เพราะไมใ่ ชค่ วามเกรงกลวั ตอ่ บาป ฯ (ปี 2549) หริ ิกบั โอตตปั ปะ ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ ตา่ งกนั อยา่ งนี ้หิริ คอื ความละอายใจตนเองทีจ่ ะประพฤตชิ วั่ สว่ นโอตตปั ปะ คอื ความเกรงกลวั ผลของความชวั่ ทตี่ นจะได้รับ ฯ (ปี 2544) ธรรมข้อนจี ้ ะค้มุ ครองโลกได้อยา่ งไร? ตอบ ธรรมข้อนจี ้ ะค้มุ ครองโลกได้ เนอื่ งจากปัจจบุ นั โลกที่เกิดวกิ ฤตการณ์ในด้านตา่ ง ๆ สว่ นหนงึ่ นนั้ เป็ นเพราะชาวโลกละทงิ ้ ธรรม คอื หริ ิ และโอตตปั ปะ ไมล่ ะอายแก่ใจ ไมเ่ กรงกลวั ตอ่ ผลแหง่ ความชว่ั ขาดเมตตา  ธรรมอนั ทาให้งาม ๒ อย่าง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรัจจะ ความสงบเสง่ียม เป็ นธรรมทาให้งาม เพราะผ้ทู ี่สมบรู ณ์ด้วยขนั ตแิ ละโสรัจจะ ยอ่ มมใี จหนกั แนน่ ไมแ่ สดงอาการสงู ๆ ตา่ ๆ แม้จะประสบความดีใจหรือเสยี ใจก็อดกลนั้ ได้ รักษากาย วาจา ใจ ให้สภุ าพเรียบร้อยเป็ นปกติ (ปี 2559 และ 2550) ในทางโลก ดคู นงามท่ีรูปร่างหน้าตา สว่ นในทางพระพทุ ธศาสนา ดคู นงามทไี่ หน ? ตอบ ในทางพระพทุ ธศาสนา ดคู นงามกนั ทมี่ ีคณุ ธรรมอนั ทาให้งาม ๒ ประการ คอื ๑.ขนั ติ ความอดทน ๒.โสรัจจะ ความเสง่ียม ฯ (ปี 2547) ขนั ติ กบั โสรัจจะ เป็ นธรรมทาให้งามได้อยา่ งไร? ตอบ ขนั ติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม ผ้ทู ่สี มบรู ณ์ด้วยธรรมทงั้ ๒ นี ้ยอ่ มมีใจหนกั แนน่ ไมแ่ สดงความวิการออกมาให้ปรากฏ แม้จะประสบความดใี จ เสยี ใจ ก็อดกลนั้ ได้ รักษากาย วาจา ใจให้สภุ าพ สงบเสงี่ยมเป็ นปกติไว้ได้ จึงทาให้งาม ฯ (ปี 2546) บคุ คลมีกาย วาจา ใจ งดงาม เพราะปฏิบตั ธิ รรมอะไร? ตอบ เพราะปฏิบตั ิธรรมอนั ทาให้งาม ๒ อยา่ ง คอื ๑) ขนั ติ ความอดทน ๒) โสรัจจะ ความเสงี่ยม ฯ  บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง ๑. บุพพการี บคุ คลผ้ทู าอปุ การะก่อน ๒. กตัญญูกตเวที บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะที่ทา่ นทาแล้วและตอบแทน. (ปี 2562, 2554, 2552 และ 2548) บพุ พการีและกตญั ญกู ตเวทไี ด้แกบ่ คุ คลเชน่ ไร ? ตอบ บพุ พการี ได้แก่ บคุ คลผ้ทู าอปุ การะกอ่ น กตญั ญกู ตเวที ได้แก่ บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะทีผ่ ้อู ่ืนทาแก่ตน แล้วทาตอบแทน ฯ (ปี 2561 และ 2547) พระพทุ ธเจ้าทรงเป็ นบพุ พการีของพทุ ธบริษัทอยา่ งไร ? จงอธิบาย ตอบ พระพทุ ธเจ้าทรงกระทาอปุ การะแก่พทุ ธบริษัทกอ่ น ด้วยการทรงแนะนาสงั่ สอน ให้รู้ดีรู้ชอบตามพระองค์ เพือ่ ให้ได้บรรลุ ประโยชน์ ทงั้ ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี ้ประโยชน์ ในโลกหน้า และประโยชน์อยา่ งยงิ่ คือพระนพิ พาน จึงช่ือวา่ เป็ นบพุ พการี ฯ (ปี 2559) ในโลกนี ้มีบคุ คลประเภทใดบ้างท่หี าได้ยาก ? ตอบ มีบคุ คลทหี่ าได้ยาก ๒ ประเภท คือ 2|Page

๑. บพุ พการี บคุ คลผ้ทู าอปุ การะกอ่ น ๒. กตญั ญกู ตเวที บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะท่ีทา่ นทาแล้ว และทาตอบแทนทา่ น ฯ (ปี 2558) บพุ พการี และ กตญั ญกู ตเวที หมายถงึ บคุ คลเชน่ ไร ? ตอบ บพุ พการี หมายถงึ บคุ คลผ้ทู าอปุ การะกอ่ น กตญั ญกู ตเวที หมายถงึ บคุ คลผ้รู ู้ อปุ การะทที่ า่ นทาแล้ว และ ตอบแทน ฯ (ปี 2555) กตญั ญกู ตเวที หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ กตญั ญกู ตเวที หมายถึง บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะท่ีทา่ นทาแล้ว และตอบแทน ฯ (ปี 2554, 2552 และ 2548) บพุ พการีและกตญั ญกู ตเวที ได้แก่บคุ คลเชน่ ไร? จงยกตวั อยา่ งมาสกั ๒ คู่ ตอบ บพุ พการี ได้แกบ่ คุ คลผ้ทู าอปุ การะกอ่ น กตญั ญกู ตเวที ได้แก่บคุ คลผ้รู ู้อปุ การะทท่ี า่ นทาแล้ว และตอบแทน ฯ (ตอบเพียง ๒ ค)ู่ คทู่ ี่ ๑ มารดาบิดากบั บตุ รธิดา คทู่ ี่ ๒ ครูอาจารย์กบั ศษิ ย์ คทู่ ่ี ๓ พระราชากบั ราษฎร คทู่ ่ี ๔ พระพทุ ธเจ้ากบั พทุ ธบริษัท ฯ (ปี 2547) บพุ พการี ได้แก่บคุ คลเชน่ ไร? พระพทุ ธเจ้าทรงดารงอยใู่ นฐานะบพุ พการีของพทุ ธบริษัทอยา่ งไร? ตอบ ได้แก่ บคุ คลผ้ทู าอปุ การะก่อน ฯ พระพทุ ธเจ้าทรงกระทาอปุ การะแก่พทุ ธบริษัทก่อน ด้วยการทรงแนะนาสงั่ สอนให้รู้ดี รู้ชอบตามพระองค์ เพอ่ื ให้ได้บรรลปุ ระโยชน์ ทงั้ ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี ้ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อยา่ งยิ่งคือพระนพิ พาน จงึ ชื่อวา่ เป็ นบพุ พการี ฯ (ปี 2545) ได้ชื่อวา่ กตญั ญกู ตเวทบี คุ คล เพราะปฏิบตั ิตนอยา่ งไร? ตอบ เพราะเป็ นผ้รู ู้อปุ การะทีท่ า่ นทาแล้ว และตอบแทน ฯ หมวด ๓  รัตนะ ๓ คือ แก้ว ๓ ดวง ๑. พระพุทธ ทา่ นผ้สู อนให้ประชาชนประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ๒. พระธรรม พระธรรมวนิ ยั ทเี่ ป็ นคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้า ๓. พระสงฆ์ หมชู่ นทีฟ่ ังคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าแล้วปฏบิ ตั ชิ อบตามพระธรรมวินยั พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ชื่อวา่ รัตนะ เพราะเป็ นของมคี ณุ คา่ และหาได้ยาก เหมอื นเพชรนลิ จินดามคี า่ มาก นาประโยชน์และความสขุ มาให้แก่ผ้เู ป็ นเจ้าของ  คุณของรตนะ ๓ อย่าง ๑. พระพุทธเจ้า รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองกอ่ นแล้ว สอนผ้อู ่นื ให้รู้ตามด้วย. ๒. พระธรรม ยอ่ มรักษาผ้ปู ฏิบตั ิไมใ่ ห้ตกไปในที่ชวั่ . ๓. พระสงฆ์ ปฏบิ ตั ชิ อบตามคาสง่ั สอนของพระพทุ ธแล้ว สอนผ้อู ื่นให้กระทาตามด้วย.  อาการท่พี ระพุทธเจ้าทรงส่งั สอน ๓ อย่าง ๑. ทรงสงั่ สอนเพื่อให้ผ้ฟู ังรู้ยิ่งเหน็ จริงในธรรมท่คี วรรู้ควรเหน็ ๒. ทรงสงั่ สอนมีเหตทุ ผี่ ้ฟู ังอาจตรองตามให้เหน็ จริงได้. 3|Page

๓. ทรงสงั่ สอนเป็ นอศั จรรย์ คือผ้ปู ฏิบตั ิตามยอ่ มได้ประโยชน์โดยสมควรแกค่ วามปฏิบตั .ิ (ปี 2562, 2546) รัตนะ ๓ มอี ะไรบ้าง? รัตนะ ๓ นนั้ มีคณุ อยา่ งไร? ตอบ มี พระพทุ ธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ฯ มคี ณุ อยา่ งนี ้คอื ๑) พระพทุ ธเจ้ารู้ดรี ู้ชอบด้วยพระองค์เองกอ่ นแล้ว สอนผ้อู ่นื ให้รู้ตาม ๒) พระธรรมยอ่ มรักษาผ้ปู ฏิบตั ิไมใ่ ห้ตกไปในทช่ี ว่ั ๓) พระสงฆ์ปฏบิ ตั ิชอบตามคาสอนของพระพทุ ธเจ้าแล้ว สอนผ้อู ่นื ให้กระทาตาม ฯ (ปี 2560 และ 2548) พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ชื่อวา่ รัตนะ เพราะเหตไุ ร ? ตอบ เพราะเป็ นของมคี ณุ คา่ และหาได้ยาก เหมือนเพชรนลิ จินดามคี า่ มาก นาประโยชน์และความสขุ มาให้แก่ผ้เู ป็ นเจ้าของ ฯ (ปี 2559 และ 2544) พระรัตนตรัย กบั ไตรสรณคมน์ เป็ นอยา่ งเดียวกนั หรือตา่ งกนั อยา่ งไร ? การเปลง่ วาจาถงึ รัตนะ ๓ เป็ นท่พี ง่ึ จดั เป็ นอยา่ งไหน ใน ๒ อยา่ งนนั้ ? ตอบ ตา่ งกนั คือ พระรัตนตรัย หมายถงึ สง่ิ ทเ่ี ป็ นที่พง่ึ ๓ ประการ ได้แก่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ สว่ นไตรสรณคมน์ หมายถงึ การยอมรับนบั ถือพระรัตนตรัยไว้เป็ นท่พี ง่ึ ของตน หรือการถงึ (เข้าถึง) พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯ จดั เป็ นไตรสรณคมน์ ฯ (ปี 2558, 2553 และ 2549) พระธรรม คืออะไร ? มีคณุ ตอ่ ผ้ปู ฏิบตั ิอยา่ งไร ? ตอบ พระธรรม คือคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้า ฯ มีคณุ คอื ยอ่ มรักษาผ้ปู ฏบิ ตั ิไมใ่ ห้ตกไปในที่ชวั่ ฯ (ปี 2557) รัตนะ ๓ อยา่ ง คืออะไรบ้าง? รัตนะท่ี ๒ มคี ณุ อยา่ งไร? ตอบ คอื พทุ ธรัตนะ ธรรมรัตนะ สงั ฆรัตนะ ฯ ยอ่ มรักษาผ้ปู ฏบิ ตั ไิ มใ่ ห้ตกไปในทชี่ ว่ั ฯ (ปี 2554) พระพทุ ธเจ้าคอื ใคร? ทรงสง่ั สอนเป็ นอศั จรรย์อยา่ งไร? ตอบ พระพทุ ธเจ้า คือทา่ นผ้สู อนให้ประชมุ ชนประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ฯ ทรงสงั่ สอนเป็ นอศั จรรย์ คอื ผ้ปู ฏบิ ตั ติ ามยอ่ มได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบตั ิ ฯ (ปี 2552) อาการทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงสงั่ สอนมกี ่ีอยา่ ง? ข้อทว่ี า่ “ทรงสงั่ สอนเป็ นอศั จรรย์” นนั้ คืออยา่ งไร? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คือ ผ้ปู ฏบิ ตั ติ ามยอ่ มได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏบิ ตั ิ ฯ (ปี 2551) พระสงฆ์ในรัตนตรัยมีคณุ อยา่ งไร? ตอบ พระสงฆ์ในรัตนตรัยมีคณุ คือ ทา่ นปฏบิ ตั ชิ อบตามคาสอนของพระพทุ ธเจ้าแล้ว สอนให้ผ้อู น่ื กระทาตามด้วย ฯ (ปี 2545) รัตนะท่ี ๑ หมายถงึ ใคร? จงอธิบาย ตอบ หมายถงึ พระพทุ ธเจ้า ฯ ได้แก่ทา่ นผ้สู อนให้ประชมุ ชนประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินยั ท่ที า่ นเรียกวา่ พระพทุ ธศาสนา ฯ  โอวาท ๓ คอื ๑.เว้นจากทจุ ริต ๒.ประกอบสจุ ริต ๓.ทาจิตใจให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมอง มโี ลภ โกรธ หลง เป็ นต้น  พระพทุ ธศาสนาสอนเร่ืองการทาใจของตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมอง เพราะใจเป็ นธรรมชาตสิ าคญั ถ้า ใจเศร้าหมอง ก็เป็ นเหตใุ ห้ทาชวั่ การทาชว่ั มผี ลเป็ นความทกุ ข์ ถ้าใจผอ่ งแผ้ว ก็เป็ นเหตใุ หท้ าดี การทาดีมีผลเป็ น ความสขุ 4|Page

 ทุจริต ๓ คือ ประพฤตชิ วั่ ทางกาย วาจา ใจ กายทุจริต ๓ ประพฤตชิ ว่ั ทางกาย คือ ฆา่ สตั ว,์ ลกั ทรัพย์, ประพฤติทางกาม วจีทุจริต ๔ ประพฤติชว่ั ทางวาจา คือ พดู เท็จ, พดู สอ่ เสยี ด, พดู คาหยาบ, พดู เพ้อเจ้อ มโนทุจริต ๓ ประพฤตชิ ว่ั ทางใจ คือ โลภอยากได้ของเขา, พยาบาทปองร้ายเขา, เห็นผิดจากคลองธรรม(เชน่ เหน็ วา่ บญุ บาปไมม่ ี บดิ ามารดาไมม่ พี ระคณุ คณุ บิดามารดาครูบาอาจารย์ไมม่ )ี  สุจริต ๓ คอื ประพฤตชิ อบทางกาย วาจา ใจ กายสุจริต ๓ ประพฤติชอบทางกาย คือ เว้นจากฆา่ สตั ว์, เว้นจากลกั ทรัพย์, เว้นจากประพฤตทิ างกาม วจีสุจริต ๔ ประพฤติชอบทางวาจา คอื เว้นจากพดู เท็จ, เว้นจากพดู สอ่ เสยี ด, เว้นจากพดู คาหยาบ, เว้นจากพดู เพ้อเจ้อ มโนสุจริต ๓ ประพฤตชิ อบทางใจ คือ ไมโ่ ลภอยากได้ของเขา, ไมพ่ ยาบาทปองร้ายเขา, เห็นชอบตามคลองธรรม (ปี 2561) ทจุ ริต คืออะไร ? พดู ใสร่ ้ายผ้อู นื่ จดั เข้าในทจุ ริตข้อไหน ? ตอบ ทจุ ริต คอื ความประพฤติชว่ั ฯ จดั เข้าในวจีทจุ ริต ฯ (ปี 2555) กายทจุ ริต หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ กายทจุ ริต หมายถึง ความประพฤติชวั่ ทางกาย (ปี 2554) เห็นผดิ จากคลองธรรม คือเหน็ อยา่ งไร? จดั เข้าในทจุ ริตข้อไหน? ตอบ เห็นผดิ จากคลองธรรม คือเหน็ ผดิ จากความจริง เช่น เห็นวา่ บญุ บาปไมม่ ี บิดามารดาไมม่ ีพระคณุ เป็ นต้นฯ จดั เข้าในมโนทจุ ริตฯ (ปี 2553) พระโอวาทของพระพทุ ธเจ้า หรือที่เรียกกนั วา่ หวั ใจพระศาสนา มีก่ีข้อ? อะไรบ้าง? ตอบ มี ๓ ข้อ ฯ คอื ๑. เว้นจากทกุ จริต คือประพฤติชวั่ ด้วยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ ริต คอื ประพฤตดิ ีด้วยกาย วาจา ใจ ๓. ทาใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง มโี ลภ โกรธ หลง เป็ นต้น ฯ (ปี 2553) ทจุ ริตคอื ะไร? ความเหน็ วา่ คณุ ของบดิ ามารดาครูบาอาจารย์ไมม่ ี บญุ บาปไมม่ ี จดั เป็ นทจุ ริตข้อไหน? ตอบ ทจุ ริต คอื ประพฤตชิ ว่ั ด้วยกาย วาจา ใจ ฯ จดั เป็ นมโนทจุ ริต ฯ (ปี 2551, 2549 และ 2545) โอวาทของพระพทุ ธเจ้ามีก่ีอยา่ ง? อะไรบ้าง? ตอบ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. เว้นจากทจุ ริต คือ ประพฤตชิ วั่ ด้วยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ ริต คือ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ๓. กระทาใจของตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลงเป็ นต้น ฯ (ปี 2550) มโนสจุ ริตคอื อะไร? มีอะไรบ้าง? ตอบ มโนสจุ ริต คือ การประพฤตชิ อบด้วยใจ ฯ มี ๑.ไมโ่ ลภอยากได้ของเขา ๒.ไมพ่ ยาบาทปองร้ายเขา ๓.เหน็ ชอบตามคลองธรรม ฯ (ปี 2547) เพราะเหตไุ ร หลกั คาสอนในทางพระพทุ ธศาสนาจงึ สอนเร่ืองการทาใจของตนให้หมดจดจากเคร่ืองเศร้าหมอง? ตอบ เพราะใจเป็ นธรรมชาติสาคญั ถ้าใจเศร้าหมอง ก็เป็ นเหตใุ ห้ทาชว่ั การทาชว่ั มีผลเป็ นความทกุ ข์ ถ้าใจผอ่ งแผ้ว ก็เป็ นเหตใุ ห้ทา ดี การทาดมี ีผลเป็ นความสขุ ฯ (ปี 2543) คนที่รับปากรับคาเขาไว้แล้ว แตไ่ มท่ าตามนนั้ จดั เข้าในทจุ ริตข้อไหน? ตอบ จดั เข้าในวจีทจุ ริต 5|Page

 อกุศลมลู ๓ รากเหง้าของอกศุ ล ๑. โลภะ อยากได้ของเขา ๒. โทสะ คดิ ประทษุ ร้ายเขา ๓. โมหะ หลงไมร่ ู้จริง เมือ่ อกศุ ลมลู เหลา่ นมี ้ ีอยแู่ ล้ว อกศุ ลอืน่ ทยี่ งั ไมเ่ กิดก็เกิดขนึ ้ ที่เกิดขนึ ้ แล้วก็เจริญมากขนึ ้ เหตนุ นั้ ควรละเสีย. (ปี 2556) จงให้ความหมายของคาวา่ อกสุ ลมลู ตอบ หมายถงึ รากเหง้าของอกศุ ล (ปี 2554) รากเหง้าของอกศุ ลเรียกวา่ อะไร? มีอะไรบ้าง? เพราะเหตใุ ดจงึ ควรละเลยี ? ตอบ เรียกวา่ อกศุ ลมลู ฯ มี โลภะ โทสะ โมหะ ฯ เหตทุ ตี่ ้องละเสยี เพราะเมอ่ื อกศุ ลมลู เหลา่ นมี ้ อี ยู่ อกศุ ลอื่นท่ียงั ไมเ่ กิดก็เกิดขนึ ้ ท่ีเกิด แล้วก็เจริญมากขนึ ้ (ปี 2552 และ 2543) มลู เหตทุ ี่ทาให้บคุ คลทาความชว่ั เรียกวา่ อะไร? มอี ะไรบ้าง? เมอ่ื เกิดขนึ ้ แล้วควรปฏิบตั ิอยา่ งไร ? ตอบ เรียกวา่ อกศุ ลมลู ฯ มี ๑. โลภะ อยากได้ ๒. โทสะ คดิ ประทษุ ร้ายเขา ๓. โมหะ หลงไมร่ ู้จริง ฯ เม่ือเกิดขนึ ้ แล้วควรละเสยี ด้วย ทาน ศีล ภาวนา ฯ  กุศลมลู ๓ รากเหง้าของกศุ ล ๑. อโลภะ ไมอ่ ยากได้ของเขา ๒. อโทสะ ไมค่ ดิ ประทษุ ร้ายเขา ๓. อโมหะ ไมห่ ลงงมงาย ถ้ากศุ ลมลู เหลา่ นมี ้ ีอยแู่ ล้ว กศุ ลอน่ื ท่ียงั ไมเ่ กิดก็เกิดขนึ ้ ทีเ่ กิดแล้วก็เจริญมากขนึ ้ เหตนุ นั้ ควรให้เกิดมใี นสันดาน. (ปี 2549) คนเราจะประพฤตดิ หี รือประพฤติชว่ั มีมลู เหตมุ าจากอะไร? ตอบ คนประพฤตดิ มี ีมลู เหตมุ าจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ สว่ นคนประพฤตชิ วั่ มมี ลู เหตมุ าจากโลภะ โทสะ โมหะ ฯ  สปั ปุริสบญั ญตั ิ ๓ ข้อทส่ี ตั บรุ ุษตงั้ ไว้ หรือเรียกอกี อยา่ งวา่ บณั ฑิตบญั ญตั ิ ๑. ทาน สละสงิ่ ของของตนเพ่ือประโยชน์แก่ผ้อู ืน่ ๒. ปัพพชั ชา ถือบวช เป็ นอบุ ายเว้นจากเบียดเบยี นกนั และกนั ๓. มาตาปิ ตุอุปัฏฐาน การบารุงบดิ ามารดาของตนให้เป็ นสขุ (ปี 2555) มาตาปิ ตอุ ปุ ัฏฐาน หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ มาตาปิ ตอุ ปุ ัฏฐาน หมายถงึ การบารุงบิดามารดาของตนให้เป็ นสขุ  บุญกิริยาวัตถุ ๓ สง่ิ เป็ นทีต่ งั้ แหง่ การบาเพญ็ บญุ ๑. ทานมัย บญุ สาเร็จด้วยการบริจาคทาน ๒. สีลมยั บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศลี ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการเจริญภาวนา (ปี 2562, 2543) สงิ่ เป็ นท่ตี งั้ แหง่ การบาเพ็ญบญุ เรียกวา่ อะไร? โดยยอ่ มเี ทา่ ไร? อะไรบ้าง? 6|Page

ตอบ เรียกวา่ บญุ กิริยาวตั ถุ โดยยอ่ มี ๓ คอื ๑) ทานมยั บญุ สาเร็จด้วยการบริจาคทาน ๒) สลี มยั บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศลี ๓) ภาวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการเจริญภาวนา (ปี 2558) บญุ กิริยาวตั ถุ คืออะไร ? โดยยอ่ มเี ทา่ ไร ? อะไรบ้าง ? ตอบ คือสงิ่ เป็ นที่ตงั้ แหง่ การบาเพ็ญบญุ ฯ มี ๓ ฯ คือ ๑. ทานมยั บญุ สาเร็จด้วยการบริจาคทาน ๒. สลี มยั บญุ สาเร็จด้วยการรักษาศลี ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จด้วยการเจริญภาวนา ฯ (ปี 2556) การทาบญุ โดยยอ่ มกี ่ีอยา่ ง? อะไรบ้าง? ตอบ มี ๓ อยา่ ง ฯ คือ ทาน ศลี ภาวนา ฯ (ปี 2547) บญุ กิริยาวตั ถุ คอื อะไร? ในบญุ กิริยาวตั ถุ ๓ นนั้ ข้อไหนกาจดั ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง? ตอบ คอื สงิ่ เป็ นทีต่ งั้ แหง่ การบาเพญ็ บญุ ฯ ทานมยั กาจดั ความโลภ สลี มยั กาจดั ความโกรธ ภาวนามยั กาจดั ความหลง ฯ  สามัญลกั ษณะ ๓ (ไตรลกั ษณะ ๓) คอื ลกั ษณะ ๓ ประการของสงั ขารทงั้ ปวง ได้แก่ ๑. อนิจจตา ความเป็ นของไมเ่ ท่ียง ๒. ทุกขตา ความเป็ นทกุ ข์ ๓. อนัตตตา ความเป็ นของไมใ่ ชต่ น (ปี 2560 และ 2553) ไตรลกั ษณ์ ได้แกอ่ ะไรบ้าง? ตอบ ๑. อนิจจตา ความเป็ นของไมเ่ ทยี่ ง ๒. ทกุ ขตา ความเป็ นทกุ ข์ ๓. อนตั ตตา ความเป็ นของไมใ่ ช่ตน (ปี 2556) จงให้ความหมายของคาวา่ อนตั ตตา ตอบ อนตั ตตา ความเป็ นของไมใ่ ช่ตน หมวด ๔  วุฑฒิ ๔ ธรรมเป็ นเคร่ืองเจริญ ๔ อยา่ ง ๑. สัปปุริสสังเสวะ คบสตั บรุ ุษ ๒. สัทธัมมสั สวนะ ฟังคาสง่ั สอนของทา่ นโดยเคารพ ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จกั สงิ่ ทดี่ หี รือชว่ั โดยอบุ ายที่ชอบ ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรมซงึ่ ได้ตรองเห็นแล้ว ฯ (ปี 2545) บคุ คลผ้หู วงั ความเจริญ ควรตงั้ อยใู่ นธรรมอะไร? มอี ะไรบ้าง? ตอบ ควรตงั้ อยใู่ นวฑุ ฒธิ รรม ฯ มี ๑) คบสตั บรุ ุษ ๒) ฟังคาสงั่ สอนของทา่ นโดยเคารพ ๓) ตริตรองให้รู้จกั สง่ิ ท่ดี หี รือชวั่ โดยอบุ ายทีช่ อบ ๔) ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรมซงึ่ ได้ตรองเห็นแล้ว ฯ  จักร ๔ ธรรมเป็ นดจุ ล้อรถนาไปสคู่ วามเจริญ. ๑.ปฏิรูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๒.สัปปุริสปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ 7|Page

๓.อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไว้ชอบ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็ นผ้ไู ด้ทาความดีไว้ในปางกอ่ น (ปี 2558 และ 2546) ธรรมดจุ ล้อรถนาไปสคู่ วามเจริญ เรียกวา่ อะไร ? จงบอกมาสกั ๒ ข้อ ตอบ เรียกวา่ จกั ร ฯ ได้แก่ ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ ิสปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไว้ชอบ ๔. ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็ นผ้ไู ด้ทาความดไี ว้ในปางก่อน ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๒ ข้อ) (ปี 2555 และ 2546) ปพุ เพกตปญุ ญตา หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ ปพุ เพกตปญุ ญตา หมายถึง ความเป็ นผ้ไู ด้ทาความดไี ว้ในปางกอ่ น (ปี 2548) ธรรม ๔ อยา่ ง ดจุ ล้อรถนาไปสคู่ วามเจริญ ข้อวา่ “คบสตั บรุ ุษ คอื คนด”ี นนั้ จะนาไปสคู่ วามเจริญได้อยา่ งไร? ตอบ เมอ่ื คบสตั บรุ ุษแล้วยอ่ มเป็ นเหตใุ ห้คดิ ดพี ดู ดีทาดี อนั ก่อให้เกิดความสขุ ความเจริญ ทงั้ แก่ตนเองและผ้อู น่ื พ้นจากความทกุ ข์ ความเดือดร้อน ทงั้ ยงั ให้ถงึ ความเจริญอยา่ งทส่ี ดุ คือพระนิพพานได้ ฯ (ปี 2543) หลกั ธรรมดจุ ล้อรถนาไปสคู่ วามเจริญ มีกี่อยา่ ง? อะไรบ้าง? ตอบ มี ๔ อยา่ งคอื ๑) ปฏิรูปเทสวาสะ อยใู่ นประเทศอนั สมควร ๒) สปั ปรุ ิสปู ัสสยะ คบสตั บรุ ุษ ๓) อตั ตสมั มาปณิธิ ตงั้ ตนไว้ชอบ ๔) ปพุ เพกตปญุ ญตา ความเป็ นผ้ไู ด้ทาความดีไว้ในปางก่อน  อคติ ๔ ความประพฤตทิ ่ีผดิ ด้วยความลาเอียง ด้วยความไมเ่ ท่ียงธรรม ๑. ฉันทาคติ ลาเอียงเพราะรักใคร่กนั ๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะไมช่ อบกนั ๓. โมหาคติ ลาเอียงเพราะโง่เขลา ๔. ภยาคติ ลาเอียงเพราะกลวั (ปี 2558) บคุ คลผ้รู ักษาความยตุ ิธรรมไว้ได้ ควรเว้นจากธรรมอะไร ? ธรรมนนั้ มอี ะไรบ้าง ? ตอบ ควรเว้นจากอคติ ๔ ฯ มี ๑. ความลาเอยี งเพราะรักใคร่กนั เรียกวา่ ฉนั ทาคติ ๒. ความลาเอียงเพราะไมช่ อบกนั เรียกวา่ โทสาคติ ๓. ความลาเอยี งเพราะเขลา เรียกวา่ โมหาคติ ๔. ความลาเอียงเพราะกลวั เรียกวา่ ภยาคติ ฯ (ปี 2555) ผ้จู ะดารงความยตุ ิธรรมไว้ได้ ต้องประพฤตอิ ยา่ งไรบ้าง? ตอบ ต้องประพฤติดงั นี ้ 8|Page

๑. ไมล่ าเอียงเพราะรักใคร่กนั อนั เรียกวา่ ฉนั ทาคติ ๒. ไมล่ าเอยี งเพราะไมช่ อบกนั อนั เรียกวา่ โทสาคติ ๓.ไมล่ าเอยี งเพราะเขลา อนั เรียกวา่ โมหาคติ ๔.ไมล่ าเอียงเพราะกลวั อนั เรียกวา่ ภยาคติ ฯ (ปี 2551) ธรรมหมวดหนง่ึ เป็ นเหตใุ ห้ผ้ปู ระพฤตขิ าดความเท่ยี งธรรมชื่อวา่ อะไร? มีอะไรบ้าง? ตอบ ชื่อวา่ อคติ ความลาเอียง ฯ มี ๑. ฉนั ทาคติ ลาเอยี งเพราะรักใคร่กนั ๒. โทสาคติ ลาเอยี งเพราะไมช่ อบกนั ๓. โมหาคติ ลาเอยี งเพราะเขลา ๔. ภยาคติ ลาเอียงเพราะกลวั ฯ  อนั ตรายของภกิ ษุสามเณรผ้บู วชใหม่ ๔ อย่าง ๑. อดทนตอ่ คาสงั่ สอนไมไ่ ด้ คอื เบ่อื ตอ่ คาสงั่ สอนขเี ้กียจทาตาม. ๒. เป็ นคนเหน็ แกป่ ากแกท่ ้อง ทนความอดอยากไมไ่ ด้. ๓. เพลดิ เพลนิ ในกามคณุ ทะยานอยากได้สขุ ยง่ิ ๆ ขนึ ้ ไป. ๔. รักผ้หู ญิง. (ปี 2559) ภิกษุสามเณรผ้บู วชใหมค่ วรเว้นอนั ตราย ๔ อยา่ ง คืออะไรบ้าง ? ตอบ ควรเว้นอนั ตราย ๔ อยา่ ง คือ ๑. อดทนตอ่ คาสอนไมไ่ ด้ คือเบ่อื หนา่ ยตอ่ คาสงั่ สอน ขเี ้กียจทาตาม ๒. เป็ นคนเหน็ แก่ปากแก่ท้อง ทนตอ่ ความอยากไมไ่ ด้ ๓. เพลดิ เพลนิ ในกามคณุ ทะยานอยากได้สขุ ย่ิงๆ ขนึ ้ ไป ๔. รักผ้หู ญิง ฯ (ปี 2543) อนั ตรายของภกิ ษุสามเณรผ้บู วชใหม่ ข้อไหนเป็ นอนั ตรายทีส่ ดุ ? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ข้อ ๓ คอื เพลดิ เพลนิ ในกามคณุ ทะยานอยากได้สขุ ยง่ิ ๆ ขนึ ้ ไป เป็ นอนั ตรายท่สี ดุ เพราะอนั ตรายข้ออื่น ๆ ยอ่ มรวมลงในกาม คณุ ทงั้ สนิ ้  ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ อยา่ ง หรือเรียกอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ สัมมปั ปธาน ๔ ๑. สังวรปธาน เพียรระวงั มิให้ปาปเกิดขนึ ้ ในสนั ดาน. ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปทเี่ กิดขนึ ้ แล้ว. ๓. ภาวนาปธาน เพยี รให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ในสนั ดาน. ๔. อนุรักขนาปธาน เพยี รรักษากศุ ลทเ่ี กิดขนึ ้ แล้วไมใ่ ห้เสอ่ื ม. ความเพยี ร ๔ อยา่ งนี ้เป็ นความเพียรชอบ ควรประกอบให้มีในตน. 9|Page

(ปี 2549) ปธานคือความเพยี ร ๔ มอี ะไรบ้าง? งดเหล้าเข้าพรรษาอนโุ ลมเข้าในปธานข้อไหน? ตอบ มี ๑.สงั วรปธาน เพยี รระวงั ไมใ่ ห้บาปเกิดขนึ ้ ในสนั ดาน ๒.ปหานปธาน เพียรละบาปทเ่ี กิดขนึ ้ แล้ว ๓.ภาวนาปธาน เพียรให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ในสนั ดาน ๔.อนรุ ักขนาปธาน เพียรรักษากศุ ลท่เี กิดขนึ ้ แล้วมิให้เสอ่ื ม ฯ งดเหล้าเข้าพรรษาอนโุ ลมเข้าในปหานปธาน ฯ (ปี 2546) เพยี รระวงั ตนให้หา่ งไกลจากสง่ิ เสพติด จดั เข้าในปธานข้อไหน? ตอบ จดั เข้าในสงั วรปธาน ฯ (ปี 2544) คนเสพยาเสพย์ติด เพียรพยายามจะเลกิ ให้ได้ ชื่อวา่ ตงั้ อยใู่ นปธานข้อไหน? ตอบ ตงั้ อยใู่ นปหานปธาน  อธิษฐานธรรม ๔ คอื ธรรมทค่ี วรตงั้ ไว้ในใจ ๔ อยา่ ง ๑. ปัญญา รอบรู้สงิ่ ทคี่ วรรู้. ๒. สัจจะ ความจริงใจ คอื ประพฤติสง่ิ ใดก็ให้ได้จริง. ๓. จาคะ สละสงิ่ ท่เี ป็ นข้าศกึ แกค่ วามจริงใจ. ๔. อุปสมะ สงบใจจากสง่ิ ที่เป็ นข้าศกึ แกค่ วามสงบ. (ปี 2543) อธิษฐานธรรมคือธรรมทคี่ วรตงั้ ไว้ในใจ มกี ่ีอยา่ ง? อะไรบ้าง?  อทิ ธิบาท ๔ คณุ ธรรมเคร่ืองให้สาเร็จความประสงค์ ๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสงิ่ นนั้ ๒. วิริยะ เพียรประกอบสงิ่ นนั้ ๓. จติ ตะ เอาใจฝักใฝ่ ในสงิ่ นนั้ ไมว่ างธรุ ะ ๔. วมิ ังสา หมนั่ ตริตรองพจิ ารณาเหตผุ ลในสงิ่ นนั้ (ปี 2562, 2560 และ 2543) ผ้ทู ่ีทางานไมส่ าเร็จผลตามทม่ี งุ่ หมายเพราะขาดคณุ ธรรมอะไรบ้าง? ตอบ เพราะขาดอทิ ธิบาท คือ คณุ เครื่องให้สาเร็จความประสงค์ ๔ อยา่ ง คอื ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในสง่ิ นนั้ ๒. วริ ิยะ เพยี รประกอบสง่ิ นนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ ในสง่ิ นนั้ ไมว่ างธรุ ะ ๔. วมิ งั สา หมนั่ ตริตรองพจิ ารณาเหตผุ ลในสงิ่ นนั้ (ปี 2557) คณุ ธรรมเครื่องให้สาเร็จความประสงค์ คอื อะไร? มอี ะไรบ้าง? ตอบ คอื อิทธิบาท ๔ ฯ มี ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในสง่ิ นนั้ ๒. วิริยะ เพยี รประกอบสง่ิ นนั้ ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ ในสง่ิ นนั้ ไมว่ างธุระ 10 | P a g e

๔. วมิ งั สา หมนั่ ตริตรองพิจารณาเหตผุ ลในสงิ่ นนั้ ฯ (ปี 2553) นกั เรียนผ้ตู ้องการจะเรียนหนงั สอื ให้ได้ผลดี จะนาอทิ ธิบาทมาใช้อยา่ งไร? ตอบ ในเบอื ้ งต้น ต้องสร้างฉนั ทะคือความพอใจในการศกึ ษาเลา่ เรียนกอ่ น เมื่อมคี วามพอใจ จะเป็ นเหตใุ ห้ขยนั ศกึ ษาหาความรู้ที่ เรียกวา่ วิริยะ และเกิดความใฝ่ ใจใครรู้สงิ่ ตา่ งๆ มากขนึ ้ ท่เี รียกวา่ จิตตะ เมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องนาความรู้นนั้ มาใคร่ครวญพิจารณาให้ เข้าใจเหตแุ ละผลอยา่ งถกู ต้องทเี่ รียกวา่ วมิ งั สา ดงั นกี ้ ็จะประสบผลสาเร็จในการศกึ ษาเลา่ เรียนได้ (ปี 2545) ผ้ปู ระกอบกิจการงานสาเร็จตามความประสงค์เพราะประพฤติธรรมอะไร? มอี ะไรบ้าง? ตอบ เพราะประพฤติอิทธิบาท ๔ มี ๑) ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในสง่ิ นนั้ ๒) วริ ิยะ เพยี รประกอบสง่ิ นนั้ ๓) จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ ในสง่ิ นนั้ ไมว่ างธุระ ๔) วมิ งั สา หมนั่ ตริตรองพิจารณาเหตผุ ลในสงิ่ นนั้ ฯ  ปาริสุทธิศีล ๔ ข้อปฏบิ ตั ิทที่ าให้ศีลบริสทุ ธ์ิ ๑. ปาติโมกขสงั วร สารวมในพระปาตโิ มกข์ เว้นข้อทีพ่ ระพทุ ธเจ้าห้าม ทาตามข้อท่ีพระองค์ทรงอนญุ าต. ๒. อินทรียสังวร สารวมอินทรีย์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ไมใ่ ห้ยินดียนิ ร้าย ในเวลาเห็นรูป ฟังเสยี ง ดมกลน่ิ ลมิ ้ รส กาย สมั ผสั รู้ธรรมารมณ์. ๓. อาชีวปาริสุทธิ เลยี ้ งชีวิตโดยทางท่ีชอบ ไมห่ ลอกลวงเขาเลยี ้ งชีวิต. ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสยี กอ่ นจงึ บริโภคปัจจยั ๔ คือ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมบ่ ริโภคด้วยตณั หา. (ปี 2556) จงให้ความหมายของคาวา่ อินทรียสงั วร ตอบ หมายถึง ความสารวมอินทรีย์ (ปี 2555) การสารวมอินทรีย์ ได้แก่การกระทาอยา่ งไร? เม่อื กระทาเช่นนนั้ แล้วจะได้รับประโยชน์อะไร? ตอบ การสารวมอนิ ทรีย์ ๖ คอื ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ไมใ่ ห้ยนิ ดี ยินร้าย เมอ่ื เหน็ รูป ได้ยนิ เสยี ง ดมกลนิ่ ลมิ ้ รส กายสมั ผสั รู้ ธรรมารมณ์ ฯ ได้ประโยชน์ คือ ไมเ่ กิดความยินดี ไมเ่ กิดความยนิ ร้าย ในเวลาเหน็ รูป ได้ยนิ เสยี ง เป็ นต้น ฯ (ปี 2551) อินทรียสงั วร คือสารวมอินทรีย์ อนิ ทรีย์ได้แก่อะไรบ้าง ? ตอบ อินทรีย์ ได้แก่ ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ฯ (ปี 2550) ภิกษุสามเณรผ้บู วชใหมจ่ ะต้องมอี ินทรียสงั วร คือสารวมอินทรีย์ สารวมอินทรีย์นนั้ คืออยา่ งไร ? ตอบ สารวมอนิ ทรีย์ คอื ระวงั ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ไมใ่ ห้ความยินดียินร้ายครอบงาได้ ในเวลาเหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกลน่ิ ลมิ ้ รส ถกู ต้อง โผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ ฯ (ปี 2548) ปัจจยปัจจเวกขณะ หมายความวา่ อยา่ งไร ? ตอบ หมายความวา่ พจิ ารณา (ถงึ คณุ และโทษของปัจจยั ๔) กอ่ น จึงบริโภคปัจจยั ๔ คอื จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมบ่ ริโภคด้วยตณั หา ฯ (ปี 2546) จงอธิบายความหมายของคาตอ่ ไปนี ้? ก. ปัจจยปัจจเวกขณะ ข. อภณิ หปัจจเวกขณะ ตอบ ก. ปัจจยปัจจเวกขณะคือพจิ ารณาเสยี ก่อนจึงบริโภคปัจจยั ๔ คอื จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมบ่ ริโภคด้วยตณั หา ฯ 11 | P a g e

ข. อภณิ หปัจจเวกขณะคือพจิ ารณาทกุ ๆ วนั วา่ เรามคี วามแก่ มคี วามเจ็บมคี วามตายเป็ นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความแก่ เจ็บ ตายไป ได้ เราต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ เรามกี รรมเป็ นของ ๆ ตน เราทาดี จกั ได้ดี ทาชว่ั จกั ได้ชวั่ ฯ  พรหมวิหาร ๔ ธรรมเป็ นเคร่ืองอยขู่ องทา่ นผ้ใู หญ่ ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็ นสขุ . ๒. กรุณา ความสงสาร คดิ จะช่วยให้พ้นทกุ ข.์ ๓. มุทติ า ความพลอยยนิ ดี เมอ่ื ผ้อู ่ืนได้ด.ี ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไมด่ ใี จ ไมเ่ สยี ใจ เมื่อผ้อู ื่นถงึ ความวิบตั .ิ (ปี 2557)เมอื่ เพื่อนร่วมงานได้เลอื่ นตาแหนง่ ไมค่ ดิ ริษยา พลอยยนิ ดีกบั เขาด้วย ชื่อวา่ ปฏิบตั ติ ามพรหมวหิ ารธรรมข้อใด?ตอบมทุ ติ าฯ (ปี 2553) พรหมวิหาร ๔ มอี ะไรบ้าง? ตอบ มี เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา ฯ  ธาตุกมั มฏั ฐาน ๔ การกาหนดพจิ ารณาร่างกายท่ปี ระกอบด้วยธาตุ ๔ คอื ๑. ปฐวีธาตุ ธาตดุ ิน ๒. อาโปธาตุ ธาตนุ า้ ๓. เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ ๔. วาโยธาตุ ธาตลุ ม (ปี 2551) ธาตุ ๔ มธี าตอุ ะไรบ้าง? ธาตมุ ีลกั ษณะแข้นแข็ง คือธาตอุ ะไร? ตอบ ธาตุ ๔ คือ ธาตดุ นิ ธาตนุ า้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ฯ ธาตมุ ีลกั ษณะแข้นแขง็ คือ ธาตดุ นิ ฯ (ปี 2546) ธาตกุ มั มฏั ฐาน มอี ะไรบ้าง? กาหนดพจิ ารณาอยา่ งไร เรียกวา่ ธาตกุ มั มฏั ฐาน? ตอบ มี ๔ คอื ธาตดุ นิ ธาตนุ า้ ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม ฯ กาหนดพจิ ารณากายนี ้ให้เหน็ วา่ เป็ นแตเ่ พยี งธาตุ ๔ คอื ดิน นา้ ไฟ ลม ประชมุ กนั อยู่ ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ช่ของเรา เรียกวา่ ธาตกุ มั มฏั ฐาน ฯ  อริยสจั ๔ ความจริงอนั ประเสริฐ ๑. ทุกข์ ความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ ๒. สมุทยั เหตใุ ห้ทกุ ข์เกิด คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) ๓. นิโรธ ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค ข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ความดบั ทกุ ข์ คือ มรรคมีองค์ ๘  ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ได้ช่ือวา่ ทุกข์ เพราะเป็ นของทนได้ยาก.  ตัณหา คอื ความทะยานอยาก ได้ชื่อวา่ สมุทยั เพราะเป็ นเหตใุ ห้ทกุ ข์เกิด.  ตณั หานนั้ มี ๓ ประเภท คือ ความอยากในอารมณ์ที่นา่ รักใคร่ เรียกวา่ กามตัณหา ความอยากเป็ นโนน่ เป็ นนี่ เรียกวา่ ภวตณั หา 12 | P a g e

ความอยากไมเ่ ป็ นโนน่ เป็ นนี่ เรียกวา่ วภิ วตณั หา  ความดบั ตณั หาได้สนิ ้ เชิง ทกุ ข์ดบั ไปหมด ได้ช่ือวา่ นิโรธ เพราะเป็ นความดบั ทกุ ข.์  ปัญญาอนั เห็นชอบวา่ สงิ่ นที ้ กุ ข์ สง่ิ นเี ้หตใุ ห้ทกุ ข์เกิด สงิ่ นคี ้ วามดบั ทกุ ข์ สงิ่ นที ้ างให้ถึงความดบั ทกุ ข์ ได้ช่ือวา่ มรรค เพราะเป็ นข้อปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ความดบั ทกุ ข.์  มรรคนัน้ มอี งค์ ๘ ประการ คอื ปัญญาอนั เหน็ ชอบ ๑ ดาริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลยี ้ งชีวติ ชอบ ๑ เพียรชอบ ๑ ตงั้ สตชิ อบ ๑ ตงั้ ใจชอบ ๑. [หมายเหตุ ปัญญาอนั เห็นชอบ เรานยิ มพดู สนั้ ๆ วา่ “ความเหน็ ชอบ” ] (ปี 2561) อริยสจั ๔ มีอะไรบ้าง ? ความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ จดั เป็ นอริยสจั ข้อไหน ? ตอบ มี ๑. ทกุ ข์ ๒. สมทุ ยั คือเหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ ๓. นโิ รธ คือความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คอื ข้อปฏบิ ตั ิให้ถึงความดบั ทกุ ข์ ฯ จดั เป็ นทกุ ข์ ฯ (ปี 2557 และ 2556) เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ในอริยสจั ๔ คอื อะไร? ตอบ คือตณั หา ความทะยานอยาก ฯ (ปี 2554 และ 2545) ทกุ ข์ในอริยสจั ๔ คอื อะไร? เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์คอื อะไร? ตอบ ทกุ ข์ คอื ความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์คอื ตณั หา (ความทะยานอยาก) (ปี 2552) ปัญญาอนั เหน็ ชอบอยา่ งไร จึงช่ือวา่ มรรคในอริยสจั ๔? เพราะเหตไุ ร? ตอบ ปัญญาอนั เหน็ ชอบวา่ สง่ิ นที ้ กุ ข์ สงิ่ นเี ้หตใุ ห้ทกุ ข์เกิด สง่ิ นคี ้ วามดบั ทกุ ข์ สงิ่ นที ้ างให้ถึงความดบั ทกุ ข์ ได้ชื่อวา่ มรรค ฯ เพราะเป็ น ข้อปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ความดบั ทกุ ข์ ฯ (ปี 2544) อริยสจั ๔ มอี ะไรบ้าง? ปรารถนาสง่ิ ใด ไมไ่ ด้สมหวงั จดั เป็ นอริยสจั ข้อไหน ? ตอบ มี ๑) ทกุ ข์ ๒) สมทุ ยั คอื เหตใุ ห้ทกุ ข์เกิด ๓) นิโรธ คือ ความดบั ทกุ ข์ ๔) มรรค คอื ข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ความดบั ทกุ ข์ จดั เป็ นทกุ ข์ ฯ หมวด ๕  อนันตริยกรรม ๕ กรรมอนั เป็ นบาปหนกั ท่ีสดุ ห้ามสวรรค์ ห้ามนพิ พาน ตงั้ อยใู่ นฐานปาราชิกของผ้ถู ือพระพทุ ธศาสนา ห้าม ไมใ่ ห้ทาเป็ นเดด็ ขาด. ๑. มาตุฆาต ฆา่ มารดา. ๒. ปิ ตุฆาต ฆา่ บิดา. ๓. อรหันตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์. ๔. โลหิตุปบาท ทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถึงยงั พระโลหติ ให้ห้อขนึ ้ ไป. ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ให้แตกจากกนั . (ปี 2562, 2544) กรรมทเ่ี ป็ นบาปหนกั ทส่ี ดุ มชี ื่อเรียกวา่ อะไร ? คืออะไรบ้าง ? ตอบ มชี ื่อเรียกวา่ อนนั ตริยกรรม ฯ คือ ๑. มาตฆุ าต ฆา่ มารดา ๒. ปิ ตฆุ าต ฆา่ บิดา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ 13 | P a g e

๔. โลหิตปุ บาท ทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถงึ ยงั พระโลหติ ให้ห้อขนึ ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ให้แตกจากกนั ฯ (ปี 2558) กรรมอนั เป็ นบาปหนกั ทส่ี ดุ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน คือกรรมอะไร ? จงยกตวั อยา่ งสกั ๓ ข้อ ตอบ คอื อนนั ตริยกรรม ฯ มี ๑. มาตฆุ าต ฆา่ มารดา ๒. ปิ ตฆุ าต ฆา่ บิดา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔. โลหิตปุ บาท ทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถึงยงั พระโลหิตให้ห้อขนึ ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ให้แตกจากกนั ฯ (เลอื กตอบเพยี ง ๓ ข้อ) (ปี 2547) ในพระพทุ ธศาสนา บคุ คลผ้ฆู า่ มารดาบดิ า ได้ชื่อวา่ เป็ นผ้ทู าอนนั ตริยกรรม จะได้รับโทษอยา่ งไร ? ตอบ จะได้รับโทษคือ ต้องไปสทู่ คุ ติ ห้ามสวรรค์ ห้ามนพิ พาน ฯ (ปี 2544) กรรมทเ่ี ป็ นบาปหนกั ทส่ี ดุ มชี ื่อเรียกวา่ อะไร? คืออะไรบ้าง? เพราะเหตไุ รจึงเป็ นกรรมที่เป็ นบาปหนกั ที่สดุ ? ตอบ มชี ื่อเรียกวา่ อนนั ตริยกรรม ฯ คอื ๑) มาตฆุ าต ฆา่ มารดา ๒) ปิ ตฆุ าต ฆา่ บดิ า ๓) อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔) โลหิตปุ บาท ทาร้ายพระพทุ ธเจ้าจนถึงยงั พระโลหิตให้ห้อขนึ ้ ไป ๕) สงั ฆเภท ยงั สงฆ์ให้แตกจากกนั ฯ เพราะห้ามสวรรค์ ห้ามนพิ พาน ตงั้ อยใู่ นฐานปาราชิกของผ้นู บั ถือพระพทุ ธศาสนา ห้ามไมใ่ ห้ทาเป็ นเดด็ ขาด ฯ  อภณิ หปัจจเวกขณ์ ๕ สงิ่ ท่ีควรพิจารณาทกุ วนั ๆ ๑. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ ว่า เรามคี วามแก่เป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได.้ ประโยชน์คือ เพ่อื บรรเทาความเมาในความเป็ นเด็กหรือในความเป็ นหนมุ่ เป็ นสาว เหน็ แกค่ วามสนกุ เพลดิ เพลนิ ให้ ตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรียน และทากิจทค่ี วรทาในขณะทย่ี งั ไมแ่ ก.่ ๒. ควรพิจารณาทุก ๆ วนั ว่า เรามีความเจ็บเป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้. ประโยชน์คอื เพื่อบรรเทาความเมาในความไมม่ ีโรคภยั ไข้เจ็บแล้ว รีบเร่งศกึ ษาเลา่ เรียน และทากิจทคี่ วรทาในขณะท่ยี งั ไมม่ ีโรค. ๓. ควรพจิ ารณาทุก ๆ วนั ว่า เรามคี วามตายเป็ นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได.้ ประโยชน์คอื เพอ่ื บรรเทาความเมาในชีวติ แล้วรีบเร่งทากิจทค่ี วรทาให้สาเร็จก่อนท่ีควรตายจะมาถึง. ๔. ควรพจิ ารณาทุก ๆ วันว่า เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทัง้ สนิ้ . ประโยชน์คอื เพอื่ บรรเทาความยดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ สง่ิ นนั้ คนนนั้ เป็ นทร่ี ักของเรา จกั ไมต่ ้องเสยี ใจในเมื่อต้องพลดั พราก จริง ๆ. ๕. ควรพจิ ารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามกี รรมเป็ นของตวั เราทาดจี ักได้ดี ทาช่วั จักได้ช่ัว. 14 | P a g e

ประโยชน์คือ เพ่ือบรรเทาความเห็นผดิ วา่ คนจะดีก็ดเี อง จะชว่ั ก็ชว่ั เอง จะได้สขุ ทกุ ข์ก็ได้เอง แล้วรีบเร่งทาแตก่ รรมดี งด เว้นกรรมชวั่ . (ปี 2561) สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาเนอื งๆ มีอะไรบ้าง ? ทรงให้พจิ ารณาอยา่ งไร ? ตอบ มี ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความพลดั พราก และกรรม ฯ ทรงสอนให้พจิ ารณาวา่ ๑. เรามีความแกเ่ ป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความแก่ไปได้ ๒. เรามคี วามเจ็บไข้เป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๓. เรามคี วามตายเป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความตายไปได้ ๔. เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ ๕. เรามกี รรมเป็ นของตวั เรา ทาดจี กั ได้ดที าชวั่ จกั ได้ชว่ั ฯ (ปี 2556) อภณิ หปัจจเวกขณ์ คอื ข้อท่คี วรพิจารณาเนอื ง ๆ ๕ อยา่ ง ทรงสอนให้พจิ ารณาอะไรบ้าง? ตอบ ทรงสอนให้พิจารณา ๑. ความแก่ วา่ เรามีความแกเ่ ป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความแกไ่ ปได้ ๒. ความเจ็บไข้ วา่ เรามีความเจ็บไข้เป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๓. ความตาย วา่ เรามคี วามตายเป็ นธรรมดาไมล่ ว่ งพ้นความตายไปได้ ๔. ความพลดั พราก วา่ เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ ๕. กรรม วา่ เรามีกรรมเป็ นของตวั เราทาดีจกั ได้ดที าชวั่ จกั ได้ชวั่ ฯ (ปี 2554) อภิณหปัจจเวกขณ์ข้อวา่ ควรพิจารณาทกุ ๆ วนั วา่ เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ ดงั นี ้ผ้พู จิ ารณาได้รับ ประโยชน์อยา่ งไร? ตอบ ประโยชน์คอื ชว่ ยบรรเทาความพอใจรักใคร่ในของรักของชอบใจและป้ องกนั ความทกุ ข์โทมนสั ในเวลาเม่ือ ตนต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจ (ปี 2550) ควรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั วา่ เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ ข้อความนอี ้ ยใู่ นหมวดธรรมอะไร? ทา่ นให้ พจิ ารณาอยา่ งนเี ้พ่อื อะไร? ตอบ อยใู่ นธรรมหมวดอภณิ หปัจจเวกขณ์ ๕ ฯ เพ่อื บรรเทาความยดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ สง่ิ นนั้ คนนนั้ เป็ นทรี่ ัก ของเรา จกั ไมต่ ้องเสยี ใจในเมื่อต้องพลดั พรากจากสงิ่ นนั้ คนนนั้ จริง ๆ ฯ (ปี 2546) จงอธิบายความหมายของคาตอ่ ไปนี ้? ก. ปัจจยปัจจเวกขณะ ข. อภณิ หปัจจเวกขณะ ตอบ ก.ปัจจยปัจจเวกขณะ คือ พิจารณาเสยี กอ่ นจงึ บริโภคปัจจยั ๔ คือ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมบ่ ริโภคด้วยตณั หา ฯ ข.อภณิ หปัจจเวกขณะ คือ พิจารณาทกุ ๆ วนั วา่ เรามคี วามแก่ มคี วามเจ็บมคี วามตายเป็ นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นความแก่ เจ็บ ตายไป ได้ เราต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ เรามกี รรมเป็ นของ ๆ ตน เราทาดี จกั ได้ดี ทาชว่ั จกั ได้ชวั่ ฯ  องค์แห่งพระธรรมกถกึ ๕ คณุ สมบตั ขิ องนกั เทศน์ (ปี 2557) การจะเป็ นนกั เทศก์ท่ีดจี ะต้องมคี ณุ สมบตั อิ ะไรบ้าง? จงตอบมาสกั ๓ ข้อ ตอบ ๑. แสดงธรรมโดยลาดบั ไมต่ ดั ลดั ให้ขาดความ 15 | P a g e

๒. อ้างเหตผุ ลแนะนาให้ผ้ฟู ังเข้าใจ ๓. ตงั้ จิตเมตตาปรารถนาให้เป็ นประโยชน์แก่ผ้ฟู ัง ๔. ไมแ่ สดงธรรมเพราะเหน็ แกล่ าภ ๕. ไมแ่ สดงธรรมกระทบตนและผ้อู ืน่ คอื ไมย่ กตนเสยี ดสผี ้อู ื่น ฯ (เลือกตอบเพยี ง ๓ ข้อ)  อานิสงส์แห่งการฟังธรรม ๕ อย่าง (ปี 2558) อานสิ งสแ์ หง่ การฟังธรรม มอี ะไรบ้าง ? ตอบ มี ๑. ผ้ฟู ังธรรมยอ่ มได้ฟังสงิ่ ท่ยี งั ไมเ่ คยฟัง ๒. สงิ่ ใดได้เคยฟังแล้ว แตไ่ มเ่ ข้าใจชดั ยอ่ มเข้าใจสงิ่ นนั้ ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสยี ได้ ๔. ทาความเหน็ ให้ถกู ต้องได้ ๕. จิตของผ้ฟู ังยอ่ มผอ่ งใส ฯ  พละ ๕ ธรรมเป็ นกาลงั ๕ อยา่ ง (หรือ จะเรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ อินทรีย์ ๕ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน) ๑. สัทธา ความเช่ือ ๒. วิริยะ ความเพียร ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตงั้ ใจมนั่ ๕. ปัญญา ความรอบรู้ ฯ (ปี 2552) ธรรมเป็ นกาลงั ๕ อยา่ ง คอื อะไรบ้าง? ธรรม ๕ อยา่ งนนั้ เรียกวา่ อนิ ทรีย์ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ธรรมเป็ นกาลงั ๕ อยา่ ง คอื ๑) สทั ธา ความเชื่อ ๒)วริ ิยะ ความเพยี ร ๓)สติ ความระลกึ ได้ ๔)สมาธิ ความตงั้ ใจมนั่ ๕)ปัญญา ความรอบรู้ ฯ ธรรม ๕ อยา่ งนนั้ เรียกวา่ อนิ ทรีย์ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน ฯ  นิวรณ์ ๕ ธรรมอนั กนั้ จิตไมใ่ ห้บรรลคุ วามดี ๑. กามฉันทะ พอใจรักใคร่อารมณ์ทช่ี อบใจ มรี ูป เป็ นต้น ๒. พยาบาท ปองร้ายผ้อู ื่น ๓. ถนี มทิ ธะ ความท่จี ิตหดหแู่ ละเคลบิ เคลมิ ้ ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟ้ งุ ซา่ นและราคาญ ๕. วจิ ิกจิ ฉา ลงั เลไมต่ กลงได้ (ปี 2560 และ 2550) ธรรมอนั เป็ นเครื่องกนั้ จิตไมใ่ ห้บรรลคุ วามดี คืออะไร ? มอี ะไรบ้าง ? ตอบ คอื นวิ รณ์ ๕ ฯ มี ๑. กามฉนั ท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ทีช่ อบใจมีรูปเป็ นต้น 16 | P a g e

๒. พยาบาท ปองร้ายผ้อู ื่น ๓. ถีนมทิ ธะ ความทจี่ ิตหดหแู่ ละเคลบิ เคลมิ ้ ๔. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ฟ้ งุ ซา่ นและราคาญ ๕. วจิ ิกิจฉา ลงั เลไมต่ กลงใจ ฯ (ปี 2556) จงให้ความหมายของคาวา่ กามฉนั ท์ ตอบ หมายถึง ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ทช่ี อบใจมีรูปเป็ นต้น ฯ (ปี 2555)คดิ อยา่ งไรเรียกวา่ พยาบาท? คิดอยา่ งนนั้ เกิดโทษอะไร? ตอบ คิดปองร้ายผ้อู ่ืนฯ เกิดโทษคือปิ ดกนั้ จิตใจไมใ่ ห้บรรลคุ วามดฯี (ปี 2549) อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ คอื ความฟ้ งุ ซา่ นและราคาญ จดั เข้าในขนั ธ์ไหนในขนั ธ์ ๕? เพราะเหตไุ ร? ตอบ จดั เข้าในสงั ขารขนั ธ์ ฯ เพราะความฟ้ งุ ซา่ นและราคาญ เป็ นเจตสกิ ธรรมท่ีเกิดขนึ ้ กบั ใจ ฯ (ปี 2547) ธรรมอนั กนั้ จิตไมใ่ ห้บรรลคุ วามดี เรียกวา่ อะไร? ความดที ่ีถกู กัน้ ไว้ไม่ให้บรรลุ หมายถงึ ความดีอย่างไหน? ตอบ เรียกวา่ นวิ รณ์ ฯ หมายถึงความดีทกุ ๆ อยา่ ง ความดีทถ่ี กู กนั้ ไว้ไมใ่ ห้บรรลแุ ตเ่ มือ่ กลา่ วโดยตรง ได้แกส่ มาธิ คือการทาจิตใจให้สงบ ฯ  ขันธ์ ๕ \" ขนั ธ์ \" แปลวา่ \" กอง \" คอื กายกบั ใจ ๑. รูป ธาตุ ๔ คอื ดิน นา้ ไฟ ลม มาประชมุ กนั เป็ นกายนี ้ ๒. เวทนา ความเสวยอารมณ์ สขุ ทกุ ข์ เฉยๆ ๓. สัญญา ความจาได้หมายรู้ ๔. สังขาร สง่ิ ท่ปี ัจจยั ปรุงแตง่ หรือ ความคดิ (คิดปรุง คิดดีบ้าง คดิ ชว่ั บ้าง คดิ ไมด่ ีไมช่ ว่ั บ้าง ความคิดปรุงแตง่ จิต ให้มีอาการตา่ ง ๆ) ๕. วญิ ญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็ นต้น  ขนั ธ์ ๕ นี ้เรียกโดยยอ่ วา่ นามรูป. เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็ นนาม, รูปคงเป็ นรูป. (ปี 2559) กายกบั ใจของเรานแี ้ บง่ ออกเป็ นก่ีกอง ? อะไรบ้าง ? ตอบ แบง่ ออกเป็ น ๕ กอง ฯ คอื ๑. กองรูป ๒. กองเวทนา ๓. กองสญั ญา ๔.กองสงั ขาร ๕. กองวญิ ญาณ ฯ (ปี 2556) ขนั ธ์ ๕ ได้แกอ่ ะไรบ้าง ? ยอ่ เป็ น ๒ อยา่ งไร? ตอบ ได้แก่ รูปขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวิญญาณขนั ธ์ ฯ อยา่ งนคี ้ อื รูปขนั ธ์ คงเป็ นรูป เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ และวญิ ญาณขนั ธ์ ๔ ขนั ธ์นเี ้ป็ นนาม ฯ (ปี 2551 และ 2548) ขนั ธ์ ๕ ได้แกอ่ ะไรบ้าง? โดยยอ่ เรียกวา่ อะไร? ตอบ ขนั ธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ฯ โดยยอ่ เรียกวา่ นามรูป ฯ หมวด ๖  คารวะ ๖ คอื ความเคารพ เออื ้ เฟือ้ มี ๖ อยา่ ง ๑. ความเคารพในพระพุทธเจ้า (พุทธคารวะ) คือเคารพเออื ้ เฟือ้ นบั ถือบชู าด้วยอามิสและด้วยการปฏิบตั ิดปี ฏิบตั ชิ อบ ทาง กายวาจาใจ อนั ประกอบด้วยความเชื่อความเลอื่ มใสในพระพทุ ธเจ้า แม้ดบั ขนั ธปรินพิ พานนานแล้ว ก็ไมล่ บหลดู่ หู ม่ิน แม้ทาทา่ เลน่ พดู เลน่ เพือ่ สรวลเสเฮฮา ก็ไมค่ วร ต้องเคารพสารวมกิริยามารยาท 17 | P a g e

๒. ความเคารพในพระธรรม (ธัมมคารวะ) คือเคารพเออื ้ เฟือ้ เลอ่ื มใสในพระธรรม คือคาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้าทงั้ หมด แม้ วตั ถทุ ่จี ารึกพระธรรมก็ต้องให้ความเคารพ ไมเ่ หยียบยา่ ข้ามกราย. ๓. ความเคารพในพระสงฆ์ (สงั ฆคารวะ) คือเคารพเออื ้ เฟือ้ เลอื่ มใสในพระสงฆ์ คอื ภิกษุ (สามเณร) ทงั้ ที่เป็ นอริยสงฆ์ ทงั้ ที่ เป็ นสมมติสงฆ์ แม้กาสาวพสั ตร์ คอื ผ้าย้อมนา้ ฝาดท่พี ระสงฆ์นงุ่ หม่ อนั เป็ นดจุ ธงชยั ในพระพทุ ธศาสนา ก็ต้องให้ความเคารพ. ไม่ แสดงกิริยาอาการล้อเลน่ ดถู กู ดหู มน่ิ พระสงฆ์ ซงึ่ เป็ นผ้สู อนพระธรรมรักษาพระธรรม นาพระศาสนาสบื ตอ่ มาไมข่ าดสาย. ตงั้ ใจ กราบไหว้ และปฏิบตั ิตาม คาสอนของพระสงฆ์ ซงึ่ เป็ นผ้แู ทนพระพทุ ธเจ้า. ๔. ความเคารพในการศึกษา (สิกขาคารวะ) คอื เคารพเออื ้ เฟือ้ ในความศกึ ษา ตงั้ ใจศกึ ษาหาความรู้ความเข้าใจความชานาญ ในสงิ่ ทคี่ วรรู้ ทงั้ ทางโลก (ได้แกศ่ ิลปวิชาสาขาตา่ ง ๆ ซงึ่ เป็ นทางให้ดารงชีพอยโู่ ดยผาสกุ ในโลก) และทางธรรม (ได้แกไ่ ตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ และปัญญา) ๕. ความเคารพในความไม่ประมาท (อัปปมาทคารวะ) คือเคารพเออื ้ เฟือ้ ในความไมป่ ระมาท คือ มีสติควบคมุ กาย วาจา จิต ในกาลทาพดู คดิ อยา่ ให้ผิดสม่าเสมอ ไมพ่ ลงั้ เผลอ ในทีท่ กุ สถาน ในกาลทกุ เม่อื . ๖. ความคารพในการต้อนรับ (ปฏิสนั ถารคารวะ) คอื ความเคารพเออื ้ เฟือ้ ในปฏิสนั ถาร ๒ อยา่ ง คือ ก. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับแขกด้วยวตั ถสุ ง่ิ ของ เช่น ท่นี งั่ ทพ่ี กั ข้าว นา้ เป็ นต้น. ข. ธรรมปฏสิ ันถาร ต้อนรับแขก ด้วยการกลา่ วเชือ้ เชิญสนทนาปราศรัยด้วยไมตรีจิต และจดั แจงอามิสให้พอสมควรแก่ ฐานะของแขก ตามสมควรแกฐ่ านะของตน (ปี 2552) คารวะ คอื อะไร? มกี ่ีอยา่ ง? ข้อวา่ คารวะในความศกึ ษา หมายถึงอะไร ? ตอบ คารวะ คือ ความเคารพ เออื ้ เฟือ้ ฯ มี ๖ อยา่ ง ฯ คารวะในความศกึ ษา หมายถึง ความเคารพ เออื ้ เฟือ้ ในไตรสกิ ขา ฯ  สาราณิยธรรม ๖ ธรรมเป็ นทต่ี งั้ แหง่ ความให้ระลกึ ถงึ ๑. เข้าไปตงั้ กายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพ่อื นภิกษุสามเณร ทงั้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั คอื ชว่ ยขวนขวายกิจธรุ ะของเพื่อนกนั ด้วย การมพี ยาบาลภกิ ษุไข้เป็ นต้น ด้วยจิตเมตตา. ๒. เข้าไปตงั้ วจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ฯลฯ ด้วยวาจา เชน่ กลา่ วสง่ั สอนเป็ นต้น ๓. เข้าไปตงั้ มโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ฯลฯ คอื คดิ แตส่ ง่ิ ท่ีเป็ นประโยชน์แกเ่ พื่อนกนั . ๔. แบง่ ปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม ให้แกเ่ พ่ือนภกิ ษุสามเณร ไมห่ วงไว้บริโภคจาเพาะผ้เู ดยี ว. ๕. รักษาศีลบริสทุ ธ์ิเสมอกนั กบั เพื่อนภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไมท่ าตนให้เป็ นทร่ี ังเกียจของผ้อู ่นื . ๖. มคี วามเห็นวา่ ร่วมกนั กบั ภกิ ษสุ ามเณรอน่ื ๆ ไมว่ ิวาทกบั ใคร ๆ เพราะมคี วามเหน็ ผิดกนั . ธรรม ๖ อย่างนี ้ทาผ้ปู ระพฤตใิ ห้เป็ นท่รี ักเคารพของผ้อู ่ืน เป็ นไปเพือ่ ความสงเคราะห์กนั และกนั เป็ นไปเพือ่ ความไมว่ ิวาทกนั และกนั เป็ นไปเพื่อความสามัคคเี ป็ นอนั หนงึ่ อนั เดียวกนั . (ปี 2547) สาราณิยธรรม แปลวา่ อะไร? ธรรมข้อนยี ้ อ่ มอานวยผลแก่ผ้ปู ฏบิ ตั ติ ามอยา่ งไร? ตอบ ธรรมเป็ นทต่ี งั้ แหง่ ความให้ระลกึ ถึง ฯ ทาผ้ปู ฏิบตั ิตามให้เป็ นทรี่ ัก เป็ นทเ่ี คารพของผ้อู ่ืน เป็ นไปเพื่อความสงเคราะห์กนั และกนั เป็ นไปเพ่อื ความไมว่ วิ าทกนั และกนั เป็ นไปเพือ่ ความพร้อมเพรียงกนั เป็ นไปเพือ่ ความเป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ฯ (ปี 2545) \"รู้รักสามัคคี\" เกิดขนึ ้ เพราะปฏิบตั ธิ รรมอะไร? ตอบ สาราณิยธรรม ฯ 18 | P a g e

 ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรียกวา่ อายตนะภายใน ๖ เพราะทงั้ ๖ นเี ้ป็ นของเน่อื งอยใู่ นร่างกาย คอื ในตวั และเพราะเป็ นเคร่ืองตอ่ หรือเป็ นบอ่ เกิด คอื เป็นเครื่องตอ่ กบั อายตนะภายนอก ๖ เช่นตาสาหรับตอ่ กบั รูป, หสู าหรับตอ่ กบั เสยี งเป็ นต้น. หรือตาเป็ นบอ่ เกิดปรากฏแหง่ รูป, หเู ป็ นบอ่ เกิดปรากฏแหง่ เสยี งเป็ นต้น  ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรียกอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ อนิ ทรีย์ ๖ เพราะเป็ นใหญ่ในกิจของตน คือตาเป็ นใหญใ่ น กิจคอื การเหน็ รูป หเู ป็ นใหญ่ในกิจคือการฟังเสยี ง จมกู เป็ นใหญ่ในกิจคอื การรับสมั ผสั ลนิ ้ เป็ นใหญ่ในกิจคอื การลมิ ้ รส การ เป็ นใหญ่ในกิจคือการรับสมั ผสั ใจเป็ นใหญ่ในกิจคือรับรู้เรื่อง. จะสบั เปลยี่ นกนั ไมไ่ ด้เลย เชน่ จะใช้ตาฟังเสยี ง หรือใช้หดู รู ูป ไมไ่ ด้.  ๑.ตา ๒.หู ๓.จมกู ๔.ลนิ ้ ๕.กาย ๖.ใจ เรียกอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ ทวาร ๖ เพราะเป็ นประตแู หง่ อารมณ์ ๖, คืออารมณ์มรี ูปา รมณ์ (อารมณ์คอื รูป) เป็ นต้น เข้ามาภายในบคุ คล ก็ต้องผา่ นเข้ามาทางจกั ษุทวาร ประตคู อื ตา เป็ นต้น.  ๑.รูป ๒.รส ๓.กลน่ิ ๔.เสยี ง ๕.โผฏฐัพพะ(คอื อารมณ์ท่มี าถกู ต้องกาย) ๖.ธรรม(คอื อารมณ์เกิดกบั ใจ) เรียกวา่ อายตนะ ภายนอก ๖ เพราะเป็ นเครื่องตอ่ กบั อายตนะภายใน ๖ เช่นรูปตอ่ กบั ตา เป็ นต้น. และเพราะรูปเป็ นต้นนเี ้ป็ นของอยู่ นอกจากร่างกายออกไป  ๑.รูป ๒.รส ๓.กลนิ่ ๔.เสยี ง ๕.โผฏฐัพพะ(คืออารมณ์ท่ีมาถกู ต้องกาย) ๖.ธรรม(คอื อารมณ์เกิดกบั ใจ) เรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ อารมณ์ ๖ เพราะเป็ นที่หนว่ งเหนย่ี วของจิต หรือเป็ นท่ียนิ ดีของตาเป็ นต้น จึงมีชื่อเรียก ดงั นี ้:- ๑. รูปารมณ์ สงิ่ เป็ นทห่ี นว่ งเหน่ยี วจิต คือ รูป เป็ นทยี่ ินดขี องตา เข้ามาทางประตคู ือตา. ๒. สทั ทารมณ์ สง่ิ เป็ นท่ีหนว่ งเหนี่ยวจิต คอื เสยี ง เป็ นท่ยี นิ ดขี องหู เข้ามาทางประตคู อื ห.ู ๓. คันธารมณ์ สงิ่ เป็ นทห่ี นว่ งเหนี่ยวจิต คอื กลนิ่ เป็ นท่ียินดีของจมกู เข้ามาทางประตคู ือลนิ ้ . ๔. รสารมณ์ สง่ิ เป็ นท่หี นว่ งเหน่ียวจิต คือ รส เป็ นที่ยินดขี องลนิ ้ เข้ามาทางประตคู อื ลนิ ้ . ๕. โผฐัพพารมณ์ สง่ิ เป็ นทีห่ นว่ งเหน่ียวจิต คอื สง่ิ ถกู กาย เป็ นทีย่ นิ ดขี องกาย เข้ามาทางประตคู ือกาย. ๖. ธรรมารมณ์ สงิ่ เป็ นที่หนว่ งเหน่ยี วจิต คือ เร่ือง เป็ นทยี่ นิ ดขี องใจ เข้ามาทางประตคู อื ใจ  วิญญาณ ๖ ความรู้ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ อาศยั รูปกระทบตา เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก จกั ขุวิญญาณ อาศยั เสยี งกระทบหู เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก โสตวญิ ญาณ อาศยั กลนิ่ กระทบจมกู เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก ฆานวญิ ญาณ อาศยั รสกระทบลนิ ้ เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก ชิวหาวิญญาณ อาศยั โผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก กายวิญญาณ อาศยั ธรรมเกิดกบั ใจ เกิดความรู้ขนึ ้ เรียก มโนวญิ ญาณ. เพราะอาศยั ๒ สง่ิ คือ อายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ กระทบกนั , หรือทวาร ๑ อารมณ์ ๑ ประจวบกนั จงึ เกิด วิญญาณ คือความรู้ขนึ ้ , ความรู้ท่ีเกิดขนึ ้ นนั้ มีช่ือเรียกไปตามชื่อของอายตนะภายใน เชน่ จกั ขวุ ญิ ญาณ แปลวา่ ความรู้ทางตาเป็ นต้น. วญิ ญาณทงั้ ๖ นี ้รวมเข้าเป็ นกองหนงึ่ เรียกวา่ วิญญาณขนั ธ์ 19 | P a g e

 สมั ผสั ๖ การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในมตี าเป็ นต้น กบั อายตนะภายนอกมีรูปเป็ นต้น วญิ ญาณ มีจกั ขวุ ิญญาณ เป็ นต้น เพราะอาศยั ๓ สงิ่ คอื อายตนะภายใน ๑ อาตนะภายนอก ๑ วญิ ญาณ ๑ ประชมุ กนั เข้า จงึ เรียกวา่ สัมผัส สมั ผสั มี ๖ อยา่ ง เรียกช่ือตามอายตะนะภายใน คือ จกั ขุสัมผสั กระทบทางตา, โสตสมั ผสั กระทบทางห,ู ฆานสัมผัส กระทบทางจมกู , ชิวหาสมั ผสั กระทบทางลนิ ้ กายสัมผสั กระทบทางกาย, มโนสัมผสั กระทบทางใจ. (ปี 2561) อายตนะภายนอก ๖ ได้แกอ่ ะไรบ้าง ? ตอบ ได้แก่ รูป เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ท่ีมาถกู ต้องกาย ธรรม คอื อารมณ์ท่เี กิดกบั ใจ ฯ (ปี 2559 และ 2543) อินทรีย์ ๖ กบั อารมณ์ ๖ มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งไร? อะไรเรียกวา่ สมั ผสั ? ตอบ มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งนี ้ ตา เป็ นใหญ่ในการเห็นอารมณ์ คอื รูป หู เป็ นใหญ่ในการฟังอารมณ์ คือเสยี ง จมกู เป็ นใหญ่ในการสดู ดมอารมณ์ คอื กลน่ิ ลนิ ้ เป็ นใหญ่ในการลมิ ้ อารมณ์ คือรส กาย เป็ นใหญ่ในการถกู ต้องอารมณ์ คอื โผฏฐัพพะ ใจ เป็ นใหญ่ในการรู้อารมณ์ คอื ธรรม ฯ การกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะภายในมี ตา เป็ นต้น กบั อายตนะภายนอก มีรูปเป็ นต้น เกิดความรู้ขนึ ้ เรียกวา่ จกั ขวุ ญิ ญาณ เป็ นต้น ทงั้ ๓ อยา่ งนรี ้ วมกนั ในขณะเดียวกนั เรียกวา่ สมั ผสั ฯ (ปี 2554) อายตนะภายใน ๖ ได้แก่อะไรบ้าง? ตอบ ได้แก่ ตา หู จมกู ลนิ ้ กาย ใจ ฯ หมวด ๗  อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมไมเ่ ป็ นทต่ี งั้ แหง่ ความเสอื่ ม เป็ นไปเพื่อความเจริญฝ่ ายเดียว (ปี 2548) อปริหานยิ ธรรม คอื อะไร? ข้อท่ี ๔ ความวา่ อยา่ งไร? ตอบ คอื ธรรมไมเ่ ป็ นทต่ี งั้ แหง่ ความเสอ่ื ม เป็ นไปเพอื่ ความเจริญฝ่ ายเดียว ฯ ข้อที่ ๔ ความวา่ ภกิ ษุเหลา่ ใดเป็ นผ้ใู หญ่เป็ นประธานในสงฆ์ เคารพนบั ถือภกิ ษุเหลา่ นนั้ เช่ือฟังถ้อยคาของทา่ น ฯ (ปี 2545) อปริหานิยธรรม คืออะไร? มีกี่ข้อ? จงแสดงมา ๑ ข้อ ตอบ คอื ธรรมไมเ่ ป็ นท่ตี งั้ แหง่ ความเสอื่ ม มี ๗ ข้อ ฯ (ตอบข้อใดข้อหนง่ึ ) คอื ๑)หม่นั ประชุมกันเนืองนิตย์ ๒)เม่อื ประชุมกพ็ ร้อมเพรียงกนั ประชุม เม่อื เลกิ ประชุมก็พร้อมเพรียงกนั เลิกและพร้อมเพรียงกันช่วยทากิจท่สี งฆ์จะต้อง ทา ๓)ไม่บัญญัติส่ิงท่พี ระพุทธเจ้าไม่บัญญัตขิ ึน้ ไม่ถอนส่งิ ท่พี ระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานศกึ ษาอย่ใู นสิกขาบทตามท่ี พระองค์ทรงบญั ญตั ไิ ว้ ๔)ภกิ ษุเหล่าใดเป็ นผ้ใู หญ่ เป็ นประธานในสงฆ์ เคารพนับถอื ภกิ ษุเหล่านัน้ เช่ือฟังถ้อยคาของท่าน ๕)ไม่ลุอานาจแก่ความอยากท่เี กิดขึน้ 20 | P a g e

๖)ยนิ ดีในเสนาสนะป่ า ๗)ตงั้ ใจอย่วู ่า เพ่ือนภกิ ษุสามเณรซ่งึ เป็ นผ้มู ศี ลี ซ่งึ ยงั ไม่มาสู่อาวาส ขอให้มาท่มี าแล้ว ขอให้อย่เู ป็ นสุข ฯ  อริยทรัพย์ ๗ ทรัพย์ คือคณุ ความดีทีม่ ใี นสนั ดานอยา่ งประเสริฐ เรียก อริยทรัพย์ มี ๗ อยา่ งคือ ๑. สัทธา เช่ือสงิ่ ท่คี วรเช่ือ. ๒. สีล รักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย. ๓. หิริ ความละอายตอ่ บาปทจุ ริต. ๔. โอตตัปปะ สะด้งุ กลวั ตอ่ บาป. ๕. พาหุสัจจะ ความเป็ นคนเคยได้ยินได้ฟังมาก คือทรงธรรมและรู้ศิลปวทิ ยามาก. ๖. จาคะ สละให้ปันสงิ่ ของของตนแก่คนทีค่ วรให้ปัน. ๗. ปัญญา รอบรู้สงิ่ ทีเ่ ป็ นประโยชน์และไมเ่ ป็ นประโยชน์. อริยทรัพย์ ๗ ประการนี้ ดกี ว่าทรัพย์ภายนอก เพราะอริยทรัพย์เป็ นคณุ ธรรม เคร่ืองบารุงจิตใจให้ปลมื ้ ให้อบอนุ่ มีแล้วไมต่ ้องเป็ น ทกุ ข์กงั วลในการค้มุ ครองป้ องกนั โจรภยั เป็ นต้น ใครแยง่ ชิงไปไมไ่ ด้ ใช้เทา่ ใดก็ไมต่ ้องกลวั หมดสนิ ้ ไมต่ ้องเสยี่ งภยั ในการแสวงหา เป็ น ต้น ทงั้ สามารถติดตามเป็ นที่พง่ึ ในสมั ปรายภพได้ด้วย (ปี 2556) จงให้ความหมายของคาวา่ พาหสุ จั จะ ตอบ หมายถงึ ความเป็ นผ้ศู กึ ษามาก (ปี 2549) อริยทรัพย์ คอื ทรัพย์เช่นไร ? เมอื่ เทียบกบั ทรัพย์สนิ มีเงินทอง เป็ นต้น ดกี วา่ กนั อยา่ งไร? ตอบ คือ คณุ งามความดีอยา่ งประเสริฐท่ีเกิดมีขนึ ้ ในสนั ดาน มี ศรัทธา ศลี เป็ นต้น ฯ ดีกวา่ กนั เพราะเป็ นคณุ ธรรมเคร่ืองบารุงจิตให้อบอนุ่ ไมต่ ้องกงั วล เดือดร้อน ใครจะแยง่ ชิงไปไมไ่ ด้ ใช้เทา่ ใดก็ไมต่ ้องกลวั หมดสนิ ้ ทงั้ สามารถตดิ ตามไปได้ถงึ ชาติหน้า เป็ นที่พง่ึ ในสมั ปรายภพได้ด้วย ฯ (ปี 2546) พาหสุ จั จะ หมายความวา่ อยา่ งไร? พาหสุ จั จะ เป็ นอริยทรัพย์อยา่ งหนงึ่ นนั้ อธิบายอยา่ งไร? ตอบ หมายความวา่ ความเป็ นผ้เู คยได้ยนิ ได้ฟังมามาก ฯ อธิบายวา่ พาหสุ จั จะ คือความเป็ นผ้เู คยได้ยินได้ฟังมามากนนั้ (ทรงจาธรรมและศิลปวิทยามาก) ได้ชื่อวา่ อริยทรัพย์ เพราะเป็ นเหตใุ ห้ ได้อิฏฐผล มลี าภ ยศ สรรเสริญ สขุ และไมตรีเป็ นต้น ทงั้ ไมเ่ ป็ นภาระแกเ่ จ้าของและทด่ี ีพิเศษกวา่ ทรัพย์สนิ เงินทองทว่ั ไปคอื ยง่ิ ใช้ยิง่ มฯี (ปี 2544) ทรัพย์ประเภทไหนเรียกวา่ อริยทรัพย?์ อริยทรัพย์ดีกวา่ ทรัพย์ภายนอกเพราะเหตไุ ร? ตอบ ทรัพย์ คือคณุ ความดีทมี่ ใี นสนั ดานอยา่ งประเสริฐ เรียกวา่ อริยทรัพย์ มี ศรัทธา ศลี เป็ นต้น ฯ ดีกวา่ เพราะอริยทรัพย์ เป็ นคณุ ธรรม เคร่ืองบารุงจิตใจให้ปลมื ้ ให้อบอนุ่ มีแล้วไมต่ ้องเป็ นทกุ ข์กงั วลในการค้มุ ครองป้ องกนั โจรภยั เป็ น ต้น ใครแยง่ ชิงไปไมไ่ ด้ ใช้เทา่ ใดก็ไมต่ ้องกลวั หมดสนิ ้ ไมต่ ้องเสยี่ งภยั ในการแสวงหา เป็ นต้น ทงั้ สามารถตดิ ตามเป็ นที่พง่ึ ใน สมั ปรายภพได้ด้วย ฯ  สปั ปุริสธรรม ๗ ธรรมของสตั บรุ ุษ ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั เหตุ เชน่ รู้จกั วา่ สงิ่ นเี ้ป็ นเหตแุ หง่ ความสขุ สง่ิ นเี ้ป็ นเหตแุ หง่ ทกุ ข.์ 21 | P a g e

๒. อตั ตถญั ญุตา ความเป็ นผ้รู ักจกั ผล เชน่ รู้จกั วา่ สขุ เป็ นผลแหง่ เหตอุ นั นี ้ทกุ ข์เป็ นผลแหง่ เหตอุ นั น.ี ้ ๓. อตั ตัญญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั ตน วา่ เราก็โดยชาติตระกลู ยศศกั ดิ์ สมบตั ิ บริวาร ความรู้ และคณุ ธรรม เพียงเทา่ นี ้ๆ แล้ว ประพฤตติ นให้สมควรแกท่ ีเ่ ป็ นอยอู่ ยา่ งไร. ๔. มตั ตัญญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั ประมาณ ในการแสวงหาเครื่องเลยี ้ งชีวติ แตโ่ ดยทางที่ชอบ และรู้จกั ประมาณในการ บริโภคแตพ่ อสมควร. ๕. กาลญั ญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั กาลเวลา อนั สมควรในอนั ประกอบกิจนนั้ ๆ. ๖. ปริสญั ญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั ชมุ ชน และกิริยาทตี่ ้องประพฤติตอ่ ประชมุ ชนนนั้ ๆ วา่ หมนู่ เี ้ม่ือเข้าไปหา จะต้องทากิริยา อยา่ งนี ้จะต้องพดู อยา่ งนี ้เป็ นต้น. ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็ นผ้รู ู้จกั เลอื กบคุ คลวา่ ผ้นู เี ้ป็ นคนดคี วรคบ ผ้นู เี ้ป็ นคนไมด่ ีไมค่ วรคบ เป็ นต้น. (ปี 2557) จงให้ความหมายของคาตอ่ ไปนี ้๑. ธมั มญั ญตุ า๒. มตั ตญั ญตุ า ๓. กาลญั ญตุ า ตอบ ๑. ธมั มญั ญตุ า ความเป็ นผ้รู ู้จกั เหตุ เช่นรู้จกั วา่ สงิ่ นเี ้ป็ นเหตแุ หง่ สขุ สงิ่ นเี ้ป็ นเหตแุ หง่ ทกุ ข์ ๒. มตั ตญั ญตุ า ความเป็ นผ้รู ู้ประมาณ ในการแสวงหาเคร่ืองเลยี ้ งชีวิตแตโ่ ดยทางทีช่ อบ และรู้ประมาณในการบริโภคแตพ่ อสมควร ๓. กาลญั ญตุ า ความเป็ นผ้รู ู้จกั กาลเวลาอนั สมควรในอนั ประกอบกิจนนั้ ๆ ฯ (ปี 2545) มตั ตญั ญตุ า ความเป็ นผ้รู ู้ประมาณ ในสปั ปรุ ิสธรรม มอี ธิบายไว้อยา่ งไร? ตอบ ความเป็ นผ้รู ู้ประมาณในการแสวงหาเครื่องเลยี ้ งชีวิตแตโ่ ดยทางท่ีชอบและรู้จกั ประมาณในการบริโภคแตพ่ อควร ฯ หมวด ๘  โลกธรรม ๘ ธรรมทค่ี รอบงาสตั วโลกอยู่ และสตั วโลกยอ่ มเป็ นไปตามธรรมนนั้ ๑.มลี าภ ๒.ไมม่ ลี าภ ๓.มยี ศ ๔.ไมม่ ียศ ๕.นินทา ๖.สรรเสริญ ๗.สขุ ๘.ทกุ ข์ ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เกิดขนึ ้ ควรพิจารณาวา่ สง่ิ นเี ้กิดขนึ ้ แล้วแกเ่ รา ก็แตว่ า่ มนั ไมเ่ ท่ยี ง เป็ นทกุ ข์ มคี วาม แปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามท่เี ป็ นจริง อยา่ ให้มนั ครอบงาจิตได้คอื อยา่ ยนิ ดใี นสว่ นที่นา่ ปรารถนา อยา่ ยินร้ายในสว่ นทไี่ มน่ า่ ปรารถนา. (ปี 2559) เมื่อโลกธรรม ๘ เกิดขนึ ้ แก่ตน ควรพจิ ารณาอยา่ งไร ? ตอบ ควรพิจารณาวา่ สง่ิ นเี ้กิดขนึ ้ แล้วแกเ่ รา ก็สกั แตว่ า่ เกิดขนึ ้ มนั ไมเ่ ท่ยี ง เป็ นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา เมอื่ พิจารณาเห็น แล้วก็อยา่ ยินดี ในสว่ นทน่ี า่ ปรารถนา และอยา่ ยนิ ร้ายในสว่ นทไ่ี มน่ า่ ปรารถนา ฯ (ปี 2555) โลกธรรม ๘ มอี ะไรบ้าง? ตอบ คอื ๑.มลี าภ ๒.ไมม่ ีลาภ ๓.มยี ศ ๔.ไมม่ ียศ ๕.นนิ ทา ๖.สรรเสริญ ๗.สขุ ๘.ทกุ ข์ (ปี 2547) โลกธรรม คอื อะไร? เม่ือเกิดขนึ ้ แล้วควรพจิ ารณาอยา่ งไร? ตอบ คือ ธรรมที่ครอบงาสตั วโลกอยู่ และสตั วโลกยอ่ มเป็ นไปตามธรรมนนั้ ฯ 22 | P a g e

ในโลกธรรม ๘ ประการนี ้อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกิดขนึ ้ ควรพิจารณาวา่ สงิ่ นเี ้กิดขนึ ้ แล้วแกเ่ รา ก็แตว่ า่ มนั ไมเ่ ทย่ี ง เป็ นทกุ ข์ มคี วาม แปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็ นจริง อยา่ ให้มนั ครอบงาจิตได้ คืออยา่ ยินดีในสว่ นท่ีปรารถนา อยา่ ยนิ ร้ายในสว่ นที่ไมป่ รารถนา ฯ (ปี 2544) โลกธรรมมีกี่อยา่ ง? อะไรบ้าง? ทา่ นสอนให้ปฏิบตั ิตอ่ โลกธรรมอยา่ งไร? ตอบ มี ๘ อยา่ ง ฯ คือ มลี าภ ๑ ไมม่ ีลาภ ๑ มยี ศ ๑ ไมม่ ยี ศ ๑ สรรเสริญ ๑ นนิ ทา ๑ สขุ ๑ ทกุ ข์ ๑ ฯ สอนอยา่ งนี ้คือในโลกธรรมทงั้ ๘ อยา่ งนี ้อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกิดขนึ ้ ควรพิจารณาวา่ สง่ิ นเี ้กิดขนึ ้ แล้วแก่เรา มนั เป็ นของไมเ่ ทยี่ ง เป็ น ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเป็ นธรรมดา ควรรู้ตามท่ีเป็ นจริง อยา่ ให้ครอบงาจิตได้ คอื อยา่ ยนิ ดใี นสว่ นท่ปี รารถนา อยา่ ยินร้ายในสว่ นท่ี ไมป่ รารถนา ฯ  มรรคมอี งค์ ๘ ทางปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดบั ทกุ ข์ ๑.สัมมาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบ คอื เห็นอริยสัจ ๔(ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค) ๒.สมั มาสงั กปั ปะ ดาริชอบ คือดาริจะออกจากกาม ๑ ดาริในอนั ไม่พยาบาท ๑ ดาริในอันไม่เบียดเบยี น ๑. ๓.สมั มาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจที ุจริต ๔ (เทจ็ ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อ) ๔.สมั มากัมมันตะ การงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต ๓(ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม) ๕.สัมมาอาชวี ะ เลยี ้ งชีวติ ชอบ คอื เว้นจากความเลยี ้ งชีวติ โดยทางท่ผี ิด ๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ คือเพยี รในท่ี ๔ สถาน (สมั มัปปธาน ๔) คอื เพยี รระวังไม่ให้บาปเกดิ ขึน้ เพียรละบาปทเี กิดขึน้ แล้ว เพยี รให้กุศลเกิดขึน้ เพียรรักษากุศลท่เี กิดขึน้ แล้ว ๗.สัมมาสติ ระลกึ ชอบ คอื ระลกึ ในสตปิ ัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ๘.สัมมาสมาธิ ตงั้ ใจไว้ชอบ คอื เจริญฌาน ๔ ในองค์ทงั้ ๘ นนั้ , เหน็ ชอบ ดาริชอบ สงเคราะห์เข้าในปัญญาสกิ ขา. วาจาชอบ การงานชอบ เลยี ้ งชีพชอบ สงเคราะห์เข้าในสีลสกิ ขา. เพยี รชอบ ระลกึ ชอบ ตงั้ ใจไว้ชอบ สงเคราะห์เข้าในจิตตสกิ ขา. (ปี 2561) สมั มากมั มนั ตะ ทาการงานชอบ คอื ทาอยา่ งไร ? ตอบ คอื ทาโดยเว้นจากกายทจุ ริต ๓ ได้แก่ เว้นจากการฆา่ สตั ว์ เว้นจากการลกั ทรัพย์ เว้นจากการประพฤตผิ ิดในกาม ฯ (ปี 2560 และ 2545) คาวา่ เจรจาชอบ ในมรรคมีองค์ ๘ นนั้ คอื เจรจาอยา่ งไร? ตอบ คือเว้นจากพดู เทจ็ เว้นจากพดู สอ่ เสยี ด เว้นจากพดู คาหยาบ และเว้นจากพดู เพ้อเจ้อ ฯ (ปี 2555 และ 2548) สมั มาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรอยา่ งไร? 23 | P a g e

ตอบ เพียรในท่ี ๔ สถาน (สมั มปั ปธาน ๔) คือ ๑.เพยี รระวงั ไมใ่ ห้บาปเกิดขนึ ้ ๒.เพียรละบาปทีเกิดขนึ ้ แล้ว ๓.เพยี รให้กศุ ลเกิดขนึ ้ ๔. เพียรรักษากศุ ลที่เกดิ ขนึ ้ แล้ว ฯ (ปี 2550) มรรคมีองค์แปดจดั เข้าในสกิ ขา ๓ ได้หรือไม่ ? ถ้าได้จงจดั มาดู ตอบ ได้ ฯ จดั ดงั นี ้ สมั มาทิฏฐิและสมั มาสงั กปั ปะ จดั เข้าในปัญญาสกิ ขา สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ จดั เข้าในสลี สกิ ขา สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ จดั เข้าในจิตตสกิ ขา ฯ (ปี 2546) สมั มาสงั กปั ปะ ดาริชอบ คอื ดาริอยา่ งไร? มรรคมอี งค์ ๘ ข้อใดบ้างสงเคราะห์เข้าในสลี สกิ ขา? ตอบ คอื ดาริจะออกจากกาม ๑ ดาริในอนั ไมพ่ ยาบาท ๑ ดาริในอนั ไมเ่ บยี ดเบยี น ๑ ฯ วาจาชอบ การงานชอบ เลยี ้ งชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าในสลี สกิ ขา ฯ หมวด ๙  มละ ๙ คอื มลทิน ๑.โกธะ (โกรธ) แก้ด้วยเจริญเมตตา ....(*ข้อนีเ้ คยออกข้อสอบ) ๒.มกั ขะ (ลบหลบู่ ญุ คณุ ทา่ น) แก้ด้วยกตญั ญกู ตเวที ....(*ข้อนีเ้ คยออกข้อสอบ) ๓.อสิ สา (ริษยา) แก้ด้วยมทุ ิตา ๔.มจั ฉริยะ (ตระหน่ี) แก้ด้วยทาน ๕.มายา (มายา หรือ มารยา) แก้ด้วย อชุ ,ุ อาชวะ ความซอื่ ตรง ๖.สาเถยยะ (มกั อวด) แก้ด้วยอตั ตญั ญตุ า, อปจายนะ ๗.มุสาวาท (พดู ปด) แก้ด้วยสจั จวาจา ๘.ปาปิ จฉา (มีความปรารถนาลามก) แก้ด้วยสนั โดษ, มกั น้อย ๙.มจิ ฉาทฏิ ฐิ (เห็นผดิ ) แก้ด้วยสมั มาทิฏฐิ ....(*ข้อนีเ้ คยออกข้อสอบ) (ปี 2552 และ 2550) มละ คืออะไร? เป็ นศษิ ย์ได้ดีแล้วทามนึ ตงึ กบั อาจารย์ จดั เข้าในมละอยา่ งไหน และควรชาระมละอยา่ งนนั้ ด้วย ธรรมอะไร? ตอบ มละคอื มลทิน ฯ เป็ นศษิ ย์ได้ดีแล้วทามนึ ตงึ กบั อาจารย์ จดั เข้าใน มกั ขะ ลบหลคู่ ณุ ทา่ น และควรชาระด้วยกตญั ญู กตเวทติ า ความรู้คณุ ทา่ นแล้วตอบแทน ฯ (ปี 2543) มละคือมลทิน หมายถึงอะไร? มลทนิ ข้อท่ี ๑ และข้อที่ ๙ คอื อะไร? แก้ด้วยธรรมอะไร? ตอบ หมายถงึ กิเลสเป็ นเคร่ืองทาจิตให้เศร้าหมอง ไมผ่ อ่ งใส ฯ มลทินข้อท่ี ๑ คอื โกรธ แก้ด้วยเจริญเมตตา และมลทินข้อที่ ๙ คือ เห็นผดิ แก้ด้วยสมั มาทฏิ ฐิ หมวด ๑๐  ธรรมท่ีบรรพชิตควรพจิ ารณาเนืองๆ ๑๐ อย่าง ๑. บดั นี ้เรามเี พศตา่ งจากคฤหสั ถ์แล้ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราต้องทาอาการกิริยานนั้ ๆ ๒. การเลยี ้ งชีวิตของเราเนือ่ งด้วยผ้อู ื่น เราควรทาตวั ให้เขาเลยี ้ งง่าย 24 | P a g e

๓. อาการทางกาย วาจา อยา่ งอนื่ ทเ่ี ราจะต้องทาให้ดีขนึ ้ ไปกวา่ นยี ้ งั มอี ยอู่ ีก ไมใ่ ช่เพียงเทา่ นี ้ ๔. ตวั เราเองตเิ ตยี นตวั เราเองโดยศลี ได้หรือไม่ ๕. ผ้รู ู้ใคร่ครวญแล้วตเิ ตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ๖. เราจะต้องพลดั พรากจากของรักของชอบใจทงั้ สนิ ้ ๗. เรามกี รรมเป็ นของตวั เราทาดีจกั ได้ดี ทาชวั่ จกั ได้ชว่ั ๘. วนั คืนลว่ งไป ๆ บดั นี ้เราทาอะไรอยู่ ๙. เรายนิ ดีในทส่ี งดั หรือไม่ ๑๐. คณุ วิเศษของเรามอี ยหู่ รือไม่ ท่จี ะทาให้เราเป็ นผ้ไู มเ่ ก้อเขนิ ในเวลาเพ่ือนบรรพชิตถามในกาลภายหลงั (ปี 2556) บรรพชิตผ้พู ิจารณาเนอื ง ๆ วา่ วนั คืนลว่ งไป ๆ บดั นเี ้ราทาอะไรอยู่ จะได้รับประโยชน์อะไร? ตอบ จะได้รับประโยชน์คือเป็ นผ้ไู มป่ ระมาท มีความเพียร งดเว้นสง่ิ ทเ่ี ป็ นโทษ ทาในสงิ่ ทเ่ี ป็ นประโยชน์ ฯ  นาถกรณธรรม ๑๐ ๑. ศลี รักษากายวาจาให้เรียบร้อย. ๒. พาหุสัจจะ ความเป็ นผ้ไู ด้สดบั ตรับฟังมาก. ๓. กลั ยาณมติ ตตา ความเป็ นผ้มู ีเพ่ือนดงี าม. ๔. โสวจัสสตา ความเป็ นผ้วู า่ งา่ ยสอนง่าย. ๕. กิงกรณีเยสุ ทกั ขตา ความขยนั ช่วยเอาใจใสใ่ นกิจธุระของเพื่อนภกิ ษุสามเณร. ๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมทช่ี อบ. ๗. วริ ิยะ เพยี รเพื่อจะละความชวั่ ประพฤตคิ วามด.ี ๘. สันโดษ ยนิ ดีด้วยผ้านงุ่ ผ้าหม่ อาหาร ที่นอนทน่ี ง่ั และยาตามมีตามได้. ๙. สติ จาการทที่ า และคาท่ีพดู แล้วแม้นานได้. ๑๐. ปัญญา รอบรู้ในกองสงั ขารตามเป็ นจริงอยา่ งไร. (ปี 2545) นาถกรณธรรมคอื อะไร? นาถกรณธรรมข้อวา่ กลั ยาณมิตตตา หมายความวา่ อยา่ งไร? ตอบ คือธรรมทาทพี่ ง่ึ ฯ ความเป็ นผ้มู เี พ่ือนดีงาม ไมค่ บคนชวั่ ฯ คิหิปฎิบัติ หลักปฏบิ ตั ิของคฤหัสถ์ (ปี 2549) คิหปิ ฏิบัติ คืออะไร? หมวดธรรมตอ่ ไปนี ้คอื ๑. อิทธิบาท ๔ ๒. สงั คหวตั ถุ ๔ ๓. อธิษฐานธรรม ๔ ๔. ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ๕. ปาริสทุ ธิศีล ๔ 25 | P a g e

หมวดไหนมีในคหิ ปิ ฏบิ ตั ิ ? ตอบ คอื หลกั ปฏบิ ตั ขิ องคฤหสั ถ์ ฯ ข้อ ๒. และข้อ ๔. มีในคหิ ิปฏิบตั ิ ฯ หมวด ๔  อบายมุข คือ เหตเุ คร่ืองฉิบหาย หรือ ทางแหง่ ความเสอ่ื ม อบายมุข ๔ มี ๔ อยา่ งดงั นี ้ ๑.ความเป็ นนกั เลงหญิง ๒.ความเป็นนกั เลงสรุ า ๓.ความเป็นนกั เลงเล่นการพนนั ๔.ความคบคนชว่ั เป็นมิตร อบายมุข ๖ มี ๖ อยา่ งดงั นี ้ ๑.ดืม่ น้าเมา ๒.เที่ยวกลางคืน ๓.เทย่ี วดกู ารเลน่ ๔.เล่นการพนนั ๕.คบคนชวั่ เป็นมิตร ๖.เกียจคร้านทาการงาน โทษของคบคนช่ัวเป็ นมติ ร คือ (มาจากอบายมุข ๔ และ อบายมุข ๖) ๑.ทาให้เป็ นนกั เลงการพนนั ๒. ทาให้เป็ นนกั เลงเจ้าชู้ ๓. ทาให้เป็ นนกั เลงเหล้า ๔. ทาให้เป็ นคนลวงเขาด้วยของปลอม ๕. ทาให้เป็ นคนโกงเขาซงึ่ หน้า ๖. ทาให้เป็ นนกั เลงหวั ไม้ ฯ (ปี 2560) อบายมขุ ๔ มอี ะไรบ้าง ? ตอบ มี ๑. ความเป็ นนกั เลงหญิง ๒. ความเป็ นนกั เลงสรุ า ๓. ความเป็ นนกั เลงเลน่ การพนนั ๔. ความคบคนชว่ั เป็ นมิตร ฯ (ปี 2559) การคบคนชวั่ เป็ นมติ ร เป็ นเหตใุ ห้เกิด ความเสยี หายอยา่ งไร ? ตอบ เป็ นเหตใุ ห้เกิดความเสยี หายอยา่ งนี ้คอื การร่วมกินร่วมนอน ร่วมเทยี่ ว ร่วมพรรคร่วมพวก ร่วมไปมาหาสกู่ บั คนชว่ั มกั จะถกู คน ชวั่ ชกั จงู ไปในทางชว่ั เชน่ คนไมเ่ คยเป็ นนกั เลงหญิง ไมต่ ิดสรุ า ไมเ่ ลน่ การพนนั ไมเ่ ป็ นอนั ธพาล ก็ยอ่ มถกู ชกั จงู ไปจนกลายเป็ นนกั เลง หญิงได้ เป็ นต้น ฯ (ปี 2552) อบายมขุ คืออะไร ? คบคนชว่ั เป็ นมติ รมโี ทษอยา่ งไร ? ตอบ อบายมขุ คือ ทางแหง่ ความเสอ่ื ม ฯ คบคนชวั่ เป็ นมิตรมีโทษอยา่ งนี ้คอื ๑.นาให้เป็ นนกั เลงการพนนั ๒.นาให้เป็ นนกั เลงเจ้าชู้ ๓.นาให้เป็ นนกั เลงเหล้า ๔.นาให้เป็ นคนลวงเขาด้วยของปลอม ๕.นาให้เป็ นคนลวงเขาซงึ่ หน้า ๖.นาให้เป็ นคนหวั ไม้ ฯ โทษของการด่มื สุรา (มาจากอบายมุข ๖ เร่ืองด่มื นา้ เมา) ๑. เสยี ทรัพย์ ๒. กอ่ การทะเลาะวิวาท ๓. เกิดโรค ๔ ถกู ติเตยี น ๕. ไมร่ ู้จกั อาย ๖. ทอนกาลงั ปัญญา ฯ 26 | P a g e

(ปี 2562, 2560, 2546) อบายมขุ คอื อะไร? ด่มื นา้ เมามีโทษอยา่ งไรบ้าง? ตอบ คือ เหตเุ คร่ืองฉิบหาย ฯ มีโทษ ๖ อยา่ ง คือ ๑. เสยี ทรัพย์ ๒. กอ่ การทะเลาะวิวาท ๓. เกิดโรค ๔. ถกู ติเตียน ๕. ไมร่ ู้จกั อาย ๖. ทอนกาลงั ปัญญา ฯ (ปี 2557) อบายมขุ คอื อะไร? ความเป็ นนกั เลงสรุ าจดั เป็ นอบายมขุ เพราะเหตไุ ร? ตอบ คอื เหตเุ ครื่องฉิบหาย ฯ เพราะเป็ นเหตใุ ห้เสยี ทรัพย์ กอ่ การทะเลาะวิวาท เกิดโรค ต้องตเิ ตียน ไมร่ ู้จกั อาย ทอนกาลงั ปัญญา ฯ (ปี 2553) จงบอกโทษของการดื่มสรุ ามาสกั ๓ ข้อ โทษของการเท่ยี วกลางคนื (ใน อบายมุข ๖) (ปี 2544) การเทีย่ วกลางคืนมีโทษอยา่ งไรบ้าง? ตอบ มโี ทษ ๖ อยา่ งคือ ๑) ชื่อวา่ ไมร่ ักษาตวั ๒) ช่ือวา่ ไมร่ ักษาลกู เมยี ๓) ชื่อวา่ ไมร่ ักษาทรัพย์สมบตั ิ ๔) เป็ นทร่ี ะแวงของคนทงั้ หลาย ๕) มกั ถกู ใสค่ วาม ๖) ได้ความลาบากมาก  ธรรมที่เป็ นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจบุ ัน เรียกวา่ ทิฏฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ๑.อุฏฐานสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยความหมน่ั ในการประกอบกิจเคร่ืองเลยี ้ งชีวิตก็ดี ในการศกึ ษาเลา่ เรียนก็ดี ในการทาธุระหน้าท่ี ของตนก็ดี ๒.อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยการรักษา คอื รักษาทรัพย์ทีแ่ สวงหามาได้ด้วยความหมน่ั ไมใ่ ห้เป็ นอนั ตรายก็ดี รักษาการงาน ของตน ไมใ่ ห้เสอื่ มเสยี ไปก็ดี ๓.กลั ยาณมิตตตา ความมีเพอ่ื นเป็ นคนดี ไมค่ บคนชว่ั ๔.สมชวี ิตา ความเลยี ้ งชีวิตตามสมควรแก่กาลงั ทรัพย์ที่หาได้ไมใ่ ห้ ฝื ดเคอื งนกั ไมใ่ ห้ฟมู ฟายนกั  เมื่อปฏบิ ตั ติ ามทิฏฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ ผลทต่ี ้องการในปัจจบุ นั ทนั ตาเห็นนี ้ได้แก่ ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็ นต้น (ปี 2562) ผ้หู วงั ประโยชน์ปัจจบุ นั จะต้องปฏิบตั อิ ยา่ งไรจงึ จะได้สมหวงั ? ตอบ ต้องปฏิบตั ติ ามหลกั ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คือ ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยความหมน่ั ในการประกอบกิจการงานในการศกึ ษาเลา่ เรียนในการทาธุระหน้าท่ีของตน ๒. อารักขสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาทงั้ ทรัพย์และการงานไมใ่ ห้เสอื่ มไป ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมีเพ่อื นเป็ นคนดี ไมค่ บคนชว่ั ๔. สมชีวิตา ความเลยี ้ งชีวติ ตามสมควรแกก่ าลงั ทรัพย์ทหี่ าได้ ฯ (ปี 2558) ธรรม ๔ ประการ ทีเ่ ป็ นไปเพอ่ื ประโยชน์เกือ้ กลู เพ่อื สขุ ในปัจจบุ นั เรียกวา่ อะไร ? มีอะไรบ้าง ? ตอบ เรียกวา่ ทฏิ ฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ฯ มี ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความหมน่ั ในการประกอบกิจอนั ควร ๒. อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยการรักษา ทงั้ ทรัพย์และการงานของตน ไมใ่ ห้เสอื่ มไป ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมีเพอื่ นเป็ นคนดี ไมค่ บคนชวั่ ๔. สมชีวติ า ความเลยี ้ งชีวิตตามสมควรแกก่ าลงั ทรัพย์ทีห่ าได้ ฯ (ปี 2552) ธรรมท่เี ป็ นไปเพอื่ ประโยชน์ในปัจจบุ นั เรียกวา่ อะไร? มีอะไรบ้าง? 27 | P a g e

(ปี 2548) บคุ คลจะได้รับประโยชน์ปัจจบุ นั จะต้องปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมอะไร? ตอบ ต้องปฏิบตั ติ ามหลกั ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๔ ประการ คอื ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความหมน่ั ในการประกอบกิจการงาน ในการศกึ ษาเลา่ เรียน ในการทาธรุ ะหน้าทีข่ องตน ๒. อารักขสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ทงั้ ทรัพย์และการงาน ไมใ่ ห้เสอื่ มไป ๓. กลั ยาณมิตตตาความมเี พอ่ื นเป็ นคนดี ไมค่ บคนชว่ั ๔. สมชีวิตา ความเลยี ้ งชีวิตตามสมควรแก่กาลงั ทรัพย์ท่ีหาได้ ฯ (ปี 2543) เหตใุ ห้เกิดประโยชน์ในปัจจบุ นั เรียกวา่ อะไร? มกี ี่อยา่ ง? อะไรบ้าง? เม่อื ปฏิบตั ิตามเหตนุ นั้ แล้วจะได้รับผลอะไร? ตอบ เรียกวา่ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถะ ฯ มี ๔ อยา่ ง ฯ คอื ๑) อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความหมน่ั ๒) อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยการรักษา ๓) กลั ยาณมติ ตตา ความมเี พ่อื นเป็ นคนดี ๔) สมชีวิตา ความเลยี ้ งชีวิตตามสมควร ฯ จะได้รับผล คอื ทรัพย์ ยศ ไมตรี เป็ นต้นในปัจจบุ นั ฯ  มิตรแท้ ๔ ๑.มิตรมอี ปุ การะ ๒.มติ รร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ ๓.มิตรแนะประโยชน์ ๔.มิตรมคี วามรักใคร่ (ปี 2560, 2558, 2556 และ 2545) มติ รแท้ มกี ่ีประเภท ? อะไรบ้าง ? มิตรมอี ุปการะ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมิตรแท้) ๑.ป้ องกนั เพอื่ นผ้ปู ระมาทแล้ว ๒.ป้ องกนั ทรัพย์สมบตั ิของเพ่ือนผ้ปู ระมาทแล้ว ๓.เม่อื มีภยั เอาเป็ นทพี่ งึ่ พานกั ได้ ๔.เม่อื มีธรุ ะ ชว่ ยออกทรัพย์ให้เกินกวา่ ที่ออกปาก มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมติ รแท้) ๑.ขยายความลบั ของตนแกเ่ พ่ือน ๒.ปิ ดความลบั ของเพ่อื นไมใ่ ห้แพร่งพราย ๓.ไมล่ ะทงิ ้ ในยามวิบตั ิ ๔.แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ มติ รแนะประโยชน์ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมติ รแท้) ๑.ห้ามไมใ่ ห้ทาความชว่ั ๒.แนะนาให้ตงั้ อยใู่ นความดี ๓.ให้ฟังสงิ่ ท่ียงั ไมเ่ คยฟัง ๔.บอกทางสวรรค์ให้ มติ รมีความรักใคร่ มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมิตรแท้) ๑.ทกุ ข์ ทกุ ข์ด้วย ๒.สขุ สขุ ด้วย 28 | P a g e

๓.โต้เถียงคนท่พี ดู ตเิ ตียนเพ่อื น ๔.รับรองคนทีพ่ ดู สรรเสริญเพ่ือน  มิตรเทยี ม ๔ หรือเรียกอีกอยา่ งหนงึ่ วา่ มิตรปฏริ ูป ๑.คนปอกลอก ๒.คนดีแตพ่ ดู ๓.คนหวั ประจบ ๔.คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มติ รปอกลอก มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมิตรเทียม) ๑.คดิ เอาแตไ่ ด้ฝ่ ายเดยี ว ๒.เสยี ให้น้อย คิดเอาให้ได้มาก ๓.เมือ่ มภี ยั แก่ตวั จงึ รับทากิจของเพื่อน ๔.คบเพื่อนเพราะเหน็ แก่ประโยชน์ของตวั มติ รดีแต่พดู มี ๔ ลักษณะ (ในเร่ืองมติ รเทยี ม) ๑.เก็บเอาของท่ีลว่ งแล้วมาปราศรัย ๒.อ้างเอาของท่ียงั ไมม่ มี าปราศรัย ๓.สงเคราะห์ด้วยสงิ่ ท่ีหาประโยชน์มไิ ด้ ๔.ออกปากพงึ่ มไิ ด้ มิตรหวั ประจบ มี ๔ ลักษณะ (ในเร่ืองมติ รเทยี ม) ๑.จะทาชว่ั ก็คล้อยตาม ๒.จะทาดกี ็คล้อยตาม ๓.ตอ่ หน้าวา่ สรรเสริญ ๔.ลบั หลงั ตงั้ นินทา มติ รชกั ชวนในทางฉิบหาย มี ๔ ลกั ษณะ (ในเร่ืองมิตรเทยี ม) ๑.ชกั ชวนด่มื นา้ เมา ๒.ชกั ชวนเท่ยี วกลางคืน ๓.ชกั ชวนให้มวั เมาในการเลน่ ๔.ชกั ชวนเลน่ การพนนั (ปี 2554) คนชกั ชวนในทางฉิบหาย มีลกั ษณะอยา่ งไร? (ปี 2553) จงจบั คขู่ ้อทางซ้ายมอื กบั ข้อทางขวามือให้ถกู ตอ้ ง ก. จะทาดีทาชว่ั ก็ต้องคล้อยตาม ๑. มิตรดแี ตพ่ ดู ข. ป้ องกนั เพอื่ นผ้ปู ระมาทแล้ว ๒. มติ รหวั ประจบ ค. สงเคราะห์ด้วยสงิ่ หาประโยชน์มิได้ ๓. มิตรมคี วามรักใคร่ ง. ห้ามไมใ่ ห้ทาความชว่ั ๔. มติ รมอี ปุ การะ จ. ทกุ ข์ ๆ ด้วย สขุ ๆ ด้วย ๕. มิตรแนะประโยชน์ ตอบ ข้อ ก. คกู่ บั ข้อ ๒. ข้อ ข. คกู่ บั ข้อ ๔ ข้อ ค คกู่ บั ข้อ ๑ ข้อ ง คกู่ บั ข้อ ๕ 29 | P a g e

ข้อ จ คกู่ บั ข้อ ๓. (ปี 2551) ข้อวา่ “แม้ชีวติ ก็อาจสละแทนได้” ดงั นี ้เป็ นลกั ษณะของมติ รแท้ประเภทใด ? ตอบ มิตรร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ ฯ (ปี 2549) นาย ก เป็ นผ้ฉู ลาดในการเลน่ พนนั ฟตุ บอล เขาหวงั ให้นาย ข ผ้เู ป็ นเพ่ือน มเี งินทองไว้ก่อร่างสร้างตวั จึงชกั ชวน นาย ข ให้ เลน่ ด้วย นาย ก จดั เข้าในประเภทมติ รแนะประโยชน์ได้หรือไม?่ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ไมไ่ ด้ ฯ เพราะ นาย ก กาลงั ชกั ชวนในทางฉิบหาย ผดิ ลกั ษณะมิตรแนะประโยชน์ ฯ (ปี 2549) พระพทุ ธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบตั ิตอ่ พวกมิตรเทยี มอยา่ งไร? ตอบ ทรงสอนให้หลกี เลยี่ งไมค่ วรคบเป็ นมติ ร เหมอื นคนเดนิ ทางหลกี เลย่ี งทางท่มี ภี ยั อนั ตรายเสยี ฉะนนั้ (ปี 2544) มิตรปฏริ ูปได้แก่คนพวกไหนบ้าง? พระพทุ ธเจ้าทรงสอนให้ปฏบิ ตั ติ อ่ คนพวกนอี ้ ยา่ งไร? ตอบ ได้แก่ ๑) คนปอกลอก ๒) คนดแี ตพ่ ดู ๓) คนหวั ประจบ ๔) คนชกั ชวนในทางฉิบหาย ฯ ทรงสอนให้หลกี เลย่ี งไมค่ วรคบเป็ นมิตร เหมือนคนเดนิ ทางหลกี เลย่ี งทางท่ีมีภยั อนั ตรายเสยี ฉะนนั้ ฯ  ธรรมเป็ นเคร่ืองยดึ เหนยี่ วใจของผ้อู ่ืนไว้ได้ คอื สังคหวตั ถุ ๔ ๑.ทาน ให้สง่ิ ของของตนแกผ่ ้อู ่นื ที่ควรให้ปัน ๒.ปิ ยวาจา เจรจาวาจาท่อี อ่ นหวาน ๓.อตั ถจริยา ประพฤติสงิ่ ท่เี ป็ นประโยชน์แกผ่ ้อู นื่ ๔.สมานัตตา ความเป็ นคนมตี นสมา่ เสมอไมถ่ ือตวั (ปี 2561, 2556, 2554, 2551 และ 2546) คณุ ธรรมเป็ นเคร่ืองยดึ เหนยี่ วนา้ ใจของผ้อู ืน่ ไว้ได้ คืออะไร? มีอะไรบ้าง? ตอบ คอื สงั คหวตั ถุ ๔ ฯ มี ๑. ทาน ให้ปันสงิ่ ของของตนแก่ผ้อู น่ื ท่คี วรให้ปัน ๒. ปิ ยวาจา เจรจาวาจาท่ีออ่ นหวาน ๓. อตั ถจริยา ประพฤติสงิ่ ทเ่ี ป็ นประโยชน์แกผ่ ้อู ื่น ๔. สมานตั ตตา ความเป็ นคนมีตนเสมอไมถ่ ือตวั ฯ  สุขของคฤหสั ถ์ ๔ อย่าง ๑. สขุ เกิดแตค่ วามมที รัพย์ ๒. สขุ เกิดแตก่ ารจ่ายทรัพย์บริโภค ๓. สขุ เกิดแตค่ วามไมต่ ้องเป็ นหนี ้ ๔. สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานทีป่ ราศจากโทษ (ปี 2562) ความสขุ ของผ้คู รองเรือนตามหลกั พระพทุ ธศาสนาเกิดมาจากเหตอุ ะไรบ้าง ? ตอบ เกิดจากเหตุ ๔ อยา่ ง คอื ๑)สขุ เกิดแตค่ วามมที รัพย์ ๒)สขุ เกิดแตก่ ารจ่ายทรัพย์บริโภค ๓)สขุ เกิดแตค่ วามไมต่ ้องเป็ นหนี ้ ๔)สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานทป่ี ราศจากโทษ ฯ (ปี 2548) มนษุ ย์ทกุ คนล้วนปรารถนาความสขุ พระพทุ ธศาสนาแสดงความสขุ ของผ้คู รองเรือนไว้อยา่ งไร? ตอบ ความสขุ ของผ้คู รองเรือน แสดงไว้ ๔ อยา่ ง คอื ๑)สขุ เกิดแตค่ วามมที รัพย์ ๒)สขุ เกิดแตก่ ารจา่ ยทรัพย์บริโภค 30 | P a g e

๓)สขุ เกิดแตค่ วามไมต่ ้องเป็ นหนี ้ ๔)สขุ เกิดแตป่ ระกอบการงานทป่ี ราศจากโทษ ฯ  ความปรารถนาท่สี มหมายได้ยาก ๔ อย่าง ๑. ขอสมบตั ิ จงเกิดมแี ก่เราโดยทางทชี่ อบ. ๒. ขอยศ จงมีแก่เรากบั ญาตพิ วกพ้อง. ๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยนื นาน. ๔. เมอ่ื สนิ ้ ชีพแล้ว ขอเราจงไปบงั เกิดในสวรรค์.  ธรรมเป็ นเหตุให้สมหมาย ๔ อย่าง (หรือเรียกอีกหนงึ่ วา่ สัมปรายกิ ัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ภายหน้า ๔ อยา่ ง) ๑. สทั ธาสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยศรัทธา ๒. สลี สมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยศีล ๓. จาคสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน ๔. ปัญญาสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยปัญญา (ปี 2547) สมบตั ิ ยศ อายยุ นื สวรรค์ ทา่ นวา่ เป็ นผลท่ไี ด้สมหมายยาก บคุ คลพงึ บาเพญ็ ธรรมอะไร จึงจะได้สมหมาย ? ตอบ พงึ บาเพญ็ ธรรมเป็ นเหตใุ ห้ได้สมหมาย ๔ อยา่ ง คอื ๑) สทั ธาสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ๒) สลี สมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยศลี ๓) จาคสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยการบริจาคทาน ๔) ปัญญาสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา ฯ  ตระกูลอนั ม่งั ค่ังจะตงั้ นานไม่ได้เพราะสถาน ๔ ๑.ไมแ่ สวงหาพสั ดทุ ห่ี ายแล้ว ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ีค่ ร่าคร่า ๓.ไมร่ ู้จกั ประมาณในการบริโภคสมบตั ิ ๔.ตงั้ สตรีหรือบรุ ุษทศุ ลี ให้เป็ นแมเ่ รือนพอ่ เรือน (ปี 2555) ตระกลู อนั มงั่ คงั่ จะตงั้ นานไมไ่ ด้ เพราะเหตอุ ะไร? ตอบ เพราะเหตุ ๔ อยา่ ง คอื ๑.ไมแ่ สวงหาพสั ดทุ ่หี ายแล้ว ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ่ีคร่าคร่า ๓.ไมร่ ู้จกั ประมาณในการบริโภคสมบตั ิ ๔. ตงั้ สตรีหรือบรุ ุษทศุ ีลให้เป็ นแมเ่ รือนพอ่ เรือน (ปี 2543) ตระกลู อนั มงั่ คง่ั จะตงั้ อยไู่ ด้นานเพราะสถานใดบ้าง? ตอบ เพราะสถาน ๔ คอื ๑.ไมแ่ สวงหาพสั ดทุ ห่ี ายแล้ว ๒.ไมบ่ รู ณะพสั ดทุ ค่ี ร่าคร่า ๓.ไมร่ ู้จกั ประมาณในการบริโภคสมบตั ิ ๔. ตงั้ สตรีหรือบรุ ุษทศุ ีลให้เป็ นแมเ่ รือนพอ่ เรือน  ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมะสาหรับการอยคู่ รองเรือนของคฤหสั ๑.สัจจะ สตั ย์ซือ่ ตอ่ กนั ๒.ทมะ รู้จกั ขม่ จิตของตน ๓.ขันติ ความอดทน 31 | P a g e

๔.จาคะ สละให้ปันสงิ่ ของของตนแกค่ นท่คี วรให้ปัน (ปี 2561, 2559 และ 2543) ฆราวาสผ้คู รองเรือนควรตงั้ อยใู่ นธรรมข้อใดบ้าง ? ตอบ ควรตงั้ อยใู่ นฆราวาสธรรม ๔ ประการ คอื ๑. สจั จะ สตั ย์ซอื่ ตอ่ กนั ๒. ทมะ รู้จกั ขม่ จิตของตน ๓. ขนั ติ อดทน ๔. จาคะ สละให้ปันสง่ิ ของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน ฯ (ปี 2555) การอยคู่ รองเรือนนนั้ ควรมธี รรมอะไร? อะไรบ้าง? (ปี 2549) ผ้อู ยคู่ รองเรือนควรมธี รรมของฆราวาสเป็ นหลกั ปฏิบตั จิ ึงจะอยเู่ ป็ นสขุ ธรรมของฆราวาสนนั้ มีอะไรบ้าง ? หมวด ๕  ประโยชน์เกิดแต่การถอื โภคทรัพย์ ๕ อย่าง (ปี 2550) เม่อื แสวงหาโภคทรัพย์ได้โดยทางที่ชอบแล้ว ควรทาอะไรบ้างเพ่ือให้เกิดประโยชน์ในโภคทรัพย์ที่ได้มานนั้ ? ตอบ ควรทา ประโยชน์เกิดแตก่ ารถือโภคทรัพย์ ๕ อยา่ ง ๑.เลีย้ งตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็ นสุข ๒.เลยี้ งเพ่อื นฝูงให้เป็ นสุข ๓.บาบัดอันตรายท่เี กดิ แต่เหตุต่าง ๆ ๔.ทาพลี ๕ อย่าง คือ ๔.๑ ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ ๔.๒ อติถพิ ลี ต้อนรับแขก ๔.๓ ปุพพเปตพลี ทาบุญอุทศิ ให้ผ้ตู าย ๔.๔ ราชพลี ถวายเป็ นหลวง มภี าษีอากรเป็ นต้น ๔.๕ เทวตาพลี ทาบุญอุทศิ ให้เทวดา ๕.บริจาคทานในสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ ฯ (ปี 2545) คาตอ่ ไปนแี ้ ปลวา่ อยา่ งไร? ก)อติถิพลี ข)ปพุ พเปตพลี  ศีล ๕ แปลวา่ ความปกติ ๕ อยา่ ง คอื ความประพฤตดิ ีทางกายวาจา ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เว้นจากทาชีวติ สตั ว์ให้ตกลว่ งไป. ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสงิ่ ของทีเ่ จ้าของไมไ่ ด้ให้ด้วยอาการแหง่ ขโมย. ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผดิ ในกาม. ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพดู เทจ็ . ๕. สุราเมรยมชั ชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากดมื่ นา้ เมา คือสรุ าและเมรัย อนั เป็ นทีต่ งั้ แหง่ ความประมาท. (ปี 2561, 2556 และ 2553) ศีลที่คฤหสั ถ์ควรรักษาเป็ นนติ ย์ คอื ศลี อะไร ? ได้แกอ่ ะไรบ้าง ? ตอบ คือ ศีล ๕ ฯ ได้แก่ ๑. เว้นจากทาชีวิตสตั ว์ให้ตกลว่ งไป 32 | P a g e

๒. เว้นจากถือเอาสง่ิ ของท่ีเจ้าของไมไ่ ด้ให้ด้วยอาการแหง่ ขโมย ๓. เว้นจากประพฤตผิ ิดในกาม ๔. เว้นจากพดู เทจ็ ๕. เว้นจากดมื่ นา้ เมาคอื สรุ าและเมรัยอนั เป็ นทต่ี งั้ แหง่ ความประมาท ฯ (ปี 2544) จงเขยี นศลี ๕ ข้อที่ ๓ พร้อมทงั้ คาแปล ตอบ กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (ปี 2543) จงเขยี นศลี ๕ ข้อท่ี ๕ พร้อมทงั้ คาแปล ตอบ สรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี แปลความวา่ เว้นจากการดืม่ นา้ เมา คอื สรุ าและเมรัย อนั เป็ นที่ตงั้ แหง่ ความประมาท  มจิ ฉาวณิชชา ๕ คอื การค้าขายไมช่ อบธรรม ๕ อยา่ ง เป็ นข้อห้ามอบุ าสกอบุ าสกิ าไมใ่ ห้ประกอบ ๑.ค้าขายเคร่ืองประหาร ๒.ค้าขายมนษุ ย์ ๓.ค้าขายสตั ว์เป็ นสาหรับฆา่ เพอ่ื เป็ นอาหาร ๔.ค้าขายนา้ เมา ๕.ค้าขายยาพิษ  อุบาสกอุบาสกิ า ได้แก่ คฤหสั ถ์ผ้ถู ึงพระรัตนตรัยเป็ นสรณะ (ปี 2554 และ 2544) อบุ าสกอบุ าสกิ า ได้แก่บคุ คลเช่นไร? การค้าขายที่ห้ามอบุ าสกอบุ าสกิ าประกอบ คอื อะไรบ้าง? ตอบ อบุ าสกอบุ าสกิ า ได้แก่ คฤหสั ถ์ผ้ถู งึ พระรัตนตรัยเป็ นสรณะ ฯ ห้ามค้าขายคือ ๑.ค้าขายเครื่องประหาร ๒.ค้าขายมนษุ ย์ ๓. ค้าขายสตั ว์เป็ นสาหรับฆา่ เพือ่ เป็ นอาหาร ๔.ค้าขายนา้ เมา ๕.ค้าขายยาพษิ ฯ (ปี 2552) มจิ ฉาวณิชชา คืออะไร? การค้าขายเดก็ การค้าขายยาเสพตดิ การค้าขายเบด็ ตกปลา จดั เป็ นมิจฉาวณิชชาข้อใด? ตอบ มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายไมช่ อบธรรม ฯ การค้าขายเดก็ จดั เข้าในค้าขายมนษุ ย์ การค้าขายยาเสพติด จดั เข้าในค้าขายนา้ เมา การค้าขายเบ็ดตกปลา จดั เข้าในค้าขายเครื่องประหาร ฯ (ปี 2551) การค้าขายสรุ า เป็ นอาชีพท่ถี กู ต้องตามกฎหมาย ในทางพระพทุ ธศาสนา มีความเหน็ ไว้อยา่ งไร? ตอบ การค้าขายสรุ าทางพระพทุ ธศาสนา จดั เป็ นมิจฉาวณิชชา การค้าขายไมช่ อบธรรม เป็ นข้อห้าม อบุ าสกไมค่ วรประกอบ ฯ (ปี 2550) การค้าขายสตั ว์เพ่ือเอาไปฆา่ เป็ นอาหาร เป็ นการผิดศลี ข้อปาณาตบิ าตหรือไม?่ เพราะเหตไุ ร? อบุ าสกควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ในเรื่องน?ี ้ ตอบ ไมผ่ ดิ ฯ เพราะไมไ่ ด้เป็ นผ้ฆู า่ หรือสงั่ ให้ฆา่ ฯ อบุ าสกควรเว้นการค้าขายชนดิ นเี ้สยี ฯ (ปี 2545) คาวา่ อบุ าสก อบุ าสกิ า แปลวา่ อะไร? การค้าขายยาเสพตดิ มียาบ้าเป็ นต้นจดั เข้าในมิจฉาวณิชชาข้อไหน? ตอบ อบุ าสก แปลวา่ ชายผ้เู ข้าถึงพระรัตนตรัย อบุ าสกิ า แปลวา่ หญิงผ้เู ข้าถงึ พระรัตนตรัย ฯ การค้าขายนา้ เมา ฯ  สมบตั แิ ละวิบตั ิ ๕ สมบัติของอุบาสกอุบาสกิ า ๕ ประการ ๑. ประกอบด้วยศรัทธา. ๒. มศี ีลบริสทุ ธิ์. 33 | P a g e

๓. ไมถ่ ือมงคลตนื่ ขา่ ว คอื เชื่อกรรมไมเ่ ช่ือมงคล. ๔. ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพทุ ธศาสนา. ๕. บาเพญ็ บญุ แตใ่ นพทุ ธศาสนา. ตรงข้ามกบั สมบตั ทิ งั้ ๕ นี ้ เป็ นวบิ ัตขิ องอุบาสกอุบาสิกา (ปี 2557) อบุ าสกอบุ สกิ าควรตงั้ อยใู่ นคณุ สมบตั อิ ะไรบ้าง? (ปี 2543) สมบตั ิและวบิ ตั ขิ องอบุ าสกอบุ าสกิ ามอี ะไรบ้าง? ตอบ มี ๑) ประกอบด้วยศรัทธา ๒) มีศลี บริสทุ ธิ์ ๓) ไมถ่ ือมงคลตื่นขา่ ว คือเชื่อกรรม ไมเ่ ชื่อมงคล ๔) ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกพระพทุ ธศาสนา ๕) บาเพ็ญบญุ แตใ่ นพระพทุ ธศาสนา ตรงข้ามกบั สมบตั ิทงั้ ๕ นี ้ เป็ นวิบตั ิของอบุ าสกอบุ าสกิ า หมวด ๖  ทศิ ๖ บคุ คลประเภทตา่ งๆ ท่เี ราต้องเก่ียวข้องสมั พนั ธ์ทางสงั คมดจุ ทศิ ทีอ่ ยรู่ อบตวั ๑.ทศิ เบอื้ งหน้า บิดามารดา ๒.ทศิ เบอื้ งขวา ครูอาจารย์ ๓.ทิศเบือ้ งหลัง บตุ รภรรยา ๔.ทศิ เบือ้ งซ้าย มติ ร ๕.ทศิ เบอื้ งล่าง บา่ ว ๖.ทิศเบอื้ งบน สมณพราหมณ์ (ปี 2557) ในทศิ ๖ ทศิ เหลา่ นหี ้ มายถงึ ใคร? ก. ทิศเบอื ้ งหน้า ข. ทิศเบอื ้ งขวา ค. ทิศเบอื ้ งหลงั ง. ทิศเบอื ้ งซ้าย จ. ทิศเบอื ้ งบน ตอบ ก. มารดาบิดา ข. ครูอาจารย์ ค. บตุ รภรรยา ง. มิตร จ. สมณพราหมณ์ ฯ (ปี 2550) ทศิ ๖ ในคหิ ิปฏบิ ตั ิ มอี ะไรบ้าง? แตล่ ะทิศหมายถึงใคร? บุตรพงึ บารุงมารดาบดิ า ๕ สถาน (ในเร่ืองทศิ ๖) ๑.ทา่ นได้เลยี ้ งมาแล้ว เลยี ้ งทา่ นตอบ ๒.ชว่ ยทากิจของทา่ น ๓.ดารงวงศ์สกลุ ๔.ประพฤตติ นให้เป็ นคนควรรับทรัพย์มรดก ๕.เม่อื ทา่ นลว่ งลบั ไปแล้ว ทาบญุ อทุ ิศให้ทา่ น (ปี 2558) บตุ รธิดาพงึ ปฏิบตั ิตอ่ มารดาบิดาอยา่ งไร ? (ปี 2555) มารดาบดิ าได้เลยี ้ งดบู ตุ รธิดาแล้ว บตุ รธิดาพงึ ปฏิบตั ิตอ่ ทา่ นอยา่ งไร? ศษิ ย์พงึ ปฏิบัตติ ่อครูอาจารย์ ๕ สถาน (ในเร่ืองทิศ ๖) ๑. ลกุ ขนึ ้ ยนื รับ ๒. เข้าไปยืนคอยรับใช้ ๓. เชื่อฟัง ๔. อปุ ัฏฐาก 34 | P a g e

๕.เรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ (ปี 2559) ศิษย์ที่ดีพงึ ปฏิบตั ติ อ่ ครูอาจารย์ อยา่ งไรบ้าง?  คฤหสั ถ์ควรบารุงบรรพชิตด้วยการทา การพดู การคิดประกอบด้วยเมตตา ด้วยความเป็ นผ้ไู มป่ ิ ดประตู คอื มิได้ห้ามเข้า บ้านเรือน ด้วยให้อามิสทาน  บรรพชติ ควรอนุเคราะห์ต่อคฤหสั ถ์ด้วยห้ามไมใ่ ห้กระทาความชวั่ ให้ตงั้ อยใู่ นความดี อนเุ คราะห์ด้วยนา้ ใจอนั งาม ให้ได้ ฟังสง่ิ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ทาสง่ิ ท่ีเคยฟังมาแล้วให้แจม่ บอกทางสวรรค์ให้ (ปี 2547) คฤหสั ถ์และบรรพชติ มหี น้าท่จี ะพงึ ปฏิบตั แิ ก่กนั และกนั อยา่ งไรบ้าง? ตอบ คฤหสั ถ์ควรบารุงบรรพชิตด้วยการทา การพดู การคดิ ประกอบด้วยเมตตา ด้วยความเป็ นผ้ไู มป่ ิ ดประตู คือมไิ ด้ห้ามเข้าบ้านเรือน ด้วยให้อามิสทาน สว่ นบรรพชิตควรอนเุ คราะห์ตอ่ คฤหสั ถ์ด้วยห้ามไมใ่ ห้กระทาความชว่ั ให้ตงั้ อยใู่ นความดี อนเุ คราะห์ด้วยนา้ ใจอนั งาม ให้ได้ฟังสง่ิ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ทาสงิ่ ทเ่ี คยฟังมาแล้วให้แจม่ บอกทางสวรรค์ให้ ฯ (ปี 2545) การถอื มงคลต่นื ข่าวคือถืออยา่ งไร? พระพทุ ธศาสนาสอนให้ถืออยา่ งนนั้ หรืออยา่ งไร? สมณพราหมณ์ เม่อื ได้รับการบารุงแล้ว ยอ่ มอนเุ คราะหก์ ลุ บตุ รอยา่ งไรบ้าง ? ตอบ ถอื ว่านีฤ้ กษ์ดี ยามดี เป็ นมงคลดี นีฤ้ กษ์ไม่ดี ยามไม่ดี ไม่เป็ นสวสั ดิมงคล ฯ พระพทุ ธศาสนาสอนไมใ่ ห้ถือเช่นนนั้ สอนให้เชื่อวา่ เรามกี รรมเป็ นของของตน เราทาดีจกั ได้ดี ทาชวั่ จกั ได้ชว่ั ฯ อยา่ งนี ้คือ ๑) ห้ามไมใ่ ห้กระทาความชว่ั ๒) ให้ตงั้ อยใู่ นความดี ๓) อนเุ คราะห์ด้วยนา้ ใจอนั งาม ๔) ให้ได้ฟังสง่ิ ทย่ี งั ไมเ่ คยฟัง ๕) ทาสงิ่ ทีเ่ คยฟังแล้วให้แจม่ ๖) บอกทางสวรรค์ให้ ฯ 35 | P a g e

ทบทวน พทุ ธประวัติ นักธรรมชัน้ ตรี ความหมาย/ประโยชน์วิชาพุทธประวตั ิ (ปี 2561) พทุ ธประวตั ิ คืออะไร? การเรียนรู้พทุ ธประวตั นิ นั้ ได้ประโยชน์อยา่ งไร? ตอบ คอื เรื่องทีพ่ รรณนาความเป็ นไปของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ฯ ได้ประโยชน์ คอื ทาให้ทราบความเป็ นมาของพระพทุ ธเจ้า และแนวทางในการดาเนินชีวติ ตามพระพทุ ธจริยา ฯ (ปี 2559 และ 2552) การเรียนรู้พทุ ธประวตั ไิ ด้ประโยชน์อยา่ งไร ? ตอบ ได้ประโยชน์ ๒ ประการ คือ ๑. ในด้านการศกึ ษา ทาให้ทราบความเป็ นมาของพระพทุ ธเจ้า เช่นเดยี วกบั การศกึ ษาตานานความเป็ นมาของชาตติ น ทาให้บคุ คลได้ ทราบวา่ ชาตขิ องตนเป็ นมาอยา่ งไร มีความสาคญั อยา่ งไร เป็ นต้น ๒. ในด้านปฏิบตั ิ ทาให้บคุ คลได้แนวในการดาเนินชีวิตตามพระพทุ ธจริยา อนั เป็ นปฏิปทานาความสขุ ความเจริญมาให้แกบ่ คุ คลตาม สมควรแกก่ ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ฯ (ปี 2558 และ 2543) พทุ ธประวตั ิ คอื อะไร ? มีความสาคญั อยา่ งไรจึงต้องเรียนรู้ ? ตอบ คือเร่ืองทพ่ี รรณนาความเป็ นไปของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ฯ มคี วามสาคญั ในการศกึ ษาและปฏิบตั ิพระพทุ ธศาสนา เพราะแสดงพระพทุ ธจริยาให้ปรากฏ ฯ (ปี 2549) พุทธประวัตวิ ่าด้วยเร่ืองอะไร? มคี วามสาคญั อยา่ งไรท่ีต้องเรียนรู้? ตอบ วา่ ด้วยเรื่องความเป็ นมาของพระพทุ ธเจ้า เป็ นการแสดงพระพทุ ธจริยาในด้านตา่ งๆ ของพระองค์ให้ปรากฏ ฯ มีความสาคญั ในการศกึ ษาและปฏบิ ตั พิ ระพทุ ธศาสนา เพราะแสดงพระพทุ ธจริยาให้ปรากฏ เชน่ เดียวกบั ตานานยอ่ มมีความสาคญั ตอ่ ชาตขิ องตนทีใ่ ห้รู้ได้วา่ ชาตไิ ด้เป็ นมาแล้วอยา่ งไร ฯ (ปี 2545) พทุ ธประวตั วิ า่ ด้วยเรื่องอะไร? การเรียนรู้พทุ ธประวตั ิได้ประโยชน์อยา่ งไร? ตอบ วา่ ด้วยเรื่องความเป็ นมาของพระพทุ ธเจ้า เป็ นการแสดงพระพทุ ธจริยาในด้านตา่ งๆ ของพระองค์ให้ปรากฏ ฯ ได้ประโยชน์ ๒ ประการ คอื ๑) ในด้านการศกึ ษา ทาให้ทราบความเป็ นมาของพระพทุ ธเจ้า เช่นเดยี วกบั การศกึ ษาตานานความเป็ นมาของชาติตน ทาให้ บคุ คลได้ทราบวา่ ชาตขิ องตนเป็ นมาอยา่ งไร มคี วามสาคญั อยา่ งไรเป็ นต้น ๒) ในด้านปฏิบตั ิ ทาให้บคุ คลได้แนวในการดาเนนิ ชีวติ ตามพระพทุ ธจริยา อนั เป็ นปฏิปทานาความสขุ ความเจริญมาให้แก่ บคุ คล ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบตั ิ ฯ ชมพทู วีป  วรรณะ ๔ ได้แก่ กษัตริย์(ปกครองบ้านเมอื ง) ,พราหมณ์ (สงั่ สอน ทาพิธีกรรม), แพศย์ (เป็ นทานาค้าขาย), ศูทร (รับจ้างทางาน เป็ นกรรมกร) (ปี 2562) พระพทุ ธเจ้าสบื เชือ้ สายมาจากชนชาตใิ ด ? ชนชาตินนั้ มาตงั้ ถิ่นฐานในชมพทู วปี ได้อยา่ งไร ? ตอบ สบื เชือ้ สายมาจากชนชาตอิ ริยกะ ฯ 1|Page

ชาวอริยกะนนั้ เป็ นผ้เู จริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนยี ม มสี ตปิ ัญญามากกวา่ พวกมลิ กั ขะ เจ้าของถิ่นเดมิ เมอ่ื ข้ามภเู ขาหิมาลยั มา ก็ รุกไลพ่ วกมิลกั ขะ เจ้าของถ่ินเดมิ ให้ถอยเลอ่ื นลงมาทางใต้แล้วเข้าตงั้ ถ่ินฐานในชมพทู วปี แทน ฯ (ปี 2561) เจ้าชายสทิ ธตั ถะอบุ ตั ขิ นึ ้ ในวรรณะใด ? ชนชาติไหน ? ตอบ วรรณะกษัตริย์ ฯ ชนชาตอิ ริยกะ ฯ (ปี 2560, 2554 และ 2546) ประชาชนในชมพทู วปี มีกจี่ าพวก ? พระพทุ ธเจ้าสบื เชือ้ สายมาจากชนชาตใิ ด ? ตอบ มี ๒ จาพวก คอื ๑)มิลกั ขะ เจ้าของถิ่นเดมิ ๒) อริยกะ พวกอพยพมาใหม่ ฯ สบื เชือ้ สายมาจากชนชาติอริยกะ ฯ (ปี 2559) วรรณะทงั้ ๔ มหี น้าที่ตา่ งกนั อยา่ งไร ? ตอบ มีหน้าท่ีตา่ งกนั อยา่ งนี ้ ๑. วรรณะกษัตริย์ มหี น้าท่ปี กครอง ๒. วรรณะพรามหณ์ มหี น้าทีท่ างฝึกสอนและทาพิธีกรรม ๓. วรรณะแพศย์ มีหน้าที่ทางทานาค้าขาย ๔. วรรณะศทู ร มีหน้าท่รี ับจ้าง ฯ (ปี 2557) ชมพทู วีปแบง่ เป็ น ๒ สว่ นใหญ่ ๆ คืออะไรบ้าง? ตอบ คือมชั ฌิมชนบท และ ปัจจนั ตชนบท ฯ (ปี 2556) คนในชมพทู วีปแบง่ ออกเป็ นก่ีวรรณะ? อะไรบ้าง? ตอบ แบง่ เป็ น ๔ วรรณะ ฯ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศทู ร ฯ (ปี 2551) คนในชมพทู วีปแบง่ เป็ นก่ีวรรณะ? อะไรบ้าง? พระพทุ ธบิดาอยใู่ นวรรณะอะไร? ตอบ แบง่ เป็ น ๔ วรรณะ ฯ คอื วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศทู ร ฯ อยใู่ นวรรณะกษัตริย์ ฯ (ปี 2548) ประชาชนในชมพทู วปี แบง่ ออกเป็ นก่ีวรรณะ? อะไรบ้าง? มหี น้าทต่ี า่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ แบง่ ออกเป็ น ๔ วรรณะ คือ ๑. กษัตริย์ มีหน้าทีป่ กครอง ๒. พราหมณ์ มหี น้าทท่ี างฝึกสอนและทาพธิ ี ๓. แพศย์ มีหน้าที่ทางทานาค้าขาย ๔. ศทู ร มหี น้าทีร่ ับจ้าง ฯ (ปี 2544) ในครัง้ พทุ ธกาล ชาวชมพทู วปี สว่ นมากนบั ถือศาสนาอะไร? ชนเหลา่ นนั้ มคี วามคิดเห็น เร่ืองความตาย และความเกิด โดยสรุปอยา่ งไร? ตอบ ศาสนาพราหมณ์ ฯ เห็นอยา่ งนี ้คอื เห็นวา่ ตายแล้วเกิดอยา่ งหนงึ่ เห็นวา่ ตายแล้วสญู อยา่ งหนง่ึ ฯ ศากยวงศ์  ศากยวงศ์ สบื เชือ้ สายมาจาก ชนชาตอิ ริยกะ เป็ นชนชาติที่มีความเจริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนียม มอี านาจมากกวา่ พวกมิลกั ขะเป็ นเจ้าของถิ่นเดมิ เมือ่ ชาวอริยกะข้ามภเู ขาหิมาลยั ก็มารุกไลช่ าวมิลกั ขะเจ้าของถิ่นเดิมให้ถอยร่นลงมาทางใต้ แล้วชาวอริยกะก็ตงั้ ถ่ินฐานทช่ี มพทู วีปแทน  พระเจ้าโอกกากราช เป็ นต้นวงศ์ของศากยสกลุ  สักชนบท แบ่งออกเป็ น ๓ นคร คือ ๑.นครเดิมของพระเจ้าโอกกากราช ๒.นครกบลิ พสั ด์ุ ๓.นครเทวทหะ  (ปี 2555) พระเจ้าสีหหนุ ป่ ขู องพระพทุ ธเจ้า  (ปี 2560 และ 2547) พระเจ้าสุทโธทนะ พอ่ ของพระพทุ ธเจ้า  (ปี 2560 และ 2547) พระนางสิริมหามายา แมข่ องพระพทุ ธเจ้า (ทา่ นสวรรคตแล้ว ไปเกิดท่สี วรรค์ชนั้ ดสุ ติ )  (ปี 2559 และ 2555) พระนางมหาปชาบดโี ครตมี พระน้านางของพระพทุ ธเจ้า 2|Page

 (ปี 2560 และ 2547) พระนันทะ น้องชายตา่ งมารดาของพระพทุ ธเจ้า (พระเจ้าสทุ โธทนะ+พระนางมหาปชาบดีโครตม)ี  รูปนันทา น้องสาวตา่ งมารดาของพระพทุ ธเจ้า (พระเจ้าสทุ โธทนะ+พระนางมหาปชาบดโี ครตม)ี  (ปี 2555) พระนางพิมพา หรือ ยโสธรา พระชายาของพระพทุ ธเจ้า (ปี 2560) พระเจ้าสทุ โธทนะ มีพระราชโอรสพระราชธิดาก่ีพระองค์ ? มพี ระนาม วา่ อะไรบ้าง ? ตอบ มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คอื ๑. พระสทิ ธตั ถกมุ าร ๒. พระนนั ทกมุ าร มพี ระราชธิดา ๑ พระองค์ คือ พระนางรูปนนั ทา ฯ (ปี 2559 และ 2549) อสติ ดาบส (กาฬเทวิลดาบส) และ มหาปชาบดโี คตมี เกี่ยวข้องกบั เจ้าชายสทิ ธตั ถะอยา่ งไร? ตอบ อสติ ดาบส (กาฬเทวลิ ดาบส) คือ ดาบสผ้เู ป็ นท่คี ้นุ เคยของราชสกลุ ได้เข้าเฝ้ าพระเจ้าสทุ โธทนะ เม่ือเจ้าชายสทิ ธตั ถะ ประสตู ิ ใหมๆ่ และพยากรณ์วา่ พระราชกมุ ารจะได้เป็ นพระเจ้าจกั รพรรดริ าช หรือศาสดาเอกในโลก ฯ สว่ น มหาปชาบดีโคตมี เป็ นพระมาตจุ ฉา คอื พระน้านางของเจ้าชายสทิ ธตั ถะ (ปี 2556) พระพทุ ธบิดาทรงมพี ระนามวา่ อะไร ? ทรงปกครองแคว้นอะไร ? เมืองหลวงช่ืออะไร ? ตอบ พระนามวา่ พระเจ้าสทุ โธทนะ ฯ แคว้นสกั กะ ฯ ช่ือกบิลพสั ด์ุ ฯ (ปี 2553 และ 2547) ศากยวงศ์สบื เชือ้ สายมาจากชนชาติใด? ชนชาตนิ นั้ มาตงั้ ถิ่นฐานในชมพทู วปี ได้อยา่ งไร? ตอบ สบื เชือ้ สายมาจากชนชาติอริยกะ ฯ ชาวอริยกะนนั้ เป็ นผ้เู จริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนยี ม มอี านาจมากกวา่ พวกมิลกั ขะ เจ้าของถ่ินเดิม เม่ือข้ามภเู ขาหมิ าลยั มาก็รุกไลพ่ วกมลิ กั ขะ เจ้าของถ่ินเดมิ ให้ถอยร่นลงมาทางใต้แล้วเข้าตงั้ ถ่ินฐานในชมพทู วีปแทน ฯ (ปี 2550) เจ้าชายนนั ทกมุ ารกบั เจ้าหญิงรูปนนั ทา เป็ นพระโอรสและพระธิดาของใคร? มคี วามเก่ียวข้องกบั เจ้าชายสทิ ธตั ถกมุ าร อยา่ งไร? ตอบ เป็ นพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าสทุ โธทนะกบั พระนางปชาบดโี คตมี ฯ มีความเกี่ยวข้องกบั เจ้าชายสทิ ธตั ถกมุ าร โดยเป็ นพระกนิฏฐภาดาและ กนิฏฐภคินตี า่ งพระมารดา ฯ (ปี 2546) กษัตริย์พระองค์ใดทเี่ ป็ นต้นศากยวงศ?์ พระโอรสและพระธิดาของเจ้าศากยะไปสร้างพระนครขนึ ้ ใหมช่ ่ือวา่ เมอื งอะไร? ทช่ี ่ืออยา่ งนนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ พระเจ้าโอกกากราช ฯ เมอื งกบลิ พสั ด์ุ ฯ เพราะเป็ นท่ีอยขู่ องกบิลดาบสมาก่อน ฯ (ปี 2544) กาฬเทวิลดาบส กราบทพ่ี ระบาทพระราชโอรสของพระเจ้าสทุ โธทนะ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะเห็นพระราชโอรสนนั้ มลี กั ษณะต้องด้วยตารับมหาบรุ ุษลกั ษณะครัน้ เห็นอศั จรรย์เชน่ นนั้ แล้วก็มคี วามเคารพนบั ถือจึงกราบ ทีพ่ ระบาทของพระราชโอรสนนั้ กลุ่มคนและบุคคลในพุทธกาล  สหชาติ ๗ (คน ๔ สตั ว์ ๑ ต้นไม้ ๑ สงิ่ ของ ๑) ๑.พมิ พา (ยโสธรา) ๒.อานนท์ ๓. (ปี 2560, 2555 และ 2547) ฉันนะ เป็ นผ้ตู ามเสดจ็ คราวเสดจ็ ออกบวช ๔.กาฬุทายี ๕.ม้ากัณฐกะ (ตายแล้ว ไปเกดิ ท่ดี าวดงึ ส์) 3|Page

๖.ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ๗.ขุมทรัพย์ทงั้ ๔  อสิตดาบส (เรียกอีกช่ือว่า กาฬเทวิลดาบส) เมื่อเจ้าชายสทิ ธตั ถะประสตู ิใหมๆ่ อสติ ดาบสได้เข้าเฝ้ าและทายพระ ลกั ษณะวา่ ถ้าอยคู่ รองสมบตั ิจะได้เป็ นพระเจ้าจกั รพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็ นศาสดาเอกของโลก  (ปี 2560 และ 2547) วิศวามติ ร ป็ นครูผ้สู อนศลิ ปวทิ ยาของเจ้าชายสติ ธตั ถะ เมื่อยงั ทรงพระเยาว์ (ปี 2561 และ 2551) อสติ ดาบสได้ทานายสทิ ธตั ถกมุ ารวา่ อยา่ งไร ? ตอบ ทานายวา่ ถ้าอยคู่ รองสมบตั ิ จกั ได้เป็ นพระเจ้าจกั รพรรด์ิ ถ้าออกบวช จกั ได้เป็ นพระศาสดาเอกในโลก ฯ (ปี 2557) อสติ ดาบสกลา่ วทานายพระมหาบรุ ุษไว้วา่ อยา่ งไร? ตอบ วา่ มคี ติเป็ น ๒ คือ ถ้าอยคู่ รองฆราวาสจกั ได้เป็ นพระเจ้าจกั รพรรดิ ถ้าออกบวชจกั ได้ตรัสรู้เป็ นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ฯ (ปี 2556) อสติ ดาบส อาฬารดาบส และอทุ กดาบส มีความเกี่ยวข้องกบั พระมหาบรุ ุษอยา่ งไร? ตอบ อสติ ดาบส เป็ นผ้คู ้นุ เคยเป็ นที่เคารพนบั ถือของศากยสกลุ ในเวลาที่พระมหาบรุ ุษประสตู ิใหมๆ่ ทา่ นได้ไปเย่ียม และได้พยากรณ์ ทานายพระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ วา่ มีคตเิ ป็ น ๒ กอ่ นคนอ่นื ทงั้ หมด อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็ นผ้ทู ่ีพระองค์ได้เคยอยอู่ าศยั ศกึ ษาลทั ธิของทา่ นทงั้ ๒ ฯ เหตุการณ์ในระหว่างพระชนย์ของพระพุทธเจ้า ตอนประสูตใิ หม่ๆ อสติ ดาบส(กาฬเทวิลดาลส) เข้าเฝ้ าและทายพระลกั ษณะ ๕ วัน ขนานพระนาม (ตงั้ ชื่อ) วา่ “สทิ ธตั ถกมุ าร” ๗ วัน พระมารดาสวรรคต ๗ ปี พระราชบิดาตรัสสงั่ ให้ขดุ สระโบกขรณี ๓ สระในพระราชวงั ให้เป็ นทเี่ ลน่ สาราญแกพ่ ระองค์ และ ทรงศกึ ษาศลิ ปวิทยา (เรียน) ๑๖ ปี พระราชบดิ าตรัสสงั่ ให้สร้างปราสาท ๓ หลงั เพือ่ เป็ นทเ่ี สด็จอยใู่ น ๓ ฤดู และตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็ นพระชายา ๒๙ ปี ได้พระโอรสนามวา่ พระราหลุ และเสด็จออกบรรพชา ๓๕ ปี ตรัสรู้ ๘๐ ปี ปรินพิ พาน (ปี 2562 และ 2559) พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ออกผนวช ตรัสรู้ และปรินิพพาน เม่ือมพี ระชนมายเุ ทา่ ไรบ้าง ? ตอบ เสดจ็ ออกผนวช เมือ่ มพี ระชนมายุ ๒๙ ปี ตรัสรู้ เม่อื มีพระชนมายุ ๓๕ ปี ปรินพิ พาน เม่ือมีพระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ (ปี 2561, 2560, 2558, 2549 และ 2543) เจ้าชายสทิ ธตั ถะทรงปรารภอะไรจงึ เสด็จออกบวช ? ทรงบวชได้ก่ีปี จึงตรัสรู้ ? ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จงึ ตรัสรู้ ฯ (ปี 2557) พระมหาบรุ ุษประสตู ทิ ่ีไหน? เมื่อไร? ตอบ ลมุ พินวี นั ระหวา่ งกรุงกบลิ พสั ด์กุ บั กรุงเทวทหะ ฯ วนั เพญ็ เดอื น ๖ กอ่ นพทุ ธศก ๘๐ ปี ฯ 4|Page

(ปี 2556) เมื่อเจ้าชายสทิ ธตั ถะประสตู ไิ ด้ ๕ วนั พระราชบดิ าโปรดให้ทาอะไรเพือ่ พระราชกมุ ารบ้าง? ตอบ โปรดให้ชมุ นมุ พระญาติวงศ์ และเสนามาตย์พร้อมกบั เชิญพราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉนั โภชนาหาร แล้วทามงคลรับพระลกั ษณะ และขนานพระนามวา่ สทิ ธตั ถกมุ าร ฯ (ปี 2554) เมื่อพระมหาบรุ ษมพี ระชนมายไุ ด้ ๕ วนั ๗ วนั ๗ ปี ๑๖ ปี ๒๙ ปี มีเหตกุ ารณ์สาคญั เกิดแก่พระองค์อะไรบ้าง? (ปี 2553) พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ออกบรรพชา ตรัสรู้ และปรินพิ พาน เมอ่ื มีพระชนมายเุ ทา่ ไรบ้าง ? ตอบ เสด็จออกบรรพชา เม่อื มพี ระชนมายุ ๒๙ ปี ตรัสรู้ เม่ือมพี ระชนมายุ ๓๕ ปี ปรินพิ พาน เม่ือมพี ระชนมายุ ๘๐ ปี ฯ (ปี 2553) ภายใน ๗ วนั หลงั จากสทิ ธตั ถะราชกมุ ารประสตู ิแล้ว มเี หตกุ ารณ์สาคญั เกิดขนึ ้ แกพ่ ระองค์อยา่ งไรบ้าง? ตอบ ๑. เม่อื ประสตู แิ ล้วใหม่ ๆ อสติ ดาบส (หรือกาฬเทวิลดาบส) เข้าไปเฝ้ าเยี่ยมและทานายพระลกั ษณะ ๒. วนั ที่ ๕ พระเจ้าสทุ โธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉนั โภชนาหารและขนานพระนามพระราชกมุ ารวา่ สทิ ธตั ถกมุ าร ๓. วนั ท่ี ๗ พระราชมารดาทิวงคต ฯ (ปี 2558) พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรัสรู้ ปรินิพพานทใ่ี ต้ต้นไม้อะไร ? ตอบ ประสตู แิ ละปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ฯ ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธ์ิ (อสั สตั ถพฤกษ์) ฯ (ปี 2550) พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรัสรู้ และปรินพิ พาน ในวนั ใด? ท่ีไหน? ตอบ ประสตู ใิ นวนั เพ็ญเดอื น ๖ กอ่ นพทุ ธศก ๘๐ ปี ตรัสรู้ในวนั เพ็ญเดือน ๖ ก่อนพทุ ธศก ๔๕ ปี และปรินพิ พานในวนั เพ็ญเดือน ๖ ปี ตงั้ ต้นพทุ ธศก ฯ สว่ นสถานที่นนั้ คอื ประสตู ิที่ใต้ร่มไม้สาละในลมุ พนิ ีวนั ระหวา่ งกรุงกบิลพสั ด์แุ ละกรุงเทวทหะ ตรัสรู้ทใ่ี ต้ต้นโพธ์ิ (อสั สตั ถพฤกษ์) ริมฝั่งแมน่ า้ เนรัญชรา ปรินิพพานที่ป่ าไม้สาละ (สาลวโนทยาน) เมอื งกสุ นิ ารา ฯ (ปี 2550 และ 2544) เมื่อพระพทุ ธเจ้าประสตู ิได้ ๕ วนั และ ๗ วนั มเี หตกุ ารณ์สาคญั อะไรเกิดขนึ ้ ? ตอบ เมือ่ ประสตู ิได้ ๕ วนั พระราชบิดาเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉนั โภชนาหาร ทานายพระลกั ษณะและขนานพระนาม และเมื่อประสตู ิได้ ๗ วนั พระราชมารดาเสด็จสวรรคต ฯ (ปี 2549) พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรัสรู้ ปรินพิ พานท่ีใต้ต้นไม้อะไร ? ตอบ ประสตู ิ และ ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธ์ิ (อสั สตั ถพฤกษ์) ฯ พิธีแรกนาขวัญ (พธิ ีวปั ปมงคล) (ปี 2550) เหตกุ ารณ์ทีเ่ งาต้นหว้าในเวลาบา่ ยแล้วไมค่ ล้อยไปตามตะวนั กลบั ตงั้ อยดู่ จุ เวลาเทีย่ ง ปรากฏเมอ่ื คราวพระมหาบรุ ุษทรงทา อะไรอย?ู่ ตอบ ทรงนงั่ ขดั บลั ลงั ก์สมาธิ เจริญอานาปานสติกมั มฏั ฐาน ทาปฐมฌาน ให้เกิดขนึ ้ ฯ (ปี 2548) ในวนั เสด็จแรกนาขวญั พระเจ้าสทุ โธทนะบงั คมสทิ ธตั ถราชกมุ ารผ้ปู ระทบั นง่ั ใต้ต้นหว้า เพราะเหตไุ ร? 5|Page

ตอบ เพราะทรงเหน็ อศั จรรย์ในขณะที่สทิ ธตั ถราชกมุ ารประทบั นงั่ ใต้ต้นหว้า เงาของต้นหว้าไมค่ ล้อยไปตามตะวนั แม้จะเป็ นเวลาบา่ ย แล้ว ยงั ดารงอยเู่ สมอื นเทีย่ งวนั ฯ เสด็จออกบวช  บรรพชา ริมฝ่ังแมน่ า้ อโนมา ณ อนปุ ิ ยอมั พวนั แคว้นมลั ละ  อาฬารดาบส มหาบรุษได้ไปศกึ ษาด้วยจนสาเร็จ สมาบตั ิ ๗ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๓)  อุททกดาบส มหาบรุษได้ไปศกึ ษาด้วยจนสาเร็จ สมาบตั ิ ๘ (อรูปฌาณ ๔) (ปี 2562) อาฬารดาบสและอทุ กดาบส มีความเก่ียวข้องกบั พระพทุ ธเจ้าอยา่ งไร ? ตอบ อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็ นผ้ทู ่พี ระองค์ได้เคยอยอู่ าศยั ศกึ ษาลทั ธิของทา่ นทงั้ ๒ ฯ (ปี 2556) อสติ ดาบส อาฬารดาบส และอทุ กดาบส มีความเกี่ยวข้องกบั พระมหาบรุ ุษอยา่ งไร? ตอบ อสติ ดาบส เป็ นผ้คู ้นุ เคยเป็ นท่เี คารพนบั ถือของศากยสกลุ ในเวลาท่พี ระมหาบรุ ุษประสตู ใิ หมๆ่ ทา่ นได้ไปเยีย่ ม และได้พยากรณ์ ทานายพระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ วา่ มีคติเป็ น ๒ กอ่ นคนอื่นทงั้ หมด ฯ อาฬารดาบสและอทุ กดาบส เป็ นผ้ทู พ่ี ระองค์ได้เคยอยอู่ าศยั ศกึ ษาลทั ธิของทา่ นทงั้ ๒ ฯ (ปี 2562) อะไรเป็ นมลู เหตใุ ห้เจ้าชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช ? ตอบ พระอรรถกถาจารย์แสดงตามนยั มหาปทานสตู รวา่ ได้ทอดพระเนตรเหน็ เทวทตู ทงั้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรง สงั เวชเพราะได้ทอดพระเนตรเหน็ เทวทตู ๓ ข้างต้น ยงั ความพอพระหฤทยั ในการออกผนวชให้เกิดขนึ ้ เพราะได้ทอดพระเนตรเหน็ สมณะ ฯ (ปี 2560, 2558, 2549 และ 2543) เจ้าชายสทิ ธตั ถะทรงปรารภอะไรจงึ เสดจ็ ออกบวช ? ทรงบวชได้ก่ีปี จงึ ตรัสรู้ ? ตอบ ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ ฯ ๖ ปี จึงตรัสรู้ ฯ (ปี 2556) พระมหาบรุ ุษทรงทอดพระเนตรเหน็ คนแกค่ นเจ็บคนตาย และบรรพชิตแล้วทรงดาริอยา่ งไร? ตอบ เมื่อทรงเหน็ คนแก่คนเจ็บคนตายแล้ว ทรงน้อมเข้ามาเปรียบกบั พระองค์เอง เกิดความสงั เวชวา่ เราจะต้องแกต่ ้องเจ็บต้องตาย เช่นกนั เมือ่ ทรงเหน็ บรรพชิต ทรงดาริวา่ สาธุโขปพฺพชฺชา บวชดีนกั แล ฯ (ปี 2555) พระมหาบรุ ุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทรงปรารภเหตอุ ะไร? ตอบ พระมหาบรุ ุษเสดจ็ ออกบรรพชา เพราะทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย อนั ครอบงามหาชนทกุ คนอีกนัยหน่ึง เพราะ ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทตู ทงั้ ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทยั เพราะไมเ่ คยพบเห็นมาแตก่ อ่ น ครัน้ ได้ ทอดพระเนตรเห็นสมณะเข้าเกิดพระทยั ในการบรรพชา ฯ (ปี 2552) เทวทตู ๔ ท่ีเจ้าชายสทิ ธตั ถะทรงเห็นคืออะไรบ้าง? ทรงเหน็ แล้ว มพี ระดาริอยา่ งไร? ตอบ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงมพี ระดาริวา่ บคุ คลทว่ั ไปถกู ความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงา ไมล่ ว่ งพ้นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มอี ยา่ งนนั้ เป็ นธรรมดา ควร แสวงหา อบุ ายเครื่องพ้น แตฆ่ ราวาสเป็ นทคี่ บั แคบ ดจุ เป็ นทางที่มาแหง่ ธลุ ี บรรพชาเป็ นชอ่ งวา่ ง พอที่จะแสวงหาอบุ ายนนั้ ได้ จึงน้อม พระหฤทยั ไปในบรรพชา ฯ 6|Page

(ปี 2548) พระมหาบรุ ุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทอดพระเนตรเหน็ อะไร? และเมือ่ เหน็ แล้วทรงพระดาริอยา่ งไร? ตอบ เพราะทอดพระเนตรเหน็ เทวทตู ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงพระดาริวา่ บคุ คลทวั่ ไปเมาอยใู่ นวยั ในความไม่ มีโรค และในชีวิต ถกู ความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงา ไมล่ ว่ งพ้นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มีอยา่ งนนั้ เป็ นธรรมดา ควรแสวงหา อบุ ายเคร่ืองพ้น ธรรมดาสภาวะทงั้ ปวงยอ่ มมขี องทเี่ ป็ นฝ่ ายตรงกนั ข้ามแก้กนั เช่นมรี ้อนก็ต้องมีเยน็ แก้ มีมืดก็ต้องมสี วา่ งแก้ แต่ ฆราวาสเป็ นทีค่ บั แคบ ดจุ เป็ นทางทม่ี าแหง่ ธุลี บรรพชาเป็ นชอ่ งวา่ ง พอทจ่ี ะแสวงหาอบุ ายนนั้ ได้ จึงน้อมพระทยั ไปในบรรพชา ฯ (ปี 2547) การท่ีพระราชบิดาและพระญาติวงศ์ คิดผกู พนั เจ้าชายสทิ ธตั ถะไว้ให้เพลดิ เพลนิ อยใู่ นกามสขุ เพราะเหตไุ ร? และด้วยวิธีใด? ตอบ เพราะพระราชบิดาและพระญาตวิ งศ์ได้ทรงฟังคาทานายของอสติ ดาบสวา่ พระราชกมุ ารนจี ้ กั มคี ตเิ ป็ นสอง คอื ถ้าอยคู่ รองราช สมบตั จิ กั ได้เป็ นจกั รพรรดิราช หรือถ้าออกบรรพชาจกั ได้เป็ นศาสดาเอกในโลก จงึ ปรารถนาให้อยคู่ รองราชสมบตั ิมากกวา่ ทีจ่ ะยอม ให้เสด็จออกบรรพชา ฯ ด้วยการตรัสให้ขดุ สระโบกขรณีในพระราชนเิ วศน์ ๓ สระ เพื่อให้เป็ นท่ีเลน่ สาราญพระราชหฤทยั ให้จดั เครื่องทรง คอื จนั ทน์สาหรับทา ผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ ผ้าทรงสะพกั พระภษู า ล้วนเป็ นของประณีต ให้สร้างปราสาท ๓ หลงั สาหรับเป็ นทปี่ ระทบั ทงั้ ๓ ฤดู ตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็ นพระชายา ฯ (ปี 2545) พระมหาบรุ ุษทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตท่ีไหน ? ตอบ ท่ีริมฝั่งแมน่ า้ อโนมา ณ อนปุ ิ ยอมั พวนั แคว้นมลั ละ ฯ (ปี 2544) อะไรเป็ นมลู เหตใุ ห้เจ้าชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกผนวช? พระสทิ ธตั ถะทรงบาเพ็ญทกุ รกิริยา ด้วยวิธีอยา่ งไรบ้าง? ตอบ พระอรรถกถาจารย์แสดงตามนยั มหาปทานสตู รวา่ ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทตู ทงั้ ๔ คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสงั เวช เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทตู ๓ ข้างต้น ยงั ความพอพระหฤทยั ในการออกผนวชให้เกิดขนึ ้ เพราะได้ทอดพระเนตร เห็นสมณะ ฯ วธิ ีแรก ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลดุ ้วยพระชิวหา วธิ ีที่สอง ทรงผอ่ นกลนั้ ลมอสั สาสะปัสสาสะ วิธีที่สาม ทรงอดพระกระยาหาร ฯ (ปี 2554) พระมหาบรุ ุษได้ทรงศกึ ษาในสานกั อาฬารดาบสและอทุ กดาบสจนจบวิชาความรู้ของอาจารย์ การที่จะกลา่ ววา่ พระองค์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองโดยไมม่ ีใครเป็ นครูอาจารย์ นนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ เพราะความรู้ท่ีเรียนในสานกั ดาบสทงั้ ๒ นนั้ เป็ นโลกิยธรรม สว่ นความรู้ทต่ี รัสรู้เอง เป็ นโลกตุ รธรรมท่ีไมม่ ใี ครรู้มากอ่ น บาเพ็ญทุกรกิริยา (ปี 2556) พระมหาบรุ ุษเสดจ็ ประทบั บาเพ็ญเพียรจนถงึ ตรัสรู้ ณ ตาบลใด? ตอบ ณ ตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม ฯ (ปี 2555) ทกุ รกิริยา คืออะไร? พระมหาบรุ ุษทรงบาเพ็ญทกุ รกิริยาด้วยอยา่ งไรบ้าง? จงบอกมา ๑ ข้อ ตอบ ทุกรกริ ิยา คือ การทรมานกายให้ลาบาก ฯ พระพทุ ธเจ้าทรงบาเพ็ญทกุ รกิริยา ๓ วาระ 7|Page


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook