Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 8 วงจรไฟฟ้า

หน่วยที่ 8 วงจรไฟฟ้า

Published by suwadee Kanchanapa, 2020-05-13 10:27:17

Description: หน่วยที่ 8 วงจรไฟฟ้า

Search

Read the Text Version

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3 ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 5 เรอื่ ง ไฟฟา้ วชิ าวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง เร่อื ง การต่อเซลล์ไฟฟ้า 1. สาระสาคญั ความสวา่ งของหลอดไฟฟ้าทีเ่ กดิ ขนึ้ ในวงจรไฟฟา้ ข้นึ อยูก่ ับจานวนเซลลไ์ ฟฟ้า (ถ่านไฟฉาย) และ ลกั ษณะการต่อเซลลไ์ ฟฟ้าในวงจร 1. จานวนเซลล์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ถา้ จานวนเซลลไ์ ฟฟ้าในวงจรมาก จะให้พลังงานไฟฟ้ามาก มผี ล ให้กระแสไฟฟา้ ทผ่ี ่านหลอดไฟฟา้ มากขึ้น ทาให้หลอดไฟฟ้าสว่างมากขึน้ 2. ลกั ษณะการต่อเซลล์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า 2.1 การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม เปน็ การนาเซลลไ์ ฟฟ้ามาต่อในวงจรไฟฟา้ โดยให้ขัว้ บวกของ กอ้ นแรกต่อเขา้ กับขวั้ ลบของก้อนที่ 2 เรยี งกนั ไป ทาให้กระแสไฟฟ้าทผี่ ่านหลอดไฟฟา้ มากขึ้น หลอดไฟฟา้ จึง สวา่ งมากขึ้น 2.2 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบขนาน เป็นการนาเซลล์ไฟฟ้ามาวางขนานกัน โดยข้ัวบวกแต่ละก้อนต่อ เข้าด้วยกันและขั้วลบแต่ละก้อนต่อเข้าด้วยกันแล้วจึงต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบขนาน จะทา ใหเ้ ซลลไ์ ฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ ใชง้ านไดน้ านข้นึ 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ ส่อื สารสง่ิ ท่ีเรียนรู้และนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การ แกป้ ัญหา รู้ว่าปรากฏการณท์ างธรรมชาติทเี่ กดิ ขึ้นส่วนใหญ่มรี ูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อม มี ความเกี่ยวขอ้ งสมั พันธก์ นั 3. ตวั ชี้วดั ทดลองและอธบิ ายการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนกุ รม และนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ว 5.1 ป.6/3 ตงั้ คาถามเกี่ยวกบั ประเด็น หรอื เร่ือง หรือสถานการณ์ ทีจ่ ะศึกษา ตามที่ ว 8.1 ป.6/1 กาหนดให้และตามความสนใจ วางแผนการสงั เกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรอื ศึกษาค้นคว้า และคาดการณ์ ว 8.1 ป.6/2 ส่ิงที่จะพบจากการสารวจตรวจสอบ เลือกอุปกรณ์ และวิธกี ารสารวจตรวจสอบท่ถี ูกต้องเหมาะสมให้ไดผ้ ลที่ครอบคลุม ว 8.1 ป.6/3 และเชื่อถือได้ บนั ทึกขอ้ มูลในเชิงปริมาณและคณุ ภาพ วิเคราะห์ และตรวจสอบผลกับสิ่งท่ี ว 8.1 ป.6/4

ว 8.1 ป.6/5 คาดการณ์ไว้ นาเสนอผลและขอ้ สรุป ว 8.1 ป.6/6 สร้างคาถามใหมเ่ พ่ือการสารวจตรวจสอบตอ่ ไป ว 8.1 ป.6/7 แสดงความคดิ เหน็ อย่างอสิ ระ อธบิ าย ลงความเห็นและสรปุ ส่งิ ท่ีได้เรียนรู้ บนั ทกึ และอธบิ ายผลการสารวจตรวจสอบตามความเปน็ จรงิ เหตุผล และมี ว 8.1 ป.6/8 ประจกั ษ์พยานอ้างอิง นาเสนอ จัดแสดงผลงานโดยอธบิ ายด้วยวาจา และเขียนรายงานแสดงกระบวนการ และผลของงานใหผ้ อู้ ืน่ เข้าใจ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. ทดลองวิธกี ารต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนกุ รม (P) 2. อธบิ ายวิธกี ารต่อเซลล์ไฟฟ้าได้ (K) 3. นาความรูเ้ กี่ยวกับการต่อเซลล์ไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ได้ (A) 5. คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ 6. สมรรถนะท่ีสาคัญ 1. ความสามารถในการส่ือสาร  การอธิบาย การเขียน การพดู หน้าชั้นเรยี น 2. ความสามารถในการคิด  การสังเกต การคดิ วเิ คราะห์ การสรา้ งคาอธบิ าย การสื่อความหมายการทากิจกรรม ทดลองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา  การแก้ปญั หาขณะปฏบิ ัติกิจกรรม 4. ความสามารถในใชท้ กั ษะชวี ติ  กระบวนการกล่มุ 7. สาระการเรียนรู้ การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ขน้ั ท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (engagement) (15 นาท)ี 1. ครูนาเขา้ สูบ่ ทเรียนเก่ียวกับ การต่อเซลล์ไฟฟา้ จากน้นั ครูต้ังประเดน็ ปัญหาเพื่อให้นักเรยี น เกดิ ความสงสยั และตอ้ งการหาคาตอบดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยครใู ช้คาถามดงั น้ี 1.1 นักเรยี นทราบหรือไมว่ ่า จะบรรจถุ ่านไฟฉายในกระบอกไฟฉายอย่างไร หลอดไฟ จึงจะสวา่ ง และทาอยา่ งไรจงึ จะสวา่ งมากข้นึ 1.2 การต่อเซลล์ไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าแบบใดทหี่ ลอดไฟฟ้าให้ความสวา่ งมากท่สี ดุ (การ ต่อเซลลไ์ ฟฟ้า 2 ก้อนเรียงตอ่ กนั ในวงจรไฟฟ้า) 2. ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามลงในกระดาษที่ครเู ตรียมให้

ขนั้ ท่ี 2 สารวจและคน้ หา (exploration) (45 นาที) 1. ใหน้ ักเรียนศึกษาการต่อวงจรไฟฟา้ แบบขนานจากใบความรูแ้ ละในหนงั สือเรียน โดยครูช่วยอธิบาย ใหน้ ักเรียนได้เหน็ ว่า ความรู้เรื่องที่นักเรยี นศกึ ษานี้ เปน็ สิง่ ท่ีนกั เรียนได้เรยี นรู้มาบา้ งแลว้ 2. ให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ ก่อนทากจิ กรรม โดยครใู ชค้ าถาม ดังนี้ 2.1 การต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งไรหลอดไฟจึงจะสวา่ ง (ต่อสายไฟ แหลง่ พลงั งานไฟฟ้า (ถา่ นไฟฉาย) และหลอดไฟให้ครบวงจร) 2.2 จะต่อเซลลไ์ ฟฟา้ มากกว่าหน่ึงเซลล์อย่างไรทท่ี าใหห้ ลอดไฟสว่าง (ยอมรับ คาตอบของนกั เรียน) 2.3 จานวนเซลล์ไฟฟา้ มผี ลตอ่ ความสว่างของหลอดไฟหรอื ไม่ อย่างไร (ยอมรบั คาตอบของนกั เรียน) 3. แบง่ กลุม่ นักเรยี นกลุ่มละ 4–5 คน ปฏิบัติกิจกรรม สงั เกตการเปรยี บเทียบการต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทกั ษะ/กระบวนการสังเกตดังนี้ – ให้นักเรยี นดูแผนภาพของการต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม รูปที่ 1 – นาถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน หลอดไฟฟ้า และสวิตช์ ต่อกันเป็นวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม ใหเ้ หมือนกับรูปท่ี 1 สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า รปู ท่ี 1 รปู ท่ี 2 – เพม่ิ ถ่านไฟฉายอกี 1 กอ้ น เข้าไปในวงจรไฟฟา้ โดยเรียงต่อกนั ดังรปู ที่ 2 สงั เกต ความสวา่ งของหลอดไฟฟา้ เปรยี บเทียบกับเม่ือต่อกบั ถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน – นาถ่านไฟฉาย 1 กอ้ น สวติ ช์ และหลอดไฟฟ้า มาต่อกันเป็นวงจรไฟฟา้ ดังรปู ท่ี 3 สงั เกตความสว่างของหลอดไฟฟา้ รูปที่ 3 รปู ท่ี 4

– เพ่มิ ถา่ นไฟฉายอีก 1 ก้อน เขา้ ไปในวงจรไฟฟ้า โดยวางถ่านไฟฉายให้ขนานและต่อ สายไฟฟา้ ดังรปู ท่ี 4 สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้าเปรียบเทยี บกับเม่ือต่อกบั ถา่ นไฟฉาย 1 กอ้ น – นกั เรียนรว่ มกนั วิเคราะห์ อภิปราย และสรุปผลการสังเกต 4. นกั เรียนและครรู ่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากใบงาน ขนั้ ที่ 3 อธบิ ายและลงข้อสรุป (explanation) (40 นาที) 1. ใหผ้ ู้แทนนกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม นาเสนอผลการทากจิ กรรมหนา้ ชั้นเรียน เพือ่ เปรียบเทียบ และตรวจสอบความถูกต้อง 2. ใหน้ กั เรียนรว่ มกันอภปิ รายและแสดงความคิดเห็นหลงั ทากจิ กรรม โดยครูถามคาถามหลัง ทากจิ กรรมดงั นี้ 2.1 ถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน ทีน่ ักเรยี นสังเกต มีความต่างศักยก์ ี่โวลต์ (1.5 โวลต์) 2.2 เปรียบเทยี บความสว่างของหลอดไฟเมื่อใชถ้ ่านไฟฉาย 1 กอ้ น 2 ก้อน และ 3 ก้อน (ความสว่างเพ่ิมขึน้ ตามลาดับ) 2.3 ใหบ้ รรยายลักษณะการต่อถ่านไฟฉายมากกวา่ 1 ก้อน ทท่ี าให้หลอดไฟสวา่ ง (การต่อถ่านไฟฉายโดยใหข้ ้วั บวกตอ่ กับข้ัวลบเรียงกนั หรือให้ขวั้ บวกตอ่ กับขวั้ บวก และขั้วลบต่อกบั ข้วั ลบ) 2.4 มีวธิ กี ารตอ่ ถ่านไฟฉายท่ีทาให้ไฟสวา่ งได้ก่วี ิธี (2 วิธี) 2.5 สรุปผลการทดลองนี้ไดอ้ ยา่ งไร (1. วิธีการต่อเซลลไ์ ฟฟ้ามากกวา่ หนงึ่ เซลล์ใน วงจรที่ทาใหห้ ลอดไฟสว่าง โดยนาข้วั ไฟฟา้ ต่างกนั มาต่อเข้าด้วยกัน หรือนาขัว้ ไฟฟ้าเหมือนกนั ของแตล่ ะเซลล์ มาตอ่ กนั 2. จานวนเซลล์ไฟฟ้าที่ต่อกนั มากขึ้น มผี ลให้หลอดไฟสว่างมากข้ึน) 2.6 จะบรรจถุ ่านไฟฉายในกระบอกไฟฉายอยา่ งไร จงึ จะทาให้หลอดไฟสวา่ งมาก ทส่ี ดุ (นาเซลล์ไฟฟา้ มาต่อเรียงกัน โดยนาขั้วของไฟฟ้าตา่ งกันมาต่อเขา้ ดว้ ยกนั ) 2.7 จงเขยี นแผนภาพแสดงวงจรไฟฟ้าในกระบอกไฟฉายท่ีบรรจุถ่านไฟฉาย 2 ก้อน โดยกาหนดให้ สัญลักษณ์ หมายถึง หมายถึง ถา่ นไฟฉาย หรอื เซลล์ไฟฟา้ 1 เซลล์ หมายถงึ หลอดไฟ หมายถึง สวิตช์ จากนั้นให้นกั เรียนตอบคาถามหลงั ทากจิ กรรมในใบงาน และฝึกนักเรยี นถามคาถามท่สี งสัยด้วยการ ถามเพือ่ นโดยไมจ่ าเป็นต้องถามครอู ย่างเดยี ว 3. ให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ รายเพิม่ เติมเพื่อเสรมิ สรา้ งสมรรถนะสาคญั ดา้ นความสามารถใน การคดิ โดยครใู ชค้ าถามดังน้ี 3.1 เซลล์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แตกตา่ งกนั อย่างไร

เซลล์ไฟฟ้า แหลง่ แบตเตอรี่ พลังงาน (ประกอบดว้ ยข้ัวไฟฟา้ (ประกอบด้วย บวกและลบซงึ่ ทาจาก เซลล์ไฟฟ้า โลหะ 2 ชนดิ จมุ่ อยู่ ตงั้ แต่ 2 ในของเหลวท่ี นาไฟฟา้ ได้ เมื่อตอ่ เซลล์มาต่อกนั ) สายไฟให้ครบวงจรจะมี กระแสไฟฟา้ ในวงจร) แผนภาพ เปรยี บเทยี บความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่างเซลล์ไฟฟา้ กับแบตเตอรี่ 3.2 การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนานแตกต่างกันอย่างไร แบบอนุกรม แบบขนาน (เป็นการนาเซลล์ไฟฟา้ มา (เป็นการนาข้วั ของ เซลล์ไฟฟา้ ทเ่ี หมือนกนั ต่อเรียงกนั โดยนาขั้วของ การตอ่ ของแตล่ ะเซลลม์ าต่อเขา้ ด้วยกัน) ไฟฟ้าตา่ งกนั มาต่อ เซลลไ์ ฟฟ้า เข้าดว้ ยกัน) แผนภาพ เปรยี บเทยี บความเหมอื นและความแตกต่างระหวา่ งการตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมกับแบบขนาน 3.3 ถา้ ใช้จานวนเซลลไ์ ฟฟา้ เทา่ กนั การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบใดทาให้หลอดไฟฟา้ มี ความสว่างมากกว่ากนั (การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมให้ความสวา่ งกวา่ การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบขนาน) 4.ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั สรุปผลการทากจิ กรรมเกย่ี วกับ การต่อเซลล์ไฟฟา้ ใหไ้ ดป้ ระเดน็ ตาม จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้ (elaboration) (15 นาที) ให้นกั เรียนสรุปความรู้ดว้ ยตนเองเกย่ี วกบั การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ในวงจรไฟฟ้า จากนนั้ นามาเขียนเปน็ ผงั มโนทัศน์ ข้ันที่ 5 ประเมนิ (evaluation) (5 นาที) 1. ครใู ห้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อท่เี รยี นมาและการปฏิบัตกิ จิ กรรม มีจุดใดบา้ ง ท่ียังไมเ่ ขา้ ใจหรือยังมีข้อสงสยั ถ้ามคี รูช่วยอธิบายเพิม่ เติมให้นกั เรยี นเขา้ ใจ

2. นกั เรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปญั หาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการ แก้ไขอยา่ งไรบา้ ง 3. ครูและนกั เรียนรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม และการนาความร้ทู ี่ได้ไปใช้ประโยชน์ 4. ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น – การต่อเซลล์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ แตกต่างจากการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ หรอื ไมเ่ พราะอะไร – ถ้านกั เรียนจะต่อเซลล์ไฟฟ้าใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั นกั เรยี นจะต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบใด เพราะอะไร 9. สื่อการเรียนรู้ 1 กระบอก 3 กอ้ น 1. สื่อการเรียนรู้ 6 เสน้ 1.1 ไฟฉาย 1 หลอด 1.2 ถา่ นไฟฉายหรือเซลลไ์ ฟฟ้า 1 อนั (แทนกระบะไฟฉาย) 1.3 สายไฟ 1 เลม่ 1.4 หลอดไฟ 1 มว้ น 1.5 แกนกระดาษชาระ 1.6 กรรไกร 1.7 เทปกาว 1.8 ใบงาน เรื่อง การต่อเซลล์ไฟฟ้า 2. แหล่งการเรียนรู้ 2.1 หอ้ งเรยี น 2.2 อินเตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการจัดกระทาและนาเสนอผงั มโนทศั น์ ตวั ช้วี ัด 4 ระดบั คะแนน 1 32 การจดั กระทาและ จดั กระทา จัดกระทา จัดกระทา จัดกระทา นาเสนอผังมโนทัศน์ ผงั มโนทัศน์ ผงั มโนทศั น์ ผังมโนทัศน์ ผงั มโนทศั น์ อย่างเป็นระบบ และ อย่างเป็นระบบ อย่างเป็นระบบ อยา่ งเป็นระบบ นาเสนอดว้ ยแบบที่ มีการจาแนกข้อมลู มีการยกตวั อยา่ ง และนาเสนอไมส่ ื่อ ชัดเจน ถกู ต้อง ให้เหน็ เพม่ิ เติม และ ความหมาย และ ครอบคลุ มและ ความสัมพันธ์ นาเสนอด้วยแบบ ไมช่ ัดเจน มกี ารเช่อื มโยงให้ และนาเสนอด้วย ตา่ ง ๆ แต่ยัง เหน็ เปน็ ภาพรวม แบบท่ีครอบคลุม ไมค่ รอบคลุม

เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการปฏบิ ัตกิ ารทดลองของนักเรียน ตัวชว้ี ดั 4 ระดับคะแนน 1 32 1. การทดลอง/ ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทากิจกรรม ตามวิธกี ารและ ตามวิธกี ารและ ตามวิธกี ารและ ไม่ถูกต้องตาม ตามแผนที่ ข้นั ตอนที่กาหนดไว้ ขนั้ ตอนที่กาหนดไว้ ข้นั ตอนที่กาหนดไว้ วธิ ีการและขั้นตอน กาหนด อยา่ งถูกต้องด้วย ดว้ ยตนเอง มีการ โดยมีครหู รือผู้อ่นื ทกี่ าหนดไว้ ไมม่ ี ตนเอง มีการปรบั ปรงุ ปรับปรุง แกไ้ ขบา้ ง เป็นผูแ้ นะนา การปรับปรุงแก้ไข แก้ไขเป็นระยะ 2. การใช้ ใช้อปุ กรณ์และ/หรือ ใชอ้ ปุ กรณ์และ/หรือ ใชอ้ ปุ กรณ์และ/หรือ ใช้อปุ กรณ์และ/หรือ อปุ กรณ์และ/ เครือ่ งมอื ในการ เครอื่ งมือในการ เคร่อื งมอื ในการ เครอ่ื งมอื ในการ หรอื เครอื่ งมือ ทดลอง/ทากจิ กรรมได้ ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม อย่างถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง โดย ไมถ่ ูกตอ้ ง หลักการปฏบิ ัติและ หลกั การปฏิบัติ แต่ มคี รู หรอื ผู้อื่นเป็นผู้ คล่องแคลว่ ไมค่ ล่องแคล่ว แนะนา 3. การบนั ทึก บันทกึ ผลเป็นระยะ บันทกึ ผลเปน็ ระยะ บันทกึ ผลเป็นระยะ บันทึกผลไม่ครบ ไม่ ผลการทดลอง/ อยา่ งถูกต้องมีระเบียบ อย่างถูกต้อง มี แต่ไม่เปน็ ระเบียบ มกี ารระบุหนว่ ย ทากิจกรรม มกี ารระบหุ น่วย มีการ ระเบียบ มกี ารระบุ ไม่มีการระบุหน่วย และไม่เป็นไปตาม อธิบายข้อมลู ให้เห็น หนว่ ย มกี ารอธิบาย และไม่มีการอธิบาย การทดลอง/ทา ความเชอื่ มโยงเปน็ ขอ้ มลู ใหเ้ หน็ ถงึ ข้อมลู ให้เห็นถึง กจิ กรรม ภาพรวม เป็นเหตุ ความสัมพนั ธ์เปน็ ไป ความสมั พันธ์ของ เป็นผล และเปน็ ไป ตามการทดลอง/ทา การทดลอง/ทา ตามการทดลอง/ทา กิจกรรม กจิ กรรม กจิ กรรม 4. การจดั กระทา จดั กระทาข้อมลู อย่าง จัดกระทาข้อมลู จัดกระทาข้อมูล จัดกระทาข้อมลู ข้อมลู เปน็ ระบบ มีการ อยา่ งเปน็ ระบบ มี อยา่ งเปน็ ระบบ มี อยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบ และการนาเสนอ เชอ่ื มโยงให้เหน็ เป็น การจาแนกขอ้ มลู ให้ การยกตวั อย่าง และมีการนาเสนอ ภาพรวม และนาเสนอ เห็นความสมั พนั ธ์ เพ่ิมเติมใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ไมส่ อื่ ความหมาย ด้วยแบบต่าง ๆ อยา่ ง เสนอดว้ ยแบบตา่ งๆ และนาเสนอดว้ ย และไม่ชัดเจน ชดั เจน ถกู ตอ้ ง ได้ แตย่ ังไม่ชัดเจน แบบตา่ ง ๆ แตย่ ังไม่ ชดั เจน และไม่ ถูกต้อง 5. การสรุปผล สรปุ ผลการทดลอง/ สรุปผลการทดลอง/ สรปุ ผลการทดลอง/ สรุปผลการทดลอง/ การทดลอง/ ทากจิ กรรมได้อยา่ ง ทากจิ กรรม ถูกต้อง กระชับ ทากจิ กรรมได้ ทากิจกรรมได้ โดยมี ทากิจกรรมตาม ชดั เจน และ ครอบคลุมข้อมูลจาก ถูกต้อง ครหู รอื ผู้อน่ื แนะนา ความรูท้ พ่ี อมีอยู่โดย การวเิ คราะห์ทง้ั หมด แต่ยงั ไม่ครอบคลุม บา้ ง จึงสามารถสรปุ ไม่ใชข้ ้อมูลจากการ ขอ้ มูลจากการ ไดถ้ ูกตอ้ ง ทากจิ กรรม วเิ คราะหท์ ั้งหมด





ช้ินงาน เร่ือง การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม และแบบขนาน ชื่อ..........................................................................................ช้นั ..........................เลขท่.ี ................ คาสั่ง ใหน้ กั เรียนสรปุ การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม และแบบขนาน เป็นแผนผงั ความคิด

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 4 ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 5 เรื่อง ไฟฟ้า วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ช่วั โมง เรือ่ ง การต่อหลอดไฟฟ้า 1. สาระสาคญั การต่อวงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม หลอดไฟฟา้ หรอื อุปกรณ์ไฟฟ้าจะจัดต่อเรียงกันและกระแสไฟฟ้าจะผ่าน หลอดไฟฟ้าหรืออุปกรณ์เป็นปริมาณเดียวกันถ้า เป็นการตอ่ เซลล์ไฟฟ้าจะทาให้มีกระแสไฟฟ้าผ่านวงจรมากข้ึน สังเกตจากหลอดไฟฟ้าสว่างข้ึน แต่ถ้าหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงขาดจะทาให้วงจรเปิดไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน วงจร การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนานเป็นการนาปลายข้างเดียวกัน (ขั้วเดียวกัน) ของแต่ละอุปกรณ์มารวมกัน ก่อนแล้วจึงต่อเข้ากับเซลล์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะแยกผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละอย่าง โดยกระแสไฟฟ้ารวมใน วงจรเทา่ กบั กระแสไฟฟ้าท่ีแยกผ่านอุปกรณ์แตล่ ะอย่างรวมกนั 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ สอื่ สารสง่ิ ท่ีเรียนรแู้ ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การ แก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อม มี ความเกี่ยวขอ้ งสัมพันธก์ ัน 3. ตัวชวี้ ดั ทดลองและอธบิ ายการต่อหลอดไฟฟ้าทัง้ แบบอนุกรม แบบขนาน และนาความรไู้ ป ว 5.1 ป.6/4 ใชป้ ระโยชน์ ว 8.1 ป.6/1 ตง้ั คาถามเก่ียวกับประเด็น หรือเร่ือง หรือสถานการณ์ ทจ่ี ะศึกษา ตามท่ี ว 8.1 ป.6/2 กาหนดใหแ้ ละตามความสนใจ ว 8.1 ป.6/3 วางแผนการสังเกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรือศึกษาคน้ ควา้ และคาดการณ์ ว 8.1 ป.6/4 ส่งิ ท่จี ะพบจากการสารวจตรวจสอบ ว 8.1 ป.6/5 เลือกอปุ กรณ์ และวิธีการสารวจตรวจสอบที่ถกู ต้องเหมาะสมใหไ้ ดผ้ ลท่ีครอบคลุม และเช่ือถอื ได้ บันทึกขอ้ มูลในเชิงปริมาณและคุณภาพ วเิ คราะห์ และตรวจสอบผลกับสิ่งท่ี คาดการณไ์ ว้ นาเสนอผลและขอ้ สรุป สรา้ งคาถามใหม่เพื่อการสารวจตรวจสอบตอ่ ไป

ว 8.1 ป.6/6 แสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระ อธิบาย ลงความเหน็ และสรปุ ส่ิงที่ได้เรียนรู้ ว 8.1 ป.6/7 บนั ทึกและอธบิ ายผลการสารวจตรวจสอบตามความเป็นจริง เหตผุ ล และมี ประจกั ษ์พยานอา้ งองิ ว 8.1 ป.6/8 นาเสนอ จดั แสดงผลงานโดยอธิบายด้วยวาจา และเขยี นรายงานแสดงกระบวนการ และผลของงานให้ผอู้ น่ื เข้าใจ 4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม และแบบขนานได้ (P) 2. อธบิ ายให้เหตุผลเกี่ยวกับการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานได้ (K) 3. นาความรเู้ ก่ียวกบั การต่อหลอดไฟฟา้ ทง้ั สองแบบไปใช้ประโยชนไ์ ด้ (A) 5. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ 6. สมรรถนะท่ีสาคัญ 1. ความสามารถในการส่ือสาร  การอธบิ าย การเขียน การพดู หน้าชน้ั เรยี น 2. ความสามารถในการคดิ  การสังเกต การคิดวิเคราะห์ การสร้างคาอธบิ าย การสื่อความหมายการทากิจกรรม ทดลองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา  การแกป้ ัญหาขณะปฏิบตั กิ จิ กรรม 4. ความสามารถในใชท้ ักษะชวี ติ  กระบวนการกลุ่ม 7. สาระการเรียนรู้ การตอ่ หลอดไฟฟ้า - การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ • วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ขนั้ ท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (engagement) (20 นาที) 1. ครนู าชุดหลอดไฟฟ้าทีใ่ ชป้ ระดับตน้ ไม้ ต้โู ชว์ ต่อกบั แหล่งกาเนิดไฟฟา้ แลว้ เปดิ สวติ ช์ให้ หลอดไฟฟ้าสว่าง นักเรียนสังเกตผลท่ีเกิดขึ้น จากนั้นครูถอดหลอดไฟฟ้าออก 1 หลอด สังเกตผลท่ีเกิดข้ึน แล้ว ครูใช้คาถามกระตุน้ ดงั นี้ – เพราะเหตุใดเมอื่ ถอดหลอดไฟฟา้ เพยี ง 1 หลอดออก หลอดไฟฟา้ ทกุ หลอดจึงดบั 2. ครูทบทวนความรู้เดิมเรื่อง วงจรปิด และใช้คาถามเกี่ยวกบั การปิดเปิดไฟแต่ละดวงภายใน บ้านว่ามีผลกับดวงไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอ่ืนหรือไม่ อย่างไร ให้นักเรียนลงมือเขียนแผนภาพแสดงการต่อ อุปกรณไ์ ฟฟ้าในบ้านทเ่ี กดิ ผลเชน่ นนั้

3. ครูนาเข้าสบู่ ทเรียนเก่ียวกับการตอ่ หลอดไฟฟ้า จากนัน้ ครูตัง้ ประเด็นปัญหาเพื่อให้นักเรยี น เกิดความสงสัยและต้องการหาคาตอบดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยครูใช้คาถามดังนี้ 2.1 เราต่อหลอดไฟฟ้าในบา้ นอยา่ งไร 2.2 ความสว่างของหลอดไฟฟ้าในการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน มีความเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร (ความสว่างของหลอดไฟฟ้าท้ัง 2 แบบแตกต่างกันโดยการต่อหลอดไฟ แบบ 2 หลอดเรียงกัน (แบบอนุกรม) มคี วามสว่างน้อยกวา่ การตอ่ หลอดไฟแบบ 2 หลอดครอ่ มกัน (แบบขนาน) 4. ให้นกั เรียนตอบคาถามลงในกระดาษท่ีครเู ตรยี มให้ ขั้นที่ 2 สารวจและค้นหา (exploration) (40 นาที) 1. ให้นักเรียนศึกษาการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานจากใบ ความรู้และในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนได้เห็นว่าความรู้เรื่องที่นักเรียนศึกษาน้ี เป็น ส่ิงท่ี นักเรียนไดเ้ รียนรู้มาบา้ งแล้ว 2. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคดิ เหน็ ก่อนทากิจกรรม โดยครูถามคาถามก่อน ทากจิ กรรมดังน้ี 2.1 วงจรปิด คืออะไร (วงจรที่มีประจุไฟฟ้าไหลในสายไฟที่ต่อเข้ากับแหล่งให้ พลงั งานไฟฟา้ และเคร่อื งใช้ไฟฟ้าแลว้ ทาใหเ้ ครื่องใช้ไฟฟา้ ทางานได้) 2.2 สิ่งที่ต้องจัดให้เหมือนกันในการทดลองน้ีคืออะไร (จานวนและขนาดของ ถา่ นไฟฉาย ขนาดของหลอดไฟ) 2.3 สง่ิ ที่จดั ให้ตา่ งกนั ในการทดลองนีค้ ืออะไร (วิธีการต่อหลอดไฟ) 3. แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการเปรียบเทียบการต่อหลอด ไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน ตามข้ันตอนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะ/กระบวนการสังเกตดงั นี้ 3.1 ให้นักเรียนดูรูปของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม (รูป ก) ใช้น้ิวลากไปตาม เส้นทางท่ีกระแสไฟฟ้าไหลไปในวงจร จากน้ันวาดรูปของวงจร และต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมให้เหมือนกับ วงจรท่ีแสดงไว้ในรปู 3.2 ถ้านักเรียนต่อเสร็จหลอดไฟฟ้าท้ังสองจะสว่าง และจะเกิดอะไรข้ึนถ้านักเรียน ถอดหลอดไฟฟ้าออก 1 หลอด บันทึกการทานายของนักเรยี นลงในตารางบนั ทึกผล 3.3 ถอดหลอดไฟฟ้า 1 หลอดออกจากวงจร สังเกตการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนและ บันทกึ ผล จากนัน้ ใหใ้ สห่ ลอดไฟฟา้ กลบั คืนที่เดมิ แลว้ ถอดสายไฟฟา้ ออกจากจุดเชอ่ื มต่อ รูป ก รูป ข

– ใหน้ ักเรยี นดูรูปของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน (รปู ข) ใช้นว้ิ ลากไปตามเสน้ ทาง ที่กระแสไฟไหลไปในวงจร จากน้ันวาดรูปของวงจรและต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานให้เหมือนกับวงจรท่ีแสดงไว้ ในรูป – ดาเนนิ การเช่นเดยี วกบั ขน้ั ตอนที่ 3 และ 4 – นักเรียนรว่ มกันวเิ คราะห์ อภิปราย และสรุปผลการสังเกต 4. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมูลทไ่ี ด้จากใบงาน ข้นั ที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (explanation) (30 นาท)ี 1. ให้ผู้แทนนักเรียนแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลการทากิจกรรมหน้าช้ันเรียน เพ่ือเปรียบเทียบ และตรวจสอบความถูกตอ้ ง 2. ให้นกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายและแสดงความคิดเห็นหลังทากิจกรรม โดยครูถามคาถาม หลังทากิจกรรมดงั น้ี 2.1 เมื่อต่อหลอดไฟ 2 หลอดเรียงต่อกันดังภาพ ก สังเกตเห็นอะไร เหตุใดจึงเป็น เช่นนั้น (หลอดไฟสว่างทั้ง 2 หลอด ท้ังนี้เนื่องจากถ่านไฟฉายซ่ึงเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้า ทาให้เกิดประจุไฟฟ้า ไหลไปตามสายไฟผ่านหลอดไฟหลอดท่ีหน่ึงไปยังหลอดไฟหลอดที่สอง แล้วกลับมาที่ถ่านไฟฉายทาให้วงจรปิด จึงมปี ระจุไฟฟ้าไหลในวงจร) 2.2 เมื่อนาหลอดไฟหลอดหนึ่งออกจากวงจรไฟฟ้าที่ต่อหลอดไฟ 2 หลอด เรียงต่อ กันดังภาพแก สังเกตเห็นอะไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น (หลอดไฟที่เหลือจะดับ เนื่องจากวงจรเปิดทาให้ประจุ ไฟฟา้ ไมส่ ามารถไหลจนครบวงจร) 2.3 เมื่อต่อหลอดไฟฟ้า 2 หลอด ขนานกันดังภาพ ข สังเกตเห็นอะไร เหตุใดจึงเป็น เชน่ นั้น (หลอดไฟสว่างท้งั 2 หลอด ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากวงจรปดิ ทาให้ประจไุ ฟฟา้ ไหลครบวงจร) 2.4 เม่ือหลอดไฟฟ้าหลอดหนึ่งออกจากวงจรที่ต่อหลอดไฟ 2 หลอดขนานกัน ดัง ภาพ ข สังเกตเห็นอะไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น (หลอดไฟท่ีเหลือยังสว่าง เนื่องจากวงจรปิด ทาให้มีประจุไฟฟ้า ไหลในวงจร) 2.5 สรุปผลการทดลองน้ีได้อย่างไร (การต่อหลอดไฟฟ้า 2 แบบ คือ การต่อหลอดไฟ แบบเรียงต่อกันในวงจร และการต่อหลอดไฟแบบขนาน การต่อหลอดไฟแบบเรียงต่อกัน หากนาหลอดไฟบาง หลอดออกจากวงจร ห ลอดไฟ ทุ กห ลอด ใน วงจรจะดับ ห มด ส่วนการต่อห ลอด ไฟ แบ บ ขน าน หากนาหลอดไฟบางหลอดออกจากวงจร หลอดไฟท่ีเหลอื ยังคงสว่างอยไู่ ด)้ 2.6 ควรตอ่ หลอดไฟหรอื เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบา้ นแบบใด จึงสามารถเปิดปดิ วงจรได้เป็น อิสระ (แบบขนาน) 2.7 ถ้าติดสวิตช์ควบคุมการเปิดปิดไฟทุกหลอดในเวลาเดียวกัน ในการต่อหลอดไฟ แบบอนกุ รมต้องใช้สวิตช์กี่อัน (1 อนั ) จากน้ันให้นักเรียนตอบคาถามหลังทากิจกรรม และฝึกนักเรียนถามคาถามท่ีสงสัย ดว้ ยการถามเพอื่ นโดยไม่จาเปน็ ตอ้ งถามครูอยา่ งเดียว 3. ให้นักเรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมเก่ียวกับ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ แบบขนานใหไ้ ด้ประเดน็ ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ 4. ครูให้ความรู้เก่ียวกับช่ือของการต่อหลอดไฟฟ้าทั้ง 2 แบบ นักเรียนบอกคาจากัดความ ของการต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบ ผลที่เกิดขึ้น และการนาไปใช้ประโยชน์ของการตอ่ อุปกรณ์ไฟฟา้ ในบ้านแบบ อนุกรมและแบบขนาน

ข้นั ท่ี 4 ขยายความรู้ (elaboration) (20 นาท)ี 1. ให้นักเรียนตอบคาถามเพิ่มเติมดังนี้ เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะสาคัญของนักเรียนในการ แกป้ ัญหาและการใช้ทกั ษะชีวติ ดังนี้ 1.1 จากภาพ จงตอบคาถาม วงจร ก วงจร ข - ใหเ้ ขยี นลกู ศรแสดงทิศของกระแสไฟฟ้าในวงจร ก และวงจร ข ในภาพ - วงจร ก และวงจร ข มีถ่านไฟฉายอยา่ งละกีก่ ้อน (วงจร ก มี 2 ก้อน วงจร ข มี 3 กอ้ น) - วงจร ก เป็นวงจรแบบใด วงจร ข เป็นวงจรแบบใด (วงจร ก เป็นการต่อ หลอดไฟแบบอนกุ รม วงจร ข เปน็ การต่อหลอดไฟแบบขนาน) - ถ้าหลอดไฟในวงจร ก หลอดหน่ึงไฟดับ จะเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใด (หลอดไฟอกี หลอดจะดบั ด้วย เนื่องจากวงจรเปดิ ประจุไฟฟา้ ไม่สามารถไหลจนครบวงจร) - ถ้าหลอดไฟในวงจร ข หลอดหน่ึงไฟดับ จะเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใด (หลอดไฟทเี่ หลอื อีก 2 หลอดยงั สวา่ งอยู่ เนอ่ื งจากวงจรปดิ ประจไุ ฟฟ้าสามารถไหลไดค้ รบวงจร) 1.2 ให้เขียนแผนภาพเปรยี บเทียบความเหมอื นและความแตกต่างของวงจรท้ังสองนี้ วงจร ก วงจร ข (ตวั อย่างแผนภาพ) 1. วงจรปดิ วงจร ข 2. มจี านวน วงจร ก การต่อหลอด ถา่ นไฟฉาย ไฟฟา้ แบบขนาน การต่อ 1 กอ้ น หลอดไฟฟ้า 3. มจี านวน แบบอนกุ รม หลอดไฟฟ้า 3 หลอด แผนภาพ เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของวงจร ก และวงจร ข

1.3 วงจรไฟฟ้าในบา้ นของนักเรียนเป็นวงจรแบบอนกุ รมหรือแบบขนาน นกั เรียน ทราบได้อยา่ งไร (แบบขนาน เนื่องจากเมอื่ ปิดสวติ ชข์ องหลอดไฟฟ้า เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าหรือหลอดไฟฟา้ บางหลอด หรอื เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าบางครง้ั เสยี หลอดไฟที่เหลอื ยงั สวา่ ง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอ่นื ยังทางานได)้ 2. ให้นักเรยี นสรปุ ความรู้ดว้ ยตนเองเก่ยี วกบั การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ ขนาน โดยเขยี นเป็นแผนผงั ความคิดจัดทาเป็นชน้ิ งาน ให้ไดล้ กั ษณะดังน้ี การตอ่ หลอดไฟฟ้า แบบขนาน ส่วนใหญ่ การต่อวงจรไฟฟ้า มี ในบ้าน แบบอนกุ รม ตอ่ เรียงกัน ต่อขนานกัน หลอดไฟหรือเคร่ืองใช้ไฟฟ้า แผนผังความคดิ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนาน ขนั้ ที่ 5 ประเมนิ (evaluation) (10 นาที) 1. ครใู ห้นกั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อที่เรยี นมาและการปฏิบัตกิ ิจกรรม มีจดุ ใดบ้าง ทีย่ งั ไม่เขา้ ใจหรือยังมีขอ้ สงสยั ถา้ มีครชู ว่ ยอธิบายเพิ่มเติมให้นกั เรียนเข้าใจ 2. นักเรยี นรว่ มกนั ประเมนิ การปฏบิ ัติกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ ีการ แก้ไขอย่างไรบา้ ง 3. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม และการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 4. ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคาถาม เชน่ – ขอ้ ดีและข้อเสยี ของการต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานคืออะไร – อธิบายความแตกต่างของวงจรไฟฟา้ แบบอนุกรมและวงจรไฟฟ้าแบบขนาน 9. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 1. ชดุ หลอดไฟฟ้าทใี่ ช้ประดับตน้ ไม้ ตู้โชว์ 2. แผนภาพแสดงการต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม 3. ถา่ นไฟฉาย 1.5 โวลต์ ในกระบะถา่ นไฟฉาย 2 กอ้ น 4. สายไฟพรอ้ มปากจระเข้ 4 เส้น 5. หลอดไฟขนาดเล็ก 2 หลอด 6. ใบงาน เรอื่ ง การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนาน

10. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมนิ การปฏิบตั กิ ารทดลองของนกั เรยี น ตวั ชว้ี ดั 4 ระดบั คะแนน 1 32 1. การทดลอง/ ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทากจิ กรรม ตามวธิ กี ารและ ตามวธิ ีการและ ตามวธิ กี ารและ ไมถ่ ูกตอ้ งตาม ตามแผนท่ี ข้ันตอนท่ีกาหนดไว้ ขนั้ ตอนท่ีกาหนดไว้ ขน้ั ตอนท่ีกาหนดไว้ วธิ กี ารและขั้นตอน กาหนด อยา่ งถูกต้องดว้ ย ด้วยตนเอง มกี าร โดยมีครหู รอื ผูอ้ ่นื ที่กาหนดไว้ ไมม่ ี ตนเอง มีการปรับปรุง ปรับปรุง แกไ้ ขบา้ ง เป็นผู้แนะนา การปรับปรุงแก้ไข แกไ้ ขเปน็ ระยะ 2. การใช้ ใชอ้ ุปกรณ์และ/หรือ ใช้อปุ กรณ์และ/หรือ ใชอ้ ปุ กรณ์และ/หรือ ใชอ้ ุปกรณ์และ/หรือ อปุ กรณ์และ/ เคร่ืองมอื ในการ เครอ่ื งมอื ในการ เครอื่ งมอื ในการ เคร่อื งมือในการ หรอื เครอ่ื งมือ ทดลอง/ทากจิ กรรมได้ ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรม อย่างถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง โดย ไม่ถูกตอ้ ง หลักการปฏิบตั ิและ หลกั การปฏิบัติ แต่ มคี รู หรอื ผูอ้ ่นื เป็นผู้ คลอ่ งแคล่ว ไม่คล่องแคลว่ แนะนา 3. การบนั ทึก บนั ทึกผลเปน็ ระยะ บันทกึ ผลเป็นระยะ บนั ทึกผลเป็นระยะ บนั ทกึ ผลไม่ครบ ไม่ ผลการทดลอง/ อยา่ งถูกต้องมีระเบียบ อยา่ งถูกต้อง มี แตไ่ ม่เปน็ ระเบียบ มกี ารระบุหนว่ ย ทากิจกรรม มกี ารระบหุ น่วย มีการ ระเบยี บ มกี ารระบุ ไม่มีการระบหุ นว่ ย และไม่เป็นไปตาม อธิบายข้อมลู ให้เหน็ หน่วย มีการอธิบาย และไมม่ กี ารอธบิ าย การทดลอง/ทา ความเชอื่ มโยงเปน็ ข้อมูลใหเ้ หน็ ถึง ข้อมูลใหเ้ ห็นถงึ กจิ กรรม ภาพรวม เปน็ เหตุ ความสัมพนั ธเ์ ป็นไป ความสัมพันธข์ อง เปน็ ผล และเป็นไป ตามการทดลอง/ทา การทดลอง/ทา ตามการทดลอง/ทา กิจกรรม กจิ กรรม กจิ กรรม 4. การจดั กระทา จดั กระทาข้อมลู อยา่ ง จดั กระทาข้อมลู จดั กระทาข้อมลู จดั กระทาข้อมลู ขอ้ มลู เป็นระบบ มกี าร อยา่ งเปน็ ระบบ มี อย่างเปน็ ระบบ มี อยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบ และการนาเสนอ เชื่อมโยงให้เหน็ เป็น การจาแนกขอ้ มูลให้ การยกตัวอย่าง และมกี ารนาเสนอ ภาพรวม และนาเสนอ เหน็ ความสัมพันธ์ เพิม่ เติมใหเ้ ข้าใจง่าย ไม่สือ่ ความหมาย ด้วยแบบตา่ ง ๆ อยา่ ง เสนอด้วยแบบตา่ งๆ และนาเสนอด้วย และไม่ชดั เจน ชดั เจน ถกู ตอ้ ง ได้ แต่ยงั ไม่ชัดเจน แบบตา่ ง ๆ แต่ยงั ไม่ ชัดเจน และไม่ ถูกต้อง 5. การสรปุ ผล สรุปผลการทดลอง/ สรุปผลการทดลอง/ สรุปผลการทดลอง/ สรปุ ผลการทดลอง/ การทดลอง/ ทากิจกรรมได้อยา่ ง ทากิจกรรมได้ ทากิจกรรมได้ โดยมี ทากจิ กรรมตาม ทากจิ กรรม ถูกต้อง กระชับ ถูกต้อง ครหู รือผอู้ ืน่ แนะนา ความรู้ทพ่ี อมีอยู่โดย ชัดเจน และ แตย่ ังไม่ครอบคลมุ บา้ ง จงึ สามารถสรปุ ไมใ่ ชข้ ้อมูลจากการ ครอบคลุมข้อมลู จาก ข้อมลู จากการ ได้ถูกตอ้ ง ทากจิ กรรม การวิเคราะห์ท้ังหมด วิเคราะห์ทั้งหมด

เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการจดั กระทาและนาเสนอแผนผงั ความคิด ตวั ชว้ี ดั 4 ระดับคะแนน 1 32 การจัดกระทาและ จดั กระทาแผนผงั จัดกระทาแผนผัง จดั กระทาแผนผัง จดั กระทาแผนผัง นาเสนอแผนผงั ความคิดอยา่ งเป็น ความคิดอย่างเปน็ ความคดิ ได้ มีการ ความคิดอยา่ งไมเ่ ป็น ความคดิ ระบบ และนาเสนอ ระบบ มกี ารจาแนก ยกตัวอยา่ งเพมิ่ เติม ระบบ และนาเสนอ ด้วยแบบท่ชี ดั เจน ขอ้ มลู ใหเ้ ห็น และนาเสนอด้วย ไมส่ ่ือความหมาย และ ถูกต้อง ครอบคลมุ ความสัมพนั ธ์และ แบบตา่ ง ๆ แต่ยัง ไมช่ ดั เจน และมีการเชอ่ื มโยง นาเสนอด้วยแบบท่ี ไม่ครอบคลุม ใหเ้ ห็นเปน็ ภาพรวม ครอบคลุม















ชิ้นงาน เร่ือง การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม และแบบขนาน ชือ่ ..........................................................................................ช้นั ..........................เลขท่.ี ................ คาสงั่ ให้นักเรยี นสรุป การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม และแบบขนาน เป็นแผนผงั ความคิด





กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 5 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 5 เร่อื ง ไฟฟา้ วิชาวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชัว่ โมง เรอ่ื ง แม่เหล็กไฟฟ้า 1. สาระสาคญั แรงทีส่ ่งออกมาจากข้ัวแม่เหล็ก เรียกว่า แรงแม่เหล็กบริเวณที่อยู่รอบแท่งแม่เหล็กที่แม่เหล็กส่งแรงไป ถงึ เรียกวา่ สนามแมเ่ หลก็ เมื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดจะเกิดสภาพแม่เหล็กรอบ ๆ ขดลวด ถ้านาแท่งเหล็กใส่ไว้ในขดลวดจะ ทาให้แท่งเหล็กนั้นมีสภาพเป็นแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กท่ีได้ข้ึนอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าและจานวนรอบของ ขดลวดทพ่ี ันรอบแกนเหล็ก 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ สอ่ื สารส่ิงท่ีเรียนรู้และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การ แก้ปัญหา รู้วา่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กิดข้ึนส่วนใหญ่มรี ูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อม มี ความเกย่ี วข้องสมั พันธก์ ัน 3. ตัวชีว้ ดั ทดลองและอธบิ ายการเกดิ สนามแมเ่ หล็กรอบสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านและนา ว 5.1 ป.6/5 ความรูไ้ ปใช้ ต้งั คาถามเก่ียวกับประเด็น หรือเร่ือง หรอื สถานการณ์ ที่จะศึกษา ตามท่ี ว 8.1 ป.6/1 กาหนดให้และตามความสนใจ วางแผนการสังเกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรือศึกษาคน้ ควา้ และคาดการณส์ ่ิง ว 8.1 ป.6/2 ท่ีจะพบจากการสารวจตรวจสอบ เลือกอุปกรณ์ และวิธีการสารวจตรวจสอบทถี่ ูกต้องเหมาะสมใหไ้ ด้ผลที่ครอบคลุม ว 8.1 ป.6/3 และเชือ่ ถือได้ บนั ทกึ ข้อมูลในเชิงปริมาณและคุณภาพ วิเคราะห์ และตรวจสอบผลกับส่ิงท่ี ว 8.1 ป.6/4 คาดการณไ์ ว้ นาเสนอผลและขอ้ สรุป สรา้ งคาถามใหม่เพ่ือการสารวจตรวจสอบตอ่ ไป ว 8.1 ป.6/5 แสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระ อธบิ าย ลงความเหน็ และสรุปสง่ิ ทีไ่ ด้เรียนรู้ ว 8.1 ป.6/6 บันทึกและอธบิ ายผลการสารวจตรวจสอบตามความเป็นจริง เหตุผล และมี ว 8.1 ป.6/7 ประจกั ษ์พยานอา้ งอิง

ว 8.1 ป.6/8 นาเสนอ จดั แสดงผลงานโดยอธิบายดว้ ยวาจา และเขียนรายงานแสดง กระบวนการและผลของงานให้ผู้อนื่ เข้าใจ 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. ทดลองและสรปุ ผลการทดลองเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟา้ ได้ (P) 2. สงั เกตและอธิบายการทาแมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ (K) 3. บอกความสัมพนั ธ์ระหว่างความแรงของแม่เหลก็ ไฟฟา้ กับจานวนรอบและขนาดของกระแสไฟฟา้ ได้ (K) 4. เป็นคนชา่ งสังเกต ชา่ งคิดช่างสงสัย และเป็นผู้ทมี่ ีความกระตือรือรน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A) 5. คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ 6. สมรรถนะที่สาคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร  การอธบิ าย การเขยี น การพดู หนา้ ชั้นเรียน 2. ความสามารถในการคดิ  การสงั เกต การคดิ วิเคราะห์ การสร้างคาอธิบาย การสอื่ ความหมายการทากิจกรรม ทดลองโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ความสามารถในการแก้ปญั หา  การแกป้ ญั หาขณะปฏิบัตกิ จิ กรรม 4. ความสามารถในใช้ทักษะชวี ิต  กระบวนการกลมุ่ 7. สาระการเรยี นรู้ การทางานของแมเ่ หล็กไฟฟา้ - แมเ่ หล็กไฟฟา้ 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ • วิธสี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ข้นั ท่ี 1 สร้างความสนใจ (engagement) (10 นาท)ี 1. ครตู รวจสอบและทบทวนความรูเ้ พ่มิ เติมเกยี่ วกับสมบตั ิแมเ่ หล็กในเรื่อง แรงแม่เหล็ก สนามแม่เหลก็ เข็มทิศ และแรงดึงดูดและผลักกันระหวา่ งขัว้ แมเ่ หลก็ เพื่อนาเข้าส่บู ทเรยี นเรื่องความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งแรงแม่เหลก็ กบั กระแสไฟฟา้ โดยครูใชค้ าถาม (กระแสไฟฟา้ ในเส้นลวดจะมผี ลต่อแม่เหลก็ อย่างไร) 2. ครูนาภาพปัน้ จ่ันทม่ี เี คร่ืองดูดเศษเหล็กตดิ บนกระดานใหน้ กั เรียนดู แลว้ ใชค้ าถามกระตนุ้ ดงั น้ี – เพราะเหตุใดเคร่ืองมือนี้จึงดดู เศษเหล็กได้ – เมอื่ ต้องการปล่อยเศษเหล็กลงพนื้ จะต้องทาอย่างไร 3. นักเรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับคาตอบของคาถาม เพื่อเชื่อมโยง ไปสู่การเรียนรู้เรื่อง แม่เหลก็ ไฟฟา้

ข้นั ท่ี 2 สารวจและคน้ หา (exploration) (60 นาที) 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ร่วมกันศึกษาวิธีทากิจกรรม เรื่อง แม่เหล็กและไฟฟ้า ให้เข้าใจ 2. ให้นักเรียนรว่ มกันอภิปรายและแสดงความคดิ เห็นก่อนทากิจกรรม โดยครูถามคาถามก่อน ทากิจกรรม ดังนี้ 2.1 เข็มทิศ คืออะไร (แม่เหล็กแท่งเล็กท่ีจัดให้หมุนได้อย่างอิสระ จะวางตวั ในแนวเหนือ ใต้ ใชใ้ นการบอกทิศ) 2.2 บรเิ วณรอบแท่งแม่เหล็กที่แม่เหลก็ ส่งแรงไปถงึ เรยี กวา่ อะไร (สนามแม่เหลก็ ) 2.3 ขัว้ แม่เหลก็ เหมือนกนั เขา้ ใกลก้ ัน ผลจะเปน็ อย่างไร (ผลักกัน) ขว้ั แม่เหล็กต่างกันเข้าใกลก้ นั ผลจะเป็นอยา่ งไร (ดดู กัน) 2.4 ถ้านาแท่งแมเ่ หล็กเขา้ ใกล้เข็มทิศ จะเกดิ อะไรขึน้ (ดดู หรอื ผลกั กับเข็มทศิ ) 2.5 การทดลองน้ีต้องการตอบคาถามใด (กระแสไฟฟ้าในเส้นลวดกับแม่เหล็กมี ความสมั พันธก์ นั อยา่ งไร) 3. แบ่งนักเรยี นกลุม่ ละ 5–6 คนปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ทดลองแรงแม่เหลก็ ไฟฟ้ากบั จานวนรอบ ของขดลวด ตามขัน้ ตอนทางวิทยาศาสตรด์ ังนี้ ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา จานวนรอบของขดลวดสายไฟฟ้าในแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลต่อแรง แมเ่ หล็กของแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าหรอื ไม่ เพราะอะไร ขั้นที่ 2 สมมุติฐาน ถ้าเราเพิ่มจานวนรอบของขดสายไฟฟ้าจะทาให้แรงของ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มีค่าเพ่ิมขึ้น ขัน้ ที่ 3 ทดลอง –จัดเตรียมสายไฟฟ้าเส้นเล็กยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ตะปูเกลียวธรรมดา ถ่านไฟฉาย และลวดเสยี บกระดาษท่เี ปน็ เหล็ก – พันสายไฟฟ้ารอบตะปูเกลียวจานวน 10 รอบ นาปลายท้ังสองต่อเข้ากับ ถ่านไฟฉาย – นาลวดเสยี บกระดาษมาดดั เป็นรปู ตะขอ ดังรปู – ยกลวดเสียบกระดาษรูปตะขอให้ลอยสูงขึ้นด้วยหัวตะปูเกลียว นาลวดเสียบ กระดาษใส่เข้าไปในตะขอทีละตัว จนกระทั่งลวดเสียบกระดาษรูปตะขอร่วงลงสู่พื้น นับจานวนลวดเสียบ กระดาษที่ใสแ่ ล้วแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถดูดลวดเสียบกระดาษรูปตะขอลอยอย่ไู ด้ บันทึกผลท่ีเกิดข้นึ ลงในตาราง บนั ทกึ ผล – ปลดสายไฟฟ้าออกจากถ่านไฟฉายและเพิ่มจานวนรอบของขดสายไฟฟ้าเป็น 20 รอบ และ 30 รอบ ดาเนินการเชน่ เดียวกับข้อ 4 บนั ทึกผล ขน้ั ที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง

– แปลความหมายข้อมลู ท่ีได้จากตารางบนั ทึกผลการทดลอง – นาขอ้ มลู ท่ีไดม้ าพิจารณา เพื่ออธิบายว่าเป็นไปตามทน่ี ักเรียนคาดคะเนไว้หรอื ไม่ ขนั้ ท่ี 5 สรุปผลการทดลอง –นักเรยี นร่วมกนั สรุปผลการทดลอง = ขน้ั ที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (explanation) (20 นาที) 1. ให้ผู้แทนนกั เรียนแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลการทากจิ กรรมหน้าชั้นเรียน เพื่อเปรียบเทียบและ ตรวจสอบความถูกต้อง 2. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นหลังทากิจกรรม โดยครูถามคาถามหลัง ทากจิ กรรม ดงั น้ี 2.1 เม่ือวางแท่งแม่เหล็กเข้าใกล้เข็มทิศผลเป็นอย่างไร เหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน (เข็มทิศจะ หมุนแล้วจึงหยุดน่ิงโดยชี้ปลายข้างหนึ่งมายังข้ัวของแท่งแม่เหล็ก เน่ืองจากเข็มทิศซึ่งเป็นแม่เหล็กจะดูด หรอื ผลกั กบั ข้ัวของแมเ่ หล็ก) 2.2 เมอื่ วางเข็มทิศในแนวเหนือใตใ้ กล้เส้นลวดสายไฟผลเป็นอยา่ งไร เหตใุ ดจึงเป็นเช่นน้ัน (เข็มทิศวางตวั ในแนวเหนือใต้ตามปกติ เนอ่ื งจากไมม่ ีกระแสไฟฟา้ ในวงจร) 2.3 เม่ือวางเข็มทิศบนลวดสายไฟ ซึ่งวางอยู่ในแนวเหนือใต้เช่นเดียวกัน และต่อไฟฟ้า ครบวงจรมีอะไรเกิดข้ึน นักเรียนจะอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นอย่างไร (เข็มทิศจะหมุนแล้วจึงหยุดนิ่ง ในแนวเหนือใต้ เน่ืองจากเมื่อต่อไฟฟ้าครบวงจรแสดงว่ามีอานาจแ ม่เหล็กเกิดขึ้นในลวดสายไฟ จงึ ส่งแรงดดู หรือผลกั กับเขม็ ทศิ ) 2.4 เม่ือวางเข็มทิศใต้ลวดสายไฟ ซึ่งวางอยู่ในแนวเหนือใต้เช่นเดียวกัน และต่อไฟฟ้าครบ วงจรมีอะไรเกดิ ขึ้น นักเรียนจะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างไร (เข็มทิศจะหมนุ ในทศิ ทางตรงข้ามกับข้อ 2.3 แล้วจึงหยุดนิ่งในแนวเหนือใต้ ซึ่งข้ัวของเข็มทิศจะชี้ในทิศทางตรงข้ามกับข้อ 2.3 แสดงว่า มีอานาจแม่เหลก็ ทเ่ี กิดข้นึ รอบเส้นลวดทาให้เข็มทิศเบนไป) 2.5 สรุปผลการทดลองนี้ได้อย่างไร (เมื่อมีกระแสไฟฟ้าในเส้นลวดจะทาให้เกิด สนามแม่เหล็กรอบเส้นลวด เม่ือสลับปลายสายไฟที่ต่อกับถ่านไฟฉายในวงจร ทาให้ทศิ ของกระแสไฟฟ้าในเส้น ลวดเปลี่ยนไป มีผลใหส้ นามแม่เหล็กรอบขดลวดเปลี่ยนไปจึงส่งแรงดึงดูดและผลักกบั ขั้วแม่เหล็กของเข็มทศิ ทา ใหเ้ ขม็ ทิศเคลอ่ื นที)่ ) 2.6 ถ้ากระแสไฟฟ้ามีทศิ ทางตรงขา้ มเขม็ ทิศจะเป็นอยา่ งไร ให้ทดสอบสมมุตฐิ านทีต่ ้ังขึน้ (ทดสอบสมมุติฐานท่ีตั้งข้ึน ควรได้ว่าถ้ากระแสไฟฟ้ามีทิศทางตรงข้าม เข็มทิศจะเบนไปในทิศทางตรงข้ามกับ ครั้งแรก) 2.7 ให้นักเรียนใช้ความรู้เกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้า ในการอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้น ในการทาการทดลองนี้ (เม่ือต่อสายไฟครบวงจร ทาให้เกดิ สนามแม่เหล็กรอบเส้นลวด จึงส่งแรงดูดและผลักกับ เข็มทิศ ทาให้เข็มทิศเคลื่อนท่ี เมื่อสลับปลายสายไฟท่ีต่อกับถ่านไฟฉาย ทิศของกระแสไฟฟ้าจะเปล่ียนไปทาให้ ขว้ั ของสนามแมเ่ หลก็ เปลี่ยนไป จึงทาใหเ้ ขม็ ทิศเคลอื่ นทใ่ี นทิศทางตรงกนั ข้าม) 2.8 เม่ือนาปลายตะปูที่มลี วดสายไฟพนั โดยรอบแตะลวดเสียบกระดาษ ผลเป็นอย่างไร เหตุใดจงึ เปน็ เชน่ นน้ั (ไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง แสดงว่าไมม่ ีอานาจแมเ่ หล็กท่ปี ลายตะป)ู 2.9 เม่ือต่อปลายลวดสายไฟกับถ่านไฟฉายจนครบวงจร แล้วนาปลายตะปูท่ีมีลวดพัน โดยรอบแตะลวดเสยี บกระดาษ ผลเป็นอย่างไร เหตุใดจงึ เป็นเชน่ นน้ั (ลวดเสียบกระดาษถูกดูดตดิ กับ ปลายตะปู แสดงว่าตะปกู ลายเป็นแม่เหล็กจึงสง่ แรงแมเ่ หล็กไปดูดลวดเสยี บกระดาษ) 2.10 เม่ือนาลวดสายไฟออก ทาให้วงจรเปิด ผลเปน็ อยา่ งไร เหตุใดจงึ เป็นเช่นนั้น

(ลวดเสยี บกระดาษหลดุ ออกจากตะปู แสดงว่าตะปูหมดอานาจ แม่เหล็กไมส่ ่งแรงไปดดู ลวดเสยี บกระดาษ) 2.11 สรุปผลการทดลองน้ไี ด้อย่างไร (เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าในขดลวดที่พนั อยรู่ อบแท่งเหลก็ ทาให้แท่งเหล็กกลายเปน็ แม่เหล็กชว่ั คราว เมือ่ ไมม่ กี ระแสไฟฟา้ ในขดลวด แท่งเหล็กกห็ มดอานาจแมเ่ หลก็ ) 2.12 ทาอย่างไรจึงจะทาให้ตะปูมีอานาจแม่เหล็กเพ่ิมขึ้น (เพ่ิมจานวนถ่านไฟฉาย หรือเพ่ิม จานวนรอบของขดลวด) 3. นักเรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรมแต่ละกจิ กรรม ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้ (elaboration) (10 นาท)ี 1. ให้นักเรียนสรุปความรู้ด้วยตนเองเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่เหล็กกับไฟฟ้าให้ได้ ลักษณะดงั นี้ “แม่เหลก็ และไฟฟ้ามคี วามสมั พันธก์ ัน เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้าในเส้นลวด ทาให้เกิดสนามแม่เหล็กรอบ เส้นลวด” 2. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรปุ เก่ียวกบั แม่เหล็กไฟฟ้า โดยรว่ มกนั เขียนเปน็ แผนท่ีความคดิ หรอื ผงั มโนทัศน์ ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ (evaluation) (10 นาท)ี 1. ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อท่เี รียนมาและการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม มจี ดุ ใดบา้ งที่ ยงั ไมเ่ ขา้ ใจหรอื ยังมีข้อสงสัย ถา้ มคี รูชว่ ยอธบิ ายเพม่ิ เติมให้นกั เรียนเขา้ ใจ 2. นกั เรียนร่วมกันประเมนิ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุ่มว่ามปี ญั หาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ ีการ แกไ้ ขอย่างไรบา้ ง 3. ครูและนกั เรยี นร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกับประโยชน์ทไี่ ด้รับจากการปฏิบัติกจิ กรรม และการนาความรู้ท่ีได้ไปใชป้ ระโยชน์ 4. ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการให้ตอบคาถาม เช่น – แม่เหลก็ ไฟฟ้าเกิดจากสิง่ ใด – ความแรงของแม่เหล็กไฟฟ้าขนึ้ อยู่กบั สงิ่ ใด – แรงดดู ของแม่เหล็กไฟฟา้ กับคา่ ของกระแสไฟฟ้ามีความสมั พนั ธ์กนั หรอื ไม่ เพราะเหตุใด – ความหนาของฉนวนสายไฟฟ้ามผี ลต่อจานวนรอบของสายไฟฟา้ หรอื ไม่ เพราะอะไร – เมอื่ เพ่ิมจานวนถา่ นไฟฉาย ปรากฏวา่ ส่งิ ใดเพ่ิมขึ้นบ้าง – ถา้ นกั เรยี นใช้ดินสอแทนตะปู ผลทีเ่ กิดขนึ้ จะเปน็ เช่นเดียวกันหรือไม่ เพราะอะไร 9. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 1. สื่อการเรียนรู้ • แทง่ แม่เหล็ก 1 แทง่ • เขม็ ทิศ 1 อนั • ลวดสายไฟมีฉนวนหุ้มยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร • ถา่ นไฟฉาย 1 กอ้ น • ลวดเสียบกระดาษ • ใบงาน เร่อื ง แม่เหล็กไฟฟ้า 2. แหล่งการเรียนรู้ 2.1 หอ้ งเรยี น 2.2 อนิ เตอร์เน็ต

10. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการปฏบิ ตั ิการทดลองของนักเรยี น ตวั ชีว้ ัด 4 ระดับคะแนน 1 32 1. การทดลอง/ ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทากจิ กรรม ทดลอง/ทา ทากิจกรรม ตามวิธกี ารและ ตามวิธีการและ ตามวธิ ีการและ กิจกรรม ตามแผนที่ ขน้ั ตอนที่กาหนดไว้ ข้ันตอนที่กาหนดไว้ ขัน้ ตอนที่กาหนดไว้ ไมถ่ ูกตอ้ งตาม กาหนด อย่างถูกต้องด้วย ดว้ ยตนเอง มีการ โดยมีครหู รือผอู้ ืน่ เปน็ วธิ ีการและ ตนเอง มีการปรับปรงุ ปรับปรุง แกไ้ ขบา้ ง ผแู้ นะนา ขนั้ ตอนท่ีกาหนด แกไ้ ขเปน็ ระยะ ไว้ ไมม่ ีการ ปรับปรุงแก้ไข 2. การใช้ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/หรือ ใชอ้ ปุ กรณ์และ/หรือ ใช้อุปกรณ์และ/ อปุ กรณ์และ/ เคร่อื งมอื ในการ เคร่ืองมือในการ เครอ่ื งมอื ในการ หรอื เครื่องมือใน หรือเครอื่ งมือ ทดลอง/ทากจิ กรรมได้ ทดลอง/ทากิจกรรม ทดลอง/ทากิจกรรมได้ การ อย่างถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถูกต้องตาม อย่างถูกต้อง โดยมีครู ทดลอง/ทา หลกั การปฏิบัตแิ ละ หลักการปฏิบตั ิ แต่ หรอื ผู้อืน่ เป็นผู้แนะนา กิจกรรม คล่องแคล่ว ไม่คล่องแคล่ว ไมถ่ ูกตอ้ ง 3. การบนั ทึก บันทกึ ผลเปน็ ระยะ บนั ทึกผลเป็นระยะ บนั ทึกผลเปน็ ระยะ บันทึกผลไม่ครบ ผลการทดลอง/ อย่างถูกต้องมรี ะเบยี บ อย่างถูกต้อง มี แตไ่ มเ่ ป็นระเบยี บ ไม่ ไม่มีการระบุ ทากจิ กรรม มกี ารระบุหน่วย มีการ ระเบยี บ มกี ารระบุ มกี ารระบุหนว่ ยและ หน่วย และไม่ อธิบายข้อมูลให้เหน็ หนว่ ย มกี ารอธบิ าย ไม่มีการอธบิ ายขอ้ มูล เป็นไปตามการ ความเชื่อมโยงเป็น ข้อมลู ใหเ้ หน็ ถึง ให้เห็นถงึ ทดลอง/ทา ภาพรวม เปน็ เหตุ ความสัมพันธ์เป็นไป ความสัมพนั ธ์ของการ กจิ กรรม เป็นผล และเป็นไป ตามการทดลอง/ทา ทดลอง/ทากิจกรรม ตามการทดลอง/ทา กิจกรรม กิจกรรม 4. การจัดกระทา จดั กระทาข้อมลู อยา่ ง จดั กระทาข้อมลู จัดกระทาข้อมูลอยา่ ง จดั กระทาข้อมูล ขอ้ มลู เป็นระบบ มกี าร อยา่ งเปน็ ระบบ มี เปน็ ระบบ มีการ อยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบ และการนาเสนอ เชื่อมโยงให้เห็นเป็น การจาแนกข้อมูลให้ ยกตวั อยา่ งเพม่ิ เติมให้ และมกี ารนาเสนอ ภาพรวม และนาเสนอ เหน็ ความสัมพนั ธ์ เข้าใจง่ายและนาเสนอ ไมส่ ่ือความหมาย ด้วยแบบต่าง ๆ อยา่ ง เสนอดว้ ยแบบตา่ งๆ ดว้ ยแบบต่าง ๆ แตย่ ัง และไม่ชดั เจน ชดั เจน ถูกตอ้ ง ได้ แต่ยงั ไม่ชดั เจน ไม่ชัดเจน และไม่ ถกู ต้อง 5. การสรปุ ผล สรุปผลการทดลอง/ สรุปผลการทดลอง/ สรปุ ผลการทดลอง/ สรปุ ผลการ การทดลอง/ ทากจิ กรรมได้อย่าง ทากิจกรรมได้ ทากจิ กรรมได้ โดยมี ทดลอง/ ทากิจกรรม ถกู ต้อง กระชับ ถูกต้อง ครหู รอื ผอู้ ่นื แนะนา ทากจิ กรรมตาม ชดั เจน และ แตย่ งั ไม่ครอบคลุม บ้าง จึงสามารถสรปุ ความรทู้ พ่ี อมีอยู่ ครอบคลุมข้อมลู จาก ขอ้ มูลจากการ ไดถ้ ูกตอ้ ง โดยไมใ่ ช้ข้อมลู การวเิ คราะห์ทงั้ หมด วเิ คราะห์ท้ังหมด จากการทา กิจกรรม

กจิ กรรม แม่เหล็กไฟฟา้ วัสดุอุปกรณ์ 1. ลวดทองแดง 1 เส้น 2. ตะปู 1 ตวั 3. กระดาษทราย 1 แผน่ 4. กระบะถา่ นพร้อมถา่ นไฟฉาย 3 ชดุ 5. สายไฟพรอ้ มแจ็คและปากจระเข้ 1 ชุด 6. ลวดเสียบกระดาษ 1 กล่อง วิธที า 1. ให้นักเรียนนาลวดทองแดงมาพัน เขา้ กบั ตะปู ให้เรยี งกันเป็นระเบียบ รอบตะปูหลาย ๆ รอบ 2. การพันลวดทองแดงเข้ากับตะปู การต่อตะปูท่ีพนั ดว้ ยลวดทองแดง 2.ให้นักเรียนนากระดาษทรายขัดปลายท้ัง 2 ขา้ ง เขา้ กบั วงจรไฟฟ้า ของลวดทองแดง เพื่อใหฉ้ นวนทีเ่ คลือบทองแดง หลุดออก จากน้ันต่อปลายลวดทองแดงขา้ งหน่งึ เขา้ กับข้วั บวกและปลายอกี ขา้ งหนึง่ ต่อเขา้ กบั ขั้วลบของ ถา่ นไฟฉายจานวน 1 ก้อน 3. ให้นกั เรียนนาตะปูท่ีพันดว้ ยลวดทองแดง การทดสอบความสามารถของตะปู ไปใกล้ลวดเสียบกระดาษ นับจานวน ท่ีพนั ดว้ ยลวดทองแดงที่ต่อเข้ากบั ลวดเสียบกระดาษทต่ี ะปูดูดได้ บนั ทกึ ผล วงจรไฟฟ้า 4. ใหน้ ักเรยี นเพิ่มจานวนถ่านไฟฉายเปน็ 2 และ 3 กอ้ นตามลาดับ สงั เกตการเปลย่ี นแปลง บันทึกผล

บันทกึ ผลการทากิจกรรม ตาราง จานวนลวดเสยี บกระดาษทต่ี ะปพู ันด้วยลวดทองแดงสามารถดดู ได้ การทดลอง จานวนลวดเสยี บกระดาษท่ีดูดได้ (ตัว) 1. เมอื่ นาตะปูพนั ด้วยลวดทองแดงท่ีตอ่ กบั ถา่ นไฟฉาย 1 ก้อน 2. เมื่อนาตะปูพันดว้ ยลวดทองแดงที่ต่อกับ ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน 3. เมอื่ นาตะปูพันดว้ ยลวดทองแดงที่ต่อกบั ถา่ นไฟฉาย 3 ก้อน คาถามหลังทากิจกรรม 1. เพราะเหตุใดจึงต้องขัดฉนวนท่ีปลายลวดทองแดงก่อนต่อกับถา่ นไฟฉาย _____________________ __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ 2. ตะปทู ่ีพันด้วยลวดทองแดงทีต่ ่อกับถา่ นไฟฉายดูดลวดเสยี บกระดาษไดห้ รือไม่ อยา่ งไร __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ 3. ถา้ ไม่มีตะปู นักเรยี นจะเลือกใชว้ ัสดุในทอ้ งถ่ินชนดิ ใดแทนได้บา้ ง (ยกตัวอย่าง 2 ชนดิ ) __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ 4. สรุปผลการทดลองไดอ้ ย่างไร __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 เร่อื ง ไฟฟา้ เวลา 2 ช่ัวโมง เรอ่ื ง ประโยชน์ของแมเ่ หล็กไฟฟา้ 1 1. สาระสาคญั เราใช้ประโยชนแ์ ม่เหลก็ ไฟฟ้าในอุปกรณแ์ ละเคร่ืองใช้ไฟฟา้ หลายชนิด - ปัน้ จ่นั ยกเศษเหล็กเปลีย่ นรูปพลังงานไฟฟ้าเปน็ แรงแม่เหลก็ - กระดง่ิ ไฟฟา้ เปลีย่ นรปู พลังงานไฟฟา้ เป็นพลงั งานกล และจากพลังงานกลเปน็ พลังงานเสยี ง - โทรศพั ทเ์ ปล่ยี นรูปพลงั งานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ ส่อื สารส่งิ ท่ีเรียนร้แู ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การ แกป้ ัญหา รู้วา่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกดิ ขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม มี ความเกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์กัน 3. ตัวชว้ี ดั ทดลองและอธบิ ายการเกดิ สนามแมเ่ หล็กรอบสายไฟท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านและนา ว 5.1 ป.6/5 ความร้ไู ปใช้ ตงั้ คาถามเกี่ยวกับประเด็น หรือเร่ือง หรือสถานการณ์ ที่จะศึกษา ตามที่ ว 8.1 ป.6/1 กาหนดให้และตามความสนใจ วางแผนการสงั เกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรอื ศึกษาคน้ ควา้ และคาดการณส์ ่งิ ว 8.1 ป.6/2 ที่จะพบจากการสารวจตรวจสอบ เลือกอปุ กรณ์ และวธิ ีการสารวจตรวจสอบทีถ่ กู ต้องเหมาะสมให้ไดผ้ ลท่ีครอบคลุม ว 8.1 ป.6/3 และเชื่อถอื ได้ บันทกึ ขอ้ มูลในเชิงปรมิ าณและคุณภาพ วิเคราะห์ และตรวจสอบผลกับสิ่งที่ ว 8.1 ป.6/4 คาดการณไ์ ว้ นาเสนอผลและขอ้ สรุป สรา้ งคาถามใหมเ่ พ่ือการสารวจตรวจสอบต่อไป ว 8.1 ป.6/5 แสดงความคดิ เหน็ อย่างอสิ ระ อธบิ าย ลงความเห็นและสรปุ สงิ่ ที่ได้เรยี นรู้ ว 8.1 ป.6/6 บนั ทกึ และอธบิ ายผลการสารวจตรวจสอบตามความเปน็ จรงิ เหตุผล และมี ว 8.1 ป.6/7 ประจกั ษ์พยานอา้ งองิ นาเสนอ จัดแสดงผลงานโดยอธบิ ายด้วยวาจา และเขียนรายงานแสดง ว 8.1 ป.6/8

กระบวนการและผลของงานให้ผู้อ่ืนเขา้ ใจ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สบื ค้นข้อมลู เก่ียวกับประโยชนข์ องแม่เหล็กไฟฟ้าได้ (P) 2. อธิบายประโยชนข์ องแมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้ (K) 3. เป็นคนชา่ งสงั เกต ชา่ งคิดช่างสงสยั และเป็นผู้ทม่ี ีความกระตอื รือรน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A) 5. คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ 6. สมรรถนะที่สาคัญ 1. ความสามารถในการส่ือสาร  การอธบิ าย การเขียน การพูดหนา้ ชน้ั เรียน 2. ความสามารถในการคดิ  การสังเกต การคิดวเิ คราะห์ การสร้างคาอธบิ าย การสอื่ ความหมายการทากิจกรรม ทดลองโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา  การแก้ปญั หาขณะปฏิบตั ิกิจกรรม 4. ความสามารถในใชท้ กั ษะชวี ิต  กระบวนการกลุ่ม 7. สาระการเรียนรู้ การทางานของแม่เหล็กไฟฟา้ - ประโยชนข์ องแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 8. กิจกรรมการเรียนรู้ • วิธสี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ขน้ั ที่ 1 สร้างความสนใจ (engagement) (5 นาที) 1. ครูนาแผนภาพออดไฟฟ้าหรือออดไฟฟา้ ของจริงที่แสดงให้เห็นส่วนประกอบต่าง ๆ ของ วงจรไฟฟ้ามาใหน้ ักเรียนดู แล้วตั้งคาถามให้นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายดังนี้ – เมอ่ื กดสวิตช์แลว้ จะเกิดอะไรขน้ึ เพราะเหตใุ ดจงึ เป็นเชน่ นน้ั – นักเรียนคิดวา่ ออดไฟฟ้าสร้างโดยใชห้ ลกั การใด 2. นกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายคาตอบของนักเรียน โดยทค่ี รยู ังไม่เฉลยคาตอบ ขน้ั ที่ 2 สารวจและค้นหา (exploration) (55 นาที) 1. ใหน้ กั เรียนศกึ ษาการใชแ้ ม่เหล็กไฟฟ้าจากใบความร้แู ละในหนังสอื เรยี น โดยครูชว่ ยอธบิ าย ให้นกั เรยี นไดเ้ หน็ ว่าความรเู้ ร่ืองวงจรไฟฟา้ อยา่ งง่ายท่นี ักเรียนศึกษาน้ี เป็นสง่ิ ทน่ี กั เรยี นได้เรยี นรมู้ าบ้างแลว้ 2. แบ่งนกั เรยี นกลมุ่ ละ 5–6 คน สบื ค้นขอ้ มูลเกี่ยวกับการใช้แม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยดาเนินการ ตามข้นั ตอนดงั นี้

– แตล่ ะกลมุ่ วางแผนการสืบค้นขอ้ มูล โดยแบ่งหวั ข้อการใช้แม่เหล็กไฟฟ้าเปน็ หัวข้อย่อย เช่น ส่ิงประดษิ ฐ์ทีใ่ ช้หลักการของแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ การนาแมเ่ หล็กไฟฟ้าไปใช้ในชีวิตประจาวัน ใหส้ มาชิก แตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกันสืบค้นตามหัวข้อทกี่ าหนด – สมาชิกแตล่ ะลุ่มช่วยนกั สืบค้นข้อมูลตามหวั ข้อท่ีกล่มุ ของตนเองรับผิดชอบ โดยการสบื คน้ จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน และอนิ เทอร์เน็ต – สมาชิกกลุม่ นาข้อมูลท่ีสบื ค้นไดม้ ารายงานให้เพ่ือน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทงั้ ร่วมกัน อภปิ รายซักถามจนคาดวา่ สมาชิกทกุ คนมีความรู้ความเขา้ ใจที่ตรงกนั – สมาชิกกลมุ่ ชว่ ยกันสรปุ ความรู้ท่ีได้ท้ังหมดเป็นผลงานของกล่มุ ขนั้ ท่ี 3 อธบิ ายและลงข้อสรุป (explanation) (25 นาที) 1. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนกลุ่มนาเสนอข้อมลู จากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมหนา้ ชน้ั เรียน 2. นักเรยี นและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรปุ จากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม ตอ่ ไปนี้ – สิง่ ประดิษฐ์ทมี่ ีส่วนประกอบของแมเ่ หล็กไฟฟ้ามีอะไรบา้ ง – การใชแ้ ม่เหล็กไฟฟ้ามีผลดีและผลเสียอะไรบ้าง 3. นักเรยี นและครูร่วมกนั สรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ไดข้ ้อสรุปวา่ หลักการ ของแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าสามารถนามาประดิษฐ์สิง่ ของเพ่ือใช้ในชีวติ ประจาวันได้ ปน้ั จนั่ ยกเศษเหล็ก 1 แทง่ แม่เหล็กธรรมดากับแม่เหล็กไฟฟา้ ต่างกนั อย่างไร (แทง่ แมเ่ หลก็ ธรรมดาเป็น แมเ่ หล็กถาวร ส่วนแม่เหลก็ ไฟฟา้ เป็นแม่เหล็กช่ัวคราวจะมีอานาจแม่เหล็กตอ่ เม่ือมีกระแสไฟฟ้าในขดลวด เท่านน้ั ) 2. ถา้ ปดิ สวิตช์ทาให้ไม่มีกระแสไฟฟา้ ในขดลวดของป้นั จ่นั จะมีอะไรเกิดขน้ึ (ตุ้มของป้ันจ่ันที่ ทาจากแทง่ เหล็กมีขดลวดพนั อยู่จานวนมากจะหมดอานาจแม่เหล็ก ทาให้เศษเหล็กทีต่ ดิ มาหลดุ ออกจากตุ้ม) 3. ทาอย่างไรป้ันจน่ั จงึ จะสามารถยกเศษเหล็กได้มากข้ึน (เพ่ิมพลงั งานไฟฟ้าในเส้นลวด เพมิ่ จานวนรอบของขดลวด) 4. ถ้าต้องการเพิ่มแรงของแม่เหลก็ เพ่อื ใหส้ ามารถยกเศษเหล็กให้ได้มากขึน้ จะทาอย่างไร ได้บ้าง นกั เรยี นจะตรวจสอบความคดิ ของนักเรยี นว่าถูกตอ้ งหรือไม่ได้อยา่ งไร(เพม่ิ กระแสไฟฟ้าในวงจร หรอื เพม่ิ จานวนรอบของขดลวด ตรวจสอบความคดิ ได้โดยทดลองเพม่ิ จานวนถา่ นไฟฉาย หรือเพ่ิมจานวนรอบของ ขดลวดทพ่ี นั รอบตะปู แล้วนับจานวนลวดเสียบกระดาษที่ถูกดดู กบั ปลายตะปู) กระดิง่ ไฟฟ้า 1. เม่อื กดกร่ิงใหว้ งจรปดิ อะไรทาให้แทง่ เหล็กถูกดึงเข้าไปในขดลวด(แรงแม่เหล็กท่ี เกดิ ขนึ้ รอบขดลวด) 2. เมอื่ แทง่ เหลก็ ถูกดึงเข้าไปในขดลวด เกิดอะไรข้ึน(ทาให้แทง่ เหล็กเคล่ือนที่ไปเคาะ กระดงิ่ ซึ่งทาให้วงจรเปดิ ขดลวดจึงหมดอานาจแม่เหลก็ แท่งเหลก็ จึงเคล่ือนที่กลับมาที่เดมิ ทาใหว้ งจรปิดจงึ มี กระแสไฟฟา้ ในวงจรอีกคร้ัง เป็นเชน่ นไี้ ปตลอดเวลาที่กดกร่ิง) 3. การทางานของกระดิ่งไฟฟ้ามีการเปลยี่ นรูปพลังงานอยา่ งไรบ้าง(จากพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลังงานกล และพลงั งานกลเป็นพลังงานเสียง)

โทรศัพท์ 1. เครอ่ื งโทรศัพท์มีการเปล่ียนรปู พลงั งานอยา่ งไร (พลังงานเสียงเป็นพลังงานไฟฟ้า และจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสยี ง) 2. แมเ่ หล็กไฟฟ้าในเครื่องโทรศัพท์ทางานอย่างไร(เม่ือพดู โทรศพั ท์เสยี งจะผา่ น สายโทรศัพท์ในรูปของกระแสไฟฟา้ ปริมาณของกระแสไฟฟา้ จะเปลยี่ นไปตามเสียงทเี่ ปล่ียนแปลงไป ทาให้ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ มแี รงมากขนึ้ หรือนอ้ ยลงตามการเปล่ยี นแปลงกระแสไฟฟา้ ซง่ึ แรงแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าที่เกิดข้นึ จะทา ใหแ้ ผน่ โลหะในเคร่ืองโทรศัพทส์ ่นั สะเทือนตามแรงแมเ่ หล็กไฟฟ้าท่เี ปล่ียนแปลง การสัน่ สะเทอื นของแผน่ โลหะ นี้ ทาให้เกดิ เสียงที่เราไดย้ ินเป็นเสียงพดู ออกมา) 4. ใหน้ ักเรียนสรุปความรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกบั ประโยชน์ของแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ข้นั ท่ี 4 ขยายความรู้ (elaboration) (25 นาที) ให้นกั เรียนออกแบบรวบรวมข้อมูลเกีย่ วกับประโยชนข์ องแม่เหล็กไฟฟา้ จัดทาเป็นชิน้ งาน ขั้นท่ี 5 ประเมนิ (evaluation) (10 นาที) 1. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปเกยี่ วกบั การใช้แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า โดยรว่ มกนั เขียนเปน็ แผนท่ี ความคดิ หรือผังมโนทศั น์ 2. ครดู าเนินการทดสอบหลังเรียน โดยใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี นเพ่ือวดั วาม กา้ วหน้า/ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ของนกั เรียน 9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 1. สอ่ื การเรยี นรู้ • แผนภาพออดไฟฟ้าหรือออดไฟฟ้าของจรงิ ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟา้ • แบบทดสอบหลงั เรียน • หนังสือเรียน รายวิชาพนื้ ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 2. แหลง่ การเรียนรู้ 2.1 หอ้ งเรยี น 2.2 อินเตอร์เน็ต

10. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบประเมนิ การแสวงหาแหลง่ ข้อมูล ตัวชี้วดั 4 ระดับคะแนน 1 32 ไมม่ ีการวางแผนที่ จะคน้ คว้าขอ้ มลู 1.การวางแผน วางแผนทีจ่ ะ วางแผนท่ีจะ วางแผนทีจ่ ะ จากแหล่งเรียนรู้ อย่างเปน็ ระบบ ค้นควา้ ข้อมูล ค้นคว้าข้อมูลจาก ค้นคว้าข้อมลู จาก ค้นควา้ ข้อมลู จาก เก็บรวบรวม จากแหลง่ แหลง่ เรียนรู้ที่ แหล่งเรียนรู้ ท่ี แหล่งเรียนรู้ โดยมี ขอ้ มูลเปน็ ระยะ ขาดการประเมิน เรียนรู้ หลากหลายเช่อื ถือ หลากหลาย และ ครหู รือผอู้ ื่น เพอ่ื คดั เลือก ได้ และมีการ เหมาะสม แต่ไมม่ ี แนะนาบา้ ง เชือ่ มโยงใหเ้ ห็น การเชอื่ มโยงให้ เป็นภาพรวมแสดง เหน็ เป็นภาพรวม ให้เห็นถึง ความสมั พนั ธข์ อง วธิ กี ารทงั้ หมด 1.การเกบ็ เก็บรวบรวมข้อมลู เก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมขอ้ มูล รวบรวม ตามแผนทกี่ าหนด โดยคัดเลอื กและ/ โดยไม่มกี าร ขอ้ มลู ทกุ ประการ หรอื ประเมนิ ขอ้ มลู คัดเลอื กและ/หรือ ประเมนิ ข้อมลู 3. การจัด จดั กระทาข้อมลู จดั กระทาข้อมูล จัดกระทาข้อมลู จดั กระทาข้อมลู กระทา อย่างเป็นระบบ อย่างไมเ่ ป็นระบบ ข้อมูลและ มีการเชื่อมโยงให้ อยา่ งเปน็ ระบบ มี อย่างเป็นระบบ และนาเสนอ การนาเสนอ เหน็ เปน็ ภาพรวม ไมส่ ่ือความหมาย และนาเสนอด้วย การจาแนกขอ้ มลู ให้ มกี ารยกตวั อย่าง และไม่ชัดเจน 4. การสรปุ ผล แบบต่าง ๆ อย่าง ชัดเจน ถูกต้อง เห็นความสมั พนั ธ์ เพม่ิ เติมใหเ้ ข้าใจ สรปุ ผลโดยไม่ใช้ ข้อมูล และไม่ สรุปผลไดอ้ ย่าง นาเสนอดว้ ยแบบ งา่ ยและนาเสนอ ถูกต้อง ถูกต้อง กระชบั ชัดเจน และ ตา่ ง ๆ ได้อยา่ ง ด้วยแบบตา่ ง ๆ ครอบคลุม มี เหตผุ ลทีอ่ ้างอิง ถูกต้อง แต่ยงั ไม่ถูกต้อง จากการสบื คน้ ได้ สรุปผลได้อย่าง สรปุ ผลไดก้ ระชับ กระชบั แต่ยงั ไม่ กะทัดรัด แต่ไม่ ชดั เจนและ ชัดเจน ไมค่ รอบคลมุ ขอ้ มลู จากการวเิ คราะห์ ท้ังหมด







กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 7 ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5 เรื่อง ไฟฟ้า วชิ าวิทยาศาสตร์ เวลา 3 ช่วั โมง เรอ่ื ง ประโยชนข์ องแม่เหล็กไฟฟา้ 2 1. สาระสาคัญ สิ่งประดิษฐ์ที่ใช้หลักการของแม่เหล็กไฟฟ้า คือ มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เปล่ียนรูปจาก พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล มอเตอร์หมุนได้โดยใช้หลักการดูดและผลักของแม่เหล็ก โดยใช้สมบัติของ แม่เหล็กที่มขี ้ัวต่างกนั จะดดู กนั ขั้วเหมือนกันจะผลักกัน โครงสร้างภายในมอเตอร์แบบใช้ไฟฟ้ากระแสตรง หรือ ใชแ้ บตเตอรี่ ส่วนประกอบภายในมอเตอร์จะมีแม่เหล็กถาวร และแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อปอ้ นไฟฟา้ ให้แกม่ อเตอร์จะ เกิดสนามแม่เหล็กข้ึนท่ีทุ่น ทุ่นนี้ทาหน้าท่ีเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าดูดและผลักแม่เหล็กถาวรทาให้เกิดการหมุนของ มอเตอรไ์ ด้ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ สอ่ื สารสงิ่ ทเ่ี รยี นรแู้ ละนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้การ แก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กิดข้ึนส่วนใหญ่มรี ูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเคร่ืองมือที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้ันๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม มคี วาม เก่ียวขอ้ งสัมพนั ธ์กนั 3. ตวั ช้วี ัด ว 5.1 ป.6/5 ทดลองและอธิบายการเกิดสนามแม่เหล็กรอบสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน และนา ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ว 8.1 ป.6/2 วางแผนการสงั เกต เสนอการสารวจตรวจสอบ หรือศกึ ษาค้นควา้ และคาดการณส์ ่ิง ท่ีจะพบจากการสารวจตรวจสอบ ว 8.1 ป.6/3 เลอื กอปุ กรณ์ และวธิ กี ารสารวจตรวจสอบทีถ่ กู ตอ้ งเหมาะสมให้ได้ผลท่คี รอบคลมุ และ เชื่อถอื ได้ ว 8.1 ป.6/4 บนั ทกึ ขอ้ มูลในเชิงปริมาณและคณุ ภาพ วเิ คราะห์ และตรวจสอบผลกบั สงิ่ ท่ีคาดการณ์ ไว้ นาเสนอผลและขอ้ สรปุ ว 8.1 ป.6/8 นาเสนอ จดั แสดงผลงานโดยอธบิ ายดว้ ยวาจา และเขียนรายงาน แสดงกระบวนการ และผลของงานให้ผอู้ ืน่ เข้าใจ 4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธิบายหลักการทางานของมอเตอร์ไฟฟา้ (K) 2. ทาส่ิงประดิษฐ์โดยใช้มอเตอร์ไฟฟา้ อย่างง่ายได้ (P) 3. รบั ผิดชอบและมงุ่ มน่ั ในการทางานท่ีได้รบั มอบหมาย (A)

5. คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ 6. สมรรถนะท่ีสาคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร  การอธบิ าย การเขียน การพูดหนา้ ชัน้ เรยี น 2. ความสามารถในการคิด  การสังเกต การคิดวเิ คราะห์ การสร้างคาอธบิ าย การสอ่ื ความหมายการทากจิ กรรมทดลอง โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. ความสามารถในการแก้ปญั หา  การแกป้ ญั หาขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 4. ความสามารถในใช้ทกั ษะชีวติ  กระบวนการกลุ่ม 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. สาระการเรยี นรู้ การทางานของแมเ่ หล็กไฟฟ้า - ประโยชนข์ องแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ 8. กิจกรรมการเรียนรู้ • วิธีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5E ขนั้ ที่ 1 สร้างความสนใจ (engagement) (10 นาที) 1. ครทู บทวนความรูเ้ ดิมเกี่ยวกับแมเ่ หล็กไฟฟ้า 2. ครูตั้งประเด็นปัญหาเพื่อให้นักเรยี นเกิดความสงสัยและต้องการหาคาตอบดว้ ยกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ โดยครูใชค้ าถามดังน้ี 2.1 มอเตอร์ไฟฟ้าทางานอย่างไร (เม่ือกดสวติ ช์ใหม้ อเตอร์ทางาน ไฟฟา้ กระแสสลับ ในขดลวดทาให้ขดลวดกลายเปน็ แม่เหล็กไฟฟา้ ที่มขี ว้ั แม่เหล็กกลบั ไปมา ส่งแรงดูดและแรงผลกั กันกบั ขั้วแมเ่ หล็กถาวร ทาใหข้ ดลวดหมนุ ต่อเนื่องกัน) 2.2 มีการเปลย่ี นรปู พลงั งานอย่างไรในมอเตอร์ไฟฟ้า (พลงั งานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานกล) 3. ให้นกั เรียนตอบคาถามลงในกระดาษทคี่ รูเตรียมให้ ข้ันท่ี 2 สารวจและค้นหา (exploration) (40 นาที) 1.ใหน้ กั เรียนแบง่ กลุม่ กลุม่ ละ 5 คน แต่ละกลุม่ วางแผนการสบื คน้ ข้อมลู เกี่ยวกบั สิ่งประดษิ ฐ์ ทีใ่ ชม้ อเตอร์ไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ด้วยวสั ดุในท้องถิ่นหรือวัสดเุ หลอื ใช้ในบา้ น 2.ให้นักเรียนเขียนผังความคิดหรือผังมโนทศั น์เกยี่ วกบั สง่ิ ประดิษฐ์ที่นักเรยี นจะทาโดยมหี วั ขอ้ ดงั นี้ ช่ือสงิ่ ประดิษฐ์ ที่มา วัสดอุ ุปกรณ์ ขั้นตอนการทา การใช้งาน ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั แต่ละกล่มุ ช่วยกันสืบค้น ระดมความคดิ ตามหวั ขอ้ ทก่ี าหนด

ขน้ั ที่ 3 อธิบายและลงขอ้ สรปุ (explanation) (10 นาท)ี 1. ให้ผู้แทนนกั เรยี นแต่ละกลุ่ม นาเสนอผลการทากิจกรรมหน้าช้ันเรยี น เพื่อเปรียบเทยี บและ ตรวจสอบความถูกต้อง 2. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ หลงั ทากิจกรรม ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (elaboration) (110 นาที) ให้นกั เรียนออกแบบและประดษิ ฐ์สง่ิ ประดิษฐ์ใชม้ อเตอรไ์ ฟฟา้ อยา่ งง่ายได้ ดว้ ยวสั ดใุ นทอ้ งถ่ิน หรอื วัสดุเหลอื ใช้ในบา้ นจัดทาเป็นช้ินงาน ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ (evaluation) (10 นาที) 1. ครใู ห้ นกั เรียนนาเสนอผลงานสง่ิ ประดิษฐ์ 2. ครูและนักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ประโยชน์ที่ได้รบั จากการปฏบิ ัติกิจกรรม และการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใดและได้แก้ไข อยา่ งไรบา้ ง 9. สื่อการเรยี นรู้ 1. สอ่ื การเรยี นรู้ • หนงั สือเรยี น รายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 2. แหล่งการเรยี นรู้ 2.1 ห้องเรยี น 2.2 ห้องสมุด 2.3 อินเตอรเ์ นต็ 10. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบประเมินการจดั กระทาและนาเสนอแผนผังความคิด ตวั ช้วี ดั 4 ระดับคะแนน 1 32 การจดั กระทาและ จัดกระทาแผนผัง จดั กระทาแผนผัง จดั กระทาแผนผัง จดั กระทาแผนผัง นาเสนอแผนผัง ความคดิ อย่างเป็น ความคดิ อย่างเป็น ความคดิ ได้ มีการ ความคิดอยา่ งไม่เปน็ ความคดิ ระบบ และนาเสนอ ระบบ มกี ารจาแนก ยกตวั อย่างเพ่ิมเติม ระบบ และนาเสนอ ดว้ ยแบบท่ชี ัดเจน ข้อมลู ให้เห็น และนาเสนอดว้ ย ไมส่ อ่ื ความหมาย และ ถกู ต้อง ครอบคลมุ ความสมั พนั ธ์และ แบบต่าง ๆ แตย่ งั ไม่ชัดเจน และมีการเชือ่ มโยง นาเสนอด้วยแบบท่ี ไมค่ รอบคลุม ใหเ้ หน็ เปน็ ภาพรวม ครอบคลุม

เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบประเมินผลงานการออกแบบสิง่ ประดิษฐ์ดว้ ยวัสดุในท้องถ่นิ หรือวัสดเุ หลือใช้ในบ้าน ตัวชว้ี ัด 4 ระดับคะแนน 2 1 3 1. การวางแผนใน วางแผนในการ วางแผนทจี่ ะออก วางแผนที่จะออกแบบ วางแผนท่จี ะ การออกแบบ ออกแบบอย่างคิด แบบอยา่ งคดิ รเิ ร่มิ และ อย่างเหมาะสม แต่ไม่ ออกแบบตาม สรา้ งสรรค์เหมาะสม มี เหมาะสม มีความ มีความคิดสรา้ งสรรค์ แบบอยา่ ง โดยไมม่ ี ความละเอยี ดและมี ละเอยี ดแต่ไม่มกี าร ไม่มีความละเอยี ด และ ความคดิ สร้างสรรค์ การเช่ือมโยงให้เห็นเป็น เชือ่ มโยงใหเ้ หน็ เป็น ไม่มีการเชื่อมโยงให้เห็น หรอื ออกแบบตามที่ ภาพรวม แสดงให้เหน็ ภาพรวม และไม่แสดงให้ เป็นภาพรวม ครแู นะนา ถึงความสัมพันธ์ของ เหน็ ถึงความสมั พันธ์ของ วธิ กี ารทง้ั หมด วิธีการ 2. การเลอื กใช้วัสดุ เลือกใช้วัสดใุ นท้องถ่ิน เลือกใชว้ ัสดุในท้องถิ่นได้ เลอื กใช้วัสดใุ นท้องถ่ิน ไม่ใชว้ ัสดุในท้องถนิ่ ในท้องถ่ิน/วัสดุ ได้อย่างสรา้ งสรรค์ด้วย อยา่ งคดิ รเิ ร่ิม ราคาถกู ไดร้ าคาถกู และ แต่ใช้วัสดทุ ่ีมีราคา เหลอื ใช้ ตนเอง ราคาถูก และ และสามารถใชง้ านได้ สามารถใช้งานได้ แพง สามารถใช้งานไดอ้ ยา่ ง ทนทาน 3. การประดษิ ฐ์ ประดษิ ฐ์ตามแผนที่ ประดิษฐ์ตามแผนที่ออก ประดษิ ฐต์ ามแผนที่ ประดษิ ฐข์ า้ ม ตามแผนที่ ออกแบบอย่างเปน็ แบบอย่างเป็นขน้ั ตอน ออกแบบอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนและไม่มีการ ออกแบบ ข้ันตอน ดว้ ยความ ดว้ ยความคล่องแคล่ว มี ข้ันตอน แต่มกี ารแก้ไข ปรับปรุง คลอ่ งแคล่ว มกี าร การปรบั ปรุงบ้าง ปรบั ปรุงเป็นระยะบ้าง ปรับปรงุ เป็นระยะ ๆ 4. การนาเสนอ นาเสนอสงิ่ ประดิษฐ์ นาเสนอสิ่งประดิษฐ์โดย นาเสนอสงิ่ ประดิษฐ์ได้ นาเสนอส่งิ ประดิษฐ์ สิ่งประดษิ ฐ์ โดยนาไปใชไ้ ด้จริง นาไปใชไ้ ด้จริง ถกู ต้อง แต่ไมช่ ดั เจน ต้องมีการ ทีไ่ มส่ ามารถนาไปใช้ ถกู ต้องนา่ สนใจ และ นา่ สนใจ และชัดเจน แต่ ยกตัวอยา่ งเพิ่มเติม ได้ไม่สอ่ื ความหมาย ชัดเจนมกี ารเชอื่ มโยง ไมม่ ีการเช่ือมโยงให้เห็น ใหเ้ ข้าใจงา่ ย ไม่ชัดเจน ให้เห็นเปน็ ภาพรวม เป็นภาพรวม

บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้ สรปุ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นจานวน..................คน ผา่ นจดุ ประสงค์การเรยี นร้.ู .....................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรยี นรู้..................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ.................. นกั เรยี นนไ่ี มผ่ ่าน มีดงั น้ี 1....................................................... 2........................................................ 3....................................................... 4........................................................ แนวทางแก้ไขนักเรียนท่ีไมผ่ า่ นจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ....................................................................................... .......................................................... ........... ....................................................................................................................................................... ..... 2. นกั เรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจ (K) ............................................................................................................................................................ 3. นกั เรียนมคี วามร้เู กดิ ทักษะ (P) ....................................................................................... ..................................................................... 4. นกั เรยี นมีเจตคติ ค่านยิ ม คุณธรรมจริยธรรม (A) ....................................................................................... .................................................................... . ปญั หา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.................................................. (.................................................) ความเห็นของหัวหนา้ สถานศึกษา/ผทู้ ี่ได้รับมอบหมาย ไดท้ าการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ของ..............................................................แล้วมคี วามเหน็ ดงั น้ี 1. เปน็ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรุง 2. การจดั กิจกรรมได้นาเอากระบวนการเรยี นรู้  เน้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั มาใช้ในการสอนได้อยา่ งเหมาะสม  ยังไมเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ ควรปรบั ปรงุ พัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี  นาไปใช้ไดจ้ รงิ  ควรปรบั ปรงุ กอ่ นนาไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ ............................................................................................................................................................................... ................................................................. ................................................................................. ............................. ลงช่ือ…………………………………….. (นางสาวกันยาภัทร ภทั รโสตถ)ิ โรงเรยี นวัดพชื นิมติ (คาสวสั ดิ์ราษฎร์บารงุ )

ภาคผนวก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook