Biology สรุปชีววิทยา ม.ปลาย Aj.Nunnapat ph. (ครโู หน่ง)
บทที่ 1 ธรรมชาติของสิง่ มีชวี ิต Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 1
วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 2
บทที่ 2 เคมีทเี่ ป็นพนื้ ฐานของสิง่ มชี ีวติ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 3
โมเลกุลของน้า สารชีวโมเลกลุ ทีเ่ ปน็ Polymer โปรตีน กบั พนั ธะเปปไทด์ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 4
กรดนิวคลอี ิก ลพิ ิด คาร์โบไฮเดรต Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 5
ปฏิกิริยาและการทา้ งานของ Enzyme Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 6
บทที่ 3 เซลล์ของสงิ่ มีชีวติ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 7
เซลลข์ องสิง่ มชี ีวติ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 8
Mitosis VS Meiosis Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 9
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 10
Meiosis Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 11
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 1 พ้ืนฐานทางชีววิทยา ธรรมชาติของส่งิ มีชวี ิตและการศึกษาชีววทิ ยา 1) คุณสมบัติขอ้ ใดของสงิ่ มชี วี ิตไมถ่ กู ต้อง 1. พารามเี ซียมมีคอนแทร็กไทลแ์ วควิ โอลไวเ้ พื่อรักษาสมดลุ ของนา้ ในเซลล์ 2. แบคทีเรยี สรา้ งสปอร์ไว้เพื่อขยายพันธุ์ 3. หนอนไหมมกี ารเปล่ียนแปลงโครงสรา้ ง ขนาด และรปู รา่ งขณะเจรญิ เติบโต 4. พืชไร่มีอายุเพียงหนงึ่ ฤดูกาลเพาะปลกู 2) ข้อใดไม่ใชเ่ กณฑ์ทน่ี กั ชีววทิ ยาใชใ้ นการกา้ หนดคณุ สมบตั ขิ องสิ่งมชี ีวิต 1. มลี กั ษณะที่จ้าเพาะ 2. มวี วิ ัฒนาการ 3. มกี ารจดั ระบบ 4. มกี ารสบื พันธุ์ 3) จากการทดลองฉีดพน่ ตน้ กลา้ ถวั่ ลนั เตาดว้ ยฮอร์โมนจบิ เบอเรลลนิ ความเข้มขน้ 10 ppm เปรยี บเทียบกับฉดี พ่น น้ากลัน่ พบว่าความยาวของต้นถวั่ ลันเตาไมม่ ีความแตกตา่ งกนั การทดลองนส้ี รุปผลได้อยา่ งไร 1. ความเขม้ ข้นของฮอรโ์ มนจิบเบอเรลลนิ ทใี่ ชไ้ มเ่ หมาะสม 2. ฮอร์โมนจิบเบอเรลลนิ ไมม่ ผี ลต่อการยืดยาวของลา้ ต้นถวั่ ลันเตา 3. การทดลองไมเ่ หมาะสมเพราะไมม่ ชี ดุ ควบคมุ เชิงบวก 4. การทดลองผิดพลาดเนื่องจากฮอร์โมนเสื่อมสภาพ 4) ขอ้ ใดเปน็ การตัง้ สมมตฐิ านทางวทิ ยาศาสตรท์ ีด่ ที ี่สุด 1. ถา้ หอยเป็นผู้ทีก่ นิ ตะกอนของซากอินทรยี ด์ งั นั้นในแหลง่ นา้ ทม่ี ีหอยอาศยั อย่มู ากยอ่ มมคี วามสะอาด มากกว่า 2. ถา้ ความช้นื ในดนิ มีผลตอ่ การเจรญิ ของพชื ดงั นนั้ พืชทไ่ี ด้รบั ความชน้ื เพยี งพอยอ่ มเจริญเติบโตได้ดกี วา่ พืช ท่อี าศยั ในดนิ ทแี่ ห้ง 3. ถ้าการมีพชื ปกคลุมดนิ มีผลต่อปริมาณแมลงในดนิ ดงั นนั้ ดนิ ที่มีพชื ปกคลมุ จะพบความหนาแนน่ ประชากร ของแมลงมากกวา่ ดินทไ่ี มม่ ีอะไรปกคลุม 4. ถา้ การใหว้ ิตามินเสริมมีผลตอ่ การพัฒนาสตปิ ัญญาดงั น้ันหนูทดลองทไี่ ด้รับวิตามนิ เสรมิ อยา่ งต่อเนอ่ื งจะมี ความฉลาดมากกวา่ หนูทีไ่ มไ่ ดร้ บั วิตามินเสริม เคมที ี่เป็นพืน้ ฐานของสง่ิ มีชวี ิต 5) ข้อใดสมั พันธก์ ัน 1. ไคตินและเซลลูโลสเปน็ โพลเี มอรข์ องกลโู คส 2. ลพิ ิดและไกลโคเจนเปน็ โพลเี มอร์ของกรดไขมนั 3. ดเี อน็ เอและอาร์เอน็ เอเป็นโพลีเมอรข์ องกรดนวิ คลีอิก 4. ฮีโมโกลบินและคอลลาเจนเป็นโพลีเมอร์ของกรดอะมิโน Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 12
6) หมูฟ่ งั กช์ นั กลมุ่ ใดทพี่ บในโปรตนี ก. ไฮดรอกซิล ข. คาร์บอกซิล ค. ซัลลไ์ ฮดริล ง. อะมิโน จ. คโี ตน 1. ก, ข, ค 2. ข, ค, ง 3. ค, ง, จ 4. ข, ง, จ 7) การทดลองใชเ้ อนไซม์อะไมเลสทเ่ี ตรยี มจากแบคทเี รียที่มคี ณุ สมบัตทิ าง pH เปน็ กลาง ยอ่ ยแปง้ ในเวลา 10 นาที จ้านวน 6 หลอด โดยแต่ละหลอดมคี วามเขม้ ข้นของกรดมากไปหานอ้ ย (10, 10-1, 10-2, 10-3, 10-4, 10-5 ตามล้าดบั ) หลังจากน้นั แบง่ สารละลายออกเป็นสองสว่ น น้าไปทดสอบแปง้ ท่เี หลอื โดยการหยดน้ายาไอโอดีน และ ทดสอบนา้ ตาลท่ีเกดิ ข้ึนโดยการเตมิ สารละลายเบเนดกิ ซแ์ ลว้ นา้ ไปตม้ จะพบผลการทดลองเปน็ อยา่ งไร 1. หลอดท่มี คี วามเขม้ ข้นของกรดมากทส่ี ดุ มสี ีของสารละลายเป็นสีอฐิ หรือสีสม้ 2. หลอดทมี่ คี วามเข้มข้นของกรดนอ้ ยท่สี ุดมีสขี องสารละลายเปน็ สนี า้ เงนิ 3. หลอดทมี่ ีความเขม้ ข้นของกรดนอ้ ยทสี่ ุดมสี ขี องสารละลายเปน็ สีอฐิ หรือสีส้ม 4. ไมม่ ีหลอดใดเกิดการเปล่ยี นแปลง 8) ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกตอ้ งเกี่ยวกับกรดนวิ คลีอกิ 1. เปน็ สารท่ใี ห้พลงั งาน 2. ท้าหนา้ ที่เกบ็ ขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรมของสิง่ มีชวี ติ 3. ท้าหนา้ ทคี่ วบคมุ การเจรญิ เติบโตและกระบวนการต่างๆ ของสง่ิ มชี วี ิต 4. มีนา้ ตาลคารบ์ อน 6 อะตอม เปน็ สว่ นประกอบ 9) จากตัวเลอื กทกี่ ้าหนดให้ ข้อใดมคี วามสัมพนั ธ์กับมอลโทสมากที่สุด ก. ไกลโคเจน ข. เดกซ์ทริน ค. ฟรกั โทส ง. มอลเทส 1. ก, ข 2. ข, ค 3. ค, ง 4. ก, ค 10) ขอ้ ใดกล่าวถึงปรมิ าณสารท่ีพบในรา่ งกายมนษุ ย์ได้ถูกตอ้ ง 1. นา้ คอื สารอินทรียท์ ี่มปี รมิ าณมากท่สี ดุ 2. แรธ่ าตุคอื สารอนินทรียท์ ีม่ ปี รมิ าณมากที่สดุ 3. ไขมนั คอื สารชีวโมเลกลุ ท่มี ีปรมิ าณนอ้ ยท่สี ดุ 4. โปรตีนคือสารชวี โมเลกุลทมี่ ีปรมิ าณมากทสี่ ุด 11) ขอ้ ใดจบั คกู่ ับหมู่ฟังก์ชนั กับสารชีวโมเลกลุ ไมถ่ กู ต้อง 1. ไฮดรอกซลิ - นา้ ตาล 2. คาร์บอกซลิ - กรดนวิ คลอี ิก 3. แอลดไี ฮด์ - นา้ ตาล 4. ซลั ฟ์ไฮดริล - โปรตนี Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 13
12) จากกราฟความสัมพนั ธ์ระหว่างอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยากับความเขม้ ข้นของสารตง้ั ตน้ เหตใุ ดเสน้ กราฟชว่ งทา้ ยจึงคงท่ี 1. มีสารยบั ยงั้ เกดิ ขึ้นในปฏิกิริยา 2. มีการใช้พลังงานกระตุ้นคงที่ 3. บรเิ วณเร่งของเอนไซมอ์ ่ิมตัวด้วยสารต้ังตน้ 4. สารต้ังต้นถูกเปลีย่ นเปน็ ผลิตภณั ฑ์หมดแล้ว 13) เมือ่ ทดลองใชเ้ อนไซมอ์ ะไมเลสยอ่ ยแปง้ ในสภาพแวดลอ้ มทีเ่ ปน็ กรดต่างๆ กนั ปรากฏผลดงั น้ี หลอดที่ ค่า pH เวลาทใี่ ช้ย่อย 1 3 15 นาที 2 6 6 นาที 3 7.5 3 นาที 4 10 ไม่เปลี่ยนแปลง การทดลองน้ีสรปุ ผลอยา่ งไร 1. เอนไซม์ยอ่ ยสารไดช้ า้ ทีส่ ุดท่คี า่ พีเอช 3 2. เอนไซมย์ ่อยสารได้ชา้ ทส่ี ดุ ค่าพีเอชประมาณ 10 3. เอนไซม์ถูกท้าลายและสลายตัวหากค่าพเี อชเกนิ 7.5 4. เอนไซม์ท้างานได้ดที ่สี ดุ ค่าพเี อชประมาณ 7.5 เซลล์ของส่ิงมีชีวติ 14) ออร์แกเนลล์ใดทีม่ ลี กั ษณะเย่ือหุ้มของโครงสร้างแบบเดียวกนั 1. ไรโบโซม และเอนโดพลาสมกิ เรติคลู ัม 2. คลอโรพลาสต์ และไลโซโซม 3. กอลจคิ อมเพลกซ์ และเอนโดพลาสมกิ เรติคลู มั 4. ไมโทคอนเดรีย และไรโบโซม 15) ออรแ์ กเนลล์ใดทีไ่ ม่มเี ยอ่ื ห้มุ และไม่พบในเซลล์พชื 1. ไรโบโซม 2. เซนทริโอล 3. ไลโซโซม 4. กอลจบิ อดี Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 14
16) ข้อใดไม่ถูกตอ้ ง 1. ภาพ ก พบในเซลลข์ องแบคทีเรยี พารามเี ซยี ม และสตั ว์ 2. ภาพ ข พบในราก ลา้ ตน้ และใบพืชดอก 3. ภาพ ค สะสมและลา้ เลยี งสารประกอบพวกโปรตีน ไขมนั และคารโ์ บไฮเดรต 4. ภาพ ง มอี งค์ประกอบทางเคมีเปน็ สารประกอบของพวกโปรตนี ไขมนั และคารโ์ บไฮเดรต 17) ออร์แกเนลล์ใดท่มี เี ยื่อหมุ้ 2 ชั้น A คลอโรพลาสต์ B ไมโทคอนเดรีย C ไลโซโซม D แอนโดพลาสมิกเรตคิ ลู มั E กอลจิคอมเพล็กซ์ 1. A, B 2. B, C 3. A, D 4. B, E 18) ข้อใดกล่าวถึงนิวคลโี อลสั ถูกตอ้ ง 1. เหน็ ไดช้ ดั ขณะท่ีมกี ารแบ่งเซลล์ 2. เหน็ ได้ชดั เจนขณะท่เี ซลล์มีการสงั เคราะหโ์ ปรตนี 3. เปน็ โครงสรา้ งทม่ี ีเยือ่ ห้มุ 1 ชั้นเหมอื นกบั ไรโบโซม 4. เปน็ โครงสร้างที่มีเยื่อห้มุ 2 ช้ันเหมือนกับไมโทคอนเดรยี 19) ข้อใดเรยี งลา้ ดบั ขนาดของไซโตสเกเลตันจากมากไปหานอ้ ยได้ถูกตอ้ ง 1. ไมโครฟลิ าเมนท์ อนิ เทอร์มีเดยี ทฟลิ าเมนต์ ไมโครทวิ บูล 2. ไมโครทวิ บลู อนิ เทอรม์ ีเดยี ทฟลิ าเมนต์ ไมโครฟลิ าเมนท์ 3. ไมโครฟิลาเมนท์ ไมโครทวิ บูล อนิ เทอรม์ ีเดียทฟิลาเมนต์ 4. ไมโครทิวบลู ไมโครฟิลาเมนท์ อนิ เทอรม์ ีเดียทฟลิ าเมนต์ 20) ขอ้ ใดเปน็ สารพนั ธกุ รรมทพ่ี บในบริเวณไซโทพลาสซึมของยคู าริโอติกเซลล์ 1. กรดไขมัน 2. กรดอะมิโน 3. กรดไรโบนิวคลีอกิ 4. กรดดีออกซีไรโบนิวคลอี กิ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 15
21) เมือ่ นา้ ตวั อกั ษร ข ไปส่องดดู ว้ ยกล้องจุลทรรศน์ และเล่ือนสไลด์ไปทางดา้ นซา้ ย ลักษณะของภาพที่เหน็ และ ทิศทางการเคลือ่ นทีข่ องอกั ษร ข ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. 2. 3. 4. 22) ข้อใดถกู ต้อง 1. กล้องจุลทรรศน์อเิ ลก็ ตรอนมกี ้าลังขยายสูงสดุ ถงึ 50,000 เทา่ 2. ภาพทเี่ กิดขึ้นกบั กลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเล็กตรอนแบบสอ่ งกราดต้องผ่านการเคลือบด้วยทองคา้ 3. ตวั อย่างที่ต้องการนา้ มาส่องดว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์อิเลก็ ตรอนแบบสอ่ งกราดต้องผา่ นการเคลอื บด้วยทองคา้ 4. เอิร์น รสุ กา และคณะ เปน็ นกั วิทยาศาสตรก์ ลมุ่ แรกทีส่ รา้ งกล้องจลุ ทรรศน์อิเล็กตรอนแบบสง่ กราด 23) ขอ้ ใดเปน็ การใช้กล้องจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สงทไ่ี ม่ถกู ต้อง 1. การปรบั ไดอะแฟรมชว่ ยทา้ ใหเ้ หน็ ภาพวตั ถไุ ด้ชดั เจนขนึ้ 2. การเปลย่ี นเลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ควรหมุนทแี่ ป้นยดึ เลนสใ์ กล้วัตถุ 3. การเปลยี่ นก้าลงั ขยาย 10X เปน็ 40X จะต้องเลอื่ นแทน่ วางวตั ถลุ งก่อน 4. การใช้เลนสว์ ตั ถุก้าลงั ขยาย 100X ต้องหยดน้ามันลงบนแผ่นกระจกปิดสไลด์ 24) กลอ้ งจุลทรรศน์ท่ใี ช้มีกา้ ลงั ขยายเปน็ 40 เท่า 100 เท่า และ 400 เทา่ เมือ่ ใช้ไม้บรรทัดใสวดั เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง กา้ ลังตา้่ ได้ 2.5 มิลลิเมตร เม่ือนา้ ไดอะตอมไปตรวจดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศนน์ ท้ี ่กี า้ ลงั ขยาย 400 เท่า พบวา่ ไดอะตอม มีความยาวประมาณ 1/5 ของเสน้ ผ่านศนู ย์กลาง ไดอะตอมเซลลน์ ม้ี คี วามยาวกม่ี ิลลเิ มตร 1. 0.05 2. 0.25 3. 0.50 4. 2.50 25) ต้องการวาดภาพขนาดขยาย 400 เท่า ของพารามเี ซยี ม ซง่ึ มคี วามยาว 250 ไมโครเมตร ภาพทวี่ าดนจี้ ะมี ความยาวกี่ cm 1. 6.25 2. 10.00 3. 16.00 4. 20.00 26) กระบวนการลา้ เลียงสารแบบใดทล่ี ้าไสเ้ ลก็ ใชใ้ นการดดู ซึมสารเขา้ สรู่ า่ งกาย 1. กรดไขมันใชว้ ิธีการแพร่ กรดอะมโิ นและกลโู คสใชว้ ิธกี ารล้าเลยี งแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ต 2. กรดไขมนั ใชว้ ธิ ีการแพร่ กรดอะมโิ นและกลโู คสใชว้ ธิ ีการแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต 3. กรดไขมนั และกรดอะมิโนใช้วธิ ีการแพรแ่ บบฟาซิลิเทต กลูโคสใชว้ ิธกี ารลา้ เลยี งแบบแอคทีฟทรานสปอรต์ 4. กรดไขมัน กรดอะมโิ น และกลโู คสใชก้ ารแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต 27) คา้ ศพั ท์ใดไมเ่ กีย่ วขอ้ งกบั กระบวนการนา้ อาหารเขา้ สเู่ ซลลแ์ ละหรอื การย่อยอาหาร 1. พโิ นไซโตซสิ 2. ฟาโกไซโตซสิ 3. เอกโซไซโตซิส 4. ไฮโดรไลซิส Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 16
28) เมือ่ น้าชนิ้ มนั ฝรงั่ ลงในสารละลายน้าตาลความเข้มขน้ ตา่ งๆ เปน็ เวลานาน 2 ชว่ั โมง แลว้ นา้ ไปชงั่ หาน้าหนกั ของ ช้นิ มันฝรง่ั กราฟข้อใดแสดงความสัมพนั ธ์ความเขม้ ขน้ ของสารละลายกบั น้าหนกั มันฝรงั่ หลงั แช่ 29) ระยะใดของการแบ่งนวิ เคลยี สทม่ี กี ารเพิม่ จ้านวนโครโมโซมจาก 2n เป็น 4n 1. โพรเฟส 2. เมทาเฟส 3. แอนาเฟส 4. เทโลเฟส 30) การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ในเมด็ เลือดขาวของคน จา้ นวนโครมาทิดทง้ั หมดในระยะเมทาเฟสจะมจี า้ นวนเท่าใด 1. 23 2. 44 3. 46 4. 92 31) ในวัฎจักรของการแบง่ เซลล์ ระยะใดท่มี กี ารสงั เคราะหด์ เี อ็นเอ 1. M 2. G1 3. S 4. G2 32) จากแผนภาพขา้ งลา่ ง ข้อใดคอื ลา้ ดับการแบง่ เซลลเ์ พ่ือสร้างเซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศเมีย (egg) 1. 1 5 6 9 10 2. 9 5 11 3 2 3. 8 5 3 7 2 4. 1 9 4 6 10 Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 17
33) เซลลท์ ี่อยูใ่ นระยะใด ท่ี 1 โครโมโซมมี 1 โครมาติด ก. เมทาเฟส ข. แอนาเฟส ค. เทโลเฟส ง. G1 อนิ เตอร์เฟส จ. G2 อินเตอร์เฟส 2. ข และ จ 1. ก และ ค 3. ข ค และ ง 4. ก ง และ จ 34) เซลล์ในขอ้ ใดที่สามารถเจรญิ เข้าสู่วฎั จักรของเซลลไ์ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง ก. เซลล์ไข่ (ovum) ข. เซลลป์ ระสาท ค. เซลล์ผิวหนัง ง. เซลล์ไขกระดกู 1. ก 2. ข 3. ก และ ข 4. ค และ ง --------------------------------- Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 18
บทที่ 4 การย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 19
Cellular Respiration Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 20
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 21
Electron transport chain and Chemiosmosis Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 22
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 23
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 24
บทที่ 5 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 25
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 26
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 27
Growth and development Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 28
บทที่ 6 การรักษาดุลยภาพในร่างกาย Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 29
Circulatory system กลไกการแขง็ ตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววทิ ยา 30
บทที่ 7 การเคลือ่ นทขี่ องสิง่ มีชวี ิต Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 31
บทที่ 8 ระบบประสาทและอวัยวะรับความร้สู ึก Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 32
Brain structure ภาพแสดงโครงสร้างของ Cerebral cortex Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 33
บทที่ 9 ระบบตอ่ มไร้ท่อ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววิทยา 34
บทที่ 10 พฤตกิ รรมของสัตว์ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 35
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 2 ชีวิตและกระบวนการดา้ รงชีวิตของสัตว์ การย่อยอาหารและการสลายสารอาหารระดบั เซลล์ 1) ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้องเกีย่ วกับซคี รีตนิ ก. กระตุน้ การหดตัวของทอ่ น้าดี ข. กระตุน้ ให้ตบั อ่อนหลง่ั อนิ ซูลนิ ค. สรา้ งมาจากล้าไสส้ ว่ นดูโอดนี มั ง. กระตนุ้ ใหก้ ระเพาะอาหารหลงั่ แกสตรนิ 1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ข และ ค 4. ข ค และ ง 2) หากต้องการจ้าลองสภาวะการย่อยในกระเพาะอาหารของคนมาไวใ้ นหลอดทดลอง ขอ้ ใดจะเกิดการยอ่ ยได้ดที สี่ ดุ 1. ใส่ pepsinogen + หมบู ด ในหลอดทดลอง 2. ใส่ pepsinogen + HCl + หมบู ด ในหลอดทดลอง 3. ใส่ pepsinogen + gastrin + NaHCO3 + หมูบด ในหลอดทดลอง 4. ใส่ pepsinogen + gastrin + HCl + ในหลอดทดลอง น้าไปตม้ นา้ เดอื ดแล้วเตมิ หมบู ด 3) ข้อใดเปน็ จรงิ เกีย่ วกับการทา้ งานของแบคทเี รียในกระเพาะอาหารของสตั วเ์ ค้ยี วเอื้อง ก. ยอ่ ยสลายเซลลูโลสไดแ้ อมโมเนยี และกลโู คส ข. สงั เคราะหก์ รดอะมโิ นจากแอมโมเนีย ค. สร้างวิตามินเคและบี 12 1. ก , ข 2. ข , ค 3. ก , ค 4. ก , ข , ค 4) ผูป้ ว่ ยมะเรง็ ตบั อ่อนจะมีผลกระทบต่อระบบใดบ้าง ก. การยอ่ ยน้าตาลแลคโตส ข. การควบคุมระดบั นา้ ตาล ค. การยอ่ ยอาหารพวกโปรตีน 1. ก , ข 2. ข , ค 3. ก , ค 4. ก , ข , ค 5) เอนไซม์อะไมเลสจะพบได้ที่ทางเดินอาหารส่วนใดของรา่ งกาย 1. ช่องปาก 2. ช่องปากและกระเพาะอาหาร 3. ชอ่ งปากและล้าไสเ้ ลก็ 4. ช่องปาก กระเพาะอาหารและล้าไส้เล็ก 6) เอนไซม์อะไมเลสย่อยอะไมโลสได้แตไ่ มส่ ามารถย่อยเซลลโู ลสได้เพราะสาเหตุใด 1. เซลลูโลสประกอบด้วยกลูโคสทต่ี อ่ กันดว้ ยพันธะไกลโคซิดิกแบบ 1-4 2. เซลลโู ลสประกอบดว้ ยกลโู คสทต่ี ่อกนั ดว้ ยพันธะไกลโคซดิ ิกแบบ 1-4 3. อะไมโลสประกอบด้วยกลูโคสท่ีตอ่ กนั ดว้ ยพนั ธะไกลโคซิดกิ แบบ 1-4 4. อะไมโลสประกอบดว้ ยกลโู คสที่ตอ่ กนั ด้วยพนั ธะไกลโคซิดกิ แบบ 1-4 Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 36
7) โรคหวั ใจขาดเลอื ดอาจมผี ลจากการรับประทานอาหารขอ้ ใดมากเกินไป 1. น้ามันจากปาลม์ 2. น้ามันจากข้าวโพด 3. นา้ มันจากถวั่ เหลือง 4. น้ามนั จากเมล็ดทานตะวนั 8) การสลายโมเลกลุ กรดไพรวู ิกใหก้ ลายเปน็ คาร์บอนไดออกไซดเ์ กดิ ข้นึ ทีส่ ่วนใดของเซลล์ กระบวนการน้ีเรยี กว่า อยา่ งไร และในกระบวนการน้จี ะไดพ้ ลงั งานรวมท้งั หมดเท่าใด 1. ไมโทคอนเดรีย, วฎั จกั รเครบส์, NADH 6 โมเลกลุ FADH2 2 โมเลกุล ATP 2 โมเลกุล 2. ไซโทซอลและไมโทคอนเดรยี , ไกลโคไลซสิ และวัฎจักรเครบส์, NADH 8 โมเลกลุ FADH2 2 โมเลกุล ATP 2 โมเลกุล 3. ไมโทคอนเดรีย, โคเอนไซม์ เอ และวัฎจกั รเครบส์, NADH 8 โมเลกุล FADH2 2 โมเลกลุ ATP 2 โมเลกลุ 4. ไมโทคอนเดรีย, ไกลโคไลซิส, FADH2 2 โมเลกุล ATP 4 โมเลกลุ 9) ข้อใดคอื ตัวรับอเิ ล็กตรอนตัวสดุ ท้ายในกระบวนการหมักของแบคทเี รยี 1. NAD+ 2. กรดไพรูวกิ 3. แอซติ ัลดไี ฮด์ 4. ขอ้ 1 และ 2 10) เมอื่ สน้ิ สุดกระบวนการไกลโคไลซิส คาร์บอนจากนา้ ตาลกลโู คสจะอย่ทู ่ีใด 1. รวมตัวกบั O2 เกดิ เปน็ CO2 2. รวมตัวกับ ADP แลว้ เกดิ เปน็ ATP 3. ถูกปลดปลอ่ ยในรปู ของ CO2 4. ถกู เปล่ยี นไปอยู่ในโมเลกลุ ของ pyruvate 11) เมื่อนา้ ยีสต์ทเี่ คยเล้ยี งในสภาพ aerobic มาเล้ยี งในสภาพ anaerobic ยีสตต์ ้องมีอตั ราการใช้กลูโคสเปลี่ยนไปอยา่ งไร เพอ่ื ทจ่ี ะให้สามารถผลติ ATP ไดเ้ ท่าเดิมเหมือนในสภาพ aerobic 1. เพิ่มข้ึน 2 เท่า 2. ลดลง 2 เท่า 3. เพ่มิ ขน้ึ 19 เท่า 4. ลดลง 19 เทา่ 12) ข้อใดถกู ตอ้ งเกย่ี วกับการสลายโมเลกุลสารอาหาร 1. ผลลัพธ์ของไกลโคลิซสิ คือ 4ATP + 2NADH + 2 pyruvic acid 2. กลีเซอรอลและกรดไขมันถูกเปลย่ี นเปน็ สารตวั กลางในวฎั จักรเครบส์ 3. ATP ถูกใช้กระบวนการไกลโคไลซสิ เท่านน้ั 4. กรดอะมิโนทกุ ชนิดถกู เปล่ียนเปน็ กรดไพรวู กิ เพือ่ เขา้ สไู่ กลโคไลซสิ 13) ในคนทไี่ ดร้ บั สารไซยาไนด์ การสลายมอลโทส 1 โมเลกุลโดยเซลล์ตบั จะไดพ้ ลงั งานที่อยู่ในรปู ATP ท้ังหมด กโ่ี มเลกลุ 1. 4 2. 8 3. 38 4. 76 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์ 14) โครงสรา้ งใดท้าหนา้ ทใี่ นทง้ั ระบบขบั ถา่ ยและระบบสบื พันธ์ุเพศชาย 1. Urethra 2. Ureter 3. Seminiferous tubule 4. Vas deferens Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 37
15) จากรปู เปน็ แผนภาพการแบง่ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุในรงั ไข่ของผ้หู ญงิ ก่อนวยั เจรญิ พนั ธุ์จะพบในเซลลใ์ ด 1. 1 2. 2 3. 3 4. 4 16) การเปน็ มะเร็งต่อมลูกหมากมผี ลต่อสเปิรม์ ในแงใ่ ด 1. หนา้ ท่ี 2. รูปรา่ ง 3. การเคลอ่ื นที่ 4. จา้ นวน 17) โครงสร้างขอ้ ใดท้าหน้าท่นี ้อยท่สี ดุ ในตวั ออ่ นของคน 1. รก 2. สายสะดือ 3. ถุงน้าคร่า้ 4. ถุงแอลแลนทอยส์ 18) ภาวะใดไมจ่ ดั เปน็ ภาวะการมีบุตรยาก 1. ในนา้ อสจุ ิขาดนา้ ตาลฟรกั โตส 2. ช่องคลอดหรือทอ่ นา้ ไข่ตีบตัน 3. การขาดฮอร์โมนโดยเฉพาะโปรเจสเตอโรน 4. จา้ นวนอสจุ มิ มี ากกวา่ 30 ลา้ นเซลล์ตอ่ ลกู บาศก์เซนตเิ มตร 19) กระบวนการเจริญของตวั อ่อนทเี่ ซลล์มกี ารเคลอ่ื นท่ี และจัดเรยี งตวั เป็นเนอ้ื เย่ือชนั้ ตา่ งๆ มชี ือ่ เรยี กวา่ อะไร 1. Blastulation 2. Cleavage 3. Gastrulation 4. Organogenesis 20) ขอ้ ใดไม่ถกู ต้องเก่ยี วกับเซลลส์ บื พันธุ์และระยะเวลาของการสร้างในมนษุ ย์วยั เจริญพนั ธุ์ 1. อสจุ สิ รา้ งไดต้ ลอดเวลา 2. เซลล์ไข่ (ovum) สร้างขึ้นทกุ เดอื น 3. โพลารบ์ อดรี ะยะทห่ี นง่ึ สรา้ งขนึ้ ทกุ เดือน 4. โอโอไซต์ระยะทสี่ องสร้างขึน้ ทุกเดอื น 21) ในรงั ไข่ของเดก็ แรกเกิด จะตรวจพบเซลล์ไขเ่ จรญิ อยู่ในระยะใด 1. Oogonium 2. Primary oocyte 3. Secondary oocyte 4. Primordial germ cell 22) ขอ้ ใดไม่ใช่การปรับตัวของเอมบริโอของสตั วท์ ่ขี ึน้ มาอาศัยอยบู่ นบก 1. มถี งุ คอเรยี นทา้ หนา้ ทแ่ี ลกเปล่ยี นแกส๊ 2. มีถงุ แอลแลนทอยส์เพ่อื เก็บสะสมกรดยูริก 3. มีถุงน้าครา้่ เพื่อป้องกนั การกระทบกระเทือน 4. เซลลไ์ ข่มปี รมิ าณไขแ่ ดงสะสมอยู่ปรมิ าณมาก Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 38
23) ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถูกต้องเก่ยี วกบั การสบื พันธ์ขุ องสตั ว์ 1. สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั บางชนดิ มีการปฏิสนธนิ อกตวั 2. สตั ว์มกี ระดกู สนั หลงั สว่ นใหญ่มอี วัยวะเพศแยกกนั อย่คู นละตัว 3. สตั ว์ไม่มกี ระดกู สนั หลงั บางชนิดมอี วัยวะเพศทง้ั สองเพศในตวั เดียวกนั 4. สตั ว์ไม่มีกระดกู สนั หลงั ไมม่ ชี นิดการสอดใส่อวัยวะเพศผเู้ ขา้ สอู่ วัยวะเพศเมยี ดุลยภาพของสิง่ มชี ีวติ 24) การแลกเปลยี่ นแก๊สของสตั วใ์ นขอ้ ใดไมต่ อ้ งอาศยั ถุงลม (alveolus) 1. กิง้ ก่า งูดิน วาฬ 2. ปลาดกุ นกเอ้ียง ดาวทะเล 3. ลูกอ๊อดกบ มา้ นา้ คางคก 4. งดู ิน ค้างคาว นกกระจอก 25) ปฏิกริ ิยา CO2 + H2O H2CO3 พบได้ทใี่ ด 1. พลาสมาในเสน้ เลือดฝอยรอบถุงลมปอด 2. พลาสมาในเสน้ เลอื ดฝอยรอบเซลล์ร่างกาย 3. เม็ดเลือดแดงในเสน้ เลอื ดฝอยรอบถุงลมปอด 4. เมด็ เลือดแดงในเส้นเลอื ดฝอยรอบเซลล์รา่ งกาย 26) เมือ่ เลือดมฤี ทธิ์เป็นกรด ข้อความใดมีผลสอดคลอ้ งกนั มากทส่ี ุด 1. จะกระตนุ้ สมองส่วนพอนสแ์ ละเมดลั ลาให้สง่ สัญญาณประสาทไปกระตนุ้ กล้ามเน้ือที่เก่ยี วข้องกับ การหายใจให้หายใจเรว็ ขนึ้ 2. จะกระตนุ้ สมองส่วนพอนสแ์ ละเมดัลลาใหส้ ่งสัญญาณประสาทไปกระต้นุ กล้ามเนอื้ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การหายใจให้หายใจชา้ ลง 3. จะกระตนุ้ สมองส่วนซีรบี รลั คอร์เทกซ์ ไฮโปทลั ลามสั และซรี ีเบลลมั ให้ส่งสญั ญาณประสาทไปกระตนุ้ กลา้ มเน้อื ทเี่ กยี่ วข้องกับการหายใจใหห้ ายใจเร็วขนึ้ 4. จะกระตนุ้ สมองส่วนซีรบี รลั คอรเ์ ทกซ์ ไฮโปทัลลามัสและซรี เี บลลมั ใหส้ ง่ สญั ญาณประสาทไปกระตนุ้ กลา้ มเนือ้ ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการหายใจให้หายใจช้าลง 27) สงิ่ ทก่ี า้ หนดให้ ข้อใดที่มีความจ้าเปน็ ตอ่ การแลกเปลยี่ นแก๊สในสตั ว์ ก. การแพร่ ข. ผนงั บาง และมีผิวเปียกขึน้ ค. เซลล์เมด็ เลือดแดง ง. ฮโี มโกลบิน 1. ก และ ข 2. ค และ ง 3. ก ข และ ค 4. ข ค และ ง 28) สัตว์ในขอ้ ใดมีการกา้ จดั ของเสียท่ีเปน็ สารประกอบไนโตรเจนชนดิ เดียวกัน 1. วาฬ ฉลาม คางคก 2. กบ จิ้งจก ไสเ้ ดือนดนิ 3. ฟองน้า หอยทาก พลานาเรีย 4. ปลานิล จงิ้ หรีด ไส้เดือนดนิ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 39
29) ข้อใดถูกเกย่ี วกบั การขบั ถ่ายทไี่ ตของคน ก. ยเู รยี จะถูกขับออกมาในปัสสาวะทง้ั หมด ข. การกรองที่โกลเมอรลู สั ลดลงในเวลากลางคนื ค. HCO3 จะถูกดดู กลบั ทที่ อ่ ขดส่วนตน้ และท่ที ่อรวม ง. การดูดกลับของ Na และ H2O เกิดไดท้ กุ สว่ นของทอ่ หนว่ ยไต 1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ข และ ง 4. ข ค และ ง 30) อวัยวะหรอื ออร์แกเนลล์ชนิดใดท่ีไมไ่ ด้ใชข้ ับของเสยี พวกสารประกอบไนโตรเจนจากร่างกาย 1. เฟลมเซลล์ 2. เนฟรเิ ดียม 3. ทอ่ มลั พิเกยี น 4. คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล 31) เม่ือเราเขา้ ห้องอบไอน้านานๆ จะไม่มปี รากฎการณใ์ ดเกดิ ขึ้น 1. ขนลุก 2. เหง่ือออก 3. ตัวร้อนกว่าปกติ 4. หน้าแดง ตวั แดง 32) คนทรี่ ับประทานยาลดความดนั ทมี่ ีคุณสมบตั เิ ปน็ กรดไดยูเรตกิ ควรได้รบั การแนะนา้ ใหร้ ับประทานผกั และผลไม้ ทก่ี ้าหนดในขอ้ ใด ก. กลว้ ย ข. แตงโม ค. ผักโขม ง. ใบชะพลู 1. ก และ ข 2. ค และ ง 3. ก และ ค 4. ข ค และ ง 33) สารทก่ี า้ หนดให้ ขอ้ ใดพบในของเหลวท่กี รองผา่ นโกลเมอรลู ัสของสัตว์เล้ยี งลูกดว้ ยนม ก. เกลือแร่ ข. ยเู รีย ค. กลูโคส ง. กรดอะมโิ น จ. โปรตีนในน้าเลอื ด 1. ค และ จ 2. ก ง และ จ 3. ก ข ค และ ง 4. ก ข ค และ จ 34) ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารปรบั ตัวสูส่ ภาวะเดมิ ของร่างกาย เม่ือ pH ของเลือดลดลง 1. อตั ราการหายใจเพมิ่ ขน้ึ 2. การขบั H+ ออกทางไตเพ่ิมข้ึน 3. ความดัน CO2 ของเลอื ดเพ่มิ ขน้ึ 4. ตัวรบั สารเคมีของเลือดแดงถูกกระตนุ้ 35) สารใดไม่จา้ เปน็ ตอ่ การแขง็ ตัวของเลอื ดในรา่ งกายของคน 1. แคลเซียม 2. วิตามนิ เค 3. ไฟบริโนเจน 4. โปแตสเซยี ม 36) อวัยวะใดทไี่ ม่เก่ยี วขอ้ งกบั ระบบหมนุ เวียนเลอื ด ระบบน้าเหลอื งและระบบภมู ิคมุ้ กัน 1. ตอ่ มทอนซลิ 2. ตอ่ มไทมสั 3. ตอ่ มไทรอยด์ 4. ไขกระดูก Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 40
37) สตั ว์ในข้อใดมรี ะบบเลือดแบบเดยี วกัน ก. ไสเ้ ดือน ข. แมลงสาบ ค. กงุ้ ง. ปลา จ. กบ 1. ก, ข, ค 2. ก, ง, จ 3. ข, ค, จ 4. ค, ง, จ 38) การตรวจเลือดในผปู้ ว่ ยเอดสจ์ ะพบเม็ดเลือดขาวชนิดใดน้อยทีส่ ุด 1. eosinophil 2. basophil 3. neutrophil 4. lymphocyte 39) ขอ้ ใดเกย่ี วกับการรกั ษาสมดุลของระดบั แคลเซียมในรา่ งกายมนษุ ย์ 1. วติ ามินดี 2. วติ ามนิ อี 3. วติ ามินซี 4. วิตามินเอ 40) สารในข้อใดมคี วามจ้าเปน็ ตอ่ สารแข็งตวั ของเลอื ด 1. แคลเซียม เฮปารนิ โปรทอมบนิ 2. เฮปารนิ โปรทอมบนิ วิตามนิ เค 3. แคลเซยี ม โปรทอมบนิ วติ ามนิ เค 4. แคลเซียม เฮปารนิ โปรทอมบิน วิตามินเค 41) เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ้ งน้าเอาทารกที่คลอดก่อนกา้ หนดไปเลี้ยงตอ่ ในตู้อบระยะหนง่ึ ก่อน ก. ระบบหายใจยังไม่ทา้ งาน ข. ระบบขับถา่ ยยงั ไมท่ า้ งาน ค. ระบบหมุนเวียนโลหติ ยังไมท่ ้างาน ง. ระบบควบคมุ อณุ หภมู ยิ ังไมท่ ้างาน 1. ก และ ค 2. ข และ ค 3. ก และ ง 4. ข ค และ ง 42) สตรที ก่ี ้าลงั ตง้ั ครรภ์ควรหลีกเล่ยี งการได้รับวัคซนี ในขอ้ ใด ก. คางทูม ข. ไทฟอยด์ ค. โปลโิ อ ง. หัดเยอรมัน จ. อหิวาตกโรค 1. ก ข และ ค 2. ก ค และ ง 3. ข ง และ จ 4. ค ง และ จ 43) การฉีดวัคซนี และการฉีดเซรุม่ เข้าส่รู ่างกายมคี วามเหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไร 1. เหมือนกนั เพราะตา่ งก็เปน็ การฉดี แอนตบิ อดเี ขา้ สูร่ ่างกายเพอื่ ตา้ นเชอื้ โรค 2. เหมือนกัน เพราะตา่ งกเ็ ป็นการกระต้นุ ให้รา่ งกายสรา้ งภูมิคมุ้ กันขนึ้ มาเพ่อื ตา้ นเชือ้ โรค 3. ตา่ งกนั เพราะวัคซีนเปน็ การฉดี แอนติเจน สว่ นซรี ัมเป็นการฉดี แอนติบอดีเขา้ ส่รู า่ งกาย 4. ตา่ งกนั เพราะวคั ซนี เปน็ การฉดี แอนตบิ อดี สว่ นซรี มั เปน็ การฉดี แอนติเจนเข้าสรู่ า่ งกาย Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วิทยา 41
การเคลื่อนทข่ี องสิง่ มชี ีวิต 44) สตั วใ์ นขอ้ ใดทอ่ี าศัยระบบการเคลอ่ื นทแ่ี บบเดียวกนั 1. ไสเ้ ดอื นดนิ วาฬ หมกึ 2. หมึก ดาวทะเล หอยกาบ 3. ไฮดรา ดอกไมท้ ะเล แมลงดานา 4. หนอนตัวกลม พลานาเรีย แมงกะพรุน 45) การทา้ งานของกล้ามเนื้อแบบแอนตาโกนิซึม พบในสตั วช์ นดิ ใดบา้ ง 1. ไสเ้ ดอื นดนิ ต๊ักแตน ไฮดรา 2. ตก๊ั แตน ไฮดรา ดอกไม้ทะเล 3. ไสเ้ ดือนดนิ ตกั๊ แตน พลานาเรยี 4. ไสเ้ ดือนดนิ ดอกไมท้ ะเล พลานาเรีย 46) ขอ้ ต่อระหว่างกระดูกขอ้ นว้ิ มือเปน็ การตอ่ แบบใด 1. แบบเดือย 2. แบบอานม้า 3. แบบสไลด์ 4. แบบบานพับ 47) ขอ้ ใดเรียงลา้ ดบั ขนาดได้ถูกตอ้ ง 1. muscle fiber > myofibril > myosin 2. muscle cell > muscle fiber > myosin 3. myofibril > muscle fiber > myosin 4. myofibril > muscle cell > myosin 48) ขอ้ ต่อกระดูกที่ใดทเ่ี คล่ือนไหวไมไ่ ด้ 1. ซโี่ ครง 2. กะโหลกศรี ษะ 3. กระดกู สันหลงั 4. กระดูกปลายแขนตอ่ กับมอื 49) ข้อความขอ้ ใดผดิ 1. เมื่อกลา้ มเนื้อไบเซพหดตวั และไตรเซพคลายตัวท้าให้แขนเหยียดออก 2. การหดตวั ของกลา้ มเนื้อเกดิ จากการเคล่อื นตวั ของแอกตนิ เขา้ หากนั ตรงกลาง 3. เซลล์ของกล้ามเน้ือหวั ใจจะมรี ูปร่างทรงกระบอก มีลาย แต่ตอนปลายของเซลลม์ กี ารแตกแขนงและ เชื่อมโยงตดิ ต่อกันกับเซลลข์ ้างเคยี ง 4. เม่อื กล้ามเนือ้ หดตวั จะเกิดแรงดงึ ใหก้ ระดูกท้ังท่อนเคลอื่ นไหวไดเ้ พราะระหว่างกล้ามเนอ้ื กบั กระดกู มเี อน็ ยึดกระดูกยดึ อย่ดู ว้ ยกนั ระบบประสาทและการตอบสนองของสิง่ มีชวี ิต 50) การด่มื เหลา้ แลว้ เสียการทรงตัว เนือ่ งจากการควบคมุ ของสมองสว่ นใด 1. cerebrum 2. cerebellum 3. medulla oblongata 4. brain stem Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชีววทิ ยา 42
51) คนท่ฉี ลาดแกไ้ ขปญั หาเก่ง จะมีเซลล์ประสาทในข้อใดมาก 52) สัตว์มกี ระดูกสันหลงั ประเภทใดทมี่ ีสมองส่วนซรี ีบรมั เจริญมากทสี่ ุด 1. นก 2. ปลา 3. สัตวเ์ ลื้อยคลาน 4. สตั วเ์ ล้ยี งลกู ด้วยนม 53) สารใดไม่จัดเปน็ neurotransmitter 1. Acetylene 2. Acetylcholine 3. Endorphin 4. Norepinephrine 54) CN VII และ CN IX จะทา้ หน้าทีร่ ว่ มกนั รบั ความรสู้ กึ ท่ีอวยั วะใด 1. หู 2. จมูก 3. ผวิ หนงั 4. ลน้ิ 55) ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง ก. ขนาดของกระแสประสาทข้ึนอยกู่ บั ความแรงของการกระตุน้ ข. ความเรว็ ของกระแสประสาทจะเพ่มิ ขึ้นเม่ือความแรงของการกระตุ้นเพ่มิ ขนึ้ ค. จ้านวนของเสน้ ใยประสาทท่ถี ูกกระตนุ้ จะเพ่ิมขน้ึ เมื่อความแรงของการกระตุ้นเพม่ิ ขนึ้ ง. ความเรว็ ของการส่งกระแสประสาทข้ึนอยู่กบั ขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลางของแอกซอน 1. ก และ ข 2. ค และ ง 3. ก ข และ ค 4. ก ข ค และ ง 56) ขอ้ ใดเปน็ เหตุการณ์ทเี่ กดิ กับเซลล์ประสาทท่มี ีศกั ย์ไฟฟ้า = +50 มิลลโิ วลต์ 1. เกดิ รีโพราไรเซซั่น (repolarization) และมี Na+ ภายในเซลล์มากกว่านอกเซลล์ 2. เกิดรโี พราไรเซซั่น (repolarization) และมี Na+ ภายนอกเซลล์มากกว่าในเซลล์ 3. เกิดดีโพราไรเซซน่ั (depolarization) และมี Na+ ภายในเซลลม์ ากกว่านอกเซลล์ 4. เกดิ ดโี พราไรเซซ่นั (depolarization) และมี Na+ ภายนอกเซลลม์ ากกวา่ ในเซลล์ 57) “การยกมอื ขึ้นไปปัดมดทไี่ ต่บนใบหน้า” มีล้าดับเหตุการณเ์ กิดขึน้ ตรงกับข้อใด ก. ผวิ หนงั ข. กลา้ มเนือ้ แขน ค. ไขสนั หลงั ง. สมอง จ. กลา้ มเน้ือมือ 2. ก ง ค จ 1. ก ค ข จ 4. ก ง ค ข จ 3. ก ข ค ง จ Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วิทยา 43
58) ข้อใดเปน็ สาเหตุใหค้ นท่ีรบั ประทานยาบา้ หรอื แอมเฟตามนี มอี าการตื่นตัวและหวั ใจเตน้ เรว็ 1. แอมเฟตามนี เข้าไปแยง่ จบั กบั ตัวรบั ไดด้ ีกวา่ สารสอ่ื ประสาท 2. แอมเฟตามีนทา้ ใหม้ ีการสร้างตัวรับท่ีจะจับกบั สารสื่อประสาทมากข้ึน 3. แอมเฟตามนี ไปยับยั้งการท้างานของเอนไซมท์ จ่ี ะสลายสารสื่อประสาท 4. แอมเฟตามีนไปกระตนุ้ ใหแ้ อกซอนปล่อยสารสอื่ ประสาทออกมามากยิง่ ขนึ้ ระบบตอ่ มไร้ทอ่ 59) ต่อมไร้ทอ่ ในข้อใดทไ่ี มไ่ ดร้ ับอิทธิพลจากต่อมใตส้ มอง 1. ไทมัส รังไข่ ตับออ่ น 2. ไพเนยี ล ตับออ่ น พาราไทรอยด์ 3. รังไข่ ไทรอยด์ ต่อมหมวกไตชนั้ นอก 4. ไพเนยี ล ไทรอยด์ ต่อมหมวกไตชัน้ ใน 60) ฮอรโ์ มนใดทีไ่ มเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การรกั ษาระดบั น้าตาล 1. Calcitonin 2. Epinephrine 3. Glucagons 4. Insulin 61) ข้อใดไม่ใชค่ วามผดิ ปกติทเ่ี กิดขน้ึ ทต่ี อ่ มไทรอยด์ 1. Simple goiter 2. Myxedema 3. Cushing’s syndrome 4. Cretinism 62) หญงิ คนหนง่ึ มปี ระจา้ เดอื นครง้ั สดุ ทา้ ยวันท่ี 25 – 28 พฤศจิกายน ถ้าตรวจระดับฮอร์โมน LH ของหญิงคนนี้ จะพบปริมาณสงู สุดในวันทเี่ ท่าไร 1. 1 - 13 ธนั วาคม 2. 6 - 8 ธนั วาคม 3. 11 - 12 ธนั วาคม 4. 21 - 23 ธนั วาคม 63) ฮอรโ์ มนชนดิ ใดทไ่ี มไ่ ด้ผลิตจากตอ่ มใตส้ มอง 1. Growth hormone 2. Gonadotrophin 3. Melatonin 4. Prolactin 64) ขณะทีห่ ญิงสาวมีการตกไข่ ระดบั การเปลยี่ นแปลงของฮอร์โมนเพศของหญงิ ในขอ้ ใดถูกตอ้ งทส่ี ดุ 1. ระดบั ฮอรโ์ มนของ FSH, LH, เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรสตา่้ ทสี่ ดุ 2. ระดับฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรสสงู ทสี่ ดุ 3. ระดบั ฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจนตา่้ ทสี่ ุด โพเจสเทอโรสเรม่ิ สูง 4. ระดบั ฮอรโ์ มนของ FSH, LH, เอสโตรเจนสงู ท่ีสุด โพรเจสเทอโรนเรมิ่ ลดต้่าลง 65) แพทย์ฉีดฮอรโ์ มนชนดิ ใดเพ่ิมใหแ้ กห่ ญิงมีครรภ์ที่มีปัญหาขณะคลอด 1. prolactin 2. progesterone 3. vasopressin 4. oxytocin 66) แมลงสาบตวั เมียสามารถปล่อยฟีโรโมนเพ่อื ดงึ ดดู ตวั ผใู้ หม้ าผสมพนั ธุ์ได้ แมลงสาบตัวผรู้ บั พโี รโมนนี้ผา่ นทางใด 1. การกิน 2. การได้ยนิ 3. การดดู ซมึ 4. การดมกลิน่ Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 44
พฤติกรรมของสัตว์ 67) พฤติกรรมใดเปน็ การตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้าภายใน 1. สมชายถึงกบั กลนื น้าลาย เมอื่ นกึ ถงึ ขา้ วหมูแดง 2. กลนิ่ เนา่ ของซากหมู ท้าให้สมชายรู้สึกคลืน่ ไส้ 3. สมหญงิ รบี เดนิ ไปซอื้ อาหาร หลงั จากทนหวิ ในหอ้ งประชมุ นานกว่า 2 ชั่วโมง 4. สมศรหี นา้ ซีด เม่ือพยาบาลแจง้ วา่ ระดบั น้าตาลในเลือดของเธอสงู กวา่ ปกติ 68) บ้านหลังหนง่ึ ตงั้ อยบู่ รเิ วณท่าอากาศยานสวุ รรณภมู ิ เจา้ ของบ้านเลี้ยงสนุ ขั ไวห้ นึ่งตวั ทุกครั้งท่เี ครอื่ งบินผา่ นบา้ น สุนัขตัวนจ้ี ะวง่ิ เขา้ ไปอยใู่ ต้โตะ๊ เมอ่ื เวลา 3 เดือนผ่านไป สนุ ัขตัวนกี้ ไ็ ม่ว่งิ หนอี ีกต่อไป เปน็ พฤติกรรมแบบใด 1. habituation 2. imprinting 3. reasoning 4. trial and error 69) ถา้ นา้ ลกู สุนขั ตวั ผู้มาเลี้ยงไวใ้ นหอ้ งทดลองตวั เดยี ว โดยไม่เคยพบสนุ ขั ตัวอืน่ เลยตัง้ แต่อายุ 3 เดอื น จนอายุ 10 ปี จงึ นา้ สนุ ัขตวั เมยี ท่พี ร้อมจะผสมพันธ์มุ าอยู่ดว้ ยกัน สนุ ขั ตัวผู้มีพฤติกรรมแบบใด 1. สามารถผสมพันธส์ุ ้าเรจ็ เน่อื งจากเปน็ สญั ชาตญาณ 2. สามารถผสมพันธุส์ ้าเร็จ เนอ่ื งจากเรียนร้ไู ดเ้ รว็ 3. ไม่สามารถผสมพันธุไ์ ด้ เน่ืองจากไมส่ ามารถเรียนรู้ได้ (ไมเ่ คยเห็นตวั อยา่ งมากอ่ น) 4. ไมส่ ามารถผสมพนั ธุไ์ ด้ เนือ่ งจากไม่สามารถเรียนรู้ได้ (อายมุ ากเกินกว่าระยะการฝงั ใจ) 70) พฤตกิ รรมแบบรีเฟล็กซต์ ่อเนอื่ งไม่พบในสัตว์ทีก่ ้าหนดให้ข้อใด ก. นก ข. โปรตสิ ต์ ค. หนอนตัวแบน ง. กระตา่ ย 1. ก 2. ข 3. ข และ ค 4. ก และ ง 71) ปลาวา่ ยน้าในลกั ษณะทีห่ ลงั ตง้ั ฉากกบั แสงอาทิตย์ และคางคกไม่ยอมกินแมลงทม่ี ีรูปร่างคล้ายผึง้ คอื พฤตกิ รรม ขอ้ ใด ตามล้าดับ 1. orientation , habituation 2. orientation , trial and error 3. conditioning , learning behavior 4. learning behavior , trial and error 72) ข้อใดไมใ่ ชพ่ ฤตกิ รรมท่ีมีมาแตก่ ้าเนดิ 1. คางคกเลอื กกินเฉพาะแมลงที่ไมม่ พี ิษ 2. ปลาแซลมอนวา่ ยทวนนา้ กลบั ไปวางไข่ในแมน่ ้า 3. นกเขาตวั ผู้และตัวเมยี ช่วยกนั สรา้ งรังกอ่ นทีต่ วั เมียจะวางไข่ 4. ปลากดั ตัวผแู้ สดงพฤตกิ รรมการตอ่ สู้ได้ดีกว่าปลากดั ตวั เมีย 73) การสือ่ สารระหวา่ งสตั ว์มกี ร่ี ูปแบบ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง 1. 4 รปู แบบ ไดแ้ ก่ การสือ่ สารดว้ ยเสียง กระแสไฟฟา้ หรือแม่เหล็กโลก การสัมผสั และสารเคมี 2. 4 รปู แบบ ได้แก่ การสื่อสารดว้ ยเสยี ง ภาพหรือท่าทาง สารเคมี และการสัมผสั 3. 5 รปู แบบ ได้แก่ การสอ่ื สารดว้ ยเสียง กลน่ิ กระแสไฟฟ้าหรอื แม่เหล็กโลก การสมั ผัส และสารเคมี 4. 5 รปู แบบ ได้แก่ การสอื่ สารดว้ ยเสียง กลิน่ ภาพหรอื ทา่ ทาง การสัมผสั และสารเคมี ----------------------------------- Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชีววิทยา 45
บทที่ 11 โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของพืชดอก Concept in Biology ; สรปุ เนอื้ หาชวี วทิ ยา 46
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 47
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 48
Concept in Biology ; สรปุ เนอ้ื หาชวี วทิ ยา 49
Search