รายงานการวิจัยในช้ันเรียน เรื่อง กำรศึกษำรำยกรณี เดก็ หญงิ วีภำวี ทองศรี นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษำปที ี่ 1/10 นายชาตรี ธัญสริ กิ ุลกติ ติ์ ครู คศ.1 โรงเรยี นศขี รภูมิพิสัย อำเภอศีขรภูมิ จงั หวัดสรุ นิ ทร์ สำนกั งำนเขตพื้นทกี่ ำรศกึ ษำมธั ยมศกึ ษำ สรุ ินทร์ เขต 33
1 บทที่ 1 บทนาํ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง ชาติ พุทธศกั ราช 2542 มาตราที่ 6 กลา วไวว าการจัดการศึกษา ตองเปนไปเพือ่ พฒั นาคนไทย ใหเ ปน มนุษยทสี่ มบรู ณ ท้ังรางกาย จติ ใจ สติปญญา ความรู คณุ ธรรม มี จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดําเนินชีวิต สามารถอยูรวมกับผูอื่นไดอยางมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ 2546:5) และมาตราที่ 28 ไดกลาวถึงหลักสูตรการศึกษา ตองมีลักษณะท่ี หลากหลาย มุง พัฒนาคุณภาพชีวิต ของแตละบคุ คล ใหเหมาะสมกับวัยตามศักยภาพ และมุงพัฒนา คนใหม ีความสมดลุ ทง้ั ดานความรู ความคิด ความสามารถ ความดงี าม และความรับผิดชอบตอสังคม (กระทรวงศึกษาธิการ. 2546 : 13) ตามนโยบายการปฏิรปู การศกึ ษา โดยมงุ เนน จะพัฒนาผูเรียนใหมี คุณลักษณะพงึ ประสงคค อื เปน คนดีคนเกง และมคี วามสขุ คนดี คือ คนทด่ี ําเนินชีวติ อยางมีคุณภาพ มีจิตใจดีงาม มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คนเกง คือ มีสมรรถภาพในการดาํ เนินชวี ิต หรือมีความพเิ ศษเฉพาะ ทาง มีความสุข คือ มีสขุ ภาพดที ้งั กายและใจ เปนคนรา เริงแจม ใส รา งกายแขง็ แรง มมี นุษยส มั พนั ธ มี ความรักตอ ทุกสรรพสิ่งมีอิสรภาพ ปลอดภยั พนจากการเปน ทาสของอบายมขุ สามารถดํารงชีวิตไดอยาง เพียงพอแกอ ตั ภาพ (คณะอนกุ รรมการปฏิรปู การเรยี นรู. 2543:12) ในสภาพความเปน จรงิ การศึกษาระดับมธั ยมขณะนี้ ไมไ ดผลตามเปาหมายทตี่ อ งการ เนื่องจาก ผเู รยี นมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนตํ่า ผลสําเร็จทางการเรียนสอนไมผาน ตองใชเวลาในการเรยี นมากกวา กําหนด หรืออกระหวางการเรียนเปนการสูญเปลาทางการศึกษาผูเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า ผูเรยี นไมพฒั นาความรคู วามสามารถและไมใชป ระโยชนเทาท่จี าํ เปน นอกจากน้ีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ยังเปนเครื่องแสดงความสําเร็จทางการศึกษาหรือลมเหลวทางการศึกษาของนักเรียนและของ ประเทศชาตอิ ีกดว ย(กอ สวัสดิพาณิชย. 2527 :35) จงึ เปนหนาที่ของครูผูส อนที่จะศึกษาคนควาหาทางแกไข ชวยเหลอื ปรับปรุงแกไข ปองกัน ปญหาทางการเรียนของนกั เรยี น เพอ่ื ใหผลสัมฤทธ์ขิ องการเรยี นสูงขนึ้ ผูศึกษาปฏิบัติหนาครูประจําชั้นประจําวชิ าของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 1/10 โรงเรียน ศีขรภูมิพิสัย อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร จากขอมูลเบื้องตนเก่ียวกับผลการเรียนของนักเรียนใน ภาคเรียนท่ี 2/2562 พบวา นักเรียนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า จากพฤติกรรมนักเรียนไมตั้งใจเรียน ไมทําการบา น ไมทบทวนบทเรียน ไมรวมกิจกรรมการเรียน ทาํ ใหนักเรียนไมเขาใจในเนื้อหาวิชาท่ี เรียน ซงึ่ เปน ผลนักเรยี นไมป ระสบผลสําเร็จทางการเรียน การชวยเหลือนกั เรยี นท่ีมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตํา่ จะตอ งศกึ ษาอยางละเอยี ด และวเิ คราะห ปจ จัยที่ทําใหนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ตํ่าสามารถทําไดหลายวิธี เชน การปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียน การศึกษารายกรณี การใหคําปรกึ ษารายบุคคล การศึกษารายกรณีเปนวิธีการผูศกึ ษามีโอกาสศึกษา
2 รายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลอยางลึกซึ้งการแกปญหาดังกลาวไดตรงจุดดังที่ กมลรัตน หลังสุวงษ (2529:3) กลาววาการศึกษารายกรณี (Case Study) คือการศกึ ษารายละเอียดตางๆทีส่ าํ คัญโดยเหมาะ สมตองศกึ ษาอยางตอ เน่อื งกันในระยะเวลาหน่งึ แลว นํารายละเอียดมาวิเคราะหตีความ เพื่อใหเขาใจถึง สาเหตุของพฤติกรรม อาจเปนปญหาหรือไมเปนปญหาก็ได เชนพัฒนาการดานตาง ๆ ความสามารถ ดา นพเิ ศษ ในรายท่ีไมเปนปญหา เปนแนวทางการปอ งกันในอนาคต (กมลรัตน หลังสวุ งษ. 2529 :3) ผูศึกษารายกรณีศึกษาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/10 โรงเรียนศีขรภูมิพิสัย ที่มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนตา่ํ ความมุง หมายของการศกึ ษาคนควา เพื่อศึกษาปญหา สาเหตุที่ทําใหนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า ของนกั เรียนเปนราย กรณี ไดนาํ วิธกี ารศึกษารายกรณี ไมใชชวยเหลือนักเรียน ใหสามารถมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีพฤติกรรมสนใจเรียนมากขึ้น ความรูที่ไดจากการศกึ ษาคนควาครั้งนี้ เปนขอมูลเบื้องตน ในการ ชวยเหลือนักเรียนที่มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนตา่ํ คนอืน่ ๆ อกี ตอไป ขอบเขตของการศกึ ษาคนควา ประชากรและกลมุ ตวั อยางทใ่ี ชในการศกึ ษาคน ควา 1. ประชากรท่ีใชในการศกึ ษาคนควา ประชากรที่ใชในการศึกษาคนควาครั้งนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/10 โรงเรยี นศขี รภมู ิพิสัย อําเภอศขี รภูมิ จังหวดั สุรินทร ที่มีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นตํา่ 2. กลมุ ตัวอยา งท่ใี ชในการศกึ ษาคนควา กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาคนควา เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1/10 โรงเรียนศีขรภูมิพิสัย มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา จํานวน 1 คน ไดมาโดยแบบเจาะจง มีคุณสมบัติ ดงั นี้ 2.1 นักเรียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นตา่ํ 2.2 มีสติปญ ญาอยูในเกณฑปรกติ 2.3 มีพฤติกรรมไมสนใจเรียน 3. ตัวแปรทีศ่ กึ ษา 3.1 ตัวแปรอิสระ ไดแก การศึกษารายกรณี 3.2 ตวั แปรตาม ไดแ ก นกั เรยี นท่มี ผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นตาํ่
3 บทที่ 2 เอกสารที่เกีย่ วขอ ง ไดศึกษาคน ควาเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ งตามลําดับดงั น้ี 1. เอกสารท่ีเก่ียวขอ งกบั การศึกษารายกรณี 1.1 ความหมายของการศกึ ษารายกรณี 1.2 จุดมุง หมายของการศกึ ษารายกรณี 1.3 ประโยชนข องการศกึ ษารายกรณี 1.4 กระบวนการในการศกึ ษารายกรณี 1.5 วิธีการทใี่ ชในการศกึ ษารายกรณี 2. เอกสารเก่ยี วของกบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 2.1 ความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 2.2 สาเหตุของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 1. เอกสารท่เี ก่ียวขอ งกับการศกึ ษารายกรณี 1.1 ความหมายของการศกึ ษารายกรณี การศึกษารายกรณี หมายถึง การศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับบุคคล อยา งลึกซึ้งวิเคราะหถึง สาเหตุทท่ี ําใหบุคคลมีพฤติกรรมเชนนัน้ หรือมีพฤติกรรมแปลกไปกวา มีสาเหตุมาจากอะไร รวมท้ังแปล ความหมายของพฤติกรรมนน้ั ๆ วา มคี วามสมั พันธกับปญ หา และการปรับปรงุ ของบคุ คลอยางไร (พนม ลิม้ อารีย. 2538:8) วัชราภรณ อภิวัชรางกูร (2535:10) กลาวา การศึกษารายกรณี หมายถึง การศึกษา เร่ืองราวของบคุ คลอยางละเอียด โดยผานกระบวนการในการศกึ ษารายกรณี เพ่ือใหผูศกึ ษาไดทราบถงึ กระบวนการของพฤติกรรมประสบการณ การเปลี่ยนแปลงอยางสมบูรณที่สุด พรอมทั้งแนวทาง ชวยเหลอื การปองกนั และการสง เสริม เพอ่ื ใหบ คุ คลที่ถกู ศกึ ษาสามารถอยูในสงั คมไดอยา งมีความสุข จากแนวคิดขางตน จึงสรุปไดวา การศึกษารายกรณี หมายถึง การศึกษาสาเหตุของ พฤติกรรมของบุคคลอยางละเอียด เพ่ือคนหาแนวทางการชวยเหลือ ปกปอง ปองกัน และสงเสริม เพือ่ ใหบ คุ คลที่ถูกศกึ ษาสามารถดาํ เนินอยใู นสงั คมอยางมีความสุข 1.2 จดุ มุง หมายของการศกึ ษารายกรณี การศกึ ษารายกรณมี จี ุดมุงหมายหลายประการดังน้ี สุภาพรรณ โคตรจรัส (2528:2-3) ไดสรุปจุดมุงหมายของการศึกษารายกรณี วามี 4 ประการคอื 1. ใชใ นการวิจัยเพ่อื ทําความเขา ใจเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย 2. ใชใ นการศกึ ษาผูที่มีปญ หาพเิ ศษ เพอ่ื การแกไ ขบําบัดรกั ษา
4 3. ใชในการศึกษา บุคคลปกติที่ไมมปี ญหาพิเศษเพื่อสง เสริมการพฒั นาการของบคุ คล อยางเตม็ ที่ 4. ใชในการฝกอบรมครู เพื่อชวยครูใหเขาใจเด็กแตละคนนําไปสูความเขาใจ พฤติกรรมของมนุษยโดยทั่วไป ชวยใหครูไดเพิ่มพูนความรูความเขา ใจในปญหาเกี่ยวกับอารมณ และ แรงจูงในของมนุษยเ ปน การอธิบายทฤษฎโี ดยใชตัวอยา งท่ีเห็นชดั เจน 1.3 ประโยชนข องการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณีเปนเทคนิคที่มีประโยชนตองานของบุคคลผูนําไปใช และบคุ คลที่ เกี่ยวของ ดังทีก่ มลรัตน หลังสุวงษ (2529:9-10) ไดแบงประโยชน ของการศึกษารายกรณีออกเปน 2 ทาง คอื 1. ประโยชนท างตรง เปนประโยชนทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ผูรบั การศึกษา คือ ทําใหผูศึกษาได เขาใจถึง ความแตกตางระหวางบุคคลมากขึน้ เขาใจสาเหตุของปญหาไดกวางขวางขณะเดียวกันก็ทํา ใหเปน ครูทรี่ จู กั ใชเหตุผลในการพจิ ารณาสิ่งตาง ๆ 2. เปนประโยชนทางออม เปนประโยชนที่เกิดขึ้น กบั ผูรับการศึกษา ไดรับการ ชว ยเหลืออยางถูกตอง ทันตอ เหตุการณ และในขณะเดียวกัน ผูรบั การศึกษาก็จะเขาใจตนเองมากขึ้น รจู กั ปอ งกนั ปญหาทจี่ ะเกดิ ขึน้ กบั ตนเอง และสามารถพฒั นาตนเองไดด ที ่ีสุด 1.4 กระบวนการในการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณี เปนวิธีการศึกษาบุคคลอยางเปนระบบและละเอียดทุกดานอยาง ตอ เนื่องกันเปนเวลานานโดยใชเทคนิคการแนะแนวหลาย ๆ อยางในการเก็บรวบรวมขอมลู รายบคุ คล โดยมีข้ันตอนในการศึกษาอยางเปนระบบเพื่อพยายามทําใหเปนวิธกี ารทางวิทยาศาสตรท่ีควรแกการ เชื่อถอื ได (กมลรัตน หลงั สวุ งษ. 2529:23) จากเอกสารขางตนดังกลาว จะเห็นวากระบวนการศึกษารายกรณีของแตละทาน สว นใหญม ี ความเห็นวา การทําการศึกษารายกรณีนั้น จําเปนตองทราบวาเพราะเหตุใด จึงเลือกศึกษา ผูถูก ศึกษารายนั้นจึงตองมีการกําหนดจุดมุงหมายของการศึกษาใหชัดเจน ในการศึกษาครั้งนี้ผูศึกษาจะใช รปู แบบของกระบวนการศกึ ษารายกรณี ตามขัน้ ตอนดังน้ี ขัน้ ที่ 1. การกําหนดปญ หา และการตัง้ สมมตฐิ าน ข้นั ท่ี 2. การรวบรวมขอมลู และวิเคราะหขอมูล ขน้ั ที่ 3 การวนิ ิจฉัย ขน้ั ท่ี 4 การชว ยเหลือ ขน้ั ที่ 5 การทํานายผล ขั้นท่ี 6 การติดตามผล ขน้ั ที่ 7 การสรุปผลและขอเสนอแนะ
5 ขน้ั ที่ 1 การกาํ หนดปญ หา และการตั้งสมมตฐิ าน การกําหนดปญหา หมายถึง การที่ผศู กึ ษารายกรณตี ัง้ จดุ มุง หมายหรือกําหนดวาจะศกึ ษาสิ่งใด ในบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจเปนปญหาหรือมิใชปญหาแตเปนความสนใจ ความสามารถพิเศษหรืออื่น 3 (กมลรัตน หลงั สุวงษ. 2529:23) การตง้ั สมมติฐาน หมายถึง การท่ีบุคคลที่ทําการศึกษารายกรณีไดคาดคะเนไววา พฤติกรรม ของผูรับการศึกษา ซงึ่ เปน ผลทเี่ กดิ ขนึ้ แลว มีสาเหตุมาจากสิง่ ใดบา ง โดยอาศัยความรูจากประสบการณ ท่ีผานมา เพื่อจะพิสูจนตอไป โดยการทดสอบหรือคน หาขอเท็จจริงดวยวิธีตา ง ๆ วาเปน ไปตามคาด หรอื ไม (กมลรตั น หลงั สวุ งษ 2529:24) การต้ังสมมติฐานควรตั้งไวหลายๆ สมมตฐิ านทัง้ นี้เพื่อเปน การปอ งกันขอผิดพลาดท่ีอาจเกิดขึน้ นอกจากนั้นการท่แี สดงพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งออกมานน้ั อาจไมไ ดมาจากสาเหตุเดียว พฤติกรรม ทแ่ี ตกตา งอาจมาจากหลายสาเหตหุ รือสาเหตเุ ดยี ว ฉะน้นั จงึ ควรตั้งสมมติฐานไวห ลายสาเหตุ ข้นั ท่ี 2 การเกบ็ รวบรวมขอมูล และวิเคราะหข อ มูล การเก็บรวมรวมขอมูล คือการเอาขอเท็จจริงหลังจากทีก่ ําหนดปญหาและตั้งสมมติฐานแลว โดยใชเครื่องมือการแนะแนว เก็บรวมรวมขอมูลกับผูที่เราศึกษา โดยรวบรวมขอมูลจากแหลงตาง ๆ เชน การสัมภาษณ แผนสังคมมิติการทบสอบทางจติ วทิ ยา และผลการทดสอบ เปนตน การวิเคราะหขอมลู คือ การตคี วามหรือแปลความหมายของขอ มูลที่ไดจากการรวบรวมขอมูล ในแตละวธิ ี เพอื่ อธิบายเหตุผลของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น การวิเคราะหขอมลู นี้อาจกระทําโดยวิธีประชุม ปรกึ ษา รวบรวมขอ มลู การรวบรวมขอ มลู เพื่อใหเ ขาใจถึงพฤตกิ รรมของบุคคลท่ไี ดรับการศกึ ษาอยา งละเอียดและตรง กบั ขอ เท็จจรงิ มากทีส่ ุด เทคนคิ ตา ง ๆ ทน่ี ิยมใชมี 9 เทคนคิ ดังนี้ (กมลรัตน หลังสุวงษ. 2529 : 29 : 30) 1. การสังเกต (Observation) 2. การบันทกึ การสงั เกต (Observation Record) 3. การสัมภาษณ (Interview) 4. การเย่ยี มบาน (Home visit) 5. อัดชีวประวัติ และบนั ทึกประจําวัน (Acitobiography and Diary) 6. สงั คมมิติ (Soeiometry) 7. แบบสอบถาม (Testing) 8. แบบทดสอบ (Testing) 1. ระเบียนสะสม (Cumulative Record) เทคนิคตา ง ๆ เหลานี้มีผูศึกษารายละเอียดใช ดงั ตอ ไปนี้ เชน 1. การเยย่ี มบาน (Home Visit)
6 การเยี่ยมบานเปนวิธีหนึ่ง ที่ใชเพื่อเก็บรวมรวมขอมูลเปนรายบุคคลและรวมมือกับบิดา มารดา หรอื ผูป กครองในการชวยเหลือผูรับการศึกษา ขอมูลควรจะไดจากการเยีย่ มบาน เชน สภาพ ทว่ั ไปของบา น สภาพแวดลอมของบา น ลักษณะทา ทีของผูปกครอง โรงเรียนและผูรับการศึกษา เปน ตน โดยทั่วไปแลวครผู เู ยี่ยมบา นจะเปนครูแนะแนวหรือครปู ระจําชั้น วัตถุประสงคของการเยี่ยมบาน 1. ตอ งการตรวจขอเท็จจริงเกี่ยวกับทางบา น 2. เพอ่ื สรา งความเขา ใจระหวา งบานกบั สถาบัน 3. เพอ่ื หาขอมูลบางประการทไี่ มสามารถไดม าดวยวิธอี ่นื ๆ 2. ระเบียบสะสม (Cumulative Record) จาํ เนยี ร ชองโชติ (2517 : 212) ไดใ หค วามหมายของระเบียบสะสมไวดงั น้ี คอื ระเบียนสะสม คอื เอกสารอยางหนงึ่ ทรี่ วบรวมขอ มูล ขอเท็จจริงและรายละเอียดตา งๆ ของ นักเรียนอยางมีแบบแผน เชน ประวัติสวนตัว ประวัติครอบครัว รายงานการเรียน รายงานการ ทดสอบ รายงานสขุ ภาพความถนดั ความสนใจ กจิ กรรมพิเศษ โครงการศึกษา และอาชีพในอนาคต บันทึกสัมภาษณ บันทึกการใหคําปรึกษา และรายงานอื่น ๆ ที่ทางโรงเรียนตองการทราบจากตัว นักเรียน ความเปนไปของนักเรียนคติตอเนื่องกันเปน เวลานาน ตั้งแตเริม่ เขาโรงเรียนจนเรยี นจบจาก โรงเรียน ชนดิ ของระเบียนสะสม ระเบียนสะสมทใี่ ชอยูปจ จุบนั จาํ แนกได 3 ลักษณะ 1. จาํ แนกตามลักษณะของการเก็บขอมลู 2. จาํ แนกตามลักษณะของแบบฟอรม ของระเบียบ 3. จําแนกตามลักษณะแบบฟอรม ระเบียบ จาํ แนกตามลักษณะของการเก็บขอ มลู ไดแก 1. แบบท่ีโรงเรียนเก็บขอมูลเอง ครูไดขอ มูลจากนักเรียนหรอื จากผูปกครอง 2. แบบนักเรียนเปน ผเู กบ็ ขอ มูล แบบนี้เปนแบบทชี่ วยใหนักเรียนรูจักตัวเองมากขึ้น แบบนี้จะตองเก็บรวบรวมไวหลายๆ แหลง เชน ตัวนักเรียนผูปกครอง เพื่อน ครูแนะแนว จากคนอ่ืน ประโยชนข องระเบยี นสะสม 1. ชวยใหเด็กไดรูจกั ตนเองอยา งถูกตองทางดา นการเรียน ความสามารถ บคุ ลิกภาพ และเด็ก คดิ ปรบั ปรงุ ตนเอง 2. ชว ยใหครไู ดรูจักนกั เรยี นแตละคนไดอยา งรวดเร็วย่ิงขน้ึ และรว มมอื กันในการแกปญ หา
7 3. เปนการประเมินผลนกั เรยี นในดานตา ง ๆ นักเรยี นคนใดมปี ญ หาจะชว ยเหลือไดท นั ที 4. เปนการทาํ ความเขาใจการพฒั นาการของนักเรยี น ขนั้ ท่ี 3 การวนิ จิ ฉัย การวินิจฉัย เปนการนําเอาผลการวิเคราะห หรือตีความขอมูลที่รวบรวมไวจากหลาย ๆ วิธีการมาเปนพื้นฐานประกอบการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยอะไรจะเปนสาเหตุของปญหา โดยนําเอา หลักเกณฑในทางทฤษฎีทางจิตวิทยามาพิจารณาตัดสินกําหนดแกปญหา แตบางครั้งการวินิจฉัยเปน เพียงการเสนอแนะความคดิ เทา นั้นเพอื่ การชวยเหลอื นันทิกา แยมสรวล (2529:34-35) กลาววา กระบวนการวินิจฉัยปญหาจะดําเนินการเปน 2 ระยะ ดงั นี้ 1. ขั้นกําหนดปญหา ปญหาเกิดขึ้นเมื่อใด ระยะการเกิดปญหานานเพียงใดมีเหตุการณอะไร เกดิ ขน้ึ ใครเกีย่ วของ เกิดขึ้นไดอยางไร 2. การคนหาสาเหตุของปญหาใหนําขอมูลที่อางอิงถึงอดีตและปจจุบันมาพิจารณา หา ความสัมพนั ธของขอมลู ในดานตา งๆ เพ่ือดวู าสาเหตุของปญหาที่เกดิ ขึ้นมลี กั ษณะอยางไร ขน้ั ท่ี 4 การชว ยเหลือ การปองกนั และการสงเสรมิ การชวยเหลอื คอื การแกปญหาดวยวิธกี ารตา ง ๆ เชน 1. การใหคําปรึกษา (Counseling) หมายถึง กระบวนการชวยเหลือผูประสบปญหาชวยให คําปรึกษา รูจักตนเอง ยอมรับตนเอง และรับรูโลกถูกตองย่ิงขึ้น จนสามารถนําไปสู การเลือกและการ ตดั สินใจอยา งฉลาดและนําไปสกู ารพัฒนาตนเองอยางเต็มที่ (จําเนียร ชวงโชติ. 2528:133) 2. สงตอใหผ ูมีประสบการณ เชน หนวยงานผูรับผิดชอบเฉพาะปญหาจติ แพทย นักจิตวิทยา โดยเฉพาะผูท ม่ี ีปญหาซับซอ น ขั้นที่ 5 การทาํ นายผล การทาํ นายผลเปนการคาดคะเนลว งหนา ผรู บั การศกึ ษาจะมีสภาพเปน อยางไรในอนาคต ดังที่ นันทกิ า แยมสรวล (2529:36) กลาววา การทาํ นายผลจะตอ งทําโดยยึดหลกั ความแตกตางระหวาง บุคคล 3 ประการคอื 1.บคุ คลแตละคนตอ งยอมรบั มลี ักษณะเฉพาะของตนเอง 2.บุคคลแตละคนยอมพฒั นาการไปตามลักษณะเฉพาะของตนเอง 3.บคุ คลแตล ะคนยอ มมกี ารเปลี่ยนแปลงเปน ของตนเอง
8 ข้ันที่ 6 การติดตามผล การติดตามผล เปนการกระทําหลังจากการใหความชวยเหลือไปแลว เพื่อประเมินผลวาการ ชว ยเหลือไดผ ลอยา งไร มีปญหาเกิดขน้ึ ใหมอีกหรอื ไม ถามปี ญ หาเกดิ ขน้ึ อีกจะไดช วยเหลอื ไดทนั ที วิธกี ารติดตามผล วธิ ีการติดตามผลสามารถทําไดห ลายวิธี 1.การนดั สัมภาษณ 2.การสงั เกตความเปล่ียนแปลง 3.การสมั ภาษณติดตามผลจากผปู กครองหรอื ครู 4.ติดตอซกั ถามขาวคราวจากจดหมาย หรือแบบสอบถาม 5.ใหผอู นื่ ไปเย่ียมแทน ขนั้ ท่ี 7 การสรุปผลและขอเสนอแนะ การสรุปผลการใหขอเสนอแนะ สามารถทําไดทั้งในขณะทําการศึกษารายกรณีและหลังจาก การศกึ ษารายกรณี โดยท่ัวไปมกั ทาํ คกู นั ไป เพอ่ื ประสทิ ธภิ าพของการศกึ ษารายกรณี ควรสรุปผลและ ใหขอ เสนอแนะไวดว ย กมลรัตน หลังสุวงษ (2529:372) กลาววาการใหขอเสนอแนะที่ดคี วรใหไวหลายๆทางอยาง นอ ย 3 ทาง คอื 1. ขอ เสนอแนะสาํ หรับผูรบั การศกึ ษารายกรณี 2. ขอเสนอแนะสาํ หรบั ผทู เ่ี กีย่ วขอ ง 3. ขอ เสนอแนะสาํ หรบั บคุ คลทีส่ นใจ 2. เอกสารทีเ่ ก่ยี วขอ งกับผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นตํา่ 2.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นตา่ํ ผลสัมฤทธิ์ หมายถึงความสําเร็จที่ไดจากการพยายาม เพื่อบรรลุเปาหมายที่ตองการ (เดโช สวนานนท. 2512:3-4) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถงึ ความสําเรจ็ ที่ไดรับจากการเรียนซึ่งประเมินจากหลาย วิธี (อจั ฉรา สุขารมณ และ อรพนิ ทร ชชู ม. 2530:3) 1. ไดจ ากการทดสอบ 2. ไดจ ากเกรดเฉลย่ี ของโรงเรยี น 2.2 สาเหตขุ องผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนต่าํ การท่บี ุคคลมรี ะดบั สติปญญาเทากนั มไิ ดหมายความวาจะมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเทากนั เมอหเรนส (Mehrens. 1973:402) กลา ววา นกั เรียนทม่ี ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นต่ํานน้ั มิไดข ้ึนอยูก ับ ความสามารถสติปญญาเพียงอยางเดยี วแตมีองคประกอบอื่น ๆ เชน วุฒิภาวะ แรงจูงใจ ทักษะการ เรยี นและทศั นคตขิ องนกั เรยี นท่ีมีตอ โรงเรยี นและวชิ าเหลา นั้น
9 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ (2530:37-33) กลาวถึงองคประกอบที่มี อทิ ธิพลตอผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นในดานโรงเรยี นมดี ว ยกนั 4 ปจ จัยคือ 1. ปจจัยเกี่ยวกันการจัดการศึกษา ไดแก สิ่งแวดลอม กิจกรรมหลักสูตรและการจัด อาคารสถานที่ 2. ปจจัยเกี่ยวกับผูบริหาร ไดแก ครูใหญ อาจารยใหญ ซึ่งเปนหัวหนาสถานศึกษา มี ความสมั พันธก ับการเรียนการสอน และการบรหิ าร 3. ปจจัยเกี่ยวกับครู ไดแกอัตราครูกับนักเรียน ความสัมพันธระหวางครูและนักเรียน ประสบการณการสอน 4. กระบวนการเรียนการสอน หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการสอน ความ พรอมการสอน จาํ นวนชวั่ โมง ความเขาใจเร่ืองของหลกั สตู ร จากสาเหตดุ ังกลาวท่ที าํ ใหผ ลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรยี นตาํ่ สรุปได ดงั น้ี 1.จากลกั ษณะสว นตัวของนกั เรียน 2.จากการจัดการศึกษาและโรงเรยี น 3.จากภูมิหลงั ของครอบครัวนกั เรียน
10 บทที่ 3 วธิ ีการดาํ เนนิ การศกึ ษาคนควา ในการศกึ ษาคนควาครั้งนีผ้ ูศึกษาไดด ําเนินตามขัน้ ตอนดังน้ี 1. กําหนดประชากรกลุมตัวอยาง 2. เคร่อื งมือทใ่ี ชในการรวบรวมขอมลู 3. วิธีการดําเนนิ การสรางเครื่องมือ 4. วธิ กี ารศกึ ษารายกรณี 5. การวเิ คราะหข อ มลู การกําหนดประชากรกลุมตวั อยาง 1. ประชากรทใี่ ชในการศกึ ษาครงั้ นี้ เปนนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 1/10 โรงเรียน ศขี รภูมิพสิ ัย อาํ เภอศีขรภูมิ จงั หวัดสุรินทร 2. กลมุ ตวั อยางทใ่ี ชในการศึกษาคน ควา ดงั นี้ เปน นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 1/10 โรงเรยี น ศขี รภูมพิ สิ ัย อําเภอศีขรภูมิ จังหวดั สรุ ินทร ปการศกึ ษา 2562 จํานวน 1 คน ซึ่งไดม าจากการ เจาะจง โดยมคี ุณสมบัตดิ งั น้ีคือ 1. มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นต่าํ 2. มสี ติปญ ญาอยูในเกณฑปรกติ 3. มีพฤติกรรมไมสนใจเรยี นและหนเี รยี น โดยวิธคี ัดเลอื กนักเรยี นในกลุมตวั อยา ง สํารวจรายชื่อนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิก์ ารเรียนตํ่า โดยคัดเลือกจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1/10 ภาคเรยี นที่ 2 ปก ารศึกษา 2562 จํานวน 1 คน เครอ่ื งมือในการศกึ ษาคน ควา 1. แบบบันทึกการเยี่ยมบาน 2. ระเบียบสะสม (SDQ) ข้นั ตอนในการสรางเครื่องมอื ผศู ึกษาไดดําเนินการสรางเคร่อื งมอื ดงั นี้ คือผูศึกษาคนควาเอกสารการวิจัยที่เกี่ยวของกับการศึกษารายกรณี เพื่อเปนแนวทางในการ สรางเครอ่ื งมอื เชน แบบบันทกึ การเยีย่ มบา น ฯลฯ
11 วธิ กี ารศึกษารายกรณี ผศู กึ ษาไดศ กึ ษาตามขน้ั ตอน 7 ข้ันตอน ดงั น้ี คอื 1. การกําหนดปญ หาและตัง้ สมมตฐิ าน 2. การรวบรวมขอ มลู และวเิ คราะหข อมูล 3. การวินจิ ฉยั 4. การชวยเหลือการปองกัน และการสงเสริม 5. การทํานายผล 6. การคดิ ตามผล 7. การสรุปและขอเสนอแนะ 1. การกําหนดปญ หาและการตง้ั สมมตฐิ าน สมมตฐิ านของปญหาเกิดจาก 1. ลกั ษณะสว นตวั 2. ลกั ษณะครอบครวั 3. การจัดการศึกษาของโรงเรยี น 2. การรวบรวมขอ มูลและวิเคราะหข อ มลู ผูศึกษาไดรวบรวมขอมูล จากผูที่เกี่ยวของกับนกั เรียน เพ่ือศึกษาสาเหตุจากลกั ษณะสวนตัว ลักษณะครอบครัว การจดั การศึกษาของโรงเรียน ตามสมมติฐานตั้งไวใ นขอ 1 โดยใชเทคนคิ ดังน้ี 2.1 การเยี่ยมบาน ผูศึกษาขอมูลทางบา น ศึกษาส่งิ แวดลอม ความสัมพันธระหวางนักเรยี น กับบิดามารดา และญาติผูปกครองไดใ หค วามรว มมอื ชวยเหลอื ในการเยยี่ มบาน ผูศึกษาปฏิบัติดังน้ี 1. กําหนดจุดมงุ หมายของการเยย่ี มบาน 2. นัดเวลาท่จี ะเยย่ี มบา นกบั ผปู กครอง 3. ไปเย่ยี มบานพรอ มสงั เกตสิง่ แวดลอ มของบาน สมั ภาษณผปู กครองพรอ มท้งั บคุ คล อ่ืนๆในบา น ใชเ วลาประมาณ 20-30 นาที ไปเยีย่ มบานคนละ 1 คร้งั 4. ระเบยี นสะสม (SDQ) ผศู กึ ษาใชร ะเบยี บสะสมเพือ่ หาขอมูลของผรู บั การศึกษา เกยี่ วกบั ประวตั ิสว นตวั ประวตั ิ ครอบครวั ประวัติสุขภาพ ประวัติทางการศกึ ษาและรายงานการพัฒนาการ เพือ่ ใชเ ปน แนวทางในการ ชวยเหลือรว มกบั ขอมูลทไ่ี ดจ ากแหลง อ่ืนๆ ระเบยี นสะสมครปู ระจาํ ชน้ั ไดรวบรวมไวแ ลว 3. การวินจิ ฉัย นําผลการวเิ คราะหข อมลู ในขั้นตอนท่ี 2 มาเปน ขอมูลพ้นื ฐานเพื่อวนิ ิจฉยั สาเหตขุ องนักเรียนที่ มผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนตาํ่
12 4. การชว ยเหลอื การปองกนั และการสงเสริม การใหการชวยเหลอื คอื การปฏิบตั ิดงั นี้ 1. การใหคําปรกึ ษาแกเ ดก็ โดยใชเทคนคิ การใหค าํ ปรกึ ษาแบบนําทางเพ่ือใหเด็กพยายาม พฒั นาตนเอง 2. แนะนาํ วธิ กี ารเรียนที่ถูกตอ ง การสรา งสมาธิในการเรยี น การใชเ วลาวางเปน ประโยชน การอานหนังสือนอกเวลา 3. เพิ่มแรงจงู ใจในการเรยี น โดยใหขอมลู การศึกษาตอและอาชีพ 4. ปรึกษาปญ หาทีเ่ กิดข้ึน กับครผู สู อน 5. ใหความสนใจ เอาใจใสเดก็ อยา งสม่าํ เสมอ ใหกาํ ลังใจ 6. ปรกึ ษาปญ หาทเ่ี กิดขน้ึ กบั บิดามารดา 5. การทาํ นายผล จากขอ มลู ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นตาํ่ ของเดก็ พบวาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นมสี าเหตมุ าจาก ลกั ษณะสวนตวั ครอบครัว และจัดการศกึ ษาของโรงเรยี น ผศู กึ ษาพบวาสาเหตุท่กี ลา วมาน้ันสามารถ แกไ ขได ถา หากเดก็ ใหความรวมมือ กับครู และผปู กครอง และเอาใจใสอ ยางแทจ รงิ 6. การตดิ ตามผล หลังจากไดใหการชวยเหลือ ไดต ิดตามผลเปนระยะๆ ผลปรากฏดงั น้ี 1. การสงั เกตจากสมั ภาษณ สรกุ ไดวา เดก็ มพี ฤตกิ รรมการเรยี นเปลี่ยนไปในทางดขี ึน้ เชน สนใจเรียน ไมห นีเรียน 2. สัมภาษณค รผู สู อน เดก็ ต้ังใจเรียนดขี ้ึน 7. ขอเสนอแนะ ผูศ กึ ษามีขอเสนอแนะดังน้ี 1. ขอเสนอแนะสาํ หรบั เดก็ ควรเขา ใจตนเอง และรูจกั ตนเองมากขึ้น และต้ังเปา หมายสําหรบั อนาคตเองมีความมงุ ม่นั อดทน ทําสิง่ ท่ีตนตง้ั เปา หมายไว 2. ขอเสนอแนะสําหรับบุคคลเก่ยี วขอ ง 1. บิดา มารดาควรตระหนักถงึ บทบาทของตนเอง ในการใหค วามสนใจ เกี่ยวกับเรอ่ื งการ เรียน คอยใหกาํ ลงั ใจคําปรึกษา และลดความขดั แยง 2. ครปู ระจําช้ัน ครูผูส อน และครแู นะแนว ท่ีเก่ยี วขอ งกบั เดก็ สนใจติดตามพฤติกรรม รวมท้งั เสริมแรงในดานพฤติกรรมท่ีดขี องเด็กเกี่ยวกับการเรยี น
13 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหขอมลู ในการศกึ ษารายกรณนี ักเรยี นท่ีมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตา่ํ ผลการศกึ ษาคนควา ดําเนนิ ตาม ข้ันตอนตอ ไปน้ี 1. การกําหนดปญหาและการต้งั สมมติฐาน 2. การเก็บรวบรวมขอ มลู และการวิเคราะหข อมลู 3. การวินิจฉัย 4. การชวยเหลอื การปองกัน และการสงเสรมิ 5. การทาํ นายผล 6. การติดตามผล 7. การสรุปผลและขอ เสนอแนะ ระยะเวลาท่ใี ชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู ตั้งแตวันท่ี 1 มิถนุ ายน 2562 ถึงวันท่ี 30 สิงหาคม 2562 รวม 90 วัน ผลการรวบรวมขอมูล วเิ คราะหโ ดยภาพรวมไดดงั น้ี กรณีศกึ ษารายกรณี เด็กหญงิ วภี าวี ทองศรี 1. การกาํ หนดปญหาและการตง้ั สมมติฐาน 1.1 ปญ หาของเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี คอื ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นต่ํา มผี ลการเรียนในภาค เรียนที่ 1 ปก ารศกึ ษา 2562 สมมตฐิ านทท่ี ําใหเด็กหญงิ วภี าวี ทองศรี ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนตา่ํ มี ดังน้ี 1.1.1 ลักษณะสวนตวั ของเด็กหญิงวภี าวี ทองศรี 1.1.2 ลกั ษณะครอบครัว 1.1.3 การจัดการศึกษาของโรงเรยี น 2. การเก็บรวบรวมขอมลู และการวิเคราะหขอมลู 2.1 แนะนําบุคคลที่ทําวา การศึกษารายกรณี ช่อื – สกุล เดก็ หญงิ วีภาวี ทองศรี วนั เดอื น ป เกิด 27 มกราคม 2550 อายุ 14 ป เชือ้ ชาติ - สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ สถานภาพ นักเรียน ภูมิลาํ เนาเดมิ จ. สรุ นิ ทร
14 สถานทีเ่ กิด ทบ่ี าน ท่อี ยูปจ จุบัน เลขท่ี 45/1 หมู 22 ตาํ บลแตล อาํ เภอศีขรภูมิ จังหวดั สรุ ินทร 2.2 สาเหตุท่ีศึกษา เด็กหญิงวภี าวี ทองศรี มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นต่าํ มีผลการเรียนในภาคเรยี นที่ 1 ป การศกึ ษา 2562 เฉลี่ย 2.80 จากการรวบรวมขอมูลโดยใชเ ทคนิค 4 เทคนิค สามารถสรปุ และวิเคราะหข อ มลู ได ดังน้ี 1) การเย่ยี มบา น ผศู กึ ษาไปเยีย่ มบา นเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี จาํ นวน 2 คร้งั ใชเ วลา ประมาณครงั้ ละ 40 นาที ไดส ังเกตและสมั ภาษณบ ุคคลในบา นมีรายละเอียดดังนี้ จากการเยยี่ มบา นสรุปไดว าบา นท่ีเดก็ หญงิ วีภาวี ทองศรี อาศยั อยู เปนบา นชั้นเดียว อยกู ับตา และยาย 2. การเขียนอตั ชีวประวัติ รายงานขอมูลสวนตัว จากการวิเคราะหอตั ชวี ประวัติพบวา เด็กหญิงวีภาวี ทองศรี เปน ผูทีผ่ ลการเรยี นอยใู น ระดบั ออ น เนือ่ งจากไมเ คยสนใจในการอานหนงั สอื และทบทวนบทเรยี น และตดิ โทรศพั ท จากรายงานขอ มลู สว นตวั พบวา เด็กหญงิ วภี าวี ทองศรี ชอบเรยี นวชิ าศลิ ปะ สิ่งท่ไี มชอบ ทส่ี ดุ คอื การเรียนวิชาภาษาอังกฤษ คณติ ศาสตร วทิ ยาศาสตร 3) แบบสอบถาม 1.1 แบบสอบถามนิสยั ทางการเรียนของนักเรียน จากการตอบแบบสอบถามทําใหท ราบวา เด็กหญงิ วีภาวี ทองศรี เรียนหนังสอื ไม เขา ใจ เรียนตามเพือ่ นไมทัน เมื่อมปี ญหาหรือไมเ ขาใจในบทเรียนจะไมถามครหู รอื เพ่ือนใหเขา ใจ ทาํ งานชา ไมคอ ยรบั ผิดชอบทําการบา น 1.2 แบบสอบถามบรรยากาศการเรยี นการสอน จากการตอบแบบสอบถาม ทําใหท ราบวาเดก็ หญงิ วีภาวี ทองศรี มีความคดิ เหน็ ดานครูผูสอนวา ในการสอนครูไมคอยเปดโอกาสใหแสดงความคิดเห็น วิธีการสอนของครู ทําให เดก็ หญงิ วีภาวี ทองศรี เขาใจบทเรยี นนอ ย ครูสว นใหญพ ยายามอธบิ ายและถายทอดความรูใหน ักเรียน รวมทั้งมีขอเสนอแนะทางการเรียนแกนักเรียน ความคดิ เห็นของเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี ดานลักษณะ ของหองเรียน ภายในหองเรยี นมีแสงสวางเหมาะสมมากและมอี ากาศถายเทมากที่สุดมีการจัดวางของ ภายในหอ งเรยี นเปนระเบียบ ไมสกปรก เสียงรบกวนจากภายนอกไมคอยมี ดานสือ่ การเรียนการสอน ครูใชสือ่ การสอนที่เหมาะสมและเพียงพอกับนักเรียน มีการทําเอกสารแจกและหนังสือแบบเรียน มี กิจกรรมการเรยี นคอยขางนาสนใจ แตมีหองเรียนมเี ครื่องฉายโปรเจคเตอรแตขาดสื่อเนือ้ หาทีท่ ันสมัย เหมาะสมสาํ หรบั ฝก ภาคปฏิบัตินอ ย
15 4) ระเบียบสะสม จากการศึกษาระเบียบสะสมของเดก็ หญงิ วีภาวี ทองศรี ทําใหทราบวาผลการเรียนของเดก็ หญิง วภี าวี ทองศรี ไดคะแนนตาํ่ มาก ไดแ กวิชาคณิตศาสตร วิทยาศาสตร และภาษาอังกฤษ สว นวิชาที่อยู ในเกณฑที่ตองปรับปรุงคือวิชาภาษาไทย วิชาที่นางสาวเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี ทําไดดีคือวิชาดนตรี ดานบุคลิกภาพ เดก็ หญิงวภี าวี ทองศรี มีผลการประเมินบุคลิกภาพที่ควรปรับปรุงและพฒั นาในดาน ตาง ๆ คือ ดานการแบงเวลา ดานการใชเวลาวางใหเปนประโยชน ดานการแสวงหาความรู ดาน ความกลาแสดงออก 3. การวินจิ ฉัย จากการรวบรวมขอมูลดังกลาว วนิ จิ ฉัยไดว าเด็กหญงิ วภี าวี ทองศรี มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ตํา่ เพราะสาเหตดุ ังน้ี 3.1 สาเหตุจากลักษณะสว นตัวเดก็ หญิงวภี าวี ทองศรี จากการสังเกต การเขียนอัตชีวประวัติและแบบสอบถาม มีผลสอดคลองกันเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี เปน คนทไี่ มม ีความกระตอื รือรนดา นการเรยี น มีความตอ งการความสาํ เรจ็ คอ นขางตํ่า ไมคอยมี ความพยายามที่จะทํางานที่ยาก ๆ ใหประสบความสําเร็จ ตองการใหคนอื่นใหกําลังใจตน อาจ เนื่องมาจากสวนหนึ่งมีความสามารถทางดา นการเขียนและการอานคอนขางตํ่า และสวนหนึ่งมีสาเหตุ มาจากการอบรมเลีย้ งดใู นครอบครวั ท่ีเลย้ี งดแู บบปลอ ยปละละเลย ไมส นใจบตุ ร คิดวาบตุ รมีสติปญญา ไมดี จงึ ทําใหเ รยี นหนงั สือไดไมด จี ึงไมไ ดรับการสงเสริมจากบิดามารดาในเรื่องการศึกษา ประกอบกับ เด็กหญิงวีภาวี ทองศรี รูสึกทอแทขาดกําลังใจจากปญหาครอบครัวที่ ทําใหเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี เกดิ ความเบ่ือหนา ยในการเรียน ไมมีความพยายามทจี่ ะปรบั ปรุงตนเอง เรื่องการเรียน มีพฤติกรรมไม สนใจการเรียน คอื ไมถามเพือ่ นและครูผูส อน ขาดการเตรียมตัวในการเรียน ไมพยายามทบทวน จงึ ทาํ ใหเกิดปญหาตอเนื่องไปถึงการเรียนไมเ ขาใจในวชิ านั้น ๆ ขาดความสุขในการเรียนแตละวัน และ ชอบทํากิจกรรมทางดา นดนตรี จนขาดการแบงเวลาเรียนใหถูกตอง เปนคนพูดนอยและไมพูดเลยจึงทํา ใหครไู มค อยไดตดิ ตามสาเหตไุ ด
16 บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ ราย และขอ เสนอแนะ ในการศกึ ษาคนควาครงั้ นี้ เพอื่ หาสาเหตทุ ี่ทาํ ใหน กั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 1/10 โรงเรียน ศขี รภูมพิ สิ ยั ผลการศกึ ษาคนควาสรปุ ไดด งั นี้ ความมงุ หมายของการศึกษา เพื่อศึกษาปญหา สาเหตุทีท่ ําใหน ักเรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนต่าํ และแนวทางในการ ดําเนินการชว ยเหลือ การปอ งกัน และการสงเสริมโดยการศกึ ษาเปน รายกรณี ประชากร ประชากรท่ใี ชใ นการศึกษาคน ควาคร้งั น้ี เปน ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 1/10 โรงเรยี นศีขรภูมิพิสยั จังหวัดสรุ นิ ทร ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นตา่ํ กลุมตวั อยา ง กลมุ ตวั อยา งท่ีใชใ นการศกึ ษาคนควา คร้งั นี้ คือชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 1/810 โรงเรียนศีขรภูมิ พิสยั ปการศกึ ษา 2562 จาํ นวน 1 คน ซ่งึ ไดม าจากการเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง โดยมคี ณุ สมบตั ิ ดังน้ี 1. นกั เรียนท่มี ผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นต่าํ 2. มสี ติปญญาอยใู นเกณฑปกติ 3. มพี ฤตกิ รรมไมกลา แสดงออก เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ นการศกึ ษาคน ควา 1. แบบบันทึกการเย่ียมบาน 2. ระเบียบสะสม วิธดี าํ เนนิ การศกึ ษาคนควา ผูศ กึ ษาไดทําการศึกษากลมุ ตัวอยาง 1 คน เปนรายกรณี โดยใชกระบวนการศกึ ษาบคุ คล เปน รายกรณโี ดยใชก ระบวนการศกึ ษาบุคคลเปนรายกรณี 7 ขั้นตอน ดงั นี้ 1. การกําหนดปญหาและการต้ังสมมติฐาน 2. การรวบรวมขอ มลู และการวิเคราะหขอ มูล 3. การวินจิ ฉัย 4. การชว ยเหลอื การปอ งกนั และการสง เสรมิ 5. การทํานายผล 6. การติดตามผล 7. การสรปุ ผลและขอ เสนอแนะ
17 สรปุ ผลการศกึ ษาคนควา 1. กรณศี กึ ษารายท่ี 1 เด็กหญิงวีภาวี ทองศรี 1.1 ประวัติ เด็กหญิงวภี าวี ทองศรี เปนบุตรสาวของนายปองพล ทองศรี และนางภัทลี เขื่อนเพชร ฐานะ ของครอบครวั มฐี านะปานกลาง บิดาและมารดาประกอบอาชพี คาขาย ผลการเรยี นของเดก็ หญิงวีภาวี ทองศรี อยใู นระดบั คอนขางออน มสี ุขภาพไมแ ขง็ แรง ผิวดาํ แดง อุปนสิ ยั รา เรงิ เงยี บขรมึ บางเวลา มบี คุ ลิกภาพแบบมีความตอ งการความสําเรจ็ นอ ย ขาดความ กระตือรอื รนในการเรยี น และมีพฤติกรรมไมส นใจเรียน และคบเพ่ือนตา งสถานบัน 1.2 ปญ หา จากการศึกษา พบวาเด็กหญิงวีภาวี ทองศรี มีปญหาในเรื่องการเรียน คือขาดความ กระตือรือรนดานการเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่าสอบตกหลายวิชา มีพื้นความรูทางดาน วิทยาศาสตร ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตรไมดี รูสึกขาดแรงจูงใจในการเรียน ขาดการยอมรับจาก เพื่อน มีพฤตกิ รรมในการเรียนท่ไี มถ กู ตอ ง 1.3 การชวยเหลือ ผศู ึกษาไดใหการชว ยเหลอื เด็กหญิงวีภาวี ทองศรี โดยใหคําปรกึ ษาแบบนําทาง และไมน ําทาง เพือ่ ใหเด็กหญงิ วีภาวี ทองศรี พยายามพัฒนาตนเอง เขาใจตนเอง เขา ใจสภาพปญหาของตนเอง ซง่ึ เปนการนําไปสูการยอมรับตนเอง และพยายามพัฒนาตนเองไปสเู ปา หมายทด่ี ขี นึ้ นอกจากนี้ผูศ ึกษาใช เทคนคิ การเพ่มิ แรงจงู ใจในการเรยี นโดยใหข อมูลการศึกษาตอ และอาชพี อกี ทง้ั การแนะนาํ วธิ ีการเรียน ท่ีถกู ตองและการรูจ กั ปรบั ปรุงพฒั นาเองเพอื่ ใหเปน ทีย่ อมรับของเพื่อน ๆ 1.4 สรุปผลและตดิ ตามผล หลงั จากใหค ําปรกึ ษาและคําแนะนําไปแลว ปรากฏวา เด็กหญิงวีภาวี ทองศรี มาโรงเรียน และ ต้งั ใจเรียนมากขึ้น การอภิปรายผล จากการวินจิ ฉัยนักเรียนทัง้ 1 คน ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า ผลจากการศึกษารายกรณี สรุปไดว า ปญหาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนตาํ่ ของนกั เรียน เกิดจากสาเหตดุ งั นี้ 1. สาเหตุจากตวั นักเรยี นเอง คือ 1.1 ลักษณะสวนตวั ไมเหมาะสม จากการศึกษารายกรณีทง้ั 1 ราย พบวา นักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํา่ ขาดความสนใจในการเรียน ขาดความกระตือรือรน ไมมีความรับผิดชอบ ขาดความพยายามในการทํางานใหประสบความสําเร็จ ไมรูจกั ใชเ วลา ใหเ กิดประโยชนซงึ่ สอดคลองกับ สุรัตน อังกุรวิโรจน (2532 : 4-6) กลาววาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะสูงหรือตํ่าขึ้นอยูกับความ
18 รับผิดชอบยอ มจะชวยในการทํางานใหประสบความสําเรจ็ แรงจูงใจ ใฝสัมฤทธิ์ เปนองคประกอบที่ ผลกั ดันใหบุคคลตองการควรสําเร็จสูงขึ้น กระตุนใหผูเรียนเกิดการเรียนรูสงเสริมการเรียนใหกาวหนา ขึ้น ความสนใจเปนการแสดงออกซึ่งความชอบพอเปนแรงผลักดนั ใหบุคคลกระทํากิจกรรมใด ๆ เพ่ือ ความสําเรจ็ ในการเรยี น 1.2 พื้นฐานทางการเรียนเดิม จากการศึกษาทั้ง 1 ราย พบวา นักเรียนที่มี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า มีพื้นฐานทางการเรียนในระดับประถมไมดีเทา ที่ควร ทาํ ใหเปนอุปสรรค สําคัญในการเรียนเพราะเนื้อหาวิชาในการเรียนตอเนื่องกัน คือผูที่จะเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนตนศึกษาไดด ี จําเปน ตองความรพู ้ืนฐานดีมาจากชั้นประถมศึกษา ซึง่ ในระดับมัธยมศึกษาตอนตน จะมีเนื้อหาซับซอนมากข้ึน และมีความยากมากขึ้น นักเรียนที่มีความอดทนและมีความพยายามจะ สามารถทําความเขาใจเนือ้ หาไดดี แตถาไมม ีความพยายาม ขาดความสนใจในการเรียนจะทาํ ใหเรียน ไมเขา ใจ และเกดิ ความเบอ่ื หนา ยในท่สี ดุ 1.3 นิสัยในการเรียน พบวานักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า ไมสงงานหรือ การบา นที่ครูสั่ง ขาดเรยี นบอย ขณะเรียนเม่ือไมเขาใจบทเรียนไมกลาซักถามครู พูดคุยในเวลาเรียน ทาํ ใหเ รียนไมทนั เพื่อน เลนโทรศพั ทมือถือ ไมทบทวนบทเรยี นเมอ่ื เรียนเสร็จในแตละวนั ไมมีการเตรียม ตัวอานหนงั สือลวงหนา กอนเรยี น ไมมสี มาธใิ นการเรยี น 1.4 การมีทัศนคติที่ไมดีตอการศึกษา พบวานักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตํ่า ไมช อบวิชาที่ใหการบานมาก เมือ่ ครถู ามแลวตอบไมไ ดทําใหไ มอยากเรียน วิชาทีเ่ รียนไมเขาใจและมี การบา นมากไมไดจะไมอยากเรียน 2. สาเหตจุ ากลกั ษณะครอบครัวของนักเรียน 2.1 บิดามารดาไมมเี วลา เปนปจจัยสําคัญตอผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เพราะบิดามารดาที่มีความพรอมยอมเปนที่ปรึกษาใหความรู และความอบอุนแกนักเรียนไดดี จาก การศกึ ษากลุมตัวอยางพบวา นักเรียนที่มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนตํ่า เนื่องจากบิดามารดาไมมีเวลาใน การดูแลเอาใจใสในการทําการบา น และการหาความรขู องเดก็ 2.2 ไดรับการอบรมเลีย้ งดูแบบตามใจของบิดามารดา สงผลตอปญ หาดานระเบียบ วินัย ในการเรยี นของนักเรยี น 3. สาเหตุจากการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี น คือ ขนาดของหองเรียนไมเหมาะสม จํานวนนักเรียนในแตห องมมี ากเกินไปทําใหบรรยากาศในชั้นเรียนไม นาเรียนครูดแู ลไมทั่วถึง การจัดการศึกษาของโรงเรียนเปน ปจจัยสําคัญประการหนึ่ง ที่มีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียน ซึ่งสอดคลองกับ สํานักงานคณะกรรมการแหงชาติ (2530:37 - 39) กลาวถึงองคประกอบที่มีอิทธิพล ตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นในดานโรงเรียนวา โรงเรยี น และการจัดการศึกษาในโรงเรียนมีความสําคัญมากตอสภาพการเรียนการสอน อันมีผลถึงผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ต่ํากวาระดับความสามารถของนักเรียน เพราะนักเรียนจะมีความสุขตอการเรียนการ
19 สอนหรือไมขึ้นอยูกับ การจดั สิ่งแวดลอ มภายในโรงเรียน การจัดอาคารทีโ่ รงเรียน อัตราเฉลี่ยของครู กบั นกั เรียน และความสมั พันธระหวางครกู ับนักเรียน จากการศกึ ษารายกรณีทัง้ 1 ราย นักเรยี นท่ีเปนกลุม ตัวอยางมีพฤตกิ รรมในการเรียนดีขึ้น มี ทศั นคติตอการศึกษา มีความสนใจเรียนมากขน้ึ และมแี นวคดิ ในการปรับเปลีย่ นตนเองไปในทางที่ดขี ึน้ และจากผลการสอบนักเรียนที่เปนกลุมตัวอยางมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงขน้ึ 1. ขอเสนอแนะสําหรบั นักเรียนที่เปน กลุมตัวอยาง ดังน้ี 1.1 ควรปรกึ ษาครเู มอ่ื ไมเ ขา ใจในบทเรยี น 1.2 ควรทบทวนบทเรยี นหลังเรยี นเสรจ็ ในแตวัน 1.3 ควรอานหนงั สือลว งหนา กอนเรยี น 1.4 ควรพยายามทาํ การบา นและงานใหเสรจ็ ทันเวลาทค่ี รกู ําหนด 1.5 ควรจัดทําตารางเรียนใหเ หมาะสมกับตนเองและปฏิบัติตามตารางทีจ่ ดั ไว 2. ขอ เสนอแนะสาํ หรับผูท ่เี ก่ียวขอ งกบั กลุมตัวอยาง มดี ังนี้ 2.1 บิดามารดาหรือผปู กครองของนักเรยี นที่เปน กลมุ ตวั อยาง ควรดูแลพฤตกิ รรม การเรียนควรถามนกั เรยี นเกยี่ วกบั การเรยี น ควรดูแลการทาํ การบานและการสงงานทคี่ รูสั่ง 2.2 ครแู นะแนว ครปู ระจาํ ชน้ั และครูประจาํ วชิ า ครูที่เกย่ี วของควรจัดการสอน เสริมใหนักเรียนที่มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นตา่ํ ควรจดั กลมุ เพอื่ ชว ยเพอ่ื น ควรจดั โครงการพัฒนา นักเรยี นทเ่ี รยี นออน 3. ขอเสนอแนะสําหรบั การศึกษาคนควา ครั้งตอไป 3.1 ควรศึกษารายกรณใี นพฤตกิ รรมที่เปน ปญหาอืน่ ๆ เชน พฤตกิ รรมเบย่ี งเบนทางเพศ พฤติกรรมกา วรา ว พฤตกิ รรมกอกวนในช้นั เรยี น การปรบั ตวั กบั เพ่อื น พฤตกิ รรมไมก ลาแสดงออก เปนตน 3.2 การศกึ ษารายกรณีควรใชเวลาในการศกึ ษามากกวา 6 เดือน และศกึ ษาอยา งตอเนือ่ งจะ ทาํ ใหท ราบผลของการพัฒนาพฤติกรรมและสาเหตุของปญ หาชดั เจนย่ิง
20
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: