1 หนว่ ยการเรยี นท่ี ๑ สถาบนั ทางสงั คมและสถาบันครอบครวัความหมายของสังคม คำว่ำ \"สังคม\" นนั้ ได้มีผู้ใหน้ ยิ ำมไว้ต่ำง ๆ มำกมำย แต่พอสรุปควำมหมำยได้ดังนี้ สังคม หมำยถงึ กลุม่ คนมำกกวำ่ สองคนขึ้นไป ดำรงชีวติ อยู่รว่ มกนั เป็นเวลำยำวนำนในขอบเขตหรอื พนื้ ท่ีกำหนด ณ ทใี่ ดทห่ี นึง่ มีกำรติดต่อสมั พันธ์กัน ประกอบไปด้วยสมำชิกเป็นคนทุกเพศทกุ วัย ปฏิบตั ติ นต่อผู้อ่ืนภำยใต้กฎเกณฑห์ รอื ระเบียบเดยี วกัน โดยมวี ฒั นธรรม ระเบยี บแบบแผนในกำรดำเนนิ ชวี ติ เปน็ ของตนเองปฏบิ ัตหิ น้ำทแ่ี ละแสดงบทบำทเพื่อสังคมดำรงควำมเป็นปกึ แผ่น มน่ั คงถำวร และเจริญก้ำวหน้ำองค์ประกอบของสงั คม กำรท่คี นจะมำรวมกนั เพ่ือทำกิจกรรม หรือดำเนนิ ชวี ิตภำยใต้กฎเกณฑ์ เดยี วกนั นัน้ตอ้ งมีองค์ประกอบและองค์ประกอบนั้นคือ 1. ประชำกรจำนวนหนึ่งทั้งเพศหญิงและชำย 2. พ้นื ทีห่ รอื ดินแดนที่มอี ำนำเขตแน่นอน 3. ควำมสัมพันธข์ องผู้คนมีต่อกัน 4. กำรกระทำทต่ี ่อเนื่องจนเปน็ กจิ วัตร แม้วำ่ จะมหี น้ำที่ต่อสงั คมแตกต่ำงกัน 5. กำรประพฤติและปฏิบตั ิตนของสมำชกิ ภำยใต้กรอบของสถำบันหรือวฒั นธรรมเดียวกนัความสาคญั ของสังคม มนุษยจ์ ำเปน็ ตอ้ งอยูก่ นั เป็นกลมุ่ มีกำรพ่งึ พำอำศัยซ่ึงกันและกัน กำรเป็นมนุษยท์ ส่ี มบรณู น์ น้ั มิไดม้ มี ำแต่กำเนิด แตเ่ กิด จำกกำรทม่ี นุษย์ได้เป็นสมำชิกของสังคม ทำให้มนุษย์เรียนรู้แบบแผนตำ่ ง ๆ โดยเฉพำะสังคมมนษุ ยค์ ือ ครอบครวั ควำมรู้จำกแบบแผนมนุษย์ ร่นุ ก่อนจำกสภำพแวดลอ้ มครอบครวั จำกสถำบนั ท่ีตนได้สัมผัสสิ่งเหลำ่ นี้ ล้วนมอี ทิ ธิพล และมสี ว่ นทำให้มนุษย์ที่สมบรู ณส์ ำมำรถยงั ชีพอยูส่ งั คมได้อยำ่ งมัน่ คงความตอ้ งการอยูร่ ่วมกันของมนุษยใ์ นสังคม สำเหตุทีม่ นษุ ยต์ ้องกำรรว่ มกนั ในสังคม มีดงั นี้ 1. เพ่ือสนองความต้องการพนื้ ฐานของมนษุ ย์ ธรรมชำตขิ องมนุษย์น้ันต้องกำรหลำยอย่ำง แต่พ้ืนฐำนจริง ๆ ก็คือปัจจยั ได้แก่ อำหำร เคร่ืองนุ่งหม่ ท่ีอยู่อำศัย และยำรกั ษำโรค นอกจำกวตั ถนุ ้ันแลว้ มนุษย์ตอ้ งกำรควำมรัก ควำมอบอุ่นควำมเข้ำใจ ควำมปลอดภัย ส่งิ เหล่ำน้ีลว้ นเป็นส่ิงทพ่ี ่งึ พำอำศยั กันและกัน 2. เพื่อเป็นทีย่ อมรบั ของสงั คม กำรเป็นทย่ี อมรับทำให้มนษุ ย์เกิดควำมมั่นใจ ควำมภูมิใจ ควำมเข้ำใจท่ีจะทำกจิ กรรม ให้กับสังคมทำให้เกดิ ควำมสุข แต่ถ้ำไมย่ อมรับ ธรรมชำติของมนุษยจ์ ะหลีกเลย่ี ง จำกสังคมนั้นทำให้เกิดทุกข์ ไมป่ ระสบควำมสำเร็จ ในชวี ิตและไม่มีควำมสุขทีจ่ ะอยู่ในสังคมนน้ั ๆ 3. เพ่อื สร้างความเจรญิ ก้าวหนา้ ใหก้ บั ตนเองและกลมุ่ มนษุ ยจ์ ะรสู้ กึ วำ่ มีควำมปลอดภัยมีควำมเอ้อือำทรต่อกนั เมอ่ื มกี ำรทำกิจกรรมรว่ มกนั และเกดิ ควำมเตม็ ใจ ก็จะช่วยกนั สรำ้ งสรรคผ์ ลงำนเมือ่ ผลงำนนั้นเกิดควำมสำเร็จจะกลำยเปน็ ควำมภำคภูมใิ จ สังคมก็จะเจริญกวำ้ หนำ้ จะเหน็ ว่ำมนุษย์ยอ่ มอย่รู ว่ มกันเป็นสงั คม เพื่อรว่ มทำกิจกรรมร่วมกนั ชว่ ยกนั แกป้ ญั หำ และสนองควำมต้องกำรต่ำง ๆ ของตนเองและสังคม เพรำะมนุษย์เป็นสัตวส์ งั คม
2หนา้ ทขี่ องสังคม สังคมประกอบด้วยมนษุ ย์ทกุ เพศทุกวัย มคี วำมรับผดิ ชอบ อยภู่ ำยใต้กฎเกณฑ์เดยี วกันดังน้นั หน้ำท่ขี องคนในสงั คมท่จี ะตำมมำมีดังนี้ 1. ผลติ สมาชกิ ใหม่ ธำรงไวซ้ งึ่ หนำ้ ที่ทำงชีวะ คอื กำรให้กำเนิดลกู หลำนเพือ่ ทดแทนสมำชกิ ใหม่ 2. อบรมสมาชิกใหม่ ใหส้ ำมำรถเรยี นรู้และปฏิบตั ติ ำมกฎระเบยี บของสงั คมดำรงอยู่และควำมเจรญิ กำ้ วหนำ้ของสังคม 3. รักษากฎระเบยี บของสังคม ปกป้องคุ้มครองคนดี รักษำกฎหมำย เพ่ือควำมสงบสุขของสงั คม 4. สง่ เสริมเศรษฐกจิ ใหเ้ จริญก้าวหนา้ เช่น ผลติ จำหน่ำย แจกจำ่ ยสิ้นคำ้ และบริกำรให้ขวญั กำลังใจร่วมกลุ่มชว่ ยกนั ทำ แบง่ งำนตำมควำมชำนำญ ก่อให้เกดิ กำลังใจ ทำใหส้ งั คมแขง็ แรง เศรษฐกิจเขม้ แข็งคนในสังคมกนิ ดีอยดู่ ีก็มีควำมสุขสถาบันทางสงั คม เม่อื คนมำอำศยั อยู่รวมกันและสร้ำงควำมสมั พนั ธข์ ้นึ ระหวำ่ งกัน ควำมสมั พนั ธเ์ หลำ่ น้ันจะเช่ือโยงกันไปมำเสมือนเป็นแบบแผนท่ีมัน่ คง หำกจัดแบง่ ควำมสมั พนั ธ์เหล่ำน้อี อกเปน็ เรือ่ งๆ ก็จะเห็นกลุม่ ควำมสมั พันธท์ ่มี ีลกั ษณะคลำ้ ยคลงึ กนั เรำเรียกกล่มุ ควำมสมั พันธ์ในเรื่องหนึ่งๆวำ่ “สถำบันทำงสงั คม(social institution)” ซึ่งจะทำหนำ้ ทตี่ อบสนองควำมต้องกำรของสมำชกิ ในสังคม สถาบนั ทางสงั คม หมำยถึง ยอดรวมของรปู แบบควำมสัมพนั ธ์ กระบวนกำร และวัสดุอปุ กรณท์ ส่ี ร้ำงข้ึนเพื่อสนองประโยชน์สำคัญๆ ทำงสังคมในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ทุกสถำบันจึงมีจำรีตประเพณี กฎเกณฑ์ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิ และวสั ดอุ ุปกรณ์ตำ่ ง ๆ ของตนเอง เชน่ อำคำรสถำนที่ เคร่อื งจักรกล อปุ กรณ์สอื่ สำร เป็นต้นหนา้ ทขี่ องสถาบนั ทางสังคม 1. เพม่ิ จำนวนสมำชกิ ใหส้ งั คม ชดเชยสมำชิกทขี่ ำดไป เล้ยี งดูใหม้ สี ุขภำพพลำนำมัยสมบรู ณ์ 2. ใหก้ ำรศึกษำ ควำมร้ทู ำงดำ้ นวิชำกำร มคี วำมชำนำญดำ้ นวิชำชพี เพ่ือกำรดำรงชวี ิตใหส้ ังคมอย่ำงสงบสขุ 3. สนบั สนุนควำมเป็นระเบียบเรียบร้อย และควำมม่นั คงของสงั คมให้เจรญิ กำ้ วหนำ้ 4. ผลิตสนิ ค้ำและบริกำรทจี่ ำเปน็ ต่อกำรดำรงชพี ให้ประชำกรมกี ำรกินดีอยูด่ ี 5. สง่ เสริมสุขภำพอนำมัยของคนในสังคม ให้มีสุขภำพกำยและสขุ ภำพจติ ทีส่ มบรู ณ์ 6. ใหม้ ีควำมร้คู วำมเขำ้ ใจเกี่ยวกบั กำรสือ่ สำร สรำ้ งควำมเข้ำใจซงึ่ กันและกนั 7. มีควำมรคู้ วำมเข้ำใจเกย่ี วกับกำรออกกำลังกำย กำรพักผอ่ นหย่อนใจไดเ้ หมำะสมกับวัยเปน็ กำรใช้เวลำวำ่ ง ใหเ้ ป็นประโยชน์ มีผลตอ่ สขุ ภำพอนำมัยท่ดี ีสถาบนั ท่สี าคญั ทางสังคม รักชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ (Love of nation, religion and king) เปน็ คุณลกั ษณะอันพงึประสงค์ที่แสดงออกถึงกำรเป็นพลเมอื งดีของชำติ ธำรงไวซ้ ่ึงควำมเปน็ ชำติ ศรทั ธำ ยึดม่ันในศำสนำ และเคำรพเทดิ ทนู สถำบนั พระมหำกษตั ริย์ เด็กทีม่ ีควำมรกั ชำติ ศำสน์ กษตั รยิ ์ จะเป็นเด็กท่ีแสดงออกถึงกำรเป็นพลเมืองดี
3ของชำติ มีควำมสำมัคคี ปรองดอง ภูมิใจ เชิดชคู วำมเปน็ ไทย ปฏบิ ตั ติ นตำมหลักศำสนำทตี่ นนบั ถือ และแสดงควำมจงรกั ภกั ดีต่อสถำบนั พระมหำกษัตริย์ ชาติ หมำยถึง แผ่นดนิ ทมี่ ปี ระชำชนยดึ ครอง มีอำณำเขตท่แี น่นอน มีกำรปกครองเป็นสดั ส่วน มผี ูน้ ำเปน็ ผู้ปกครองประเทศและประชำชนทงั้ หมด ดว้ ยกฎหมำยท่ีประชำชนในชำติน้ันกำหนดข้ึน เชน่ ประเทศไทยมีกำรปกครองในระบอบประชำธปิ ไตย อันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเปน็ พระประมุข เป็นรำชอำณำจักรอันเปน็ หนึ่งเดียวจะแบ่งแยกมิไดม้ คี วำมเป็นเอกรำช มศี ำสนำพทุ ธ เป็นศำสนำประจำชำติ มวี ฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มและจำรตี ประเพณี เป็นเอกลักษณ์ประจำชำตขิ องตนเอง สืบทอดกนั มำจำกบรรพบรุ ุษเป็นเวลำยำวนำน ผู้ที่มีควำมรักชำติ จะชว่ ยกันปกป้องรักษำชำติ ไม่ให้ศัตรมู ำรุกรำนหรอื ทำร้ำยทำลำย เพื่อให้ลูกหลำนไดอ้ ยู่อำศยัตอ่ ไปใหอ้ ยู่ร่วมกันดว้ ยควำมสงบสขุ สบื ไป ศาสนา หมำยถงึ คำสอนขององค์พระศำสดำแต่ละพระองค์ ศำสนำทุกศำสนำมไี ว้เพื่อสอนใหม้ นษุ ย์ละชว่ั ประพฤตดิ ี ผทู้ รี่ ักศำสนำ จะเปน็ ผ้ทู น่ี ำคำสอนของแต่ละศำสนำไปประพฤตปิ ฏบิ ัติในชีวติ ประจำวันละควำมชว่ั กระทำแต่ควำมดี และทำจิตใจใหส้ ะอำดปรำศจำกเครื่องเศรำ้ หมอง คอื ควำมโลภ ควำมโกรธ ควำมหลง ส่วนผู้ทไ่ี มร่ ักศำสนำ จงึ เปน็ ผูท้ ไี่ ม่นำคำสอนของศำสนำนั้นไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ละควำมช่วั ไม่ประพฤติดีไม่ชำระจติ ใจให้สะอำดปรำศจำกกิเลส ปลอ่ ยให้ควำมโลภ ควำมโกรธ ควำมหลงครอบงำจิตใจ พระมหากษตั ริย์ หมำยถึง พระเจ้ำแผ่นดนิ ผูเ้ ป็นพระประมุขของประเทศ มหี น้ำทปี่ กครองประชำชนพลเมอื งในประเทศนนั้ ให้อยูด่ ีมสี ุขตำมกฎหมำย ตำมครรลองคลองธรรมจำรีตประเพณีวฒั นธรรมของชำตินน้ั ๆเช่น ประเทศไทยมีพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอย่หู วั ฯ ทรงเปน็ พระประมขุ เปน็ ศูนย์รวมจติ ใจ ทรงปกครองแผน่ ดนิโดยธรรม เพ่ือประโยชนส์ ขุ แห่งมหำชนชำวสยำม ทรงให้แนวพระรำชดำรเิ ศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ แนวทำงในกำรดำเนินชวี ิตของปวงชนชำวไทย นำควำมเจริญรุ่งเรืองควำมผำสกุ มำส่พู สกนิกรถ้วนหน้ำ มีควำมเปน็ อยู่อย่ำงรม่ เยน็ เป็นสุข มคี วำมรรู้ ักสำมคั คีกลมเกลยี ว เรำควรประพฤตติ นเป็นคนดถี วำยเป็นพระรำชกศุ ล และถวำยควำมจงรักภักดีแดพ่ ระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หัวฯ สถาบนั ท้งั 3 นีม้ บี ุญคุณต่อเรำอยำ่ งมำก เพรำะชำติ คือ แผน่ ดนิ ทเ่ี รำอยู่อำศยั ศำสนำ คือ คำสอนขององค์พระศำสดำแต่ละพระองค์ทีส่ อนใหเ้ รำทุกคนเป็นคนดี และพระมหำกษัตริย์ คือ ผู้ปกครองบำ้ นเมืองโดยธรรม เพื่อควำมสงบสุขของพสกนิกรชำวไทย เรำทุกคนจงึ ควรรกั ชำติ รักศำสนำ รกั พระมหำกษัตริย์ ด้วยใจอนับรสิ ทุ ธ์ิ ยดึ ม่ันและปฏิบัตติ ำมหลกั ธรรม เพ่อื กำรอยูร่ ว่ มกันอย่ำงสนั ตสิ ขุ สามสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์
4เราจะปฏบิ ตั ิตนใหเ้ ป็นคนไทยได้อยา่ งไร 1. เปน็ ตวั อย่างทีด่ ีใหล้ กู ดู มีขนบธรรมเนียมของไทยหลำยอย่ำงทน่ี ่ำจะมีกำรสง่ ตอ่ หรือถ่ำยทอดสู่ลกู หลำน เช่นกำรมสี ัมมำคำรวะผใู้ หญ่ กำรเคำรพนบน้อมเช่ือฟงั บดิ ำมำรดำ ควำมกตัญญตู ่อผู้มีพระคุณ ซง่ึ ส่งิเหลำ่ น้บี ำงครั้งฝร่งั ไมม่ ี ดงั น้นั คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลกู ดูเปน็ ตวั อยำ่ ง กำรไหว้แบบไทยๆ รอยยิ้มแบบไทย จนเรำไดช้ ่อื ว่ำ สยำมเมืองยิ้ม The Land of Smile ควำมกตัญญูในกำรดูแลบุพกำรีเมื่อมีอำยุ กำรวำงตัวทด่ี ี ควำมสภุ ำพเรยี บรอ้ ย ควำมเกรงใจผูอ้ ื่น ซึง่ เด็ก ๆ จะเลยี นแบบจำกผ้ใู หญน่ ัน่ เอง 2. นิยมบริโภคของท่ีทาในประเทศ พยำยำมหลีกเลี่ยงของนำเขำ้ หรือของมยี ห่ี ้อทีน่ ำมำจำกต่ำงประเทศ อยำ่ คดิ วำ่ ของนำเขำ้ ดีกว่ำของไทย ข้อน้ีคุณพ่อคณุ แม่อำจคิดในใจว่ำก็ของท่ีทำในประเทศมันดอ้ ยคุณภำพจงึ ทำใหย้ ำกตอ่ กำรบรโิ ภค เลยเลือกบริโภคสนิ คำ้ นำเขำ้ ของแบรนด์ดังๆจนเป็นนิสยั ติดย่ีหอ้ แต่กำรกระทำดงั กล่ำวเปน็ กำรสรำ้ งค่ำนิยมว่ำของตำ่ งประเทศดกี วำ่ ของไทย จนหำรูไ้ มว่ ่ำของแบรนด์แนมมำกมำยหลำยอย่ำงทำโดยคนไทย สินค้ำของไทยบำงประเภทดมี ำกแต่ไม่มีใครสนใจ ดังนนั้ กำรสอนลูกให้รู้ถึง สนิ คำ้ ทด่ี ีในแตล่ ะจงั หวัด หรือสนิ ค้ำหนึ่งผลติ ภัณฑ์ต่อ 1 ตำบล อำหำรอรอ่ ย ผ้ำไหมไทยจะทำใหล้ ูกนยิ มบริโภคของไทยและเกดิ ควำมภำคภมู ิในควำมเป็นไทยอีกด้วย 3. แต่งกายแบบไทยๆในวนั เทศกาลสาคัญตา่ ง ๆ เพ่ือให้เด็ก ๆได้รู้จกั เครื่องแต่งกำยของคนไทยในแต่ละภำค 4. ใชภ้ าษาไทยอย่างถูกต้องพูด ร เรือ ล ลงิ ให้ชดั เจน อย่ำพูดไทยคำฝร่ังคำ อำ่ นหนงั สือไทยให้ลูกฟังอยำ่ งถูกอักขระ คำประพันธ์ บทกวขี องไทย เพลงของแต่ละภำคสอนว่ำใครคือผู้ประดิษฐอ์ ักษรไทยเปน็ ต้น 5. สอนศลิ ปะ ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยท่ีดี ท่ีนำ่ จะสง่ ต่อสูล่ กู หลำน ส่งิ นรี้ วมไปถึง กำรทำตำรำอำหำรฝีมอื ตำรบั คุณตำ คณุ ยำย คุณทวด กำรทำขนมไทยๆ กำรรำไทย ลูกจะซำบซึ้งในควำมเป็นไทยและเป็นกำรปลูกฝงั ควำมรักและควำมภำคภูมิใจในชำติข้ึนอยำ่ งไม่รตู้ ัว 6. เลา่ นทิ านที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ และเล่ำประวตั ิศำสตร์ควำมเป็นมำของชำติไทยให้เดก็ ๆ ฟงั 7. สอนเด็ก ๆ ใหร้ อ้ งเพลงชาตไิ ทยใหถ้ กู ตอ้ ง กำรยนื ตรงเคำรพธงชำติ ควำมหมำยของธงชำติไทย สญั ลกั ษณ์ของดอกไมป้ ระจำชำติ สตั วป์ ระจำชำติ เป็นตน้ 8. พาลูกไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยๆ ไปดพู ิพธิ ภัณฑ์ของไทยๆ อำชพี หลกั ของคนไทยลองฝกึ ให้ลกู ปฏบิ ัติจรงิ เช่นลองใหล้ กู ไปดแู ปลงปลูกข้ำวในนำ ลองสอนวิธีปลกู ข้ำวใหล้ กู ลูกจะได้เรียนรู้จำกของจรงิ และในขณะเดียวกนั จะเกิดควำมรักต่อชำวนำ ชำวสวน มคี วำมอดทน และไมด่ ูถกู ผู้อื่น 9.สอนให้ลูกรู้ถงึ ตน้ กาเนิดของชาติไทย ควำมเปน็ ชำติไทยและพระรำชประวตั ิของพระมหำกษัตริยไ์ ทยในแตล่ ะพระองค์ 10. พาลูกไปชมดนตรี มโหรสพของไทย สอนกำรเล่นเครื่องดนตรไี ทย 11. พาลูกให้ชมความสวยงามของธรรมชาติ ทต่ี า่ งจังหวดั ควำมสวยงำมของบำ้ นแบบไทยๆ สิ่งน้ีเปน็ สิง่ ทสี่ ำคญั เพรำะอำจเป็นกำรยำกสำหรบั เด็กที่อย่ใู นกรงุ เทพฯ เด็กตอ้ งอยู่ในโลกของคอนกรีต มลพิษตำ่ งๆกำรที่เด็กเห็นควำมสวยงำมของธรรมชำติ วัดวำอำรำมต่ำง ๆ จะทำใหเ้ ด็กช่วยกันธำรงรักษำส่งิ แวดล้อมที่สวยงำมเหลำ่ นีเ้ อำไว้
5 12. สอนลกู เลน่ การละเลน่ ของไทย เช่น รีรขี ้ำวสำร ข่มี ำ้ ก้ำนกล้วย ฯลฯ ลกู จะสนกุ ในเวลำเดยี วกันก็จะซึมซบั ควำมรักในควำมไทยอกี ด้วย ชำติไทยมีเอกลักษณ์ ควำมเป็นไทยอันมีคุณค่ำมำช้ำนำน คำว่ำไท ในพจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน ให้คำจำกัดควำมว่ำผเู้ ป็นใหญ่ ส่วนคำว่ำ ไทย หมำยถึง ควำมมีอิสระในตัว, ควำมไม่เป็นทำสหรือ ไทยหมำยถึงชนเชื้อชำติไทยมีหลำยสำขำด้วยกัน เช่น ไทยใหญ่ ไทยดำ ไทยขำว คนไทยอยู่ร่วมหลำยเช้ือชำติกันมำช้ำนำน เรำมีอิสระในควำมคิด กำรเลือกนับถือศำสนำ เรำมีควำมสุขท่ีเกิดในประเทศไทย เป็นคนไท โดยท่ีเรำไม่เบียดเบยี นผูอ้ ื่น เป็นที่น่ำเสียดำยท่ีสิ่งเหล่ำน้ีจะหำยไปและไม่เหลอื ควำมเปน็ ชำติไทยอีก ดังที่มีผู้เคยเขียนไว้ว่ำหำกเรำไม่รักสำมัคคีแล้วเรำจะร้องเพลงชำติไทยให้ใครฟัง ดังน้ันหำกผู้ใหญ่แสดงให้เด็กดูเป็นตัวอย่ำงถึงควำมรักชำติ รักควำมเป็นไท เป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบทำในสิง่ ท่ีถูกต้อง ให้ควำมรู้แก่เด็ก และพยำยำมสำนต่อควำมเป็นไทยให้สืบทอดต่อลูกหลำน ส่ิงเหล่ำนี้จดจำในควำมทรงจำและจะไม่สูญหำยไปจำกใจของเด็กอยำ่ งแนน่ อน สถำบันทำงสงั คมตำมนัยแหง่ สังคมวิทยำน้ัน มิใช่จะปรำกฏออกมำในรูปที่เป็นทำงกำร เชน่ กำรอยูร่ วมกันเปน็ ครอบครวั ในบำ้ นแหง่ หนึ่ง (สถำบนั ครอบครัว) ธนำคำร สำนักงำน ตลำดสด (สถำบันทำงเศรษฐกิจ) โรงเรียน วทิ ยำลยั มหำวทิ ยำลัย (สถำบันกำรศึกษำ) เทำ่ น้นั แต่รวมไปถึงรูปแบบทีไ่ ม่เป็นทำงกำรด้วย ซ่งึ ในแตล่ ะสงั คม จะมสี ถำบันทำงสงั คมทเี่ ป็นพื้นฐำน ดงั นี้ 1. สถาบันครอบครวั คอื แบบแผนพฤติกรรมของคนที่มำติดต่อเกีย่ วข้องกนั ในเรอื่ งเกยี่ วกับครอบครวั และเครือญำติ น่ันคือ คนทีเ่ ป็นญำตกิ ันโดยสำยเลือด เชน่ พ่อ แม่ พ่นี ้อง และเป็นญำตกิ ันทำงกำรแตง่ งำน เช่น สำมภี รรยำ เขยสะใภ้ หรอื กำรรับไว้เปน็ ญำติ เช่น บุตรบุญธรรม เป็นตน้ คนเหลำ่ น้จี ะต้องปฏิบัติตำมกฎเกณฑ์แบบแผนท่ีสังคมเป็นผู้กำหนดข้ึน รวมเรยี กวำ่ “สถาบันครอบครัว” บทบาทและหน้าท่ีของสถาบันครอบครัว คือกำรใหส้ มำชกิ ใหมก่ บั สังคม กำรคมุ้ ครองดูแลและทำนุบำรุงสมำชกในครอบครวั ทั้งร่ำงกำรยและจติ ใจโดยกำรสรำ้ งควำมรัก ควำมอบอนุ่ ควำมไว้วำงใจ ควำมเคำรพซ่ึงกนั และกัน รวมทั้งถำ่ ยทอดวฒั นธรรมใหแ้ ก่สมำชกิ ท่ีกำเนิดข้ึนมำในสงั คม ตลอดจนกำหนดแนวปฏิบัติเก่ียวกบั ควำมสมั พันธ์ของสมำชิกในครอบครวั เชน่ กำรเลอื กคู่ กำรหมนั้ กำรแตง่ งำน เปน็ ตน้ สถำบนั ครอบครัวเปน็ สถำบนั พนื้ ฐำนแรกสดุ ที่มคี วำมสำคญั อยำ่ งยิ่ง เพรำะเปน็ จดุ เร่มิ ตน้ ของสถำบนั อนื่ ๆ ในสงั คม และทำหนำ้ ท่อี บรมขดั เกลำใหส้ มำชิกในครอบครัวเปน็ คนดีของสงั คม 2. สถาบนั เศรษฐกิจ คอื สถำบันสังคมทเี่ กยี่ วข้องกบั รูปแบบแผนกำรคิดกำรกระทำเก่ียวกับเร่ืองของกำรผลิตสินคำ้ และบริกำร กำรจำหน่ำยแจกจำ่ ยสินค้ำและกำรให้บรกิ ำรต่ำง ๆ รวมทั้งกำรบรโิ ภคของสมำชิกในสงั คม สถำบันเศรษฐกจิ เป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคบั ท่ีลกู จำ้ ง นำยจำ้ ง เจำ้ ของโรงงำน ธนำคำร และผผู้ ลิตสินคำ้ และบรกิ ำรจะต้องปฏิบัตติ ำม แม้แตผ่ ูป้ ระกอบกำรอสิ ระและเกษตรกร ก็จะต้องปฏิบตั ิตำมกฎเกณฑข์ องกำรประกอบอำชีพทด่ี ี ซงึ่ มคี วำมเกี่ยวขอ้ งกับกลุ่มสังคมหลำยกลุ่ม เช่น เกษตรกร กลมุ่ คนในโรงงำนอุตสำหกรรมกลุม่ ผูจ้ ดั จำหนว่ ย พนักงำนในองค์กรตำ่ ง ๆ สถำบันเศรษฐกิจเปน็ ควำมสมั พนั ธ์ในแงข่ องกำรผลิต กำรแลกเปลีย่ น และกำรบรโิ ภค ซงึ่ กำรปฏิบัตสิ ังสรรค์กนั ทำงสังคมในแง่นี้ อำจเป็นควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งสมำชกิ ในครอบครวั และญำติ หรอื กบั บคุ คลอืน่ ท้ังที่อำศยั อยู่ในสงั คมเดยี วกัน หรอื ต่ำงสังคมกนั ได้
6 บทบาทและหน้าทขี่ องสถาบันเศรษฐกิจ คอื สรำ้ งแบบแผนและเกณฑ์ในกำรผลติ สินค้ำใหไ้ ด้มำตรฐำน กำหนดกลไกรำคำทเี่ หมำะสม รวมท้งั ผลิตเคร่ืองอุปโภคและบรโิ ภคและเทคโนโลยี ซ่งึ คนๆ เดียวมำสำมำรถทจ่ี ะกระทำหรือผลิตเพื่อตอบสนองควำมต้องกำรไดท้ ัง้ หมด จึงต้องพง่ึ พำอำศัยคนอนื่ ให้ช่วยทำใหไ้ ด้ผลผลติ ที่เป็นอำหำรและของใช้ ส่งผลใหค้ นเรำต้องมีควำมสมั พนั ธ์กับคนอนื่ ๆ และภำยหลังท่ผี ลิตขึ้นมำไดแ้ ลว้ ก็จำเปน็ ตอ้ งนำไปแลกเปลีย่ นกับของชนิดอื่นทีเ่ รำไม่ไดท้ ำข้นึ เอง กระบวนกำรแลกเปล่ยี นจงึ เป็นหัวใจสำคัญของควำมสัมพนั ธข์ องคนในสังคม โดยเฉพำะอยำ่ งยิ่ง ในยคุ ปจั จุบันที่มกี ำรผลิตสินคำ้ และบริกำรจำนวนมำก 3. สถาบันการเมืองการปกครอง คือแบบแผนกำรคดิ กำรกระทำทจี่ ะแตกต่ำงกนั ออกไปใน แต่ละสังคมโดยข้นึ อยกู่ ับปรัชญำควำมเชอื่ พืน้ ฐำนของคนในสงั คมว่ำต้องกำรจะให้เป็นแบบเสรีประชำธิปไตย หรือแบบสมบรู ณำญำสิทธิรำช หรือแบบคอมมวิ นิสต์ เม่อื ไดเ้ ลอื กรูปแบบกำรปกครองแล้วกต็ ้องจดั กำรบริหำรกำรปกครองให้เป็นไปตำมปรชั ญำกำรเมืองแบบนนั้ ๆตำมแนวทำงที่เหน็ ว่ำถูกต้องและเหมำะสม บทบาทและหนา้ ท่ขี องสถาบนั การเมืองการปกครองทส่ี ำคัญ คอื กำรรกั ษำควำมมนั่ คงปลอดภัยของชำติ บำบดั ทุกข์บำรงุ สุขใหร้ ำษฎร สรำ้ งควำมมั่นคงและรักษำสทิ ธปิ ระโยชนข์ องประเทศชำติ รวมทงั้ สรำ้ งควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งประเทศ โดยจะครอบคลุมทง้ั ในระดบั ชำติ และระดับท้องถ่ิน ซ่ึงบำงส่วนจะทำหน้ำที่ในกำรตรำกฎหมำยและกฎระเบียบข้อบงั คบั และบำงส่วนจะทำหน้ำท่บี ริหำรงำน เพ่ือใหส้ ังคมดำรงอยแู่ ละพัฒนำต่อไปได้ โดยในระดบั ชำติ เชน่ นกั กำรเมือง นำยกรฐั มนตรี รฐั มนตรี ผพู้ ิพำกษำ เปน็ ต้น และในระดับท้องถนิ่เชน่ ผ้ใู หญ่บำ้ น กำนัน สมำชิกองคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นตำบล เทศบำล เป็นต้น 4. สถาบันการศกึ ษา คอื แบบแผนของกำรคิดและกระทำที่เกย่ี วข้องกับกำรอบรมให้กำรศึกษำแก่สมำชิกใหม่ของสงั คม รวมทัง้ ถ่ำยทอดวัฒนธรรมจำกคนรุ่นหนึ่งไปยงั อกี รุ่นหน่งึ ดว้ ย สถำบนั ทำงกำรศึกษำเปน็สถำบนั ที่ครอบคลมุ ในเร่ืองทเี่ กี่ยวกับหลักสตู ร กำรสอบเขำ้ กำรเรยี นกำรสอน กำรฝึกอบรมในด้ำนต่ำง ๆ บทบาทและหนา้ ทีข่ องสถาบนั การศกึ ษา คือ ส่งเสรมิ ให้สมำชิกในสังคมเกิดควำมเจรญิ งอกงำมในด้ำนต่ำง ๆ เชน่ ด้ำนวทิ ยำศำสตร์ ดำ้ นกำรวจิ ัย เป็นต้น สง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลเป็นคนดี มีศีลธรรม มคี ำ่ นยิ มทด่ี งี ำมรจู้ กั สทิ ธิหนำ้ ทีท่ ีต่ นพึงปฏิบตั ิต่อสังคมและประเทศชำติ รวมท้งั สง่ เสริมให้เกดิ กำรเปล่ยี นแปลงและกำรปฏิรูปสงั คม เบ้อื งตน้ กำรอบรมขดั เกลำสมำชกิ ของสังคมเปน็ หน้ำทีข่ องครอบครวั สว่ นกำรจัดกำรกำรศึกษำเพื่อให้เยำวชนมีควำมรู้ มีคณุ ธรรมและวชิ ำชีพตำ่ งๆเพอื่ จะได้นำไปใช้ในกำรดำเนนิ ชวี ิตส่วนใหญจ่ ะเปน็ หน้ำท่ีของรัฐและเอกชนจดั กำรให้ โดยจะจัดเปน็ โรงเรียนที่มีครูอำจำรย์และเจ้ำหนำ้ ทร่ี ่วมมือในกำรจัดกำรศึกษำให้กบัเยำวชน ๕. สถาบันศาสนา ศำสนำทุกศำสนำเกิดจำกควำมตอ้ งกำรทำงดำ้ นจติ ใจของมนุษย์ เพ่ือใหเ้ กิดควำมร้สู ึกมั่นคงและปลอดภัย และใช้เปน็ แบบแผนในกำรดำรงชีวิต แบบแผนกำรคดิ และกำรกระทำของสถำบนัทเี่ ก่ยี วพันระหวำ่ งสมำชิก ของสังคมกบั นักบวช คำสอน ควำมเชือ่ สงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ อำนำจท่ีนอกเหนือธรรมชำติและกฎเกณฑ์ทำงศลี ธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี และวัฒนธรรมของสงั คม กำรนับถือศำสนำจะเกีย่ วพนั กบักำรดำเนินชวี ิตของคนอยำ่ งใกล้ชิด โดยเฉพำะอย่ำงงยง่ิ ในโอกำสสำคัญตำ่ ง ๆของชีวิต หรือช่วงเวลำทผี่ ่ำนพน้จำกสถำนภำพหน่ึงไปยงั อกี สถำนภำพหน่ึง บทบาทและหน้าท่ีของสถาบันศาสนาคือ เป็นศูนยร์ วมควำมศรัทธำ สร้ำงแบบแผนแนวทำงกำรดำเนนิ ชีวิตของสมำชิกในสังคมใหด้ ำรงตนตำมสถำนภำพและบทบำท ในสถำบันศำสนำจะมีสถำนภำพสำคัญได้แก่ ศำสดำของศำสนำ สำวก เช่น นกั บวช พระภกิ ษสุ งฆ์ และศำสนกิ ชน ซึ่งแตล่ ะสถำนภำพจะมีหนำ้ ทีแ่ ละ
7ควำมรบั ผดิ ชอบแตกต่ำงกันออกไป และต้องปฏิบตั ิตำมหลกั ธรรมและพีกรรมทำงศำสนำท่ีตนนบั ถือ เชน่ประเพณีกำรรบั สมำชกิ ของแตล่ ะศำสนำ ประเพณีกำรทำบุญในวันสำคัญทำงศำสนำ ซ่ึงกิจกรรมทำงศำสนำมีควำมสำคญั ในกำรสร้ำงควำมรู้สกึ เปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกัน มเี มตตำธรรมต่อสัตวโ์ ลกท้งั ปวง เป็นต้น สถำบนั ทำงศำสนำยังเป็นสถำบันท่สี ร้ำงควำมเป็นปกึ แผ่นใหส้ งั คม คือกำรสรำ้ งควำมสำมัคคีและควำมเป็นอนั หนึ่งอันเดยี วกนั ชว่ ยเสรมิ สรำ้ งควำมม่นั คงในจิตใจให้สมำชิกสำมำรถแก้ปัญหำได้ และสถำบนั ทำงศำสนำยังสง่ เสริมกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรมแกส่ งั คม เนื่องจำกศำสนำทุกศำสนำเปน็ บ่อเกิดของวฒั นธรรมในสังคม ๖. สถาบันนันทนาการ คอื สถำบันทำงสงั คมทเี่ ปน็ แบบแผนกำรคดิ และกำรกระทำท่ีเกี่ยวข้องกับกำรพักผ่อนหย่อนใจจำกภำระหน้ำท่ีที่ไดท้ ำในสงั คม เช่น กำรศึกษำ กำรทำงำน หลังจำกกำรทำงำนทเี่ หน็ดเหนือ่ ยของคนในสังคม เพื่อใหก้ ำรดำรงชวี ิตมีควำมสุขสมบรู ณ์มำกยิ่งขน้ึ โดยสถำบันนันทนำกำรจำเป็นท่ีจะตอ้ งมบี ุคคล วิธีกำรสำหรบั กำรดำเนนิ กำรเพ่ือให้กำรดำรงชีวติ ในสงั คมเป็นไปอยำ่ งมีควำมสุข บทบาทและหนา้ ที่ของสถาบันนนั ทนาการ คอื กำรทำให้คนในสังคมผ่อนคลำยควำมตงึ เครยี ดเพมิ่ พูนอนำมัยทีด่ ี ใชเ้ วลำวำ่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ในทำงสร้ำงสรรค์ตำ่ ง ๆ รวมทั้งสนองควำมตอ้ งกำรทำงสงั คม ในรูปแบบควำมบันเทิงต่ำง ๆ เช่น ศิลปะ กำรละเล่น กำรกฬี ำ เปน็ ตน้ โดยผลท่ีตำมมำนอกจำกควำมผ่อนคลำยควำมเพลดิ เพลนิ ใจแล้ว ก็คือทำให้มลี ะคร ภำพยนตร์ งำนบนั เทิง มหรสพ คนตรี ฟอ้ นรำ ขน้ึ มำในสงั คม สถำบนั นันทนำกำรจำเปน็ ทีจะต้องมบี ุคคลวิธกี ำรสำหรบั ดำเนินกำร และกำรฝกึ ฝนเป็นระยะเวลำนำนจนเกดิ ควำมชำนำญจนทำใหก้ ำรแสดงสมจริง สำมำรถสรำ้ งควำมเพลดิ เพลนิ บันเทงิ ใจแก่คนท่ัวไปได้ดังนนั้ ควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งศิลปนิ ผู้จดั กำร และคนดูทัว่ ไปจงึ เกิดขน้ึ และสอดคลอ้ งกันและกัน ๗. สถาบนั สือ่ สารมวลชน คอื แบบแผนกำรส่อื สำรระหวำ่ งบุคคลในสังคมทีม่ ีกำรขยำยตวั กว้ำงใหญ่ขน้ึ ครอบคลมุ อำเภอ จังหวัด ประเทศ และโลก โดยแบบแผนดงั กล่ำวเกดิ ขน้ึ เพ่ือลดขอ้ จำกัดในแง่ของระยะทำงและเวลำ ในรูปของหนงั สอื พมิ พ์ วทิ ยุ โทรทัศน์ และอนิ เทอรเ์ นต็ บทบาทและหนา้ ท่ีของสถาบันส่ือสารมวลชน คอื กำรสง่ ขำ่ วสำร นำเสนอควำมคิดเหน็ ของประชำชนออกไปสู่สำธำรณชนเพือ่ ให้รบั รู้ขำ่ วสำรทันกับควำมเปล่ยี นแปลงของสงั คมท้ังในประเทศและต่ำงประเทศ ตรวจสอบกำรทำงำนของบุคคลและกลุ่มคนท่ีทำงำนเพื่อส่วนรวม เชน่ นกั กำรเมอื ง ข้ำรำชกำร ใหม้ ีควำมโปร่งใส ยตุ ิธรรม และเป็นประโยชนต์ อ่ บ้ำนเมืองมำกทส่ี ุด นอกจำกน้ี สอื่ มวลชนยงั มีหนำ้ ท่ีถำ่ ยทอดวฒั นธรรมใหค้ วำมบันเทงิ และช่วยพัฒนำคุณภำพชีวิตแกผ่ ู้รับสำรในปัจจบุ นั นอกจำกน้ี สถำบนั สือ่ สำรมวลชนยงั ทำหน้ำทใ่ี ห้ควำมรแู้ ก่ประชำชนทกุ เพศทุกวัยในแขนงต่ำง ๆโดยยปัจจุบนั สื่อมวลชนไดผ้ ลิตส่ือออกมำหลำยรปู แบบมำกขนึ้ เช่น รปู แบบของส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ที่บรรจุเนอื้ หำสำระของควำมรู้ทุกแขนงสู่ประชำชนโดยไมจ่ ำกัดเวลำ สถำนที่ เพศ และวยั เป็นตน้ ทำใหส้ งั คมปัจจบุ นักลำยเปน็ สังคมแหง่ ควำมรู้สรปุ สาระสาคญั กำรอยู่ร่วมกันเป็นสังคม มกี ำรกระทำร่วมกันทำให้สำมำรถแก้ไขปัญหำและสนองควำมต้องกำรของมนุษย์ให้สำมำรถดำเนินชีวิตในสงั คมได้ สงั คมทุกแหง่ ย่อมมีโครงสร้ำงสังคมชว่ ยคำ้ จุนใหส้ ังคมมีควำมมนั่ คง โครงสร้ำงทำงสังคมประกอบดว้ ย กล่มุ ทำงสงั คม และสถำบนั ทำงสังคม ซึง่ กลมุ่ สงั คมดังกล่ำวนี้หำกทำหน้ำที่ได้อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ สังคมก็จะมีควำมม่นั คงและเจริญรุ่งเรืองอยำ่ งย่ังยืน
8 แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี นหนว่ ยที่ 1คาส่ัง จงเลอื กคำตอบทถี่ กู ที่สดุ เพยี งคำตอบเดียว1. เพรำะเหตุใดมนุษย์ตอ้ งกลุ่มเป็นสงั คมก. เพอ่ื สร้ำงวฒั นธรรม ข. เพรำะมนุษยเ์ ปน็ สัตวส์ งั คมค. เพ่อื ให้อยรู่ อดปลอดภยั ง. เพรำะต้องกำรร้ำงสัญลกั ษณม์ ำใช้2. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของสถำบันทำงสงั คมก. กล่มุ สงั คม ข. หน้ำท่ีค. แบบแผนพฤติกรรม ง. สญั ลกั ษณแ์ ละค่ำนิยม3. ขอ้ ใดเปน็ เครือญำตโิ ดยวธิ กี ำรท่ตี ำ่ งจำกข้ออน่ืก. สำมี – ภรรยำ ข. พ่อ - ลกูค. พ่ี - น้อง ง. ยำย – หลำน4. ข้อใดเป็นหน้ำท่ีของสถำบันสงั คมทีส่ ถำบันอ่นื ๆ ไม่สำมำรถทำหนำ้ ท่ีแทนได้ก. ใหก้ ำเนดิ สมำชกิ ใหม่ ข. ให้ควำมปลอดภัยแก่สมำชิกค. ทำนุบำรุงสมำชกิ ง. ถำ่ ยทอดวัฒนธรรม5. สถำบนั ที่สร้ำงสง่ิ ยดึ เหนีย่ วจิตใจและใหผ้ ู้คนดำเนินชีวิตไปด้วยควำมดงี ำม หมำยถึงสถำบนั ใดก. สถำบันครอบ ข. สถำบนั กำรศึกษำค. สถาบันศาสนา ง. สถาบันสอ่ื สารมวลชน6. ข้อใดเป็นเหตุผลพนื้ ฐำนที่ทำให้เกิดสถำบันเศรษฐกิจก. เพระมนุษยต์ ้องกำรควำมมั่นคงข. เพื่อจดั สรรและแบ่งปันทรัพยำกรท่ีมอี ยู่อยำ่ งจำกดัค. เพ่ือสร้ำงสง่ิ ยดึ เหน่ียว ง. เพ่ือกระจำยข้อมลู ขำ่ วสำร7. “ศำล” จัดอยูใ่ นสถำบนั ในข้อใดก. สถำบนั ครอบครวั ข. สถำบนั เศรษฐกจิค. สถำบนั กำรเมืองกำรปกครอง ง. สถำบันกำรศึกษำ8. ขอ้ ใดไมจ่ ัดเปน็ หน้ำท่ีของสถำบันกำรเมืองกำรปกครองก. รักษำควำมมัน่ คงของชำติ ข. รักษำกฎเกณฑ์ของสงั คมค. บำบัดทกุ ข์ บำรงุ สขุ ง. พฒั นำคุณภำพของประชำชน9. ข้อใดเป็นหนำ้ ที่หลกั ของสถำบนั นนั ทนำกำรก. สรำ้ งอำชพี ให้กบั สังคม ข. เป็นแบบอยำ่ งทด่ี ีของสังคมค. ผ่อนคลำยควำมเครียดในชีวติ ประจำวนั แก่คนในสังคมง. กระจำยขำ่ วสำรใหร้ บั ร้เู ป็นวงกวำ้ ง10. ขอ้ ใดเปน็ กำรแสดงใหเ้ ห็นถึงควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งสถำบันเศรษฐกจิ กับสถำบนั กำรเมืองกำรปกครองก. รัฐบำลประกำศลอยตวั ค่ำเงินบำท ข. ธนำคำรงดบ่อยเงินกใู้ ห้กบั บุคคลบำงอำชพีค. ตำรวจกวดขันกำรเข้ำเมอื งของคนตำ่ งด้ำว ง. กองทัพตรงึ กำลังบริเวณด่ำน
9 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๒ สงั คมไทย วัฒนธรรมไทย ค่านยิ มและภูมปิ ัญญาไทยสังคมไทย เปน็ สงั คมที่มเี อกลกั ษณ หรือมีลักษณะเด่นเฉพำะตวั โดยเฉพำะทำงด้ำนวฒั นธรรมท่ีมกี ลุ่มชนหลำยชำติพนั ธ์มำอำศัยอย่รู วมกนั และมกี ำรรับแลกเปล่ยี นวัฒนธรรมทำงด้ำนตำ่ ง ๆ ส่งผลให้ลักษณะของสงั คมไทยในปจั จบุ ันเป็นสังคม ซงึ่ มีควำมแตกต่ำงหลำกหลำยท่อี ยรู่ วมกันไดอ้ ย่ำงกลมกลนืปัจจัยทเี่ ป็นตัวกาหนดลักษณะของสังคมไทย สงั คมแตล่ ะกลุ่มจะมลี ักษณะคล้ำยคลงึ หรอื แตกต่ำงกนั มำกน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กบั อทิ ธพิ ลของสิง่ แวดลอ้ ม๓ ประกำรได้แก่ ๑. สิง่ แวดลอ้ มทำงธรรมชำติ ประกอบด้วยลักษณะทำงภูมิประเทศ ทำงภูมิอำกำศ และพืชพรรณธรรมชำติซึ้งลว้ นแต่มิอิทธติ อ่ กำรดำเนินชวี ติ ของคนในสังคมไทย พนื้ ท่สี ว่ นใหญ่ของไทยเปน็ พืน้ ที่รำบลุ่มแม่น้ำท่ีอุดมสมบรู ณ์ด้วยพชื พรรณธรรมชำติ คนส่วนใหญจ่ ึงประกอบอำชีพดำ้ นกำรเกษตร ๒. สิง่ แวดลอ้ มทำงสังคม สังคมไทยเป็นสงั คมเกษตรกรรมทำให้คนไทยร่วมมือช่วยเหลือกันและกนั มำตั้งแต่สมยั โบรำณ เช่น รว่ มมือกันในกำรเพำะปลกู เก็บเกี่ยว กำรสร้ำงสำธำรณะประโยชน์ ๓. สงิ่ แวดล้อมทำงวฒั นธรรม สงั คมไทยมีประวตั ิควำมเป็นมำที่ยำวนำน สังคมมีกำรปรับเปล่ียนและววิ ัฒนำกำรสบื ตอ่ มำ ไดส้ ่ังสมควำมร้ทู ำงด้ำนภูมิปัญญำจนเกิดสง่ิ ประดิษฐ์ ภำษำไทย วรรณคดีไทย จำรีตประเพณีตลอดจนค่ำนิยมในสงั คมไทย ซึ่งมคี วำมสำคัญต่อกำรดำเนินชวี ติ จนกลำยเป็นมรดกทำงวฒั นธรรมไทยลักษณะของสังคมไทย ๑. สงั คมไทยมีพ้นื ฐำนเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชำกรสว่ นใหญ่ต้งั ถน่ิ ฐำนในพื้นที่รำบที่มคี วำมอุดมสมบรู ณ์จึงประกอบอำชพี ด้ำนกำรเกษตรกรรม โดยเฉพำะกำรเพำะปลูกข้ำว ซึง่ เป็นอำชีพหลักของคนไทยเชน่ ทำนำ ทำไร่ ทำสวน กำรเล้ียงสัตว์ ๒. สงั คมไทยมีพระพุทธศำสนำเป็นศำสนำหลกั เน่ืองจำกพระพุทธศำสนำประดิษฐำนในดนิ แดนไทยมำชำ้นำน ต้ังแตก่ ่อนกำรสถำปนำแควน้ ไทยข้นึ และพระมหำกษัตริย์ไทยตง้ั แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจุบนั ทำนุบำรงุ ศำสนำสืบมำ ๓. สังคมไทยเทิดทนู สถำบันพระมหำกษัตรยิ ์ เนอื่ งจำกสถำบนั พระมหำกษัตรยิ ์ไทยเปน็ ศูนยร์ วมจติ ใจของคนทั้งชำติ ซึง่ เป็นผลมำจำกกำรทส่ี งั คมในอดตี มรี ะบอบกำรปกครองแบบสมบรู ณำญำสิทธิรำชยม์ ำชำ้ นำน ๔. สังคมไทยมีลักษณะเป็นสังคมชนช้ัน แต่เดมิ สถำนภำพของสังคมไทย แบ่งออกเป็น ๒ ชนช้ันใหญ่ ๆคอื นช้ันปกครอง เรียกวำ่ มลู นำยหรอื เจำ้ ขุนมลู นำย และชนชนั้ ผ้อู ย่ใู ตก้ ำรปกครอง ได้แก่ ไพร่ ทำส ๕. สงั คมไทยมีลักษณะสงั คมที่มโี ครงกำรแบบหลวม ๆ กล่ำวคอื คนในสงั คมไทยสำมำรถเอกปฏบิ ัติในสง่ ท่ีตนพอใจ ไม่ถูกบังคบั ให้ต้องปฏิบตั ิเป็นแนวเดยี วกนั ๖. สงั คมไทยชอบยดึ ขนบธรรมเนียมประเพณีเปน็ หลกั ไม่นยิ มกำรเปลี่ยนแปลง คนไทยส่วนใหญ่ยงั คงนยิ มส่งิ ทต่ี นหรอื บรรพบุรุษเคยทำสืบตอ่ กันมำ กำรเปลยี่ นแปลงแนวคดิ หรือทัศนคติจึงทำได้ยำก เชน่ พิธีแรกนำขวญั พิธสี ่ขู วญั ขำ้ วเป็นต้นความหมายของวัฒนธรรม วฒั นธรรมโดยท่ัวไป หมำยถึง สิง่ ทค่ี นกำหนดสร้ำงขึ้น มีกำรเรยี นรู้สบื ตอ่ กนั มำมลี ักษณะทแี่ สดงออกถึงควำมงอกงำม ควำมเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย ควำมกลมเกลยี ว เช่น กำรใชภ้ ำษำไทย กำรรู้จกั เคำรพผู้อำวโุ ส กำรไหว้ศลิ ปกรรม อำหำรไทย รวมท้ังกำรแตง่ กำยท่สี ุภำพ เรียบร้อย ถูกตอ้ ตำมกำลเทศะเหมำะสมตำมฐำนะและวยั
10 วัฒนธรรม คือ มรดกแห่งสงั คมทมี่ นษุ ย์ไดส้ ร้ำงสรรค์ขึ้น และไดร้ บั กำรถำ่ ยทอดกนั มำจำกอดตี สู่ปจั จบุ ัน เป็นผลผลิตทแี่ สดงถึงควำมเจรญิ งอกงำมท้ังดำ้ นวัตถแุ ละท่ไี ม่ใชว่ ตั ถุ เชน่ อดุ มกำรณ์ ค่ำนิยม ประเพณีศีลธรรม กฎหมำยและศำสนำ เปน็ ตน้ พระรำชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชำติ พุทธศักรำช 2485กล่ำวว่ำ วัฒนธรรม หมำยถึง ลักษณะที่แสดงถึงควำมเจริญงอกงำม ควำมเป็นระเบียบเรียบร้อย ควำมกลมเกลียวก้ำวหน้ำของชำติ และศีลธรรมอันดีงำมของประชำชน สรุปได้ว่ำ วัฒนธรรม หมำยถึงวิธีกำรดำรงชีวิตของมนุษย์ท่ีแสดงถึงควำมเจริญงอกงำมใน กำรอยู่ร่วมกันเป็นกำรสร้ำงสรรค์ของมนษุ ย์ทแ่ี สดงออกในลักษณะวตั ถแุ ละไม่ใช่วตั ถุแลว้ ถ่ำยทอดสบื ต่อกันมำวฒั นธรรมมีลักษณะสาคัญ ดงั น้ี ๑. วัฒนธรรมเกิดจำกกำรเรียนรู้ วัฒนธรรมไม่ใช่ส่ิงที่ติดตัวมนุษย์มำแต่กำเนิดและไม่ใช่สิ่งท่ีอำจถ่ำยทอดทำงพันธุกรรมได้ เช่น กำรสร้ำงท่ีอยู่อำศัยของมนุษย์ย่อมแตกต่ำงไปจำกรังของผ้ึง เพรำะผ้ึงสร้ำงรังขึ้นโดยสัญชำตญำณที่เป็นไปเองตำมธรรมชำติ โดยไม่ต้องมีกำรเรียนรู้หรือส่ังสอน แต่กำรสร้ำงท่ีอยู่อำศัยของมนุษย์เกิดจำกกำรเรยี นรขู้ องสมำชกิ ในสังคม ๒. วัฒนธรรมเปน็ มรดกของสังคม วฒั นธรรมเปน็ ผลของกำรถ่ำยทอดและกำรเรียนรจู้ ำกสมำชิกรนุ่ หนง่ึ ไปสู่สมำชิกอกี ร่นุ ตอ่ ไป กำรถำ่ ยทอดนนั้ ตอ้ งใชเ้ วลำ และมีภำษำเปน็ สือ่ กลำงช่วยใชม้ นษุ ย์ได้แสดงควำมรูส้ ึกและสำมำรถเข้ำใจผอู้ ื่นได้ ชว่ ยใหก้ ำรถ่ำยทอดวัฒนธรรมสืบตอ่ มำเปน็ มรดกทำงสังคม ๓. วัฒนธรรมเป็นแบบแผนในกำรดำเนินชีวิต บุคคลที่เกิดในสังคมใดก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของสังคมน้ันซ่ึงแตกต่ำงกันไปตำมแต่ละสังคม ไมส่ ำมำรถนำมำเปรยี บเทยี บไดว้ ำ่ ของใครดีกวำ่ กัน เพรำะแต่ละวฒั นธรรมย่อมมีควำมเหมำะสมตำมสภำพแวดล้อมของแตล่ ะสังคม เช่น วัฒนธรรมไทยกม็ ีแบบแผนกำรดำเนินชวี ิตในลักษณะหนึ่งไม่ว่ำจะเป็นด้ำนกำรแต่งกำย อำหำรกำรกิน ควำมเป็นอยู่ ซ่ึงแตกต่ำงจำกวัฒนธรรมของชำวญี่ปุ่น ดังน้ัน วิถีชีวิตของคนไทยคนญปี่ ่นุ หรือชำติอืน่ ๆ จะมีวิถีชวี ติ ท่ีเปน็ ลกั ษณะของตนเอง ๔. วัฒนธรรมเป็นส่ิงที่เปล่ียนแปลงได้ จำกกำรคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือปรับปรุงของเดิมให้เหมำะสมกับสถำนกำรณท์ เ่ี ปลยี่ นแปลงไป จงึ ทำใหว้ ฒั นธรรมมีกำรเปลีย่ นแปลงอย่เู สมอ ๕. วัฒนธรรมมีลักษณะเป็นกำรแสดงถึงรูปแบบของควำมคิด ในกำรแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นผลมำจำกำรช่วยกันกำหนดรูปแบบของควำมคิดในกำรแสดงพฤติกรรมของสมำชิก โดยท่ีสมำชิกรับรู้ร่วมกัน และประพฤตติ ำมแนวคิดน้นั ๖. วัฒนธรรมมิใช่เป็นของผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพำะ วัฒนธรรมเป็นของส่วนรวม ซ่ึงเกิดจำกกำรที่มนุษย์อยู่ร่วมกัน และสร้ำงรูปแบบในกำรดำเนินชีวิตในสังคมร่วมกัน วัฒนธรรมจึงไม่ใช่สิ่งที่สมำชิกในสังคมคนใดคนหน่ึงยอมรบั และปฏบิ ตั เิ ทำ่ นัน้ประเภทของวัฒนธรรมวฒั นธรรม แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื ๑. วัฒนธรรมทางวตั ถุ คอื วฒั นธรรมดา้ นรปู ธรรมีทสี่ ามารถสมั ผสั ได้มรี ปู รา่ ง จากสิ่งประดิษฐท์ ่ีมนุษยผ์ ลิตขน้ึ มาใชใ้ นการดารงชีวติ เชน่ อาหาร บา้ นเรอื น ยารักษาโรค เครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ ทมี่ นุษยใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั เพือ่ควำมสขุ ทำงกำย อนั ได้แก่ ยำนพำหนะ ท่ีอยู่อำศัย ตลอดจนเครื่องป้องกันตวั ให้รอดพ้นจำกอันตรำยท้งั ปวง ๒. วฒั นธรรมท่ไี มใ่ ชว้ ัตถุ หมำยถงึ วฒั นธรรมด้ำนนำมธรรมทีไ่ ม่สำมำรถสัมผัสได้ วฒั นธรรมทำงจิตใจ เป็นเรื่องเก่ยี วกบั เครื่องยึดเหนียวจติ ใจมนุษย์ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ปญั ญำและมจี ติ ใจทีง่ ดงำม อันไดแ้ ก่ ภำษำ
11ควำมคดิ ค่ำนิยม จรยิ ธรรม คตธิ รรม ตลอดจนศลิ ปะ วรรณคดี และระเบียบแบบแผนของขนบธรรมเนียมประเพณีควำมเชือ่ ที่มนษุ ย์ยึดถือเก่ยี วกบั ศำสนำ ลทั ธิทำงกำรเมือง วฒั นธรรมประเภทนี้บำงครงั้ รวมเอำกติกำกำรแข่งขนักฬี ำ แนวคิดเกี่ยวกับยุทธวธิ ีของผู้แข่งขัน และกำรดูกำรแข่งขันไว้ดว้ ยองค์ประกอบของวัฒนธรรม วฒั นธรรมเป็นผลจาการทีม่ นุษย์ไดเ้ ขา้ ควบคุมธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ ทาให้เกิดการจดั ระเบียบทางสังคม ระบบความเช่ือ ศลิ ปกรรมต่าง ๆ ค่านยิ ม ตลอดจนวิทยาการใหมๆ่ ทางด้านเทคโนโลยที ่ีทนั สมัยทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิด และพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ให้ตอบสนองรองรับกับสง่ิ ที่เกิดขึ้นในสังคมเพอ่ื เป็นการปรบั ตวั ใหท้ นั กับสภาพส่ิงแวดล้อมตา่ ง ๆ ดงั นั้นจึงควรจะเข้าใจในเร่อื งของวัฒนธรรมวา่ มอี งค์ประกอบอะไรบ้าง ท่ีรวมกันแล้วทาใหเ้ กิดรูปแบบของวฒั นธรรมข้นึ มา ซ่ึงมีอยู่ 4 สว่ นดังนี้1. องคม์ ติ (Concept) หมำยถงึ ควำมเชอื่ ควำมคิดเห็น ควำมเข้ำใจ ตลอดจนอุดมกำรณต์ ่ำง ๆ เชน่ ควำมเช่ือในเรอ่ื งกฎแห่งกรรม ซึง่ เปน็ เครื่องช้เี จตนำควำมเชื่อในเรื่องของกำรมผี วั เดยี วเมยี เดียว ทถ่ี ือเป็นขนบธรรมเนยี มคำ่ นยิ มของสังคมทบี่ ง่ บอกวำ่ เปน็ ส่ิงท่ถี ูกต้องและดงี ำมของสังคมไทย ซงึ่ ควรแก่กำรยกย่องควำมเชื่อในเรื่องของกำรตำยและกำรเกิดใหม่ ควำมเชือ่ ในเร่ืองของพระเจ้ำองค์เดยี วหรือหลำยองค์ ตลอดจนทัศนคติกำรยอมรับในสง่ิ ที่ถกู ต้อง เหมำะสมหรือไม่ซึ่งแลว้ แตก่ ลุม่ ชนจะใชม้ ำตรฐำนใดในกำรตดั สิน หรอื เปน็ เครื่องวดั สภำพแวดล้อมของตน2. องคก์ าร (Association or Organization) หมำยถงึ กล่มุ สงั คมท่ีมีกำรจดั สภำพแวดลอ้ มทอี่ ยู่รอบตัวเรำได้เป็นระเบยี บ และมีระบบในกำรบรหิ ำรงำนอยำ่ งชัดเจน ทำใหเ้ กิดควำมสะดวกสบำยรวดเร็ว ถกู ตอ้ งและมีประสิทธิภำพในกำรบริหำรงำน หรือทำงำนและปกครองคนได้อย่ำงดี เช่น สถำบัน สมำคม สโมสร วดั สภำกำชำดสหพันธ์กรรมกร กลุ่มลูกเสอื ครอบครัว (องค์กรท่เี ล็กท่ีสดุ )องค์กำรที่ใหญ่ทส่ี ุดก็คือ องค์กำรสหประชำชำติ เป็นตน้3. องคพ์ ิธีการ (Usage) เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีทยี่ อมรบั กนั โดยทวั่ ไปซงึ่ แสดงออกในรูปพธิ กี รรมต่ำง ๆเช่น ประเพณีกำรโกนผมไฟ พธิ กี ำรแต่งงำน กำรตำยหรือพิธีตงั้ ศพ4. องคว์ ตั ถุ (Instrumental and Symbolic Objects) คือ วัฒนธรรมทำงวัตถุทม่ี ีรูปร่ำงสมำรถมองเหน็สัมผสั แตะต้องได้ เชน่ เคร่ืองมอื เคร่ืองใชใ้ นระบบกำรเกษตรกรรม ระบบกำรอุตสำหกรรม โรงเรียน อำคำรสถำนที่ตำ่ ง ๆ วดั โบสถ์ วหิ ำร และเครอ่ื งมือเครอื่ งใชท้ ำงวฒั นธรรมเชน่ คนโทนำ้ จำน ถ้วย และมีด กำนำ้ ตลอดจนผลผลิตของมนษุ ย์ในทำงศิลปกรรม เช่น ภำพเขียน รูปปนั้ สว่ นองค์วัตถุที่ไมม่ ีรปู ร่างก็จะเป็นเครื่องหมายท่แี สดงถึงสญั ญาลกั ษณ์ในการตดิ ต่อสอ่ื ความหมาย เชน่ ภาษา ตวั เลข มาตราชัง่ ตวง วดัการเปล่ยี นแปลงทางวัฒนธรรม สงั คมและวัฒนธรรมยอ่ มมีกำรเปลยี่ นแปลงอยูต่ ลอดเวลำ เพรำะควำมตอ้ งกำรของมนุษย์ไม่มีสิน้ สดุ กำรเปล่ียนแปลงนนั้ จะมีภำวะเปลย่ี นไปอยำ่ งไร ข้ึนอยกู่ ับระดับกำรศึกษำของคนในสังคม กำรส่ือสำรคมนำคมควำมคิดรเิ ริม่ สร้ำงสรรค์ วฒั นธรรมกับสังคมเปน็ ของคกู่ ัน ต้องไปด้วยกันเสมอ ถ้ำสงั คมเปล่ยี นวฒั นธรรมก็เปลี่ยน มผี ลเกี่ยวเน่อื งกันปจั จยั ท่ีทำใหเ้ กิดกำรเปล่ยี นแปลง เชน่ กำรคน้ พบทำงวิทยำศำสตร์สาเหตุการเปล่ยี นแปลง 1. ควำมตอ้ งกำรทำงสังคมเปลีย่ นแปลงไป มีกำรคดิ คน้ วฒั นธรรมใหม่ ดัดแปลงใหเ้ หมำะสมกบั สงั คมปัจจุบนั จึงทำใหเ้กดิ การเปลย่ี นแปลงทางวฒั นธรรม เช่น การแต่งกาย
12 2. กำรเปล่ียนแปลงของธรรมชำติ เชน่ สภำพดินฟ้ำอำกำศ ควำมแห้งแล้ง น้ำท่วม อำกำศร้อนจัด หนำวจดั กำรเสอื่ มสภำพของดนิ ๓. กำรเปล่ยี นแปลงดังกลำ่ วทำให้มนุษยค์ ิดคน้ สง่ิ ประดษิ ฐ์ใหม่ๆ เพื่อควบคุมกำรเปลี่ยนแปลงไป เชน่ กำรสร้ำงเข่อื นเพ่ือป้องกันนำ้ ทว่ มแต่เป็นกำรทำลำยป่ำไมแ้ ละสัตวป์ ่ำ กำรพัฒนำทำงด้ำนวิทยำศำสตรท์ ำให้เรำมีส่ิงประดษิ ฐใ์ หม่ๆ มำอำนวยควำมสะดวกในชวี ติ ประจำวนั ๔. กำรแลกเปลย่ี นวัฒนธรรมจำกสงั คมอื่น ซง่ึ เกิดจำกควำมเจรญิ ในดำ้ นกำรส่ือสำร กำรคมนำคมติดต่อถงึกันเปน็ ไปอยำ่ งสะดวกและรวดเรว็ กำรแลกเปล่ยี นวัฒนธรรมจำกสังคมอนื่ จงึ เป็นไปอย่ำงกว้ำงขวำง วฒั นธรรมท่ีมีความสาคัญตอ่ คนไทยและสังคมไทยหลายประการ ดังน้ี 1. เปน็ สิ่งแสดงถึงควำมเจริญของประเทศชำติ 2. เป็นสงิ่ แสดงเอกลกั ษณแ์ ละควำมเป็นชำติไทย 3. เปน็ สง่ิ กล่อมเกลำจติ ใจมนษุ ยใ์ ห้อยู่รว่ มกันในสังคมได้อยำ่ งเปน็ ปกตสิ ุข 4. เป็นส่ิงชว่ ยเสรมิ สรำ้ งควำมสำมัคคีชว่ ยใหค้ นไทยภมู ิใจในชำติไทยลกั ษณะของวัฒนธรรมไทย 1. วฒั นธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมแบบเกษตรกรรม นับต้งั แตอ่ ดีต คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอำชีพเกษตรกรรม โดยเฉพำะกำรเพำะปลูกข้ำว ซึ่งเป็นอำชพี หลักของคนไทยเช่น พิธแี รกนำขวัญ พิธีสขู่ วญั ขำ้ วเป็นต้น 2. วัฒนธรรมไทยมแี บบแผน่ ทำงพิธีกรรม มขี ้นั ตอน รวมถึงองค์ประกอบในพิธี ซึ่งล้วนมีรำกฐำนจำกพุทธศำสนำ เช่น กำรทำพธิ ีกรรมเกย่ี วกับกำรทำศพ พิธมี งคลสมรส เป็นตน้ 3. วัฒนธรรมไทยเปน็ ควำมคิด ควำมเช่ือ และหลกั กำรท่เี ป็นองค์ควำมรูซ้ ึง่ เกิดจำกกำรสง่ั สมและสืบทอดกนัมำ เช่น ควำมเชอื่ เรอ่ื งสงิ่ ศักด์ิสิทธิ์ และศำสนำ 4. วฒั นธรรมไทยเปน็ วัฒนธรรมแบบผสมผสำน นอกจำกคนไทยจะมีวัฒนธรรมเป็นของตนแลว้ ยังมกี ำรรบัวัฒนธรรมของชำติอื่นมำด้วย เชน่ กำรไหว้ จำกอินเดยี กำรปลูกบำ้ น โดยใช้คอนกรีตจำกวัฒนธรรมตะวันตก หรือกำรทำสวนยกร่องจำกวฒั นธรรมจีน เปน็ ตน้ 5. วัฒนธรรมไทยเปน็ วัฒนธรรมทีไ่ ด้รับอิทธิพลมำจำกศำสนำพทุ ธ ไม่วำ่ จะเปน็ กำรดำเนินชีวิต บรรทัดฐำนทำงสงั คม ศิลปกรรม วรรณกรรม พธิ ีกรรม ตลอดจนประเพณีตำ่ ง ๆ เช่น ประเพณกี ำรตัดบำตรเทโว ประเพณีกำรทอดกฐนิ ประเพณีกำรถวำยสลำกภัต เปน็ ต้น จนอำจกล่ำวได้ว่ำพระพทุ ธศำสนำเป็นรำกฐำนสำคัญต่อลักษณะทำงวฒั นธรรมไทยการอนุรักษว์ ัฒนธรรมไทย กำรอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมไทยนนั้ ตอ้ งอำศยั ควำมร่วมมือกันของคนไทยทกุ คน มีวิธกี ำรดังน้ี 1. ส่งเสรมิ กำรศกึ ษำทำงวัฒนธรรม ทัง้ ทม่ี กี ำรรวบรวมไว้ เพื่อทรำบควำมหมำยและควำมสำคญั ของวฒั นธรรมในฐำนะท่เี ปน็ มรดกของไทยอยำ่ งถ่อง แท้ ซ่งึ ควำมรดู้ งั กลำ่ วถือเปน็ รำกฐำนของกำรดำเนนิ ชวี ติ เพอื่ ให้เห็นคณุ คำ่ ทำให้เกิดกำรยอมรับ และนำไปใช้ประโยชน์อย่ำงเหมำะสมตอ่ ไป 2. ส่งเสรมิ ให้ทุกคนเห็นคณุ คำ่ ร่วมกนั รักษำเอกลกั ษณท์ ำงวัฒนธรรมของชำติเพื่อ สร้ำงควำมเข้ำใจและมั่นใจแก่ประชำชนในกำรปรบั เปลย่ี นและตอบสนองกระแส วัฒนธรรมอ่นื ๆ อยำ่ งเหมำะสม
13 3. ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมภำยในประเทศและระหวำ่ งประเทศ โดยกำรใชศ้ ิลปวฒั นธรรมท่เี ป็นสือ่ สร้ำงควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งกนั 4. จัดทำระบบเครือข่ำยสำรสนเทศทำงดำ้ นวัฒนธรรม เพอื่ เป็นศูนยก์ ลำงเผยแพรป่ ระชำสัมพนั ธผ์ ลงำนเพื่อให้ประชำชนเข้ำใจ สำมำรถเลือกสรร ตดั สินใจ และปรับเปล่ยี นให้เหมำะสมกบั กำรดำเนนิ ชวี ิต ทัง้ น้สี ่อื มวลชนควรมีบทบำทในกำรส่งเสรมิ และสนบั สนุนงำนด้ำนวฒั นธรรมมำกย่งิ ขน้ึ ดว้ ยคณุ ธรรมและจริยธรรมความหมายของคุณธรรม คุณธรรม ตรงกบั ภำษำองั กฤษ ว่ำ “ Morality หรอื Virtue” ซึง่ มีผูใ้ ห้ควำมหมำยไวห้ ลำกหลำยควำมหมำย เชน่ พจนานุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ.2543 คณุ ธรรมหมำยถึง สภำพคุณงำมควำมดี เป็นสภำพคุณงำมควำมดีทำงควำมประพฤตแิ ละจติ ใจ ซึ่งสำมำรถแยกออกเป็น 2 ควำมหมำย คือ 1. ควำมประพฤตดิ งี ำม เพอื่ ประโยชน์สขุ แก่ตนและสงั คม ซง่ึ มีพ้ืนฐำนมำจำกหลักศีลธรรมทำงศำสนำคำ่ นยิ มทำงวฒั นธรรม ประเพณี หลกั กฎหมำย จรรยำบรรณวชิ ำชพี 2. กำรรู้จกั ไตร่ตรองว่ำอะไรควรทำ ไมค่ วรทำ และอำจกลำ่ วได้ว่ำ คุณธรรม คือ จรยิ ธรรมแต่ละข้อทีนำมำปฏบิ ัตจิ นเปน็ นสิ ัย เชน่ เปน็ คนซื่อสัตย์ เสยี สละ อดทน มีควำมรับผิดชอบ ประภาศรี สหี อาไพ (2550, 7) กลำ่ ววำ่ คุณธรรม คือหลกั ธรรมจรยิ ำท่สี รำ้ งควำมรสู้ กึ ผิดชอบชั่วดีในทำงศลี ธรรม มีคณุ งำมควำมดีภำยในจิตใจอยู่ในข้ันสมบูรณจ์ นเตม็ เปี่ยมไปด้วยควำมสุข ควำมยินดี กำรกระทำท่ีดียอ่ มมผี ลติ ผลของควำมดีคือควำมชื่นชมยกยอ่ ง ในขณะท่ีกระทำควำมชัว่ ยอ่ มนำควำมเจบ็ ปวดมำให้ กำรเปน็ ผมู้ ีคณุ ธรรม คือ กำรปฏิบัติอยู่ในกรอบที่ดีงำม ควำมเข้ำใจในเรอื่ งกำรกระทำดมี ีคุณธรรมเป็นเกณฑ์สำกลทตี่ รงกนัเชน่ กำรไมฆ่ ำ่ สัตว์ ไม่เบยี ดเบียน ไมล่ กั ขโมย ไมป่ ระพฤตผิ ิดในกำม เป็นต้น สภำพกำรณ์ของกำรกระทำควำมดีคือควำมเหมำะสม ควำมควรตอ่ เหตุกำรณท์ เ่ี กิดขึ้น สำมำรถสั่งสอนอบรมให้ปฏิบัติตำมมำตรฐำนของพฤติกรรมท่ีถูกต้อง มสี ติสัมปชญั ญะ รับผดิ ชอบชวั่ ดตี ำมทำนองคลองธรรม มีจิตใจลักษณะนิสัยหรือควำมต้งั ใจที่ดีงำม พุทธทาสภิกขุ (2505, 3) ได้ให้อรรถำธิบำยคำวำ่ คุณธรรม ไวว้ ำ่ คุณ หมำยถงึ คำ่ ท่ีมอี ยใู่ นแต่ละสงิ่ซึ่งเปน็ ท่ีต้งั แห่งควำมยดึ ถือ เปน็ ไปได้ท้งั ทำงดแี ละทำงรำ้ ย คอื ไม่ว่ำจะทำใหจ้ ติ ใจยินดหี รอื ยนิ รำ้ ยกเ็ รียกวำ่ ” คุณ”ซง่ึ เป็นไปตำมธรรมชำติของมัน สว่ นคำว่ำ ธรรม มีควำมหมำย 4 อยำ่ ง คอื 1. ธรรมะ คือ ธรรมชำติ 2. ธรรมะ คอื กฎของธรรมชำตทิ ่เี รำมีหน้ำท่ีตอ้ งเรยี นรู้ 3. ธรรมะ คือ หนำ้ ทต่ี ำมกฎของธรรมชำติ เรำมีหน้ำที่ต้องปฏิบัติ 4. ธรรมะ คือ ผลจำกกำรปฏิบตั หิ น้ำท่ีน้นั เรำมหี นำ้ ที่จะต้องมี หรอื ใชม้ ันอยำ่ งถูกต้อง สรุปไดว้ ่า คุณธรรม เป็นคณุ ลักษณะของควำมรู้สึกนกึ คดิ หรอื สภำวะจติ ใจทเี่ ปน็ ไปในแนวทำงทีถ่ ูกตอ้ งและดงี ำม ทสี่ งั่ สมอยู่ในจิตใจของมนษุ ยเ์ ปน็ เวลำยำวนำน เปน็ ตวั กระต้นุ ให้มีกำรประพฤตปิ ฏิบตั อิ ยใู่ นกรอบท่ีดีงำม คณุ ธรรมเปน็ สิ่งทดี่ ีงำมทำงจิตใจ เปน็ คุณค่ำของชวี ิตในกำรบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกลู แก่เพื่อนมนุษย์ให้เกดิ ควำมรักสำมัคคี ควำมอบอุ่นม่ันคงในชีวติ ดงั นน้ั คณุ ธรรมเปน็ บ่อเกิดของจรยิ ธรรม
14 พจนำนกุ รมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. 2525 ให้ควำมหมำยไวด้ งั นี้ จริย แปลว่ำ ควำมประพฤติหรอื กริยำที่ควรประพฤติ ธรรม แปลวำ่ สภำพคณุ งำมดีและมผี ้ใู ห้ควำมหมำยของคำว่ำ “จรยิ ธรรม” ไวห้ ลำยคนเชน่ พระพรหมคุณำภรณ์ (2546, 15) ไดก้ ลำ่ วถึง จริยธรรม ไวว้ ่ำ เป็นเร่ืองของกำรดำเนินชวี ิตในดำ้ นต่ำง ๆดังนี้ 1. พฤตกิ รรมทำงกำย วำจำ และกำรใช้อินทรยี ์ ในกำรสมั พนั ธ์กับสิง่ แวดล้อม 2. จิตใจของเรำ ซงึ่ มีเจตจำนง ควำมตงั้ ใจ แรงจูงใจท่จี ะทำใหเ้ รำมีพฤติกรรมสัมพนั ธก์ บั ส่ิงแวดล้อมอย่ำงไรตำมภำวะและคณุ สมบัตติ ่ำง ๆ ของจติ ใจนั้น ๆ 3. ปัญญำ ควำมรู้ ซึ่งเปน็ ตวั ชีท้ ำงใหว้ ่ำเรำจะสัมพันธ์อย่ำงไรจึงจะไดผ้ ล และเปน็ ตัวจำกัดขอบเขตว่ำเรำจะสัมพันธก์ ับอะไร จะใช้พฤติกรรมไดแ้ ค่ไหน เรำมีปัญญำ มีควำมรู้แค่ไหน เรำกใ็ ชพ้ ฤติกรรมได้ในขอบเขตน้นั ถ้ำเรำขยำยปัญญำควำมรอู้ อกไป เรำกม็ ีพฤติกรรมที่ซับซอ้ นและไดผ้ ลดีย่งิ ขึ้น สมคดิ บำงโม (2554, 12) ได้ใหค้ วำมหมำย จริยธรรม หมำยถึง หลกั หรอื ข้อควำมประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ี่ถกู ต้อง ดงี ำมตำมหลักคณุ ธรรม ตลอดจนกำรมีปัญญำไตร่ตรองดว้ ยเหตผุ ลว่ำ อะไรดี ควรประพฤติ อะไรไม่ดี ไม่ควรประพฤติ สรปุ ไดว้ ่า จรยิ ธรรม เปน็ ควำมประพฤติ กรยิ ำ หรือสง่ิ ที่ควรประพฤติ ปฏบิ ัติ ในทำงท่ีถูกต้อง ดีงำมและเหมำะสม ซง่ึ จะสะท้อนคณุ ธรรมภำยในให้เหน็ เปน็ รปู ธรรม จำกควำมหมำยท่กี ล่ำวมำข้ำงต้น สรปุ ไดว้ ่ำคณุ ธรรมเป็นลกั ษณะควำมรู้สึกนึกคิดทำงจิตใจควำมรู้สึกผดิ ชอบช่ัวดใี นแต่ละบคุ คล ส่วน จรยิ ธรรม เป็นลกั ษณะกำรแสดงออกของรำ่ งกำย ทำงกำรประพฤติปฏิบัติ ซง่ึ สะท้อนคุณธรรมภำยในให้เหน็ เป็นรปู ธรรม นนั้ เองคา่ นิยมในสังคมค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสงั คมใดสังคมหนึง่ เห็นว่าเปน็ สิ่งทน่ี า่ นยิ ม น่ากระทา น่ายกยอ่ งเป็นส่ิงท่ีถูกต้อง ค่านยิ มเป็นสิ่งท่บี ุคคลในสงั คมนัน้ ๆ เห็นพ้องต้องกันว่าเปน็ สงิ ทค่ี วรปฏิบตั หิ รอื ไมค่ วรปฏิบตั ิค่านยิ มท่คี วรปลูกฝังในสงั คมไทย ไดแ้ ก่1. กำรรกั ชำติ ศำสนำ พระมหำกษัตรยิ ์ 2. ควำมเอือ้ เฟ้อื เผ่ือแผ่3. ควำมกตญั ญูกตเวที 4. กำรนิยมของไทย5. กำรประหยัด 6. ควำมซ่อื สตั ยส์ จุ ริต 7. กำรเคำรพผอู้ ำวโุ สความสาคัญของค่านยิ ม๑. ค่านยิ มเปน็ ตวั กาหนดพฤติกรรมของมนุษย์๒. คา่ นิยมมผี ลระทบต่อความเจรญิ และความเส่ือมของสังคม๓. คา่ นิยมมีผลกระทบกับประเพณี วัฒนธรรม พธิ กี รรม๔. คา่ นยิ มมีผลกระทบทางสภาพแวดลอ้ มทางสังคม สภาพทาภมู ิศาสตร์๕. ค่านิยมมีผลกระทบตอ่ ความคดิ และแนวปฏิบัตขิ องมนษุ ยใ์ นสงั คมจากเหตุปจั จัยทางการศึกษาประเภทของค่านยิ ม ค่ำนยิ มทว่ั ไปมี 2 ประเภท1. ค่ำนิยมสว่ นบุคคล 2. ค่ำนิยมทำงสงั คม
15ลกั ษณะค่านยิ มของสังคมไทย สภาพของสงั คมไทยในปัจจบุ นั ได้เปลีย่ นแปลงไปมาก ตามสภาพของสิง่ แวดล้อมและกาลเวลา มกี ารติดต่อค้าขาย สัมพนั ธท์ างการทูตกับทางประเทศ มีทนุ ใหค้ รูอาจารยไ์ ปดงู านตา่ งประเทศ การช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยแี กส่ ถาบันการศกึ ษา ทาให้มีการพัฒนาประเทศใหเ้ จริญรุ่งเรอื งมากขน้ึ ค่านยิ มท่ัวไปของสังคมไทย มที ้ังดแี ละไมด่ ี ซ่งึ แลว้ แต่ทศั นคติของแตล่ ะกลุ่มบุคคล ด้วยเหตนุ ้ีจงึ ทาใหค้ า่ นยิ มตลอดจนประเพณวี ัฒนธรรมของสงั คมไทยเปล่ียนแปลงไปตามสภาพของสังคมไทยด้วยดงั นี้ 1.ยดึ ถือในพระพุทธศาสนา เชน่ เดียวกบั ในอดตี มกี ำรศึกษำพระธรรมวนิ ัยอยำ่ งลึกซง่ึ ตลอดจนมกี ำรปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ ขอ้ บังคับของสงฆ์ ประชำชนมีบทบำทตรวจสอบพฤตกิ รรมทำงวินยั สงฆไ์ ด้ เพ่ือป้องกนัปญั หำ กำรแสวงหำผลประโยชนจ์ ำกพทุ ธศำสนำ 2.เคารพเทิดทนู พระมหากษัตรยิ ์ สังคมไทยตำ่ งจำกสงั คมชำตอิ ่ืน กษตั ริย์ไทยเปรียบเสมือนสมมตเิ ทพคอยดูแลทกุ ข์สุขของ ประชำชนทำนบุ ำรงุ ประเทศชำติให้เจรญิ รุง่ เรื่องในทกุ ด้ำน จึงเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจ 3.เช่ือในเรอ่ื งของเหตุผล ควำมเปน็ จริง และควำมถูกตอ้ งมำกข้นึ กว่ำใน ปัจจบุ ันสังคมไทยปลกู ฝงั ให้คนไทยรูจ้ ักคิดใช้ปญั ญำมีเหตผุ ล มำกข้ึนเชน่ ได้ออกกฎหมำยเพ่ือให้ควำมคุ้มครองเจำ้ ของควำมคดิ ไม่ใครลอกเลียนแบบไดเ้ รียกวำ่ \"ลิขสทิ ธิท์ างปัญญา” เปน็ ต้น 4.คา่ นยิ มในการให้ความรู้ กำรจะพำตนเองให้รอดจำกปญั หำท่เี กิดขึน้ ในสังคมได้จำเป็นต้องมีควำมรู้ควำมสำมำรถทีโ่ ดดเดน่ จึงเป็นส่งิ ท่ีคนไทยในสงั คมปัจจุบนั ต้องเสำะแสวงหำ 5.นยิ มรา่ รวยและมเี กียรติ เพรำะมคี วำมเชื่อท่วี ำ่ เงินทอง สำมำรถบนั ดำลควำมสุขตอบสนองควำมต้องกำรของคนได้ ขณะเดียวกนั กจ็ ะมีชอ่ื เสียงเกยี รติยศตำมมำ 6.มีความเชื่อมัน่ ตนเองสูง เพ่ือปลกู ฝังใหเ้ ยำวชนไทยทุกคนกล้ำตดั สินใจและกล้ำแสดงออกทำงควำมคดิแลกำรกระทำ มบี ุคลกิ ภำพเหมำะสมทีจ่ ะเปน็ ผ้นู ำท่ดี ี 7.ชอบแก่งแยงชิงดีชิงเด่น ลกั ษณะกลวั กำรเสยี เปรยี บ กลวั สูเ้ พื่อไม่ได้ เพอ่ื กำรอยู่รอดจึงต้องกระทำกำรแย่งชงิ แสวงหำผลประโยชนใ์ ห้ตนเอง 8. นิยมการบรโิ ภคของแพง เลียนแบบอย่ำงตะวันตก รักควำมสะดวกสบำย ใช้จำ่ ยเกินตัวเป็นกำรนำไปสู่กำรมีหน้สี ินมำกมำย 9.ต้องทางานแข่งกับเวลา ทุกวนั น้คี นล้นงำน จงึ ตอ้ งรู้จักกำหนดเวลำ กำรแบ่งแยกเวลำในกำรทำงำนกำรเดนิ ทำงและกำรพักผอ่ น ใหช้ ดั เจน 10.ชอบอิสระ ไม่ชอบอยภู่ ำยใต้อำนำจใคร ไมช่ อบกำรมเี จำ้ นำยหลำยคน ในกำรทำงำนมักประกอบอำชพีอสิ ระ เปิดกิจกำรเป็นของตนเอง 11.ตอ้ งการสทิ ธิความเสมอภาคระหว่างหญงิ ชายเทา่ เทียมกนั หญงิ ไทยในยุคปัจจบุ ันจะมีควำมคล่องแคลว่ สำมำรถบริหำรงำนได้เชน่ เดียวกบั ผู้ชำยเปน็ ที่พง่ึ ของครอบครวั ได้ ภรรยำจงึ ไมใ่ ช้ชำ้ งเท้ำหลงั ต่อไป 12. นิยมการทดลองอย่ดู ้วยกนั ก่อนแต่งงาน ซ่งึ กำรเลยี นแบบวัฒนธรรมตะวันตกทมี่ ีควำมเจรญิ ทำงวตั ถุมำกกว่ำทำงจิตใจ ผใู้ หญ่ควรทำตน เปน็ ตัวอยำ่ งท่ดี แี ก่เยำวชน เหมำะสมกับศลี ธรรมจรรยำ 13. นยิ มภาษาต่างประเทศ เพรำะต้องใช้ในกำรติดตอ่ สอ่ื สำรทำงธรุ กจิ และ เทคโนโลยีสมยั ใหม่ ๆ ตำรำหรอื อินเตอรเ์ นต็ มีควำมจำเป็น ต้องรู้ทำงภำษำตำ่ งประเทศ หำกไมม่ ีกย็ ำกต่อกำรศึกษำและนำไปใช้
16คา่ นยิ มทค่ี วรแกไ้ ขในสงั คมไทย ค่ำนิยมของสงั คมไทยนัน้ ไม่ใชว้ ำ่ จะก่อใหเ้ กิดผลดตี ่อสงั คมทงั้ หมดดงั ที่ได้กล่ำวมำแล้ว เพรำะคำ่ นยิ มท่ีไม่ควรยกย่องท่ีเกิดข้นึ ในสังคมกย็ งั มีอยมู่ ำก ซงึ่ ถำ้ คนในสังคมปฏิบตั ยิ ึดถอื ย่อมกอ่ ให้เกดิ ผลเสียต่อสังคมน้นั ๆ ได้ส่งิ ท่ีควรแกไ้ ขมีดังน้ี 1. ให้ควำมสำคัญกบั วตั ถุ หรือเงินตรำย่อมก่อให้เกิดผลเสยี ได้รับกำรดูถูกดูแคลน เปน็ ที่รังเกลยี ดต่อสงั คม 2. ยึดถอื ในตัวบุคคล ยกย่องผูม้ ีอำนำจ มีเงิน 3. รกั พวกพ้อง รกั ควำมสนุกสนำน ควำมสบำย 4. รักควำมหรูหรำ ฟมุ่ เฟือย นยิ มใช้ส้นิ คำ้ แพง 5. เชอ่ื เรอื่ งโชคลำง อำนำจเหนือธรรมชำติ ชอบเลน่ กำรพนัน 6. ไมต่ รงเวลำ ขำดระเบยี บวินัย ขำดควำมกระตือรอื ร้นและควำมอดทน 7. ขำดควำมเคำรพผู้อำวุโส 8. นับถอื วัตถมุ ำกกวำ่ พระธรรม ทำบญุ เอำหน้ำ หวงั ควำมสุขในชำติหนำ้ 9. นิยมตะวันตกลืมภำษำไทย ซึ่งเป็นภำษำของชำติ จนทำใหภ้ ำษำไทยผดิ เพี้ยน 10. พดู มำกกวำ่ ทำ หนำ้ ใหญ่ใจโต สอดรู้สอดเห็น เหน็ ใครดไี ม่ได้ค่านยิ มหลกั ของคนไทย 12 ประการ ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งติ 1.มคี วำมรักชำติ ศำสนำ พระมหำกษตั ริย์ 2. ซ่อื สัตย์ เสยี สละ อดทน มีอุดมกำรณ์ในสิง่ ที่ดงี ำมเพ่ือสว่ นรวม 3. กตัญญูตอ่ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครูบำอำจำรย์ 4. ใฝ่หำควำมรู้ หมนั่ ศึกษำเล่ำเรยี นท้ังทำงตรง และทำงอ้อม 5. รักษำวฒั นธรรมประเพณีไทยอนั งดงำม 6. มีศีลธรรม รกั ษำควำมสตั ย์ หวงั ดีตอ่ ผูอ้ ่ืน เผื่อแผ่และแบ่งปัน 7. เข้ำใจเรยี นร้กู ำรเป็นประชำธิปไตย อนั มีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุขท่ีถกู ต้อง 8. มีระเบียบวนิ ยั เคำรพกฎหมำย ผูน้ ้อยรจู้ กั กำรเคำรพผู้ใหญ่ 9. มีสตริ ู้ตวั ร้คู ดิ รูท้ ำ รูป้ ฏิบตั ติ ำมพระรำชดำรัสของพระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยู่หัว 10. รจู้ กั ดำรงตนอย่โู ดยใชห้ ลักปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียงตำมพระรำชดำรัสของ พระบำทสมเด็จพรเจ้ำอยหู่ วั รู้จักอดออมไว้ใชเ้ ม่ือยำมจำเปน็ มีไวพ้ อกนิ พอใช้ ถำ้ เหลือก็แจกจำ่ ยจำหน่ำย และพร้อมท่จี ะขยำยกิจกำรเมื่อมีควำมพร้อมเม่ือมีภมู คิ ุม้ กันทีด่ ี 11. มคี วำมเข้มแข็งท้งั ร่ำงกำย และจิตใจ ไม่ยอมแพต้ ่ออำนำจฝำ่ ยตำ่ หรือกิเลส มีควำมละอำยเกรงกลัวต่อบำปตำมหลักของศำสนำ 12. คำนึงถึงผลประโยชนข์ องสว่ นรวม และของชำตมิ ำกกวำ่ ผลประโยชน์ของตนเองภูมปิ ญั ญาไทย ภมู ิปัญญา หมำยถึง ควำมรู้ ควำมสำมำรถ ควำมเชอ่ื ทนี่ ำมำไปสกู่ ำรปฏิบัตเิ พอื่ แก้ไขปญั หำของมนุษย์หรือ ภมู ิปญั ญำ คือ พน้ื ควำมรขู้ องปวงชนในสังคมนัน้ ๆ และปวงชนในสงั คมยอมรับรู้ เชื่อถือ เขำ้ ใจ รว่ มกันลักษณะสาคญั ของภูมปิ ญั ญาไทย พอสรุปได้ดงั นี้ 1. มลี ักษณะเป็นเรอ่ื งของกำรใช้ควำมรู้ ทักษะ ควำมเชื่อ และพฤติกรรม เป็นเอกลกั ษณแ์ ละอัตลกั ษณ์ของตน
17 2. แสดงถึงควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งคนกบั คน คนกับธรรมชำติสภำพแวดลอ้ ม คนกบั สงิ่ ท่ีเหนอื ธรรมชำติ 3. เป็นองคร์ วมของควำมรู้หรือกิจกรรมทุกอย่ำงในวิถีชวี ติ คน 4. เปน็ แกนหลกั หรือกระบวนทศั น์ในกำรมองชวี ติ เปน็ พน้ื ควำมรูใ้ นเรื่องตำ่ ง ๆ รวมทัง้ กำรดำรงชวี ิต 5. เป็นเร่อื งของกำรแกไ้ ขปัญหำ กำรบรหิ ำรจดั กำร กำรปรับตวั กำรเรยี นรู้เพอ่ื ควำมอยู่รอดของบคุ คล ชุมชนและสังคม 6. เปน็ เร่ืองเกีย่ วกับศิลปวฒั นธรรม คุณธรรม จรยิ ธรรม ทีม่ คี ุณคำ่ ทำงด้ำนจติ ใจมำกกวำ่ วัตถธุ รรม 7. มีลักษณะพิเศษหรือมีเอกลกั ษณะในตัวเอง 8. มกี ำรเปล่ยี นแปลงเพื่อปรบั ให้สมดลุ กบั พัฒนำกำรทำงสังคม ท่ีมีกำรเปล่ียนแปลงตลอดเวลำคุณสมบัตขิ องผู้ทรงภมู ปิ ัญญาไทย ผูท้ รงภมู ปิ ัญญาไทย หมำยถึง บคุ คลทเ่ี ปน็ เจำ้ ของภูมิปัญญำชำวบำ้ น แล้วนำปญั ญำน้นั ไปใชป้ ระโยชน์เพื่อดำรงชีวติ ไดส้ ำเร็จ มีผลงงำนดีเดน่ ปราชญช์ าวบา้ น หมำยถงึ บคุ คลทเ่ี ปน็ เจำ้ ของภมู ิปัญญำชำวบำ้ น และนำภูมปิ ญั ญำไปใชป้ ระโยชน์ในกำรดำรงชีวติ จนประสบควำมสำเรจ็ ครูภมู ิปญั ญา หมำยถึง บุคคลผู้ทรงปัญญำดำ้ นหน่ึงด้ำนใด เป็นผู้สร้ำงสรรคแ์ ละสบื สำนภมู ปิ ญั ญำประเภทของภูมิปัญญา แบง่ ออกได้ 4 ประเภท1. ภูมิปัญญาพ้นื บ้าน เป็นองคค์ วำมรู้ ควำมสำมำรถและประสบกำรณ์ที่สงั่ สมและสบื ทอดกนั มำ เปน็ควำมสำมำรถและศักยภำพในเชงิ กำรแก้ปญั หำ กำรปรบั ตัวเรียนร้แู ละสบื ทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป เพือ่ กำรดำรงอยู่ของเผ่ำพนั ธ์ุ จึงเปน็ มรดกทำงวัฒนธรรมชำติ ของเผ่ำพนั ธห์ุ รือเปน็ วิถีชีวิตของชำวบ้ำน2.ภมู ปิ ัญญาชาวบ้าน เป็นวธิ ีกำรปฏิบัตขิ องชำวบำ้ น ซ่งึ ได้มำจำกประสบกำรณ์ แนวทำงแก้ปัญหำแตล่ ะเร่ืองแตล่ ะประสบกำรณ์ แต่ละสภำพแวดล้อม ซ่ึงจะมีเง่ือนไขปจั จยั เฉพำะแตกตำ่ งกันไป นำมำใช้แก้ไขปัญหำโดยอำศยั ศกั ยภำพทม่ี ีอยูโ่ ดยชำวบำ้ นคิดเอง เปน็ ควำมรู้ทสี่ ร้ำงสรรค์และมีสว่ นเสริมสรำ้ งกำรผลติ หรอื เป็นควำมรขู้ องชำวบำ้ นทผ่ี ำ่ นกำรปฏิบัตมิ ำแลว้ อยำ่ งโชกโชนเปน็ สว่ นหนึ่งของมรดกทำงวัฒนธรรมเปน็ ควำมรู้ทีป่ ฏบิ ัตไิ ด้มีพลงัและสำคญั ยิง่ ช่วยใหช้ ำวบ้ำนมชี วี ติ อยรู่ อดสร้ำงสรรค์กำรผลติ และช่วยในดำ้ นกำรทำงำน เป็นโครงสร้ำงควำมรูท้ ่มี ีหลกั กำร มเี หตุ มีผลในตวั เอง3. ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ เป็นควำมร้ทู ี่เกิดจำกประสบกำรณใ์ นชวี ติ ของคน ผ่ำนกระบวนกำรศึกษำ สังเกต คิดว่ำวิเครำะห์จนเกิดปัญญำและตกผลกึ เป็นองคค์ วำมรู้ท่ีประกอบกันขึ้นมำจำกควำมร้เู ฉพำะหลำย ๆ เร่อื ง จัดว่ำเป็นพ้ืนฐำนขององคค์ วำมร้สู มัยใหมท่ ีจ่ ะช่วยในกำรเรยี นรู้ กำรแก้ปญั หำจัดกำรและกำรปรับตัวในกำรดำเนนิ ชีวติ ของคนเรำ ภูมิปัญญำท้องถิ่น เป็นควำมร้ทู มี่ ีอยู่ทั่วไปในสงั คม ชุมชนและในตวั ผรู้ เู้ อง จึงควรมีกำรสืบค้นรวบรวมศึกษำ ถ่ำยทอด พฒั นำและนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้อย่ำงกว้ำงขวำง4. ภมู ปิ ญั ญาไทย หมำยถึง องค์ควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทกั ษะของคนไทยทเี่ กิดจำกกำรส่งเสริมประสบกำรณท์ ่ีผำ่ นกระบวนกำรกำรเลอื กสรร เรียนรปู้ รุงแต่งและถ่ำยทอดสืบต่อกนั มำ เพื่อใชแ้ ก้ปัญหำและพฒั นำวิถชี วี ิตของคนไทยให้สมดุลกบั สภำพแวดลอ้ มและเหมำะสมกับยุคสมัย
18 แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี นหน่วยที่ 2คาสง่ั จงเลือกคำตอบทีถ่ กู ที่สดุ เพยี งคำตอบเดยี ว๑. ข้อใดกลำ่ ว “ถูกตอ้ ง” เก่ยี วกบั วัฒนธรรมก. เปน็ สง่ิ ที่มองเหน็ และจบั ต้องได้เท่ำนน้ัข. เปน็ สิง่ ทเี่ กดิ จำกกำรเรียนรู้ จงึ จบั ต้องไม่ได้ค. เปน็ สิง่ ทีม่ นษุ ยส์ รำ้ งขึน้ สำมำรถถ่ำยทอดได้ง. เป็นส่งิ ที่เกิดขน้ึ เองตำมธรรมชำติ สำมำรถเปลยี่ นแปลงได้๒. โบสถ์ วิหำร บ้ำนเรอื นไทย พระรำชวัง จดั เป็นศิลปะไทยประเภทใดก. ประตมิ ำกรรมไทย ข. สถำปตั ยกรรมไทยค. จิตรกรรมไทย ง. วรรณศลิ ป์๓. ขอ้ ใดแสดงออกถึงเอกลักษณ์ควำมเป็นไทยก. กำรกรำบ ข. กำรคำนับค. กำรไหว้ ง. กำรจบั มอื๔. ขอ้ ใด “ไมใ่ ช่” คำ่ นยิ มดง้ั เดมิ ของไทยก.ควำมกตัญญู ข. ควำมเสมอภำคค.กำรเคำรพผ้อู ำวโุ ส ง. ควำมเมตตำกรุณำ๕. ผูใ้ ดมหี น้ำท่ีอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวัฒนธรรมไทยก.รฐั บำล ข. คนไทยทกุ คนค.ศิลปะแห่งชำติ ง. กระทรวงวฒั นธรรม๖.กำรถ่ำยทอดภูมิปญั ญำควรเร่มิ จำกข้อใดก.สถำบันครอบครัว ข. สถำบันกำรศกึ ษำค.หน่วยงำนของจังหวดั ง. องค์กรระดับประเทศ๗. พฤติกรรมทเี่ ปน็ ปญั หำกับนักเรยี นเกิดจำกสำเหตขุ ้อใดก. ไม่ได้เรยี นโรงเรยี นมชี ือ่ เสยี ง ข. ขำดจริยธรรมค. พ่อแมเ่ คีย่ วเขญ็ ง. ส่ิงแวดลอ้ มพำไป๘. จริยธรรมหมำยถงึ ข้อใดก. หลักปฏิบัตใิ นศำสนำ ข. คำสั่งสอนค. ธรรมท่ีเป็นขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ัติ ง. ข้อทล่ี งมือปฏิบัติ๙. ควำมสัมพันธ์ของคณุ ธรรมและจริยธรรมหมำยถึงขอ้ ใดก. เป็นเร่อื งเดียวกัน ข. เปน็ เรอ่ื งเก่ียวขอ้ งกนัค. เป็นเรอื่ งกำรกระทำของบุคคล ง.เป็นเรอ่ื งจติ ใจของบุคคล๑๐. อำหำรไทยชนดิ ใดทไ่ี ด้รับเลอื กใหเ้ ปน็ อำหำรท่ีอร่อยทสี่ ุดในโลกก. ตม้ ยำกุ้ง ข. แกงมัสมั่นค. นำ้ พรกิ ปลำทู ง. แกงเขียวหวำน
19 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๓ การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุประชาธปิ ไตย หมำยถงึ ระบอบกำรปกครองทเ่ี ปิดโอกำสให้ประชำชนทีม่ สี ทิ ธทิ ่ีจะปกครองตนเองหลกั การที่สาคญั 1. อำนำจสูงสุดในกำรปกครองประเทศ คือ อำนำจอธิปไตย ซงึ่ แบง่ เป็น 3 อำนำจ คอื อำนำจนิติบญั ญัติอำนำจบรหิ ำร อำนำจตุลำกำร 2. อำนำจอธปิ ไตยมำจำกประชำชน และเปน็ ของประชำชน 3. ประมุขของประเทศทม่ี ีกำรปกครอง อำจเปน็ พระมหำกษัตรยิ ์ หรือประธำนำธิบดี 4. ประชำชนใช้อำนำจอธิปไตยโดยกำรเลือกผู้แทนไม่ใชส้ ิทธิ์ในรัฐสภำ 5. สิทธเิ สรีภำพของประชำชนจะไดร้ บกำรคุ้มครองจำกรฐั ธรรมนูญ 6. ประชำชนมหี น้ำท่ีจะตอ้ งปฏิบตั ติ ำมกฎหมำย 7. ใชก้ ฎหมำยเป็นหลกั ในกำรปกครองประเทศ โดยรฐั บำล กม็ ีหน้ำทีบ่ งั คับใชก้ ฎหมำยตอ่ ประชำชนอย่ำงเท่ำเทยี มกันระบอบประชาธิปไตย ( Democracy ) หมำยถึง ระบบกำรปกครองท่ีประชำชนเป็นใหญ่ ดงั นนั้ กำรปกครองที่เปน็ ประชำธปิ ไตยก็คอื รูปกำรปกครองท่ยี ดึ ถืออำนำจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประเทศท่ีเปน็ ประชำธปิ ไตยนั้นจำเปน็ ต้องมรี ฐั ธรรมนญู เพรำะรัฐธรรมนญู เป็นกฎหมำยหลักหรือเป็นกติกำที่กำหนดแนวทำงสำหรับกำรท่ีรัฐจะใช้อำนำจปกครองประชำชน และมีหลักกำรจัดระเบียบกำรปกครองแต่รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เครื่องหมำยแสดงควำมเป็นประชำธิปไตย เพรำะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเสด็จกำรก็มีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน กำรท่ีจะพิจำรณำว่ำประเทศใดเป็นประชำธิปไตยหรือไม่ จึงต้องดูว่ำรัฐธรรมนูญของประเทศน้นั ให้ประชำชนเปน็ เจ้ำของอำนำจอธปิ ไตยหรอื ไม่ ลักษณะสำคญั ของกำรปกครองแบบประชำธปิ ไตยสำมำรถพจิ ำรณำไดจ้ ำก รัฐบำล กำรเลือกต้งั และกำรปกครองโดยเสยี งขำ้ งมำกรัฐบาลในระบอบประชาธปิ ไตย ลกั ษณะของรฐั บำลท่ีเปน็ ประชำธิปไตย คือ “ รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพ่ือประชาชน” ซ่ึงเปน็ คำกล่ำวของอบั รำฮัม ลนิ คอลน์ ( Abraham Lincoln) อดตี ประธำนำธิบดีของสหรฐั ฯ กำรท่รี ฐั บำลใดจะได้รับกำรยอมรับว่ำเป็นประชำธิปไตยจะต้องมลี กั ษณะครบทั้ง 3 ประกำร คือ ๑. รฐั บำลของประชำชน หมำยถงึ รฐั บำลจะต้องมำจำกกำรเลอื กตั้งของประชำชน และประชำชนสำมำรถเปลีย่ นแปลงผ้ปู กครองได้ด้วยกำรไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตัง้ นนั่ คือ ประชำชนอยู่ในฐำนะเป็นเจำ้ ของรัฐบำลซ่ึงบง่ ชถี้ งึ มิตขิ องกำรปกครองในด้ำนควำมเป็นเจำ้ ของอำนำจอธิปไตย ๒. รฐั บำลโดยประชำชน หมำยถึง ประชำชนหรือพลเมอื งทุกคนมีสิทธิท่ีจะเปน็ ผู้ปกครองได้ ถ้ำหำกไดร้ ับเสยี งสนับสนนุ จำกประชำชนส่วนใหญ่ของประเทศ ๓. รัฐบำลเพอื่ ประชำชน หมำยถงึ รัฐบำลจะต้องมจี ดุ ประสงค์เพ่ือควำมผำสุกของประชำชน และจะตอ้ งมีกำรกำหนดวำระในกำรดำรงตำแหนง่ เช่น ทุก 4 ปี ฯลฯ เพอื่ จะไดเ้ ปน็ หลกั ประกันวำ่ ผ้ปู กครองจะต้องปกครองเพอื่ ประชำชน หำกผันแปรจำกจุดหมำยนี้ ประชำชนจะไดม้ ีโอกำสเปลี่ยนผูป้ กครองผำ่ นทำงกำรเลือกต้ัง
20หลักการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยไดแ้ ก่ 1. หลักเหตผุ ล ในวิถีชวี ิตของสงั คมประชำธิปไตย ผู้คนต้องรู้จกั รับฟงั เหตุผลของผู้อ่ืน ไม่ดื้อดึงในควำมคดิ เห็นของตน จนคนอ่ืนมองเรำเปน็ คนมี มิจฉำทฐิ ิ 2. หลกั ความเสมอภาค ในสงั คมประชำธิปไตย แมค้ นจะแตกต่ำงกันเรื่อง เพศ ผวิ พรรณ ชนชัน้ ถ่นิ ท่ีอยอู่ ำศยั ศำสนำ หรอื อดุ มกำรณ์ทำงกำรเมือง แต่ทุกคนควรจะมคี วำมเท่ำเทยี มกนั โดยกฎหมำยโดยเฉพำะในเรอื่ งต่อไปนี้ 2.1 ความเสมอภาคทางการเมอื ง ทุกคนมีสิทธสิ มัครรับเลือกต้ังถ้ำมีคณุ สมบตั ิครบถว้ น ตำมกฎหมำย และทุกคนมีสิทธิลงคะแนนเสยี งเลือกตั้งได้อยำ่ งเท่ำเทยี มกัน 2.2 ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ทุกคนไมว่ ำ่ รวยหรือจน สผี วิ ใด มยี ศถำบรรดำศักด์หิ รือไม่ ต้องไมถ่ ูกกีดกันในกำรประกอบอำชีพกำรงำน 2.3 ความเสมอภาคทางโอกาส คอื ทุกคนมีโอกำสไดร้ บั กำรศึกษำ กำรรักษำพยำบำล และกำรรับกำรบริกำรจำกรฐั อยำ่ งเท่ำเทียมกัน 3. หลักสทิ ธิและเสรภี าพ 3.1 สทิ ธิ คือ ประโยชน์ทบ่ี ุคคลพึงไดร้ ับตำมกฎหมำย เช่น บุคคลมีสิทธิไดร้ บั กำรศึกษำ กำรรักษำพยำบำล มีสทิ ธใิ นทรัพยส์ ินของตน 3.2 เสรภี าพ คอื ทกุ คนมีอิสระในกำรทำอะไรก็ได้ตำมทีต่ นต้องกำรแต่ต้องไมผ่ ิดกฎหมำยและไม่กระทบต่อควำมเปน็ ระเบยี บเรียบเรียบรอ้ ยของสงั คม โดยไม่ละเมิดสิทธเิ สรีภำพของผอู้ ่ืน เช่น เสรภี ำพในกำรพดูกำรกำรเขยี น กำรพมิ พ์ กำรโฆษณำ กำรจดั ตั้งพรรคกำรเมือง เปน็ ต้น 4. หลกั การยดึ เสียงขา้ งมาก คือกำรปฏิบตั ติ ำมควำมคิดเห็นหรือตำมควำมยนิ ยอมของคนส่วนใหญแ่ ต่ให้เกยี รตโิ ดยกำรไมล่ ะเมิดสทิ ธิหรอื เอำรัดเอำเปรียบเสียงส่วนน้อย หำกมปี ญั หำก็สำมำรถตดั สินปญั หำโดยใชม้ ติเสียงข้ำงมำก แต่ในขณะเดยี วกันเสียงส่วนนอ้ ยกไ็ ดร้ ับควำมคมุ้ ครอง เพ่ือกำรดำรงชวี ติ อยู่ร่วมกนั อยำ่ งสนั ตสิ ุขในสังคมประชำธิปไตย 5. หลกั ภราดรภาพ คอื กำรท่มี นษุ ย์มคี วำมรัก ควำมผูกพนั กนั ฉันท์พ่นี ้อง ไม่แบ่งแยกภูมภิ ำคถน่ิ ทอ่ี ยู่อำศยั ไม่แบง่ แยกเชื้อชำติ ชนช้ัน เพศ ผวิ พรรณ เอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ เหน็ อกเห็นใจกัน ไม่เอำรัดเอำเปรียบกนั ปจั จบุ ันน้ี ในสงั คมประชำธิปไตยของไทย มีกำรเรียกร้อง สทิ ธเิ สรภี ำพ และควำมเสมอภำคเพ่ือควำมเท่ำเทยี มกนั มำกเกนิ ไปจนลน้ เหลือ จนกลำยเปน็ เสรเี ฟ้อ เพรำะมีบอ่ ยคร้งั ท่ีกำรเรยี กร้องสทิ ธิ เสรภี ำพเพือ่ ควำมเสมอภำคดังกลำ่ ว ไปกระทบตอ่ ควำมสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกำรละเมิดกฎหมำย และไมเ่ คำรพสิทธขิ องผ้อู ืน่ และหลกั สำคัญที่ขำดหำยไปมำก ๆ เลย คือหลกั ภรำดรภำพ รองลงมำคือหลักเหตุผล ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุผลเข้ำขำ้ งตัวเองและพวกพ้องมำกกว่ำ...วิถีชีวิตประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของวิถีชวี ติ แบบประชำธปิ ไตย อำจจำแนกไดด้ ังนี้ 1. เคารพเหตุผลมากกว่าบคุ คล โดยไมศ่ รทั ธำบคุ คลใดถึงชัน้ ปชุ นียบคุ คล (แต่กต็ ้องกตัญญูตอ่ ญำตผิ ้ใู หญ่และผู้มพี ระคุณ) จะตอ้ งไม่เครง่ ครัดเรอื่ งระบบอำวุโส (แตก่ ต็ อ้ งให้ควำมเคำรพผู้อำวุโส) ประชำธปิ ไตยจะดำเนนิไปไดด้ ้วยดีก็ต่อเม่อื มกี ำรรับฟังควำมคิดเห็นของทุกฝำ่ ย เพ่ือค้นหำเหตุผลและควำมถูกต้องทแ่ี ทจ้ ริง เพรำะเหตผุ ลเทำ่ นัน้ ทจ่ี ะจรรโลงใหป้ ระชำธิปไตยดำเนินไปได้ และประชำธปิ ไตยเช่อื วำ่ มนษุ ยเ์ ป็นสัตว์ท่ีมเี หตุผล
21 2. รจู้ ักการประนปี ระนอม คือ ยอมรับกำรแก้ไขปัญหำควำมขดั แย้งดว้ ยสนั ตวิ ธิ ี ไม่นยิ มควำมรุนแรง ต้องรจู้ ักยอมรบั ควำมคิดเห็นของผู้อน่ื ไม่ยดึ มนั่ หรอื ดงึ ดันแตค่ วำมคิดเหน็ ของตนเองโดยไมย่ อมผ่อนปรนแก้ไข และตอ้ งยอมเปล่ียนแปลงแก้ไขควำมคิดเหน็ ของตนเองเมอื่ ผู้อนื่ มคี วำมคิดเห็นที่ดีกวำ่ ปรัชญำประชำธปิ ไตย โดยพืน้ ฐำนไมป่ รำรถนำให้มกี ำรใช้กำลงั และกำรลม้ ล้ำงดว้ ยวธิ ีกำรรนุ แรง เพรำะถ้ำมกี ำรใช้กำลงั และควำมรุนแรงแล้วแสดงให้เหน็ วำ่ มนษุ ย์ไม่มีหรือไมใ่ ช้เหตผุ ล ซงึ่ ก็ขัดกับหลักควำมเชอ่ื ขั้นมลู ฐำนของประชำธิปไตยทถ่ี ือวำ่ มนุษย์มีเหตุผล 3. มีระเบียบวินัย คือ ต้องปฏิบัติตำมกฎหมำยของบ้ำนเมืองอย่ำงสม่ำเสมอ และช่วยทำให้กฎหมำยของบ้ำนเมืองมีควำมศักดิ์สิทธ์ิโดยไม่ยอมให้ผุ้ใดมำละเมิดตำมอำเภอใจ แต่ถ้ำมีควำมรู้สึกว่ำกฎหมำยท่ีใช้อยู่ไม่เป็นธรรม ก็ต้องหำทำงเรียกร้องให้มีกำรแก้ไขกฎหมำยนั้น มิใช่ฝ่ำยฝืนหรือไม่ยอมรับ กำรใช้เสรีภำพเกินขอบเขตจนละเมิดหรอื ก้ำวกำ่ ยในสิทธิเสรภี ำพของผู้อ่ืน ย่อมทำใหเ้ กดิ ควำมไมส่ งบข้ึนในสงั คม เพรำะสงั คมท่ีไม่มีกำรจำกัดในเรื่องสิทธิเสรีภำพเลยนั้นหำใช่สังคมประชำธิปไตยไม่แต่เป็นสังคมอนำธิปไตยที่เปรียบเสมือนไม่มีรัฐบำล ไม่มีกฎหมำย ไรร้ ะเบียบวินัยทำงสังคมโดยสน้ิ เชงิ 4. มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ซ่งึ เกิดขึน้ จำกควำมรู้สึกของคนในสังคมว่ำ ตนเปน็ เจำ้ ของประเทศ และประเทศเป็นของคนทุกคน โดยสำนึกว่ำ กำรที่ตนได้รับกำรศึกษำ สำมำรถทำมำหำเลี้ยงชีพและดำรงชีวิตอยู่ได้ก็เพรำะสังคมอันเป็นส่วนรวมของทุกคน ดังน้ันจึงต้องมีหน้ำท่ีทำประโยชน์ให้เป็นกำรตอบแทน นอกจำกนี้ลักษณะวิถีชีวิตประชำธิปไตยยังมีอีกหลำยประเด็น เช่น ต้องเป็นคนหนักแน่นไม่หูเบำ ต้องไม่เชื่ออะไรง่ำย ๆ มีทัศนะที่ดีต่อคนอืน่ ยอมรบั ควำมคดิ เหน็ ของผู้อ่นื เคำรพในศกั ดิ์ศรีควำมเปน็ มนษุ ย์ มนี ำ้ ใจเปน็ นกั กีฬำคอื รู้แพร้ ู้ชนะ เป็นตน้ประมุขของรฐั แบบพระมหากษัตริย์ จาแนกตามพระราชอานาจและพระราชฐานะออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. พระมหำกษัตรยิ ์ในระบอบสมบูรณำญำสทิ ธิรำชย์ (Absolute Monarchy) - ทรงใช้อำนำจนิตบิ ัญญัติ บริหำร และตลุ ำกำรได้โดยลำพงั พระองค์ - พระบรมรำชวินิจฉัยของพระมหำกษตั รยิ เ์ ป็นทีส่ ุด 2. พระมหำกษัตริย์ภำยใตร้ ัฐธรรมนญู (Constitutional Monarchy) - มใี นระบอบประชำธิปไตยทมี่ ีพระมหำกษัตรยิ เ์ ปน็ ประมขุ - ทรงเปน็ พระประมุขของประเทศเทำ่ นัน้ - ไมไ่ ด้เปน็ ประมุขฝำ่ ยบริหำร เพรำะมนี ำยกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ำรฐั บำลอย่แู ลว้ - กำรปกครองระบอบนี้มีตัวอย่ำงในประเทศไทย ประเทศองั กฤษ ประเทศญีป่ นุ่ ในปจั จบุ ันการเขา้ สู่ตาแหนง่ ของประมุขของรฐั แบบพระมหากษัตริย์ อาจทาไดห้ ลายวธิ ี 1. ปรำบดำภเิ ษก เป็นกำรครองรำชสมบตั โิ ดยวธิ ยี กตนขึน้ เป็นกษัตริย์ 2. กำรสบื รำชสมบตั ิ เป็นกำรขน้ึ ครองรำชสมบตั สิ ืบต่อจำกพระรำชบรรพบุรุษ 3. กำรสบื รำชสมบัตโิ ดยควำมเห็นชอบจำกรัฐสภำ เปน็ กำรข้นึ ครองรำชสมบัติต่อจำกบรรพบรุ ษุ แตต่ ้อง ไดร้ บั ควำมเหน็ ชอบจำกรฐั สภำ 4. กำรครองรำชสมบัตโิ ดยวธิ เี ลือกตงั้ ระหว่ำงผมู้ สี ิทธิ เชน่ กำรข้ึนครองรำชสมบัตใิ นมำเลเซียรปู แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในประเทศประชำธิปไตยนัน้ ไม่ไดม้ รี ูปแบบกำรปกครองเหมือนๆ กนั ท้ังหมด นักวิชำกำรได้พยำยำมเสนอหลกั เกณฑ์ตำ่ ง ๆ ทอี่ ำจใชแ้ บ่งรปู แบบกำรปกครองของประเทศประชำธิปไตยมำกมำยดว้ ยกัน สรปุ ได้เปน็2 หลักเกณฑ์ ดังนี้
221.หลกั ประมุขของประเทศ แบง่ รูปแบบประชาธปิ ไตยได้ 2 ลักษณะคือ ๑.๑ มีพระมหากษัตรยิ ์เป็นประมุข พระมหำกษตั รยิ ์จะทรงใช้อำนำจอธิปไตย ซง่ึ เป็นของปวงชนโดยใชอ้ งค์กรแยกกนั เปน็ 3 ทำงคือทรงใช้อำนำจนติ ิบญั ญัตโิ ดยผ่ำนทำงรัฐสภำ อำนำจบริหำรโดยผ่ำนทำงคณะรัฐมนตรี และอำนำจตลุ ำกำรโดยผำ่ นทำงศำล สว่ นองค์พระมหำกษตั ริย์จะทรงเป็นกลำงในทำงกำรเมือง เช่นไทย อังกฤษ เปน็ ต้น ๑.๒ มปี ระธานาธิบดีเป็นประมขุ ผู้อำรงตำแหน่งประธำนำธบิ ดมี ำจำกกำรเลอื กตั้งของประชำชนทำหน้ำที่เป็นประมขุ ของรฐั เพียงหนำ้ ทเ่ี ดยี ว เชน่ สงิ คโปร์ อนิ เดีย ฯลฯ และบำงประเทศประธำนำธบิ ดีทำหนำ้ ที่เปน็ ประมขุ ของฝ่ำยบริหำรดว้ ย เช่น สหรฐั อเมรกิ ำ อินโดนเี ซยี ฯลฯ2.หลกั การรวมและการแยกอานาจ แบง่ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะ ๒.๑ แบบรัฐสภา ระบอบประชำธปิ ไตยแบบรัฐสภำ ได้แก่ กำรมีเฉพำะผู้แทนรำษฎรเพยี งสภำเดียวหรืออำจมี 2 สภำก็ได้ มีท้ังสภำผแู้ ทนรำษฎร ซ่งึ ตัวแทนหรอื สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรที่ประชำชนเปน็ ผลู้ งคะแนนเสียงเลอื กตั้ง ซ่ึงมำจำกกำรเลือกตั้ง และวฒุ ิสภำซงึ่ เปน็ สภำของผูท้ รงคุณวฒุ ิ สว่ นมำกสมำชกิ ไดม้ ำจำกกำรแตง่ ตงั้แตส่ มำชิกวุฒิสภำในบำงประเทศก็มำจำกกำรเลอื กตัง้ ชื่อสภำอำจเรียกตำ่ งกันได้ เชน่ ในองั กฤษเรียกสภำผแู้ ทนรำษฎรว่ำ สภำล่ำงและวุฒสิ ภำว่ำ สภำสูงหรือสภำขนุ นำง แตโ่ ดยหลักกำรสภำทง้ั สองต้องประชมุ ร่วมกนัรวมกนั เป็น รัฐสภำ ผใู้ ชอ้ ำนำจนติ ิบญั ญตั แิ ละอำนำยบริหำร คอื มีอำนำจในกำรออกกฎหมำยเพื่อใช้ปกครองประเทศ และมีอำนำจบรหิ ำรในกำรใหค้ วำมเห็นชอบหรือจัดต้งั รัฐบำล และควบคุมกำรบรหิ ำรของรฐั บำลด้วย คือรัฐบำลบรหิ ำรด้วยควำมไว้วำงใจของรฐั สภำ ในทำงปฏิบัตถิ ือกันเปน็ หลักเกณฑว์ ำ่ สมำชกิ สภำกลุ่มหรือพรรคกำรเองที่มเี สยี งขำ้ งมำกสนบั สนุนจะได้สทิ ธิในกำรจดั ต้ังรฐั บำล เพ่อื ทำหนำ้ ทีบ่ ริหำรบ้ำนเมอื ง แต่รัฐบำลจะต้องอยู่ในควำมควบคมุ ของสมำชิกรัฐสภำ ลกั ษณะดังกล่ำวน้ี รัฐสภำและรฐั บำลตำ่ งทำหนำ้ ทีข่ องตน แต่รัฐสภำควบคุมรัฐบำลด้วยกระบวนกำรตำมรัฐธรรมนญู และอำจลงมติไม่ไว้วำงใจเพื่อให้รัฐบำลลำออกได้ สว่ นรฐั บำลก็อำจยุบสภำได้ ทำใหเ้ กดิ ควำมสมดลุ แห่งอำนำจ ๒.๒ แบบประธานาธบิ ดี ระบอบประชำธิปไตยแบบประธำนำธบิ ดมี ีลักษณะคลำ้ ยคลึงกับแบบรัฐสภำ กำรมรี ฐั สภำเหมอื นกัน แต่มีลักษณะท่ีแตกตำ่ งกัน คอื กำรมีประธำนำธิบดีเป็นผูใ้ ช้อำนำจบริหำร โดยประธำนำธบิ ดมี ีสิทธิและหนำ้ ทใี่ นกำรจะแตง่ ต้ังคณะรัฐมนตรีขนึ้ มำชดุ หน่ึง เพื่อบรหิ ำรประเทศและรบั ผิดชอบร่วมกนั สว่ นอำนำจนติ ิบัญญัตินนั้ ก็ยงั คงตกอย่ทู ร่ี ัฐสภำ กำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยแบบประธำนำธิบดนี ้ี ทง้ัประธำนำธิบดแี ละสมำชิกสภำผแู้ ทนรำษฎรตำ่ งกไ็ ด้รับเลือกจำกประชำชน ทั้งสองฝ่ำย จึงต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อระชำชน ส่วนอำนำจตลุ ำกำรยังคงเปน็ อิสระ ฉะน้ันอำนำจนิตบิ ัญญัติ อำนำจบรหิ ำร และอำนำจตุลำกำร ต่ำงก็เป็นอสิ ระและแยกกนั สถำบันผู้ใช้อำนำจทั้งสำมจะเปน็ ตวั ทีค่ อยยบั ยั้งและถ่วงดลุ กันและกนั ไมใ่ ห้ฝำ่ ยหนง่ึ ฝ่ำยใดใช้อำนำจเกินขอบเขต เช่น กำรปกครองของสหรัฐอเมริกำ เปน็ ต้น ๒.๓ แบบก่ึงรฐั สภากึ่งประธานาธบิ ดี ระบอบประชำธิปไตยแบบน้ปี ระธำนำธิบดีเป็นทั้งประมขุ ของรัฐและบริหำรรำชกำรแผ่นดนิ รว่ มกบั นำยรฐั มนตรี ในด้ำนกำรบรหิ ำรนัน้ นำยกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนำมประกำศใช้กฎหมำย และคณะรัฐมนตรกี ็ยงั คงเป็นผใู้ ช้อำนำจบริหำร แต่ตอ้ งรับผิดชอบตอ่ รัฐสภำ ส่วนรฐั สภำเองก็ยงั คงทำหนำ้ ท่ีสำคญั คือ ออกกฎหมำยและควบคุมกำรบริหำรรำชกำรแผน่ ดิน ประธำนำธิบดีในระบอบประชำธิปไตย
23แบบน้ีเป็นผ้กู ำหนดนโยบำยต่ำงประเทศและกำรเมืองโดยท่ัวๆ ไปทัง้ ยงั ทำหน้ำท่ีอนญุ ำโตตุลำกำร ระหวำ่ งรัฐสภำกับคณะรฐั มนตรี นอกจำกนี้ยังมีอำนำยยบุ สภำได้ดว้ ย จึงมีอำนำจมำก เชน่ อนิ เดีย ฝรงั่ เศสรูปแบบของรัฐรปู แบบของรฐั แบ่งได้เป็น ๒ รปู แบบ คอื ๑. เอกรัฐหรือรัฐเดีย่ ว คือรัฐหรอื ประเทศท่ีมรี ัฐบำลเพียงรัฐบำลเดยี วชัอำนำยในกำรปกครองประเทศทง้ั หมด เชน่ ประเทศไทย ประเทศฝรั่งเศษ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศญ่ีปนุ่ ๒. สหพนั ธรัฐหรือรฐั รวม คือรัฐหรือประเทศท่ีประกอบด้วยมลรัฐตง้ั แต่ ๒ รฐั ข้นึ ไป โดยมีกำรแบง่อำนำจกำรปกครองออกเปน็ ๒ สว่ น คอื อำนำจกำรปกครองของรฐั บำลกลำงและรฐั บำลทอ้ งถ่นิ โดยรัฐบำลกลำงจะดแู ลและควบคมุ กจิ กำรทส่ี ำคญั เป็นประโยชนข์ องประเทศ เชน่ ดำ้ นกำรต่ำงประเทศ กำรทหำร กำรคลงั เปน็ ต้นเชน่ ประเทศสหรัฐอเมริกำ ประเทศมำเลเซียประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุฐานะและพระราชอานาจของพระมหากษตั ริย์ไทย ตำมกำรปกครองระบอบประชำธิปไตย อนั มีพระมหำกษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ นั้น เป็นกำรปกครองรูปแบบที่พระองค์จะทรงใช้พระรำชอำนำจในฐำนะประมขุ ของรฐั และในฐำนะอน่ื ๆ ซึ่งเป็นไปตำมทีร่ บั ธรรมนญู กำหนดไว้ดังน้ี 1. ทรงดำรงอยู่ในฐำนะเป็นท่เี คำรพสักกำระ ผ้ใู ดจะละเมิดมิได้ และผใู้ ดจะกล่ำวหำหรอื ฟ้องร้ององค์พระมหำกษัตรยิ ์ในทำงใด ๆ มไิ ด้ 2. ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทรงเปน็ มงิ่ ขวัญของทหำรทกุ เหล่ำทัพ 3. ทรงเป็นพุทธมำมกะ และยังทรงเปน็ อคั รศำสนปู ถัมภก 4. ทรงไว้ซึ่งอำนำจที่จะสถำปนำฐำนนั ดรศักดิ์ และพระรำชทำนเคร่ืองรำชอิสริยภรณร์ วมทัง้ ถอดถอนเรยี กคนื เคร่ืองรำชอสิ รยิ ำภรณ์ 5. ทรงไวพ้ ระรำชอำนำจในกำรแต่งตัง้ ประธำนสภำผแู้ ทนรำษฎรประธำนวุฒิสภำ รองประธำนสภำ ผแู้ ทนรำษฎร รองประธำนวุฒสิ ภำ และผ้นู ำฝำ่ ยคำ้ นในสภำผแู ทนรำษฎร 6. ทรงไว้ซึ่งอำนำจในกำรเรยี กประชมุ รฐั สภำ 7. ทรงไว้พระรำชอำนำจในดำ้ นกำรตรำ พระรำชบญั ญัติ พระรำชกฤฏกี ำ พระรำชกำหนดเพ่อื ประโยชน์อันทจ่ี ะรักษำควำมปลอดภัยและ ควำมมนั่ คงทำงเศษฐกิจของประเทศหรือปอ้ งกนั ภัยพบิ ัติของสำธำรณะ 8. ทรงไว้ซ่ึงพระรำชอำนำจในกำรแต่งตง้ั และถอดถอนองคมนตรี 9. ทรงไว้ซึง่ พระรำชอำนำจในกำรยับยง้ั ร่ำงพระรำชบญั ญตั ิซง่ึ รฐั บำลนำทูลเกลำ้ ฯถวำยเพื่อลงพระปรมำภไิ ธย 10. ทรงไว้ซึง่ พระรำชอำนำจทีจ่ ะยบุ สภำผู้แทนรำษฎร เพ่อื ใหม้ ีกำรเลือกต้งั ใหม่ 11. ทรงไว้ซึง่ พระรำชอำนำจในกำรแตง่ ต้ังนำยกรัฐมนตรี รฐั มนตรี และให้รัฐมนตรีพน้ จำกตำแหน่งควำมเป็นรฐั มนตรี 12. ทรงไวซ้ ึง่ พระรำชอำนำจในกำรแต่งต้ังประธำนศำลรฐั ธรรมนูญ ตุลำกำรศำลรัฐธรรมนญู ประธำนศำลปกครองสงู สดุ ผู้พิพำกษำ ตลุ ำกำรศำลยุตธิ รรม คณะกรรมกำรองค์กรอิสระตำมรัฐธรรมนญู รวมทั้งรำชกำรฝ่ำยทหำรและพลเรือนระดับสูง
24 13. ทรงไว้ซ่งึ พระรำชอำนำจในกำรทำหนังสือสญั ญำสันตภิ ำพ 14. ทรงไวซ้ ่งึ พระรำชอำนำจในกำรพระรำชทำนอภยั โทษ นอกจำกนีย้ งั มีพระมหำกษตั รยิ ์ยงั ทรงมีพระรำชอำนำจอน่ื ๆ ตำมที่กฎหมำยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนญู แหง่รำชอำณำจักรไทย พุทธศกั รำช 25๖0 ในหมวดที่วำ่ ดว้ ยพระมหำกษัตริยอ์ ีกดว้ ยพระราชสถานะและพระราชอานาจท่ีไมไ่ ดบ้ ญั ญัตไิ วใ้ นรฐั ธรรมนูญ พระรำชอำนำจตำมประเพณีของพระมหำกษตั ริย์ในระบอบประชำธิปไตยของไทย ซึ่งไม่มีบทบัญญตั ิแหง่รฐั ธรรมนูญ พระมหำกษตั ริย์อำจทรงใช้พระรำชอำนำจต่อไปน้ี เพื่อประโยชนข์ องประเทศชำตแิ ละประชำชน ๑. ทรงเป็นศูนย์รวมจติ ใจของประชาชน พระมหากษตั ริยท์ รงทาใหเ้ กดิ ความสานกึ ในความเป็นอันหนงึ่ อนัเดียวกัน ทาให้ทุกสถาบนั มีจุดรวมจากแหลง่ เดยี วกัน แม้จะมีความแตกตา่ งกนั ในด้านเช้ือชาติ เผ่าพนั ธุ์ ศาสนา กม็ ีความสมานสามัคคกี ลมเกลียวกันในหม่ชู นเหลา่ น้นั ทรงรักใครห่ ว่ งใยประชาชน ทรงมีเมตตาตอ่ ประชาชนทุกหมู่เหลา่ พระองคท์ รงเสด็จพระราชดาเนนิ ไปทุกแห่งไมว่ ่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอนั ตรายเพยี งใด เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สขุ ของประชาชน ประชาชนก็มคี วามผูกกนั กบั พระมหากษัตรยิ ์อย่างลกึ ซ้งึ จนยากทีจ่ ะทาให้สน่ั คลอนหรือแตกแยกได้ ๒. พระรำชอำนำจท่ีจะทรงได้รับรู้เรือ่ งรำวตำ่ ง ๆ ในฐำนทท่ี รงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ เป็นสทิ ธิของพระมหำกษัตริย์ท่จี ะทรงได้รับกำรถวำยรำยงำนใหท้ รงทรำบถงึ สถำนกำรณห์ รือเร่ืองรำวของบ้ำนเมอื งเสมอกำรทีพ่ ระองคจ์ ำเปน็ ต้องทรงทรำบถงึ เรื่องรำวสำคญั กเ็ พื่อที่จะทรงให้คำแนะนำ ตักเตือน เพือ่ ประกอบกำรพจิ ำรณำของรัฐบำลหรือผ้ทู รำบรับผดิ ชอบเรอื่ งนั้น ๆ ๓. พระรำชอำนำจที่จะพระรำชทำนคำปรึกษำหำรือ ในกรณีทคี่ ณะรัฐมนตรีมปี ัญหำเกี่ยวกบั กำรบรหิ ำรรำชกำรแผ่นดิน อำจนำปญั หำข้ึนทลู เกลำ้ ฯ เพ่อื ขอพระรำชทำนพระบรมรำชวินิจฉัยได้ ๔. พระรำชอำนำจที่จะพระรำชทำนคำแนะนำตกั เตอื น พระมหำกษัตรยิ ท์ รงไวซ้ ่ึงสิทธิท่จี ะใหค้ ำแนะนำตกั เตือนในบำงเรื่อง บำงกรณีแก่รฐั สภำ รัฐบำลและศำล หรือองคก์ รอื่น ๆ ทท่ี รงเห็นว่ำถำ้ กระทำไปแล้วจะเกิดผลเสียหำยแกบ่ ำ้ นเมือง ๕. พระรำชอำนำจท่ีจะพระรำชทำนกำรสนบั สนุน พระมหำกษตั ริย์ทรงไว้ซ่ึงสิทธทิ จี่ ะพระรำชทำน หรอืให้กำรสนับสนุนกำรกระทำหรอื กจิ กำรใด ๆ ของรฐั หรอื เอกชนได้ เชน่ โครงกำรหม่บู ้ำนสหกรณ์ โครงกำรฝนหลวงโครงกำรอีสำนเขยี ว โครงกำรสรำ้ งเข่อื นกำรท่ีพระองค์ทรงมีพระรำชดำรแิ ละให้กำรสนับสนุนโครงกำรตำ่ ง ๆ ย่อมเปน็ ขวัญและกำลงั ใจสำหรับผู้ท่ีดำเนนิ กำรนน้ั ๆ ๖. ทรงเปน็ สญั ลกั ษณ์แหง่ ความต่อเนื่องของชาติ พระมหากษัตรียท์ รงเป็นประมขุ ของชาติไทยสืบต่อกันมาโดยไม่ขาดสายต้ังแต่ อาณาจักรไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไมว่ า่ รฐั บาลจะเปลย่ี นไปกย่ี ุคสมยั กต็ าม ทาให้ระบบการเมืองและชาติไทยมีความสมานฉนั ทแ์ ละต่อเน่ืองตลอดเวลา ๗. ทรงเป็นพลงั ในการสร้างขวญั และกาลงั ใจของประชาชน พระมหากษตั ริย์ทรงเป็นทมี่ าของแหล่งเกียรติยศทั้งปวง ก่อใหเ้ กดิ ความภาคภมู ิ ปิตยิ ินดี และเกิดกาลังใจในหมูป่ ระชาชนทว่ั ไปท่ีจะรักษาคณุ งามความดีและพยายามกระทาความดี ๘. ทรงมีส่วนสาคญั ในการรกั ษาผลประโยชน์ของประชาชน พระมหากษตั ริย์ทรงขึ้นครองราชยด์ ว้ ย
25ความเห็นชอบยอมรบั ของประชาชน และทรงใช้อานาจอธิปไตยแทนประชาชนในการรักษาผลประโยชนข์ องประชาชนและบ้านเมืองเปน็ สาคัญ ซ่ึงอาจตา่ งจากประมขุ ของประเทศอนื่ ที่ขน้ึ ดารงตาแหนง่ โดยการเลอื กตงั้ จึงตอ้ งยดึ นโยบายของกลมุ่ หรอื พรรคการเมืองที่ตนสงั กดั เปน็ หลกั ๙. ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ สถาบันพระมหากษัตริยเ์ ป็นกลไกสาคญั ในการยบั ย้งั และแก้ไขวิกฤตการณ์ท่ีร้ายแรงภายในประเทศได้ ในบางคร้งั ประเทศไทยเกิดการขัดแย้งกนั เองตามระบอบประชาธปิ ไตย พระมหากษตั รยิ ์กส็ ามารถยุติไดด้ ้วยพระบารมีของพระองค์ เช่น เหตุการณเ์ รยี กร้องประชาธิปไตยเมืองเดือนตลุ าคม 2516 และเหตุการณค์ วามขัดแย้งทางการเมืองเม่ือเดือนพฤษภาคม 2535 เปน็ ตน้ ๑๐. ทรงสง่ เสริมความมั่นคงของประเทศ พระมหากษตั ริย์เปน็ ที่ยอมรบั ของทกุ ฝ่าย ทั้งประชาชน รฐั บาลหน่วยราชการ กองทัพ นิสติ นกั ศกึ ษา ปญั ญาชน หรอื กลุ่มตา่ ง ๆ แมก้ ระท่งั ชนกลุ่มนอ้ ยในประเทศ เช่น ชาวไทยภเู ขา ชาวไทยมุสลมิ เปน็ ต้น ทาใหท้ ุกฝา่ ยมคี วามมุ่งม่นั และมคี วามพรกั พร้อมทีจ่ ะรักษาความมน่ั คงและเอกราชของชาติไว้ ๑๑. ทรงมีส่วนเสริมสรา้ งสมั พนั ธไมตรีระหว่างประเทศ พระมหากษัตริยไ์ ทยในอดตี ได้ทรงดาเนินวเิ ทโศบายได้อย่างดีจนสามารถรกั ษาเอกราชไว้ได้ โดยเฉพาะสมัยการล่าเมืองขนึ้ ของชาติตะวนั ตก พระบาทสมเดจ็พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั รัชกาลท่ี 5 ได้เสด็จประพาสยุโรปถึง 2 คร้ัง เพือ่ เจรญิ สมั พันธไมตรีกับประเทศมหาอานาจในยุโรป สาหรับพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวรัชกาลปจั จุบนั ก็ทรงดาเนินการให้เกิดความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหว่างประเทศต่าง ๆ กับประเทศไทยโดยเสด็จพระราชดาเนินเย่ยี มเยอื นประเทศต่าง ๆ ๑๒. ทรงเป็นผนู้ าในการพฒั นาและปฏิรปู ด้านต่าง ๆ การพัฒนาและการปฏริ ปู ท่ีสาคญั ๆ ของชาตสิ ว่ นใหญ่ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผูน้ า ในสมยั รชั กาลที่ 5 พระองค์ทรงปูพืน้ ฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยจดั ต้งั กระทรวงต่าง ๆ ทรงส่งเสรมิ การศึกษาและเลกิ ทาส กระทง่ั ถงึ รชั กาลปจั จุบันได้ทรงเกื้อหนุนวทิ ยาการสาขาต่าง ๆ ทรงสนับสนุนการศึกษาและศลิ ปวัฒนธรรม ทรงริเร่ิมกจิ การอันเปน็ การแก้ปัญหาหลัก ทางเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศ โดยเฉพาะแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี งและทฤษฎีใหมผ่ า่ นโครงการพระราชดาริ ซ่งึ มุ่งเนน้การแก้ปัญหาให้แกป่ ระชากรสว่ นใหญข่ องประเทศ ไดแ้ ก่ ชาวนา ชาวไร่ และประชาชนผู้ด้อยโอกาส เชน่ โครงการพฒั นาท่ีดนิ โครงการสหกรณ์ โครงการพฒั นาชาวเขา และการเกษตรทฤษฎีใหม่เปน็ ต้น ๑๓. ทรงมสี ว่ นเกอื้ หนนุ ระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตรยิ ม์ ีสว่ นสาคัญในการสง่ เสรมิ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยใหม้ ีความเข้มแขง็ และมัน่ คง เพราะการที่ประชาชนเกดิ ความจงรกั ภกั ดีและเชอ่ื ม่นัในสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ ทาให้ประชาชนเกิดความศรทั ธาในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริย์เป็นประมขุ ดว้ ย เนื่องจากเหน็ ว่าเปน็ ระบอบการปกครองที่เชิดชูสถาบันพระมหากษตั ริยอ์ ันเป็นทเ่ี คารพสักการะของประชนน่นั เอง
26 แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนหน่วยที่ ๓คาสั่ง ให้เลอื กคาตอบที่ถูกท่ีสดุ1. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลักกำรสำคัญในกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยอันมีพระมหำกษัตรยิ เ์ ปน็ ประมุขก. พระมหำกษตั รยิ ท์ รงเปน็ ผนู้ ำในกำรบริหำรประเทศ ข. พระมหำกษัตริยท์ รงเป็นกลำงทำงกำรเมืองค. ผ้ใู ดจะกล่ำวโทษฟอ้ งร้องพระมหำกษัตรยิ ์ในทำงใด ๆ มิได้ง. ผสู้ นองพระบรมรำชโองกำรเป็นผู้รบั ผิดชอบภำรกจิ ตำ่ ง ๆ2. พระหำกษัตรยิ ท์ รงใชอ้ ำนำจิติบญั ญัติผำ่ นทำงใดก. รฐั สภำ ข. รัฐบำล ค. ศำล ง. นำยกรฐั มนตรี3. พระมหำกษตั ริยท์ รงใช้อำนำจบริหำรผ่ำนทำงใดก. รัฐสภำ . ข รฐั บำล ค. คณะรฐั มนตรี ง. องคมนตรี4. ขอ้ ใดเปน็ ฐำนะของพระมหำกษัตรยิ ต์ ำมรัฐธรรมนูญก. ทรงเป็นประธำนกำรประชุมสภำ ข. ทรงเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทงั้ ประเทศค. ทรงเปน็ ท่ีปรึกษำของรฐั บำล ง. ทรงเป็นพทุ ธมำมกะและอัครศำสนปู ถัมภก5. ขอ้ ใดเปน็ พระรำชอำนำจของพระมหำกษตั ริย์ตำมรัฐธรรมนญูก. กำรพระรำชทำนปริญญำบตั ร ข. ทรงแตง่ ตง้ั องคมนตรีค. ทรงเป็นพุทธมำมกะ ง. ทรงเป็นศนู ยร์ วมแหง่ ควำมสำมคั คี6. ขอ้ ใดเปน็ ฐำนะของพระมหำกษตั ริย์ตำมโบรำณรำชประเพณีก. พระมหำกษัตริย์ทรงเปน็ ศูนยร์ วมจิตใจของคนไทยทัง้ ชำติ ข. พระมหำกษตั รยิ ์ทรงเป็นจอมทพั ไทยค. พระมหำกษตั ริยท์ รงเปน็ พุทธมำมกะ ง. พระมำหำกษตั รยิ ม์ ีพระรำชอำนำจทจี่ ะตักเตอื นแก่รัฐบำล7. ขอ้ ใดเปน็ พระปฐมบรมรำชโองกำรก. เรำจักครองแผน่ ดินด้วยควำมยุติธรรมเพ่ือควำมสุขของประชำรำษฎรข. เพ่ือประโยชน์สขุ แห่งมหำชนชำวสยำมเรำจกั ครองแผ่นดนิ โดยธรรมค. เรำจกั ครองแผน่ ดนิ โดยธรรม เพื่อประโยชน์สขุ แหง่ มหำชนชำวสยำมง.เรำจักครองแผ่นดนิ โดยยุตธิ รรม เพอ่ื ประโยชนส์ ขุ แห่งสยำมประเทศ8. ข้อใดไม่ใชห่ ลักกำรสำคญั ของกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยก. อำนำจอธปิ ไตยเปน็ ของประชำชน ข. กำรยดึ ถอื กฎหมเู ป็นกติกำในกำรอยรู่ ่วมกันค. กำรอย่รู ว่ มกันของประชำชนโดยเทำ่ เทยี มกัน ง. กรยอมรบั เสยี งสว่ นใหญ่ของคนในสงั คม9. ขอ้ ใดเป็นลักษณะของกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยแบบรฐั สภำก. รฐั สภำตรำกฎหมำยดว้ ยควำมเหน็ ชอบของนำยกรัฐมนตรีข. ประมุขของรฐั อำจเปน็ ประธำนำธิบดหี รอื กษตั ริย์แตไ่ ม่ได้รับผิดชอบบรหิ ำรประเทศค. กำรแยกอำนำจระหวำ่ งอำนำจนิตบิ ญั ญัติ อำนำจบริหำร อำนำจตลุ ำกำรเป็นไปโดยเด็ดขำดง. ฝำ่ ยบริหำรไมส่ ำมำรถบุบสภำได้10. ประเทศใดปกครองระบอบประชำธิปไตยแบบรัฐสภำก. อังกฤษ ฝรัง่ เศส ญ่ปี นุ่ ข. สหรัฐอเมริกำ อังกฤษ ฝร่ังเศสค. ไทย องั กฤษ ญป่ี ุ่น ง. สหรัฐอเมริกำ อินโดนีเชยี ไทย
27 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๔ สิทธิและหนา้ ทข่ี องพลเมืองดตี ามระบอบประชาธิปไตยสิทธิ หมำยถงึ ประโยชนอ์ ันชอบธรรมขอบบุคคลทก่ี ฎหมำยค้มุ ครองท่จี ะทำอะไรก็ได้ ภำยในขอบเขตของกฎหมำยโดยไมล่ ะเมิดสทิ ธขิ องผ้อู ื่น โดยรฐั ธรรมนญู ได้คมุ้ ครองสิทธิของประชำชน ดังนี้ 1. สทิ ธใิ นครอบครัวและควำมเปน็ อยู่ส่วนตวั ชำวไทยทกุ คนย่อมได้รบั ควำมคุ้มครอง เกียรติยศ ช่อื เสยี ง และควำมเป็นอยูส่ ่วนตวั 2. สิทธิอนุรกั ษฟ์ ื้นฟูจำรีตประเพณี บุคคลในท้องถน่ิ และชุมชนตอ้ งช่วยกนั อนุรักษ์ฟ้ืนฟูจำรีตประเพณีวัฒนธรรมอนั ดงี ำม ภูมิปัญญำท้องถ่ินเพ่ือรักษำไวใ้ ห้คงอยู่ตลอดไป 3. สิทธใิ นทรพั ยส์ ิน บุคคลจะได้รบั กำรคมุ้ ครองสิทธใิ นกำรครอบครองทรัพย์สนิ ของตนและกำรสืบทอดมรดก 4. สทิ ธิในกำรรับกำรศึกษำอบรม บุคคลย่อมมีควำมเสมอภำคในกำรเข้ำรับกำรศึกษำขน้ึ พ้ืนฐำน 12 ปี อย่ำงมีคณุ ภำพและทั่วถึง โดยไม่เสียค่ำใช้จ่ำย 5. สทิ ธิในกำรรบั บรกิ ำรทำงดำ้ นสำธำรณสุขอยำ่ งเสมอภำคและไดม้ ำตรฐำน สำหรับผูย้ ำกไร้จะได้รบั สทิ ธิในกำรรักษำพยำบำลจำกสถำนบรกิ ำรสำธำรณสขุ ของรฐั โดยไม่เสยี คำ่ ใช้จำ่ ย 6. สทิ ธทิ ีจ่ ะได้รับกำรคมุ้ ครองโดยรัฐ เด็กเยำวชน สตรี และบคุ คลในสงั คมทไ่ี ดร้ ับกำรปฏบิ ตั ิอยำ่ งรุนแรงและไม่เปน็ ธรรมจะไดร้ ับกำร ค้มุ ครองโดยรัฐ 7. สิทธิทจี่ ะไดร้ ับกำรช่วยเหลือจำกรัฐ เช่น บคุ คลทม่ี ีอำยเุ กนิ หกสิบปี และรำยไดไ้ ม่พอต่อกำรยังชีพ รัฐจะให้ควำมชว่ ยเหลือ เป็นต้น 8. สิทธิทจ่ี ะไดส้ ่ิงอำนวยควำมสะดวกอันเป็ฯสำธำรณะ โดยรัฐจะให้ควำมช่วยเหลือและอำนวยควำมสะดวกอนั เปน็ สำธำรณะแกบ่ ุคคลในสังคม 9. สทิ ธิของบุคคลท่ีจะมีส่วนรว่ มกับรัฐและชมุ ชน ในกำรบำรุงรกั ษำและกำรไดป้ ระโยชนจ์ ำกทรัพยำกรธรรมชำติ 10. สิทธทิ ี่จะไดร้ บั ทรำบข้อมลู ข่ำวสำรจำกหน่วยงำนของรฐั รฐั วสิ ำหกิจหรือรำชกำรส่วนทอ้ งถ่ินอยำ่ งเปดิ เผยเวน้ แตก่ ำรเปิดเผยข้อมลู นนั้ จะมผี ลตอ่ ควำมม่นั คงของรฐั หรอื ควำมปลอดภยั ของ ประชำชนสว่ นรวม หรอื เป็นสว่ นได้สว่ นเสยี ของบุคคลซงึ่ มสี ทิ ธิได้รับควำมค้มุ ครอง 11. สิทธิเสนอเรื่องรำวรอ้ งทุกข์โดยไดร้ บั แจ้งผลกำรพิจำรณำภำยในเวลำอันควรตำมบทบญั ญตั ิของกฎหมำย 12. สทิ ธทิ ี่บุคคลสำมำรถฟอ้ งร้องหนว่ ยงำนรำชกำร รัฐวสิ ำหกิจ รำชกำรส่วนทอ้ งถิน่ หรือองค์กรของรฐั ทเ่ี ปน็นติ ิบุคคลใหร้ ับผดิ ชอบกำรกระทำหรือละเวน้ กำรกระทำ ตำมกฎหมำยของเจำ้ หน้ำท่ขี องรัฐภำยในหนว่ ยงำนน้ันเสรภี าพของพลเมือง เสรภี ำพเปน็ สิทธิอีกลักษณะหนงึ่ แตเ่ ปน็ ลักษณะของกำรใช้สิทธอิ ยำ่ งใดอย่ำงหนง่ึ ได้อยำ่ งอิสระแต่ท้ังนี้จะตอ้ งไม่กระทบต่อสทิ ธขิ องผอู้ นื่ ซงึ่ เสรภี ำพพลเมอื งมีดังนี้ 1. เสรีภำพในเคหสถำน ชำวไทยทกุ คนย่อมได้รับควำมคุม้ ครองในกำรอำศยั และครอบครองเคหสถำนโดยปกตสิ ุข กำรเข้ำไปในเคหสถำนของผู้อื่นโดยปรำศจำกกำรยินยอมของผคู้ รอบครอง หรือกำรเข้ำไปตรวจค้นเคหสถำนโดยไม่มหี มำยค้นจำกศำลยอ่ มทำไม่ได้ 2. เสรีภำพในกำรเดินทำงและกำรเลือกถน่ิ ทอี่ ยู่ กำรเนรเทศบุคคลผมู้ สี ัญชำติไทยออกนอกรำชอำณำจักรหรือหำ้ มมิให้บุคคลผูม้ ี สญั ชำตไิ ทยเข้ำมำในรำชอำณำจักรจะกระทำมิได้
28 3. เสรภี ำพในกำรแสดงควำมคิดเหน็ ผำ่ นกำรพดู กำรเขียน กำรพมิ พ์ กำรโฆษณำและกำรสอ่ื ควำมหมำยโดยวธิ ีอ่นื จะจำกัดแก่บุคคลชำวไทยมิได้ เวน้ แต่โดยอำศัยอำนำจตำมบทบัญญตั ิแหง่ กฎหมำยเฉพำะเพ่อื ควำมม่นั คงของรฐั เพื่อรกั ษำควำมสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอันดีของประชำชน 4. เสรภี ำพในกำรสอ่ื สำรถึงกันโดยทำงท่ีชอบด้วยกฎหมำย กำรตรวจ กำรกัก หรือ กำรเปิดเผยข้อมลู สว่ นบุคคล รวมทัง้ กำรกระทำตำ่ ง ๆเพือ่ เผยแพร่ขอ้ มูลนั้นจะกระทำมิได้ 5. เสรภี ำพในกำรนบั ถือศำสนำ นกิ ำย ลัทธิ ควำมเชอ่ื ทำงศำสนำ และเสรภี ำพในกำรประกอบพิธกี รรมตำมควำมเชอื่ ของตน โดยไมเ่ ปน็ ปฏิปกั ษ์ตอ่ หน้ำที่ของพลเมอื ง และไม่ขดั ต่อควำมสงบเรยี บร้อยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชำชน ยอ่ มเป็นเสรีภำพของประชำชน 6. เสรีภำพในกำรชุมนมุ โดยสงบและปรำศจำกอำวธุ กำรจำกดั เสรีภำพดังกล่ำวจะกระทำไมไ่ ด้ เวน้ แต่โดยอำศยั อำนำจตำมบทบัญญัติของกฎหมำยเพ่ือค้มุ ครองประชำชนท่จี ะใชท้ ่ี สำธำรณะหรือเพื่อรักษำควำมสงบเรียบรอ้ ยเมื่อประเทศอยใู่ นภำวะสงครำม หรอื ระหว่ำงประกำศสถำนกำรณ์ฉุกเฉิน หรือประกำศใช้กฎอยั กำรศึก 7. เสรภี ำพในกำรรวมตวั กันเป็นสมำคม สหพนั ธ์ สหองคก์ ร องคก์ รเอกชน หรือหมคู่ ณะอื่น กำรจำกัดเสรภี ำพตำ่ ง ๆเหล่ำนีจ้ ะกระทำมิได้ เว้นแต่อำศยั อำนำจกฎหมำยเฉพำะเพื่อคุ้มครองประโยชนส์ ว่ นรวมของประชำชน กำรรกั ษำควำมสงบเรียบรอ้ ยหรือป้องกนั กำรผูกขำดในทำงเศรษฐกจิ 8. เสรีภำพในกำรรวมตัวจดั ตัง้ พรรคกำรเมือง เพ่ือดำเนินกิจกรรมทำงกำรเมืองตำมวิถที ำงกำรปกครองระบอบประชำธิปไตย อนั มพี ระมหำกษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข 9. เสรภี ำพในกำรประกอบอำชพี และกำรแข่งขันโดยเสรอี ย่ำงเปน็ ธรรม กำรจำกัดเสรภี ำพดังกล่ำวจะทำได้โดยอำศัยกฎหมำยเพื่อประโยชนใ์ นกำรรักษำควำมมน่ั คงของรัฐหรือเศรษฐกจิ ของ ประเทศ และเพ่อื ป้องกันกำรผูกขำดหรือขจดั ควำมไมเ่ ปน็ ธรรมในกำรแขง่ ขันทำงกำรคำ้หน้าที่ หมำยถึง ข้อปฏบิ ัติท่ปี ระชำชนทกุ คนต้องกระทำ หรอื งดเว้นกำรกระทำอยำ่ งใด อยำ่ งหนง่ึ ตำมที่กฎหมำยกำหนด ครอบครวั และเพ่ือกอ่ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ส่วนรวมแล้วแตก่ รรี ได้แก่ 1. หน้ำที่รกั ษำไว้ซง่ึ ชำติ ศำสนำ พระมหำกษัตริย์ และกำรปกครอง ระบอบประชำธิปไตย 2. หน้ำที่ในกำรป้องกันประเทศ 3. หน้ำท่ใี นกำรปฏิบตั ิตำมกฎหมำย 4. หน้ำทใ่ี นกำรเสียภำษีอำกรตำมกฏหมำย 5. หนำ้ ทีใ่ นกำรรับรำชกำรทหำร เม่ืออำยุ 20 ปีบริบูรณ์ (ชำย) 6. หนำ้ ทใ่ี นกำรรับกำรศึกษำภำคบงั คบั จำกกำรศกึ ษำในระบบบ 7. หนำ้ ทใ่ี นกำรช่วยเหลือรำชกำร ๘. หนำ้ ทีใ่ นกำรใชส้ ิทธิเลือกตัง้ โดยสจุ รติ บุคคลใดไม่ไปเลือกตัง้ โดยไม่แจง้ ใหท้ รำบสำเหตุย่อมเสียสิทธิตำม กฏหมำยท่ีบัญญัตไิ ว้พลเมอื งเร่อื งดีในวิถีชวี ิตประชาธปิ ไตย ความหมายของ “พลเมืองดี” ในวิถชี ีวติ ประชาธปิ ไตย พจนานุกรมนักเรยี นฉบับราชบณั ฑติ ยสถานได้ให้ความหมายของคาต่าง ๆ ดงั น้ี “พลเมือง” หมายถึง ชาวเมอื ง ชาวประเทศ ประชาชน “วถิ ”ี หมายถึง สาย แนว ทาง ถนน“ประชาธิปไตย” หมายถงึ แบบการปกครองทถ่ี อื มติปวงชนเป็นใหญ่
29 ดังน้นั คาว่า “พลเมอื งดีในวิถีชวี ติ ประชาธิปไตย” จงึ หมายถงึ พลเมืองท่ีมีคณุ ลักษณะท่ีสาคญั คอืเปน็ ผู้ท่ียึดมน่ั ในหลกั ศลี ธรรมและคณุ ธรรมของศาสนา มีหลกั การทางประชาธิปไตยในการดารงชวี ิต ปฏบิ ัตติ นตามกฎหมายดารงตนเปน็ ประโยชน์ต่อสงั คม โดยมีการชว่ ยเหลือเก้ือกูลกนั อันจะก่อให้เกดิ การพฒั นาสงั คมและประเทศชาติ ให้เป็นสังคมและประเทศประชาธปิ ไตยอย่างแท้จริงหลักการทางประชาธปิ ไตยหลักการทางประชาธิปไตยท่ีสาคัญ ได้แก่๑. หลกั อานาจอธปิ ไตยเปน็ ของประชาชน หมายถงึ ประชาชนเป็นเจา้ ของ อานาจสูงสุดในการปกครองรฐั๒. หลักความเสมอภาค หมายถงึ ความเท่าเทยี มกนั ในสังคมประชาธปิ ไตย ถอื วา่ ทกุ คนที่เกิดมาจะมีความเท่าเทยี มกนั ในฐานะการเป็นประชากรของรฐั ไดแ้ ก่ มสี ทิ ธเิ สรีภาพ มหี นา้ ทเ่ี สมอภาคกนั ไม่มกี ารแบง่ ชนชนั้ หรอื การเลือกปฏบิ ัติ ควรดารงชีวติ อยรู่ ว่ มกนั อย่างสันติ ไม่ข่มเหงรังแกคนท่ีอ่อนแอหรือยากจนกวา่๓. หลักนติ ิธรรม หมายถงึ การใช้หลกั กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์การอย่รู ว่ มกนั เพื่อความสงบสุขของสงั คม๓. หลักเหตผุ ล หมายถึง การใชเ้ หตุผลทถ่ี ูกต้องในการตัดสินหรอื ยุตปิ ญั หาในสงั คม๔. หลักการถือเสียงข้างมาก หมายถึง การลงมตโิ ดยยอมรับเสียงส่วนใหญใ่ นสังคมประชาธิปไตย ครอบครัวประชาธปิ ไตย จึงใชห้ ลักการถือเสยี งข้างมากเพ่ือลงมติในประเด็นตา่ ง ๆ ได้อย่างสนั ติวิธี๕. หลักประนปี ระนอม หมายถงึ การลดความขดั แย้งโดยการผอ่ นหนกั ผ่อนเบาให้กัน รว่ มมือกันเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสว่ นรวมเป็นสาคญั หลักการทางประชาธปิ ไตยจึงเป็นหลักการสาคัญที่นามาใช้ในการดาเนนิ ชีวิตในสงั คม เพื่อก่อให้เกิดความสงบสขุ ในสังคมได้แนวทางการปฏบิ ตั ิตนเปน็ พลเมืองดีตามวิถชี ีวติ ประชาธิปไตย พลเมอื งดตี ามวถิ ีชีวิตประชาธปิ ไตยควรมีแนวทางการปฏิบัตติ นดังนี้ คอื๑. ด้านสังคม ได้แก่ ๑.๑การแสดงความคดิ อย่างมีเหตุผล ๑.๒การรับฟังข้อคิดเห็นของผู้อน่ื ๑.๓ การยอมรบั เม่ือผอู้ ื่นมเี หตุผลท่ดี ีกว่า ๑.๔ การตัดสนิ ใจโดยใช้เหตุผลมากกวา่ อารมณ์ ๑.๕ การเคารพระเบียบของสังคม ๑.๖ การมจี ติ สาธารณะ คือ เหน็ แก่ประโยชนข์ องส่วนรวมและรกั ษาสาธารณสมบตั ิ๒. ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ๒.๑ การประหยดั และอดออมในครอบครวั ๒.๒ การซื่อสัตย์สจุ ริตตอ่ อาชีพทที่ า ๒.๓ การพฒั นางานอาชีพให้ก้าวหน้า ๒.๔ การใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม
30 ๒.๕ การสร้างงานและสรา้ งสรรคส์ ่งิ ประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ เพื่อใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ สงั คมไทยและสงั คมโลก ๒.๖ การเปน็ ผ้ผู ลติ และผู้บรโิ ภคทด่ี ี มคี วามซ่ือสัตย์ ยดึ ม่ันในอุดมการณ์ทีด่ ตี ่อชาตเิ ปน็ สาคญั๓. ดา้ นการเมอื งการปกครอง ได้แก่ ๓.๑ การเคารพกฎหมาย ๓.๒ การรับฟงั ขอ้ คิดเหน็ ของทุกคนโดยอดทนต่อความขัดแย้งทีเ่ กิดข้ึน ๓.๓ การยอมรับในเหตผุ ลทดี่ ีกวา่ .๔ การซ่ือสัตย์ตอ่ หนา้ ที่โดยไมเ่ หน็ แกป่ ระโยชน์ส่วนตน ๓.๕ การกลา้ เสนอความคิดเห็นต่อส่วนรวม กล้าเสนอตนเองในการทาหน้าทส่ี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื สมาชกิ วุฒสิ ภา การทางานอย่างเตม็ ความสามารถ เตม็ เวลาความสาคญั ของการปฏิบตั ติ นเปน็ พลเมืองดตี ามวถี ีประชาธิปไตย ๑. ทำให้สังคมและประเทศชำตมิ กี ำรพฒั นำไปอย่ำงมั่นคง ๒. เกดิ ควำมรักและควำมสำมัคคใี นหมู่คณะ ๓. สังคมมคี วำมเป็นระเบียบ สงบเรียบร้อย ๔. สมำชิกทกุ คนไดร้ บั สิทธิ หน้ำที่ เสรภี ำพ จำกกฎหมำยควำมเทำ่ เทยี มกัน เกิดควำมเป็นธรรมในสงั คม ๕. สมำชกิ ในสงั คมมีควำมเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่และมนี ้ำใจต่อกนัคุณธรรมของการเปน็ พลเมืองดใี นสงั คมประชาธิปไตยระดบั ประเทศชาติ คนดี หมำยถึง กำรเป็นคนทม่ี ีคณุ ธรรม จริยธรรม ตำมหลกั ศลี ธรรมและคำ่ นิยมท่ีดีงำมในสังคม กำรเปน็พลเมืองดใี นสังคมประชำธปิ ไตยมีควำมหมำยและขอบเขตข้อจำกดั มำกกว่ำกำรเป็นคนดีโดยทว่ั ไป การเปน็ พลเมืองดีในสังคมประชาธิปไตย หมำยถงึ กำรท่ีพลเมอื งมหี ลักกำรดำเนินชีวติ ที่มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม และมีบทบำทในกำรกระทำทม่ี ีคุณลกั ษณะทำงประชำธปิ ไตยเป็นองค์ประกอบทีส่ ำคญั ในกำรดำเนนิ ชวี ติคณุ ธรรมของการเป็นพลเมืองดใี นสังคมประชาธิปไตยมดี ังนี้ ๑. ควำมจงรกั ภกั ดีต่อชำติ ศำสนำ และพระมหำกษตั ริย์ ๒. กำรยดึ มั่นในหลักธรรมของศำสนำที่ตนเองนบั ถอื ๓. ควำมซ่อื สตั ย์ ๔. ควำมเสียสละ ๕. ควำมรบั ผิดชอบ กำรมรี ะเบยี บวินัย หมำยถึง กำรกระทำท่ีถกู ต้องตำมกฏเกณฑ์ท่สี งั คมกำหนดไว้ ๖. กำรตรงต่อเวลำ ๗. ควำมกลำ้ หำญทำงจริยธรรม ๘. กำรปฏิบตั ิตนเปน็ พลเมืองดีในสังคมไทยและสงั คมโลกความสาคญั ของการปฏิบัตติ นเป็นพลเมอื งดตี ามวีถีประชาธปิ ไตย ๑. ทำใหส้ ังคมและประเทศชำติมกี ำรพฒั นำไปอยำ่ งมั่นคง ๒. เกดิ ควำมรักและควำมสำมัคคีในหมู่คณะ ๓. สงั คมมีควำมเปน็ ระเบยี บ สงบเรียบรอ้ ย ๔. สมำชิกทุกคนได้รับสทิ ธิ หน้ำท่ี เสรีภำพ จำกกฎหมำยควำมเท่ำเทยี มกัน เกดิ ควำมเป็นธรรมในสงั คม ๕. สมำชกิ ในสังคมมีควำมเอื้อเฟ้ือเผื่อแผแ่ ละมีน้ำใจต่อกัน
31การสง่ เสริมให้ผู้อน่ื ปฏบิ ตั ิตนเปน็ พลเมอื งดี การทีบ่ คุ คลปฏบิ ตั ติ นเปน็ พลเมืองดีในวถิ ปี ระชาธิปไตยแลว้ ควรสนับสนนุ สง่ เสริมใหบ้ คุ คลอนื่ ปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมืองดีในวถิ ปี ระชาธิปไตยด้วย โดยมแี นวทางการปฏิบตั ดิ งั น้ี ๑. การปฏบิ ตั ติ นให้เปน็ พลเมืองดใี นวิถีประชาธิปไตย โดยยดึ มนั่ ในคณุ ธรรมจริยธรรมมของศาสนาและหลักการของประชาธิปไตยมาใชใ้ นวิถกี ารดารงชีวติ ประจาวันเพอ่ื เปน็ แบบอย่างที่ดีแก่คนรอบข้าง ๒. เผยแพร่อบรม หรือสั่งสอนบุคคลในครอบครวั เพ่ือนบา้ น คนในสังคมให้ใช้หลกั การทางประชาธิปไตยเป็นพ้นื ฐานในการดารงชีวิตประจาวนั ๓. สนบั สนุนชมุ ชนในเร่ืองทีเ่ ก่ียวกับการปฏิบตั ติ นให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการบอกเลา่ เขยี นบทความเผยแพรผ่านสอ่ื มวลชน ๔.ชักชวนหรือสนบั สนนุ คนดีมคี วามสามารถในการมีส่วนรว่ มกบั กิจกรรมทางการเมืองหรือกจิ กรรมสาธารณประโยชน์ของชมุ ชน ๕. เป็นหูเป็นตาให้กับรฐั หรอื หน่วยงานของานรฐั ในการสนับสนุนคนดีและกาจดั คนที่เป็นภยั กบั สงั คมการสนับสนนุ ให้ผู้อืน่ ปฏบิ ัติตนเป็นพลเมืองดใี นวิถปี ระชาธปิ ไตยควรเปน็ จิตสานึกท่ีบคุ คลพึงปฏิบัตใิ หเ้ กดิ ประชา -ธปิ ไตยอย่างแท้จรงิคณุ ลกั ษณะความเปน็ พลเมืองดี คณุ ลักษณะความเป็นพลเมืองดที ่ที ุกสงั คมพงึ ปรารถนา ซง่ึ มี ๙ ลักษณะ ดังน้ี ๑. เคารพกฎหมายบา้ นเมอื งและปฏิบัติตาม กฎระเบยี บ ข้อบังคับของสังคม ๒. เป็นผู้มเี หตผุ ล และรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน ๓. ยอมรบั มตขิ องเสียงส่วนใหญ่ ๔. เป็นผู้นามีนา้ ใจประชาธิปไตย ๕. เคารพในสทิ ธิเสรีภาพของผู้อน่ื ๖. มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง สังคม ชมุ ชน ประเทศชาติ ๗. มีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเมือง การปกครอง ๘. มีสว่ นร่วมในการปอ้ งกนั แกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ๙. มคี ุณธรรมและจริยธรรม ปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ธรรมหน้าทีข่ องพลเมืองดีตามรฐั ธรรมนูญดา้ นการรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ๑. การรกั ษาชาติ ๒. การรักศาสนา ๓. การรกั ษาพระมหากษัตรยิ ์และการปกครองระบบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
32ด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ๑. การไปใชส้ ทิ ธิเลือกตัง้ดา้ นการพัฒนาประเทศ ๑.การปอ้ งกันประเทศ ๒. การรบั ราชการทหาร ๓. การเสยี ภาษี ๔. การชว่ ยเหลือราชการ ๕. การศึกษาอบรม ๖. อนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ๗. การพทิ ักษป์ กป้องและสบื สานศิลปะ วฒั นธรรมของชาตแิ ละภูมิปัญญาท้องถน่ิการสรา้ งจิตอาสาในการเปน็ พลเมืองดี จิตอาสา คือ ผู้ที่มีจิตใจท่ีเปน็ ผู้ให้ เช่น ให้สิ่งของ ให้เงิน ให้ควำมช่วยเหลือด้วยกำลังแรงกำย แรงสมอง ซ่ึงเปน็ กำรเสียสละ สงิ่ ท่ตี นเองมี แมก้ ระท่ังเวลำ เพ่ือเผือ่ แผ่ ให้กับสว่ นรวม...อีกท้ังยังชว่ ยลด \"อัตตำ\" หรอื ควำมเป็นตวั เป็นตน ของตนเองลงได้บ้ำง จิตอาสา คือ จิตแหง่ กำรให้ควำมดีงำมทั้งปวงแกเ่ พื่อนมนุษย์ โดยเตม็ ใจ สมคั รใจ อ่ิมใจ ซำบซึง้ ใจ ปีตสิ ุข ที่พร้อมจะเสยี สละเวลำ แรงกำย และสติปญั ญำ เพอื่ สำธำรณประโยชน์ ในกำรทำกิจกรรม หรอื สิ่งทเ่ี ป็นประโยชน์แกผ่ อู้ ่ืนโดยไม่หวังผลตอบแทน และมีควำมสุขที่ไดช้ ่วยเหลือผู้อน่ื เป็นจติ ท่ีไม่นิ่งดูดำย เม่ือพบเหน็ ปัญหำ หรือควำมทุกขย์ ำกท่ีเกิดขน้ึ กบั ผู้คน เป็นจติ ท่มี คี วำมสุขเม่ือได้ทำควำมดี และเหน็ น้ำตำเปล่ียนเป็นรอยยม้ิ เปน็ จิตท่ีเปย่ี มดว้ ย \"บญุ \" คือควำมสงบเย็น และพลงั แห่งควำมดี อกี ทัง้ ยงั ชว่ ยลด \"อตั ตำ\" หรอื ควำมเปน็ ตวั เปน็ ตนของตนเองลงได้บำ้ ง \"จติ อำสำ\"...คืออะไร...สมยั กอ่ น ไดย้ ินแต่คำว่ำ \"อำสำสมัคร\" พอมำสมัยน.้ี ..มคี ำวำ่ \"จิตอำสำ\"... เม่ือกล่ำวถึง \"อำสำสมัคร\" จะมอี กี คำหนง่ึ ท่ีมักจะถูกกลำ่ วถึงควบคู่กันเสมอ นั่นคือ คำวำ่ \"จติ อำสำ\" ท่ีน้ีมำดูกนั วำ่ คำสองคำน้ี มคี วำมสำคัญและควำมหมำยแตกตำ่ งกนั อยำ่ งไร \"อำสำสมัคร\" เป็นงำนท่ีเกิดจำกผู้ที่มี จิตอำสำ ซึ่งมีควำมหมำยอย่ำงมำก กับสังคมส่วนรวม เป็นผู้ที่เอื้อเฟอื้เสียสละ เวลำ แรงกำย แรงใจ เพ่ือช่วยเหลอื ผ้อู ่นื หรือ สงั คมใหเ้ กิด ประโยชนแ์ ละควำมสขุ มำกขึ้น กำรเป็น \"อำสำสมคั ร\" ไม่ว่ำจะเปน็ งำนใด ๆ ก็แลว้ แต่ทท่ี ำใหเ้ กิดประโยชน์ในทำงบวก ลว้ นแตเ่ ปน็ สงิ่ ท่ีเรำควรทำทั้งสิ้น คนท่ีจะเปน็ อำสำสมคั รได้นัน้ ไม่ไดจ้ ำกดั ที่ วัย กำรศึกษำ เพศ อำชีพ ฐำนะ หรือ ข้อจำกัด ใด ๆท้งั สิน้ หำกแตต่ ้องมีจติ ใจ เป็น \"จิตอำสำ\" ที่อยำกจะช่วยเหลอื ผู้อื่น หรือสงั คม เท่ำนั้น จิตอำสำ คำนจี้ ะคนุ้ หูพวกเรำมำกขึน้ .... หำกแตเ่ พียงมองรอบตัวทำ่ น ทำสิ่งทีค่ ิดว่ำเปน็ ประโยชน์ต่อสังคม..
33 แบบทดสอบหลังเรยี นและกอ่ นเรยี นหน่วยที่ ๔คาสงั่ จงเลอื กคำตอบที่ถกู ต้องท่ีสดุ เพียงข้อเดียว๑. กำรเป็นพลเมืองดใี นระบอบประชำธิปไตยควรให้ควำมสำคัญกับส่งิ ใด ก. กำรศึกษำ ข. กำรทำตำมหนำ้ ที่ ค. ควำมเป็นประชำธิปไตย ง. กำรมีน้ำใจ๒.หลกั กำรทำงประชำธิปไตยที่ช่วยลดควำมขดั แยง้ ในสงั คมคือข้อใด ก. หลกั อำนำจอธิปไตยเปน็ ของประชำชน ข. หลักควำมเสมอภำค ค. หลักนิติธรรม ง. หลักประนปี ระนอม๓. แนวทำงกำรปฏิบตั ิตนเป็นพลเมอื งดีตำมวถิ ชี วี ติ ประชำธิปไตยดำ้ นสังคม ควรปฏิบัติอย่ำงไร ก. กำรรบั ฟังขอ้ คดิ เหน็ ของผู้อนื่ และกำรยอมรับเมอื่ ผู้อน่ื มีเหตุผลท่ีดีกว่ำ ข. กำรซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ตอ่ อำชพี ที่ทำและกำรพัฒนำงำนอำชีพให้กำ้ วหนำ้ ค. ร้กู ำรประหยดั อดออม และใช้เวลำวำ่ งให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คม ง. กำรเคำรพกฎหมำยและกล้ำเสนอควำมคิดเห็นตอ่ สว่ นรวม๔. คุณสมบัติของพลเมอื งท่ีช่วยส่งเสริมให้ระบอบประชำธิปไตยประสบควำมสำเร็จได้ดีคือข้อใดก. กำรมีอสิ รภำพและพงึ่ ตนเองได้ ข. กำรเห็นคนเทำ่ เทยี มกันค. กำรเคำรพสทิ ธผิ ู้อน่ื ง.กำรเข้ำใจระบอบประชำธปิ ไตยและมสี ่วนรว่ ม๕. สถำบันใดมีควำมสำคัญท่ีสุด เป็นสถำบนั แรกในกำรปลูกฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรมได้ดที ี่สดุก. สถำบนั กำรศึกษำ ข. สถำบนั ศำสนำ ค. สถำบันครอบครวั ง. สถำบนั นันทนำกำร๖. ใครเปน็ ผ้ปู ลกู ฝงั คุณธรรมจริยธรรมได้ดที ี่สดุก. ครู ข. เพือ่ นค. พระสงฆ์ ง. พอ่ แม่๗. กำรปลูกฝังประชำธิปไตยให้เกดิ ในสงั คมไทยควรเร่ิมต้นทใ่ี ดเปน็ อันดบั แรกก. ครอบครวั ข. โรงเรยี น ค. เพื่อนบ้ำน ง. หน่วยงำนของรัฐ๘. เรำสำมำรถวัดควำมเป็นพลเมืองดไี ดจ้ ำกสิง่ ใดก. ฐำนะ ข. อทิ ธพิ ลทอ้ งถ่ิน ค. มีคุณธรรม–จริยธรรม ง. กำรศกึ ษำสงู๙. กำรมี “จติ อำสำ” ควรเริ่มต้นทใี่ ดก. ตนเอง ข. เพ่อื นฝูงค. องค์กร ง. ครอบครวั๑๐. ขอ้ ใดคือประโยชน์ของจิตอำสำท่ผี ปู้ ฏิบัติควรไดร้ ับโดยตรงก. มสี ังคมท่ีนำ่ อยู่ ผ้คู นเปน็ มิตร ข. เหน็ คณุ คำ่ และภำคภูมิใจในตนเองค. คนในชุมชนและสงั คมมีควำมสำมคั คีง. ผเู้ ดอื ดรอ้ นทีไ่ ด้รับควำมชว่ ยเหลือสำมำรถพ่ึงพำตนเองได้
34 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๕ พลเมืองดีในสังคมไทยตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง การพฒั นาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ กำรพัฒนำท่ีอยูบ่ นพ้ืนฐำนของบทำงสำยกลำง และไมป่ ระมำทปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพียง จะบอกเรำวำ่ เรำควรดำเนินชีวิตและปฏิบตั ติ นอย่ำงไร ท่ีมพี นื้ ฐำนมำจำกวิถชี วี ิตดง้ั เดมิของคนไทย สำมำรถนำมำประยกุ ตใ์ ช้ไดต้ ลอดเวลำ มุ่งเนน้ กำรรอดพน้ จำกภยั วิกฤตติ ่ำง ๆ เพ่ือควำมม่ันคง และควำมย่งั ยืน เศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ ปรัชญำชีถ้ งึ แนวทำงกำรดำรงชีวติ และปฏบิ ตั ติ นของประชำชนทุกระดบั ต้ังแต่ครอบครัว ชมุ ชน จนถงึ ระดับรฐั ทั้งในกำรดำรงชีวิตประจำวนั กำรพฒั นำและบริหำรประเทศ ใหด้ ำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพำะกำรพฒั นำเศรษฐกจิ เพื่อใหก้ ำ้ วหนำ้ ต่อกำรเปลยี่ นแปลงของโลกใครทีส่ ามารถนาหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบตั ิได้ เศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ แนวปรัชญำท่ีทกุ ๆ คน สำมำรถนำไปปฏิบตั ิในชีวติ ประจำวนั ได้ ไมว่ ่ำจะเปน็ ตวั เรำเองนักเรยี น เกษตรกร ขำ้ รำชกำร และประชำชนทัว่ ไป ตลอดจนบริษัท ห้ำงร้ำน สถำบันต่ำง ๆ ทั้งนอกภำคกำรเกษตรและในภำคกำรเกษตร สำมำรถนำปรัชญำเศรษฐกิจพอเพยี งดังกลำ่ วไปปฏบิ ัติ เพอื่ ดำรงชีวติ และพัฒนำธรุ กิจกำรค้ำไดจ้ รงิความพอเพียงประกอบด้วยคุณลกั ษณะ 3 คณุ ลกั ษณะคือ ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดที ี่ไมน่ ้อยเกินไป และไม่มากเกินไป ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผู้อ่นื ความมเี หตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกย่ี วกบั ระดับความพอเพียง จะต้องเป็นไปอยา่ งมีเหตผุ ล การมภี ูมิค้มุ กนั ท่ีดี หมายถึง การเตรยี มตวั ให้พรอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงดา้ นต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขึ้นกำรตัดสนิ ใจและกำรดำเนนิ กิจกรรมต่ำง ๆ อยภู่ ำยใตเ้ งอื่ นไข 2 อยำ่ งคือ เงื่อนไขความรู้ คือ ควำมรอบรเู้ กี่ยวกับวิชำกำรตำ่ ง ๆ ท่เี กย่ี วข้องอยำ่ งรอบด้ำน ควำมรอบคอบทจ่ี ะนำควำมรไู้ ปเชอ่ื มโยงกนั เพ่ือประกอบกำรวำงแผน ควำมระมัดระวังในกำรปฏิบัติ เงอื่ นไขคุณธรรม คือ ต้องมีคุณธรรมในกำรดำเนินกิจกรรม คอื มคี วำมซือ่ สัตย์ อดทน มีควำมเพยี ร ไม่โลภ และไม่ตระหนี่ ผลท่ีจะได้รับ คอื กำรพฒั นำท่ีสมดุลและยั่งยืน นำไปสคู่ วำมยงั่ ยนื ด้ำน 1. มติ ิดา้ นเศรษฐกิจ พัฒนำคนในชุมชนให้พอมีพอกิน เหลือจึงรวมกลุม่ กนั ค้ำขำย เกดิ ตลำด เชอ่ื มโยงสู่ธรุ กิจภำยนอก 2. มิติด้านสังคม สร้ำงคนให้เข้มแข็งพง่ึ ตนเองได้ ทำใหช้ ุมชนเขม้ แขง็ ส่งผลใหส้ ังคมเข้มแข็ง 3. มติ ิดา้ นสง่ิ แวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกิดจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทเี่ อือ้ อำทรตอ่ ธรรมชำติ และยอมรับภมู ิปญั ญำท้องถ่ิน ผสมผสำนกัน ชว่ ยสรำ้ งสมดลุ ใหก้ บั ธรรมชำติและอนุรักษ์สภำพแวดล้อม เช่น ใช้กับดักไฟ เพ่ือลอ่ แมลงใหต้ กลงในบ่อปลำเป็นอำหำรของปลำและกบ ได้ 4. มติ ิด้านวฒั นธรรม ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง มเี ป้ำหมำยในกำรพฒั นำประเทศท่ีใหค้ วำมสำคญั กับคนมุ่งใหเ้ กดิ ควำมอยเู่ ย็นเป็นสขุ กำรดำรงชวี ติ ตำมวิถชี ีวติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียง เป็นวฒั นธรรมของไทย นำหลักศำสนำมำเปน็ แนวทำงกำรดำเนนิ ชวี ิต กลบั ไปสู่สังคมเอ้ืออำทร เคำรพต่อสภำพแวดลอ้ ม
35พลเมอื งดตี ามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง๑. ความพอประมาณ ๑.๑ รู้จกั ปฏบิ ตั ิหน้ำที่ของตน เดินทำงสำยกลำง ทำหนำ้ ที่ของตนเองให้ถูกต้อง สมบรู ณ์ ไม่ทำสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ สุดโต่ง เชน่ กำรเลน่ เกมเปน็ เวลำนำน ตอ้ งรจู้ ักแบง่ เวลำทำหนำ้ ทข่ี องตนในดำ้ นกำรเรียน กำรทำงำนกำรพักผ่อน อย่ำงสมดลุ มเี หตุมีผล ใช้เวลำแตล่ ะวนั อยำ่ งรอบครอบ ๑.๒ รูจ้ กั เลอื กและตัดสินใจก่อนจะซ้ือสิ่งของเหลือใชส้ อย ในด้ำนบรโิ ภคทุกครง้ั ต้องคำนงึ กอ่ นวำ่ตนมสี ่ิงของทีจ่ ะซอ้ื น้ันอยแู่ ลว้ หรอื ยัง มเี งนิ ในกระเป๋ำท่ีจะซือ้ หรอื ไม่2. ความมีเหตุผล ๒.๑ รู้จักมัธยัสถ์ คือกำรร้จู ักประหยัด คำนงึ ถงึ ประโยชน์มำกกวำ่ คำนึงถงึ ควำมสะดวกสบำย ๒.๒ รักษำสมดุล คอื กำรทำให้วงจรชวี ติ และธรรมชำตสิ งิ่ แวดล้อมดำรงอยตู่ อ่ ไปได้ เช่น นา้ ท่ีใช้แล้วสามารถนากลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ นาไปใช้ประโยชน์อยา่ งอ่ืนได้อีก เชน่ รดต้นไม้ ๒.๓ ไม่ทำลำยส่งิ แวดล้อม เช่น ไมป่ ล่อยนำ้ เสียลงแม่นำ้ ลำคลอง ไม่ท้ิงสำงปฏกิ ลู ลงในแม่น้ำเพรำะจะทำให้นำ้ ท่ีสะอำดไม่มีอำกำศไหลเวยี น ทำใหส้ ิง่ มีชีวติ ในนำ้ ไมส่ มำรถอยู่ได้ ๒.๔ ไมใ่ ชท้ รัพยำกรเกนิ ควำมจำเปน็ ๒.๕ รจู้ ักเลอื กบรโิ ภคโดยคำนงึ ถงึ สว่ นรวม กำรบรโิ ภคส่ิงใดนกึ ถึงผลกระทบตอ่ สว่ นรวม เชน่ ไม่ใชพ้ ำสตกิ โพม หรือวัสดทุ ท่ี ำลำยธรรมชำติ3. ความมภี ูมคิ ุ้มกันในตัวท่ีดี ไดแ้ ก่แนวทำงในกำรปฏบิ ัตดิ งั น้ี ๓.๑ ไมเ่ บียดเบยี นตนเอง เชน่ ไม่ย่งุ เกยี่ วกับสรุ ำ และสงิ่ เสพติดที่ทำใหต้ นเองเดือดร้อน เสยี อนำคต ๓.๒ รู้จักออกกำลังกำยเพื่อเสริมสร้ำงรำ่ งกำยใหส้ มบูรณ์และจิตใจที่เขม้ แขง็ พร้อมกับรบั ปญั หำที่อำจจะเกิดขนึ้ อันเป็นธรรมดำปกติขอมนุษย์ ๓.๓ รู้จักประกอบอำชพี ในทำงสจุ รติ ไมผ่ ดิ กฎหมำย หลกั ธรรมขอ้ นี้ส่งเสริมใหเ้ กดิ กำรตระหนักถึงควำมถกู ตอ้ ง ไม่คิดหำรำยได้หรือประกอบอำชีพทจุ ริต เพรำะกำรทำทจุ รติ ครั้งเดยี ว อำจสง่ ผลท้ังชวี ิต ๓.๔ รจู้ ักตระหนักรใู้ นตนเอง คอื กำรรู้จักตนเองไมต่ กเปน็ เคร่ืองมือหรือถกู ชักจงู ในทำงที่ผดิปัจจุบนั มีข่ำวนักเรยี น นักศกึ ษำท้งั ชำยและหญิงยกพวกตีกัน หรือทำรำ้ ยกันโดยปรำศจำกข้อขัดแย้ง
36การปฏิบัตติ นตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง 1. ยดึ ควำมประหยัด ตัดทอนคำ่ ใช้จ่ำยในทุกดำ้ น ลดละควำมฟุ่มเฟือยในกำรดำรงชีพอยำ่ งจริงจงั ดังพระรำชดำรสั ว่ำ “ควำมเป็นอยทู่ ตี่ ้องไม่ฟงุ้ เฟ้อ ต้องประหยัดไปในทำงทีถ่ ูกต้อง” 2. ยดึ ถือกำรประกอบอำชีพดว้ ยควำมถูกต้อง สจุ รติ แม้จะตกอยใู่ นภำวะขำดแคลนในกำรดำรงชพี ก็ตำม ดงั พระรำชดำรัสท่วี ำ่ “ควำมเจริญของคนท้งั หลำยย่อมเกดิ มำจำก กำรประพฤติชอบและกำรหำเลย้ี งชีพของตนเป็นหลักสำคัญ” 3. ละเลิกกำรแก่งแย่งผลประโยชนแ์ ละแข่งขันกันในทำงกำรค้ำขำยประกอบอำชีพแบบต่อส้กู นั อย่ำงรนุ แรงดงั อดีต ซ่งึ มีพระรำชดำรสั เร่ืองนว้ี ่ำ “ ควำมสุขควำมเจริญอนั แท้จริงนัน้ หมำยถึงควำมสขุ ควำมเจริญท่ีบคุ คลแสวงหำมำไดด้ ว้ ยควำมเป็นธรรมท้งั ในเจตนำ และกำรกระทำ ไมใ่ ช่ไดม้ ำด้วยควำมบังเอญิ หรือด้วยกำรแก่งแย่งเบียดบังมำจำกผอู้ ่ืน” 4. ไมห่ ยุดน่ิงทจี่ ะหำทำงในชีวิตหลุดพ้นจำกควำมทกุ ขย์ ำกคร้งั นี้ โดยตอ้ งขวนขวำยใฝ่หำควำมรู้ให้เกดิ มีรำยได้เพิ่มพนู ขึน้ จนถงึ ข้ันพอเพยี งเป็นเปำ้ หมำยสำคัญ พระรำชดำรัสตอนหน่ึงท่ใี ห้ควำมชดั เจนวำ่ “ กำรที่ต้องกำรให้ทุกคนพยำยำมที่ จะหำควำมรู้ และสรำ้ งตนเองให้มนั่ คงนี้เพื่อตนเอง เพื่อทจ่ี ะใหต้ ัวเองมคี วำมเปน็ อยู่ทกี่ ้ำวหนำ้ ท่ีมีควำมสุข พอมีพอกนิ เป็นขั้นหนึ่ง และขนั้ ต่อไป กค็ ือให้มีเกียรตวิ ่ำยนื ได้ด้วยตวั เอง” 5. ปฏิบตั ิตนในแนวทำงทด่ี ีลดละสงิ่ ย่วั กเิ ลสให้หมดสิ้นไป ท้ังน้ดี ว้ ยสงั คมไทยท่ีล่มสลำยลงในครงั้ นี้เพรำะยังมบี ุคคลจำนวนมิใชน่ ้อยท่ีดำเนนิ กำรโดยปรำศจำกละอำยต่อแผน่ ดิน พระบำทสมเด็จ พระเจ้ำอยู่หวั ได้พระรำชทำนพระรำโชวำทวำ่ “พยำยำมไม่ก่อควำมชั่วให้เป็นเครื่องทำลำยตัว ทำลำยผอู้ ื่น พยำยำมลด พยำยำมละควำมชัว่ ทตี่ วั เองมอี ยู่ พยำยำมก่อควำมดีให้แกต่ ัวอยูเ่ สมอ พยำยำมรกั ษำ และเพิม่ พนู ควำมดีทีม่ ีอยู่นั้น ใหง้ อกงำมสมบรู ณ์ข้นึ ทรงย้ำเนน้ ว่ำคำสำคัญทีส่ ดุ คือ คำวำ่ \"พอ\" ต้องสร้ำงควำมพอท่สี มเหตุสมผลให้กับตัวเองใหไ้ ด้และเรำกจ็ ะพบกับควำมสุข”การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปปรบั ใช้ในชีวิตประจาวัน ดา้ นเศรษฐกจิ ไมใ่ ชจ้ ่ำยเกินตัว ไมล่ งทนุ เกินขนำด คดิ และวำงแผนอยำ่ งรอบคอบ มภี ูมิคุ้มกันไมเ่ สี่ยงเกนิ ไปทำบญั ชรี ำยรบั รำยจ่ำยเพอื่ ท่ีจะจัดกำรกำรใชจ้ ำ่ ยเงินไดอ้ ย่ำงเป็นระบบ ด้านจิตใจ มีจติ ใจเขม้ แข็ง มีจิตสำนึกท่ีดีเออ้ื อำทร เห็นแกป่ ระโยชนส์ ่วนรวมมำกกวำ่ ประโยชน์ส่วนตัว ด้านสงั คมและวัฒนธรรม ชว่ ยเหลอื เก้ือกลู กนั รู้รกั สำมัคคี สร้ำงควำมเข้มแขง็ ให้ครอบครวั และชมุ ชนรกั ษำเอกลักษณ์ ภำษำ ภูมปิ ัญญำ และวัฒนธรรมไทย ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รู้จักใชแ้ ละจดั กำรอยำ่ งฉลำดและรอบคอบ ฟืน้ ฟทู รัพยำกรเพือ่ ให้เกิดควำมย่ังยืนและคงอยู่ ชว่ั ลูกหลำน เช่น กำรใชน้ ำ้ อย่ำงประหยดั ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งำน ขึ้นลงชน้ั เดียวใช้บันไดแทนกำรใช้ลฟิ ท์ ด้านเทคโนโลยี รู้จักใชเ้ ทคโนโลยีทเ่ี หมำะสม สอดคล้องกบั ควำมต้องกำรและสภำพแวดลอ้ ม พัฒนำเทคโนโลยจี ำกภมู ิปญั ญำชำวบ้ำน กำรน้อมนำหลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียง มำประยุกต์ใช้ในทุกภำคสว่ นของสังคมอยำ่ งจริงจงั จะสง่ ผลใหก้ ำรพฒั นำประเทศก้ำวหนำ้ ไปอย่ำงสมดลุ ม่นั คงและย่ังยืน พร้อมรับต่อกำรเปลี่ยนแปลงในทุกดำ้ น ท้งัด้ำนชีวติ เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม และเทคโนโลยีอนั จะนำไปสู่ ควำมอยู่เยน็ เปน็ สขุ ร่วมกนั ในสงั คมไทย
37 แบบทดสอบก่อนเรียนหลงั เรียน หนว่ ยที่ ๕คาสง่ั จงเลือกคำตอบที่ถกู ท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว๑.ควำมเปน็ พลเมืองของประเทศกำหนดจำกสง่ิ ใดก. เชอื้ ชำติ ข. สัญชำติ ค. กฎหมำย ง. ภำษำพดู๒. กำรเปน็ พลเมืองดใี นระบอบประชำธิปไตยควรใหค้ วำมสำคัญกบั ส่งิ ใดก. กำรศึกษำ ข. กำรทำตำมหนำ้ ท่ีค. ควำมเป็นประชำธปิ ไตย ง. กำรมนี ้ำใจ๓.หลักกำรทำงประชำธิปไตยทีช่ ่วยลดควำมขัดแย้งในสงั คมคือข้อใดก. หลักอำนำจอธปิ ไตยเป็นของประชำชน ข. หลักควำมเสมอภำคค. หลกั นติ ิธรรม ง. หลักประนปี ระนอม๔. แนวทำงกำรปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดตี ำมวถิ ชี ีวติ ประชำธปิ ไตยด้ำนสังคม ควรปฏิบตั อิ ย่ำงไรก. กำรรบั ฟงั ขอ้ คิดเห็นของผู้อน่ื และกำรยอมรับเมอื่ ผู้อ่ืนมีเหตผุ ลท่ดี ีกวำ่ข. กำรซือ่ สัตย์สจุ รติ ตอ่ อำชพี ที่ทำและกำรพฒั นำงำนอำชีพใหก้ ำ้ วหนำ้ค. ร้กู ำรประหยัด อดออม และใชเ้ วลำว่ำงให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คมง. กำรเคำรพกฎหมำยและกล้ำเสนอควำมคิดเห็นต่อสว่ นรวม๕. คุณสมบัตขิ องพลเมอื งที่ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหร้ ะบอบประชำธิปไตยประสบควำมสำเรจ็ ได้ดีคือข้อใดก. กำรมีอสิ รภำพและพึง่ ตนเองได้ ข. กำรเหน็ คนเทำ่ เทยี มกนัค. กำรเคำรพสทิ ธิผู้อื่น ง.กำรเข้ำใจระบอบประชำธิปไตยและมสี ว่ นรว่ ม๖. กำรอยู่ร่วมกันได้ ไมใ่ ชค้ วำมรุนแรงต่อกัน ตอ้ งใช้หลักกำรใดก. กำรยอมรับควำมแตกตำ่ ง ข. กำรรบั ผิดชอบตอ่ สังคมค. กำรมสี ว่ นร่วม ง. กำรมอี ิสรภำพ๗. คุณธรรม จรยิ ธรรมที่ช่วยส่งเสรมิ ควำมเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยในสังคมคอื อะไรก. ควำมกลำ้ ทำงจรยิ ธรรม ข. กำรเช่อื มั่นในตนเองค. ควำมมรี ะเบียบวินยั ง. กำรตรงต่อเวลำ๘. ข้อใดเป็นสิทธขิ องพลเมอื งก. กำรรับกำรศึกษำขั้นพนื้ ฐำน ค. กำรเสียภำษีข. กำรชุมนมุ โดยสงบและปรำศจำกอำวุธ ง. กำรรับรำชกำรทหำร๙. ข้อใดเปน็ สถำนภำพทไ่ี ด้มำโดยกำเนิดหรอื สถำนภำพทต่ี ิดตวั มำก. สมชำยอำยุ ๔๕ ปี และเปน็ พ่อของสมปรำรถนำ ข. กำนดำเป็นพยำบำลและเปน็ แม่ของลูกชำยฝำแฝดค. ประชำเป็นคนผวิ ดำเพรำะมเี ช้ือชำตไิ ทยแท้ ง. ลุงดำมอี ำชพี ทำนำและเปน็ เกษตรกรดเี ดน่๑๐. ข้อใดแสดงว่ำมจี ติ สำธำรณะเพือ่ สว่ นรวมก. กำรรบั ฟังควำมคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื รู้จกั ควบคุมอำรมณ์ของตนเอง เป็นคนใจกวำ้ งข. กำรพัฒนำตนเองในทุก ๆ ดำ้ นเพื่อกำรมีชวี ติ ทีด่ ีในปัจจุบันและอนำคตค. อำสำช่วยพัฒนำสำธำรณประโยชน์และกิจกรรมกำรช่วยเหลอื ผูอ้ นื่ ทมี่ คี วำมเดือดร้อนง. กำรรจู้ ักกำรพง่ึ ตนเองและกำรรับผดิ ชอบต่อตนเอง ต่องำนในหนำ้ ท่ที ีไ่ ดร้ ับมอบหมำย
38 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๖ ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกับศาสนา ความหมายและประเภทของศาสนาศำสนำ หมำยถงึ ลัทธคิ วำมเชอ่ื ถอื ของมนษุ ย์ที่มคี วำมแตกต่ำงกนั ในรำยละเอยี ดและพิธีกรรม แมว้ ำ่ แต่ละศำสนำจะมีคำสอนทีต่ ่ำงกนั แต่ทุกศำสนำจะสอนเหมือนกนั คือ สอนใหค้ นเปน็ คนดี เขำ้ กบั สงั คมได้ ประเภทของศาสนา ศำสนำมี ๒ ประเภท คอื ๑.ประเภทเทวนยิ ม หมำยถึง ศำสนำที่เชอ่ื ว่ำมีพระเจ้ำ สูงสุดเปน็ ผู้บนั ดำลทุกส่ิง เมื่อต้องกำรสิ่งใดก็อ้อนวอนส่งิ ศักดส์ิ ิทธ์ิ ได้แก่ ศำสนำคริสต์ ศำสนำอิสลำม ศำสนำพรำหมณ์ – ฮินดู เปน็ ตน้ ๒.ประเภทอเทวนิยม ( Atheism) หมำยถงึ ศำสนำที่ไมเ่ ช่ือว่ำมีพระเจ้ำคอยบนั ดำลให้ ทุกอย่ำงทจ่ี ะไดม้ ำ ต้องใช้สตปิ ญั ญำควำมรู้ ควำมสำมำรถ ได้แก่ ศำสนำพทุ ธ ศำสนำเชนองคป์ ระกอบของศาสนา ๑. ศาสดา คือผตู้ งั้ หรือผูส้ อนศำสนำ มปี รำกฏหลักฐำนอยใู่ นประวัตศิ ำสตร์ เชน่ พระพทุ ธเจ้ำ(ศำสนำพทุ ธ) พระเยซ(ู ศำสนำครสิ ต์) พระอัลเลำะห์ (ศำสนำอสิ ลำม) ๒. ศาสนธรรมหรือคมั ภรี ์ หมำยถงึ คำสอนหรือหลกั ธรรมของศำสนำ และไดจ้ ำรกึ เปน็ ลำยลกั ษณ์อักษรเป็นแหลง่ รวบรวมคำสอน เช่น คัมภรี พ์ ระไตรปิฎกของพระพุทธศำสนำ คัมภรี ์ไบเบล้ิ ของศำสนำครสิ ต์คัมภีรอ์ ัลกรุ อำนของศำสนำอิสลำม ๓. นกั บวชหรอื ศาสนาบคุ คล หมำยถงึ บุคคลทีส่ ืบทอดคำสอนของศำสนำ อุทิศตนยึดแนวปฏิบตั ติ ำมหลักคำสอนอย่ำงเคร่งครัด และเปน็ ผ้เู ผยแผ่และสืบทอดศำสนำโดยตรง เช่นพระสงฆ์เป็นผูเ้ ผยแผค่ ำสอนในศำสนำพุทธ บำทหลวงเปน็ ผู้เผยแผห่ ลกั คำสอนของศำสนำคริสต์ และโตะ๊ อหิ มำ่ มของศำสนำอสิ ลำม เปน็ ตน้ ๔. ศาสนสถาน คือที่ต้งั ทำงศำสนำ สถำนทเ่ี คำรพ ปชู นียสถำน หรอื สถำนทีท่ ำภำรกิจตำ่ งๆทำง ศำสนำเช่น วัด โบสถ์ วิหำร สุเหรำ่ มัสยดิ ๕. ศาสนกิ ชน คือผู้ที่ยอมรบั นบั ถอื เลื่อมใสศรัทธำในศำสนำ เช่น พุทธศำสนิกชน เป็นต้น ๖. ศาสนพธิ ีหรอื พิธีกรรม หมำยถงึ กจิ กรรมที่เกย่ี วเนอื่ งกับคำสอนของศำสนำ เชน่ พิธีอปุ สมบทของพระพุทธศำสนำ พธิ ลี ำ้ งบำปของศำสนำครสิ ต์ พธิ ฮี จั ญ์ของศำสนำอสิ ลำมความสาคัญของศาสนา ศำสนำทกุ ศำสนำต่ำงมคี วำมสำคญั ร่วมกนั คือ ต้องกำรให้มนุษย์เปน็ คนดีอยู่ร่วมกนั อย่ำงสันติ เปรียบได้กับกฎหมำยท่ีใชค้ วบคุมสงั คม ถ้ำสมำชกิ ไมป่ ฏิบัติตำมก็จะถกู ลงโทษแต่ทำงศำสนำหำกไม่ปฏิบัตติ ำมหลักคำสอนก็อำจจะได้รับกำรตำหนิ หรือได้รบั ควำมทุกข์ ศำสนำมคี วำมสำคัญท้ังตอ่ บุคคลและสงั คมมำก เช่น ๑. เป็นเครอ่ื งยึดเหนย่ี วจติ ใจ ๒. เป็นเครื่องมือในกำรสรำ้ งควำมสำมัคคี ช่วยลดควำมขดั แย้งในสังคม ๓. ทำให้คนในสงั คมที่ยึดมน่ั ในคำสอนของศำสนำ อยู่อย่ำงมีควำมสุข ๔. เป็นเคร่ืองมือในกำรขัดเกลำจิตใจของคนในสังคม ให้เกรงกลัวต่อกำรกระทำไม่ดี ปลูกฝังให้รู้จัก กระทำแต่ควำมดีเป็นพื้นฐำนของขนบธรรมเนียมประเพณี
39 ๕. เป็นเครื่องหมำยของสังคมศำสนำเป็นสัญลักษณ์ท่ีแสดงให้เห็นถึงควำมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ สงั คม ๖. เป็นมรดกของสังคม เพรำะทุกศำสนำ จะมีศำสนวัตถุ หลักคำสอนและ ศำสนพิธีต่ำง ๆ ที่บอกถึง ควำมกำ้ วหน้ำของสงั คมหลกั ธรรมกับการนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ศำสนำเปน็ เร่อื งของจิตใจ บุคคลท่เี กิดมำในศำสนำใดกจ็ ะนบั ถือศำสนำน้นั หลักธรรมของทกุ ศำสนำสอนให้คนทำควำมดเี พือ่ อย่รู ่วมกันในสงั คมได้อยำ่ งสนั ตสิ ขุ หลกั ธรรมทีส่ ำมำรถนำมำใช้ในชวี ติ ประจำวัน มดี ังน้ี ๑. การทาความดี กำรปฏิบตั ขิ องแตล่ ะศำสนำอำจแตกต่ำงกนั แต่ทกุ ศำสนำสอนให้ทำควำมดี เชน่ กำรรักษำศีล ๕ ของศำสนำพุทธ บัญญัติ ๑๐ ประกำรของศำสนำครสิ ตแ์ ละหลกั ปฏิบัติ 5 ประกำรของศำสนำอสิ ลำมเป็นตน้ ๒. การพัฒนาตนเองและการพ่ึงตนเอง ทุกศำสนำสอนให้พ่ึงตนเองและพฒั นำตนเองเพื่อ ให้อยู่ในสังคมอย่ำงมีควำมสขุ ๓. ความยุติธรรม ทุกศำสนำจะสอนในเร่อื งน้ี เพรำะทำให้มนุษย์อยรู่ ่วมกันอย่ำงสนั ติ พระพุทธเจำ้ สอนใหท้ ุกคนไม่อยูภ่ ำยใต้ อคติ ๔ คือ ฉนั ทำคติ โทสำคติ โมหำคติ และภยำคติ ๔. กำรเสยี สละ ทุกศำสนำสอนใหเ้ สียสละ มคี วำมเมตตำกรุณำไมห่ วังผลตอบแทน เช่น พทุ ธศำสนำมีหลักธรรม สงั คหวัตถุ ๔ ไดแ้ ก่ ทำน ปยิ วำจำ อัตถจริยำและสมำนัตตตำ ศำสนำอิสลำมมกี ำรบรจิ ำคซำกำตศำสนำครสิ ต์สอนให้เสยี สละอภยั ต่อกนั ๕. ความพยายามและความอดทน ทุกศำสนำสอนให้มี ควำมเพียรพยำยำมจะช่วยให้ประสบควำมสำเรจ็ศำสนำพุทธมีหลัก อิทธบิ าท ๔ ไดแ้ ก่ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ วิมงั สำ ศำสนำอิสลำมมีกำรละหมำดวันละ ๕ ครง้ั จงึ ถอื ว่ำเปน็ ควำมพยำยำมทีจ่ ะขดั เกลำจิตใจใหบ้ รสิ ุทธ์ิ ๖. ความรัก ความเมตตา คำสอนทุกศำสนำจะเน้นเรอื่ ง ควำมรักควำมเมตตำ โดยเฉพำะศำสนำครสิ ตเ์ ปน็ ศำสนำแหง่ ควำมรัก ๗. การยกย่องเคารพบิดามารดา ถือเปน็ หลักสำคัญของทุกศำสนำในศำสนำพุทธกล่ำววำ่ บดิ ำ มำรดำเปน็ พระพรหมของลูก ศำสนำครสิ ต์ในบญั ญตั ิ ๑๐ประกำร ข้อท่ี ๔ กล่ำวว่ำ จงนบั ถอื บิดำ มำรดำ เป็นต้น ศาสนาพทุ ธ หรือ พระพุทธศาสนา หมำยถงึ ศำสนำแห่งควำมรู้แจ้ง เปน็ ศำสนำทมี่ ี พระรัตนตรัยเปน็ สรณะอนั สูงสุด พระรตั นตรัย แปลวำ่ แก้วอนั ประเสริฐ ๓ ประกำร อันได้แก่ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยพระรตั นตรยั ทัง้ ๓ น้ยี อ่ มมีคุณเปน็ อันเดยี วกัน จะแยกออกจำกกนั โดยเฉพำะไม่ไดเ้ พรำะพระพุทธเจ้ำทรง ตรัสรู้ ธรรม อรยิ สัจ ๔ แล้วสอนให้พระสงฆ์รูธ้ รรม และปฏิบตั ิตำมคำส่งั สอนเพ่อื สืบต่อพระศำสนำหลกั ธรรมทสี่ าคัญของศาสนาพุทธ อรยิ สจั ๔ เปน็ หลกั ควำมจรงิ ทพี่ ระพุทธเจำ้ ตรสั รู้ ซง่ึ เป็นหลกั ธรรมท่สี อนใหค้ นเข้ำใจปญั หำ และแก้ไขปัญหำได้มีอยู่ ๔ ประกำร คอื ๑. ทกุ ข์ คือ ควำมทุกข์หรือปญั หำของชวี ิต เช่น ปัญหำปำกท้อง หรือควำมทุกข์มีทั้งทุกข์กำย ทุกขใ์ จเปน็ ต้น ๒.สมุทยั คือ เหตแุ ห่งทกุ ข์ หรือสำเหตขุ องปัญหำ โดยสอนวำ่ ปญั หำเกดิ มำจำกควำมอยำกไดต้ ่ำง ๆซ่ึงจะแสดงออกมำ 3 ลกั ษณะคือ
40 ๒.๑ กำมตัณหำ คอื ควำมอยำกได้ เช่น บ้ำน รถ แหวนเพชร เป็นตน้ ๒.๒ ภวตัณหำ คือ ควำมอยำกมี อยำกเป็น เช่น อยำกมี บำ้ นหลังใหญ่ ๒.๓ วภิ วตัณหำ คอื ควำมไมอ่ ยำกมี ไม่อยำกเปน็ และอยำกหนใี ห้พน้ จำกสภำพที่ไม่ต้องกำรเช่น ไม่อยำกเป็นโจร ไมอ่ ยำกเป็นคนจน เป็นตน้ ๓. นโิ รธ คือ กำรดบั ทุกขห์ รือกำรแก้ปญั หำ๔. มรรค คือ ทำงดับทุกขห์ รือแนวทำงกำรแก้ปัญหำ ซึง่ มีข้อปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงควำมดับทุกข์ อยู่ ๘ ประกำรเรยี กวำ่ มรรค ๘ หรือ มชั ฌิมาปฏปิ ทาน แปลว่ำ ทางสายกลาง ซ่งึ ระกอบด้วย๑ สัมมาทิฐิ ๒. สัมมาสังกัปปะ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากมั มันตะ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สมั มาวายามะ๗. สมั มาสติ ๘. สมั มาสมาธิเบญจขันธห์ รอื ขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์ ในทำงพทุ ธศำสนำ หมำยถึงรำ่ งกำยของคนเรำ คือ แยกร่ำงกำยออกเป็นสว่ นๆ ตำมสภำพได้ ๕ สว่ นหรอื ๕ ขนั ธ์ คอื รูป คือ สว่ นที่เปน็ ร่ำงกำย ไดแ้ ก่ ผม หนงั กระดูก โลหติ เวทนา คือควำมรู้สึกทเ่ี กิดจำกประสำทสัมผสั ทำงตำ หู จมูก ล้นิ กำย และใจ สญั ญา คอื ควำมจำได้โดยอำศัยประสำทสัมผสั เมอ่ื เหน็ และสมั ผสั อีกคร้ังกส็ ำมำรถบอกได้ สงั ขาร คือ สภำพที่ปรุงแตง่ จิตใจให้คดิ ดี คิดชว่ั หรอื เป็นกลำง วิญญาณ คอื ควำมรับรู้ท่ีผำ่ นมำทำงตำ หู จมูก ลิน้ กำย ใจ (อำยตนะ ๖)ไตรลกั ษณ์ ไตรลักษณ์ เป็นหลักธรรมทเ่ี กีย่ วกบั กฎธรรมชำติ ซ่งึ สรรพสิง่ ท้ังหลำยในโลกไม่สำมำรถหลีกเลย่ี งได้มดี ้วยกัน ๓ ประกำร คอื ๑. อนจิ จตา คอื ควำมไมเ่ ท่ียง ไม่ยัง่ ยืน ควำมไมถ่ ำวร เม่ือเกิดขน้ึ แล้วย่อมเส่ือมสลำย ไปในทสี่ ดุ ดังนั้นไม่ควรยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในส่งิ ทีเ่ กิดขน้ึ ๒.ทุกขตา คือ ควำมเป็นทุกข์ ทำงกำยทำงใจ เชน่ ทุกขจ์ ำกกำรเกิด แก่ เจ็บ ตำย ทกุ ข์ เพรำะควำมรักควำมผดิ หวัง เปน็ ต้น ๓. อนันตตา คือ ควำมไมม่ ีตวั ตน ทุกสงิ่ ทุกอยำ่ งเป็นสง่ิ สมมตุ ิขนึ้ ดง้ั นน้ั อย่ำถอื ว่ำสิ่งทีม่ ีอยเู่ ป็นของเรำจะทำใหเ้ กดิ ควำมลุ่มหลงและเป็นทุกข์ได้
41 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นหน่วยท่ี ๖คาสั่ง จงเลือกคำตอบทถ่ี ูกทถี่ กู ที่สดุ เพียงคำตอบเดยี ว๑. ขอ้ ใด “ไมใ่ ช่” ปจั จัยสำคญั ทท่ี ำให้เกดิ ศำสนำก. ควำมไมร่ ู้ ข. ควำมกลวัค. ควำมสงบสขุ ง. ควำมตอ้ งกำรท่ีพงึ่ ทำงใจ๒. ขอ้ ใดเป็นศำสนำประเภทเดียวกันก. อิสลำม เตำ๋ ข. คริสต์ ชนิ โตค. พทุ ธ ขงจื้อ ง. พรำหมณ–์ ฮินดู เชน๓. มนุษย์นบั ถือศำสนำเพรำะเหตผุ ลสำคญั ขอ้ ใดก. เพอื่ ใหส้ ังคมยอมรบั ข. นับถือตำมบรรพบรุ ุษค. ถูกกำหนดไวใ้ นกฎหมำย ง. ใชเ้ ป็นหลกั ในกำรดำเนินชีวติ๔. ข้อใดคือควำมสำคัญของศำสนำที่มตี ่อสังคมก. เป็นที่พึ่งทำงจิตใจ ข. เป็นแนวทำงในกำรดำเนินชวี ิตค. เปน็ เครื่องมอื ชว่ ยแก้ไขปญั หำชวี ิต ง. เปน็ เคร่ืองมือสรำ้ งควำมมั่นคงในประเทศ๕. ศำสนำเปน็ กลไกในกำรควบคมุ ทำงสังคม หมำยถงึ ข้อใดก. ศำสนำมีค่ำนิยมในกำรยกยอ่ งคนดีของสังคมข. ศำสนำมีคำสอนไมใ่ ห้คนทำควำมช่ัว ท้งั ตอ่ หนำ้ และลบั หลงัค. หลกั คำสอนของศำสนำมีควำมสอดคล้องกับกฎหมำยท่ีใชใ้ นสังคมง. ขอ้ บัญญัตขิ องศำสนำเป็นบรรทัดฐำนให้ทกุ คนประพฤตติ ำม๖. ข้อใดเป็นคณุ ค่ำของศำสนำก. กอ่ ให้เกิดควำมสำมคั คใี นสงั คม ข. เปน็ บอ่ เกดิ ของวัฒนธรรมท่ดี งี ำมค. ตอบสนองควำมต้องกำรทำงจิตใจของคนในสงั คม ง. ถูกทุกข้อ๗. บคุ คลผทู้ ่ีศกึ ษำและปฏิบตั ติ ำมคำสอนของศำสนำจะไดร้ ับประโยชนส์ งู สุดคอื ข้อใดก. มีฐำนะดี ข. มีจิตใจสบำยค. มีชีวิตสงบสุข ง. มอี ุดมกำรณ์ในชีวิต๘. ขอ้ ใดเปน็ ศำสนำท่มี ีอิทธิพลต่อสงั คมและมีอำยุเก่ำแก่ทีส่ ดุก. ศำสนำพทุ ธ ข. ศำสนำครสิ ต์ค. ศำสนำอสิ ลำม ง. ศำสนำพรำหมณ์๙. ข้อใด “ไม่ใช่” ศำสนำประเภทเอกเทวนิยมก. ฮินดู ข. ยดู ำยค. ครสิ ต์ ง. อิสลำม๑๐. ข้อใดแสดงใหเ้ ห็นว่ำ “พระพุทธศำสนำเป็นสถำบันค่ชู ำตไิ ทย” ไดช้ ดั เจนทส่ี ดุก. คนไทยสว่ นใหญ่นบั ถือศำสนำพทุ ธ ข. พระมหำกษตั รยิ ์ทรงเปน็ พุทธมำมกะค. ศำสนำพุทธหล่อหลอมให้เกิดเอกลักษณ์ไทยง.ศำสนำพุทธกอ่ ให้เกดิ ควำมสำมัคคีในสังคมไทย
42 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนพธิ ืศาสนพิธี และวนั สาคัญทางศาสนา ศาสนพธิ ี คือ พิธีกรรมท่ีมีขึน้ เพอื่ เปน็ แบบแผนในการประพฤตปิ ฏบิ ัติของพุทธศาสนิกชนเพือ่ แสดงออกถงึ ความเชอ่ื ทางพทุ ธศาสนา การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ ามศาสนพิธี ทาใหเ้ กดิ ความสบายใจ ทาให้ผู้ปฏิบตั ิตนเป็นคนดีเป็นแบบอยา่ งท่ีดีของสงั คม และต้องทาอยา่ งถูกต้องเปน็ ระเบยี บของสงั คมน้นั ๆ จึงเรียกวา่ศาสนพธิ ี หรอื พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ประเภทของศาสนาพิธี ศาสนพธิ ใี นทางพุทธศาสนาแบ่งไดห้ ลายประเภท ตามความตอ้ งการของผ้ทู ่จี ะศกึ ษาวา่ จะศึกษาในแนวใด เช่น แบ่งเป็นงานมงคลกับงานอวมงคลหรืองานศาสนพิธสี าหรับพระสงฆ์กับงานศาสนพธิ ีของประชาชน ศาสนพธิ สี าหรบั พระสงฆ์ หมายถึง ระเบียบพิธที พ่ี ระสงฆจ์ ะต้องปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวินยั เน่ืองดว้ ยพทุ ธบญั ญัติ เช่น พิธีอุปสมบท พิธสี วดปาตโิ มกข์ เข้าพรรษา รบั กฐนิ พิธกี รรมในวนั สาคญั ทางพุทธ เป็นต้น และในส่วนที่เปน็ ระเบียบตามประเพณนี ยิ มซึ่งเปน็ กิจวตั รประจาวันทพี่ ระสงฆ์ต้องปฏิบตั ิอย่างสม่าเสมอ เชน่ การออกบิณฑบาตการทาวัตรเชา้ -เยน็ การศึกษาพระธรรมวนิ ัย การสง่ั สอนพระธรรมใหก้ บั ประชาชนท่วั ไป แตใ่ นท่ีนี้จะได้กลา่ วถึงพธิ ีเวียนเทียน พิธถี วายสังฆทานและพิธีปวารณาตามลาดับก. พิธีเวยี นเทยี น วนั สาคญั ๆ ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีมกี ารเวยี นเทียนมี ๔ วนั คอื วันมาฆบชู า วนั วิสาขบูชา วนั อาฬหบูชาและวันอัฐมีบูชา การเวียนเทียนหรือการกระทา ประทกั ษิณ การะทาโดยการเดินเวียนขวารอบโบสถส์ ามรอบรอบแรกสวดสรรเสรญิ พระพุทธคณุ รอบท่สี องจะสวดสรรเสรญิ พระธรรมคุณ รอบทีส่ ามจะสวดสรรเสรญิพระสงั ฆคณุ เม่ือครบรอบแล้วจะนาดอกไม้ ธปู เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธรูปในพระอโุ บสถ ณ ท่ีบชู าอันควรข. พธิ ีถวายสังฆทาน สังฆทาน หมายถึง ทานทีถ่ วายแด่พระสงฆ์โดยมไิ ดเ้ จาะจงบุคคล การถวายสังฆทานทนี ยิ มกระทาก็คือการถวายภตั ตาหารแด่พระสงฆ์โดยไมม่ ีการถวายทานวตั ถุอย่างอ่ืนคาถวายสังฆทาน อิมานิ มย ภนเฺ ต ภตฺตานิ สปริวารานิ ภิกขฺ สุ งฆฺ สฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนเฺ ต ภกิ ฺขสุ งฺโฆ อมานิภตั ฺตานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณหฺ าตุ อมั หาก ทีฆรตฺต หิตาย สขุ าย
43คาแปล ขา้ แต่พระสงฆผ์ ูเ้ จรญิ แล้ว ขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย ขอน้อมถวายภตั ตาหารกบั ทงั้ บรวิ ารท้งั หลายเหล่านแ้ี ด่พระภกิ ษสุ งฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงรบั ภัตตาหาร กบั ท้ังบริวารทง้ั หลายเหล่านี้ ของข้าพเจา้ ท้ังหลายเพ่ือประโยชน์และความสุข แกข่ ้าพเจ้าทั้งหลายสิน้ กาลนาน เทอญฯ ในสมัยพุทธกาลได้แบ่งสงั ฆทานไวเ้ ป็น ๗ ประเภท คือ ๑. ถวายแดห่ มภู่ ิกษแุ ละภิกษุณี มพี ระพทุ ธเจา้ เป็นประมุข ๒. ถวายแดห่ มู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเปน็ ประมุข ๓.ถวายแดห่ มู่ภิกษณุ ี มีพระพุทธเจ้าเปน็ ประมขุ ๔.ถวายแด่หมู่ภกิ ษุและภกิ ษุณี มีพระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมุข ๕.ถวายแด่หมภู่ กิ ษุ ไม่มพี ระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๖.ถวายแดห่ มู่ภกิ ษณุ ี ไม่มีพระพุทธเจา้ เปน็ ประมุข ๗. ถวายแด่พระเจ้าหน้าที่ทีส่ งฆจ์ ัดให้ไปรับค. พธิ ีปวารณา ปวารณา แปลวา่ ยอมให้ว่ากล่าวตกั เตือน เปน็ ชือ่ ของสงั ฆกรรมอยา่ งหน่งึ ทพ่ี ระสงฆจ์ ะเปดิ โอกาสให้มีการวา่ กล่าวตกั เตือนกนั โดยไม่โกรธเคอื งกัน ในกรณีทีม่ ีความสงสยั ในความประพฤติของกนั และกนั ระหว่างที่อยู่ร่วมกนั ตลอดพรรษา ๓ เดือน วนั ปวารณา ตรงกบั วันข้ึน ๑๕ คา่ เดอื น ๑๑ผลดขี องพธิ ปี วารณา คือพระสงฆ์จะไดร้ ับการตักเตือนเพอื่ จะได้ปรบั ปรงุ ตนเองนอกจากนี้ยังเปน็ ตวั อยา่ งของความเป็นประชาธิปไตยในทางพระพทุ ธศาสนา เพ่ือผลดตี ่อการสบื อายุพระพุทธศาสนาให้ยัง่ ยืนศาสนพิธีสาหรบั พุทธศาสนกิ ชน เปน็ ระเบยี บแบบแผนที่ผู้นับถอื ศาสนาพุทธจะต้องปฏบิ ตั ิตามพิธีกรรมทางศาสนา ไดม้ ีการจดั หมวดหมู่ไวเ้ ปน็ ๔ ประเภทดงั นี้๑. กศุ ลพธิ ี คอื พิธที ่เี ก่ยี วกับการบาเพ็ญกุศลในดา้ นตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ๑.๑ การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือ การประกาศตนว่าเปน็ ผูถ้ งึ พระพุทธเจา้ว่าเป็นที่พึง่ หมายถงึ ยอมรับนบั ถือพระพุทธเจา้ ไว้ประจาใจตนเอง ๑.๒. การรักษาอโุ บสถศีล อุโบสถ แปลวา่ การเขา้ จาถือเปน็ อบุ ายวธิ ีสาหรบั ขัดเกลากิเลสอย่างหยาบให้เบาลง ๑.๓. การเวยี นเทยี นในวนั สาคัญของพระพทุ ธศาสนาได้แก่ วันมาฆบูชา วนั วิสาขบชู า วันอาสาฬหบูชาและวนัอฐั มบี ชู า ๑.๔. การสวดมนตไ์ หว้พระ๒.บญุ พิธี คือ การทาบุญตามประเพณีนยิ มมี ๒ ประเภท คือ ๑. การทาบญุ เนอื่ งในงานมงคลคือ การทาบุญเพื่อความสุขความเจริญได้แก่ การทาบุญเลี้ยงพระในงานวันเกิด งานมงคลสมรส
44 ๒. การทาบุญเน่อื งในงานอวมงคล คือ การทาบุญอันเนือ่ งมาจากเหตุที่ไม่เป็นมงคล การทาบุญเกีย่ วกับคนตายหรืออุทศิ สว่ นบญุ กุศลให้ผู้ตาย นยิ มทากันอยู่ ๒ อยา่ ง คอื ๒.๑ ทาบุญหน้าศพท่เี รียกว่าทาบญุ ๗ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วัน หรือ ทาบุญหนา้ วันปลงศพ การทาบุญงานศพ นยิ มอาราธนาพระสงฆส์ วดพระพทุ ธมนต์ ๔ รูป หรอื ๘ รปู หรอื ๑๐ รูป ๒.๒ ทาบุญอฐั ิ คือการทาบุญปรารภการตายของบรรพบรุ ุษหรือปรารภในวนั คล้ายวันตายของผู้ลว่ งลบั๓. ทานพธิ ี ไดแ้ ก่ การถวายทานโดยท่ัว ๆ ไปมี ๒ ประเภท คือ ๑.ปาฏบิ ุคลกิ ทาน ไดแ้ ก่ ทานทท่ี าถวายเฉพาะเจาะจงบุคคล เลือกวดั เลือกพระสงฆท์ ่ีจะถวาย ๒.ถวายสังฆทาน ไดแ้ ก่ ทานทถี่ วายแด่พระสงฆ์โดยรวม โดยไมเ่ ลือกวัดและพระสงฆ์ที่รับทาน เช่นการถวายสังฆทาน การทาบญุ ตกั บาตร๔. ปกิณกพธิ ี เปน็ พิธเี บด็ เตล็ดที่เกย่ี วขอ้ งกับพธิ ตี า่ ง ๆ ที่กล่าวมาแลว้ ข้างตน้ รวมไปถึงรัฐพิธีดว้ ย เช่น การแสดงความเคารพพระสงฆ์ การอาราธนา การประเคนของ การนมิ นต์พระ การกรวดนา้ และงานวันเฉลมิพระชนมพรรษา วันปยิ มหาราช วนั ฉตั รมงคล เป็นต้นวันสาคัญทางศาสนาพุทธ ๑. วันวิสาขบชู า ถ้ำปใี ดมีอธิกมำสคือ เดือน 8 สองหนก็เล่ือนไปเปน็ วนั เพ็ญเดือน 7 วนั วิสำขบูชำนถี้ อืเป็นวนั คลำ้ ยวนั ประสูติ วนั ตรัสรู้ และวนั ปรินิพพำนของพระพุทธเจำ้ พระพุทธเจา้ ประสูติทีส่ วนลมุ พินีวนั ซี่งอยูร่ ะหวำ่ งเมืองกบลิ พสั ดุน์ ครหลวงของแคว้นสกั กะกบั เมืองเทวทหนคร ของแคว้นโกลิยะ ในวันเพ็ญเดือนวิสำขะ(เดือน 6) ก่อนพุทธศักรำช 80 ปี พระพทุ ธจ้าทรงตรสั รู้อนตุ ตรสัมมำสมั โพธิญำณ ได้เปน็ สมั มำสมั พุทธเจ้ำ ณ ใต้รม่ พระศรีมหำโพธิ์ รมิ ฝ่งั แม่น้ำเนรญั ชรำ ตำบลอุรุเวลำเสนำนิคม แควน้ มคธ ในวนั เพญ็ เดือนวสิ ำขะ (เดอื น 6)ก่อนพทุ ธศักรำช 45 ปี ขณะท่ีมีพระชนม์ได้ 35 พรรษำและพระพุทธเจำ้ ทรงดับขันธป์ รินิพพำน ณ ระหวำ่ งตน้รงั ทง้ั คู่ในสำลวโนทยำน นครกสุ นิ ำรำ ในวันเพญ็ เดือนวิสำขะ (เดือน 6) ก่อนพุทธศักรำช 1 ปี เมือ่ พระชนมไ์ ด้80 พรรษำ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัยได้ทรงออกพระราชกาหนดเรียกวา่ พระราชกาหนดพธิ วี สิ าขบูชา ห้ามมิใหม้ กี ารลา่ สตั ว์ และเสพสรุ าเมรัย 3 วนั คอื วนั ขนึ้ 14,15 และแรม 1 คา่ เดือน 6และโปรดใหพ้ ระบรมวงศ์พร้อมท้ังประชาชนท่ัวไปทาบุญตักบาตร รกั ษาศีล ปล่อยสัตว์ตามศรทั ธา จดุ ประทีปโคมไฟ เวียนเทยี นฯลฯ นอกจากน้ี ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เมือ่ วนั ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542องค์การสหประชาชาติได้ มมี ติกาหนดให้วันวิสาขบชู าเปน็ วนั สาคญั ในกรอบขององค์การสหประชาชาติปจั จบุ ันวันวิสาขบชู าทางรฐั บาลประกาศให้เปน็ วันหยดุ ราชการ 1 วนั ในวนั นพี้ ทุ ธศาสนกิ ชนต่างพากนั น้อมระลึกถงึพระพุทธเจ้าพระธรรม และพระสงฆ์ ดว้ ยการไปชมุ นุมตาม พระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทาการบชู าปชู นียวัตถุอนัได้แก่ พระธาตุเจดยี ์หรือพระพุทธปฏิมา ท่ีเปน็ พระประธานในพระอุโบสถอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดว้ ยเคร่อื งบชู ามีดอกไม้ ธปู เทียนเปน็ ตน้ เริม่ ด้วยการสรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั ด้วยบทสวดมนตต์ ามลาดับดงั นีค้ อื บทสรรเสริญพระพุทธคณุ ดว้ ยบท \" อติ ปิ โิ สภควา อรหังสัมมาสมั พทุ โธ...พทุ โธภควาต\"ิ บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ
45ดว้ ยบท \" สวากขาโตภควตาธัมโม...วิญญูหติ \"ิ บทสรรเสรญิ พระสังฆคุณ ดว้ ยบท \" สปุ ฏปิ ันโน ภควโตสาวกสงั โฆ...โลกสั สาติ \" วนั วิสาขบูชา จึงเปน็ วนั ท่พี ทุ ธศาสนิกชน ไดบ้ าเพญ็ ประโยชน์ตน และสบื ต่อพระพทุ ธศาสนาใหด้ ารงคงอย่อู ยา่ งถูกต้องตรงทาง เพ่ือประโยชนส์ ุขของตนและของผอู้ ืน่ ตลอดช่วั กาลนาน ๒.วนั อาสาฬหบชู า เปน็ วนั ที่สมเด็จพระอรหนั ตสัมมำสัมพทุ ธเจำ้ ได้แสดง พระปฐมเทศนำ หรอื กำรแสดงพระธรรมคร้ังแรก หลังจำกทีต่ รสั รู้ได้ 2 เดือนเปน็ วนั ทีเ่ ร่มิ ประดิษฐำนพระพุทธศำสนำเนอ่ื งจำกมีองค์ประกอบของ พระรตั นตรัยครบถ้วนคือ พระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ เหตกุ ำรณน์ ี้เกิดข้ึนก่อนพุทธศักรำช45 ปี ในวันเพ็ญ (ขนึ้ 15 คำ่ ) เดอื น 8 ปัจจบุ ันคอื สำรนำถ เมืองพำรำณสี พระธรรมที่แสดงคือ ธัมมจกั กัปปวัตตนสตู ร เมอ่ื เทศนำจบ พระโกณฑัญญะ หนึง่ ในปัญจวัคคีย์ ผปู้ ระกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะพระภทั ทยิ ะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตำเห็นธรรม มคี วำมเหน็ แจง้ ชัดวำ่ ย กญิ ฺจิ สมทุ ยธมฺมสพพฺ นฺต นโิ รธธมฺมนฺติ สิ่งใดสิ่งหนง่ึ เกิดข้นึ เปน็ ธรรมดา ส่ิงใดสิง่ นนั้ ย่อมดับไปเปน็ ธรรมดา เมือ่ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมจึงขออุปสมบทเปน็ พระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธเจ้ากป็ ระทานอุปสมบทให้ ด้วยวิธที ่เี รยี กวา่ เอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทา โดยกล่าวคาว่า เธอจงเป็นภิกษมุ าเกิด พระโกณฑญั ญะจึงเปน็ พระอรยิ สงฆ์องค์แรก คาวา่ ธัมมจกั กัปปวตั นสูตร แปลวา่ สูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรม ให้เปน็ ไปมีความโดยย่อวา่ ท่ีสดุ 2 อย่างทีบ่ รรพชิตไม่ควรประพฤตปิ ฏิบัตคิ ือ การประกอบตนให้อยูใ่ นความสขุ ด้วยกาม ซ่ึงเป็นธรรมอนั เลวเปน็ ของชาวบ้าน เปน็ ของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอรยิ ะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ทส่ี ดุ อีกทางหนึ่งคือ การประกอบการทรมานตนให้เกิดความลาบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ การดาเนนิ ตามทางสายกลาง ไม่เข้าไปใกลท้ ส่ี ดุ ทง้ั สองอยา่ งนนั้ เป็นเรอื่ งที่พระพุทธเจ้าได้ตรสั รู้ด้วยปัญญาอนั ย่ิง ทาดวงตาและญาณใหเ้ กดิ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ ความรูย้ งิ่ ความตรสั รู้ และนพิ พานทางสายกลาง ได้แก่ อริยมรรค มอี งคแ์ ปด คือ ปญั ญาอันเห็นชอบ ดาริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบเลีย้ งชพี ชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ และต้งั ใจชอบ อริยสจั ส่ี คอื ความจริงอันประเสริฐ ที่พระองคค์ น้ พบวนั อาสาฬหบูชามีเหตกุ ารณส์ าคญั ในทางพระพุทธศาสนาอยู่ 3 ประการคอื ๑. เปน็ วนั แรกท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา โดยทางแสดงพระปฐมเทศนา คือ ธมั มจกั กปั ป-วตั นสตู รประกาศสจั ธรรมอันเป็นองค์แหง่ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่พระองค์ตรัสรู้ ให้เป็นท่ีประจักษแ์ ก่สรรพสัตวท์ ัง้ หลาย ๒. เป็นวันแรกทบ่ี ังเกดิ พระอรยิ สงฆ์สาวกขน้ึ ในโลกคอื พระโกณฑัญญะ เมอ่ื ได้ฟังพระปฐมเทศนาจบได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ทูลขออุปสมบท และพระพุทธเจา้ ได้ประทานอุปสมบทใหด้ ว้ ยวธิ เี อหิภิกขุอปุ สัมปทาในวันนัน้ 3. เป็นวนั แรกที่บังเกิดพระรตั นตรัย คอื พระพุทธรัตนะ พระธรรมรตั นะและพระสังฆรตั นะ ขนึ้ ในโลกอย่างสมบรู ณ์บรบิ รู ณ์ วันอาสาฬหบชู าจงึ เปน็ วันทพี่ ุทธศาสนิกชนจะไดร้ ว่ มกนั น้อมระลึกถงึ คุณพระรตั นตรัยศกึ ษา พระธรรมวนิ ยั
46อันเปน็ แก่นแท้ของพระพทุ ธศาสนาให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงทางแล้วนาไปประพฤตปิ ฏิบัติ เพอื่ประโยชน์ตนและประโยชน์ผ้อู ่นื ต่อไปชั่วกาลนาน ๓. วนั เข้าพรรษา วนั เข้าพรรษา เป็นวนั ที่พระสงฆ์เร่ิมอยู่จาพรรษาตลอด ๓ เดอื น ในฤดฝู น ต้งั แต่วนั แรม ๑ คา่ เดือน ๘จนถึงกลางเดือน ๑๑ วนั เข้าพรรษาทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงอนญุ าตไว้มีอยู่ ๒ วันคือ วันเข้าปรุ ิมพรรษา คอื เข้าพรรษาแรก ต้ังแต่วันแรม ๑ คา่ เดือน ๘ ไปจนถงึ วันเพญ็ กลางเดือน ๑๑ วนั เขา้ ปจั ฉิมพรรษา คือวนั เข้าพรรษาหลังต้ังแตว่ ันแรม ๑ ค่าเดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ เม่ือเข้าพรรษาแล้วหากภิกษุมีกจิ ธรุ ะจาเปน็ อันชอบด้วยพระวินยั พระพทุ ธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้ไปได้โดยมีข้อจากัดวา่ จะต้องกลับมายังสถานท่ีจาพรรษาเดิมภายใน 7 วนั ทเ่ี รียกว่า สัตตาหกรณียะ ดังต่อไปนี้ 1. เมอ่ื ทายกทายิกา ปรารถนาจะบาเพญ็ กศุ ล เมื่อมานิมนต์กใ็ หไ้ ปเพื่อรักษาศรัทธาได้ 2. ถ้าสงฆ์ ณ ทแ่ี ห่งใดแห่งหนึง่ เกิดอธิกรณข์ ้ึน กใ็ ห้ไปเพื่อระงับอธิกรณ์ได้ 3. ถา้ บดิ า มารดา ญาติ พ่ีน้อง พระอปุ ชั ฌาย์ อาจารย์ เปน็ ไข้ เม่ือทราบก็ให้ไปได้ 4. พระวิหารในทีแ่ ห่งอนื่ เกดิ ชารุดเสยี หาย ให้ไปหาสิง่ ของเพ่ือมาปฏิสงั ขรณ์พระวิหารนนั้ ได้ 5. เมื่อถูกสตั วร์ ้ายรบกวน ถกู โจรปล้น พระวิหารถกู ไฟไหมห้ รือถกู น้าท่วม ก็ให้ไปจากทน่ี ้นั ได้ 6. เมอ่ื ชาวบ้านถูกโจรปลน้ อพยพหนีไป ก็ใหไ้ ปกับพวกชาวบา้ นไดโ้ ดยให้ไปกบั ชาวบา้ นทีม่ ีความเลือ่ มใสศรัทธาสามารถทจ่ี ะให้ความอุปถัมภไ์ ด้ 7. เมอื่ ทใี่ ดเกดิ ความขาดแคลน อาหารหรือยารักษาโรค ขาดผอู้ ปุ ถัมภ์บารุง ไดร้ บั ความลาบากก็อนญุ าตให้ไปจากทนี่ ้นั ได้ 8. ถ้าหากมีผูเ้ อาทรัพย์มาลอ่ ก็อนุญาตให้ไปจากท่ีนัน้ ได้ 9. หากภกิ ษุสงฆห์ รือภิกษุณีสงฆ์แตกกนั หรือมีผู้พยายามจะให้แตกกัน ถา้ การไปจากทีน่ ้ันสามารถระงับการแตกกนั ได้ ก็อนุญาตให้ไปได้ ในวนั เขา้ พรรษา ถือว่าเป็นกรณียกจิ พิเศษสาหรับพระภิกษุสงฆ์ จะมีการประชุมกนั ในพระอุโบสถ ไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาซึง่ กนั และกัน เสรจ็ แลว้ กป็ ระกอบพิธีเข้าพรรษา ภกิ ษุจะอธิษฐานในใจของ ตนเองว่า ตลอดฤดกู าลเข้าพรรษาน้ตี นเองจะไมไ่ ปไหน ด้วยการเปล่งวาจาวา่ อมิ สฺมึ อาวาเส อมิ เตมาส วสสฺ อเุ ปมิ หรอื ว่า อิมสมฺ ึ วหิ าเร อมิ เตมาส วสฺส อเุ ปมิ แปลวา่ข้าพเจ้าขออยู่จาพรรษาตลอด 3 เดอื น ในอาวาสนี้ หรอื ในวิหารน้ี (ว่า 3 คร้งั )หลังจากเสร็จพธิ เี ข้าพรรษาแล้วก็นาดอกไม้ ธูปเทียน ไปนมสั การปชู นียวตั ถุ ในอาวาสนั้นในวนั ตอ่ มาก็นาดอกไม้ธปู เทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระ เถระทตี่ นเคารพ นับถือในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราไดป้ ระกอบพิธที างศาสนาเนอ่ื งในวนั เขา้ พรรษา มาต้ังแตค่ รั้งกรงุ สุโขทยั ซ่ึงมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทากม็ ีการเตรยี มเสนาสนะใหอ้ ยู่ในสภาพทด่ี ีสาหรับจะได้จาพรรษาอยตู่ ลอด 3 เดอื น จดั ทา เทียนจานาพรรษา เพื่อใชจ้ ดุ บชู าพระบรมธาตุ พระพทุ ธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดท้ังเดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา นา้ มันตามไสป้ ระทีปแกพ่ ระภิกษุ
47สงฆท์ ่อี ยจู่ าพรรษา ในพระอาราม สาหรับเทียนจานาพรรษาจะมีการ แห่เทยี น ไปยังพระอารามทง้ั ทางบกและทางนา้ ตามแตห่ นทางทไ่ี ปจะอานวยให้ เพ่อื นาเทยี นเขา้ ไปตง้ั ในพระอโุ บสถหรือพระวิหาร แล้วกจ็ ะจุดเทียนเพ่ือบูชาพระรัตนตรัย สาหรบั การปฏิบตั ิอื่น ๆ ก็จะมกี ารถวาย ผ้าอาบนาฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤตปิ ฏิบัตใิ ห้อยใู่ นกรอบของศลี หา้ ศลี แปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาท่กี าหนดโดยเคร่งครัด ตามกาลังศรัทธาและขีดความสามารถของตน นับว่าวันเขา้ พรรษาเป็นโอกาสอันดีท่ีพทุ ธศาสนกิ ชน จะได้ประพฤติปฏบิ ัติตนในกรอบของพระพทุ ธศาสนาไดเ้ ข้มขน้ ย่ิงขึ้นไปอีกระดบั หนง่ึ ๔. วันออกพรรษา วันออกพรรษำ ตรงกับวนั เพ็ญ (ขน้ึ 15 ค่ำ) เดือน 11 เปน็ วันท่ีพระภกิ ษุสงฆ์ออกจำกจำพรรษำ หรือกำรอยู่ประจำท่ีตลอดฤดฝู น เป็นระยะเวลำ 3 เดือน ต่อจำกวนั น้ไี ปพระภกิ ษุสงฆ์ก็สำมำรถจำริกไปในที่ตำ่ ง ๆและคำ้ งแรมในทอี่ ่นื ได้ วนั ออกพรรษำนมี้ ีกำรทำปวำรณำ ในหมพู่ ระภิกษุสงฆ์คอื ใหพ้ ระภิกษุสงฆท์ ำปวำรณำแทนกำรทำอุโบสถ์สงั ฆกรรม ยอมใหว้ ่ำกลำ่ วตักเตอื นซ่งึ กันและกนั ตำ่ งรูปตำ่ งกลำ่ วคำปวำรณำตำมลำดับอำวโุ ส ในวนั ออกพรรษาตามประวัติกล่าววา่ เปน็ วนั ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ เสด็จลงจากสวรรคช์ ้ันดาวดงึ ส์ หลงั จากทไี่ ดเ้ สด็จไปจาพรรษาและแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา การเสด็จลงจากดาวดึงส์คร้ังนัน้ ไดเ้ สดจ็ ลงมา ณ เมอื งสังกสั สะ บรรดาพุทธศาสนิกชนจึงพากันไปตักบาตรแด่พระพุทธเจ้า เรยี กว่า ตกั บาตรเทโว คาเต็มคือ ตกั บาตรเทโวโรหณะ คาว่าเทโวโรหณะ แปลว่า การหยั่งลงจากเทวโลก สาหรบั พิธตี ักบาตรเทโวน้ันโดยทั่วไปจะทากันในบรเิ วณพระอุโบสถ มีการอัญเชิญพระพุทธรปู ซึ่งประดิษฐานบนบุษบกมลี ้อเล่ือน มบี าตรต้งั อยู่หน้าพระพทุ ธรปู แล้วใช้คนลากนาหน้าพระภกิ ษสุ งฆ์จะเดินตามพระพุทธรปู บรรดาพุทธศาสนิกชนจะเรยี งรายอยูเ่ ป็นแถวสองขา้ งทางท่ีพระพทุ ธรูปและพระสงฆ์เคลือ่ นผ่านเพื่อตกั บาตรอาหารท่ีนยิ ม นามาตักในวันนม้ี ี ขา้ วสุก ขา้ วต้มมดั ใต้และขา้ วต้มลกู โยน ในทบ่ี างแหง่ มีปูชนียวตั ถุ เช่น พระธาตุเจดีย์ สรา้ งไว้บนภูเขา หรอื ส่ิงก่อสรา้ งทีส่ งู ๆ กจ็ ะมกี ารอัญเชิญพระพทุ ธรูปลงจากภูเขา บรรดาพทุ ธศาสนิกชนกม็ าคอยตักบาตร โดยตง้ั แถวสองแถวเรียงรายรออยู่ทีเ่ ชงิ เขาเพอ่ื ใหด้ ใู กล้ความจรงิ ว่า พระพุทธเจา้ เสด็จลงมาจากทส่ี ูง การบาเพ็ญกุศลนอกจากนกี้ ็มีการถวาย ผา้ จานาพรรษา และพธิ ีทอดกฐิน ซ่ึงจะกระทากนั หลังวนั ออกพรรษาไปไดอ้ ีกถงึ วันเพญ็ กลางเดือน 12 ๕. วนั มาฆบชู า วันมาฆบชู าเปน็ วนั ทีพ่ ระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงประทานพระโอวาทสาคัญอันถือไดว้ ่าเป็นหัวใจของคาสอนในพระพุทธศาสนา คอื โอวาทปาฏโิ มกข์ ในวนั เพ็ญ(ขึ้น 15 ค่า) เดือนสาม ดวงจันทรโ์ คจรมาเสวยมาฆฤกษ์ แต่ถ้าปใี ดมี อธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด วนั มาฆบูชาก็จะเลอื่ นไปเปน็ วันเพญ็ กลางเดอื นสี่ เหตกุ ารณ์ดงั กลา่ วนี้เกดิ ข้นึ ที่ วดั เวฬวุ นั (วัดแหง่ แรกของศาสนาพุทธ) เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ในปีแรกของการตรัสรขู้ องพระพทุ ธองค์ คือหลังจากตรสั รูแ้ ล้วได้ 9 เดือนความประจวบกันของเหตุการณ์ในวันนี้ซึ่งนบั ว่าเปน็ เร่อื งท่ีอัศจรรย์ส่ีประการคือประการแรก เป็นการมาชมุ นมุ กนั ของพระสงฆ์สาวก จานวน 1,250 รปู เพื่อเฝา้ พระบรมศาสดาโดยมิไดน้ ัดหมาย ประการทส่ี อง พระสงฆ์สาวกดงั กลา่ วลว้ นแต่เปน็ พระอรหนั ต์ทงั้ สิ้น
48 ประการทสี่ าม พระสงฆ์สาวกดงั กลา่ วล้วนแตไ่ ด้รบั การอปุ สมบทจากพระพุทธเจ้าด้วยวธิ เี อหภิ กิ ขอุ ปุ สมั ปทา ประการที่สี่ วันนนั้ ดวงจนั ทร์เพญ็ เสวยมาฆฤกษ์เต็มบรบิ ูรณ์ ความพร้อมกันขององคส์ ่ีประการจงึ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต โอวาทปาฏิโมกข์ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเปน็ การประมวลคาสอนหลักของพระพุทธศาสนา เพ่ือใหพ้ ระสงฆ์สาวกนาไปประพฤติปฏบิ ตั ิ และนาไปส่งั สอนผูอ้ ื่นในแนวทางเดียวกนั คือทรงเทศน์โอวาทปาตโิ มกข์ในท่ี ประชมุ สงฆซ์ ่ึงเปน็ มหาสงั ฆนิบาต พธิ มี าฆบชู านม้ี ีข้ึนครง้ั แรกสมัยรัชกาลท่ี 4 ในวันน้ีพทุ ธศาสนิกชนกจ็ ะไปประกอบศาสนกจิ เพ่ือน้อมระลกึ ถงึ คุณพระรัตนตรยั เช่นเดยี วกบั ที่ ประพฤตปิ ฏิบัตใิ นวนั วิสาขบชู า และวันอาสาฬหบูชา คอื นาดอกไม้ ธูปเทยี น ไปนมสั การปชู นยี วตั ถทุ ีส่ าคัญ อันได้แก่ พระธาตเุ จดีย์ หรือพระพทุ ธปฏมิ าเป็นต้น และฟังพระธรรมเทศนาการแสดงธรรมในวนั นี้ จะแสดงธรรมในเรื่องพระโอวาทปาฏิโมกข์ การไมท่ าความชัว่ ทงั ปวง คนเราทาชวั่ ได้ 3 ทาง คือ ทางกาย วาจา และทางใจ ซ่ึงถือเป็นการกระทาทีผ่ ดิ ท้ังทางกฎหมาย ศีลธรรมและขนบประเพณีข้นึ อยู่กับวา่ จะประพฤตชิ ่ัวแบบใด เพราะการทาชว่ั บางอย่างแมไ้ ม่ผิดกฎหมาย แตผ่ ดิ ศลี ธรรมหรอื ขนบประเพณไี ด้การไม่ทาความชวั่ ท้ังปวงแยกออกได้ดังนี้ การไม่ทาชวั่ ทางกาย การไมท่ าความชัว่ ทางวาจา การไม่ทาชว่ั ทางใจ การทาความดีให้ถึงพรอ้ ม การไม่ทาชวั่ ดงั ทกี่ ลา่ วมา ถอื ได้ว่าเปน็ การทาความดีถงึ ระดับหนึง่ แล้ว แต่จะใหด้ จี ริงไมเ่ พียงแตล่ ะเว้นความช่วั หากแตต่ ้องประกอบคุณงามความดดี ว้ ยการทาความดีก็ทาได้ 3 ทางคือทางกาย ทางวาจา และทางใจ การทาใจใหบ้ ริสทุ ธ์ิ เม่ือเราละเวน้ ไมท่ าความชั่วและพยายามทาความดีให้ถึงพร้อมแล้ว เรากค็ วรทาใจให้บรสิ ุทธ์ดิ ้วย โดยการหมนั่ ฝึกฝนตนเองให้มีกุศลมูลหรือรากเหงา้ แหง่ ความดขี ึน้ ในจติ ใจอกี 3 ประการไดแ้ ก่ 1. อโลภะ คือ ควำมไม่โลภ หมน่ั ฝกึ อบรมจิตใจใหร้ ะงบั ตัณหำหรอื ควำมอยำกได้ คนที่ไม่อยำกไดข้ องของผู้อ่ืนยอ่ มไมท่ ำควำมชัว่ โดยกำรลักขโมยหรือฉอ้ โกง 2. อโทสะ คือควำมไมโ่ กรธ ไมป่ ระทุษรำ้ ย พยำยำมฝึกจติ ใจของตนให้เป็นคนมีเมตตำปรำรถนำจะใหผ้ ู้อื่นอยเู่ ปน็ สุข 3. อโมหะ คือควำมไมห่ ลง รู้จกั เหตุ รู้จกั ผล ร้จู ักบาปบญุ คุณโทษ ประโยชน์ มใิ ชป่ ระโยชน์๖. วนั อัฏฐมบี ูชา วันอัฏฐมีบชู าตรงกับวนั แรม 8 ค่า เดอื น 6 หรือเดอื น 7 นับถดั จากวันวิสาขบชู าไป 7 วัน เป็นวันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรรี ะของพระพุทธเจา้ ท่ีเมืองกุสินารา จึงถือเปน็ วันสาคัญท่ีระลึกถงึ พระพุทธองค์อีกวันหน่งึ หลังจากถวายพระเพลิงพทุ ธสรีระแลว้ มีการแบง่ พระบรมสารรี กิ ธาตุโดยโทณพราหมณเ์ ป็นผู้แบ่งพระบรมสารรี กิ ธาตอุ อกเปน็ 8 สว่ น เพือ่ ให้กบั กษตั ริยแ์ ต่ละเมือง๗. วันธรรมสวนะ วันพระ หรือ วนั ธรรมสวนะ หมายถึง วนั ประชมุ ถือศลี ฟังธรรมในพุทธศาสนา (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) กาหนดเดอื นทางจันทรคตลิ ะ 4 วนั ได้แก่ วนั ขึ้น 8 คา่ วันข้นึ 15 คา่ (วันเพ็ญ) วนั แรม 8 ค่าวนั แรม 15 คา่ (หากเดอื นใดเปน็ เดือนขาด ถอื เอาวันแรม 14 ค่า) ในวนั พระ พุทธศาสนกิ ชนถือเป็นวนั สาคญั ควร
49ไปวดั เพื่อทาบญุ ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆ์ และฟงั ธรรม สาหรบั ผูท้ ีเ่ คร่งครดั ในศาสนาอาจถือศีลแปดในวันพระด้วย นอกจากนช้ี าวพุทธยังถือว่าวนั พระไม่ควรทาบาปใด ๆ การทาบาปหรือไมถ่ ือศลี หา้ ในวันพระถือว่าเปน็ บาปยิ่งกวา่ ในวนั อื่น ส่วน วนั โกน เป็นภาษาพดู หมายถึง วนั ก่อนวนั พระ 1 วนัประวัติความเป็นมา ในสมยั พทุ ธกาล พระเจา้ พมิ พสิ าร ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและกราบทลู ว่า นักบวชศาสนาอื่นมีวันประชมุ สนทนาเกยี่ วกบั หลักธรรมคาสัง่ สอนในศาสนาของเขา แต่ว่าศาสนาพุทธยังไมม่ ีพระพทุ ธองคจ์ ึงทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุสงฆ์ประชมุ สนทนาและแสดงธรรมเทศนาแกป่ ระชาชน ในวัน 8 คา่ 14 คา่ และ 15 คา่พุทธศาสนกิ ชนจงึ ถือเอาวนั ดังกล่าวเป็น วนั ธรรมสวนะ(สาหรับวนั ธรรมสวนะน้ี เมอื งไทยมีมาต้งั แตส่ มยั กรงุสุโขทัย )เคร่ืองสักการะบูชาพระรัตนตรยั ในการประกอบศาสนพิธี เครอ่ื งบูชาพระรตั นตรยั ในการประกอบศาสนพธิ ีทางพระพุทธศาสนา มี ๓ อย่างคือ ๑. ธูป สาหรับบูชาพระพุทธเจ้า นิยมจุดบชู าครง้ั ละ ๓ ดอก โดยมคี วามหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงมีพระคณุ อันยิง่ ใหญ่ ๓ ประการคอื มีพระปญั ญาคณุ พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ พระมหากรุณาคุณ ธปู สามดอกจึงบชู าแทนพระคุณท้งั หมด ลักษณะของธปู ต้องมีกล่ินหอม กลิ่นหอมของธูปทาให้กเิ ลสยบุ ตวั ลง จติ ใจสงบไม่ฟุง้ ซา่ น ธปู หมดแล้วก็ยังมีกลิ่นอบอวล เปรียบเหมือนกับ พระพทุ ธคุณของพระพุทธเจา้ ทยี่ ังอยู่ในจิตใจของบคุ คลมาถึงทุกวนั น้ี แม้พระพุทธองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพานไปนานถงึ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้วกต็ าม ๒ เทยี นสาหรบั บูชาพระธรรม จะนยิ มใช้จุดคร้ังละ ๒ เล่ม โดยมคี วามหมายว่า พระธรรมคาสัง่ สอนของพระพทุ ธเจ้ามี ๒ ประเภท คือ พระวินยั สาหรับฝกึ หดั กาย วาจาให้เปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยและพระธรรมสาหรับอบรมจิตใจ ให้สงบระงบั ความชวั่ ทุจริตทกุ ประการ เทยี น ๒ เลม่ จะบูชาพระวินยั ๑ เลม่ และพระธรรม 1 เลม่เทียนท่บี ชู าพระธรรมนัน้ นยิ มใช้เทียนเล่มใหญ่พอเหมาะกบั เชิงเทียน การใชเ้ ทียนบชู าพระธรรมนน้ั เพ่ือแสดงวา่ ๓. ดอกไมส้ าหรบั บูชาพระสงฆ์ การจดั ดอกไม้เพื่อบชู าพระสงฆ์ มีความหมายวา่ ดอกไม้นานาชนดิ ท่ีนามาจัดไว้ในแจกนั น้ัน เม่ือยงั อยู่ ณ ต้นของมันตามธรรมชาติก็จะสวยงามตามสภาพของพันธไุ์ มน้ ้นั ๆ ถ้าหากเราเกบ็ดอกไมม้ ากองรวมกันโดยมิได้ตกแต่ง ย่อมจะหาความเป็นระเบียบสวยงามไมไ่ ด้ เม่ือนามาตกแต่ง ก็จะมรี ะเบียบสวยงามขึ้นเปรยี บได้กับ พระสงฆ์เมื่อยังเป็นคฤหสั ถ์ ก็มีกรยิ ามารยาทตามฐานะตามตระกูล แต่เมื่อมาบวชในพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธองคไ์ ดท้ รงวางพระธรรมวินัยไวเ้ ปน็ แบบแผนใหป้ ระพฤติปฏิบัติ พระสงฆ์ทุกรูปจงึ ต้องประพฤติปฏิบตั ิอยู่ในรปู แบบเดยี วกนั จนเกดิ ความเป็นระเบียบเรยี บร้อย นา่ เคารพ น่าบชู า เชน่ เดยี วกับดอกไม้ที่ไดร้ บั การตกแต่งแล้วฉันนั้น ดอกไม้ที่ใชบ้ ชู าพระสงฆ์ นิยมใช้ดอกไม้ทมี่ ีลักษณะสสี วยมกี ลิน่ หอมและสวยงามเราจงึ มกี ารเปลีย่ นดอกไม้ทใี่ ช้บชู าพระประจาวันอยูเ่ สมออันเปน็ นิมติ หมายของความสดช่นื รงุ่ เรืองไม่ปล่อยให้เหีย่ วแหง้ อนั แสดงถึงความเสอ่ื มโทรม
50 แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียนหน่วยที่ ๗คาสั่ง จงเลือกคำตอบท่ีถูกที่สุดเพยี งคำตองเดยี ว ๑. ขอ้ ใดเป็นศาสนพธิ ีสาหรับพระสงฆ์ก. การบณิ ฑบาต ข. การทาบุญวนั เกดิค. การปลกุ เสกวตั ถุมงคล ง. การเจมิ บา้ นหรืออาคาร๒. ขอ้ ใดเป็นศาสนพิธีสาหรบั ชาวบา้ นก. การรักษาอโุ บสถศีล ข. การทาบุญขนึ้ บา้ นใหม่ค. การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ง. การทาพธิ ปี วารณา๓. ธปู คอื หนง่ึ ในเครื่องสักการบชู าพระรตั นตรยั ซึ่งมีความหมายถึงส่ิงใดก. พระพุทธเจา้ ข. พระธรรมค. พระสงฆ์ ง. พระพุทธรูป๔. เทยี นคอื หนึง่ ในเครื่องสักการบูชาพระรตั นตรัยซ่งึ มีความหมายถึงสิ่งใดก. พระพทุ ธเจา้ ข. พระธรรมค. พระสงฆ์ ง. พระพุทธรูป๕. ขอ้ ใดแสดงให้เห็นว่ำ “พระพุทธศำสนำเปน็ สถำบนั คูช่ ำตไิ ทย” ไดช้ ัดเจนทส่ี ดุก. คนไทยส่วนใหญ่นับถือศำสนำพทุ ธข. พระมหำกษตั รยิ ์ทรงเป็นพทุ ธมำมกะค. ศำสนำพุทธหลอ่ หลอมให้เกดิ เอกลักษณ์ไทยง. ศำสนำพุทธก่อให้เกดิ ควำมสำมคั คใี นสังคมไทย๗. กำรนมิ นต์พระสงฆ์ไปบ้ำนควรทำอย่ำงไรก. นิมนตล์ ว่ งหน้ำ ข. ไมต่ ้องนมิ นตล์ ่วงหนำ้ค. ต้องระบุรำยกำรอำหำรท่ีจะถวำย ง. ทำหนงั สอื เรียนเชิญอยำ่ งเปน็ ทำงกำร๘. ขอ้ ใด ไม่ใช่ประเภทของพุทธศำสนพธิ ีก. กศุ ลพิธี ข. มงคลพิธีค. ทำนพิธี ง. ปกิณกพธิ ี๙. พิธีเวียนเทียนในวันสำคญั ทำงพระพุทธศำสนำ จัดเป็นศำสนพิธใี นข้อใดก. กศุ ลพิธี ข. บญุ พิธีค. ทำนพิธี ง. ปกิณกพธิ ี๑๐. ขอ้ ใด คอื คุณค่ำและประโยชน์ของศำสนพธิ ีก. ทำให้เกิดควำมสุขกำยสบำยใจข. ผู้รว่ มพิธไี ด้รับกำรยอมรบั จำกสงั คมค. ได้รับควำมสนุกสนำนและควำมบันเทงิง. ก่อใหเ้ กิดควำมศรัทธำต่อพระพทุ ธศำสนำ
Search