Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เฉลยรวมกิจกรรม

เฉลยรวมกิจกรรม

Published by yai moomai, 2021-09-13 09:08:00

Description: เฉลยรวมกิจกรรม

Search

Read the Text Version

แบบทดสอบกลางภาคเรยี น สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว14101 ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ปีการศึกษา 2561 เวลา 1 ชว่ั โมง ************************************************************************************************** ตอนที่ 1 แบบปรนัย คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเลอื กคาตอบที่ถูกตอ้ งที่สดุ เพยี งคาตอบเดยี ว 1. สง่ิ มชี วี ิตกลุ่มใดจดั เป็นกลมุ่ สัตว์ทั้งหมด ก เต่า ปลา แมว ข เห็ด รา จลุ นิ ทรยี ์ ค กระบองเพชร รา ผ้ึง ง โกสน เห็ด จลุ ินทรยี ์ 2. ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวติ ท่สี ร้างอาหารเองได้ เคลือ่ นที่ดว้ ยตวั เองไมไ่ ด้ จดั เปน็ สิ่งมีชีวิตกล่มุ ใด ก พชื ข สตั ว์ ค ไมใ่ ชพ่ ืชและสัตว์ ง เปน็ ได้ทัง้ พืชและสตั ว์ 3. ลักษณะใดเปน็ ลักษณะของพืชใบเลีย้ งเด่ยี ว ก มรี ากแกว้ ข มใี บเลยี้ ง 2 ใบ ค เสน้ ใบเรยี งขนานกัน ง มกี ารเจริญเติบโตทางดา้ นข้างของลาต้น 4. พืชคใู่ ดจัดเปน็ พชื ดอกทง้ั หมด ข กุหลาบ เฟนิ ก มอสส์ เฟิน ง กุหลาบ อัญชัน ค อญั ชนั มอสส์ 5. จากข้อมูลในตารางถา้ จะแบ่งพืชออกเป็น 2 กลุ่ม จะใช้อะไรเปน็ เกณฑ์ ชนิดพชื ลักษณะเส้นใบ แบบร่างแห แบบขนาน ผักบุ้ง มะพร้าว - - ชบา - กล้วย - ก พืชดอก พชื ไมม่ ดี อก ข พืชใบเลีย้ งเดย่ี ว พชื ใบเลีย้ งคู่ ค พืชลาตน้ ต้งั ตรง พืชลาตน้ เล้ือย ง พืชลาต้นบนดนิ พืชลาตน้ ใต้ดิน

6. กระบองเพชรทไ่ี มม่ ใี บสามารถสร้างอาหารได้จากสว่ นใด ก ราก ข ดอก ค ท่อลาเลยี งน้า ง ลาต้นทมี่ ีสีเขียว 7. เหมยี วนาสผี สมอาหารหยดลงในแจกนั ท่ปี ักดอกไมส้ ขี าวไว้ ปรากฏว่าวันรุง่ ขนึ้ สขี องดอกไมม้ ีสขี อง สผี สมอาหารปนอยู่ดว้ ย ข้อสรุปใดถกู ตอ้ ง ก สีผสมอาหารละลายในนา้ ไดด้ ี ข ดอกไมช้ นิดนสี้ ามารถเปลยี่ นสีเองได้ ค เราสามารถย้อมสีเฉพาะดอกไมท้ มี่ ีสีขาวเท่าน้ัน ง สผี สมอาหารถกู ลาเลียงผา่ นท่อลาเลียงน้าไปยงั ดอก 8. จากแผนผงั X คืออะไร X ขนาดเลก็ มาก มสี เี ขยี ว ชว่ ยใหพ้ ชื เกิดการสงั เคราะห์ดว้ ย แสง ก ใบ ข แสงแดด ค คลอโรฟลิ ล์ ง แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 9. แยมนากระดาษสดี ามาปดิ ใบไว้ดังรูป แล้วนาตน้ ไม้ไปไว้กลางแจ้งเป็นเวลา 1 วัน เมื่อนามาทดสอบหาแปง้ บริเวณใดท่จี ะพบแป้ง ก 1 ค 1 และ 2 ข 3 ง ทั่วท้งั ใบ 10. ดอกไม้ทม่ี ีท้งั เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ในดอกเดียวกนั เรยี กวา่ อะไร ก ดอกครบสว่ น ข ดอกไม่ครบส่วน ค ดอกสมบรู ณ์เพศ ง ดอกไม่สมบรู ณเ์ พศ

11. สัตว์กล่มุ ใดมโี ครงรา่ งเปน็ แกนแข็งภายในลาตัว ก เต่า นก คน ข แมลง ปู กุ้ง ค มด แมลง ไก่ ง จระเข้ แมงมมุ แมงกะพรุน 12. จากตารางแบ่งสตั ว์เป็น 2 กล่มุ โดยใชเ้ กณฑ์อะไร กลุ่มที่ 1 เตา่ จระเข้ กงิ้ ก่า กลุม่ ท่ี 2 ชา้ ง พะยนู ค้างคาว ก สัตว์เล้ือยคลานและสัตว์เลีย้ งลูกดว้ ยน้านม ข สัตว์มีโครงรา่ งแข็งภายนอกและสตั ว์ไมม่ ปี ีก ค สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานและสัตว์สะเทินนา้ สะเทนิ บก ง สตั ว์มกี ระดูกสนั หลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดกู สันหลงั 13. สตั ว์ชนดิ ใดออกลูกเปน็ ไข่ ข วัว ควาย ก ช้าง ม้า ง โลมา ปลาหางนกยูง ค จ้ิงจก ต๊กุ แก ศกึ ษาตารางต่อไปนี้ แล้วตอบคาถามข้อ 14 สิง่ มชี ีวิต ผวิ หนงั กระดกู สันหลงั อวัยวะหายใจ การออกลูก ขา A นิ่ม – ช้นื มี ผิวหนัง – ปอด ไข่ – ในนา้ 2 คู่ B นม่ิ – มีขนเปน็ เสน้ เล็ก ๆ มี ปอด ตัว 2 คู่ C น่มิ – ขนเปน็ แผง มี ปอด ไข่ – มเี ปลือกแขง็ 1 คู่ ปีก 1 คู่ D แขง็ – มีเกล็ด มี ปอด ไข่ – มีสารเหนียว ไมม่ ี 14. โลมาจัดอยูใ่ นส่ิงมีชวี ติ กล่มุ ใด ขB งD กA คC 15. เมือ่ ใช้ลกั ษณะเฉพาะของสัตว์เป็นเกณฑ์ ปลาตะเพยี นท่ีมีเกลด็ จดั อยู่ในกลุ่มเดยี วกับงูท่มี ีเกล็ดไดห้ รอื ไม่ เพราะอะไร ก ได้ เพราะปลาและงูออกลกู เป็นไข่เหมอื นกนั ข ได้ เพราะปลาและงหู าอาหารในน้าไดเ้ หมอื นกนั ค ไมไ่ ด้ เพราะปลาหายใจด้วยเหงือก ง ไม่ได้ เพราะปลาเปน็ สตั วเ์ ลอื ดเยน็

ตอนที่ 2 แบบอตั นัย 1. การลาเลียงน้าของพืชมีความสัมพันธ์กับการคายนา้ ในลักษณะใด เมื่อพืชดูดซับน้าจากราก น้าจะถูกลาเลียงผ่านท่อลาเลียงน้าไปยังส่วนต่างๆ ของพืช โดยใบจะเป็น สว่ นท่ีพืชใชก้ าจดั นา้ โดยจะคายนา้ สว่ นเกินออกไป ซึง่ เป็นการทาให้พืชต้องดูดซบั น้าเขา้ มาใหม่เพื่อทดแทนน้า ที่สูญเสยี ไป 2. พชื ใบเลี้ยงเดย่ี วกบั พชื ใบเลี้ยงคู่มีลกั ษณะใดบ้างท่ีแตกตา่ งกนั พืชใบเลยี้ งเดย่ี ว พชื ใบเล้ียงคู่ 1. มีใบเล้ยี ง 1 ใบ 1. มใี บเลยี้ ง 2 ใบ 2. เส้นใบมีลกั ษณะเรียงขนานกัน 2. เส้นใบมีลกั ษณะเปน็ รา่ งแห 3. มีรากเปน็ ระบบรากฝอย 3. มรี ากเป็นระบบรากแกว้ 4. ไม่มกี ารเจรญิ เตบิ โตทางดา้ นขา้ งลาต้น 4. มกี ารเจริญเติบโตทางด้านข้างลาตน้ 3. ถา้ นกั เรียนพบสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั ชนดิ หน่ึงทไี่ มร่ ู้จกั นกั เรยี นจะสังเกตลักษณะใดเพอ่ื จาแนกวา่ สตั วท์ พ่ี บน้ี เปน็ สัตว์มีกระดูกสนั หลังกลุ่มใด อวยั วะในการหายใจ การออกลูก ลกั ษณะผวิ หนังและขน ลกั ษณะปาก แหล่งทีอ่ ยู่ และการสร้างนา้ นม

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 ความหลากหลายของสิ่งมีชวี ติ คาชแ้ี จง เลือกค้าตอบทถี่ กู ที่สุดเพยี งคา้ ตอบเดียว 1. สิ่งมีชีวติ ใดทสี่ ร้างอาหารเองได้ 7. จระเขจ้ ดั เป็นสัตวม์ กี ระดูกสนั หลังเพราะอะไร ก สาหร่าย ก มีหนงั หนา ข เหด็ ฟาง ข มีปอดใชใ้ นการหายใจ ค แบคทีเรีย ค มหี างช่วยในการวา่ ยนา้ ง ดอกไม้ทะเล ง มีโครงรา่ งเปน็ แกนแขง็ ในล้าตัว 2. จลุ นิ ทรียจ์ ดั เปน็ สง่ิ มีชวี ิตกลุ่มใด 8. ลักษณะใดไมใ่ ชล่ กั ษณะของสัตว์กล่มุ ปลา ก พชื ก มีเกล็ด ข สตั ว์ ข มีครีบและหาง ค ไม่ใชท่ งั้ พชื และสัตว์ ค ไข่มเี ปลอื กแขง็ ง เปน็ ได้ท้งั พชื และสัตว์ ง หายใจดว้ ยเหงอื ก 3. เราสามารถแบ่งพชื โดยใช้ดอกเป็นเกณฑ์ไดก้ ก่ี ลุ่ม 9. สตั ว์กล่มุ ใดจดั เป็นสตั วเ์ ลอื ดอุ่นท้งั หมด ก1 ค3 ก จง้ิ จก หนู ข2 ง4 ข โลมา ฉลาม ค วาฬ ค้างคาว 4. การลา้ เลียงน้าและแร่ธาตุในพืชทิศทางใดผดิ ง ไสเ้ ดอื นดนิ กบ ก ราก  ใบ 10.สตั ว์ในกลุม่ นกมสี ว่ นท่ีแตกต่างจากสัตว์มีกระดกู สนั หลัง ข ใบ  ล้าตน้ กลมุ่ อ่ืนคอื อะไร ก ออกลูกเปน็ ไข่ ค ล้าต้น  ผล ข หายใจด้วยปอด ง ลา้ ตน้  ดอก ค เป็นสัตวเ์ ลอื ดอ่นุ ง ปากเป็นจะงอยแข็ง ไมม่ ฟี นั 5. แก๊สทไ่ี ดจ้ ากการสังเคราะห์ด้วยแสงคอื แก๊สชนิดใด ก ออกซเิ จน ข ไนโตรเจน ค ไฮโดรเจน ง คารบ์ อนไดออกไซด์ 6. เราใชเ้ กณฑ์อะไรในการแบ่งสัตวเ์ ป็น 2 กลุม่ ก การหายใจ ข การกนิ อาหาร ค แหล่งทอี่ ยู่อาศยั ง การมกี ระดูกสันหลัง

แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 ความหลากหลายของสิ่งมีชวี ติ คาชแี้ จง เลือกคา้ ตอบท่ถี กู ท่ีสุดเพียงค้าตอบเดียว 1. กลมุ่ พชื มีลักษณะส้าคัญอะไร 7. ลกั ษณะใดไม่ใช่ลกั ษณะของสัตว์เลื้อยคลาน ก เคลือ่ นท่ีเองได้ ก ผวิ หนังหนา ข สรา้ งอาหารเองได้ ข ไขม่ ีเปลือกแข็ง ค ใช้ดอกในการสบื พนั ธ์ุ ค หายใจด้วยเหงือก ง กนิ ส่งิ มีชวี ิตอื่นเป็นอาหาร ง เปน็ สตั วเ์ ลอื ดเย็น 2. จลุ ินทรยี ม์ ลี ักษณะสา้ คญั อะไร 8. สตั วก์ ลุ่มใดจัดเปน็ สัตว์เลือดเย็นทงั้ หมด ก เคลอ่ื นท่ีเองได้ ก โลมา วาฬ ข กนิ พืชเปน็ อาหาร ข แมว นกฮกู ค สร้างอาหารเองไม่ได้ ค คางคก โลมา ง มองเหน็ ได้ด้วยตาเปลา่ ง เตา่ ปลาตะเพียน 3. พชื ลา้ เลียงน้าจากดนิ ผา่ นทางใด 9. สัตว์เลีย้ งลกู ด้วยน้านมคือสัตวก์ ลุ่มใด ก เน้ือเย่ือ ก เต่า งู ข ปากใบ ข เปด็ ห่าน ค ทอ่ ล้าเลียงน้า ค นกยูง ตุ๊กแก ง ทอ่ ลา้ เลยี งอาหาร ง ค้างคาว แมวน้า 4. ปากใบท้างานในลกั ษณะใด 10.สตั ว์ในกลุม่ สัตว์เลือ้ ยคลานมลี กั ษณะเฉพาะใดท่ีแตกตา่ ง ก ปิดเม่อื เกดิ การคายน้า จากสัตว์มีกระดูกสันหลังกล่มุ อน่ื ข เปดิ เม่ือเกดิ การคายน้า ก ปากเป็นจะงอย ค ปิดเม่อื ภายในพชื มีนา้ ปริมาณมาก ข เป็นสัตวเ์ ลือดเย็น ง เปดิ เมื่อภายในพืชมนี ้าปรมิ าณน้อย ค มีต่อมสรา้ งนา้ นม ง ไขม่ สี ารเหนียวหมุ้ เปลอื ก 5. พืชไมไ่ ด้ใช้สิง่ ใดในการสังเคราะห์ด้วยแสง ก น้า ข แสง ค ออกซเิ จน ง คารบ์ อนไดออกไซด์ 6. เมื่อใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งสัตว์ ได้เป็นก่กี ลุ่ม ก2 ข3 ค4 ง5

แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 แรงโน้มถ่วงของโลกและตัวกลางของแสง คาชี้แจง เลือกค้าตอบท่ถี ูกท่ีสดุ เพยี งค้าตอบเดียว 1. บริเวณใดมแี รงโน้มถว่ งน้อยทีส่ ดุ 7. ตวั กลางชนดิ ใดยอมให้แสงเคล่อื นทผี่ ่านไดเ้ พยี งบางสว่ น ก พืน้ โลก ค ในอวกาศ ก กระจกใส ค กระดาษไข ข บนภเู ขา ง พนื้ ดวงจนั ทร์ ข นา้ สะอาด ง กอ้ นหนิ ขนาดใหญ่ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับน้าหนักมีลักษณะใด 8. กระจกเงาเป็นตัวกลางชนดิ ใด ก มวลลด น้าหนกั เพม่ิ ก ทึบแสง ข มวลเพม่ิ น้าหนกั เพิม่ ข โปรง่ ใส ค มวลไมค่ งท่ี น้าหนักคงท่ี ค โปร่งแสง ง มวลและน้าหนกั ไม่มคี วามสัมพันธก์ ัน ง ไม่สามารถจา้ แนกได้ 3. สปรงิ ของเครื่องชั่งสปรงิ แบบแขวนแตล่ ะอนั เหมอื นกัน 9. ถา้ ต้องการเงาทมี่ ลี กั ษณะวงกลมตอ้ งวางกระป๋อง และช่ังวัตถใุ นสถานท่ีเดียวกนั ทรงกระบอกลกั ษณะใด AB CD ก ข จากรูป วตั ถใุ ดมีน้าหนกั มากทสี่ ุด ค กA คC ง ขB ง D 10. การจัดวางวัตถลุ กั ษณะใดทา้ ใหเ้ กดิ เงา ก 4. เครื่องชัง่ สปริงสามารถบอกค่าใดของวัตถไุ ด้ ก ขนาด มวล ข ข มวล น้าหนัก ค ขนาด วัสดุทใี่ ช้ท้า ค ง น้าหนัก วัสดุที่ใชท้ า้ ง 5. ความสัมพนั ธใ์ ดถกู ต้อง ก ราคาสงู เคลอ่ื นที่งา่ ย ข มวลมาก เคล่ือนทย่ี าก ค ขนาดใหญ่ เคลือ่ นทย่ี าก ง วสั ดธุ รรมชาติ เคลอ่ื นที่งา่ ย 6. ผ้าขาวบางและฟลิ ์มกรองแสงเปน็ ตวั กลางชนิดใด ก ทึบแสง ข โปรง่ ใส ค โปรง่ แสง ง โปร่งแสงและโปร่งใส

แบบทดสอบหลังเรยี น หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 แรงโน้มถ่วงของโลกและตัวกลางของแสง คาช้ีแจง เลือกค้าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค้าตอบเดียว 1. บรเิ วณใดมีแรงโนม้ ถว่ งมากท่สี ดุ 6. ตัวกลางทแ่ี สงเคลือ่ นท่ผี ่านชนิดใดต่างจากพวก ก พื้นโลก ค บนเคร่ืองบนิ ก อากาศ ค กระเบ้ือง ข ในอวกาศ ง พ้นื ดวงจันทร์ ข นา้ กลน่ั ง กระจกใส 2. ข้อความใดถูกต้อง 7. วัสดกุ ลุ่มใดเปน็ ตัวกลางโปร่งใสท้งั หมด ก มวลลด เนอื้ สารคงที่ ก แท่งไม้ ก้อนหิน เหล็ก ข มวลเพม่ิ น้าหนักคงท่ี ข กระจกนาฬกิ า นา้ กล่ัน อากาศ ค น้าหนกั เพิ่ม เนอื้ สารคงที่ ค กระดาษแขง็ น้าหวาน แผ่นยาง ง น้าหนักลด แรงโนม้ ถว่ งเพ่ิม ง กระจกฝา้ ผ้าขาวบาง กระดาษช้าระ 3. สปรงิ ของเครอื่ งชงั่ สปริงแบบแขวนแตล่ ะอันเหมือนกัน 8. ตวั กลางทีแ่ สงเคลอื่ นทผี่ ่านชนดิ ใดอยกู่ ลุม่ เดยี วกัน และชง่ั วตั ถุในสถานท่ีเดียวกัน ก หมอก กระจกใส ข พลาสติกใส กระจกเงา A B CD ค เลนส์ อะลมู ิเนียมฟอยล์ ง ฟิลม์ กรองแสง กระดาษลอกลาย 9. เงามัวจะมีขนาดเล็กท่ีสดุ เมื่อวางวตั ถุลักษณะใด ก จากรูป วตั ถุใดมนี ้าหนกั น้อยทสี่ ุด ข กA ค C ขB ง D ค 4. เครื่องชั่งสปรงิ สามารถบอกค่าใดของวัตถไุ ด้ ง ก ขนาด ข นา้ หนัก 10. การมองเหน็ เงาตอ้ งมีการจัดเรียงองค์ประกอบลักษณะใด ค ปรมิ าตร ก แหลง่ ก้าเนดิ แสง  ฉาก ง วสั ดุท่ีใช้ท้า ข แหล่งก้าเนิดแสง  วตั ถุทึบแสง ค แหล่งกา้ เนิดแสง  วตั ถุทึบแสง  ฉาก 5. “วัตถุเริม่ เคล่ือนท่ีเมอ่ื ดึงด้วยแรง 5 นิวตัน” ข้อสรปุ ใด ง ฉาก  แหลง่ ก้าเนดิ แสง  วตั ถทุ บึ แสง ถูกตอ้ ง ก วัตถุมมี วล 5 นวิ ตัน ข วัตถตุ ้องใช้แรงคนในการดงึ 5 คน ค วัตถมุ แี รงตา้ นการเคล่ือนท่ี 5 นวิ ตัน ง วัตถไุ ม่มแี รงต้านการเคลื่อนท่เี มือ่ ออกแรงดงึ 5 นิวตัน

แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 วสั ดแุ ละสสาร คาช้ีแจง เลือกคา้ ตอบท่ีถกู ท่ีสดุ เพยี งค้าตอบเดียว 1. วสั ดใุ ดมีสภาพยดื หยุ่น 6. วัสดุใดมีสมบัติเป็นตัวนา้ ไฟฟา้ ก ไมอ้ ัด ก ไม้ ข สงั กะสี ข ยาง ค ฟองน้า ค ทองแดง ง กระเบ้ือง ง พลาสติก 2. จากรูป เป็นการใช้สมบัตดิ า้ นใดของเหล็ก 7. เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการวดั มวลและปริมาตรของของแข็งคอื ขอ้ ใด ก บกี เกอร์ ข เคร่อื งชั่ง ค หลอดฉีดยา ก ความแขง็ ง กระบอกตวง ข การน้าไฟฟ้า 8. กจิ กรรมสะเต็มศกึ ษาเกิดจากการน้าความรู้ก่สี าขา ค สภาพยดื หยุ่น มาเรียนรรู้ ่วมกัน ง การนา้ ความรอ้ น ก2 3. การผลติ วัสดชุ นดิ ใดตอ้ งคา้ นงึ ถงึ สมบัติด้านความเหนียว ข 3 ก เชอื ก ข กระติกนา้ ค4 ค ยางรถยนต์ ง หม้อหุงขา้ ว ง5 4. ถา้ นา้ ช้อนโลหะกับช้อนไมไ้ ปแช่ในน้ารอ้ น เมอื่ เราใช้มอื 9. การคน้ คว้าและรวบรวมข้อมูลท้าไดโ้ ดยการสืบคน้ จาก จบั จะรู้สกึ ว่าชอ้ นชนิดใดร้อนกวา่ กนั แหล่งการเรียนรู้ใด เพราะอะไร ก บ้าน แหลง่ ชมุ ชน ก ช้อนไม้ เพราะเปน็ ฉนวนไฟฟ้า ข โรงเรยี น แหลง่ ชมุ ชน ข ชอ้ นโลหะ เพราะเป็นฉนวนไฟฟ้า ค อนิ เทอร์เน็ต หอ้ งสมุด ค ชอ้ นไม้ เพราะเปน็ ตวั น้าความรอ้ น ง สอบถามผ้รู ู้ อนิ เทอร์เน็ต ง ช้อนโลหะ เพราะเปน็ ตวั น้าความร้อน 10. ความรู้ดา้ นวิศวกรรมศาสตรท์ นี่ า้ มาใชใ้ นการออกแบบ 5. ข้อใดกลา่ วถกู ต้องเกี่ยวกบั การจดั เรยี งอนภุ าคของ ส่ิงประดิษฐ์ในกิจกรรมสะเต็มศึกษาคือขอ้ ใด ของแข็ง ก การออกแบบ สรา้ ง ทดสอบ และปรับปรุง ก ไหลไดแ้ ละเคลื่อนทไ่ี ด้ ข การวัดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางเพ่อื กา้ หนดขนาด ข เปล่ยี นแปลงไปตามภาชนะท่บี รรจุ ค การใช้สมบัตขิ องวสั ดุมาใช้ในการเลือกวัสดุ ค อนภุ าคสามารถเคล่ือนท่ไี ด้ทกุ ทิศทาง ง การใช้กรรไกรตดั วัสดใุ หเ้ ปน็ รูปร่างตามต้องการ ง อยชู่ ดิ กันมากและมกี ารจัดเรยี งตวั อย่างเปน็ ระเบยี บ เคล่ือนไหวไดน้ ้อยมาก

แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 วัสดุและสสาร คาช้แี จง เลอื กคา้ ตอบทถ่ี ูกท่ีสดุ เพยี งค้าตอบเดียว 1. การน้าแถบยางยดื ใส่ไวใ้ นขอบกระโปรงเป็นการใช้ 6. วสั ดุทีม่ คี วามสามารถในการเป็นฉนวนไฟฟ้าคอื วัสดุ ประโยชนข์ องวัสดใุ นดา้ นใด ชนดิ ใด ก ความแขง็ ข ความเหนยี ว ก แกว้ ไม้ ยาง และพลาสตกิ ค ความสวยงาม ง สภาพยดื หยนุ่ ข เหลก็ อะลูมเิ นียม สเตนเลส 2. โลหะและยางทเี่ ปน็ ส่วนประกอบในรถยนต์เปน็ การใช้ ค ผา้ ยาง โฟม เหลก็ และพลาสติก สมบัตใิ ดของวสั ดุตามล้าดบั ง เหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง และไสด้ นิ สอ ก ความเหนยี ว ความแขง็ 7. ข้อความใดแสดงสมบัติของของเหลว ข ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น ก รปู ร่างและปริมาตรคงท่ี อนุภาคอย่ชู ิดกันมาก ค ความเหนยี ว สภาพยืดหยุ่น ข รปู รา่ งและปรมิ าตรไมค่ งที่ อนภุ าคชดิ กันมาก ง ความเหนียว การน้าความร้อน ค รปู รา่ งและปริมาตรไมค่ งที่ อนภุ าคอยหู่ า่ งกนั มาก 3. ใครทา้ การทดสอบสมบัตเิ ก่ียวกบั ความเหนียวถูกต้อง ง รูปรา่ งไม่คงที่ มีปรมิ าตรคงที่ อนภุ าคอย่หู ่างกนั มาก ก ปลานา้ เชือกมาถ่วงด้วยตุ้มเหลก็ แลว้ สงั เกตจา้ นวน 8. กระบอกตวงใชเ้ พ่อื หาปริมาตรของสสารในสถานะใด ตุ้มเหล็กทท่ี ้าให้เชอื กขาด ก แก๊ส ข นกนา้ กระจกมาทุบแล้วดูการเปล่ียนแปลงการคนื ตวั ข ของแขง็ ค แมวน้าเทยี นไขมาขูดบนกระจกแล้วดรู อยบนกระจก ค ของเหลว ง หนูนา้ ดนิ น้ามนั ไปลอยน้าแล้วสงั เกตการจมของดิน ง ทงั้ ของแขง็ และของเหลว น้ามนั 9. ขอ้ ใดไม่ใช่สงิ่ สา้ คัญท่ีสดุ ในการเลือกพจิ ารณาปัญหาที่ 4. “เหล็กเมือ่ ได้รับความรอ้ นท่ัวทง้ั แผ่นจะยดื ออกและตี ต้องการของกจิ กรรมสะเตม็ ศกึ ษา เป็นแผ่นได้” จากข้อความดงั กล่าว แสดงวา่ ก ผลเสยี เหล็กมีสมบัตใิ ด ข ความเร่งด่วน ก ความแข็งและความเหนียว ค ผลกระทบในระยะยาว ข สภาพยดื หย่นุ และความแข็ง ง ประโยชนท์ ่ีไดจ้ ากปญั หา ค การนา้ ไฟฟา้ และสภาพยดื หยนุ่ 10. การน้าเสนอผลงานในการแก้ปญั หาของการสรา้ ง ง การน้าความรอ้ นและความเหนียว ชิ้นงานกจิ กรรมสะเต็มศึกษาในข้อใดถูกต้องท้ังหมด 5. A เป็นวัสดุที่ทา้ มาจากพลาสติก โดยใช้สมบัติด้านใดของ ก สาธิต ทดสอบ วสั ดุ A ข ประเมินผล ปรบั ปรงุ ก ความแขง็ ค จัดป้ายนิเทศ ท้าสมุดภาพ ข ฉนวนไฟฟา้ ง จัดนทิ รรศการ ประเมินผล ค สภาพยืดหยุ่น ง ฉนวนความร้อน

แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 ระบบสรุ ยิ ะและการปรากฏของดวงจนั ทร์ คาชแ้ี จง เลอื กค้าตอบทีถ่ กู ที่สุดเพยี งคา้ ตอบเดียว 1.ดวงดาวทม่ี แี สงสวา่ งในตัวเองเรยี กว่าอะไร 6. โลกหมุนรอบตวั เองในทศิ ทางใด ก กาแลก็ ซี ก เหนอื ไปใต้ ข ดาวฤกษ์ ข ใต้ไปเหนือ ค ดาวเคราะห์ ค ตะวันตกไปตะวนั ออก ง ดวงอาทติ ย์ ง ตะวนั ออกไปตะวนั ตก 2. เหตุใดคนบนโลกจงึ เหน็ ดวงจันทรเ์ พียงดา้ นเดียว 7. “ดาวประจ้าเมืองหรอื ดาวประกายพรกึ ” เปน็ ก ดวงจนั ทร์หมนุ ตามเข็มนาฬิกา ชื่อของดาวอะไร ข โลกหมุนจากทิศตะวันออกไปยงั ทศิ ตะวันตก ก ดาวพธุ ค คนบนโลกยืนทา้ มมุ 90 องศากับดวงจนั ทร์ ข ดาวศกุ ร์ ตลอดเวลา ค ดาวเสาร์ ง ดวงจันทรห์ มุนรอบโลกและหมนุ รอบตวั เองใช้ ง ดาวองั คาร เวลาใกล้เคียงกนั 8. ดาวเคราะหด์ วงใดที่นกั วิทยาศาสตร์คาดวา่ จะมี 3. ดาวเคราะหด์ วงใดไมม่ ดี าวบริวาร สิ่งมชี วี ิตอาศัยอยู่ ก ดาวพุธ ดาวศุกร์ ก ดาวพธุ ข ดาวศุกร์ ดาวองั คาร ข ดาวศุกร์ ค ดาวเสาร์ ดาวเนปจนู ค ดาวเสาร์ ง ดาวองั คาร ดาวยูเรนัส ง ดาวอังคาร 4. ปจั จุบันดาวเคราะหด์ วงใดถกู ลดสถานะให้เป็นเพียง 9. โลกโคจรอยู่ระหว่างดาวเคราะห์คู่ใด ดาวเคราะห์แคระ ก ดาวพุธกบั ดาวศุกร์ ก ดาวศุกร์ ข ดาวศกุ ร์กบั ดาวอังคาร ข ดาวเสาร์ ค ดาวเสาร์กบั ดาวยเู รนสั ค ดาวพลูโต ง ดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ง ดาวพฤหัสบดี 10. โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบใชเ้ วลานาน 5. สิ่งที่โคจรอยรู่ ะหว่างดาวองั คารกับดาวพฤหัสบดีคือ เท่าใด อะไร ก 1 วัน ก ดาวหาง ข 24 วนั ข ดาวศกุ ร์ ค 30 วนั ค อุกกาบาต ง 365 วัน ง ดาวเคราะห์น้อย

แบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 ระบบสรุ ิยะและการปรากฏของดวงจนั ทร์ คาช้ีแจง เลอื กค้าตอบที่ถูกท่ีสุดเพียงค้าตอบเดียว 1. แบบจ้าลองของนกั ดาราศาสตร์คนใดแสดงใหเ้ หน็ 6. ดาวดวงใดมจี ุดแดงใหญ่อยูต่ รงกลาง วา่ ดาวเคราะหเ์ ดินทางเปน็ วงรรี อบดวงอาทติ ย์ ก ดาวหาง ก พโตเลมี ข อุกกาบาต ข เคปเลอร์ ค ดาวพฤหัสบดี ค โคเพอร์นิคัส ง ดาวเคราะห์นอ้ ย ง เคปเลอร์และโคเพอรน์ ิคัส 7. ล้าดับของดาวเคราะห์ท่เี รยี งจากความเรว็ ในการ 2. ดาวเคราะหด์ วงใดใช้เวลาในการโคจรรอบดวงอาทติ ย์ หมุนรอบดวงอาทิตย์จากเรว็ ไปชา้ คอื ลา้ ดบั ใด นานทส่ี ุด ก โลก ดาวอังคาร ดาวพธุ ก ดาวเสาร์ ข ดาวเสาร์ ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ ข ดาวอังคาร ค ดาวยูเรนสั ดาวองั คาร ดาวศุกร์ ค ดาวเนปจูน ง ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเนปจูน ง ดาวพฤหัสบดี 8. ดาวเคราะหท์ ่มี ีน้าเป็นส่วนประกอบคอื 3. ดาวเคราะหด์ วงใดมที ิศทางการหมนุ รอบตวั เองต่าง ดาวคราะห์ดวงใด ก โลก จากดาวเคราะหด์ วงอ่นื ข ดาวศุกร์ ค ดาวเสาร์ ก ดาวศกุ ร์ ค ดาวยเู รนสั ง ดาวพฤหัสบดี ข ดาวเสาร์ ง ดาวเนปจนู 9. ดาวเคราะห์ท่ีมีองคป์ ระกอบสว่ นใหญ่เป็นหนิ ไดแ้ ก่ ดาวเคราะหด์ วงใดบ้าง 4. ความสมั พนั ธ์ใดผิด ก ดาวพุธ ดาวศุกร์ ก ดาวพธุ – ดาวเคราะห์วงใน ข ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ข โลก – ดาวเคราะหย์ ักษแ์ กส๊ ค ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ค ดาวอังคาร – ดาวเคราะห์หนิ ง ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนัส ง ดาวพฤหัสบดี – ดาวเคราะห์วงนอก และดาวเนปจูน 5. ดาวหางเม่ือเคลือ่ นที่เข้าหาดวงอาทติ ย์หวั ของมนั จะมี 10. ดาวทพ่ี บกอ้ นน้าแข็งสกปรกทีไ่ มม่ แี สงสว่างในตัวเอง ลกั ษณะใด มวี งโคจรรอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ วงรีคือขอ้ ใด ก ใหญแ่ ละสว่างขึน้ ก ดาวหาง ข เลก็ จนมองไม่เหน็ ข อกุ กาบาต ค เท่าเดิมและไม่มีแสงสว่าง ค ดาวเคราะห์น้อย ง สรปุ ไม่ได้ ง ดาวเคราะห์แคระ

แบบทดสอบปลายภาคเรียน สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว14101 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ปีการศึกษา 2561 เวลา 1 ชั่วโมง ************************************************************************************************** ตอนที่ 1 แบบปรนยั คาช้ีแจง เลอื กคาตอบท่ถี ูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงคาตอบเดยี ว 1. สมบตั ิของวสั ดุท่ที นต่อการขดู ขีดให้เกดิ รอยคอื ขอ้ ใด ก ความแขง็ ข ความเหนียว ค สภาพยดื หยนุ่ ง การนาความร้อน 2. ขอ้ ความใดถูกตอ้ งเกยี่ วกบั ฉนวนความรอ้ น ก วสั ดทุ นี่ าความร้อนไดด้ ี ข วัสดุที่นาความรอ้ นไมไ่ ด้ ค วัสดุทีย่ อมให้ความร้อนผา่ นได้ ง วัสดทุ น่ี าความร้อนไดป้ านกลาง 3. ใครทาการทดสอบสมบัตเิ ก่ยี วกับความเหนียวถูกตอ้ ง ก นกนากระจกมาทบุ แลว้ ดกู ารเปลีย่ นแปลง ข แมวนาเทยี นไขมาขดู บนกระจกแล้วดูรอยบนกระจก ค หนูนาเชอื กมาถว่ งด้วยตุ้มเหลก็ แลว้ วัดความยาวที่ยดื ออก ง ปลานาดินน้ามนั ไปลอยนา้ แลว้ สังเกตการจมของดนิ นา้ มัน 4. มือจบั ของเตารดี ควรทาจากวัสดุชนดิ ใด เพราะอะไร ก โฟม เพราะเบา ข พลาสตกิ เพราะไม่นาไฟฟ้า ค อะลมู เิ นียม เพราะมีความแขง็ ง ดินเหนยี ว เพราะไมน่ าความร้อน 5. การสารวจข้อดี ขอ้ เสียของวัสดุ อปุ กรณ์ท่ใี ช้ในกจิ กรรมสะเตม็ ศึกษามคี วามสาคัญเพราะอะไร ก ได้วสั ดุ อปุ กรณ์แข็งที่สุด ข ได้วสั ดุ อุปกรณส์ วยงามที่สดุ ค ไดว้ สั ดุ อปุ กรณร์ าคาถกู ที่สุด ง ได้วัสดุ อุปกรณ์เหมาะสมท่ีสดุ 6. เมื่อใสก่ ้อนหินลงในแกว้ นา้ ปรากฏว่าระดับน้าสูงข้นึ แสดงว่าน้ามสี มบตั ิใด ก มนี า้ หนัก ข ต้องการทอี่ ยู่ ค ปริมาตรคงท่ี ง เปลีย่ นแปลงรปู ร่างได้ 7. ถา้ ต้องการวัดปริมาตรของสสารทม่ี ีสถานะเป็นแก๊สต้องใช้เครอ่ื งมือชนิดใด ก บกี เกอร์ ข หลอดฉดี ยา ค บารอมเิ ตอร์ ง กระบอกตวง

8. เครอ่ื งช่งั ใชเ้ พ่ือหามวลของสสารสถานะใด ก แกส๊ ข ของแขง็ ค ของเหลว ง ของแขง็ และของเหลว 9. การเดินข้นึ บันไดทาให้เรารูส้ กึ เหนอ่ื ยกว่าการเดินลงบนั ไดเพราะอะไร ก เดนิ ขึ้นบนั ไดทาใหน้ า้ หนกั ตัวมากข้นึ ข รา่ งกายทรงตัวขณะเดินลงบันไดได้ดีกวา่ ค เดนิ ข้นึ บันไดเป็นการเคลอื่ นท่ีต้านแรงโน้มถว่ ง ง เดนิ ขึ้นบนั ไดมแี รงโนม้ ถว่ งกระทาต่อรา่ งกายมากกว่า 10. สิง่ ใดตอ่ ไปนไ้ี มม่ ีน้าหนัก ก เรอื บนผิวนา้ ข ลกู โปง่ สวรรค์ ค ก้อนหินบนพน้ื ง สะเกด็ ดาวในอวกาศ 11. จากรูป เราสามารถสรุปได้วา่ อะไร ก เครือ่ งชั่งสปรงิ เป็นอุปกรณ์ที่ดี ข เครื่องช่งั สปริงสามารถวัดมวลได้ ค วตั ถมุ ีแรงต้านการเคล่ือนที่ไม่เท่ากนั ง วัตถุออกแรงตา้ นแรงโน้มถ่วงของโลก 12. ถา้ ตอ้ งการทราบว่าวัตถุใดต้องใชแ้ รงในการทาใหว้ ตั ถเุ คลือ่ นที่มากกว่า สิง่ สาคญั ท่สี ุดทเี่ ราควรทราบก่อน คืออะไร ก มวล ข ราคา ค พ้ืนผวิ ง วสั ดทุ ี่ใช้ทา

13. จากรปู ข้อความใดถูกตอ้ ง ก วัตถุ A คอื แผน่ ไม้อัด ข วัตถุ B คือ กระจกเงา ค วัตถุ A ทาให้เกดิ เงาได้ ง วตั ถุ B ไมท่ าให้เกิดเงา 14. สิ่งใดใช้ประโยชน์จากการเกดิ เงา ก กังหนั ลม ข กระจกเงา ค นาฬกิ าแดด ง เลนสข์ องแว่นตา 15. ลกั ษณะของดวงจันทรใ์ นคืนข้างข้ึนคอื ข้อใด ข ก คง 16. การขน้ึ และตกของดวงจันทร์เกิดจากโลกมที ิศการหมุนรอบตวั เองจากทิศใดไปสูท่ ิศใด ก ทศิ เหนือไปทิศใต้ ข ทิศเหนือไปทศิ ตะวนั ตก ค ทิศตะวันออกไปทิศตะวนั ตก ง ทศิ ตะวันตกไปทศิ ตะวนั ออก 17. ดวงจนั ทร์ปรากฏขึน้ ทางทิศใดเสมอ ก ทศิ ใต้ ข ทิศเหนือ ค ทศิ ตะวันตก ง ทิศตะวนั ออก 18. ดาวเคราะห์ดวงใดมเี สน้ ผ่านศูนย์กลางของดาวเคราะห์นอ้ ยทส่ี ุด ก ดาวพุธ ข ดาวศุกร์ ค ดาวยเู รนัส ง ดาวพฤหัสบดี 19. ดาวเคราะหด์ วงใดไม่ใช่ดาวเคราะหห์ นิ ก ดาวพธุ ข ดาวศุกร์ ค ดาวอังคาร ง ดาวเนปจูน

20. ส่งิ ใดไมใ่ ชอ่ งคป์ ระกอบของระบบสรุ ยิ ะ ก ดาวหาง ข ดาวเทียม ค ดาวเคราะห์ ง ดาวเคราะหน์ อ้ ย ตอนท่ี 2 แบบอตั นยั 1. ความเหนยี วกบั สภาพยดื หยนุ่ แตกต่างกนั อยา่ งไร ความเหนียวเป็นความสามารถของวัสดุในการรับน้าหนัก วัสดุท่ีรับน้าหนักได้มากกว่าจะมีความเหนียว มากกว่าวัสดุทีร่ ับน้าหนกั ได้นอ้ ย ส่วนสภาพยืดหยุ่นเป็นความสามารถเปลี่ยนรูปรา่ งเมื่อมแี รงมากระทาต่อ วสั ดุนัน้ และสามารถกลับคนื สสู่ ภาพเดมิ ไดเ้ มอ่ื หยดุ แรงกระทาต่อวสั ดุ 2. ถ้าเราต้องการทราบว่าวัตถทุ ี่มีอยเู่ ป็นตวั กลางชนิดใด เราควรทดสอบดว้ ยวิธใี ด เราควรนาวัตถุนั้นมาทดสอบด้วยการใช้แสงไฟจากแหล่งกาเนิดแสงส่องผ่านวัตถุนั้น แล้วสังเกต ความสามารถในการกั้นแนวการเคลือ่ นที่ของแสง ถ้าไมก่ ้นั แนวการเคล่อื นที่ของแสงจัดเป็นตัวกลางโปรง่ ใส ถ้ากั้นแนวการเคล่ือนท่ีของแสงบางส่วนจัดเป็นตัวกลางโปร่งแสง และถ้ากั้นแนวการเคลื่อนท่ีของแสง ทัง้ หมดจัดเป็นวตั ถุทบึ แสง

เฉลยใบกจิ กรรมวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ใบงานสังเกตก่อนเรยี น 1 เร่อื ง กลุม่ สงิ่ มีชวี ิต ชื่อ - สกุล ______________________________________ ช้ัน___________เลขที่______ จดุ ประสงค์ จำแนกส่งิ มชี ีวิตตำมเกณฑ์ทก่ี ำหนดได้ ขน้ั ตอน 1. สังเกตส่ิงมชี วี ติ ในบรเิ วณบำ้ น 2. บันทกึ ลักษณะของสง่ิ มชี ีวติ ที่สังเกตได้ 3. จำแนกส่ิงมีชวี ติ เป็นกลุม่ ตำมเกณฑ์ท่กี ำหนด บนั ทกึ ผล มใี บสีเขยี ว เคลอ่ื นทเ่ี องได้ ลกั ษณะ ตอบสนอง สิ่งมชี วี ิต มีกำรหำยใจ มกี ำรเจริญเตบิ โต ต่อสิง่ เร้ำ แมว       จ้งิ จก       ต้นเข็ม     ตน้ มะม่วง     คาถามประกอบกิจกรรม 1. สงิ่ มีชวี ติ ท่ีสงั เกตมลี กั ษณะใดเหมือนกันบ้ำง พืชและสัตว์มีกำรหำยใจ มกี ำรเจริญเติบโต และตอบสนองตอ่ สิ่งเรำ้ เหมือนกนั 2. สงิ่ มีชีวติ ท่ีสังเกตมีลักษณะใดแตกต่ำงกนั บ้ำง พชื มใี บสเี ขียวและไมม่ กี ำรเคล่ือนที่ ส่วนสตั วไ์ มม่ ีใบสีเขยี วและเคลอ่ื นท่ีไดเ้ อง

เฉลยใบกจิ กรรมวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ใบกิจกรรมท่ี 1 เรื่อง การจาแนกสงิ่ มีชีวิต ช่ือ - สกุล ______________________________________ ช้นั ___________เลขที่______ ทกั ษะสร้างเสริมความเขา้ ใจท่ีคงทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจำแนกประเภท 3. กำรจัดกระทำและส่ือควำมหมำยข้อมูล 4. กำรตีควำมหมำยขอ้ มูลและกำรลงขอ้ สรุป แหลง่ เรียนรู้/อุปกรณ์ 1. บริเวณโรงเรยี น 2. แว่นขยำย 1 อัน ปัญหา ลกั ษณะเฉพำะที่สังเกตไดล้ ักษณะใดท่นี ำมำเป็นเกณฑจ์ ำแนกส่ิงมชี วี ติ ข้ันตอน 1. แบง่ กลมุ่ นกั เรียน กลมุ่ ละ 3 – 4 คน 2. สำรวจส่งิ มชี ีวติ บรเิ วณโรงเรยี น 3. สงั เกตลักษณะเฉพำะของส่ิงมีชีวิตท่สี ำรวจไดแ้ ลว้ บนั ทึกผล 4. จำแนกสิ่งมีชวี ิตเป็นกลมุ่ จำกลกั ษณะเฉพำะของสิง่ มชี ีวิต 5. อภิปรำยและสรุปผลกำรสังเกต บันทกึ ผล สิง่ มีชีวิต ลกั ษณะเฉพาะทส่ี งั เกตได้ มีใบสีเขยี ว เคล่อื นที่เองได้ กนิ สิ่งมชี ีวิตอื่นเป็นอาหาร พรกิ    ใบเตย    นก    ปลำ    เหด็   

อภปิ รายผล เกณฑใ์ นกำรจำแนก คือ กำรมใี บสเี ขยี ว กำรเคลอ่ื นท่ี และกำรกนิ สิ่งมีชวี ิตอ่ืนเปน็ อำหำรจำแนกเปน็ 3 กล่มุ คือ 1) กลมุ่ พชื มีใบสีเขียว เคล่ือนที่เองไมไ่ ด้ และไมก่ นิ สิง่ มีชีวติ อนื่ เปน็ อำหำร 2) กล่มุ สัตว์ ไม่มใี บสเี ขียว เคลอ่ื นที่เองได้ และกนิ สิ่งมีชวี ติ อื่นเป็นอำหำร 3) กล่มุ ทไ่ี ม่ใชพ่ ืชและสัตว์ ไม่มใี บสีเขยี ว เคลอ่ื นที่เองไมไ่ ด้ และไม่กินส่งิ มชี วี ิตอ่ืนเป็นอำหำร สรปุ เมอ่ื กำหนดเกณฑท์ ่ีใช้ในกำรจำแนก เรำสำมำรถจำแนกสิ่งมชี ีวติ ไดเ้ ป็นกล่มุ โดยสิง่ มีชวี ิตในกลมุ่ เดียวกันจะมี ลักษณะเหมอื นกนั คาถามประกอบกจิ กรรม 1. สง่ิ มชี ีวติ ที่สงั เกตมลี ักษณะเฉพำะใดเหมอื นกนั บำ้ ง พชื มีใบสีเขียว เคลือ่ นทเ่ี องไม่ได้ และไม่กนิ สิง่ มชี วี ติ อืน่ เปน็ อำหำร สตั วไ์ ม่มีใบสเี ขยี ว เคลอื่ นทีเ่ องได้ และกนิ สิ่งมชี ีวติ อ่ืนเปน็ อำหำร และเห็ดไม่มีใบสีเขียว เคลื่อนท่เี องไม่ได้ และไมก่ นิ สง่ิ มชี วี ิตอ่ืนเปน็ อำหำร 2. จำกกำรปฏิบัติกิจกรรม นักเรยี นใชล้ กั ษณะใดเปน็ เกณฑ์ และจำแนกส่งิ มีชีวติ ไดก้ ่ีกลุม่ อะไรบำ้ ง แนวคำตอบ ใชล้ กั ษณะกำรมีใบสเี ขียว กำรเคล่อื นท่ี และกำรกินสิ่งมชี วี ิตอืน่ เป็นอำหำรเปน็ เกณฑ์ และจำแนกสง่ิ มชี ีวติ ได้ 3 กลมุ่ คือ กล่มุ พืช กลุ่มสัตว์ และกล่มุ ทีไ่ มใ่ ชพ่ ชื และสัตว์ 3. กำรจำแนกสง่ิ มีชวี ิตต้องมีกำรกำหนดเกณฑเ์ พรำะอะไร เพรำะกำรกำหนดเกณฑท์ ำให้ผจู้ ำแนกทกุ คนพจิ ำรณำลกั ษณะของส่ิงมชี วี ิตลักษณะเดียวกัน ทำใหก้ ลุ่มสงิ่ มชี ีวติ ท่ีจำแนกไดเ้ หมือนกนั

เฉลยใบกจิ กรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 กจิ กรรมเสริมการเรียนรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง การจัดกลมุ่ สง่ิ มชี วี ิต ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชนั้ ___________เลขที่______ ทักษะสร้างเสรมิ ความเขา้ ใจทค่ี งทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจำแนกประเภท แหลง่ เรยี นรู้/อปุ กรณ์ บัตรภำพ 12 ใบ ขน้ั ตอน 1. สังเกตสง่ิ มชี วี ติ ในบัตรภำพท่ไี ดร้ บั และสืบคน้ ข้อมลู ลักษณะของสง่ิ มชี ีวิตเหล่ำนั้น 2. จำแนกสงิ่ มชี วี ิตเป็นกลุ่ม โดยใช้กำรสรำ้ งอำหำรเองไดแ้ ละกำรเคลือ่ นทีเ่ องไดเ้ ปน็ เกณฑ์ 3. นำเสนอผลกำรจำแนกส่ิงมชี วี ติ หน้ำห้องเรียนพร้อมใหเ้ หตผุ ลของกำรจำแนกสงิ่ มชี ีวติ เหล่ำนน้ั บตั รภาพ กระรอก แบคทีเรยี พรกิ ดอกไม้ทะเล ตำแยแมว ล้นิ มังกร ปู รำ ดำวทะเล สะระแหน่ ดว้ ง เห็ด

คาถามประกอบกิจกรรม 1. กลุม่ พชื มีส่ิงมีชวี ติ อะไรบ้ำง พริก ตำแยแมว ลิน้ มงั กร และสะระแหน่ 2. กลุ่มสตั ว์มีส่งิ มีชีวติ อะไรบำ้ ง กระรอก ดอกไมท้ ะเล ปู ดำวทะเล และดว้ ง 3. กลมุ่ ทไี่ ม่ใชพ่ ชื และสตั วม์ ีส่ิงมีชวี ติ อะไรบำ้ ง แบคทเี รีย รำ และเห็ด 4. สง่ิ มีชีวิตทงั้ หมดมกี ีก่ ลมุ่ และส่งิ มชี ีวิตกลุ่มใดมีจำนวนมำกทีส่ ดุ สิง่ มีชีวติ ทั้งหมดมี 3 กลุ่ม และกลุ่มสัตวม์ จี ำนวนมำกท่สี ุด

เฉลยใบกิจกรรมวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ใบงานสารวจกอ่ นเรียน 2 เร่อื ง การจัดกลุม่ สิ่งมีชีวิต ชื่อ - สกุล ______________________________________ ชน้ั ___________เลขท่ี______ จุดประสงค์ จำแนกพืชตำมเกณฑ์ที่กำหนดได้ ขนั้ ตอน 1. สงั เกตพืชในบริเวณบ้ำน 2. บนั ทึกลักษณะของพชื ทสี่ งั เกตได้ 3. จำแนกพืชเป็นกลมุ่ ตำมเกณฑท์ ี่กำหนด บนั ทกึ ผล พชื ใบ ลักษณะ ดอก เข็ม ขอบใบเรียบ ลาต้น มดี อก ตรง มดี อก มะม่วง ขอบใบเรยี บ มดี อก อัญชัน ขอบใบเรียบ ตรง มีดอก พทุ ธรักษำ ขอบใบเรียบ เลื้อย ตรง คาถามประกอบกจิ กรรม 1. พืชทีส่ ังเกตมีลักษณะเหมอื นหรอื แตกตำ่ งกนั พชื บำงชนิดมลี กั ษณะเหมอื นกันและพชื บำงชนิดมีลกั ษณะแตกตำ่ งกัน 2. ถำ้ นักเรียนต้องจำแนกพืชท่ีสังเกต นกั เรยี นจะใชเ้ กณฑ์อะไร และแบง่ เปน็ กีก่ ลุ่ม แนวคำตอบ ใชเ้ กณฑ์ลักษณะลำต้น โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คอื ลำต้นตรงและลำต้นเลื้อย

เฉลยใบกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ใบกจิ กรรมท่ี 2 เรอื่ ง การเปรียบเทียบต้นเฟินกับต้นมะลิ ช่ือ - สกุล ______________________________________ ช้นั ___________เลขที่______ ทกั ษะสรา้ งเสรมิ ความเข้าใจท่คี งทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจัดกระทำและส่อื ควำมหมำยข้อมูล 3. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มูลและกำรลงข้อสรุป อปุ กรณ์ 1 กระถำง 1. ต้นเฟิน 1 กระถำง 2. ตน้ มะลิ 1 อนั 3. แว่นขยำย ปัญหา ตน้ เฟนิ กบั ต้นมะลมิ ีลักษณะใดทแ่ี ตกต่ำงกนั ขั้นตอน 1. แบง่ กลุม่ นกั เรยี น กลมุ่ ละ 5 – 6 คน 2. แต่ละกลมุ่ นำกระถำงทปี่ ลกู ตน้ เฟินและต้นมะลิมำสังเกตลกั ษณะของรำก ลำต้น ใบ และดอก บนั ทกึ ผล 3. เปรียบเทยี บลักษณะของตน้ เฟนิ กับต้นมะลิ หมายเหตุ อำจใชต้ ้นผักแวน่ บวั บก หรอื ยำ่ นลเิ ภำ แทนต้นเฟนิ บนั ทกึ ผล ชนดิ พืช ต้นเฟนิ ต้นมะลิ ลักษณะ     รำก     ลำตน้ ใบ ดอก สรุป ตน้ เฟินกับตน้ มะลิมรี ำก ลำต้น และใบ แต่มีลักษณะของรำก ลำต้น และใบแตกต่ำงกนั ส่วนลักษณะท่แี ตกต่ำงกันมำกที่สดุ คอื ต้นเฟินไมม่ ีดอก ส่วนตน้ มะลิมดี อก

คาถามประกอบกิจกรรม 1. ตน้ เฟินกบั ตน้ มะลิมลี ักษณะใดที่แตกต่ำงกัน ลกั ษณะทีแ่ ตกต่ำงกนั คอื กำรมีดอก โดยต้นเฟินไม่มีดอก แตต่ ้นมะลิมดี อก 2. ถ้ำต้องกำรจำแนกประเภทของตน้ เฟนิ กบั ตน้ มะลิจะใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ ใชก้ ำรมดี อกเปน็ เกณฑ์ 3. เกณฑ์ทกี่ ำหนดในขอ้ 2 เหมำะสมเพรำะอะไร เพรำะกำรมดี อกเปน็ ลักษณะทส่ี งั เกตไดง้ ำ่ ยและมีควำมแตกตำ่ งชัดเจนที่สดุ

เฉลยใบกจิ กรรมวิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 กจิ กรรมเสรมิ การเรียนรทู้ ี่ 2 เร่อื ง เปรียบเทยี บจานวนใบเล้ียงของพชื ใบเลยี้ งเดยี่ วและพชื ใบเล้ียงคู่ ชื่อ - สกุล ______________________________________ ชัน้ ___________เลขที่______ ทกั ษะสรา้ งเสรมิ ความเข้าใจทคี่ งทน 1. กำรสงั เกต 2. กำรลงควำมคดิ เหน็ ข้อมลู 3. กำรจดั กระทำและส่ือควำมหมำยขอ้ มูล อุปกรณ์ 1. เมล็ดถ่วั เขยี ว 5 เมลด็ 2. เมลด็ ข้ำวโพด 5 เมลด็ 3. แกว้ ใสน่ ้ำ 1 ใบ 4. กระถำงพร้อมดิน 2 ใบ 5. บวั รดนำ้ ขนำดเล็ก 1 ใบ ข้นั ตอน 1. แบง่ กล่มุ นกั เรยี น กลุม่ ละ 5 – 6 คน 2. แตล่ ะกลุ่มสังเกตลักษณะของเมล็ดถว่ั เขยี วและเมล็ดข้ำวโพด 3. นำเมลด็ ถัว่ เขยี วและเมล็ดขำ้ วโพดแชน่ ำ้ ไว้ 1 คืน 4. นำเมลด็ ถว่ั เขยี วและเมล็ดขำ้ วโพดปลูกลงในกระถำงใบที่ 1 และใบที่ 2 ตำมลำดับ รดน้ำท้ัง 2 กระถำงทุก วัน 5. สงั เกตจำนวนใบเล้ยี งและรำกทงี่ อกจำกเมลด็ ของพชื ทัง้ 2 ชนิด บันทกึ ผล คาถามประกอบกิจกรรม 1. เมลด็ ถว่ั เขยี วและเมล็ดขำ้ วโพดแตกตำ่ งกนั ลักษณะใด เมล็ดถั่วเขียวแบ่งไดเ้ ป็น 2 ซีก สว่ นเมล็ดข้ำวโพดเป็นเมล็ดเดยี่ ว 2. ใบเล้ยี งทง่ี อกจำกเมล็ดถ่วั เขียวและเมลด็ ขำ้ วโพดมีลกั ษณะใด ใบเลย้ี งของเมล็ดถว่ั เขียวมี 2 ใบ สว่ นใบเลยี้ งของเมล็ดข้ำวโพดมี 1 ใบ 3. รำกทงี่ อกจำกเมล็ดถ่วั เขยี วและเมลด็ ขำ้ วโพดมีลกั ษณะใด รำกของเมล็ดถั่วเขยี วมขี นำดใหญแ่ ละมรี ำกขนำดเลก็ แตกออกจำกรำกขนำดใหญ่ สว่ นรำกของเมล็ดข้ำวโพดมี ขนำดเล็กจำนวนมำกงอกจำกเมลด็

เฉลยใบกิจกรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ใบกจิ กรรมท่ี 3 เร่อื ง พชื ใกลต้ ัว ชื่อ - สกุล ______________________________________ ชัน้ ___________เลขท่ี______ ทักษะสร้างเสริมความเขา้ ใจทค่ี งทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจำแนกประเภท 3. กำรจดั กระทำและสอ่ื ควำมหมำยข้อมูล 4. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มูลและกำรลงข้อสรปุ แหล่งเรียนร้/ู อปุ กรณ์ 1. บริเวณโรงเรียน 2. แวน่ ขยำย 1 อัน 3. สีไม้ 1 กล่อง 4. กระดำษ 1 แผ่น ปัญหา พชื ทอ่ี ยใู่ กล้ตัวเรำเป็นพชื ใบเลยี้ งเด่ยี วหรือพชื ใบเลีย้ งคู่ ข้นั ตอน 1. แบ่งกล่มุ นักเรยี น กลมุ่ ละ 5 – 6 คน 2. ออกสำรวจใบของพืชบริเวณโรงเรียน 3. บนั ทึกผลกำรสำรวจและวำดรปู ใบของพชื ท่ีสำรวจได้ ระบชุ อื่ ตน้ ไม้ จำแนกเปน็ พชื ใบเลย้ี งเดย่ี วหรือพืชใบเลี้ยงคู่ บันทกึ ผล ชื่อ ตำลงึ ประเภท พืชใบเล้ยี งคู่ . ช่อื พทุ ธรกั ษำ ประเภท พชื ใบเลย้ี งเดย่ี ว . ช่อื โพ ประเภท พชื ใบเล้ยี งคู่ . ชอื่ ไผ่ ประเภท พชื ใบเล้ียงเดี่ยว .

สรุป ใบของพชื แต่ละชนิดมีขนำด รูปร่ำง และกำรเรียงตวั ของเสน้ ใบแตกต่ำงกัน โดยลกั ษณะที่แตกตำ่ งกนั ชัดเจน คอื พชื ใบเล้ียงเดี่ยวมเี ส้นใบขนำน ส่วนพืชใบเลยี้ งคมู่ ีเสน้ ใบแบบร่ำงแห คาถามประกอบกิจกรรม 1. นักเรยี นใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ในกำรจำแนกพชื เป็นพืชใบเลี้ยงเดยี่ วและพชื ใบเลี้ยงคู่ กำรเรยี งตัวของเสน้ ใบ 2. พชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและพืชใบเลย้ี งคู่มีลักษณะใบแตกต่ำงกันอยำ่ งไร พืชใบเล้ียงเด่ียวมเี สน้ ใบขนำน ส่วนพืชใบเล้ียงคู่มีเส้นใบแบบรำ่ งแห 3. ยกตัวอย่ำงพืชใบเล้ียงเดี่ยวและใบเลย้ี งคมู่ ำอย่ำงละ 3 ชนิด แนวคำตอบ พืชใบเลีย้ งเดี่ยว เช่น พุทธรกั ษำ ไผ่ และกล้วย พืชใบเลย้ี งคู่ เช่น ตำลึง โพ และมะนำว

เฉลยใบกิจกรรมวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ใบงานสังเกตก่อนเรยี น 3 เร่อื ง ส่วนประกอบของพชื ช่ือ - สกุล ______________________________________ ช้ัน___________เลขท่ี______ จุดประสงค์ สงั เกตส่วนประกอบของพืชได้ ข้นั ตอน 1. สังเกตพืชในบริเวณบ้ำน 2. บันทึกสว่ นประกอบของพชื บันทกึ ผล พืช ราก ส่วนประกอบ ดอก ผล ลาตน้ ใบ มะม่วง    แตงโม     ตำลึง     มะพร้ำว      คาถามประกอบกิจกรรม 1. นกั เรียนรู้จักพชื ชนิดใดบำ้ ง แนวคำตอบ มะมว่ ง แตงโม ตำลึง และมะพรำ้ ว 2. พชื มสี ว่ นประกอบทส่ี ำคัญอะไรบำ้ ง รำก ลำต้น ใบ ดอก และผล

เฉลยใบกิจกรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ใบกิจกรรมท่ี 4 เรอื่ ง การลาเลียงนา้ และแร่ธาตุของพชื ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชั้น___________เลขท่ี______ ทกั ษะสรา้ งเสรมิ ความเขา้ ใจที่คงทน 1. กำรสังเกต 2. กำรทดลอง 3. กำรจดั กระทำและส่ือควำมหมำยขอ้ มูล 4. กำรตีควำมหมำยข้อมูลและกำรลงข้อสรปุ อปุ กรณ์ 1. ตน้ เทยี น 1 ตน้ 2. แกว้ น้ำ 1 ใบ 3. น้ำสีแดง (สีผสมอำหำร) 1 แก้ว 4. มีด 1 เลม่ 5. แวน่ ขยำย 1 อัน 6. กระจกสไลด์ 2 แผน่ 7. นำฬิกำจบั เวลำ 1 เรือน 8. สไี ม้ 1 กล่อง ขนั้ ตอนการทดลอง ปญั หา พืชมีเน้ือเย่ือทใ่ี ช้ในกำรลำเลยี งน้ำและแร่ธำตุหรอื ไม่ กาหนดสมมตุ ฐิ าน เม่อื แชต่ ้นเทียนในน้ำสีแดงนำ่ จะเหน็ สีแดงปรำกฏในต้นเทียน ทดลอง 1. ใสน่ ้ำสีแดง (สีผสมอำหำร) ลงในแกว้ ทเ่ี ตรยี มไวป้ ระมำณ 3 แก้ว 4 2. ใส่ตน้ เทยี นทีม่ ีรำกติดอยู่ (ซึ่งไดล้ ำ้ งน้ำให้สะอำดแล้ว) ลงไปในแก้วที่มนี ้ำสีแดง จำกนั้นต้ังทิ้งไวป้ ระมำณ 30 นำที 3. สงั เกตและบนั ทึกกำรเปลยี่ นแปลงทเี่ กิดข้ึนกบั ตน้ เทยี น 4. ใช้มีดตัดลำตน้ ของต้นเทียนตำมแนวขวำง (ก) หลังจำกน้ันเฉือนเป็นแผ่นบำงๆ วำงบนกระจกสไลด์แล้วใช้ แว่นขยำยส่องดู สังเกตลักษณะของลำตน้ และวำดรูป 5. ใชม้ ดี ตดั ลำต้นของต้นเทยี นตำมยำว (ข) แลว้ ใชแ้ ว่นขยำยส่องดู สังเกตลกั ษณะของลำตน้ และวำดรูป

บนั ทกึ ผล รปู วาดลาต้นของต้นเทียน การเปลี่ยนแปลงทเ่ี กิดขน้ึ เม่อื แช่ต้นพชื ลงในน้าสแี ดง ตามแนวขวาง ตามแนวยาว รำกเร่มิ มีสแี ดงในระยะแรก หลงั จำกนนั้ ส่วนของลำตน้ กงิ่ ก้ำน และเสน้ ใบมี สแี ดงตำมลำดับ แปลความหมายขอ้ มลู รำกดูดซบั นำ้ และลำเลียงไปยังส่วนตำ่ ง ๆ ของตน้ เทยี นผ่ำนทอ่ ลำเลยี ง สังเกตไดจ้ ำกทอ่ ลำเลยี งในลำต้นทีม่ ีสี แดงหลังจำกนำตน้ เทียนไปแชใ่ นน้ำสแี ดง สรปุ พืชมีท่อลำเลียงทใ่ี ช้ในกำรลำเลยี งน้ำและแร่ธำตุ โดยรำกเป็นสว่ นที่เรม่ิ ลำเลียง แล้วส่งตอ่ ไปยงั ลำต้น กงิ่ กำ้ น และเส้นใบ ตำมลำดับ คาถามประกอบกจิ กรรม 1. ตน้ เทียนเกดิ กำรเปลยี่ นแปลงลักษณะใด รำกของต้นเทียนมีสีแดงกอ่ น จำกน้นั ลำต้น ก่ิง ก้ำน และเสน้ ใบจงึ มีสีแดงตำมลำดับ 2. นักเรียนสังเกตเหน็ อะไรบ้ำง เมื่อใช้แว่นขยำยส่องดูลำตน้ ทต่ี ดั ตำมแนวขวำงและแนวยำว เมอ่ื ใชแ้ ว่นขยำยส่องดลู ำตน้ ที่ตัดตำมแนวขวำงจะสงั เกตเหน็ กลุม่ สีแดงอยรู่ อบลำตน้ เม่ือใช้แวน่ ขยำยสอ่ งดูลำ ตน้ ท่ตี ดั ตำมแนวยำวจะสงั เกตเห็นทอ่ ยำวสแี ดงอย่ทู ำงด้ำนขำ้ งของลำตน้ 3. นักเรียนสำมำรถสรปุ ทิศทำงกำรลำเลียงนำ้ และแรธ่ ำตขุ องพชื ไดห้ รอื ไม่ และสังเกตจำกอะไร ได้ โดยกำรลำเลียงนำ้ และแรธ่ ำตขุ องพืชมที ิศทำงจำกรำกไปยังลำต้นและส่วนต่ำง ๆ ของพืช โดยสังเกตจำก กำรเคลื่อนท่ขี องน้ำสีแดงท่เี คลือ่ นที่จำกรำกไปยงั ลำต้น กิ่ง กำ้ น และเส้นใบ ตำมลำดับ

เฉลยใบกิจกรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 กจิ กรรมเสรมิ การเรียนรูท้ ่ี 3 เรื่อง การลาเลยี งนา้ และแร่ธาตุของพืช ชื่อ - สกุล ______________________________________ ช้นั ___________เลขที่______ ทกั ษะสรา้ งเสริมความเข้าใจที่คงทน 1. กำรสงั เกต 2. กำรจดั กระทำและส่ือควำมหมำยขอ้ มูล 3. กำรตีควำมหมำยข้อมลู และกำรลงขอ้ สรุป อุปกรณ์ 1. ดอกไมส้ ีขำว 3 ดอก 2. ขวดปำกกวำ้ ง 3 ใบ 3. สผี สมอำหำรสแี ดงสีมว่ ง และสีฟำ้ สีละ 1 ขวด 4. กรรไกรตัดก่ิง 1 เลม่ 5. หลอดหยด 3 อัน ขั้นตอนการทดลอง 1. เติมน้ำลงในขวด 3 ใบท่ีเตรียมไว้จนเกือบเต็ม แล้วหยดสีผสมอำหำรสีแดง สีม่วง และสีฟ้ำ ขวดละ 1 สี ประมำณขวดละ 3 – 4 หยด 2. ใชก้ รรไกรตดั ปลำยกำ้ นดอกไม้สขี ำว 3 ดอก แลว้ นำไปแช่ในขวดน้ำผสมสีขวดละ 1 ดอก 3. ตง้ั ดอกไม้ไว้ 1 คนื สังเกตกำรเปลีย่ นแปลงของสดี อกไมแ้ ละบนั ทกึ ผล แชก่ ้ำนดอกไม้ในนำ้ สีดอกละ 1 สี คาถามประกอบกิจกรรม 1. ถำ้ ไม่มีดอกไมส้ ขี ำว นักเรยี นจะใชด้ อกไม้สีใดแทน เพรำะอะไร ดอกไมท้ ม่ี ีสอี อ่ น เพรำะจะได้เหน็ กำรเปลย่ี นแปลงทชี่ ัดเจน 2. ดอกไมข้ องนกั เรียนมีกำรเปลยี่ นแปลงสหี รอื ไม่ เพรำะอะไร เปลย่ี นแปลง เพรำะทอ่ ลำเลยี งน้ำในกำ้ นดอกลำเลยี งน้ำสขี น้ึ สสู่ ว่ นของดอกที่อย่ดู ำ้ นบน 3. นักเรียนไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจำกกำรทำกิจกรรมนี้ แนวคำตอบ นำควำมร้เู รอ่ื งกำรลำเลยี งน้ำและแร่ธำตุมำใช้ยอ้ มสีดอกไม้ตำมทตี่ ้องกำร

เฉลยใบกิจกรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ใบกิจกรรมที่ 5 เร่ือง การคายนา้ ของพืช ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชนั้ ___________เลขที่______ ทักษะสรา้ งเสรมิ ความเข้าใจท่คี งทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจดั กระทำและสื่อควำมหมำยข้อมูล 3. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรุป อปุ กรณ์ 1 ตน้ 1. ต้นไม้ที่ปลูกในกระถำง 2 ใบ 2. ถุงพลำสติกใสขนำด 20 × 30 ซม. 2 เส้น 3. เชอื กยำวประมำณ 25 ซม. 1 ถว้ ย 4. น้ำ 1 เรือน 5. นำฬิกำจบั เวลำ ปัญหา พืชกำจดั นำ้ สว่ นเกินดว้ ยวิธีใด ขน้ั ตอนการทดลอง 1. นำตน้ ไมท้ ่ปี ลูกในกระถำงมำ 1 ตน้ แล้วทำกำรเดด็ ใบออกจำกก่ิงไม้ 1 กิง่ 2. นำถงุ พลำสตกิ ใสทแี่ ห้งครอบกงิ่ ไม้ท่ีมีใบ และอีกใบหนึ่งครอบกงิ่ ไม้ทเ่ี ดด็ ใบออกและผูกรวบถุงพลำสตกิ ใสแต่ ละใบด้วยเชือกบรเิ วณโคนใหแ้ น่น 3. รดนำ้ ตน้ ไมเ้ ล็กน้อยแลว้ นำกระถำงวำงไวก้ ลำงแดดเป็นเวลำ 30 นำที 4. วำดรูปทส่ี งั เกตไดเ้ ม่อื เร่มิ วำงกระถำงไว้กลำงแดด 5. สังเกตกำรเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขน้ึ ภำยในถุงพลำสตกิ ใสทกุ ๆ 10 นำที และวำดรปู

บันทึกผล รปู วาดจากการสังเกต (นาทที )ี่ กิ่งไม้ 0 10 20 30 มีใบ เด็ดใบออก สรุป พชื มกี ำรกำจดั นำ้ ออกทำงใบเป็นหลักและมีกำรกำจัดนำ้ ออกทำงก่ิงเลก็ น้อย คาถามประกอบกิจกรรม 1. กำรเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขน้ึ แสดงถงึ กำรกำจัดนำ้ ของพืชไดห้ รอื ไม่ สงั เกตจำกอะไร ได้ โดยสังเกตจำกกำรเกิดไอนำ้ บนถุงทคี่ ลมุ กิ่งไม้ ซึง่ แสดงถึงกำรลำเลียงนำ้ ผ่ำนกงิ่ ไม้และถกู กำจัดออก 2. จำกกำรปฏบิ ตั กิ ิจกรรม สรุปได้ว่ำพืชกำจัดน้ำทำงใด สังเกตจำกอะไร พืชกำจัดนำ้ ออกมำกทำงใบและบำงสว่ นของก่งิ โดยสังเกตจำกกำรเกิดไอนำ้ บนถงุ ที่คลมุ กิ่งไม้ทีไ่ มไ่ ดเ้ ดด็ ใบมี มำกกวำ่ ไอน้ำท่ีเกดิ ข้ึนบนถงุ ทคี่ ลุมกง่ิ ไมท้ ี่ได้เด็ดใบ 3. กำรคำยนำ้ มคี วำมสมั พันธก์ บั กำรลำเลียงนำ้ และแร่ธำตุหรอื ไม่ ลักษณะใด กำรคำยนำ้ มีควำมสมั พันธก์ ับกำรลำเลียงน้ำและแร่ธำตุ โดยเมอ่ื พืชคำยน้ำ พชื ต้องดูดซับนำ้ เขำ้ สู่ลำตน้ ใหมจ่ ำก ดำ้ นลำ่ งขน้ึ สู่ดำ้ นบนเพื่อทดแทนนำ้ ที่สญู เสยี ไป

เฉลยใบกจิ กรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ใบกจิ กรรมท่ี 6 เร่ือง คลอโรฟิลล์จาเป็นต่อการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื ชื่อ - สกุล ______________________________________ ช้นั ___________เลขที่______ ทักษะสรา้ งเสรมิ ความเขา้ ใจท่ีคงทน 5 กรมั 1. กำรสงั เกต 1 ใบ 2. กำรทดลอง 3 ใบ 3. กำรจัดกระทำและสอ่ื ควำมหมำยข้อมูล 1 กลอ่ ง 4. กำรตีควำมหมำยขอ้ มูลและกำรลงขอ้ สรุป 2 ใบ 1 หลอด อปุ กรณ์ 1 ชุด 1. แป้งชนดิ ต่ำงๆ เชน่ แปง้ มัน หรือแปง้ ขำ้ วเจ้ำ 1 กลอ่ ง 2. จำนหลุม 1 อัน 3. ใบดำ่ ง เชน่ ชบำดำ่ ง ใบเงนิ หรือใบทอง 1 ใบ 4. สเี ทยี น/สไี ม้ 1 อัน 5. บีกเกอร์ขนำด 250 ลบ.ซม. 50 มล. 6. หลอดทดลองขนำดใหญ่ 1 ขวด 7. ตะเกยี งแอลกอฮอลพ์ รอ้ มท่กี ั้นลมและตะแกรงลวด 1 ลิตร 8. ไม้ขดี ไฟ 9. ปำกคีบ 10. จำนแกว้ 11. หลอดหยด 12. เอทำนอล 13. สำรละลำยไอโอดีนเขม้ ข้น 1% 14. น้ำกลั่น ขนั้ ตอนการทดลอง ปญั หา บรเิ วณใบที่ไมม่ ีคลอโรฟลิ ล์จะเกิดกำรสังเครำะหด์ ้วยแสงหรือไม่ กาหนดสมมุติฐาน เม่ือหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนสว่ นของใบท่ีมสี ีเขียวสขี องใบน่ำจะเปลีย่ นแปลงแต่สว่ นท่เี ปน็ รอยดำ่ งไม่นำ่ จะ เปล่ยี นแปลง

ทดลอง 1. ใสแ่ ป้งจำนวนเลก็ น้อยลงในจำนหลมุ 3 ชอ่ ง แล้วหยดสำรละลำยไอโอดีน สังเกตและบันทึกผล 2. นำใบดำ่ งมำวำดรูปและระบำยสตี ำมท่เี หน็ จรงิ 3. เทน้ำกล่ันลงในบกี เกอร์ท่เี ตรียมไว้ประมำณ 1 ของบกี เกอร์ ต้มจนเดือดแล้วจึงใสใ่ บดำ่ ง ต้มต่อประมำณ 2 3 – 4 นำที 4. นำใบทตี่ ม้ แลว้ ใสใ่ นหลอดทดลองทบ่ี รรจุเอทำนอล จำกน้นั นำไปใส่ในบกี เกอรอ์ ีกใบท่ีบรรจุน้ำเดือด ตม้ จนกวำ่ ใบจะซีดเปน็ สีขำว 5. นำใบท่ีตม้ จนซดี ขำวแล้วมำล้ำงนำ้ สะอำดและวำงบนจำนแกว้ คลใ่ี บออก ใช้หลอดหยดดดู สำรละลำย ไอโอดนี แลว้ หยดลงบนใบให้ทว่ั ทิง้ ไวส้ กั ครู่ วำดรูปและระบำยสกี ำรเปลยี่ นแปลง บันทกึ ผล กำรหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแป้ง สำรละลำยไอโอดีนเปลีย่ นสีจำกสนี ำ้ ตำลเป็นสีนำ้ เงนิ ชอื่ พืช รปู วาดลกั ษณะของใบดา่ ง กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง ชบำด่ำง แปลความหมายขอ้ มูล เมอ่ื หยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแป้ง สำรละลำยไอโอดีนเปล่ียนสจี ำกสนี ้ำตำลเป็นสีนำ้ เงิน เมอ่ื หยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนใบ สำรละลำยไอโอดีนเปลย่ี นสจี ำกสนี ำ้ ตำลเป็นสนี ้ำเงิน เฉพำะบรเิ วณท่ีเคยมสี ีเขียวแสดงว่ำบรเิ วณที่เคยมีสีเขียวมกี ำรสร้ำงอำหำร สรปุ ใบของพืชบริเวณที่มีคลอโรฟลิ ลเ์ กิดกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง ส่วนบริเวณใบทไี่ ม่มีคลอโรฟลิ ล์ไม่ เกดิ กำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสง

คาถามประกอบกจิ กรรม 1. เม่ือหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแปง้ เกดิ กำรเปลีย่ นแปลงลกั ษณะใด สำรละลำยไอโอดนี เปลย่ี นสจี ำกสีน้ำตำลเป็นสีน้ำเงนิ 2. เม่อื หยดสำรละลำยไอโอดนี ลงบนใบดำ่ งเกดิ กำรเปลย่ี นแปลงลักษณะใด บรเิ วณใบที่เคยมีสเี ขยี ว สำรละลำยไอโอดนี เปลย่ี นสจี ำกสนี ำ้ ตำลเป็นสีน้ำเงิน 3. คลอโรฟลิ ลเ์ ป็นปจั จยั ในกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงหรือไม่ สงั เกตจำกอะไร คลอโรฟลิ ล์เป็นปัจจัยในกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง โดยสังเกตจำกกำรเปลีย่ นสีของสำรละลำย ไอโอดีน เมอื่ หยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแปง้ สำรละลำยไอโอดนี เปลี่ยนสีจำกสีนำ้ ตำลเปน็ สีน้ำเงินเหมือนกับ กำรหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนใบ ซง่ึ สำรละลำยไอโอดนี ก็เปลี่ยนสจี ำกสีน้ำตำล เป็นสีน้ำเงินในส่วนของใบที่ มีคลอโรฟิลล์

เฉลยใบกิจกรรมวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ใบกจิ กรรมท่ี 7 เร่อื ง แสงจาเป็นตอ่ การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชน้ั ___________เลขที่______ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่คี งทน 1 ต้น 1. กำรสังเกต 1 แผ่น 2. กำรทดลอง 5 กรมั 3. กำรจัดกระทำและส่อื ควำมหมำยข้อมูล 1 ใบ 4. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรุป 1 กล่อง 2 ใบ อปุ กรณ์ 1 หลอด 1. ตน้ ไม้ในกระถำง 1 ชุด 2. กระดำษสีดำ 1 กลอ่ ง 3. แปง้ ชนิดตำ่ งๆ เชน่ แป้งมนั หรอื แป้งขำ้ วเจำ้ 1 อัน 4. จำนหลมุ 1 ใบ 5. สีเทยี น/สีไม้ 1 อัน 6. บกี เกอร์ขนำด 250 ลบ.ซม. 1 ม้วน 7. หลอดทดลองขนำดใหญ่ 1 เลม่ 8. ตะเกยี งแอลกอฮอลพ์ รอ้ มทีก่ นั้ ลมและตะแกรงลวด 50 มล. 9. ไม้ขดี ไฟ 1 ขวด 10. ปำกคีบ 11. จำนแกว้ 1 ลติ ร 12. หลอดหยด 13. เทปใส 14. กรรไกร 15. เอทำนอล 16. สำรละลำยไอโอดีนเข้มขน้ 1% 17. นำ้ กลนั่ ข้นั ตอนการทดลอง ปัญหา พชื จะเกิดกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงหรอื ไม่ ถำ้ ไม่ได้รบั แสง

กาหนดสมมตุ ฐิ าน เมอื่ หยดสำรละลำยไอโอดนี ลงบนใบ ส่วนท่ถี กู ปิดด้วยกระดำษสีดำน่ำจะไมเ่ กิดกำรเปลี่ยนแปลงและส่วนที่ไมไ่ ด้ ถกู ปดิ ด้วยกระดำษสดี ำน่ำจะเกดิ กำรเปลยี่ นแปลง ทดลอง 1. ใส่แปง้ จำนวนเล็กน้อยลงในจำนหลุม 3 ช่อง แลว้ หยดสำรละลำยไอโอดนี สังเกตและบันทกึ ผล 2. นำใบมำวำดรูปและระบำยสตี ำมทเี่ หน็ จรงิ 3. ตดั กระดำษสีดำเป็นรูปสเ่ี หล่ยี มผืนผ้ำ 1 แผ่น กว้ำง 1.5 เซนตเิ มตร และควำมยำวให้พนั รอบใบได้ 4. ตดิ กระดำษสีดำเข้ำกับใบ 3 ใบ ดงั รูป ให้กระดำษแนบกับใบใหส้ นิท รดน้ำแลว้ จงึ นำตน้ ไม้ไปรับแสงแดดเปน็ เวลำ 3 ช่ัวโมง 5. เทนำ้ กล่นั ลงในบีกเกอรท์ ี่เตรยี มไวป้ ระมำณ 1 ของบีกเกอร์ ต้มจนเดือดแล้วจึงใส่ใบท่แี กะกระดำษสดี ำออก 2 แลว้ ตม้ ต่อประมำณ 3 – 4 นำที 6. นำใบท่ตี ม้ แลว้ ใสใ่ นหลอดทดลองท่บี รรจเุ อทำนอล จำกน้ันนำไปใสใ่ นบีกเกอรอ์ กี ใบท่ีบรรจุน้ำเดือด ตม้ จนกว่ำใบไม้จะซีดเปน็ สีขำว 7. นำใบไม้ทีต่ ้มจนซีดขำวแลว้ มำล้ำงนำ้ สะอำดและวำงบนจำนแกว้ คลใ่ี บออก ใชห้ ลอดหยดดูดสำรละลำย ไอโอดนี แลว้ หยดลงบนใบให้ท่ัว ท้ิงไว้สกั ครู่ วำดรูปและระบำยสีกำรเปล่ียนแปลง บนั ทึกผล กำรหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแปง้ สำรละลำยไอโอดีนเปลย่ี นสีจำกสีน้ำตำลเป็นสีนำ้ เงนิ รูปวาดลกั ษณะใบพชื กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง

แปลความหมายขอ้ มูล เมอ่ื หยดสำรละลำยไอโอดนี ลงบนแปง้ สำรละลำยไอโอดนี เปลี่ยนสีจำกสนี ้ำตำลเปน็ สีน้ำเงนิ เมื่อหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนใบ สำรละลำยไอโอดนี เปลยี่ นสีจำกสนี ้ำตำลเปน็ สนี ้ำเงิน เฉพำะบรเิ วณทีไ่ ม่ถกู ปดิ ดว้ ยกระดำษสีดำ แสดงวำ่ บริเวณใบทีไ่ ดร้ บั แสงแดดมกี ำรสรำ้ งอำหำร สรุป พืชทไ่ี ดร้ บั แสงอำทิตย์จะเกิดกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง ส่วนพืชที่ไม่ได้รบั แสงอำทิตย์จะไม่เกดิ กำรสังเครำะห์ดว้ ย แสง คาถามประกอบกจิ กรรม 1. เม่อื หยดสำรละลำยไอโอดีนลงบนแปง้ เกิดกำรเปลี่ยนแปลงลักษณะใด สำรละลำยไอโอดีนเปล่ยี นสีจำกสีน้ำตำลเปน็ สนี ้ำเงิน 2. ส่วนใดของใบที่เกิดกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง สงั เกตจำกอะไร สว่ นที่ไมถ่ กู ปดิ ด้วยกระดำษสดี ำเกดิ กำรสังเครำะหด์ ้วยแสง สงั เกตจำกเม่ือหยดสำรละลำยไอโอดนี ลงบนใบ บริเวณท่ีไมถ่ ูกปดิ ดว้ ยกระดำษสีดำ สำรละลำยไอโอดนี เปลีย่ นสีจำกสีน้ำตำลเปน็ สีน้ำเงนิ เหมือนกบั กำรหยด สำรละลำยไอโอดีนลงบนแป้ง 3. แสงเปน็ ปัจจัยในกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงหรอื ไม่ สังเกตจำกอะไร แสงเปน็ ปจั จัยในกำรสงั เครำะหด์ ว้ ยแสง โดยสงั เกตจำกกำรเปลย่ี นสขี องสำรละลำยไอโอดนี เม่อื หยดสำรละลำย ไอโอดีนลงบนแป้ง สำรละลำยไอโอดีนเปลยี่ นสีจำกสีนำ้ ตำลเปน็ สีนำ้ เงนิ เหมือนกบั กำรหยดสำรละลำยไอโอดีนลงบน ใบ ซง่ึ สำรละลำยไอโอดนี กเ็ ปลย่ี นสจี ำกสนี ำ้ ตำลเป็นสนี ้ำเงินเฉพำะสว่ นของใบทไี่ ม่ถกู ปดิ ด้วยกระดำษสีดำ

เฉลยใบกิจกรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ใบกจิ กรรมท่ี 8 เรื่อง ส่วนประกอบของดอก ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชนั้ ___________เลขที่______ ทกั ษะสร้างเสรมิ ความเขา้ ใจท่ีคงทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจัดกระทำและส่ือควำมหมำยขอ้ มูล 3. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรปุ อปุ กรณ์ 1. ดอกของพืชทีส่ นใจตวั อย่ำงละ 1 ดอก 2. แวน่ ขยำย 1 อัน ขั้นตอนการทดลอง ปัญหา ดอกของพชื แตล่ ะชนิดมีส่วนประกอบทเี่ หมอื นหรือแตกตำ่ งกนั ขน้ั ตอน 1. แบง่ กล่มุ นกั เรียน กลมุ่ ละ 5 – 6 คน 2. สมำชิกแต่ละคนชว่ ยกนั นำดอกของพชื มำสังเกตส่วนประกอบ 3. สังเกตลักษณะของกลบี เลย้ี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี ของแต่ละดอก บนั ทกึ ข้อมูล บันทกึ ผล ลักกษณะ กลีบเลีย้ ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ช่อื พชื ยอดสเี หลือง 5 กลบี 5 กลีบ กำ้ นยำว อยูต่ รงกลำง ชบำ สเี ขียว สแี ดง มสี ีเหลือง อยดู่ ำ้ นข้ำง กลมสั้น 1 อัน กุหลำบ 5 กลบี จำนวนมำก กำ้ นสนั้ สีเขยี ว สีชมพู มีสเี หลืองจำนวน มำก มะละกอ 5 กลบี 5 กลีบ ไมม่ ี กลมสั้น 1 อนั สีเขยี ว สีขำว

สรุป ดอกของพืชแต่ละชนิดมีสี รูปร่ำง และจำนวนของกลบี เลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี แตกต่ำงกนั คาถามประกอบกิจกรรม 1. พชื ท่นี ำมำสงั เกตมีสว่ นประกอบของดอกครบทุกสว่ นหรือไม่ พชื ทน่ี ำมำสังเกตมีส่วนประกอบของดอกไม่ครบทกุ สว่ น โดยดอกมะละกอไม่มีเกสรเพศผู้และดอกตำลงึ ไม่มี เกสรเพศเมยี 2. ดอกของพืชทุกชนดิ ต้องมีสว่ นประกอบครบทง้ั 4 สว่ นหรือไม่ ดอกของพืชทุกชนดิ ไม่ต้องมสี ่วนประกอบครบทั้ง 4 ส่วน 3. พืชที่นำมำสงั เกตจำแนกไดเ้ ปน็ กี่กลุ่ม โดยใชเ้ กณฑ์ใด แนวคำตอบ พชื ทน่ี ำมำสังเกตจำแนกไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม ไดแ้ ก่ พชื ครบสว่ น คือ ชบำและกุหลำบ และพชื ไม่ครบสว่ น คือ มะละกอและตำลงึ โดยใชก้ ำรมีสว่ นประกอบของดอกครบสว่ นเป็นเกณฑ์

เฉลยใบกจิ กรรมวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ใบกิจกรรมที่ 9 เรอื่ ง เปรียบเทียบโครงร่างสตั วม์ กี ระดูกสันหลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ชื่อ - สกุล ______________________________________ ช้ัน___________เลขที่______ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจท่คี งทน 1. กำรสงั เกต 2. กำรจัดกระทำและสื่อควำมหมำยขอ้ มูล 3. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรปุ อุปกรณ์ 1. ปลำทู กงุ้ และหอยแมลงภู่ทน่ี งึ่ สุกแล้วชนิดละ 1 ตัว คู่ 2. ชอ้ นและส้อม 1 ใบ 3. ถำด 1 ข้ันตอนการทดลอง ปญั หา สตั ว์ชนิดใดบำ้ งมีโครงรำ่ งท่เี ปน็ แกนแข็งอยภู่ ำยในลำตัว ขน้ั ตอน 1. แบง่ กลมุ่ นกั เรยี น กลุ่มละ 5 – 6 คน 2. แต่ละกลุ่มนำปลำทู กุ้ง และหอยแมลงภู่ท่นี ่งึ สุกแล้ว มำอย่ำงละ 1 ตัว 3. ใชช้ อ้ นและส้อมเข่ียแยกเน้ือออกจำกโครงรำ่ งของสัตวท์ ีน่ ำมำสังเกต 4. สงั เกตเปรยี บเทียบโครงร่ำงและวเิ ครำะหว์ ำ่ เป็นสัตว์มีกระดกู สนั หลังหรอื สตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลัง บนั ทึกผล การสังเกตโครงรา่ งของสตั ว์ ประเภท สัตว์ ลักษณะโครงรา่ ง สัตวม์ กี ระดกู สนั หลัง ปลำทู มีโครงร่ำงแข็งภำยในลำตวั สัตว์ไม่มีกระดกู สันหลงั กุง้ มเี ปลือกแขง็ นอกลำตวั สตั ว์ไมม่ ีกระดูกสันหลัง หอยแมลงภู่ มีฝำแขง็ นอกลำตวั

สรปุ ปลำทูเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังโดยมีโครงร่ำงท่ีเป็นแกนแข็งอยู่ภำยในลำตัว กุ้งและหอยแมลงภู่เป็นสัตว์ไม่มี กระดูกสนั หลังโดยไมม่ ีโครงรำ่ งทเ่ี ป็นแกนแขง็ อยู่ภำยในลำตวั คาถามประกอบกจิ กรรม 1. สตั วท์ ี่นกั เรยี นนำมำสังเกตชนดิ ใดเป็นสัตว์มีกระดกู สนั หลังและชนดิ ใดเปน็ สัตวไ์ ม่มกี ระดูกสันหลังสังเกตจำกอะไร ปลำทูเป็นสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั สงั เกตจำกกำรมโี ครงร่ำงหรอื กระดกู เปน็ แกนแข็งภำยในลำตัว กงุ้ และหอยแมลงภูเ่ ปน็ สตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั สังเกตจำกกำรไม่มโี ครงร่ำงเปน็ แกนแขง็ ภำยในลำตัว 2. ยกตัวอย่ำงสัตว์มกี ระดกู สันหลังและสตั วไ์ ม่มกี ระดกู สนั หลงั ท่นี ักเรยี นรูจ้ ักมำอย่ำงละ 3 ชนิด แนวคำตอบ สัตวม์ ีกระดกู สนั หลงั ได้แก่ กบ ไก่ และแมว สัตวไ์ มม่ ีกระดกู สันหลัง ได้แก่ ผีเส้ือ ไสเ้ ดอื นดิน และหอย 3. นักเรียนไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจำกกำรปฏิบัตกิ จิ กรรมนี้ แนวคำตอบ สำมำรถจำแนกประเภทสตั วม์ กี ระดูกสันหลงั และสัตวไ์ มม่ กี ระดูกสันหลังได้

เฉลยใบกิจกรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ใบกจิ กรรมท่ี 10 เรือ่ ง ลักษณะของแมลง ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชนั้ ___________เลขท่ี______ ทกั ษะสร้างเสริมความเขา้ ใจที่คงทน 1. กำรสังเกต 2. กำรจดั กระทำและส่ือควำมหมำยขอ้ มูล 3. กำรตีควำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรุป อปุ กรณ์ 1. แมลงสตัฟฟ์ 1 กล่อง 2. นำ้ หวำน 1 ถว้ ย 3. แวน่ ขยำย 2 1 อัน 4. ขวดแกว้ 1 ใบ 5. สีเทยี น/สไี ม้ 1 กลอ่ ง ปัญหา แมลงจัดเปน็ สัตวม์ กี ระดูกสันหลังหรือไมม่ กี ระดูกสนั หลัง ข้ันตอน 1. แบง่ กลุม่ นักเรยี น กลมุ่ ละ 5 – 6 คน 2. นำตวั อยำ่ งแมลงสตฟั ฟ์ หรือลอ่ แมลงโดยใช้น้ำหวำนให้แมลงมำกนิ แล้วจับแมลงใส่ขวด 3. ใชแ้ ว่นขยำยสงั เกตลกั ษณะของแมลง บนั ทกึ และวำดรูปแสดงส่วนประกอบ ตวั อย่างแมลงสตัฟฟ์

บนั ทกึ ผล แมลง ลกั ษณะ แมลงวัน มขี ำ 6 ขำ ขำเป็นขอ้ ปล้อง หวั และอกเชือ่ มติดกัน และมีปกี สรปุ แมลงส่วนใหญม่ ลี ำตวั 3 ส่วน คือ หวั อก และท้อง มหี นวด 2 เส้น มขี ำ 6 ขำ ลักษณะเป็นขอ้ ปลอ้ ง คาถามประกอบกจิ กรรม 1. แมลงจดั เป็นสตั วป์ ระเภทใด (มหี รอื ไม่มกี ระดูกสนั หลัง) เป็นสตั วไ์ ม่มีกระดกู สันหลงั 2. บอกชื่อแมลงทน่ี กั เรียนรู้จักมำ 3 ชนดิ แนวคำตอบ ผ้งึ ผเี สอ้ื และแมลงปอ 3. นกั เรียนไดป้ ระโยชน์อะไรจำกกำรปฏบิ ัติกิจกรรมน้ี แนวคำตอบ รูจ้ ักลกั ษณะของแมลงชนดิ ต่ำงๆ มำกขนึ้

เฉลยใบกจิ กรรมวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 กิจกรรมเสรมิ การเรยี นรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง สัตวท์ ่อี ยใู่ กลต้ วั ช่ือ - สกุล ______________________________________ ชนั้ ___________เลขท่ี______ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจทีค่ งทน 1 เลม่ 1. กำรสงั เกต 1 แท่ง/ดำ้ ม 2. กำรจำแนกประเภท แหล่งเรยี นร/ู้ อุปกรณ์ 1. โรงเรียน บำ้ น หรอื สวนสำธำรณะ 2. สมดุ 3. ดนิ สอ/ปำกกำ ข้นั ตอน 1. แบง่ กลุ่มนกั เรยี น กลมุ่ ละ 5 – 6 คน ช่วยกันคดิ วำงแผน และปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ให้สมำชกิ ของกลุ่มออกสำรวจ สตั ว์ที่อย่บู ริเวณโรงเรียน บ้ำน หรอื สวนสำธำรณะ 2. สังเกตลกั ษณะเฉพำะของสตั ว์แตล่ ะชนดิ บนั ทึกข้อมลู 3. วิเครำะหแ์ ยกชนิดของสตั ว์เป็นสตั วม์ กี ระดกู สันหลังและสตั วไ์ ม่มกี ระดูกสันหลัง ร่วมกันอภิปรำยในกลมุ่ และ สรุปผล การสารวจสัตวบ์ รเิ วณโรงเรยี น

คาถามประกอบกจิ กรรม 1. กลมุ่ ของนักเรียนพบสัตว์ชนิดใดบ้ำง แนวคำตอบ นก ผเี ส้อื ปลำ และกบ 2. นักเรยี นจำแนกได้หรือไม่ว่ำสัตว์ชนดิ ใดมกี ระดกู สนั หลังและสตั วช์ นิดใดไม่มีกระดูกสนั หลงั สงั เกตจำกอะไร แยกแยะได้ โดยสงั เกตจำกกำรมีโครงรำ่ งท่ีเป็นแกนแขง็ ภำยในลำตวั และลกั ษณะของลำตัว 3. นักเรยี นไดป้ ระโยชน์อะไรจำกกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมนี้ แนวคำตอบ รูว้ ำ่ สัตวแ์ ตล่ ะชนดิ มีลักษณะแตกตำ่ งกัน บำงชนดิ มกี ระดูกสันหลัง บำงชนิดไม่มีกระดกู สนั หลัง

เฉลยใบกจิ กรรมวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ใบกิจกรรมท่ี 11 เรือ่ ง การตกของวัตถุ ช่ือ - สกุล ______________________________________ ช้ัน___________เลขท่ี______ ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจทีค่ งทน 1. กำรสงั เกต 2. กำรจดั กระทำและส่อื ควำมหมำยขอ้ มูล 3. กำรตคี วำมหมำยขอ้ มลู และกำรลงขอ้ สรุป อุปกรณ์ 1 ลูก 1. ลูกบอล 1 กอ้ น 2. ยำงลบ ปัญหา แรงดงึ ดูดของโลกจะดงึ ดูดใหว้ ัตถุตกลงสู่พนื้ เสมอหรอื ไม่ ขน้ั ตอน 1. ถือลูกบอลไว้ระดบั อก แล้วปล่อยลกู บอล สงั เกตกำรตกของลกู บอล บนั ทกึ ผลกำรสังเกต 2. กำยำงลบด้วยมอื ขวำ เหยยี ดแขนออกแล้วคว่ำมือ จำกนัน้ ปล่อยยำงลบ สงั เกตกำรตกของยำงลบ บนั ทึก ผลกำรสงั เกต บันทกึ ผล การสังเกต ผลการสงั เกต ลูกบอล ตกลงสพู่ ้นื ในแนวด่ิงและกระดอนหลำยครงั้ จงึ หยดุ นงิ่ บนพ้นื ยำงลบ ตกลงส่พู ื้นในแนวดิ่งและกระดอน 2 คร้งั จึงหยดุ นิง่ บนพนื้ สรุป แรงดงึ ดูดของโลกจะดงึ ดดู วัตถใุ หต้ กลงสพู่ ้นื โลกเสมอ

คาถามประกอบกจิ กรรม 1. ผลกำรสงั เกตลกู บอลและยำงลบเหมอื นหรือแตกต่ำงกนั ลกั ษณะใด ผลกำรสังเกตเหมือนกนั คอื เม่ือปลอ่ ยลกู บอลและยำงลบ ลกู บอลและยำงลบตกลงสู่พืน้ โลกเสมอ 2. ทศิ ทำงกำรเคลื่อนที่ของลูกบอลและยำงลบมีลักษณะใด ลูกบอลและยำงลบตกลงในแนวดิง่ มที ศิ สพู่ ื้นโลก 3. จำกกำรปฏิบตั ิกิจกรรมสรปุ วำ่ โลกมีแรงดงึ ดูดได้หรอื ไม่ สังเกตจำกอะไร สรปุ ไดว้ ่ำโลกมีแรงดึงดดู โดยสังเกตจำกกำรทเ่ี มื่อปลอ่ ยวตั ถุอสิ ระ วตั ถุตกลงสพู่ ้นื โลกเสมอ

เฉลยใบกจิ กรรมวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 กจิ กรรมเสรมิ การเรียนรูท้ ่ี 5 เรอ่ื ง วัตถุเคลือ่ นท่อี ย่างไร ชื่อ - สกุล ______________________________________ ชน้ั ___________เลขที่______ ทักษะสร้างเสรมิ ความเข้าใจทค่ี งทน 1. กำรสงั เกต 2. กำรคำดคะเน อุปกรณ์ 1 ใบ 1. ใบไม้ 1 ลกู 2. ลูกปงิ ปอง 1 ก้อน 3. ดินนำ้ มนั 1 เมล็ด 4. เมลด็ ถว่ั ขน้ั ตอน 1. แบ่งกลุ่มนักเรยี นเพ่อื สังเกตวัตถุชนิดต่ำงๆ 2. แตล่ ะกลุ่มคำดคะเนว่ำ ถ้ำกำวตั ถุดว้ ยมือขวำ เหยียดแขนออกแล้วคว่ำมอื จำกน้นั ปล่อยวัตถุ วัตถุจะมีกำร เคลอ่ื นที่ลกั ษณะใด 3. ปฏิบตั ิกิจกรรมโดยปล่อยวัตถคุ รัง้ ละ 1 ชนิด บันทึกผล คาถามประกอบกจิ กรรม 1. วัตถุแตล่ ะชนิดมีลกั ษณะกำรเคลอื่ นท่เี หมอื นหรือแตกต่ำงกันลักษณะใด วตั ถุแตล่ ะชนิดมีลกั ษณะกำรเคลอ่ื นทแี่ ตกต่ำงกัน โดยใบไมเ้ คล่อื นท่รี อ่ นไปทำงซ้ำยและขวำสลบั กนั ไปจนหยดุ เคลอื่ นทบ่ี นพน้ื ลกู ปิงปองและเมล็ดถัว่ ตกลงในแนวดิ่งและกระดอนขึ้นลงจนหยุดเคล่อื นท่บี นพน้ื ส่วนดินนำ้ มนั จะตก ลงในแนวดง่ิ สูพ่ น้ื และหยดุ เคลือ่ นทที่ นั ที 2. กำรเคลอ่ื นท่ีของวัตถุเกิดจำกแรงใด แรงโน้มถว่ งของโลก 3. จำกกำรปฏิบตั ิกิจกรรมสรุปไดว้ ำ่ อย่ำงไร เมอื่ ปลอ่ ยวัตถุจำกมือ วตั ถุทกุ ชนดิ จะตกลงสู่พ้ืนเสมอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook