Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเทคนิคการประเมินเพื่อการเรียนรู้

คู่มือเทคนิคการประเมินเพื่อการเรียนรู้

Published by Nipon Fauiboon, 2021-06-18 12:01:48

Description: คู่มือเทคนิคการประเมินเพื่อการเรียนรู้

Keywords: คู่มือเทคนิคการประเมินเพื่อการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ อุไร ซิรัมย์ นิสติ ปรญิ ญาเอกสาขาวิชาการวจิ ยั และประเมนิ ทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เอกสารประกอบการส่งเสรมิ นสิ ิตนักศึกษาครปู ฏิบัติเทคนิคประเมินเพ่อื การเรยี นรู้ ระหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

ก คำนำ การประเมินเพื่อการเรียนรขู้ องผู้เรียนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ท่ตี ้องใช้ผลการประเมินเพ่ือปรับปรุง การเรียนการสอน ซึ่งผ้ทู ี่เกี่ยวข้องกบั การทาการประเมินเพื่อการเรียนรู้ของผู้เรียน คือครูท้ังนีจ้ ากพระราชบัญญัติ สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กาหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูต้องมีใบประกอบวิชาชีพ และ ต้องผ่านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานศึกษา โดยนักศึกษาครูต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ตามหลักสูตรปริญญา และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์วิธีการ ซึ่งเงื่อนไข ที่คณะกรรมการคุรุสภากาหนด โดยกาหนดว่าการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาต้องสามารถ ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน แล้วสามารถจัดทารายงานผลการจัดการ เรียนรู้และการพัฒนาผู้เรียนได้ เอกสารคู่มือนี้จัดทามีวัตถุประสงค์ให้นิสิตนักศึกษาครูได้ศึกษาทาความเข้าใจ เพื่อเตรียมการก่อนการจัดแผนการเรียนรู้ อีกทั้งใชเ้ ป็นคู่มือในระหว่างที่จัดการเรยี นรู้และฝกึ ปฏิบตั ิในระหว่าง ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ผลของการปฏิบัติ จะนามาซึ่งการพัฒนาตนของนิสิตนักศึกษาครูและการพัฒนา ผ้เู รียนใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ เอกสารเทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ประกอบด้วยสาระสาคัญท้ังแนวคิดการประเมินตามหลักสูตร การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (AfL) การประเมินขณะการเรียนรู้ (AaL) และการประเมินผลการเรียนรู้ (AoL) อีกท้ังยังเสนอเทคนิคประเมิน เพ่ือการเรียนรู้ที่สาคัญในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับผู้เรียน ตลอดถึงตัวอย่างความสาคัญ ทค่ี รผู ู้สอนนาเทคนิคประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้มาดาเนินการควบคู่กบั การจดั การเรยี นรู้ การจัดทาเอกสารคู่มือเทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้สาหรับนิสิตนักศึกษาครูได้รับความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือ ให้คาแนะนาอย่างดีย่ิงจากท่านอาจารย์ รศ.ดร.พรทิพย์ ไชยโส ผศ.ดร.ทรงชัย อักษรคิด และ ผศ.ดร.พิกุล เอกวรางกูร ทาให้สาเร็จลุล่วงด้วยดีหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานิสิตนักศึกษาครูนาเทคนิค ประเมิ นเพ่ือการเรียนรู้ ไปใช้ ให้เกิ ดประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ ระหว่ างฝึกประสบการ ณ์วิชาชีพครู อีกทั้งและดาเนินการวัดและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ มที กั ษะกระบวนการคิด เป็นคนดี มคี ณุ ธรรมและดารงชีวิตในสังคมได้อยา่ งเปน็ สขุ อุไร ซิรัมย์ 9 ตลุ าคม 2562

สารบัญ หนา้ ก บท เรอื่ ง ๑ คำนำ ๒ บทท่ี ๑ บทนำ ๓ ๕ ควำมนำ ๖ กำรประเมนิ ชนั้ เรียน ๗ ประเภทของกำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ ๑๕ เปำ้ หมำยกำรประเมนิ ๑๗ วธิ กี ำรประเมินผลกำรเรยี นรู้ บทสรุป เอกสำรอำ้ งองิ บทท่ี ๒ แนวคดิ กำรประเมนิ กำรเรียนรู้ (Learning Assessment) ๑๘ มโนทศั นก์ ำรประเมินเพื่อเรยี นรู้ ๑๙ กำรประเมินเพ่อื กำรเรียนรู้ Assessment for Learning (AfL) ๒๒ กำรประเมินขณะเรยี นรู้ Assessment as Learning (AaL) ๒๕ กำรประเมินผลกำรเรยี นรู้ Assessment of Learning (AoL) ๒๙ ๓๒ บทสรุป ๓๕ เอกสำรอ้ำงองิ บทที่ ๓ เทคนิคประเมนิ เพ่ือกำรเรยี นรู้ (Assessment for Learning Strategies) ๓๗ ข้อตกลงระหวำ่ งผู้สอนและผู้เรียน (Learning Contract) ๓๘ กำรตงั้ คำถำม (Questioning) ๔๐ กำรสังเกต (Observation) ๔๗ กำรบนั ทึกกำรเรียนรู้ (Learning Journal) ๕๐ กำรประเมินตนเองและกำรประเมินโดยเพ่อื น (Self and Peer Assessment) ๕๒ กำรใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั (Feedback) ๕๔ ๕๘ บทสรปุ ๖๐ เอกสำรอ้ำงองิ

สารบัญ (ต่อ) บท เร่ือง หนา้ บทท่ี ๔ กำรปฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ กำรเรยี นรู้ (Practice Assessment for Learning ๖๑ Strategies) ๖๓ ควำมสำคัญของปฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมินเพือ่ กำรเรียนรใู้ นกำรจดั กำรเรยี นรู้ ๖๕ กำรนำเทคนคิ ประเมินเพอ่ื กำรเรยี นรู้มำปฏบิ ตั ิในกำรจัดกำรเรียนรู้ ๗๒ กำรจดั กำรเรยี นร้กู บั เทคนิคประเมนิ เพือ่ กำรเรียนรู้ ตัวอยำ่ งแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู พ้นื ฐำนผเู้ รยี นเพ่ือกำรจัดกำรเรยี นรกู้ บั เทคนิคประเมนิ ๗๖ เพอ่ื กำรเรยี นรู้ ตัวอยำ่ งแผนกำรจัดกำรเรยี นรูก้ บั เทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื กำรเรยี นรู้ ๗๗ บทสรุป ๘๔ เอกสำรอ้ำงองิ ๘๕ ภำคผนวก แบบตรวจสอบรำยกำร ในกำรปฏบิ ัตกิ ำรประเมนิ เพ่อื กำรเรยี นรขู้ องนิสติ นิ กั ศกึ ษำครู ๘๔ ระหว่ำงฝึกประสบกำรณ์วิชำชพี ครู เฉลยกิจกรรม 1: ๙๑ เฉลยกิจกรรม 2: ๙๓ เฉลยกิจกรรม 3: ๙๔ **********************************************************************************

บทที่ ๑ บทนำ สำระกำรเรียนรู้ 1. ความนา 2. การประเมนิ ชน้ั เรียน 3. ประเภทของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 4. เป้าหมายการประเมิน 5. วิธกี ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ แนวคิดรวบยอด การจัดการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard – Based Curriculum) เน้นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐานสาคัญ เพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเกบ็ รวบรวมข้อมูลเก่ยี วกบั ผลการเรียนและการเรียนรขู้ องผูเ้ รียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล แล้วนามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียน และการสอนของครู การวัดและประเมินผลกับการสอนจงึ เป็นเรื่องทส่ี ัมพนั ธ์กัน หากขาดสิง่ หน่ึงสง่ิ ใดการเรียน การสอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้จึงเกิดข้ึนในทุกวัน เป็นการ ประเมนิ เพื่อให้รู้จุดเด่น จุดท่ีตอ้ งปรับปรุง ครูผู้สอนต้องใช้วิธีการและเครอื่ งมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถาม การระดมความคดิ เห็นเพ่ือให้ได้มติขอ้ สรุปของประเดน็ ทก่ี าหนด การใชแ้ ฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานท่ีเน้นการปฏิบัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมนิ ตนเอง การให้เพ่ือนประเมินเพื่อน และการใช้เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) ส่ิงสาคัญที่สุดในการประเมินเพื่อพัฒนา คือ การให้ขอ้ มูลย้อนกลับ แก่ผู้เรียนในลักษณะคาแนะนาท่ีเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทาให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไขความคิด ความเขา้ ใจเดมิ ท่ไี ม่ถกู ต้อง ตลอดจนการให้ผเู้ รยี นสามารถตั้งเป้าหมายและพฒั นาตนได้ ผลกำรเรยี นรู้ทค่ี ำดหวัง เมื่อศกึ ษาเนือ้ หาบทนี้เสร็จแล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปน้ีได้ 1. อธิบายถึงความสาคญั ของการประเมินชน้ั เรียนได้ 2. ระบจุ ดุ มงุ่ หมายของการวัดและประเมนิ ผลแต่ละประเภทได้ 3. สามารถอธิบายถงึ ความสมั พนั ธข์ องเปา้ หมายการประเมินกับการออกแบบการเรียนรู้ได้ 4. สามารถเลอื กวิธีการประเมินผลการเรียนรู้เหมาะสมกบั สถานการณ์ของผ้เู รียนได้ 5. สามารถสรุปหลักการท่ีสาคญั ของการประเมนิ ช้ันเรียนได้ เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นักศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่อื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู

๒ *เทคนคิ ประเมินเพอื่ การเรยี นร:ู้ บทที่ ๑ บทนา ควำมนำ แนวปฏบิ ัตกิ ารวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ พมิ พ์ครัง้ ที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๗ จัดทาขึ้นเพื่อให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานใช้เป็น ข้อมูลในการจัดทาระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของ สถานศึกษา แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในระดับชั้นเรียน และการจัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานเน่ืองจากในปีการศึกษา ๒๕๕๕ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีประกาศให้ใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้ืนฐานเป็น องค์ประกอบหน่ึงในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั้ พ้ืนฐาน สง่ ผลตอ่ การปรับแบบพมิ พ์ระเบยี นแสดงผลการเรยี นหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน (ปพ.๑) ดังนั้น สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานจึงได้จัดพิมพ์เอกสารแนวปฏิบัติการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ครั้งท่ี ๔ โดยได้มีการ ทบทวน ปรบั ข้อความ แบบพมิ พ์ระเบียนแสดงผลการเรียน ให้มีความสมบูรณแ์ ละเป็นปัจจุบัน สรุปความไดด้ ง้ น้ี กระทรวงศึกษาธิการได้มีคาส่ังให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรน้ีเป็นหลักสูตรท่ีใช้แนวคิดหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standards Based Curriculum) เป็นหลักสูตร ท่ีกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยมาตรฐานการเรียนรู้ได้ระบุสิ่งท่ี ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ เมื่อสาเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เก่ียวข้องในการจัดการศึกษาได้ ยึดเป็นแนวทางในการดาเนินการพัฒนาและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้บรรลุคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ดังกล่าวด้วยการดาเนินการบริหารจัดการอิงมาตรฐาน (Standards-based Instruction) การวัดและ ประเมินผลที่สะท้อนมาตรฐาน (Standards-based Assessment) เพ่ือให้กระบวนการนาหลักสูตรไปสู่การ ปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพ้ืนฐาน สองประการ ประการแรกคือ การวัดและประเมินผลเพ่ือพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผลการ เรียนและการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเน่ือง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมาย ข้อมูล แล้วนามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของครู การวัดและ ประเมินผลกับการสอนจึงเป็นเร่ืองที่สัมพันธ์กัน หากขาดสิ่งหน่ึงสิ่งใดการเรียนการสอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหว่างการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้เป็นการวัดและประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ท่ีเกิดขึ้นในห้องเรียนทุกวัน เป็นการประเมินเพ่ือให้รู้จุดเด่น จุดที่ต้องปรับปรุง จึงเป็นข้อมูลเพ่ือใช้ในการพัฒนาในการเก็บข้อมูล ผู้สอนต้องใช้วิธีการเพื่อการประเมินท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถาม การระดมความคิดเห็นเพ่ือใหไ้ ด้มติขอ้ สรุปของประเด็นทก่ี าหนด การใชแ้ ฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานที่เน้นการปฏิบัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพื่อนประเมิน

๓ เพื่อน และการใช้เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) สิ่งสาคัญที่สุดในการประเมินเพ่ือพัฒนา คือ การให้ข้อมูล ย้อนกลับแก่ผู้เรียนในลักษณะคาแนะนาที่เช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทาให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไข ความคิด ความเข้าใจเดิมท่ีไม่ถูกต้อง ตลอดจนการให้ผู้เรียนสามารถตั้งเป้าหมายและพัฒนาตนได้จุดมุ่งหมาย ประการที่สอง คือ การวัดและประเมินผลเพ่ือตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผล การเรียนรู้ (Summative Assessment) ซ่ึงมีหลายระดับ ได้แก่ เมื่อเรียนจบหน่วยการเรียนรู้ จบรายวิชา เพื่อตัดสินให้ คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ให้การรับรองความรู้ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านรายวิชาหรือไม่ ควรได้รับการเลื่อนช้ันหรือไม่ หรือสามารถจบหลักสูตรหรือไม่ ในการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนท่ีดี ต้องให้โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่หลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพ้ืนฐาน ของเกณฑ์ผลการปฏิบัตมิ ากกว่าใชเ้ ปรียบเทียบระหว่างผ้เู รยี น กำรประเมินช้ันเรียน การประเมินช้ันเรียนเป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเพ่ือ พัฒนาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียนในรายวิชา/กิจกรรมท่ีตนสอน ในการประเมินเพื่อการพัฒนา ผู้สอน ประเมินผลการเรียนรู้ตามตัวชี้วัดที่กาหนดเป็นเป้าหมายในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การซักถาม การสังเกตการตรวจการบ้าน การแสดงออกในการปฏิบัติผลงาน การแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ของ ผู้เรียนตลอดเวลาที่จัดกิจกรรม เพ่ือดูว่าบรรลุตัวช้ีวัดหรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุตัวช้ีวัดเพียงใดแล้วแก้ไข ข้อบกพร่องเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง การประเมินเพื่อตัดสินเป็นการตรวจสอบ ณ จุดที่กาหนด แล้วตัดสินว่า ผู้เรียนมีผลอันเกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ท้ังน้ี โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือเก็บคะแนนของหน่วยการเรียนรู้ หรือของการประเมินผลกลางภาค หรือปลายภาคตามรูปแบบการประเมิน ท่ีสถานศึกษากาหนดผลการประเมินนอกจากจะให้เป็นคะแนนหรือระดับผลการเรียนแก่ผู้เรียนแล้ว ต้องนามา เปน็ ขอ้ มลู ใช้ปรับปรงุ การเรียนการสอนต่อไปอีกด้วย การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนตาม มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดของหลักสูตร นาผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็นข้อมูลสาหรับ การตดั สนิ ผลการเรยี น สถานศกึ ษาต้องมกี ระบวนการจดั การทเ่ี ป็นระบบ เพอ่ื ให้การดาเนนิ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และให้ผลการประเมินท่ีตรงตามความรู้ความสามารถ ที่แท้จริงของผู้เรียน ถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถรองรับการประเมิน ภายในและการประเมินภายนอกตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้ สถานศึกษาจึงควรกาหนดหลักการ ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ ของผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องมีส่วนร่วม มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียน ต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดในหลักสูตร สถานศึกษา และ จัดให้มีการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตลอดจน เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศกึ ษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๔ *เทคนิคประเมินเพ่อื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๑ บทนา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน ต้องดาเนินการด้วยเทคนิควิธีการ ท่หี ลากหลาย เพ่ือให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้านทั้งด้านความรู้ ความคิด กระบวนการ พฤติกรรม และเจตคติเหมาะสมกับส่ิงทีต่ อ้ งการวดั ธรรมชาตวิ ิชาและระดบั ชัน้ ของผู้เรียน โดยต้ังอย่บู นพ้ืนฐาน ของความเท่ียงตรง ยุติธรรม และเชื่อถือได้ การประเมินผู้เรียนพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติการสังเกตพฤติกรรม การเรียนรู้ การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการ เรียนการสอน ตามความเหมาะสมของ แต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้มีส่วน เก่ียวขอ้ งตรวจสอบผลการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หากประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีคงทน เรียนรู้ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ สามารถอธิบาย ตีความ นาความรู้ไปใช้ได้ มมี มุ มองทถี่ กู ตอ้ ง มีความเข้าใจผู้อื่น ตลอดจนเข้าใจและรจู้ ักตัวเอง การจดั การเรียน การสอน การวัดและประเมินผลจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซ่ึงจะสาเร็จได้บรรยากาศในชั้นเรียนจะต้อง เปล่ียนแปลงจาก ห้องเรียนท่ียึดการเปรียบเทียบผลการเรียนเป็นหลัก โดยเป้าหมายของการวัดและ ประเมินผลคือการสอบให้คะแนน เป็นห้องเรียนที่มีการเรียนรู้เป็นหัวใจ โดยเป้าหมายหลักของการวัดและ ประเมินผลคือการปรับปรุงคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศห้องเรียนที่มีการเรียนรู้ เป็นหัวใจ และมีการวัดและประเมินผลเพื่อการปรับปรุงคุณภาพการสอนและการเรียนรู้เป็นเป้าหมายหลัก ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิดสาคัญ มีความเชื่อมั่นว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และบรรลุผลสาเร็จตาม เป้าหมาย ที่หลักสูตรกาหนดได้ ผู้เรียนทั้งท่ีมีผลการเรียนดีและผลการเรียนอ่อนได้รับความเอาใจใส่เท่าเทียมกัน ยึดหลักการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนเป็นผู้ขับเคลื่อนการเรียนรู้และได้แสดงออก ถึงความ รับผิดชอบต่อความสาเร็จในการเรียนรู้ของตนและเพื่อนร่วมห้อง มิใช่ผู้สอนเป็นผู้ขับเคลื่อน การสอนโดยไม่ แน่ใจว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ การสอบและการให้คะแนนเป็นเพียงแนวปฏิบัติหนึ่งของการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียน ผู้สอนและผู้เรียนต้องมีแนวคิดร่วมกันว่า การวัดและประเมินผล เป็นเครื่องมือในการค้นหาหลักฐานร่องรอยของการเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุง พัฒนาการเรยี นรู้ มากกวา่ การเปน็ เครื่องมือเพ่ือจัดลาดบั และเปรียบเทียบผูเ้ รยี น การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในช้ันเรียน (Classroom Assessment) เป็นกระบวนการ เก็บรวบรวม วิเคราะห์ ตีความ บันทึกข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินทั้งท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยการดาเนินการดังกล่าวเกิดข้ึนตลอดระยะเวลาของการจัดการเรียนการสอน นับต้ังแต่ก่อนการเรียน การสอนระหว่างการเรียนการสอน และหลังการเรียนการสอน โดยใช้เครื่องมือท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับวัย ของผู้เรียนมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับพฤติกรรมท่ีต้องการวัด นาผลท่ีได้มาตีค่าเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ที่กาหนดในตัวชี้วัดของมาตรฐานสาระการเรียนรู้ของหลักสูตร ข้อมูลท่ีได้นี้นาไปใช้ในการให้ข้อมูลย้อนกลับ เกี่ยวกับความก้าวหน้า จุดเด่น จุดท่ีต้องปรับปรุงให้แก่ผู้เรียน การตัดสินผลการเรียนรู้รวบยอดในเรื่อง หรือหน่วยการเรียนรู้หรือในรายวิชา และการวางแผน ออกแบบการจัดการเรียนการสอนของครูโดยผลท่ีได้ จากการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียนจะเป็นข้อมูลสะท้อนให้ผู้สอนทราบถึงผลการจัดก ารเรียน

๕ การสอนของตนและพัฒนาการของผู้เรียน ดังน้ัน ข้อมูลท่ีเกิดจากการวัดและประเมินท่ีมีคณุ ภาพเท่าน้ันจึงจะ สามารถนาไปใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์ ตรงตามเป้าหมาย และคุ้มค่าต่อการปฏิบัติงาน ผู้สอน ต้องดาเนินการ วดั และประเมินผลการเรียนร้เู พ่อื ให้ไดข้ ้อมูลท่ีสะทอ้ นสภาพจริง จะไดน้ าไปกาหนดเป้าหมายและวิธีการพฒั นา ผู้เรียน ผู้สอนจึงจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการ แนวคิด วิธีดาเนินงานในส่วนต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ เพื่อสามารถนาไปใช้ในการวางแผนและออกแบบการวัดและ ประเมนิ ผลไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ บนพ้ืนฐานการประเมินผลการเรียนรใู้ นช้ันเรียนท่ีมีความถกู ต้องยุติธรรม เชอื่ ถือ ได้ มคี วามสมบูรณ์ ครอบคลมุ ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ หากการวดั และประเมินการเรียนรู้ไม่มีคุณภาพ จะทาให้ผู้มีสว่ นเก่ยี วข้องขาดข้อมูลสาคัญในการสะท้อน ผลการดาเนินการจัดการศึกษาทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ ผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ได้แก่ ต้นสังกัด ส่วนกลาง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา สถานศึกษา ผู้ปกครอง หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ขาดข้อมูลสาคัญในการ สะท้อนผลและสภาพความสาเร็จเม่ือเปรียบเทียบกับเป้าหมาย ส่งผลให้การวางแผนกาหนดทิศทางการพัฒนา ผู้เรียนระยะต่อไป ไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าจะสอดคล้องกับสภาพปัญหา และมีความเหมาะสมกับระดับ ความสาเร็จของการพัฒนาผเู้ รียนในระยะท่ีผ่านมา ประเภทของกำรวดั และประเมินผลกำรเรยี นรู้ การทราบว่าการวัดและประเมินผลการเรียนรู้แบ่งประเภทเป็นอย่างไรบ้างจะช่วยให้ ครูผู้สอน ออกแบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียน ย่ิงข้ึน ในที่น้ีได้นาเสนอประเภทของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จำแนกตำมข้ันตอนกำรจัดกำรเรียน กำรสอน ก่อนเรียนระหว่ำงเรียนและหลังเรียน มี ๔ ประเภท ซ่ึงมีความแตกต่างกันตามบทบาท จุดมุ่งหมาย และ วธิ ีการวัดและประเมนิ ดงั น้ี ๑. กำรประเมนิ เพ่อื จดั วำงตำแหนง่ (Placement Assessment) เป็นการประเมนิ กอ่ น เร่ิมเรียนเพื่อต้องการข้อมูลท่ีแสดงความพร้อม ความสนใจ ระดับความรู้และทักษะพ้ืนฐานท่ีจาเป็นต่อ การเรียนเพ่ือให้ผู้สอนนาไปใช้กาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ วางแผน และออกแบบกระบวนการเรียน การสอนทเี่ หมาะสมกับผู้เรยี นท้ังรายบุคคล รายกลมุ่ และรายช้ันเรียน ๒. กำรประเมินเพ่ือวินิจฉัย (Diagnostic Assessment) เป็นการเก็บข้อมูลเพ่ือค้นหาว่า ผู้เรียนรู้อะไรมาบ้างเก่ียวกับสิ่งที่จะเรียน ส่ิงที่รู้มาก่อนนี้ถูกต้องหรือไม่ จึงเป็นการใช้ในลักษณะประเมิน กอ่ นเรียน นอกจากนีย้ ังใชเ้ พอื่ หาสาเหตุของปัญหาหรอื อุปสรรคต่อการเรียนร้ขู องผ้เู รยี นเปน็ รายบุคคลทีม่ ักจะ เป็นเฉพาะเรื่อง เช่น ปัญหาการออกเสียงไม่ชัด แล้วหาวิธีปรับปรุงเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาและเรียนรู้ ข้ันต่อไป วธิ ีการประเมนิ ใช้ไดท้ งั้ การสังเกต การพดู คุย สอบถาม หรอื การใชแ้ บบทดสอบก็ได้ ๓. กำรประเมนิ เพื่อกำรพฒั นำ (Formative Assessment) เป็นการประเมนิ เพื่อพฒั นา การเรียนรู้ (Assessment for Learning) ที่ดาเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอน โดยมิใช่แต่ การทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ อย่างเดียว แต่เป็นการที่ครูเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไม่เป็น เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู

๖ *เทคนิคประเมินเพ่อื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๑ บทนา ทางการด้วย ขณะท่ีให้ผู้เรียนทาภาระงานตามที่กาหนด ครูสังเกต ซักถาม จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ข้อมูลว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ จะต้องให้ผู้เรียนปรับปรุงอะไร หรือผู้สอนปรับปรงุ อะไร เพ่อื ใหเ้ กิดความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด การประเมินระหว่างเรียนดาเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การให้ ข้อแนะนาข้อสังเกตในการนาเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล การสมั ภาษณต์ ลอดจนการวิเคราะหผ์ ลการสอบ เป็นต้น ๔. กำรประเมินเพื่อสรุปผลกำรเรียนรู้ (Summative Assessment) มักเกิดข้ึนเม่ือจบ หน่วยการเรียนรู้เพ่ือตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นตามตัวชี้วัด และยังใชเ้ ป็นข้อมูลในการเปรยี บเทียบกับ การประเมินก่อนเรียน ทาให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ยังเป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตอนปลายปี/ปลายภาคอีกด้วย การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ใช้วิธีการและเคร่ืองมือ ประเมินไดอ้ ย่างหลากหลาย โดยปกติมกั ดาเนนิ การอยา่ งเปน็ ทางการมากกว่าการประเมนิ ระหวา่ งเรียน เปำ้ หมำยของกำรประเมิน กำรประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning : AaL) เป็นกระบวนการรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียนรู้ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ กากับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตน การให้ผู้เรียน ออกแบบแผนการเรียนรู้ ฝึกให้ผู้เรียนคิดทบทวนเก่ียวกับการเรียนรู้และกลยุทธ์ในการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียน พัฒนาการเรยี นรขู้ องตนเองตลอดเวลา กำรประเมินเพื่อเรียนรู้ (Assessment for Learning : AfL) เป็นกระบวนการรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ ตามสภาพจริงเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อระบุและวินิจฉัยปัญหาการเรียนรู้ และให้ข้อติชมที่มีคุณภาพแก่ผู้เรียนเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ให้ดีข้ึน โดยใช้วิธีการประเมินหลากหลายและ เพ่ือให้เข้าใจการเรียนรู้ของผู้เรียนในแง่มุมต่าง ๆ อย่างรอบด้าน อันจะนาไปสู่การปรับการเรียนและเปล่ียน การสอนใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยิ่งข้ึน กำรประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ (Assessment of Learning : AoL) เป็นกระบวนการรวบรวมหลกั ฐาน ข้อมลู เชิงประจกั ษ์ต่าง ๆ เมอื่ สนิ้ สดุ กระบวนการเรียนรู้ เพอ่ื ตดั สนิ คุณคา่ ในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ การเรียนรู้ เป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซ่ึงแสดงถึงมาตรฐานทางวิชาการในเชิงสมรรถนะและ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ สารสนเทศดังกล่าวนาไปใช้ในการกาหนดระดับคะแนนให้ผู้เรียน รวมทั้งใช้ในการ ปรบั ปรงุ หลกั สตู รและการเรยี นการสอน ทีม่ า : พจนานุกรมศพั ท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน, 2555

๗ วธิ กี ำรประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ วิธีการประเมินผลการเรียนรู้เป็นรูปแบบ ยุทธวิธี ประเภทต่าง ๆ ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๖๐) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ด้านการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนผลการพัฒนา พฤติกรรมตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และผลการเรียนรู้ที่เกิดจากการจัดกิจกรรม พัฒนาผู้เรียนน้ัน มีความเหมาะสมกับวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลแบบไม่เป็นทางการน้ี ข้อมูลท่ีได้ จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนได้ อย่างลึกซ้ึงกว่าการประเมินแบบเป็นทางการ และเป็นวิธีการท่ียืดหยุ่นตามสถานการณ์และบริบทวิธีการประเมิน แบบต่าง ๆ ทค่ี รผู ู้สอนสามารถเลือกใชไ้ ด้เพ่ือชว่ ยพัฒนาผ้เู รียนเป็นการประเมินเพ่ือเรียนรู้ การประเมินเพื่อการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ดาเนินการด้วยการวางแผน ร่วมไปกับกระบวนการ เรียนการสอนและนามาใช้โดยครูผสู้ อนและผู้เรยี น โดยดาเนินการรวบรวมสารสนเทศในการเรียนรู้ต่าง ๆ ของ ผู้เรียนโดยเฉพาะในระหว่างเรียน แล้วนามาการวิเคราะห์ และการตีความหมายสารสนเทศที่ได้รับ เพื่อให้ได้ ข้อสรุปถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนว่ามีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร และทาการตัดสินใจสาหรับครูผู้สอนในการ ปรบั ปรงุ การสอนของตนเองในขณะท่ผี ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้วา่ จะปรบั ปรงุ การเรียนรู้ของตนเองอย่างไรให้ดีขน้ึ กระบวนกำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ที่ผู้สอนควรปฏบิ ตั ิมดี ังน้ี 1. ศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานและตัวช้ีวัดจากหลักสูตรสถานศึกษา สัดส่วนคะแนนระหว่างเรียน กับคะแนนปลายป/ี ปลายภาค เกณฑต์ ่างๆ ที่สถานศกึ ษากาหนด 2. จัดทาโครงสรา้ งรายวิชาและแผนการประเมิน มขี ้ันตอนดงั น้ี 2.1 วิเคราะห์ตัวช้ีวัดในแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้ การวิเคราะห์ตัวช้ีวัดจะช่วยผู้สอนในการ กาหนดกจิ กรรมการเรียนรู้ เพ่อื พฒั นาผู้เรยี นและประเมินให้ครอบคลุมทุกดา้ นที่ตัวช้วี ดั กาหนด 2.2 กาหนดหน่วยการเรียนรู้โดยเลือกมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดที่สอดคล้องสัมพันธ์กัน ผู้สอนควรวางแผนการประเมินท่ีสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ด้วย กรณีท่ีตัวช้ีวัดใดปรากฏอยู่หลายหน่วย การเรียนรู้ ควรพัฒนาตัวชี้วัดน้ันในทุกหน่วยการเรียนรู้ ด้วยวิธีการและเคร่ืองมือที่หลากหลาย ก่อนบันทึก สรุปผล เพอ่ื สามารถประเมินผเู้ รยี นไดอ้ ย่างครอบคลมุ 2.3 กาหนดสัดส่วนเวลาเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ตามโครงสร้างรายวิชา โดยคานึงถึง ความสาคัญของมาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ชวี้ ดั หรือผลการเรยี นรู้ และสาระการเรยี นรใู้ นหนว่ ยการเรียนรู้ 2.4 กาหนดภาระงานหรือช้ินงาน หรือกิจกรรมท่ีเป็นหลักฐานแสดงออกซ่ึงความรู้ ความสามารถท่สี ะท้อนตัวชีว้ ดั หรอื ผลการเรียนรู้ 2.5 กาหนดเกณฑ์สาหรับประเมินภาระงาน/ชิ้นงาน/กิจกรรม โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) หรือกาหนดเปน็ ร้อยละ หรอื ตามท่ีสถานศึกษากาหนด เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๘ *เทคนิคประเมนิ เพอื่ การเรยี นร:ู้ บทที่ ๑ บทนา 3. ช้แี จงรายละเอียดของการวัดและประเมินผลให้ผู้เรยี นเขา้ ใจถึงวตั ถปุ ระสงค์ วิธีการ เครอ่ื งมือภาระ งาน เกณฑ์ คะแนน ตามแผนการประเมินท่กี าหนดไว้ 4. การจัดการเรียนรู้ของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ควรวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็น ๓ ระยะ โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 4.1 การประเมินก่อนเรียนหรือก่อนการจัดการเรียนรู้หรือการประเมินพื้นฐาน เป็นการ ประเมินเพ่ือตรวจสอบความรู้ ทักษะและความพร้อมด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนโดยใช้วิธีการท่ีเหมาะสม แล้วนา ผลการประเมินมาปรับปรุง ซ่อมเสริม หรือเตรียมผู้เรียนทุกคนให้มีความพร้อมและมีความรู้พ้ืนฐาน แต่จะไม่ นาผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการพจิ ารณาตัดสนิ ผลการเรยี น มแี นวปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 4.1.1 วเิ คราะห์ความรแู้ ละทักษะท่ีเปน็ พนื้ ฐาน 4.1.2 เลือกวิธีการและเคร่ืองมือสาหรับประเมินความรู้และทักษะพ้ืนฐาน เช่น การใช้แบทดสอบ การซักถามผเู้ รียน การสอบถามผทู้ เี่ คยสอน การพิจารณาผลการเรยี นเดมิ หรอื พจิ ารณาแฟ้ม สะสมงาน (Portfolio) ทีผ่ า่ นมา เปน็ ต้น 4.1.3 ดาเนินการประเมนิ ความรแู้ ละทกั ษะพ้ืนฐาน 4.1.4 นาผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมท่ีจะเรียน เช่น จัดการเรียนรู้ พื้นฐานสาหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเตรียมแผนจัดการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนท่ียังขาด ความรูค้ วามเข้าใจ สนับสนนุ ผเู้ รียนทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ เปน็ ตน้ 4.2 การประเมินเพื่อพัฒนา หรือการประเมินยอ่ ยเป็นการประเมินเพ่ือใช้ผลการประเมินเพ่ือ ปรับปรงุ กระบวนการจัดการเรียนรู้ การประเมินประเภทน้ีใช้ระหว่างการจัดการเรียนการสอน เพ่ือตรวจสอบ ว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้ในระหว่างการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ หากผู้เรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ท่ีตั้งไว้ ผู้สอนก็จะหาวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่ต้ังไว้ ผลการประเมินยังเป็นการตรวจสอบครูผู้สอนเองว่าเป็นอย่างไร แผนการเรียนรู้รายคร้ังที่เตรียมมาดีหรือไม่ ควรปรับปรุงอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างไร มีจุดใดบกพร่องท่ีต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป นอกจากน้ียังใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน การประเมินความก้าวหน้า ระหว่างเรียนที่ดาเนินการอย่างถูกหลักวิชาและต่อเนื่องจะให้ผลการประเมินที่สะท้อนความก้าวหน้าในการ เรียนรู้และศักยภาพของผู้เรียนอย่างถูกต้อง น่าเช่ือถือ โดยผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผล ได้หลากหลาย ดงั นี้ 4.2.1 เลอื กวธิ ีและเครื่องมือให้สอดคล้องกับตวั ชว้ี ัด หรือผลการเรียนรู้ เชน่ การประเมิน ดว้ ยการสงั เกต การซักถาม การตรวจแบบฝกึ หัด การประเมนิ ตามสภาพจริง และการประเมินการปฏบิ ัติ เป็นตน้ 4.2.2 สรา้ งเครอื่ งมือวัดและประเมินผลการเรยี นสอดคลอ้ งกบั วธิ กี ารประเมนิ 4.2.3 ดาเนนิ การวัดและประเมินผลการเรียนควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.2.4 นาผลไปพฒั นาผ้เู รียน

๙ 4.3 กำรประเมินเพื่อตัดสินหรือกำรประเมินผลรวมเป็นการประเมินเพ่ือตัดสินผลการ จัดการเรียนรู้ เป็นการประเมินหลังจากผู้เรียนได้เรียนไปแล้ว อาจเป็นการประเมินหลังจบหน่วยการเรียนรู้ หน่วยใดหน่วยหน่ึง หรือหลายหน่วย รวมทั้งการประเมินปลายภาคเรียนหรือปลายปี ผลจากการประเมิน ประเภทน้ีใช้ในการตัดสินผลการจัดการเรียนการสอน หรอื ตัดสนิ ใจวา่ ผ้เู รยี นคนใดควรจะได้รับระดับคะแนนใด โดยมีขนั้ ตอนหรอื วธิ กี าร ดงั นี้ 4.3.1 เลือกวธิ ีการและเครอื่ งมอื ทจ่ี ะใชใ้ นการวัดและประเมนิ ผล 4.3.2 สร้างเครอื่ งมือประเมนิ 4.3.3 ดาเนินการประเมิน 4.3.4 นาผลการประเมินตดั สินผลการเรียน ส่งผลการเรียนซ่อมเสริม แก้ไขผลการเรียน การประเมินเพ่ือการเรียนรู้เป็นการใช้เทคนิคการประเมินแบบต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะ การคดิ วิเคราะหแ์ ละปฏบิ ตั ิงานท่มี ีประสิทธภิ าพ ประกอบดว้ ยหลายเทคนคิ วิธีการ ดงั น้ี กำรกำหนดเป้ำหมำยของกำรเรียนท่ีชัดเจนเป็นการกาหนดเป้าหมายของการเรียนที่ชัดเจน ซึ่งอาจ กาหนดเป็นเป้าหมายระยะยาวและเป้าหมายระยะสั้น (Long and Short Term) โดยควรมีการตรวจสอบ เป็นระยะว่า ผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นไปตามเป้าหมายท่ีวางไว้หรอื ไม่ โดยเป้าหมายระยะส้ันอาจกาหนด เป็นเป้าหมายประจาบทเรียน (Lesson Target Setting) ซ่ึงหลังจากจบการเรียนในแต่ละบทเรียนแล้ว นักเรยี นควรแสดงใหเ้ ห็นว่าได้บรรลุตามเป้าหมายของบทเรียนท่ีวางไว้หรือไม่ ก่อนที่จะเริ่มเรยี นบทเรียนต่อไป นอกจากน้ันนักเรียนก็อาจกาหนดเป้าหมายเพื่อการประเมินตนเอง (Self-Assessment Targets) ครูอาจใช้ คาถามเพ่ือให้นักเรียนช่วยกันกาหนดเป้าหมายของงานที่ดี (What is good?) เช่น นักเรียนคิดว่าผลงานที่ดี ควรเป็นอย่างไร นักเรียนรู้สึกอย่างไรกับข้อเสนอแนะของครู นักเรียนรู้หรือไม่ว่าควรจะทาอะไรต่อไป นกั เรยี นรูไ้ ด้อย่างไรว่างานท่ที านั้นดีหรือไม่ เป้าหมายของการเรียนทก่ี าหนดควรจะเก็บไว้ในที่นกั เรียนสามารถ ย้อนกลับไปดูได้ง่าย เช่น ติดไว้ที่ปกสมุดด้านในหรือทาเป็นบัตรเคลือบพลาสติก (Laminated Criteria) เป็นต้น นอกจากน้ันในการมอบหมายงานให้นักเรียน ครูอาจนาเสนอตัวอย่างงาน (Exemplar Work) เพ่ือให้ นักเรียนใช้ตัวอย่างทใี่ หเ้ ป็นเปา้ หมายในการปฏิบัตงิ านของตนเอง เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๑๐ *เทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นร:ู้ บทที่ ๑ บทนา กำรสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการดูการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน โดยไม่ขัดจังหวะ การทางานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทาได้ตลอดเวลา แต่ควรมีกระบวนการและ จุดประสงค์ท่ีชดั เจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใชเ้ คร่ืองมือ เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบ รายการ สมุดจดบันทึก เพ่ือประเมินผู้เรียนตามตัวช้ีวัด และควรสังเกตหลายครั้ง หลายสถานการณ์ หลายช่วงเวลาเพ่ือขจัดความลาเอยี ง กำรสอบปำกเปล่ำ เป็นการให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ ตามมาตรฐาน ผู้สอนเก็บข้อมูล จดบันทึก รูปแบบการประเมินน้ีผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรง สามารถมีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรับแก้ไขความคิดกันได้ มีข้อท่ีพึงระวัง คือ อย่าเพิ่งขัดความคิด ขณะทผ่ี ูเ้ รียนกาลังพูด กำรพูดคุย เป็นการสื่อสาร ๒ ทางอีกประเภทหนึ่ง ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน สามารถดาเนินการ เป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ โดยท่ัวไปมักใช้อย่างไม่เป็นทางการเพ่ือติดตามตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพยี งใด เปน็ ขอ้ มูลสาหรบั พัฒนา วธิ ีการน้ีอาจใชเ้ วลา แตม่ ีประโยชนต์ ่อการค้นหา วนิ ิจฉัยขอ้ ปญั หา ตลอดจน เรอ่ื งอ่ืน ๆ ท่ีอาจเปน็ ปัญหาอุปสรรคตอ่ การเรยี นรู้ เชน่ วิธีการเรียนรู้ท่แี ตกตา่ งกนั เปน็ ต้น กำรใช้คำถำม การใช้คาถามเป็นเร่ืองปกติมากในการจัดการเรียนรู้ แต่ข้อมูลงานวิจัยบ่งช้ีว่าคาถาม ท่ีครูใช้เป็นด้านความจา และเป็นเชิงการจัดการท่ัว ๆ ไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะถามง่ายแต่ไม่ท้าทายให้ผู้เรียน ต้องทาความเข้าใจและเรียนรู้ให้ลึกซ้ึง การพัฒนาการใช้คาถามให้มีประสิทธิภาพแม้จะเป็นเรื่องท่ียาก แต่สามารถทาได้ผลรวดเร็วขึ้น หากผู้สอนมีการเปล่ียนแปลงวิธีการประเมินในชั้นเรียน โดยทาการประเมิน เพอ่ื พฒั นาให้แข็งขนั (Clarke, 2005) Clarke ยังไดน้ าเสนอวธิ ีการฝึกถามใหม้ ปี ระสิทธิภาพ 5 วิธี ดงั นี้ 1. ให้คาตอบที่เป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีที่ง่ายท่ีสุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถามแบบ ความจาให้เป็นคาถามท่ีต้องใช้การคิดบ้าง เพราะมีคาตอบที่เป็นไปได้หลายคาตอบ (แต่พึงระวังว่าการใช้ คาถามแบบนี้ผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพื้นฐานตามตัวช้ีวัดท่ีกาหนดให้เรียนรู้มาแล้ว) คาถาม แบบนี้ทาให้ผู้เรียนต้องตัดสินใจว่า คาตอบใดถูก หรือใกล้เคียงที่สุดเพราะเหตุใด และที่ไม่ถูกเพราะเหตุใด นอกจากนี้การใช้คาถามแบบน้จี ะทาใหผ้ เู้ รียนเรยี นรูย้ ง่ิ ขึ้นอกี หากมีกจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นทาเพ่อื พสิ ูจน์คาตอบ 2. เปลี่ยนคาถามจาให้เป็นประโยคบอกเล่า เพ่ือให้ผู้เรียนระบุว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยพร้อม เหตุผล การใช้วธิ ีน้ีจะต้องใหผ้ ู้เรยี นได้อภิปรายกัน ผู้เรียนต้องใช้การคดิ ที่สูงขึ้นกว่าวธิ ีแรก เพราะผู้เรียนจะต้อง ยกตัวอย่างสนับสนุนความเห็นของตน ประโยคของผู้เรียนจะต้องสะท้อนความคิดเห็น ผู้เรียนจะต้องปกป้อง หรืออธิบายทัศนะของตน การฝึกด้วยวิธีการนี้บ่อย ๆ จะเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผูฟ้ ังทีด่ ี มีจิตใจเปิดกว้าง พร้อมรับฟังและเปล่ียนแปลงความคิดเห็นผ่านกระบวนการอภิปราย ครูใช้วิธีการนี้กดดันให้เกิดการอภิปราย อย่างมีคุณภาพสูงระหวา่ งเด็กตอ่ เด็ก และใหข้ อ้ มูลเพอ่ื การพัฒนาแกท่ ุกคนในชนั้ เรียน

๑๑ 3. หาส่ิงตรงกันข้าม หรอื สงิ่ ทใ่ี ช่/ถกู สงิ่ ท่ีไม่ใช่/ผิด และถามเหตผุ ล วิธีการน้ีใช้ได้ดกี ับเน้ือหา ที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น จานวนในวิชาคณิตศาสตร์ การสะกดคา โครงสร้างไวยากรณ์ในวิชาภาษา เป็นต้นเม่ือ ได้รับคาถามว่าทาไมทาเช่นนีถ้ ูก แต่ทาเช่นน้ีผิด หรอื ทาไมผลบวกนีถ้ ูก แต่ผลบวกนผี้ ิด หรอื ทาไมประโยคน้ถี ูก ไวยากรณ์ แต่ประโยคนผ้ี ิดไวยากรณ์ เป็นต้น จะเป็นโอกาสให้ผู้เรียนคดิ และอภิปรายมากกว่าเพียงการถามว่า ทาไมโดยไมม่ กี ารเปรยี บเทียบกนั และวธิ ีการนจ้ี ะใชก้ ับการทางานคู่มากกว่าถามท้ังห้อง แล้วให้ยกมือตอบ 4. ให้คาตอบประเด็นสรุปแล้วตามด้วยคาถามให้คิด เป็นการให้ผู้เรียนต้องอธิบายเพิ่มเติม 5. ตั้งคาถามจากจุดยืนที่เห็นต่าง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความสามารถมากทั้งผู้สอนและผู้เรียน เพราะมีประเดน็ ทต่ี อ้ งอภิปรายโต้แย้งเชงิ ลกึ เหมาะทจี่ ะใช้อภิปรายในประเด็นท่เี กยี่ วกบั สภาพเศรษฐกิจ สงั คม ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเชงิ จรยิ ธรรม เป็นต้น นอกจากน้ี การใช้ Bloom’s Taxonomy เปน็ กรอบแนวคิดในการ ตั้งคาถาม ก็เป็นวธิ ีการทดี่ ีในการเกบ็ ข้อมูลการเรยี นรู้จากผ้เู รียน กำรเขียนสะท้อนกำรเรียนรู้ (Journals) เป็นรปู แบบการบันทึกการเขียนอีกรูปแบบหนง่ึ ท่ีใหผ้ ู้เรียน เขยี นตอบกระทู้ หรอื คาถามของครู ซ่ึงจะตอ้ งสอดคล้องกับความรู้ ทักษะที่กาหนดในตัวช้วี ัด การเขยี นสะทอ้ น การเรียนรู้น้ี นอกจากทาให้ผู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือประเมิน พัฒนาการด้านทักษะการเขียนได้อกี ดว้ ย กำรประเมินกำรปฏิบัติ (Performance Assessment) เป็นวิธีการประเมินงานหรือกิจกรรม ท่ีผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติงานเพื่อให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผู้เรียน การประเมินลักษณะนี้ ผู้สอน ต้องเตรยี มส่ิงสาคญั 2 ประการ 1. ภาระงาน (Tasks) หรือกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น การทาโครงการ/โครงงาน การสารวจ การนาเสนอ การสร้างแบบจาลอง การท่องปากเปล่า การสาธิต การทดลองวิทยาศาสตร์การจัด นิทรรศการ การแสดงละคร เปน็ ต้น 2. เกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) การประเมินการปฏิบัติ อาจจะปรับเปลี่ยนไป ตามลักษณะงานหรือประเภทกจิ กรรม ดังนี้  ภาระงานหรือกิจกรรมท่ีเน้นข้ันตอนการปฏิบัติและผลงาน เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร แสดงการเคล่ือนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสารวจ การนาเสนอ การจัดทาแบบจาลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินวิธีการทางานที่เป็นขั้นตอน และผลงานของผู้เรียนภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษาความสะอาด การรักษาสาธารณสมบัติ/ส่ิงแวดล้อม กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น จะประเมินด้วยวิธีการสังเกต จดบันทึก เหตุการณ์เกย่ี วกบั ผเู้ รียน เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู

๑๒ *เทคนคิ ประเมินเพื่อการเรยี นร:ู้ บทท่ี ๑ บทนา  ภาระงานที่มีลักษณะเป็นโครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติและ ผลงานท่ีต้องใช้เวลาในการดาเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดาเนินโครงการ/ โครงงานโดยประเมินความพร้อมการเตรียมการและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงาน ระยะระหว่างดาเนิน โครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและขั้นตอนที่กาหนดไว้ และการปรับปรุง ระหว่างการปฏิบัติสาหรับระยะส้ินสุดการดาเนินโครงการ/โครงงาน โดยการประเมินผลงาน ผลกระทบและ วธิ กี ารนาเสนอผลการดาเนนิ โครงการ/โครงงาน  ภาระงานท่ีเน้นผลผลิตมากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทางาน เช่น การจัดทาแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผังความคิด เป็นต้น อาจประเมินเฉพาะคุณภาพของผลงานก็ได้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเคร่ืองมือเพ่ือใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบบนั ทึกพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายงาน แบบบนั ทึกผลการปฏิบตั ิ เปน็ ต้น กำรประเมินด้วยแฟ้มสะสมงำน (Portfolio Assessment) แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บรวบรวม ช้ินงานของผู้เรียนเพื่อสะท้อนความก้าวหน้าและความสาเร็จของผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานท่ีแสดง ความก้าวหน้าของผู้เรียน ต้องมีผลงานในช่วงเวลาต่าง ๆ ท่ีแสดงถึงความก้าวหน้าของผู้เรียน หากเป็นแฟ้ม สะสมงานดีเด่นต้องแสดงผลงานที่สะท้อนความสามารถของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องแสดงความคิดเห็นหรือ เหตุผลทเ่ี ลอื กผลงานน้นั เก็บไวต้ ามวตั ถุประสงคข์ องแฟม้ สะสมงาน แนวทางในการจดั ทาแฟม้ สะสมงาน มดี งั น้ี  กาหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน ว่าต้องการสะท้อนเก่ียวกับความก้าวหน้าและความสาเร็จ ของผ้เู รยี นในเร่ืองใดดา้ นใด ทั้งน้ี อาจพิจารณาจากตวั ชี้วดั /มาตรฐานการเรียนรู้  วางแผนการจัดทาแฟม้ สะสมงานทีเ่ น้นการจัดทาชน้ิ งาน กาหนดเวลาของการจัดทาแฟ้มสะสมงาน และเกณฑ์การประเมิน  จดั ทาแผนแฟม้ สะสมงานและดาเนนิ การตามแผนท่ีกาหนด  ให้ผเู้ รียนเก็บรวบรวมชิน้ งาน  ให้มีการประเมินชนิ้ งานเพอื่ พฒั นาชิ้นงาน ควรประเมนิ แบบมีส่วนร่วม โดยผปู้ ระเมนิ ได้แก่ ตนเอง เพอ่ื น ผสู้ อน ผปู้ กครอง บุคคลทีเ่ ก่ียวขอ้ ง  ให้ผู้เรียนคัดเลือกช้ินงาน ประเมินชิ้นงานตามเงื่อนไขท่ีผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกาหนด เช่น ชนิ้ งานท่ียากท่ีสดุ ชิน้ งานทชี่ อบที่สดุ เป็นต้น โดยดาเนนิ การเป็นระยะ อาจจะเป็นเดือนละครง้ั หรือบทเรยี นละ คร้ังก็ได้ ให้ผู้เรียนนาช้ินงานท่ีคัดเลือกแล้วจัดทาเป็นแฟ้มท่ีสมบูรณ์ ซ่ึงควรประกอบด้วย หน้าปก คานา สารบญั ช้ินงาน แบบประเมินแฟม้ สะสมงาน และอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม  ผเู้ รยี นตอ้ งสะทอ้ นความรสู้ กึ และความคดิ เห็นต่อช้นิ งานหรอื แฟ้มสะสมงาน  สถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนแสดงแฟ้มสะสมงานและชิ้นงานเมื่อสิ้นภาคเรียน/ปีการศึกษาตาม ความเหมาะสม

๑๓ กำรวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ เป็นการประเมิน ตัวช้ีวดั ด้านการรับรู้ข้อเท็จจริง (Knowledge) ผู้สอนควรเลือกใช้ แบบทดสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวัดและประเมินน้ัน ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบ จับคู่ แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบความเรียง เป็นต้น ทั้งน้ี แบบทดสอบท่ีจะใช้ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความ เท่ยี งตรง (Validity) และเชอื่ ม่นั ได้ (Reliability) กำรประเมนิ ด้ำนควำมรู้สึกนึกคดิ เป็นการประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คณุ ลักษณะ และเจตคติที่ควร ปลูกฝงั ในการจดั การเรียนรู้ ซึ่งการวัดและประเมินผลเป็นลาดับข้ันจากต่าสดุ ไปสงู สดุ ดังน้ี  ขน้ั รับรู้ เป็นการประเมนิ พฤติกรรมทแี่ สดงออกวา่ รจู้ ัก เต็มใจ สนใจ  ข้ันตอบสนอง เป็นการประเมนิ พฤตกิ รรมทีแ่ สดงวา่ เชอ่ื ฟงั ทาตาม อาสาทา พอใจทีจ่ ะทา  ขั้นเห็นคุณค่ำ (ค่านิยม) เป็นการประเมินพฤติกรรมท่ีแสดงความเช่ือ ซึ่งแสดงออกโดยการกระทา หรือปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ ยกย่องชมเชย สนับสนุน ช่วยเหลือ หรือทากิจกรรมท่ีตรงกับความเช่ือของตน ทาดว้ ยความเชอื่ ม่ัน ศรทั ธา และปฏิเสธทจี่ ะกระทาในสิง่ ที่ขดั แย้งกับความเช่อื ของตน  ข้ันจัดระบบคุณค่ำ เป็นการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม อภิปราย เปรียบเทียบจนเกิด อดุ มการณใ์ นความคดิ ของตนเอง  ขั้นสร้ำงคุณลักษณะ เป็นการประเมินพฤติกรรมท่ีมีแนวโน้มว่าจะประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นอยู่เสมอใน สถานการณ์เดียวกัน หรือเกิดเป็นอุปนิสัยการวัดและประเมินผลดา้ นจิตพสิ ัย ควรใช้การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติ เป็นหลัก และสังเกต อย่างต่อเนื่องโดยมีการบันทึกผลการสังเกต ทั้งนี้ อาจใช้เคร่ืองมือการวัดและประเมินผล เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ แบบบันทึกพฤติกรรม แบบรายงานพฤติกรรมตนเอง เป็นต้น นอกจากนี้ อาจใช้แบบวัดความรู้และความรู้สกึ เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เช่น แบบวัดความรู้ โดยสร้างสถานการณ์ เชงิ จรยิ ธรรม แบบวดั เจตคติ แบบวัดเหตผุ ลเชิงจริยธรรม แบบวดั พฤติกรรมเชิงจริยธรรม เปน็ ต้น กำรประเมินตำมสภำพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมินด้วยวิธีการท่ีหลากหลายดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถท่ี แท้จริงของผู้เรียน จึงควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการ อื่น ภาระงาน (Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากกว่าเป็นการปฏิบัติกิจกรรม ทั่ว ๆ ไป ดังน้ัน การประเมินตามสภาพจริงจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) ให้สอดคลอ้ งหรอื ใกล้เคยี งกบั ชีวิตจริง เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศกึ ษาครปู ฏิบตั เิ ทคนิคประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู

๑๔ *เทคนคิ ประเมนิ เพื่อการเรยี นร:ู้ บทท่ี ๑ บทนา กำรประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self- assessment) การประเมินตนเองนับเป็นท้ังเคร่ืองมือ ประเมินและเคร่ืองมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทาให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่าได้เรียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานท่ีทานั้นดีแล้วหรือยัง การประเมนิ ตนเองจงึ เป็นวิธีหน่ึงทีจ่ ะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ท่ีสามารถเรียนรู้ ด้วยตนเอง การใช้การประเมินตนเองของผู้เรียนให้ประสบความสาเร็จได้ดีจะต้องมีเป้าหมาย การเรียนรู้ที่ชัดเจน มีเกณฑ์ท่ีบ่งบอกความสาเร็จของช้ินงาน/ภาระงาน และมาตรการการปรับปรุงแก้ไขตนเองเป้าหมายการเรียนรู้ ท่ีกาหนดชัดเจนและผู้เรียนได้รับทราบหรือร่วมกาหนดด้วย จะทาให้ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวังให้รู้อะไร ทาอะไร มีหลักฐานใดที่แสดงการเรียนรู้ตามความคาดหวังนั้น หลักฐานที่มีคุณภาพควรมีเกณฑ์เช่นไรเพื่อเป็น แนวทางให้ผู้เรียนพิจารณาประเมิน ซึ่งหากเกณฑ์เกิดจากการทางานร่วมกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนด้วยจะเป็น การเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มมากข้ึน การท่ีผู้เรียนได้ใช้การประเมินตนเองบ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการ ประเมินที่ชัดเจนน้ี จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินได้ค่อนข้างจริงและซ่ือสัตย์ คาวิจารณ์ คาแนะนาของผู้เรียน มักจะจริงจังมากกว่าของครู การประเมินตนเองจะเกิดประโยชน์ยิ่งข้ึนหากผู้เรียนทราบส่ิงที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และต้ังเป้าหมายการปรับปรุงแก้ไขของตน แล้วฝึกฝน พัฒนาโดยการดูแลสนับสนุนจากผู้สอนและความร่วมมือ ของครอบครัวเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินตนเองมีหลายรูปแบบ เช่น การอภิปราย การเขียนสะท้อนผลงาน การใช้แบบสารวจ การพดู คุยกับผู้สอน เปน็ ต้น กำรประเมนิ โดยเพ่อื น (Peer Assessment) เป็นเทคนคิ การประเมินอีกรูปแบบหนึง่ ที่น่าจะนามาใช้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการที่ผู้เรียนจะบอกได้ว่าชิ้นงานน้ันเป็นเช่น ไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากาลังตรวจสอบอะไรในงานของเพื่อน ฉะนั้น ผู้สอนต้อง อธิบายผลท่ีคาดหวังให้ผู้เรียนทราบก่อนที่จะลงมือประเมินการท่ีจะสร้างความม่ันใจว่าผู้เรียนเข้าใจการ ประเมินรปู แบบน้ีควรมีการฝึกผู้เรยี น โดยผู้สอนอาจหาตวั อย่าง เช่น งานเขยี น ให้นักเรียนเป็นกลุ่มตัดสินใจว่า ควรประเมินอะไร และควรให้คาอธบิ ายเกณฑ์ที่บง่ บอกความสาเร็จของภาระงานนั้น จากน้ันให้ผู้เรียนประเมิน ภาระงานเขียนท่ีเป็นตัวอย่างนั้นโดยใช้เกณฑ์ท่ีช่วยกันสร้างข้ึน หลังจากน้ันครูตรวจสอบการประเมินของ ผู้เรียนและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนที่ประเมินเกินจริงการใช้การประเมินโดยเพ่ือนอย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องสร้างส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนให้เกิดการประเมินรูปแบบนี้ กล่าวคือ ผู้เรียนต้องรู้สึก ผอ่ นคลาย เชื่อใจกัน และไม่อคติ เพ่อื การใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั จะได้ซอ่ื ตรง เป็นเชิงบวกทใี่ ห้ประโยชน์ ผสู้ อนท่ใี ห้ ผเู้ รยี นทางานกลุ่มตลอดภาคเรียนแล้วใช้เทคนิคเพื่อนประเมนิ เพื่อนเปน็ ประจา จะสามารถพฒั นาผูเ้ รยี นให้เกิด ความเข้าใจซ่งึ กนั และกัน อันจะนาไปสู่การให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับที่เก่งข้นึ ได้

๑๕ บทสรปุ การปฏบิ ัติในการดาเนินการวัดและประเมินผลทางการศึกษาเป็นแนวเกณฑ์กลางในการกากับติดตาม ควบคุมความเป็นมาตรฐานเดียวกันเป็นความยุติธรรมและเป็นธรรมสาหรับนักเรียนในห้องเรียนระหว่าง ห้องเรียน ระหว่างโรงเรียนของครูผู้สอน ความมีมาตรฐานชัดเจนของการประเมินผลการเรียนรู้ส่งเสริม พัฒนาการของนักเรียนจากผลการประเมินช่วยในการปรับเปล่ียนการเรียนรู้ของนักเรียนพัฒนายิ่งข้ึน สรา้ งความม่นั ใจใหผ้ ทู้ ่เี ก่ยี วขอ้ งนาผลการประเมินไปใช้เพ่ือประโยชนใ์ นการพัฒนาทางการศึกษาต่อไป การประเมินการเรียนรู้นักเรียนเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนการสอน กระบวนการ ประเมินการเรียนรู้นักเรียนไม่สามารถแยกออกจากการจัดการเรียนรู้ได้เนื่องมาจากวัตถุประสงค์สาคัญ ของการประเมินการเรียนรู้ก็เพื่อท่ีให้ได้สารสนเทศมาใช้ในการพัฒนานักเรียนให้เป็นไปตามเป้าหมายของ การจัดการเรยี นรู้ตามหลักสูตรที่กาหนด *************************************************************************** กิจกรรม 1: ตรวจสอบควำมรูค้ วำมเขำ้ ใจ คำชแี้ จง: จงทาเครื่องหมาย  หน้าข้อทีเ่ ห็นด้วยว่าข้อความนนั้ ถกู ต้อง และทาเคร่ืองหมาย  หนา้ ข้อท่ีไมเ่ หน็ ดว้ ยว่าขอ้ ความนัน้ ถูกต้อง (โปรดระบแุ นวคดิ ที่ถูกตอ้ ง) .............1. การประเมินคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้สามารถประเมนิ ได้ดว้ ยการสังเกตพฤติกรรมการแสดงออก แนวควำมคดิ .......................................................................................................................................... .............2. การวดั ผลการศกึ ษามีความคลาดเคล่ือนอันเนื่องมาจากเครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวัดผล แนวควำมคิด............................................................................................................................. ............. .............3. การประเมินผลการเรียนรเู้ ก่ยี วขอ้ งกับผู้ปกครองเป็นสาคัญเพราะใชข้ อ้ มลู พัฒนาผเู้ รยี น แนวควำมคดิ .................................................................................................................................... ...... เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๑๖ *เทคนคิ ประเมินเพื่อการเรยี นร:ู้ บทท่ี ๑ บทนา .............4. การประเมนิ เพ่ือจัดวางตาแหนง่ เกิดขน้ึ ระหว่างจดั การเรียนรเู้ พ่ือปรับเปล่ยี นบรรยากาศการเรยี น แนวควำมคดิ ............................................................................................................................. ............. .............5. การตดั สินผลการเรียนรคู้ รผู ู้สอนควรใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ท่ีหลากหลายเพื่อผลการประเมนิ ทตี่ รงตาม ความสามารถทแี่ ทจ้ ริงของผู้เรียน แนวควำมคดิ ............................................................................................................................. ............. .............6. กระบวนการนาข้อมูลท่ีไดจ้ าการวดั ผลมาตดั สินคุณภาพโดยใช้เกณฑ์เปน็ การวเิ คราะห์ผู้เรียน แนวควำมคิด............................................................................................................................. ............. .............7. การประเมินผลเพ่ือพฒั นาผ้เู รยี นนั้นครูผ้สู อนต้องวดั ซ้าหลายคร้งั และหลายด้านเปน็ สาคญั แนวควำมคดิ ............................................................................................................................. ............. .............8. ครูฝา่ ยวิชาการมีหน้าท่ีสาคญั สดุ ในการประเมินผลผูเ้ รียน แนวควำมคดิ .......................................................................................................................................... .............9.การประเมนิ ผลเพ่อื พฒั นาผูเ้ รยี นเป็นการประเมนิ ท่ีเกิดข้ึนก่อน-ระหวา่ ง-หลังจัดการเรียนร้ไู มร่ วม การสอบปลายภาคเรยี น แนวควำมคดิ ............................................................................................................................. ............. ............10.การประเมนิ การเรยี นรูท้ ี่สาคัญทีส่ ดุ คือการประเมินผลการเรียนรูเ้ พราะจะทราบระดบั การเรียน ของผู้เรยี น แนวควำมคิด............................................................................................................................. .............

๑๗ เอกสำรอำ้ งอิง พรทิพย์ ไชยโส. (2560). การประเมินการเรยี นรขู้ องผู้เรียน: กระบวนการสาคัญสาหรบั วิชาชีพครู. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4 โรงพิมพ์ชุมนมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. กรงุ เทพฯ. -------------.(2560). การประเมินเพ่ือการเรียนรู้: การตั้งคาถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้. พิมพ์ครัง้ ที่ 1 โรงพมิ พ์ชมุ นมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . กรุงเทพฯ. ********************************************************************* เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศกึ ษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

บทที่ ๒ แนวคิดการประเมนิ การเรียนรู้ (Learning Assessment) สาระการเรยี นรู้ 1. มโนทัศน์การประเมินเพ่ือเรียนรู้ 2. การประเมินเพื่อการเรียนรู้ Assessment for Learning (AfL) 3. การประเมินขณะเรียนรู้ Assessment as Learning (AaL) 4. การประเมินผลการเรียนรู้ Assessment of Learning (AoL) แนวคิดรวบยอด การประเมินการเรียนรู้ คือ การประเมินขณะที่การเรียนการสอนยังดาเนินอยู่มุ่งชี้พัฒนาการและ ความก้าวหน้าของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านการให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) หรือคาแนะนา (advice) เก่ียวกับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์จะช่วยให้ผู้เรียนรับรู้ถึง จุดเด่น จุดด้อย แนะนาวิธีการเพ่ิมจุดเด่นในอนาคต เพื่อยกระดับการสร้างแรงจูงใจ(motivation) และความมุ่งม่ัน (commitment) ในการเรียนรู้ของผู้เรียน และยังสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการสอนสาหรับครูผู้สอน ว่าควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนหรือจัดส่ิงแวดล้อมเพ่ือสนับสนุนการเรียนรู้อย่างไร ก่อนที่ การเรียนการสอนจะส้ินสุดลง ทั้งน้ีบทบาทครูผู้สอนต่อการประเมินการเรียนรู้น้ันเน้นให้มีปฏิสัมพันธ์ (interactive) ระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียนที่แสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนตลอดระยะของ การเรียน การประเมินผลในลักษณะเช่นนี้ใชเ้ วลาและความร่วมมือของผู้เรียนทั้งน้ีเป็นการช่วยเหลือสนบั สนุน ให้นักเรียนมีจิตใจจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้ตลอดเวลา ครูผู้สอนค้นหาความต้องการในการเรียนรู้ (learning needs) ของผู้เรียนทั้งรายบุคคลหรือกลุ่ม แล้วสนับสนุนทรัพยากรการเรียนรู้ (Materials and Resource) อย่างเพียงพอและสร้างสรรค์ ด้วยครูผู้สอนคิดสร้างสรรค์วิธีการเรียนการสอนหรือกลยุทธ์การสอน (teaching strategies) ท่ีสนับสนุนและเหมาะสมกับวิธีการเรียนรู้และโอกาสในการเรียนรู้ของผู้เรียน ( learning opportunities) แลว้ ตอ้ งให้การสะทอ้ นคดิ อย่างทันทว่ งทใี นเวลาทเ่ี หมาะสม (immediately feedback) ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวงั เมื่อศึกษาเนื้อหาบทนี้เสร็จแล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปน้ีได้ 1. อธิบายถึงจุดมงุ่ หมายสาคัญของการประเมนิ เพื่อการเรียนรู้ได้ 2. ระบถุ งึ ความสัมพนั ธข์ องชว่ งเวลากับการประเมนิ การเรียนรู้ได้ 3. สามารถสรปุ แนวคดิ และหลกั การทส่ี าคญั ของการประเมินการเรยี นรู้ 4. สามารถยกตัวอย่างเพือ่ เปรียบเทียบเก่ียวกบั การประเมนิ เพ่ือการเรยี นร้ไู ด้ 5. สามารถเลือกวิธีการประเมินเหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการประเมนิ การเรียนรู้ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู

๑๙ มโนทัศนก์ ารประเมินเพอื่ เรียนรู้ กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเข้าสู่โลกยุค “คนสร้างผลผลิต” ระบบการจัดการศึกษาในการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงต้องมุ่งเน้นสร้างคนยุคใหม่ที่จาเป็นต้องมีทักษะการดาเนินชีวิตและการทางานของ โลกยคุ ศตวรรษท่ี 21 ดงั นน้ั หลกั สตู รและการจดั การศึกษาจึงตอ้ งปรับเปลย่ี นใหม้ ีความเหมาะสมสอดคลอ้ งเพ่ือ สามารถสร้างผเู้ รียนให้มีคณุ ลกั ษณะสาคญั ดังกลา่ ว การประเมินการเรียนรู้ซึ่งเป็นตัวชว้ี ัดความสาเร็จในการจัด การศึกษาจึงต้องมีการปรับเปล่ียนใหส้ ามารถประเมินผู้เรียนได้ตรงตามสมรรถนะท่ีต้องการ ผู้ให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับกระบวนทัศน์ใหม่ในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนควรมีลักษณะท่ีสาคัญ (Linda D. Hammond cited in Neil Stephenson, 2007; Chappuis Jan,2005; องอาจ นยั พัฒน์, 2557) ดังนค้ี ือ 1) รูปแบบและสาระสาคัญของการวัด การประเมินน้ันต้องสะทอ้ นการคิดและทักษะการแก้ปญั หาของ ผูเ้ รียนทเ่ี กดิ ขนึ้ ในระดับจลุ ภาค (Micro small scale level) เช่น ช้ันเรียน หรือ ห้องปฏบิ ัติการ มสี าระสาคัญ ที่เช่ือมโยงกับหลักสูตร/การจัดการเรียนรู้/จิตวิทยา/วัฒนธรรมการเรียนรู้ และจะต้องเชื่อมโยงสอดคล้อง กับระบบการวัดประเมินผลการเรียนรู้ที่อิงมาตรฐานระดับมหภาค (Macro or Large scale level) เช่น กล่มุ สถานศึกษา เขตพน้ื ท่ี ประเทศ นานาประเทศ 2) เน้นความสาคัญท่ีเท่าเทียมกันทั้งการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้และการตัดสินผลการ เรียนรู้ (support a balance of assessment of formative and summative assessment) 3) การออกแบบการประเมินที่มีคุณภาพ สามารถวัดได้ซึ่งการแสดงออกถึงสมรรถนะด้านต่างๆ ของผู้เรียนอย่างชัดเจน (design intellectually ambitious performance assessment)และประเมิน อยา่ งตอ่ เนื่องและบอ่ ยคร้ัง (frequently use) 4) การประเมินการเรียนรู้ผู้เรียนควรมีการประเมินตนเองหรือกลุ่มเพื่อ (Self - Peer assessment) เพ่ือให้เกิดการสะท้อนคิด และผู้สอนควรให้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Information feedback) ในขณะที่ผลการประเมินควรชี้ใหผ้ ู้เรยี นทราบแนวทางในการพัฒนาตนเอง (guide student effort) ซ่ึงจะเป็น ประโยชน์อยา่ งย่งิ ตอ่ การพฒั นาสมรรถนะของผู้เรยี น(student performance) 5) การประเมินการเรียนรู้ท่ีดีจึงควรเป็นการประเมินในระดับชั้นเรียน ( Classroom based assessment) มีการวัดและประเมินจากสภาพจริง (Authentic assessment) ท่ีมีการแลกเปล่ียนข้อมูล สารสนเทศเก่ยี วกับตัวผเู้ รียนจากหลายแหล่ง เช่น คะแนน คาบรรยายเกีย่ วกับสมรรถนะ หรือคุณลักษณะของ ผู้เรียนท่ีแสดงออกที่เป็นผลจากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงอาจประเมินประเมินจากการปฏิบัติ (Performance assessment) หรือการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio assessment) การประเมิน ใช้กระบวนการวเิ คราะห์วพิ ากย์ขอ้ มูลสารสนเทศเหล่านั้นเพ่ือการปรับปรงุ พฒั นาของผู้เรยี นอยา่ งต่อเนอ่ื ง เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศกึ ษาครปู ฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู

๒๐ *เทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมนิ การเรียนรู้ การเรียนรู้ (Learning) คอื กระบวนการท่ีนาไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ทักษะ คุณคา่ หรอื ความ พึงพอใจที่เป็นสิ่งท่ีแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งใหม่อันเกิดจากประสบการณ์แล้วทาให้มีการเพ่ิมสมรรถนะ ศักยภาพของแต่ละบุคคลและเพ่ิมความสามารถของการเรียนรู้ ในอนาคต การเรียนรู้มีลักษณะเป็น กระบวนการ (process) ไม่ใช่ ผลผลิต (product) ดังน้ัน การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้จึงไม่ควร ให้ความสาคัญกับการประเมินสรุปผลการเรียนรู้(summative assessment) เพียงอย่างเดียว ผู้สอนควร ตระหนักให้ความสาคัญกับการประเมินผลระหว่างเรียน (formative assessment) เพราะสารสนเทศที่ได้ จากการประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรียนน้ันจะให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับปรุง หรือปรับเปล่ียนพัฒนาการจัดการเรียนร้ขู องครูผู้สอนและพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนให้มีโอกาสและแนวทาง ในการพัฒนาตนเองก่อนที่กระบวนการเรียนการสอนจะส้ินสุดลง เพราะเป้าหมายสาคัญของการเรียนรู้ คือการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการคิด ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมในระยะยาว ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 น้ันมีคุณลักษณะ(1) คล่องแคล่วและสามารถปรับตัว (Agility and Adaptability) สามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากและค้นหาวิธีการแก้ปัญหาท่ียากได้ สามารถเผชิญกับ การเปลี่ยนแปลง ส่ือสาร แสดงบทบาทได้หลากหลาย เข้าใจผู้อ่ืน (2) มีความคิดริเริ่ม และ ความเป็น นักประกอบการ (Initiative and Entrepreneurialism) สามารถแก้ปัญหา และมีความสามารถในการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ (3) มีความสามารถส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพด้านการพูดและการเขียน (Effective Oral and Written Communication) สามารถรายงานปากเปล่าและเขียนรายงาน แสดงความคิดเห็นร่วมกัน ในการแก้ปัญหา โต้ตอบเม่ือได้รับข้อเสนอแนะ เขียนเชิงสร้างสรรค์ (4) การเข้าถึงสารสนเทศ และการวิเคราะห์ สารสนเทศ (Accessing and Analyzing Information)

๒๑ การวิเคราะห์ความเหมือนและความตา่ งของการประเมนิ ผลระหว่างเรียนและการประเมินสรุปผลการเรียนรู้ Descriptors การประเมินผลระหวา่ งเรยี น การประเมนิ สรุปผลการเรียนรู้ วตั ถุประสงค์ (Formative assessment) (Summative assessment) การประเมิน จดุ เนน้ 1) เขา้ ใจการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนแต่ละราย ตรวจสอบการบรรลุเป้าหมายหรือ วธิ กี ารประเมิน 2) พัฒนาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนให้เรยี นรู้ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ของผู้เรียน ไดด้ ว้ ยตนเองอย่างอิสระ แต่ละราย ส่งิ ทีป่ ระเมนิ กระบวนการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ การทดสอบ การทดสอบ ระยะเวลาการประเมิน การปฏิบตั งิ าน การปฏบิ ัติงาน บทบาท การประเมินคุณลักษณะ-สมรรถนะ การประเมินคุณลักษณะ-สมรรถนะ ของผ้ปู ระเมิน ที่พึงประสงค์ ท่ีพงึ ประสงค์ ตามวตั ถุประสงค์และเกณฑม์ าตรฐาน ตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเกณฑ์ การเรยี นรตู้ ่างๆ (terms of มาตรฐานการเรยี นรูต้ ่างๆ (terms standards mastered) of standards mastered) ตลอดระยะของการเรียนการสอน ภายหลังส้ินสุดการเรยี นการสอน Prospective-proactive Retrospective-retroactive (Stufflebeam & Shinkfield, 2007) จากข้อเสนอแนะเก่ียวกับกระบวนทัศน์ใหม่ในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเห็นได้ว่า การประเมินการเรียนรู้ควรให้ความสาคัญท่ีทัดเทียมกันระหว่างการประเมินผลระหว่างเรียนและการประเมิน สรุปผลการเรียนรู้ แม้การประเมินสรุปผลการเรียนจะมีความสาคัญต่อการตัดสินผลการเรียนรู้ว่าบรรลุ ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่ ด้วยความสาคัญแล้วน้ันการประเมินระหว่างเรียนเป็นเครื่องมือสาคัญ ในการช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์รายวิชา พัฒนาผู้เรียนให้สามารถพัฒนา ศกั ยภาพของตนเองเปน็ สาคัญ การประเมินท่ีมตี ่อการเรียนการสอน การเรียนการสอนท่ีดีควรกระทาอยา่ งเป็นระบบ ครูผู้สอนต้องมี ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน กาหนดกิจกรรมการเรยี นการสอนให้สอดคล้องและตรงตาม วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ และต้องคานึงถึงพ้ืนฐานความรขู้ องผู้เรยี น การวัดและประเมนิ ผลจึงเปน็ กระบวนการ ตรวจสอบว่า การเรียนการสอนบรรลุตามจุดมุ่งหมายมากน้องเพียงใด ในที่นี้ความสาคัญของบทบาท การประเมินท่มี ีต่อการเรียนการสอนนี้ ทาใหก้ ารวดั และประเมนิ ทางการศกึ ษาส่วนใหญ่ให้ความสาคัญท่กี ารวัด และประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน การวัดและประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ดีจึงควรเป็นการรวบรวม เรียบเรียงข้อมูลสารสนเทศของตัวผู้เรียนท้ังด้านความรู้ ทักษะและคุณลักษณะต่างๆอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู

๒๒ *เทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมนิ การเรยี นรู้ ในการตัดสินใจว่าผู้เรียนได้มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนหรือไม่อย่างไร สารสนเทศที่ได้น้ีเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนในการพัฒนาตนเองท้ังในด้านความรู้และวิธีการเรียนรู้ ประโยชน์ สาหรับผู้สอนเพ่ือปรบั ปรุงพัฒนา คิดค้นนวตั กรรมเพื่อพฒั นาการเรียนการสอนที่เหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพ กับผู้เรียน ประโยชน์สาหรับผู้บริหารในการบริหารจัดการกระบวนการจัดการศึกษาและทรัพยากรสนับสนุ น การประกนั คณุ ภาพการศึกษา และชว่ ยให้ผ้ปู กครองมบี ทบาทมากข้นึ ในการสนบั สนุนการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น การประเมินผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 จึงต้องเป็นการประเมินทม่ี ีความต่อเนื่องเป็นการประเมนิ ท่ีไมเ่ น้น การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) แต่จะบูรณาการการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning/ Learning Feedback) และการประเมนิ ขณะเรยี นรูไ้ ปดว้ ย การประเมนิ เพือ่ การเรียนรู้ Assessment for Learning (AfL) การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning : AfL) เป็นกระบวนการรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ ตามสภาพจริงเก่ียวกับกระบวนการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในด้านการเรียนเพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to Do) การเรียนรู้เพ่ือการอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) และการเรียนรู้เพ่ือชีวิต (Learning to Be) โดยใช้วิธีการประเมินหลากหลายและเพ่ือให้ เข้าใจกระบวนการและการแสวงหาวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในแง่มุมต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ระบุและวินิจฉัย ปัญหา ให้ข้อติชมท่ีมีคุณภาพและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน เพื่อนาไปสู่การปรับกระบวนการการเรียนรู้ ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การประเมินเพ่ือการเรียนรู้เป็นการประเมินกระบวนการและวิธีการเรียนรู้ ของผเู้ รียน โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากสรรคนิยมหรอื ทฤษฎกี ารสร้างสรรค์ความรู้ (constructivism) การประเมินเพื่อการเรียนรู้นี้อาศัยข้อมูลสารสนเทศทางการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับเพื่อวินิจฉัย ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน ปรับปรุงวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการทางานของผู้เรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียน เปน็ รายบุคคล ผู้สอนวางแผนการเรียนในข้ันตอนตอ่ ไปให้บรรลผุ ลสาเร็จ โดยให้ขอ้ มูลที่มีคุณค่า ประกอบดว้ ย การใหข้ ้อมูลกระตนุ้ การเรยี นรู้ (feed-up) การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั (feedback) และการให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ ตอ่ ยอด (feed-forward) การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (feed-up) เปน็ การให้ข้อมูลพ้ืนฐานของการเรียนรู้ ได้แก่ จุดประสงค์ วิธีการ กระบวนการ สื่อ แหล่งการเรียนรู้และภาระงาน ตลอดจนวิธีการวัดและการเรียนรู้ท่ีแท้จริงเป็น กระบวนการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นภายในผู้เรียน การประเมินเพ่ือการเรียนรู้จึงมุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้กระบวนการและ วธิ ีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ความสามารถ เข้าใจและปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ของตนเองทั้งด้านเนื้อหาสาระ การปฏิบัติ การอยู่ร่วมกันและการประกอบอาชีพในอนาคต การประเมินเพื่อการเรียนรู้ประกอบด้วย การให้ ข้อมูลกระตุ้นการเรียน การให้ข้อมูลย้อนกลับ และการให้ข้อมูลต่อยอดการเรียนรู้ ดังนั้น การประเมินเพื่อ การเรียนรู้จงึ มคี วามสาคัญและสง่ ผลตอ่ การเปน็ บุคคลการเรียนรูแ้ ละอนาคตของผู้เรยี น

๒๓ กระบวนทัศน์ท่ีเป็นหลักคิดของการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ คือ กระบวนทัศน์กาหนดสร้าง (Constructivism) ซึ่งมีความเชื่อว่า ความรู้เกิดขึ้นจากการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเชื่อมโยงกับ ส่ิงที่กาลังเรียนรู้ ผู้เรยี นมลี ักษณะเป็น active learner สามารถหาวิธกี ารที่เหมาะสมในการเรยี นรูข้ องตนเอง ผู้สอนมีบทบาทสาคัญคือ ให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและปรับปรุงการเรียนรู้ของตนให้ไปสู่ เปา้ หมายการเรยี นรู้ สรปุ การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for learning : AfL) คอื การประเมินขณะท่ีการเรยี น การสอนยังดาเนินอยู่มุ่งชี้พัฒนาการและความก้าวหน้าของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านการให้ข้อมูล ย้อนกลับ (feedback) หรือคาแนะนา (advice) เก่ียวกับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ข้อมูลย้อนกลับ ท่ีสร้างสรรค์จะช่วยผู้เรียนรับรู้ถึง จุดอ่อน จุดแข็ง แนะนาวิธีการเพิ่มจุดแข็งในอนาคต เพื่อยกระดับการสร้าง แรงจูงใจ(motivation) และความมุ่งม่ัน (commitment) ในการเรียนรู้ของผู้เรียน และยังสะท้อนให้เห็นถึง ประสิทธิภาพการสอนสาหรับผู้สอนว่าควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนหรือจัดสิ่งแวดล้อม เพอ่ื สนบั สนนุ การเรียนร้อู ยา่ งไร ก่อนที่การเรยี นการสอนจะสิ้นสุดลง ตวั อยา่ งสถานการณ์การประเมินเพอ่ื การเรยี นรู้ ครูน้าหน่ึง ให้นักเรียนการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ด้วยแนวคิดที่แตกต่างกัน แล้วนาคะแนนของ นักเรียนมาบันทึกผล เพื่อแสดงถึงพัฒนาการด้านการคิดเช่ือมโยงและการเขียนสื่อความของนักเรียน แล้วแจ้งผล ใหน้ ักเรียนทราบ ดงั น้ี ชื่อ คะแนน ข้อเสนอแนะเพอ่ื การพัฒนาการเรยี นรู้ หมายเหตุ (10) ตน้ ตาล 9 คร้งั ท่ี 1 ควรสรุปความตามสงิ่ ทโ่ี จทยถ์ ามอย่างชดั เจน 10 ครัง้ ท่ี 2 ควรคานึงถงึ ความสะอาด แต่การสรุปความตามสิ่งท่ี โจทย์ถามได้ถกู ตอ้ งชดั เจน 10 ครง้ั ท่ี 3 มีการพฒั นาการทส่ี มบรู ณ์เป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย สอื่ สาร ไดช้ ัดเจนถกู ต้อง ใบบัว 8 ครัง้ ที่ 1 ควรปรับปรงุ ในลาดบั ขนั้ ตอนของการแสดงแนวคดิ และ สรุปความตามสิง่ ท่โี จทยถ์ ามอยา่ งชดั เจน 9 ครง้ั ท่ี 2 ลาดับขั้นตอนของการแสดงวิธีทาทาดขี น้ึ ขาดหายบา้ ง เล็กนอ้ ย การสรปุ ความชัดเจนถกู ต้อง 10 ครั้งท่ี 3 การแสดงแนวคิดสือ่ สารได้ครบถ้วยสมบูรณ์ ทางานเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศกึ ษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๒๔ *เทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ จากข้อมูลสารสนเทศข้างต้นทาให้ครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ท่ีเก่ียวข้องทราบถึงพัฒนาการความสามารถในการคิดเชื่อมโยงและการสื่อสารของนักเรียนในการวิเคราะห์ โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การให้การช่วยเหลือผู้เรียนให้พัฒนาเต็มตามศักยภาพย่อมดาเนินการได้เม่ือการ ประเมินเกิดข้ึนระหว่างผู้เรียนทาการเรียนรู้และครูผู้สอนดาเนินการสอนหรือจัดการเรียนปรับเปล่ียนให้ เหมาะสมกับพฒั นาการของผู้เรยี นเปน็ สาคญั การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Learning for assessment) กระบวนการที่ก่อให้เกิดสารสนเทศ เพ่ือการเรียนรู้ โดยการประเมินขณะเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สารสนเทศ จากการประเมินการเรียนรู้สะท้อนประสิทธภิ าพการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของผู้สอน นาไปสู่การปรับ การเรียนและเปลยี่ นการสอน เพ่ือใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรูอ้ ย่างเตม็ ศักยภาพและ มีความสุข และกาหนดระดับ คะแนนตามระดบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผูเ้ รียน การประเมินเพ่ือการเรียนรู้มีวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญ 3 ประการ คือ (1) เพื่อบ่งชี้ว่าผู้เรียนมีความรู้ ความคิด ทักษะ และคุณลักษณะท่ีสาคัญพอเพียงหรือไม่ (2) เพื่อวินิจฉัยจุดเด่นและจุดด้อยของผู้เรียน (3) เพ่ือบง่ ชีถ้ งึ ระดับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหรอื ผลการเรยี นรขู้ องผ้เู รียน การปฏบิ ัติทดี่ ีในการประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้ (1) ประเมนิ ตามหลกั การการประเมินเพ่อื การเรยี นรู้ การประเมนิ ขณะเรยี นรู้ และการประเมนิ ผล การเรยี นรู้ สอดคล้องกบั หลักสูตร และการสอนทเ่ี น้นผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง (2) ประเมนิ โดยใช้แรงเสริมในวธิ แี ก้ปญั หาของผู้เรียน ประเมินทัง้ การสอนและการเรยี นรู้ของผู้เรยี น (3) วดั และประเมินใหร้ อบด้าน มไิ ดม้ ุ่งเฉพาะเนื้อหาความรู้ พึงใหค้ รอบคลมุ กระบวนการเรียนรู้ และ ผลลัพธก์ ารเรียนรขู้ องผูเ้ รยี นตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิของชาติ (4) การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับแก่ผเู้ รยี นมีความเหมาะสม การประเมินการเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการ ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง และบูรณาการกับการสอน (5) มกี ารติดตามความก้าวหน้าของผู้เรยี นเป็นรายบคุ คล ทัง้ ในรายวิชาและหลักสูตร (6) มกี ารวดั และประเมินพฤติกรรมและผลการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี นและผู้สอน ด้วยวธิ ีการที่หลากหลาย ทัง้ วิธีการเชิงประเมินและเชงิ คุณภาพ โดยเฉพาะการประเมินตามสภาพจริง (7) พึงกระตุ้นให้ผู้เรียนไดด้ าเนนิ การประเมนิ ผลงานดว้ ยตนเอง (8) ต้องนาเสนอสารสนเทศจากการประเมนิ การเรียนรู้เพ่ือการตดั สนิ ใจของผู้เรียน ผสู้ อน ผ้ปู กครอง และผทู้ ่เี ก่ียวข้อง โดยเฉพาะการพฒั นาผู้เรียนและการปรับปรุงการสอนของผู้เรียน

๒๕ ผลลัพธ์การเรียนรู้สามารถจาแนกได้ 4 ดา้ น คอื (1) ความดี (2) ความรู้ (3) ความคดิ และ(4) ความสามารถ ซ่ึงครอบคลุมผลลัพธ์การเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วย คณุ ลักษณะ 6 ด้าน คอื (1) ด้านคุณธรรม จริยธรรม และความเป็นพลเมือง โดยเฉพาะความฉลาดทางศีลธรรม (2) ด้านแรงบันดาลใจ ใฝ่รู้ และจินตนาการ (3) ด้านความรู้ เพ่ือการดารงชีวิตและศึกษาต่อ (4) ด้านความคิดและเหตุผล (5) ด้านทกั ษะ โดยเฉพาะการคานวณ ภาษาและการสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศความสัมพันธ์ ระหวา่ งบคุ คล ทักษะชีวิตและอาชพี (6) ดา้ นภาวะผู้นา ประกอบดว้ ย การจดั การและควบคุมตนเอง การนาผอู้ น่ื และการจัดระบบงาน ผลลัพธ์การเรียนรู้ดังกล่าวจะนาไปสู่การกาหนดมาตรฐานและการประเมินการเรียนรู้ หลักสูตร และ กิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือให้บรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ รวมท้ังการผลิตและการพัฒนาครูท่ีเหมาะสม ตลอดจน การจดั การกับบริบทและสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เอ้ือต่อการเรียนรู้และความสุขของผูเ้ รียนให้มากท่สี ุด การประเมินขณะเรียนรู้ Assessment as learning (AaL) การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as learning :AaL) กระบวนการรวบรวมหลักฐานข้อมูล เชิงประจักษ์เก่ียวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียนรู้เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถ วางแผน กากับ วนิ ิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตน การให้ผู้เรยี นออกแบบแผนการเรียนรู้และฝึกให้ ผู้เรียนคิดทบทวนเก่ียวกับการเรียนรู้และกลยุทธ์ในการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่าง ต่อเนื่อง การประเมินขณะเรียนรู้เป็นการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของตนเอง ซ่ึงรับอิทธิพลจากทฤษฎี การคิดเกี่ยวกับการคิด (metacognition) การประเมินลักษณะนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้ประเภทหน่ึงท่ีเน้นให้ ผู้เรียนประเมนิ ตนเองและประเมินเพ่ือนเป็นระยะ ๆ ในระหวา่ งการทากิจกรรมการเรียนรู้ การประเมนิ ขณะเรยี นรู้ (Assessment as learning :AaL) มีประโยชน์ต่อผู้เรียน 5 ประการ ไดแ้ ก่ (1) กระตุ้นคุณลกั ษณะความรับผิดชอบในการเรียนร้ขู องตน (2) การเรียนรวู้ ิธกี ารประเมินตนเอง การประเมนิ เพอื่ น การรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผ้อู น่ื และการใหข้ ้อเสนอแนะเกีย่ วกับการเรยี นรู้ (3) การเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นตัง้ คาถามเก่ียวกับการเรียนรู้ของตน แล้วตอบคาถามน้ันด้วยตนเอง (4) ผเู้ รยี นไดใ้ ช้ผลการประเมินตนทงั้ ทเ่ี ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการในการกาหนดเปา้ หมาย การเรยี นรู้ของตนแล้วพัฒนาตนเอง (5) กระตุ้นผู้เรียนใหส้ ะท้อนผลลพั ธก์ ารเรยี นรใู้ ห้แกต่ นเอง เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครูปฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู

๒๖ *เทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๒ แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ ผูเ้ รยี นควรตงั้ คาถามตรวจสอบการเรียนรขู้ องตนเองดังต่อไปนี้ (1) จุดมงุ่ หมายของการเรียนคืออะไร (2) ได้ความรู้อะไรจากการเรียนในคร้งั นี้ (3) มวี ิธกี ารเรยี นรใู้ นเรอ่ื งนอ้ี ยา่ งไร (4) มคี วามเขา้ ใจสาระสาคัญท่ีเรียนนวี้ า่ อย่างไร (5) มเี กณฑ์การประเมนิ ผลการเรยี นรอู้ ย่างไร และประสบความสาเรจ็ ตามเกณฑ์นนั้ หรอื ไม่ (6) จะมีวิธกี ารยกระดับผลการเรียนรใู้ นการเรียนคร้งั ตอ่ ไปอย่างไร คาถามท้ัง 6 ประการน้ีสามารถปรับใช้กับการประเมินโดยเพื่อนได้ด้วย ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการเรียนรู้ (learning outcomes) ที่ผู้สอนกาหนดไว้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการกาหนดเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ การให้ข้อมูลย้อนกลับต่อผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจน การต้ังคาถามชี้แนะทางปัญญา (cognitive guided questions) เพ่ือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดต่าง ๆ ในการประเมินและแสวงหาแนวทางการพัฒนาตนเป็นการส่งเสริมคุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต ของผู้เรยี นอกี ด้วย ทฤษฎีพ้ืนฐานของกระบวนการเรียนรู้ คือ กระบวนการทางพุทธปิ ัญญา (cognitivism) การประเมินขณะ เรียนรู้เป็นการติดตาม อภิปัญญา (metacognition) ของผู้เรียน อภิปัญญา หรือ การรู้คดิ หมายถึง การตระหนัก และควบคุมการรู้คิดของบุคคล คือรู้ว่าตนเองอยู่ในกระบวนการคิดและสามารถควบคุมตนเองให้กระทาตาม กระบวนการเพ่ือให้บรรลุสู่เป้าหมายน้ันได้ ซึ่งกระบวนการนี้ประกอบไปด้วย การวางแผน(planning) การกากับ ติดตาม(monitoring) และการประเมิน(evaluation) ในกระบวนการเรียนรู้โดยตัวผู้เรียนเอง การประเมินขณะ เรียนรู้ เป็นการประเมินว่าผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์หรือออกแบบการการจัดการวิธีการเรียนรู้ของตนเองได้ เพียงใดและอย่างไร ในกระบวนการน้ีประกอบไปด้วย ผู้เรียนจะต้องตระหนักรู้ว่า อะไรคือส่ิงท่ีตนเองจะต้อง เรียนรู้ และสามารถกากับการเรียนรู้ของตนเองให้ไปสู่เป้าหมาย(self-monitoring) วัดและประเมินความก้าวหน้า ในการเรยี นรู้ของตนเอง(self-evaluation and self-assessment) ในตลอดระยะของการเรยี นรไู้ ด้ การประเมินขณะเรียนรู้ กระบวนการประเมินน้ีผู้เรียนจะได้เรียนรู้ว่าตนคือ ผู้เรียนรู้ และตระหนักรู้ ถึงวิธีการเรียนของตน ผู้เรียนมีจิตนิสัยกากับการคิดหรือการเรียนรู้โดยการนาตนเองไปสู่เป้าหมายได้อย่างมี อิสระเป็นการประเมินท่ีติดตามตรวจสอบ กระบวนการตระหนักรู้และการควบคุมกระบวนการคิดของผู้เรียน “monitoring metacognition” โดยผ่านกระบวนการสะท้อนคิด (reflect) ผ่านชิ้นงานหรือผลลัพธ์ของการ เรียนรู้ท่ีเกิดในระหว่างการเรียน โดยตัวผู้เรียนเอง (self-assessment) เพ่ือน (peers assessment) และ โดยครูผู้สอน มีบทบาทสาคัญของผู้สอนในการประเมินขณะเรียนรู้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยการนาตนเอง มีอิสระในการตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ด้วยตนเอง (setting goals) และสังเกตตนเอง

๒๗ (self-monitoring) ว่ามีความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้หรือไม่ คอยกากับติดตามความก้าวหน้า ของการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นและให้การสะท้อนคิดอย่างสม่าเสมอตลอดระยะการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตัวอย่าง ของผลลัพธ์การเรียนรู้ท่ีดี เช่นชิ้นงานท่ีประสบความสาเร็จ (exemplar or model of good practice) พร้อมท้ังชี้ให้เห็นถึงเกณฑ์ที่ชัดเจนของผลงานนั้น และจัดสิ่งแวดล้อมท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ใช้ โอกาสและความรูค้ วามสามารถอยา่ งเตม็ ที่ได้ตลอดเวลา การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning : Aal) เป็นกระบวนการรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลเชิงประจักษ์เก่ียวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ กากับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตน การให้ผู้เรียน ออกแบบแผนการเรียนรู้ ฝึกให้ผเู้ รียนคิดทบทวนเก่ียวกับการเรยี นรู้และกลยุทธ์ในการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียน พฒั นาการเรยี นร้ขู องตนเองตลอดเวลา การประเมินขณะเรียนรู้ กรอบการประเมนิ บทบาทหน้าทขี่ องครู และ ขน้ั ตอนในการประเมนิ ดังน้ี กรอบของการประเมิน 1. ความรู้ 2. ทักษะ/กระบวนการ 3. ความคดิ รวบยอด 4. เจตคติ บทบาทหนา้ ที่ของครู 1. กาหนดเป้าหมายรวมกนั เพอ่ื ใช้ในการประเมนิ ตนเอง 2. ยกตวั อย่างการประเมนิ ตนเอง และสอนทักษะการประเมินตนเอง 3. การใหค้ วามสนับสนนุ ควบคุมดแู ลนักเรียนใหป้ ระเมินตนเองจนสาเร็จ 4. ใหค้ วามสาคญั /เอาใจใส่กับผลงาน และให้คาแนะนาในการพัฒนาปรบั ปรุงผลงานของนักเรยี น 5. ส่งเสริมให้เพือ่ น ครอบครัว และสมาชิกในชมุ ชนมีส่วนในการประเมินผลงานและใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๒๘ *เทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ ขน้ั ตอนในการประเมิน 1. กาหนดวัตถุประสงคใ์ นการประเมินท่ีชดั เจน 2. แจ้งวัตถุประสงค์ของการประเมินให้ผ้เู รียนทราบ 3. กาหนดวิธีการประเมินรวมกนั ระหวา่ งครแู ละนกั เรียน 4. กาหนดภาระงาน/การปฏบิ ัติ 5. ผู้เรยี นประเมินตนเอง 6. เพ่ือนประเมนิ ผ้เู รยี น 7. ผู้ปกครองประเมนิ ผู้เรยี น 8. ครูประเมินผู้เรียน 9. ครูให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพ่อื การปรับปรุงและพฒั นา ตวั อยา่ งสถานการณ์การประเมินขณะเรยี นรู้ ครูต้นเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ ณ โรงเรียนแห่งหน่ึง ได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน หน่วยการ เรียนรู้ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยกาหนดเป้าหมาย ไว้ว่าเม่ือจบหน่วยการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถ จาแนก เขียนแสดงสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวรวมท้ังหาคาตอบ ตรวจสอบคาตอบ แก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับ สมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว การประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรียนสะท้อนให้เห็นถึงเงื่อนไขในการจัดการเรียนรู้ทน่ี าไปสู่ผลการเรียนรู้ ของผเู้ รยี น อกี ท้ังยังสามารถเสริมสร้างการเรียนรไู้ ด้ย่งิ ข้ึนพฒั นาผ้เู รียนเต็มตามศักยภาพเป็นสาคัญ

๒๙ ครูต้นใช้กระบวนการวัดและประเมินผลขณะเรยี นรู้ ดังนี้ * ครูให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดเกี่ยวกับการค้นหาสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว แล้วสรุปลักษณะที่ใช้ใน การจาแนกความแตกต่างสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวกับสมการในลักษณะอ่ืนๆ พร้อมให้ข้อมูลย้อนกลับยัง นกั เรยี นถึงความสามารถในการทาแบบฝึกหดั เพ่ือใหน้ ักเรยี นพัฒนาตนเอง * ครูให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดเก่ียวกับคาตอบของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว แล้วนักเรียนเขียน อธิบายหรือบอกเล่าให้เพื่อนฟังถึงวิธีการได้มาซ่ึงคาตอบของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ครูให้ข้อมูลย้อนกลับ ในความถกู ต้องหรือคลาดเคล่อื นของการเรียนรูข้ องนักเรียน * ครูให้นักเรียนกาหนดสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวแล้วแสดงการหาคาตอบ ครูตรวจสอบช้ีแนะ นักเรียนให้สามารถกาหนดสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวท่ีหลากหลายข้ันตอนการหาคาตอบ นักเรียนฝึกพัฒนา ตนเองตามคาแนะนาของครูผสู้ อน * ครูกาหนดโจทย์ปัญหาสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวให้นักเรียนแสดงการหาคาตอบ ฝึกการเขียน อธบิ ายทมี่ ลี าดับขั้นตอน ครูฝกึ ให้นกั เรียนชว่ ยกันตรวจสอบการดาเนินการของเพื่อนก่อนนางานมาส่งครูผสู้ อน ในการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง นักเรยี นได้ผลการตรวจสอบนาไปพฒั นาตนเอง *ครูประเมินผลงานนักเรียน ให้เพอ่ื นประเมินผลงาน พ่อแมผ่ ู้ปกครอง และให้นักเรียนประเมนิ ตนเอง ในแต่ละครัง้ ของการทางานเพ่ือการพฒั นาผลงานของตนใหด้ ยี ง่ิ ขน้ึ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ Assessment of learning (AoL) การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of learning :AoL) เป็นกระบวนการรวบรวมหลักฐานข้อมูล เชิงประจักษ์ต่าง ๆ เม่ือสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อตัดสินคุณค่าในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์ การเรียนรู้ เป็นการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซ่ึงแสดงถึงมาตรฐานทางวิชาการในเชิงสมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ สารสนเทศดังกล่าวนาไปใช้ในการกาหนดระดับคะแนนให้ผู้เรียน รวมทั้งใช้ใน การปรับปรุงหลักสูตรและการเรียนการสอน การประเมินการเรียนรู้หรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามองค์ 4 ทางการศึกษา คือ (1) พุทธิศกึ ษา (2) จริยศึกษา (3) หัตถศกึ ษา และ(4) พลศึกษา การประเมินผลการเรียนรู้ ดังกลา่ วไดร้ ับอิทธพิ ลจากทฤษฎีพฤตกิ รรมนยิ ม เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู

๓๐ *เทคนิคประเมินเพอื่ การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๒ แนวคิดการประเมนิ การเรยี นรู้ การประเมินผลการเรียนรูม้ ีวตั ถุประสงค์สาคัญเพ่ือตดั สินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น โดยผู้สอนมีบทบาท หลักในการประเมิน การประเมินมีลักษณะเป็นการประเมินสรุปรวม (summative assessment) ท่ีใช้ วัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นมาตรฐานการประเมิน ตลอดจนใช้วิธีการและเคร่ืองมือประเมินท่ีมี คุณภาพเช่ือถือได้ มีความเป็นทางการมากกว่าการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (assessment for learning) และ การประเมินขณะเรยี นรู้ (assessment as learning) บทบาทของผู้สอนในการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย (1) เป็นพี่เล้ยี งโดยการใหข้ อ้ มูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรคต์ อ่ ผเู้ รยี นเพ่อื พัฒนาผลการเรียนรู้ (2) เป็นผู้ช้ีแนะโดยการวินิจฉัยจุดบกพร่องในการเรียนรู้ของผู้เรียนและนามาสู่การดูแล ชว่ ยเหลือใหเ้ กดิ การเรียนรู้ (3) บันทกึ ผลการประเมิน ที่สะท้อนความกา้ วหน้าทางการเรียนรู้ของผเู้ รยี นอยา่ งเป็นระบบ (4) ส่ือสารผลการประเมินไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เช่น ผู้เรียน ผู้บริหาร ผู้ปกครอง (5) เป็นผู้จัดการคุณภาพ โดยนาผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพ ของการจัดการเรียนการสอน ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับหลักในการประเมินผลการเรียนรู้ คือ ทฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์(behaviorism) เช่น การเสริมแรง (reinforcement) ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองต่อส่ิงเร้า (stimulus- response association)และ operant leaning โดยรวมแล้วแนวคิดทางพฤติกรรมศาสตร์อธิบาย การเรียนรู้ ว่าเป็นพฤติกรรมอย่างหนงึ่ ของมนษุ ย์ และพฤติกรรมนี้จะถูกปรับเปล่ยี นโดยผลสบื เนือ่ งจากพฤติกรรมนั้น เช่น หากผลสืบเน่ืองเป็นไปในทางบวก ผู้เรียนย่อมแสดงพฤติกรรมนั้นบ่อยข้ึนหรือมากข้ึน หากผลสืบเน่ืองเป็นไป ในทางลบผู้เรียนจะลดพฤติกรรมนั้นลง โดยนัยพฤติกรรมการเรียนรู้มีซับซ้อน ประกอบไปด้วยส่วนประกอบ ยอ่ ยหลายสว่ น และอาจไมแ่ สดงออกมาเปน็ พฤติกรรมที่ชัดเจน เชน่ การคดิ การใหเ้ หตผุ ล มีความสัมพันธ์หรือ ได้รับอิทธิพลจากการเรียนรู้และประสบการณ์ท่ีได้รับในช้ันเรียนในช่วงเวลาท่ีต่อเนื่อง หากมีการเปลี่ยนแปลง กจ็ ะส่งผลสบื เนือ่ งไปในอนาคต การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์ควรเป็นการประเมินท่ีสร้างดุลยภาพของเป้าหมายการประเมิน และจัดลาดับการประเมินอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ือง โดยเริ่มจากการประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) ผ่านกระบวนการประเมินตนเองของผู้เรียน และได้รับข้อมูลย้อนกลับจากเพ่ือนและผู้สอนเพ่ีอ ชว่ ยเหลือผเู้ รียนเรียนรู้ในการพัฒนาตนเองตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ ตามหลักของการประเมนิ ระหว่างเรียน (formative assessment) และการประเมินผลนี้ยังช่วยให้ผู้สอนทราบถึงพัฒนาการและความก้าวหน้าการเรียนรู้ ของผูเ้ รียนในภาพของการเกิดการรอบรู้ ตามมาตรฐานการเรียนรตู้ ่าง ๆ (in terms of standards mastered) หรือการประเมินสรุปรวม(Summative assessment) อย่างไรก็ตามแนวคิดในการประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) ถือเป็นการประเมินที่สาคัญที่สามารถประเมินร่วมไปกับส่งเสริมและพัฒนาให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการนาตนเอง มีอิสระในการตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ด้วยตนเอง (setting goals) และ สงั เกตตนเอง (self-monitoring) วา่ มีความกา้ วหนา้ ตามเป้าหมายท่ตี นเองตั้งไวห้ รอื ไม่

๓๑ Assessment of learning หมายถึง การประเมินผลเพ่ือตัดสินผลการเรียนรู้ โดยการนาคะแนน จากการประเมินผลย่อยระหว่างเรียนและผลการทดสอบปลายภาคเรียนมารวมกัน เพื่อตัดสินเป็นระดับผล การเรียน (เกรด) ตดั สนิ เป็นระดับคุณภาพ (3 = ดีมาก 2 = พอใช้ 1 = ปรับปรงุ ) และตดั สินผ่าน ไมผ่ ่าน ตวั อยา่ งสถานการณ์ ครูน้าหน่ึงทาการวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัด มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยการทาแบบฝกึ และแบบทดสอบระหวา่ งเรียนแต่ละหน่วยการเรียนรู้และทาการทดสอบ ปลายภาคเรียนที่ 1 โดยการกาหนดอัตราส่วนในการเก็บคะแนนเป็น 60 : 40แล้วนาคะแนนมาบันทึกผล เพ่ือ ใชใ้ นการตัดสนิ ผลการเรียนปลายภาคเรยี นที่ 1 ดงั นี้ แบบสรุปผลการเรยี น กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 เลขที่ ค... คะแนนระหวา่ งเรยี น ค... รวม คะแนนสอบ รวม ระดับ ค... ค... ค... ค... (60) ปลายภาค (40) (100) ผลการเรยี น 1 8 9 9 10 10 10 56 38 94 4 2 8 8 9 9 10 9 53 37 90 4 3 4 5 5 4 6 7 31 29 60 2 4 6 7 8 8 9 8 46 32 78 3.5 5 7 8 9 9 10 9 52 35 87 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ (Assessment of Learning : AoL) คือการประเมินสรุป (Summative Evaluating) ซึง่ เป็นการประเมนิ เพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผู้เรยี นโดยจากประเมินภายหลังการฝึก กระบวนการเรียนการสอนครบตามเน้ือหา ว่าจะดาเนนิ การประเมินโดยผู้สอนมกี ารใช้เคร่ืองมือทมี่ ีคณุ ภาพผล ของการประเมินจะอย่ใู นรูปของคะแนนหรือ เกรด และผลคะแนนดังกล่าวจะแจ้งไปสูผ่ ู้ปกครองเพ่ือพัฒนาถึง ระดบั การเรียนของนกั เรียน ทงั้ น้ีนักเรยี นสามารถตรวจสอบทาความเขา้ ใจในระดับผลการประเมินทไ่ี ดร้ ับ แนวทางการประเมิน (assessment approaches) ซ่ึงมีความสาคัญ คือ (1) การประเมินผลของการเรียนรู้ (Assessment of Learning, Aof) (2) การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning, AfL) และ (3) การประเมินเป็นการเรียนรู้ (Assessment as Learning, AaL) สาหรับการประเมินผลของการเรียนรู้ (AoL) เป็นกระบวนการประเมินทน่ี าผลมาใช้เพื่อการตัดสินสรุปผลการเรยี นของผู้เรียนหลังจากการเรียนการสอนส้ินสุดลง ส่วนการประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning, AfL) และการประเมินเป็นการเรียนรู้ (Assessment as Learning, AaL) เป็นกระบวนการประเมินท่ีวัตถุประสงค์เพ่ือการพัฒนาหรือปรบั ปรุง (formative assessment) เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครูปฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู

๓๒ *เทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมนิ การเรียนรู้ ซ่ึงเกิดขึ้นทั้งก่อนการเรียนการสอน ในระหว่างกระบวนการเรียนการสอน การประเมินดังกล่าวจะให้สารสนเทศที่ แสดงถึงความรู้ ความสามารถและการปฏิบัติของผู้เรียนซึ่งได้รับการรวบรวมข้ึนมาด้วยวิธีการต่างๆ ซ่ึงสารสนเทศ เหล่านี้ครูจะให้ผลย้อนกลับ (feedback) กับผู้เรียนเพื่อที่จะได้นามาสู่การปรับปรุงการเรียนการสอนของครูท่ีจะ ช่วยให้ครูปรับปรงุ การเรียนรู้ของผู้เรียนใหด้ ียง่ิ ข้ึน การนาการประเมินมาใช้ประโยชนส์ าหรับการช่วยการเรยี นรู้ของ ผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่พัฒนาข้ึนนี้มีจุดเน้นที่เป็นการประเมินเพ่ือการพัฒนาหรือปรับปรุง (formative) เป็นสาคัญ การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (AfL) และการประเมินขณะการเรียนรู้ (AaL) จึงควรนามาใช้โดยตรงกับการ ประเมินในช้ันเรียน อย่างไรก็ตามการประเมินผลการเรียนรู้ (AoL) ก็สามารถนามาสู่การพัฒนาได้ถ้าสารสนเทศ ท่ีสรุปน้ันเป็นผลการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีนามาใช้ในการพิจารณาถึงผลของการจัดหลักสูตรเพ่ือการพัฒนาหลักสูตร และการวางแผนการสอนต่อไป บทสรุป แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ (Learning Assessment) แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง ดังนี้ (1) การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Learning for assessment) คือ การประเมินขณะที่การเรียนการสอน ยังดาเนินอยู่ มุ่งชี้พัฒนาการและความก้าวหน้าของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านการให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) หรือคาแนะนา (advice) เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์ จะช่วยผู้เรียนรับรู้ถึง จุดอ่อน จุดแข็ง แนะนาวิธีการเพิ่มจุดแข็งในอนาคต เพื่อยกระดับการสร้างแรงจูงใจ (motivation) และความมุ่งมั่น (commitment) ในการเรียนรู้ของผู้เรียน และยังสะท้อนให้เห็นถึง ประสิทธิภาพการสอนสาหรับผู้สอนว่าควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนการสอนหรือจัดสิ่งแวดล้อม เพ่ือสนับสนุนการเรียนอย่างไร ก่อนที่การเรียนการสอนจะสิ้นสุด (2) การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) คือ เป็นการประเมินติดตามการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียนรู้ เพื่อมุ่งเน้นการให้ข้อมูล ย้อนกลับแก่ผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ กากับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตน ผู้ที่มีส่วนร่วมในการประเมิน และให้ข้อมูลย้อนกลับ ได้แก่ ครู ผู้เรียน เพื่อนร่วมชั้น ผู้ปกครอง โดยครูคอยเป็นผู้ช่วยในความสะดวกสนับสนุนผู้เรียนให้เกิดการ เรียนรู้ (3) การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) คือ การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อตัดสินคุณค่าในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งแสดงถึงมาตรฐานทางวิชาการในเชิงสมรรถนะและคุณลักษณะ ท่ีพึงประสงค์ ถ้าการประเมินทั้ง 3 แนวทางนามาใช้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินเพ่ือการเรียนรู้จึงสามารถดาเนินการได้ในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าจะนาใช้ประโยชน์อย่างไร เพื่อที่จะทาให้การจัดการเรียนการสอนของครูมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดงั นนั้ ครูผู้สอนจึงควรบูรณาการการประเมินไปสูก่ ารวางแผนการจดั การเรยี นการสอน เพอื่ พฒั นาผูเ้ รยี นต่อไป มใิ ช่การประเมินเพ่ือสรุปผลการเรยี นรแู้ ละรายงานผลการเรยี นรขู้ องผู้เรยี นเท่าน้ัน

๓๓ กิจกรรม 2 : ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจ คาชแี้ จง: จงเลือกคาตอบที่กาหนดให้หรือเติมคาถามที่ถูกต้องจากข้อคาถามต่อไปนี้ 1. การประเมนิ ผลเพ่อื ปรบั ปรงุ การเรยี นรขู้ องผู้เรยี นนัน้ ข้อใดไม่ถกู ต้อง ก. การประเมินผลการเรียนรู้ก่อนเรียน ข. การประเมินผลการเรยี นรู้ระหวา่ งเรียน ค. การประเมนิ ผลการเรยี นร้ยู ่อยหลงั เรยี น ง. การประเมินผลการเรยี นรเู้ พ่อื ใหร้ ะดับผลการเรียน ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 2. การประเมินผลการเรยี นรู้เกี่ยวข้องสาคญั ตามขอ้ ใดมากท่ีสดุ ก. การประเมินผล คอื การทดสอบขอ้ เรียนรู้ ข. การประเมนิ ผลการเรียนรยู้ ดึ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรเู้ ป็นหลัก ค. การประเมนิ ผลการเรียนรเู้ ปน็ การทดสอบหลังจากจัดการเรยี นรู้ ง. การวัดผลการเรยี นรู้ คอื การประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนเปน็ สาคญั ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 3. การประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ่อนเรียนนาไปใชป้ ระโยชน์ในด้านใดมากทส่ี ดุ ก. เพอ่ื ชว่ ยเหลอื จัดหอ้ งเรียนสาหรบั ผเู้ รยี น ข. เพอ่ื จัดลาดบั ความรูพ้ นื้ ฐานเดมิ ของผ้เู รียน ค. เพอื่ การเตรยี มตวั วางแผนการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นและผสู้ อน ง. เพ่ือกาหนดนโยบายในการจดั การเรียนรใู้ หเ้ หมาะสมกับผู้เรียน ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 4. การใช้ผลการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร้ชู ว่ ยผู้เรยี นโดยตรงในเร่อื งใด ก. ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ใหผ้ เู้ รียนรักในการเรยี น ข. ชว่ ยเพิม่ ความม่ันใจในการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น ค. ช่วยแนะขอ้ เรียนรู้ที่บกพร่องเพอ่ื การพฒั นาตน ง. ช่วยให้ผ้เู รียนเข้าใจจุดประสงคก์ ารเรียนรขู้ องตน ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๓๔ *เทคนิคประเมนิ เพ่อื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๒ แนวคิดการประเมินการเรยี นรู้ จงใช้ตวั เลือกต่อไปนต้ี อบคาถามขอ้ 5 – 10 ก. การประเมินผลการเรยี นรู้ (assessment of learning; Aol) ข. การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) ค. การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Learning for assessment) 5. บทบาทของการประเมินใดท่ผี ู้สอนและผเู้ รียนตา่ งมขี ้อมลู ย้อนกลบั ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 6. จุดมุ่งหมายของการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้วรายงานผลให้ผู้เรียนพ่อแม่ ผ้ปู กครองรับรูเ้ ก่ียวขอ้ งกับการประเมินในข้อใด ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 7. การประเมินตามข้อใดที่บทบาทของการประเมินน้ันผู้สอนจะไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลย้อนกลับ ผ้เู รียนขาดโอกาสในการพฒั นาการเรยี นร้ใู หเ้ ต็มตามศักยภาพ ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 8. บทบาทของการประเมินเพือ่ ชี้แนะใหผ้ เู้ รยี นวิเคราะห์ ระบุจดุ แขง็ จุดอ่อนของตนเองเป็น แลว้ รู้จัก สะท้อนตนเอง มองหาวิธกี ารพัฒนาตนเองได้ ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 9. จุดมุ่งหมายของการประเมินตามข้อใดทาให้ได้ข้อมูลในการปรับการเรียนจัดการเรียนรู้ ให้ข้อมูล ย้อนกลบั แก่ผู้เรียน ดาเนินการอยา่ งตอ่ เนื่อง ตอบ:………………………………………………………………………………………………………… 10. การประเมินตามข้อใดมจี ดุ มุ่งหมายเพอ่ื พัฒนา self-assessment, self-reflection ของผูเ้ รียน ตอบ:…………………………………………………………………………………………………………

๓๕ เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศกึ ษาธิการ.สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน.สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2557) .แนวปฏบิ ตั ิการวดั และประเมินผลการเรยี นรตู้ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑.พิมพ์คร้ังที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๗ .กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จากัด. ราชบัณฑิตยสถาน. (2558) . พจนานกุ รมศัพทศ์ ึกษาศาสตรร์ ่วมสมยั ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.กรงุ เทพมหานคร: สานกั งานราชบณั ฑติ ยสถาน. วจิ ารณ์ พานิช. (2556) . การเรียนรู้เกิดขึ้นอยา่ งไร. กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอส.อาร์พริ้นตง้ิ แมสโปรดักส์ จากัด. สานักงานทดสอบทางการศึกษา.(2557). หลักสูตรฝึกอบรมเทคนิคการวัดและประเมินผลระดับช้ันเรียน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั องอาจ นยั พัฒน์. (2557). การวัดประเมนิ ตามสภาพจรงิ โดยการปฏบิ ตั ิ และจากแฟม้ สะสมงานเอพัฒนา/ ปรบั ปรงุ การเรียนรู้ : แนวคิดและวธิ กี าร, เอกสารประกอบการบรรยาย มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี จิตณรงค์ เอี่ยมสาอาง.(2559). การวดั และประเมนิ ผลในชั้นเรยี น : ปัจจัยสู่ความสาเรจ็ ในการพฒั นาผเู้ รียน, วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศิลปากร,14(1)27. Chappuis Ja. n. 2005. Available Source: http://web.archive.org/web/20051024083623, September 14, 2014. Linda D. Hammond cited in Neil Stephenson. 2007. Introduction to Inquiry Based Learning (online). www.teachinquiry.com/index/Assessment, September 14, 2014. Berry, R. 2008. Assessment for learning. Hong Kong: Hong Kong University Press. Chappuis, S. and R. Stiggins. 2002. “Classroom Assessment for Learning” Educational Leadership 60(1): 40-43. Stufflebeam, D.L. and Shinkfield, A.J. 2007. Evaluation Theory, Models, and Applications. U.S.A.: Jossey-Bass. ********************************************************************* เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู

บทท่ี ๓ เทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรียนรู้ (Assessment for Learning Strategies) สาระการเรียนรู้ 1. ข้อตกลงระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (Learning Contract) 2. การตั้งคาถาม (Questioning) 3. การสังเกต (Observation) 4. การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) 5. การประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อน (Self and Peer Assessment) 6. การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แนวคิดรวบยอด การประเมินผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เป็นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ตามแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้น ไปท่ีผู้เรียนเป็นสาคัญมากกว่าครูผู้สอนใช้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการในการขับเคลื่อน วางแผนออกแบบการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียนจึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องให้ความสาคัญกับเทคนิค ประเมินเพื่อการเรียนรู้ในเทคนิคการใช้ข้อตกลงระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (Learning Contract) ซ่ึงจะช่วยให้เกิด ความร่วมมือในการเรียนรู้ระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียนเป็นสาคัญ เทคนิคการต้ังคาถาม (Questioning) เน่ืองจาก คาถามเป็นตัวกระตุ้น/ชี้แนะให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตนเอง แต่จะเป็นประโยชน์มากหรือ น้อยขึ้นอยู่กับรูปแบบของคาถามและเทคนิคการใชค้ าถาม เทคนิคการสังเกต (Observation)ชว่ ยให้ครูผู้สอนใหก้ าร ช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันที่ท้ังนี้เพราะหากผู้เรียนไม่เข้าใจในส่ิงท่ีเรียนรู้ติดขัดไม่กล้าถามครูผู้สอนสามารถอธิบายเพ่ิม ท้ังภาพรวมและรายบุคคล เทคนิคการบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) ช่วยให้ท้ังครูผู้สอนและผู้เรียน ตรวจสอบความครบถ้วนในสาระการเรียนรู้ได้อีกคร้ังหากไม่ครบครูผู้สอนวางแผนในการจัดการเรียนรู้เพิ่มเติม ซ่ึงผู้เรียนนาผลการบันทึกมาไว้ทบทวนและเรียนรู้เพ่ิมเติม เทคนิคการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพ่ือน (Self and Peer Assessment) เสริมสร้างทักษะการรับฟังปรับปรุงแก้ไขเพ่ือพัฒนาตนเองย่ิงขึ้น เทคนิคการ ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)เป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและการวางแผนจัดการเรียนรู้ ที่เหมาะสมสาหรับผู้เรียน ท้ังนี้การใช้เทคนิคประเมินเพื่อให้ครูเข้าใจว่านักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างไร เข้าใจ หรือไม่ ครูสามารถหาแนวทางการสอนทีช่ ว่ ยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเรียนรู้ได้อย่างแท้จรงิ ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวงั เมื่อศึกษาเนื้อหาบทนี้เสร็จแล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปน้ีได้ 1. อธิบายถงึ เทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรียนรู้ได้ 2. สามารถสรุปแนวคิดและหลักการทีส่ าคญั ของเทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรู้ได 3. สามารถยกตวั อย่างเพอ่ื แสดงการใช้เทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรูไ้ ด้อยา่ งเหมาะสม เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นักศึกษาครปู ฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพื่อการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู

๓๗ การประเมินการเรียนรขู้ องผเู้ รียนน้ันเป็นหวั ใจสาคัญยงิ่ ประการหน่ึงสาหรับกระบวนการจัดการศึกษา เพ่ือการปรับกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงสอดคล้องกับพัฒนาการ ของสมองแต่ละช่วงวัย ให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมท้ังในและนอกห้องเรียนที่เอ้ือต่อการพัฒนาทักษะชีวิตและ ทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง อาทิ การอ่าน การบาเพ็ญประโยชน์ทางสังคม การดูแลสุขภาพการทางาน รว่ มกันเป็นกลุ่ม การวางแผนชีวิต ซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ได้มุ่งให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาพัฒนาการ ของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมการทดสอบควบคู่ในกระบวน การเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดบั และรูปแบบการศึกษา ด้วยว่าเจตนารมณ์ใหก้ ารประเมิน ผู้เรียนเป็นองค์ประกอบสาคัญที่ต้องทาหน้าที่สาคัญสองประการ ประการแรก คือ เพื่อการพัฒนาผู้เรียน โดยเกบ็ รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผลการเรยี นและการเรียนร้ขู องผู้เรียนในระหว่างการเรยี นการสอนอย่างตอ่ เนอ่ื ง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล แล้วนามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียน และการสอนของครูการประเมินผลกับการสอนจึงเป็นเรื่องท่ีสัมพันธ์กัน หากขาดส่ิงหน่ึงสิ่งใดการเรียน การสอนก็ขาดประสทิ ธภิ าพ สารสนเทศของการประเมิน เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบ ทบทวนพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาท่ีจะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริม สนับสนุน เพื่อใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จาแนกตามสภาพ ปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนท่ีมีความสามารถพิเศษกลุ่มผู้เรยี นท่ีมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนต่า กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนท่ีปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนท่ีมี ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มผู้เรียนท่ีพิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้นข้อมูลจากการประเมิน จึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดาเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที อันเป็นโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการ พัฒนาและประสบความสาเร็จในการเรียน การใช้เทคนิคในการประเมินเพื่อการเรียนรู้ หมายถึง การใช้ข้อตกลงระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (Learning Contract) การตั้งคาถาม (Questioning) การสังเกต (Observation) การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) การประเมินตนเองและการประเมินโดยเพื่อน ( Self and Peer Assessment) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมินเพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู

๓๘ *เทคนคิ ประเมนิ เพ่อื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies การใช้ข้อตกลงระหวา่ งผูส้ อนและผูเ้ รยี น (Learning Contract) การใช้ข้อตกลงระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (Learning Contract) หมายถึง ข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ครูกับผู้เรียนในคาบแรกของการจัดการเรียนรู้ว่าจะเรียนรู้อะไรและจะใช้การประเมินอย่างไรเพื่อให้เหมาะสม กับความต้องการของนักเรียนพร้อมบันทึกข้อตกลง ได้แก่ จุดประสงค์ในการเรียน เกณฑ์การประเมิน ตารา เอกสาร แหลง่ ขอ้ มูลทใี่ ช้ในการเรียนรู้ ระยะเวลาในการเรียน แนวคดิ ในการจัดการเรยี นการสอนโดยใช้การวจิ ัยเป็นฐานได้ประยุกตจ์ ากการใชส้ ัญญาแหง่ การเรยี นรู้ (Learning contract) ตามแนวคิดของ Malcolm Knowles การเรียนรู้ด้วยการนาตนเอง (Self-Directed Learning) ลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนาตนเอง เป็นคุณลักษณะของผู้ท่ีมีความพร้อมในการเรียนรู้ ซง่ึ มีองคป์ ระกอบสาคญั 8 ประการ คอื (1) การเปิดโอกาสตอ่ การเรยี นรู้ (2) มโนมติของตนเองในดา้ นการเป็น นักเรียนท่ีมีประสิทธิภาพ (3) มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (4) มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน (5) มีความรักในการเรียน (6) มีความคิดสร้างสรรค์ (7) มองอนาคตในแง่ดี และ (8) สามารถใช้ทักษะการศึกษา หาความรแู้ ละทักษะการแก้ปัญหา การสร้างข้อตกลงร่วมระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในการเรียนรู้ในการประเมินความต้องการและจัดการกับ เครื่องมือเพื่อช่วยวางแผนการเรียนรู้ แสดงถึงความเป็นเจ้าของในกระบวนการเรียนรู้ในการทาสัญญาการเรียนรู้ น้ัน ผู้เรียนอาจเป็นผู้กาหนด วัตถุประสงค์ บทบาท เนื้อหา ระยะเวลาและผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงผู้สอนอาจ มีส่วนร่วมด้วยในบางส่วนมีการกาหนดภาระ \"หน้าที่ของผู้เรียนและผู้สอน และกาหนดข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย เม่ือเขียนสัญญาแล้วผู้เรียนก็เร่ิมดาเนินการโดยผลิตผลงานให้ เป็นไปตามสัญญานั้น ผู้สอนเป็นผู้ให้คะแนน ข้อแนะนาว่าควร ปรับปรุงงานอย่างไร เน่ืองจากผู้เรียนอาจไม่เคยชินกับการเรียน แบบน้ี ผู้สอนอาจต้องยืดหยุ่น หรอื ดคู วามพร้อมของผู้เรยี นในดา้ นเวลา เนื้อหาการเรยี นรู้ การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์และการวัดผลการเรียนรู้ ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรสู้ าระการเรียนรทู้ ง้ั หมด เพอื่ สรา้ งเป้าหมายการเรยี นร่วมกนั ทงั้ นี้ ครผู สู้ อนเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดม้ ีสว่ นร่วม ในการกาหนดระยะเวลาของการเรียนรู้และ กาหนดเปา้ หมายทผี่ ู้เรียนจะสามารถทาได้

๓๙ การกาหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนให้ชัดเจน แล้วแจ้งให้ผู้เรียนทราบเปิดโอกาส ให้ ผู้ เรี ย น แส ด งแน ว ทา งในกา รส ร้ า งกา ร เรี ย นรู้ สู่ เ ป้า ห มาย จ ะช่ ว ย ให้ กา รเ ลื อก วิ ธี กา ร จั ดกา รเ รี ย นรู้ ได้ อย่างเหมาะสมกับผู้เรียนการวัดและการสร้างเครื่องมือมีคุณภาพวัดได้ตรงตามส่ิงท่ีวัดและทาให้สามารถ ใช้วัตถุประสงค์น้ันเป็นเกณฑ์ในการตีความหมายผลการวัดและการประเมินที่ได้มาด้วยในกระบวนการวัด และประเมนิ การเรยี นรู้ สง่ิ ท่วี ัดใหช้ ัดเจนจึงจาเปน็ ตอ้ งกาหนดจดุ มงุ่ หมาย ตัวอยา่ งสถานการณ์สรา้ งขอ้ ตกลงระหว่างผู้สอนและผู้เรียน(Learning Contract) สถานการณ์ 1 : ครูน้าหน่งึ แจ้งนักเรยี นถงึ สาระการเรียนร้ใู นคร้ังน้ีว่า “การแก้สมการเชิงเสน้ ตวั แปร” เมื่อนักเรียนได้รูปสมการการเชิงเส้นตัวแปรเดียวแล้วนักเรียนคาดว่านักเรียนควรดาเนินการเช่นไรได้ เม่ือนกั เรยี นเรียนรรู้ ่วมกนั แลว้ ขอ้ ตกลงระหวา่ งผู้สอนและผู้เรียน(Learning Contract) เม่ือกาหนดสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียวมาใหแ้ ล้ว  นักเรียนตอ้ งสามารถแสดงการหาคาตอบของสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดยี วได้  นกั เรยี นต้องแสดงการตรวจสอบคาตอบท่ไี ดด้ ว้ ยวิธีการท่ีชัดเจนเป็นต้น สถานการณ์ 2 : ครูฝนแจ้งสาระการเรียนรู้ในคาบเรียนนี้ว่า “โจทยก์ ารหาพื้นทรี ูปสี่เหลี่ยมชนดิ ต่างๆ” ท้งั น้ีนักเรยี นควรแสดงความสามารถได้อย่างไรบา้ งเม่ือได้เรียนร้ใู นคาบเรยี นนี้แล้ว ขอ้ ตกลงระหว่างผสู้ อนและผู้เรยี น(Learning Contract)  ถ้าครกู าหนดรปู สี่เหลย่ี มมาใหน้ ักเรยี นต้องระบชุ ่อื บอกลกั ษณะได้  นักเรยี นสามารถระบุสตู รการหาพืน้ ที่สัมพนั ธ์กับรูปสเ่ี หลีย่ มทก่ี าหนดใหไ้ ด้  นักเรยี นแสดงการหาพนื้ ทร่ี ูปสี่เหลยี่ มทก่ี าหนดโจทย์ให้ไดอ้ ยา่ งละเอยี ดครบถ้วน สถานการณ์ 3 : ครูอิงอรแจ้งการเรียนรู้ในคาบเรียนน้ีว่า นักเรียนจะได้เรียนรู้ทาความเข้าใจสาระ การเรียนรู้ “การเขียนจานวนเต็มในรูปเลขยกกาลัง” เม่ือการเรียนรู้เสรจ็ นักเรียนทราบหรือไม่ว่านักเรียนต้อง แสดงความสามารถที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้นอี้ ย่างไร ขอ้ ตกลงระหว่างผูส้ อนและผู้เรยี น(Learning Contract)  นกั เรยี นสามารถระบจุ านวนเต็มทีส่ ามารถแสดงในรูปเลขยกกาลังได้  นักเรียนอธิบายขั้นตอนการเขยี นจานวนเต็มในรปู เลขยกกาลังได้อย่างชดั เจน  นักเรยี นแสดงการเขียนจานวนเตม็ ในรูปเลขยกกาลังได้อยา่ งเป็นลาดบั ขน้ั ตอน  นักเรยี นสามารถหาจานวนเตม็ ทแี่ ทนรูปเลขยกกาลงั ทกี่ าหนดใหไ้ ด้ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นกั ศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ครู

๔๐ *เทคนิคประเมนิ เพื่อการเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies การตัง้ คาถาม (Questioning) การตั้งคาถาม (Questioning) หมายถึง การใช้คาถามเป็นเทคนิคที่ครูจะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนในห้องเรียน โดยแบ่งคาถามออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ คาถามขั้นต้น คือ คาถามที่ครูต้ังข้ึนเพ่ือถาม ความรู้ที่นักเรียนได้เรียนผา่ นมาแลว้ คาถามขัน้ สงู คือ คาถามทคี่ รูต้องการใหน้ ักเรียนได้ใช้ทักษะการคดิ วิเคราะห์ เพือ่ ตอบคาถาม การต้ังคาถามว่าเป็นเทคนิคของการประเมินที่สาคัญท่ีจะส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้โดยเฉพาะ การสร้างทักษะการคิดระดับสูง ครูผู้สอนอาจใช้การตั้งคาถามปลายเปิดกว้าง ๆ ในการนาเข้าสู่เรื่อง (Scene- setting) คาถามปลายเปิดจะมีประโยชน์มากกว่าคาถามปลายปิดในการกระตุ้นให้นักเรียนฝึกคิด พูด และ ส่ือความเข้าใจ ครผู ู้สอนอาจตัง้ คาถามโดยใช้เทคนิคการตั้งคาถามให้นักเรยี นคิดหาคาตอบที่เป็นไปได้ทห่ี ลากหลาย ตัวอย่างการตั้งคาถาม (Questioning) สถานการณ์ : คาถามความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับประชาธิปไตย คาถามท่ี 1: ประชาธปิ ไตยหมายถงึ อะไร คาถามท่ี 2: ประชาธิปไตยอาจจะหมายถึงอะไรไดบ้ ้าง คาถามที่ 1 ถามเพื่อให้ได้คาตอบเดียวให้ตรงกับท่ีครูรู้ในขณะท่ีคาถามท่ี 2 คาถามจะเปิดกว้างให้ นกั เรียนไดแ้ สดงความเห็นไดม้ ากกวา่ ดังน้ันในการถามคาถามของครูผู้สอนต้องวางแผนที่จะถามท้ังนี้หากถามเพ่ือความจาได้จะถามตาม คาถามท่ี 1 ซึง่ หากต้องการถามเพ่ือพัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียนรวมท้ังสร้างความกล้าในการแสดงความ คิดเห็นควรถามตามคาถามทส่ี อง นอกจากน้ันควรปรับคาถาม (Invert the Question) ที่วัดความรู้ความจา เป็นคาถามท่ีแสดงเหตุและ ผลมากกว่า เช่น ปรับจากคาถามว่า ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยหรือไม่เป็น ประเทศไทย เป็นประเทศประชาธิปไตย หมายถึงอะไร หรืออาจตั้งคาถามเชิงเหตุผล เช่น ปรับจากคาถามว่า งูเป็นสัตว์ชนิดใด เปน็ งเู ปน็ สตั วเ์ ลื้อยคลานเพราะเหตใุ ด

๔๑ สานักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (2557) กล่าวถึงการส่งเสริมให้นักเรียนฝึกคิดนอกจากการตั้ง คาถามแล้วยังมีหลายเทคนิคท่ีจะส่งเสริมให้นักเรียนระดับสูง เช่น การให้นักเรียนตั้งคาถามและการเปิดโอกาส ให้นักเรียนคิดอย่างอิสระ ในการฝึกให้นักเรียนต้ังคาถามครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนต้ังคาถามด้วยตนเอง ในบางครั้งนักเรียนจะตั้งคาถามเองไม่ได้ครูอาจมีตัวอย่างแนวการต้ังคาถามท่ีดี (Good Question Stems) ติดไว้ หน้าชั้นการต้ังคาถามของนักเรียนอาจเกี่ยวข้องกับ การจัดการเรียนรู้ เช่น เก่ียวกับส่ิงท่ีนักเรียนต้องการเรียนรู้ การตั้งคาถามเพ่ือถามครูหรือเพ่ือนนักเรียนเพื่อประเมินการเรียนรู้ และการถามคาถามเก่ียวกับผลงานของตนเอง วิธีการต้ังคาถามของนักเรียนอาจกระทาด้วยวาจา (Students ask Questions) หรือการตั้งคาถามโดยวิธีการ เขียนลงในกระดาษ (Students write Questions) ครูอาจจัดกล่องสาหรับรับคาถามของนักเรียน เพ่ือให้นักเรียน ที่ต้องการต้ังคาถามสามารถทาได้ตลอดเวลา แล้วครูหรือเพื่อนนักเรียนจะตอบคาถามในภายหลัง นอกจากน้ันครู ควรฝึกทักษะการคิดให้กับนักเรียน ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกคิด เมื่อครูตั้งคาถามแล้วควรให้เวลา (Wait-time) นักเรียนคิดก่อนตอบ หรือหลังจากที่นักเรียนตอบแล้วครูอาจจะไม่ตอบสนองในทันที แต่เปิดโอกาส ให้นักเรียนคิดก่อน แล้วครูค่อยตอบสนองต่อคาตอบของนักเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทบทวนความคิด ของตนเอง หรือเปิดโอกาสให้เพ่ือนนักเรียนได้คิดเก่ียวกับคาตอบนั้น ๆ บางครั้งครูอาจให้นักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันระดมสมอง บันทึกผลการระดมสมองและอภิปรายในกลุ่มใหญ่ การอภิปรายในกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่นี้ จะช่วยให้นักเรียนฝึกการคิดในระหว่างที่พูด (Think through Talking) ในบางคร้ังนักเรียนอาจมีปัญหาในการ ตอบคาถามเน่ืองจากไม่เข้าใจความหมายของคาในคาถามของครู จึงอาจพูดคยุ เก่ียวกบั คาในคาถามก่อน (Discuss Words) เช่น อาจถามนักเรียนว่ามีคาไหนที่นกั เรียน ไม่เข้าใจ นักเรียนเข้าใจความหมายของคาวา่ อย่างไร สาหรับ นักเรียนบางส่วนท่ีไม่ชอบคิดด้วยตนเอง หรือตอบคาถามตามเพื่อน ครูอาจใช้เครื่องมือเป็นบัตรคาตอบ A B C D ใหน้ กั เรียนเลอื กชพู ร้อมกัน เพอื่ ฝกึ ให้นกั เรียนคิดตัดสนิ ใจดว้ ยตนเอง วัตถปุ ระสงคโ์ ดยทั่วไปของการใชค้ าถาม มีดังนี้ 1. เพอ่ื กระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นได้ใชค้ วามคิดและคน้ หาแนวคดิ ใหม่ๆ 2. เพื่อประเมินความรูเ้ ดมิ ของผู้เรียนและสามารถเชอื่ มโยงประสบการณเ์ ดิม ของผู้เรยี นกับประสบการณ์ใหมท่ ีจ่ ะจัดให้กับผเู้ รยี น 3. เพื่อเตรียมผูเ้ รียนใหพ้ ร้อมก่อนทีจ่ ะเรียนบทเรียนใหม่ และทบทวนหรอื สรุปบทเรยี น 4. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดม้ ีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน และวัดผลประเมนิ ผลการเรียน 5. เพื่อเสริมสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้สอนกบั ผูเ้ รยี นใหม้ ีความเขา้ ใจอันดตี ่อกัน คาถามมีการแบ่งหลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการแบ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้คาถาม ขั้นตอนของการสอน ลกั ษณะของคาตอบไดจ้ าแนกประเภทของคาถามไว้แตกตา่ งกนั สรปุ ได้ดังนี้ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู

๔๒ *เทคนิคประเมินเพ่อื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies 1. คาถามท่ัว ๆ ไปที่ไม่เก่ียวกับเนื้อหาวิชา (managerial questions) ซ่ึงเป็นคาถามเพื่อการ ดาเนินการสอน หรือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ดาเนินไปในทิศทางท่ีต้องการนอกจากน้ียังใช้กระตุ้น ความสนใจของผูเ้ รียน 2. คาถามเน้นความ (rhetorical questions) ใช้เพ่ือเน้นเร่ืองท่ีจะพูด เป็นวิธีการหน่ึงของการอธิบาย ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจช่วยเน้นหรือเร้าความสนใจของผู้เรียนได้มากขึ้น จุดมุ่งหมายของคาถามประเภทน้ี ไม่ใช่อยู่ท่ี คาตอบว่า “ใช่” หรอื “ไมใ่ ช่” แตเ่ ป็นการบอกข้อเทจ็ จรงิ และเพ่ือเร้าความสนใจของผเู้ รียนมายงั เรื่องน้ัน ๆ ด้วย 3. คาถามท่ีมีคาตอบแน่นอน (closed questions) เป็นคาถามทีม่ ีคาตอบจากัดและแน่นอน ไม่ว่าจะ ถามคาถามน้ีกับผู้เรียนคนใดก็หวงั จะได้รับคาตอบแบบเดยี วกัน คาถามประเภทนไ้ี ม่เก่ียวกับความคดิ เหน็ ส่วน ใหญ่จะเปน็ คาถามเกยี่ วกบั ข้อเทจ็ จรงิ หรอื ส่ิงที่ผูเ้ รียนไดเ้ คยเรียนมาแล้ว 4. คาถามที่มีคาตอบได้หลายอย่าง หรือคาถามแบบกว้าง (open-ended questions) เป็นคาถามที่มี คาตอบท่ีเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งหรือสองคาตอบ ผู้เรียนจะต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาแล้วมาประมวลกันเข้าเพ่ือ ตอบคาถาม คาถามประเภทนี้ได้แก่ คาถามทถี่ ามให้ผู้เรียนลงความเห็นจากข้อมูล ตง้ั สมมติฐาน ออกแบบการ ทดลองพยากรณ์ รวมถึงการถามเกีย่ วกบั การประเมินความรู้สึก ลักษณะของคาถามที่ดี คาถามท่ีดีช่วยให้การใช้คาถามของผู้สอนบรรลุวัตถุประสงค์มากยิ่งขึ้น ลักษณะของคาถามท่ีดีมี ลกั ษณะดงั นี้ 1. สามารถกระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นไดค้ ดิ ทัง้ ในดา้ นเหตผุ ล การวเิ คราะห์ สร้างสรรค์ และเป็นคาถามที่ทา้ ทาย ยวั่ ยุผู้ตอบ 2. สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ของการเรยี นแตล่ ะเน้ือหา 3. เหมาะสมกับระดบั ชั้นของผเู้ รียนไม่ยากหรือง่ายเกินไป 4. ใช้ภาษางา่ ยๆ เฉพาะเจาะจง ส้นั กะทัดรดั ได้ความครบ 5. ขึน้ ต้นประโยคโดยใช้คาถามแทนทีจ่ ะบอกข้อความก่อนแล้วถามคาถามทีหลงั ตวั อยา่ งเช่น แทนที่ จะถามโดยใช้ประโยควา่ “ไดโนเสารค์ รองโลกมาหลายร้อยล้านปี ในช่วงยคุ ใด” ก็ใช้ว่าใน “ยคุ ใดท่ีไดโนเสาร์ ครองโลก” จะดกี ว่า 6. ไมค่ วรตงั้ คาถามหลายคาถามในขณะเดียวกัน และไม่ตง้ั คาถามนิเสธพรอ้ มทงั้ ควรเปน็ คาถามแบบ เปดิ เพ่ือใหผ้ ู้เรียนไดใ้ ช้ความคดิ แบบอเนกนยั 7. ต้องมีระดับความยากง่ายพอเหมาะกับช้ันที่เรียนและวุฒิภาวะของผู้เรียนจากลักษณะของคาถามที่ดี ที่นักการศึกษาจาแนกไว้ สรุปได้ว่า ลักษณะการถามคาถามที่ดีน้ันเป็นสิ่งสาคัญสาหรับผู้สอน สามารถช่วยให้การ เรียนการสอนดาเนนิ ไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ และมปี ระโยชนต์ ่อผู้เรียนในการพัฒนาความคิดในระดับสงู ต่อไป

๔๓ วธิ กี ารตง้ั คาถามท่ีดี วิธีการตั้งคาถามที่ดีเป็นความสามารถในการต้ังคาถามหรือใช้คาถามเพ่ือให้ผู้เรียนตอบคาถามโดย แสดงความคิดในระดับสูง การถามคาถามน้ันจะต้องน่าสนใจ และกระตุ้นให้คิด ควรเตรียมมาก่อน องค์ประกอบพื้นฐานของกลวธิ ีการถามมีดังน้ี 1. การถามให้ตรงประเด็นเม่ือถามคาถามกว้าง ๆ เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับรู้แนวทางของคาถามแล้วผู้สอน ควรถามคาถามเจาะจงลงไปในประเดน็ ที่ต้องการใหช้ ดั เจนย่ิงขน้ึ 2. การเรียกผู้เรียนให้ตอบคาถาม ผู้สอนควรถามท้ังชั้น หยุดสักเล็กน้อยจึงเรียกผู้เรียนคนใดคนหน่ึง ตอบ โดยการเรียกชอ่ื หรือใชท้ า่ ทาง ไม่ควรเรียกชื่อกอ่ นแล้วจึงถาม 3. การกระจายคาถาม ผสู้ อนควรถามคาถามผ้เู รยี นใหท้ ั่วถงึ แมว้ ่าอาจจะใช้วธิ ถี ามตวั แทนของกล่มุ 4. การจัดให้มีความเงียบชั่วขณะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมาธิ ได้คิดแล้วจึงเรียกให้ตอบ เทคนิคนี้สาคัญ มากเม่ือผู้สอนถามคาถามท่ียากข้ึนต้องเว้นระยะเวลาเพ่ือรอคาตอบ ความเงียบในขณะรอผู้เรียนจะเริ่มคิด และใส่ใจกับคาถาม เป็นการดงึ ศักยภาพในตนเองออกมาเพ่ือตอบคาถาม 5. คาถามควรกระชับและชัดเจนไม่ถามคาถามพร้อมกันหลายคาถาม เพราะจะทาให้ผู้เรียนสับสน และไมส่ ามารถตอบคาถามได้ตรงประเดน็ 6. การถามคาถามโดยการปพู ื้นความรเู้ ป็นการถามคาถามเพ่ือดึงประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ช่วยให้ ผ้เู รียนหาคาตอบได้ดีขึ้น โดยถามใหแ้ นวทางหรือถามคาถามใหม่ แต่ใจความเดียวกันหรือแบ่งคาถามออกเป็น ตอน ๆ เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจและตอบคาถามงา่ ยขน้ึ 7. การถามต่อเน่ืองทีเ่ จาะลกึ เปน็ การถามชว่ ยให้ผู้เรียนคิดหาคาตอบทีด่ ีกว่า ลึกซ้ึง กวา้ งขวางมี เหตผุ ลกวา่ คาตอบพนื้ ๆ ที่ตอบครงั้ แรกและใช้ให้เหมาะสมกบั บรบิ ทของผเู้ รยี น 8. ถ้าผ้เู รียนตอบคาถามถูกควรมีการเสริมแรง ทางวาจา เช่น ให้คาชม และถา้ ผู้เรียนตอบผิดไม่ควรมี ปฏิกิริยาทางลบ เช่น ตาหนิ แต่ควรให้กาลังใจที่จะแก้ไขคาตอบที่ผิดหรือในกรณีท่ีไม่มีคาตอบ ควรถามใหม่ และทาให้ง่ายข้นึ หรอื เน้นจุดสาคญั เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจคาถาม 9. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ถามอย่างเป็นกันเองบ้าง เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในห้องเรียน จะทาใหผ้ ้เู รยี นรสู้ กึ อยากจะมสี ่วนรว่ มในการตอบคาถามมากข้ึน 10. ใช้คาถามท่ีผู้เรียน มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอท่ีจะสามารถตอบคาถามได้และควร วิเคราะห์คาถามท่ีถามไปแล้วสาหรับนามาปรับปรุงแก้ไขเพ่ือใช้ในโอกาสอ่ืน ๆ ต่อไปวิธีการใช้คาถามท่ีดี จะชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดความคิดอย่างเปน็ ระบบ ตลอดจนพัฒนาความรู้ความคดิ ของผู้เรียน ช่วยกระตุ้นใหผ้ ู้เรียน สนใจอยากตอบคาถาม ผู้สอนจึงจาเป็นต้องใช้ความรอบคอบความละเอียดละออในการพิจารณาเลือกใช้ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพื่อการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ครู

๔๔ *เทคนิคประเมนิ เพ่อื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies คาถามเพ่ือให้ผู้เรียนได้ขยายมโนทัศน์พัฒนากระบวนการคิดเพ่ือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของผู้เรียนอย่างมี ประสิทธิภาพ ซ่ึงครูผู้สอนจาเป็นต้องให้ความสนใจศึกษา และฝึกฝนการตั้งคาถามให้คล่องแคล่ว เพื่อเป็น ประโยชน์ในการเรียนการสอนต่อไปนอกจากน้ี คาถามบางคาถามอาจไม่ต้องการคาตอบ ซ่ึงในบริบทของการ สอนในชนั้ เรยี น ผเู้ รยี นอาจจะมีพฒั นาการมากพอแลว้ เปน็ คาถามทส่ี ืบเนอื่ งของกิจกรรมที่ไม่ต้องการคาตอบ เทคนคิ การตง้ั คาถาม คาถามเป็นตัวกระตุ้น/ชี้แนะให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตนเอง รวมถึงเป็น เคร่ืองมือวัดและประเมินเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่จะเป็นประโยชน์มากหรือน้อยข้ึนอยู่กับรูปแบบ ของคาถามและเทคนิคการใช้คาถาม ดังนั้น เทคนิคการตั้งคาถามเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน จึงเป็น เรื่องสาคัญยง่ิ ทีค่ รูควรเรียนรแู้ ละนาไปใช้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ คาถามท่ีทรงพลัง (Power Questions) เป็นคาถามกระตุ้นการคิด และนาไปสู่การเรียนรู้เป็น คาถามที่สอดคล้องกบั จุดมงุ่ หมายของการเรยี นรู้ เป็นคาถามทมี่ ปี ระสิทธิภาพมากกวา่ เป็นคาถามทัว่ ๆ ไป เทคนิคการต้ังคาถามท่ีทรงพลัง เป็นเทคนิควิธีสาคัญที่ครูผู้สอนใช้ประเมินความรู้และความเข้าใจ ที่ผู้เรียนแต่ละคนมีอยู่รวมท้ังเป็นเครื่องสะท้อนให้ครูผู้สอนสามารถช่วยเหลือส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ให้ผู้เรียนแต่ละคนให้บรรลุเป้าหมายการเรียนที่ครูกาหนดไว้ น่ันคือการใช้คาถามเป็นรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ โดยท่ัวไประหว่างนักเรียนกับครูซึ่งครูสามารถใช้เพ่ือวัดระดับความรู้ความเข้าใจตลอดจนวัดความคิด ในระดบั สูงของผู้เรียนไดเ้ ทคนคิ วิธีการตง้ั คาถามท่ีน่าสนใจ เชน่ 1. วางแผนการต้ังคาถามล่วงหน้า 2. หลกี เลยี่ งการใช้คาถามทชี่ ้ีนาคาตอบ 3. เวน้ ระยะเวลาให้ผู้เรยี นคิดหาคาตอบ 4. ไมย่ า้ คาถาม หรือถามดว้ ยคาถามที่ชัดเจน 5. ถามทลี ะหนงึ่ คาถาม 6. ใชค้ าถามที่หลากหลาย เทคนคิ ทีค่ รสู ามารถนาไปใชใ้ นช่วงการถาม – ตอบ คาถามในชน้ั เรียน 1. รอเวลา การรอเวลาให้เวลาผู้เรียนคิดสักนิด 3-5 นาที หลังจากท่ีครูผู้สอนถามคาถาม จะช่วยเพ่ิม คุณภาพและปริมาณของคาตอบได้อย่างมาก 2. การไม่เปิดโอกาสให้ผ้เู รียนยกมอื ตอบคาถาม เมอ่ื ครูผู้สอนตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มในการตอบ คาถามใด ๆ ครูผู้สอนอาจใช้เทคนิคดังกล่าวโดยอธิบายว่า คาถามน้ีครูคิดว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมในการตอบ จึงไม่จาเปน็ ตอ้ งมกี ารยกมอื ตอบ

๔๕ 3. การต้ังคาถามต่อยอด ครูผู้สอนควรเรียบเรียงคาถามตามลาดับเป็นขั้นๆให้สอดคล้องกับเน้ือหา การเรียนรู้โดยเริ่มถามคาถามเพ่ือให้ได้คาตอบตามระดับขั้นตอนทักษะการเรียนรู้ข้ันพื้นฐาน ได้แก่ สังเกต บรรยาย ระบุ ทบทวนความรู้เดิมและไปต่อยอดสู่ระดับท่ีสูงขึ้น คือ การสังเคราะห์ การนาไปใช้และตีความผ่าน การอภิปรายในช้นั เรียน 4. บัตรคา ABCDE แสดงคาตอบจากการถามของครูผู้สอน เมื่อครูผู้สอนถามคาถามประเภทปรนัย มีคาตอบให้เลือก A, B, C, D หรือ E โดยครูอาจจะนับ 1,2,3 แล้วให้นักเรียนชูบัตรตัวอักษรตัวเลือก (บัตร A, B, C, D หรือ E) เป็นคาตอบของนักเรียนแต่ละคน วิธีการทาบัตร A, B, C, D, E ทาได้ง่ายและราคาถูก เอ้ืออานวยต่อการถามคาถามท้ังแบบเลือกคาตอบท่ีถูกต้องเพียงคาตอบเดียวหรอื หลายคาตอบหรอื แบบถูกผิด รูปแบบนี้เป็นรูปแบบของระบบการตอบทั้งชั้น ซึ่งจะช่วยครูรับรู้ว่านักเรียนเรียนรู้อะไร เข้าใจอะไร ได้อย่าง รวดเร็วขณะที่ปฏบิ ัติกิจกรรมและปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนทั้งชั้น ครูอาจถามปากเปล่าหรือฉายคาถามผ่านเคร่ืองฉาย ข้ามศีรษะ ดังนั้นครูใช้ข้อมูลจากคาตอบของนักเรียนมาปรับและจัดเป็นการอภิปรายหรือบทเรียนเพื่อเข้าสู่ ความรู้ทีต่ ้องการให้นักเรียนได้เรยี นรอู้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากขน้ึ 5. การสัมมนาแบบโสเครติส ครูผู้สอนให้ผู้เรียนเขียนคาถามเมื่อจบบทเรียนหรือหน่วยการเรียน จากนั้นแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยโดยในแต่ละกลุ่มจัดให้สมาชิก 1 คน ทาหน้าท่ีเป็นผู้ประสานงานนาสู่ การอภิปรายกลุ่ม สมาชิกแต่ละคนส่งคาถามของตนเองมารวมกัน ซ่ึงมีสมาชิกคนหนึ่งอ่านคาถามและ ดาเนินการอภิปรายหาคาตอบร่วมกัน หากกลุ่มใดต้องการความช่วยเหลือครูผู้สอนก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือ หรอื ชแี้ นะรวมท้งั ทาหน้าทเ่ี ป็นผสู้ งั เกตการเรียนรขู้ องผ้เู รยี น 6. การตั้งคาถามแบบสืบสวน/สอบสวน ตัวอย่างคาถาม เช่น ทาไมตัวละคร/คน คิดอย่างน้ัน คุณรู้ได้ อย่างไร มีเหตุผลไหม อะไร คุณหมายความว่าอะไร ที่พูดว่า... มีเหตุผล/ข้อมูลอะไรท่ีคุณต้องสนับสนุนจุดยืน ของคณุ บอกข้อมูลมากกว่าน้ีในเรื่อง... คุณจะทาให้นา่ เชือ่ ถือหรือยืนยนั เรื่อง...อยา่ งไร 7. การตอบเพ่ิมเติม เป็นวิธีท่ีครูผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยตอบเพ่ิมเติมคาตอบของเพื่อนร่วมชั้นที่ตอบ มาแล้ว บ่อยครั้งที่ความคิดของผู้เรียนจะเกิดขึ้นเพ่ิมเติมอีกหลังจากท่ีได้ฟังคาตอบของเพื่อน ดังนั้นจึงเป็น โอกาสทด่ี ีที่ครผู ูส้ อนควรถามนกั เรยี นคนอ่ืน ๆ เพ่ือชว่ ยเสริมเตมิ เต็มคาตอบนั้น ๆ 8. การตอบบนกระดาน(ไวท์-บอร์ด) วิธีการน้ีมีจุดประสงค์ที่จะรับรู้ความเข้าใจของผู้เรียนอย่าง รวดเร็ว โดยครูผู้สอนให้ผู้เรยี นตอบส้นั ๆ (1 หรอื 2 คา) ลงบนกระดาน จากนั้นชูกระดานคาตอบขึน้ ครูผู้สอน ก็สามารถมองเห็นวา่ ผู้เรยี นแต่ละคนมีความร้คู วามเขา้ ใจแค่ไหน การเรียนร้กู าลังพัฒนาอย่างไร 9. การต้ังคาถามโดยใช้ไม้ไอศกรีม วิธีนี้ครูเขียนชื่อนักเรียนแต่ละคนลงบนไม้ไอศกรีมแต่ละอัน วางไม้ ไมไ้ อศกรมี เท่ากับจานวนนกั เรยี นลงในถ้วย 1 ใบ เม่ือครถู ามคาถาม ครดู ึงไมไ้ อศกรมี ทีต่ รงกบั ชอ่ื นักเรียนคนใด ผู้เรยี นคนนั้นตอ้ งลุกขน้ึ ตอบคาถาม ถา้ ตอบไม่ได้ครูก็หยิบไม้ไอศกรีมท่ีมชี ือ่ ผู้เรียนคนตอ่ ไป เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู

๔๖ *เทคนิคประเมนิ เพอื่ การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๓ Assessment for Learning Strategies 10. การใช้คาถามแบบเจาะลึกความเข้าใจ ครูผู้สอนต้องพิจารณาถึงระดับของคาถามท่ีครูใช้เสมอ ว่าเป็นคาถามระดับใด ถ้าใช้คาตอบที่ต้องการทบทวนความรู้เดิม ครูก็คาดหวังได้ว่า การอภิปรายท่ีได้จะต้อง ลงลึกถึงความเข้าใจในเน้ือหาเรอ่ื งทสี่ อนได้เพียงเล็กนอ้ ยเทา่ นน้ั ตวั อยา่ งคาถามตามประเภทของคาถามท่ีกาหนด ประเภทของคาถาม ตวั อยา่ งคาถาม 1. คาถามตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ 2. คาถามที่ให้ผู้เรยี นได้อธบิ ายถงึ รายละเอยี ด • รูปเรขาคณติ สองมติ ิทนี่ กั เรียนรจู้ กั มรี ปู ใดบา้ ง 3. คาถามที่ตรวจสอบทศั นคติของผู้เรียน • จานวนนบั ทเี่ ป็นจานวนเฉพาะมจี านวนใดบ้าง 4. คาถามทสี่ รา้ งใหผ้ เู้ รียนมมี ุมมองทหี่ ลายหลาย • นักเรยี นยกตวั อย่างสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว 5. คาถามที่ใหผ้ ้เู รยี นลงสรุปแนวคิดหรือความรู้ • นักเรียนอธิบายเปรียบเทียบลกั ษณะของรปู สเ่ี หลี่ยม 6. คาถามใหผ้ เู้ รียนทบทวนความรขู้ องตนเอง ชนดิ ต่างๆ • นักเรยี นอธิบายขนั้ ตอนการสร้างมุมตามขนาด ทกี่ าหนดให้โดยใช้วงเวยี นในการสรา้ ง • นกั เรียนเห็นว่าต้องพยายามเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ หรอื ไม่อยา่ งไร • นกั เรยี นคดิ วา่ คณติ ศาสตรเ์ ป็นวชิ าทย่ี ากหรืองา่ ย • นักเรียนมีวธิ ีการอ่ืนในการแก้ปัญหาข้อนหี้ รือไม่ • นกั เรียนพสิ ูจน์ความจรงิ ข้อน้ีด้วยเหตุผลอนื่ อย่างไร • เม่ือนักเรียนเปรยี บเทียบจานวนบนเส้นจานวนแลว้ นกั เรยี นได้ข้อสรุปอย่างไร • นักเรียนสรุปความสัมพนั ธ์ระหว่างเสน้ ตรง รังสี และ ส่วนของเสน้ ตรงได้อย่างไร • นกั เรียนตรวจสอบผลลัพธ์ทไ่ี ดอ้ ย่างไร ถูกต้องม่ันใจ ในคาตอบหรือไม่ • นกั เรียนสรุปข้อเรียนรขู้ ้ันตอนการสร้างมุมขนาด ตา่ งๆ ได้อย่างไร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook