นวัตกรรม

นวัตกรรม

ความหมายของนวตั กรรม นวตั กรรม หมายถึงความคิดการปฏบิ ตั ิหรือสิ่งประดิษฐใ์ หม่ ๆ หรือเป็ นการพฒั นาดดั แปลง มาจากของเดิมท่ีมีอยแู่ ลว้ ใหใ้ ชไ้ ดผ้ ลดียิง่ ข้ นึ นวตั กรรม” (Innovation) มีรากศพั ทม์ าจาก innovate ในภาษาลาติน แปลวา่ ทาส่ิงใหม่ข้ นึ มา

ทอมสั ฮิวซ์ (Thomas Hughes) ไดใ้ หค้ วามหมายของนวตั กรรมไดด้ งั น้ ีวา่ เป็ นการนาวธิ ีการใหม่ ๆ มาปฏบิ ัติหลงั จากได้ ผ่านการทดลองหรือไดร้ บั การพฒั นามาเป็ นขน้ั ๆ แลว้ เริม่ แต่งต้งั การคิดคน้ Invention) การพฒั นา (Development) ซึ่งอาจจะเป็ นไปในรปู ของโครงการทดลองปฏบิ ตั ิก่อน (Pilot Project) แลว้ จึงนาไปปฏิบตั ิจริงมีความแตกต่างไปจากการ ปฏบิ ตั ิเดิมท่ีเคยปฏบิ ตั ิมามอรต์ นั (Morton J.A. ) ใหค้ วามหมายนวตั กรรมไวด้ งั น้ ีวา่ เป็ นการทาใหใ้ หม่ข้ นึ อีกคร้งั (Renewal) ซ่ึงหมายถึงการปรบั ปรุงสิ่งเกา่ และพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองคก์ รน้ัน ๆ นวตก รรมไมใ่ ชก่ ารขจดั หรอื ลม้ ลา้ งส่ิงเก่าใหห้ มดไป แต่เป็ นการปรบั ปรุงเสริมแต่งและพฒั นาในวงการวทิ ยาศาสตร์แหง่ พตติกรรม

Rogers และ Shoemaker จงึ ไดเ้ สนอโครงสรา้ งใหม่เรียกวา่ กระบวนการตดั สินใจ usaassu (Innovation decision process) ซึ่งประกอบไปดว้ ย 4 ข้นั ตอนคือ 1. ข้นั ความรู้ (knowledge) เป็ นข้นั ตอนที่รบั ทราบวา่ มีนวตั กรรมเกิดข้ นึ และหาขา่ วสารจนเขา้ ใจในนวตั กรรมน้ัน ๆ 2. ข้นั ชกั ชวน (persuasion) เป็ นข้นั ตอนท่ีผรู้ บั นวตั กรรมมีทศั นคติต่อส่ิงใหม่ ๆ ในทางท่ีเห็นดว้ ยหรอื ไมเ่ หน็ ดว้ ยต่อ \"นว ตกรรม\" น้ัน ๆ 3. ขน้ั ตดั สินใจ (decision) เป็ นข้นั ที่ผรู้ บั นวตั กรรมสนใจเขา้ รว่ มกิจกรรมที่นาไปสู่การเปล่ียนแปลงพตติกรรมแลว้ และ ตดั สินใจวา่ จะรบั นวตั กรรมน้ันหรือไม่ แต่การตดั สินใจยงั ไมถ่ าวรอาจมีการเปลี่ยนแปลงไดภ้ ายหลงั 4. ข้นั ยนื ยนั (confirmation) เป็ นข้นั ตอนสุดทา้ ยของกระบวนการซ่ึงเป็ นการหาขอ้ มูลมาสนับสนุนการตดั สินใจของเขา อาจมีระยะเวลายาวนานจนกระทงั่ ยอมรบั แนวความคิดใหม่ ๆ ไปปฏบิ ตั ิเป็ นการถาวรจริง ๆ

ความสาํ คญั ของนวตั กรรมการศึกษา นวตั กรรมมีความสาคญั ต่อการศึกษาหลายประการท้งั น้ ีเน่ืองจากในโลกยุคโลกาภิวตั น์ (Globalization) มีการเปล่ียนแปลงในทุกดา้ นอยา่ งรวดเร็วโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความกา้ วหนา้ ท้งั ดา้ นเทคโนโลยแี ละสารสนเทศ การศึกษาจงึ จาเป็ นตอ้ งมีการพฒั นาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศึกษาที่มีอยเู่ ดิมเพ่ือใหท้ นั ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยแี ละสภาพ สงั คมท่ีเปล่ียนแปลงไปอีกท้งั เพอื่ แกไ้ ขปัญหาทางดา้ นการศึกษาบางอยา่ งที่เกิดข้ นึ อยา่ งมีประสิทธิภาพ ปัจจยั สาํ คญั ท่มี ีอิทธิพลอนั มีผลทาํ ใหเ้กกินนวตั กรรมเกกินจากความคินพน ้นาานของนักเกทคนนนลยกี ารศึกษาในเกร้่องสาํ คญั นงั นน ี 1. ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล (INDIVIDUAL DIFFERENT) การจดั การศึกษาของไทยใหค้ วามสาคญั ในเร่ืองความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคลเอาไวอ้ ยา่ งชดั เจนใหม้ ุง่ จดั การศึกษาตามความถนัดความสนใจและความสามารถของแต่ละคน ไดแ้ ก่ การจดั ระบบ หอ้ งเรียนโดยใชอ้ ายุเป็ นเกณฑ์ 2. ความพรอ้ ม (READINESS) เด็กจะเริ่มเรียนะไดต้ อ้ งมคี วามพรอ้ มเป็ นพฒั นาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบนั นักการวิจยั ทางดา้ น จติ วทิ ยาการเรียนรวู้ า่ ความสามารถของเด็กแต่ละคนสามารถนามาใหศ้ ึกษาได้ 3. การใชเ้ วลาเพื่อการศึกษาการจดั เวลาเพ่ือการสอนหรือตารางสอนจดั โดยอาศยั ความสะดวกเป็ นเกณฑเ์ ช่นถือหน่วยเวลาเป็ นชวั่ โมงเท่า ทุกวชิ านอกจากน้ันจดั เวลาเรียนเอาไวแ้ น่นอนเป็ นภาคเรียนเป็ นปี ประสิทธิภาพในการเรียนการขยายตวั ทางวชิ าการและการเปล่ียนแปลง ของสงั คมทาใหม้ สี ่ิงต่างๆที่คนจะตอ้ งเรียนรเู้ พ่ิมข้ ึนมาก แต่การจดั ระบบการศึกษาในปัจจุบนั น้ันยงั ไมม่ ปี ระสิทธิภาพเพียงพอจงึ จาเป็ นตอ้ งแสวงหาวธิ ีการใหมท่ ่ีมปี ระสิทธิภาพสูงข้ ึน