Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง-รายงาน-กัญญา (2)

อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง-รายงาน-กัญญา (2)

Published by Kanya Saekue, 2020-09-21 07:27:12

Description: อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง-รายงาน-กัญญา (2)

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยีดิจทิ ลั เพื่อการจัดการอาชพี เสนอ อาจารย์เกสร เทียนใต้ จัดทำโดย นางสาวกัญญา แซ่กือ นกั ศึกษาระดบั ช้ันประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ชั้นสงู 103 สาขาการบัญชี รหสั นักศกึ ษา 6332011001 ภาคเรยี นท่ี1 / 2563 รายงานเล่มนเ้ี ป็นส่วนหนง่ึ ของรายวชิ าเทคโนโลยีดจิ ิทลั เพื่อการจัดการงาน อาชีพ รหัสวชิ า 30000-2003 วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาเถินเทคโนโลยี อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง

ก คำนำ รายงานเล่มนี้เปน็ ส่วนหนึ่งของรายวชิ าเทคโนโลยีดจิ ิทัลเพื่อการจดั การอาชพี รหสั วชิ า 30000-2003 เลม่ น้ี มเี น้ือหาเกยี่ วกบั อินเทอร์เนต็ ทุกสรรพส่งิ (Internet Of Things) เทคโนโลยีทใี่ ช้ในการทำธรุ กรรมโดยไม่ ต้องผ่านบคุ คลทสี่ าม (Blockchain) และธรุ กรรมการเงนิ ดิจิตอล (Fintech) จดั ทำขนึ้ เพ่ือนำเสนอแก่อาจารยผ์ ู้ สอนและเปน็ สื่อการเรยี นรูแ้ ก่ผูท้ ่ีสนใจในเนอ้ื หาของรายงายเลม่ นี้ โดยผูจ้ ดั ทำหวังเปน็ อย่างยง่ิ ว่าจะเปน็ ประโยชนแ์ ก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย ผจู้ ดั ทำ นางสาวกัญญา แซ่กอื

ข หน้า ก สารบัญ 1 คำนำ 1 อนิ เทอรเ์ นต็ ทุกสรรพสงิ่ (Internet Of Things) 3 5 -ความหมายของ Internet Of Things 5 5 -วิวัฒนาการของ Internet Of Things 7 -ประเภทของ Internet Of Thing 8 -ประโยชนข์ อง Internet Of Things -ความสมั พันธร์ ะหว่าง Internet Of Things และ Big data 8 -ผลกระทบที่อาจจะเกดิ ข้ึน เทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นการทำธรุ กรรมโดยไม่ต้องผา่ นบคุ คลทีส่ าม (Blockchain) 9 11 -ความหมายของ Blockchain -ววิ ฒั นาการของ Blockchain ด้วยการ Fork 12 -หลกั การทำงานของเทคโนโลยี Blockchain 13 16 -องค์ประกอบของเทคโนโลยี Blockchain 16 -ประเภทของ Blockchain 16 18 ธุรกรรมการเงินดิจิตอล (Fintech) 19 -ความหมายของ FinTech ค -วิวฒั นาการดา้ นเทคโนโลยีทาง การเงินจากอดตี ...สู่ปจั จุบัน -ประเภทของ Fintech -ผลสำเรจ็ ของ Fintech อา้ งอิง

1 อินเทอรเ์ น็ตทุกสรรพสง่ิ (Internet Of Things) ความหมายของ Internet Of Things Internet of Things (IoT) คือ \"อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง\" หมายถึง การที่อุปกรณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ ได้ถูก เชือ่ มโยงทุกสิ่งทุกอย่างสู่โลกอินเตอร์เน็ต ทำใหม้ นษุ ยส์ ามารถสั่งการควบคุมการใช้งานอปุ กรณ์ต่างๆ ผ่านทาง เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น การเปิด-ปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า (การสั่งการเปิดไฟฟ้าภายในบ้านด้วยการ เชอ่ื มต่ออุปกรณ์ควบคุม เช่น มอื ถือ ผา่ นทางอนิ เตอร์เนต็ ) รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครอ่ื งมือสือ่ สาร เครื่องมือ ทางการเกษตร อาคาร บ้านเรือน เครอื่ งใช้ในชีวติ ประจำวันตา่ งๆ ผา่ นเครือข่ายอนิ เตอรเ์ นต็ เป็นต้น

2 IoT มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า M2M ย่อมาจาก Machine to Machine คือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่ เช่อื มตอ่ อุปกรณ์กับเครอ่ื งมือตา่ งๆ เข้าไว้ดว้ ยกัน เทคโนโลยี IoT มคี วามจำเป็นตอ้ งทำงานร่วมกบั อุปกรณ์ประเภท RFID และ Sensors ซงึ่ เปรยี บเสมือน การเติมสมองให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ขาดไม่คือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อให้อุปกรณ์สามารถรับส่งข้อมูลถึง กันได้ เทคโนโลยี IoT มีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะหากระบบรักษาความ ปลอดภัยของอุปกรณ์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ดีพอ ก็อาจทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาขโมยข้อมูลหรือ ละเมิดความเป็นส่วนตัวของเราได้ ดังนั้นการพัฒนา IoT จึงจำเป็นต้องพัฒนามาตรการ และระบบรักษาความ ปลอดภัยไอทคี วบคกู่ นั ไปดว้ ย แวน่ อจั ฉรยิ ะสดุ ไฮเทค Google Glass Google Glass เป็นแว่นตาที่คอมพิวเตอร์และหน้าจอติดตั้งอยู่กับตัวแว่น และมีกล้องติดอยู่ ขาแว่น รองรับการใช้งานระบบสัมผัส และรองรบั การส่งั งานด้วยเสียง ปญั หาคอื ดว้ ยพืน้ ที่การแสดงผลที่มจี ำกัด มันจะ ทำอะไรได้บ้าง คงเป็นเร่ืองทหี่ ลายคนสงสัย เพราะราคาของมันในตอนน้ีวางจำหน่ายอยู่ท่ี $1,500 คิดเป็นเงิน ไทยกป็ ระมาณ 49,000 บาท เราคงไมเ่ สียเงนิ คร่งึ แสนกับแว่นตาท่ที ำได้แค่ถ่ายรปู แน่ๆ ใชไ่ หมล่ะครบั คำตอบก็คือ Google Glass ถ้าพูดไปมันก็ทำให้เราเหมือนมี Google ติดตัวเราตลอดเวลา มันสามารถ แสดงข้อมลู จากสมารท์ โฟนหรือ Google accounts บนหน้าจอของ Google Glass, รบั สายท่ีโทรเขา้ มา, สง่ ข้อความ, ถา่ ยรูปและวดิ โี อ, แสดงแผนท่ี, แสดงผลการค้นหา และทีเดด็ ทส่ี ุด คือ รองรับ Google Now ด้วย

3 วิวัฒนาการของ Internet Of Things จากเทคโนโลยี RFID สู่โลกของ Internet of Things ย้อนไปเมื่อปี 1999 นาย Kevin Ashton ที่ทำงานวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT เขาได้ถูกเชิญให้ไปบรรยายเรื่องนี้ให้กับบริษัท Procter & Gamble หรือ P&G ที่ เราคุ้นเคย ซึ่งการบรรยายในครั้งนั้นเขาได้นำเสนอโครงการที่ชื่อว่า Auto-ID Center ซึ่งต่อยอดมาจาก เทคโนโลยี RFID ที่ในขณะนั้นถือเป็นมาตรฐานโลกสำหรับการจับสัญญาณเซ็นเซอร์ต่างๆ( RFID Sensors) ว่าตัวเซ็นเซอร์เหล่านั้นสามารถทำให้มันพูดคุยเชื่อมต่อกันได้ผ่านระบบ Auto-ID ของเขา โดยการบรรยาย ให้กับ P&G ในครั้งนั้นนาย Kevin Ashton ก็ได้ใช้คำว่า Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขา เป็นครั้งแรก โดย Kevin นิยามเอาไว้ตอนนั้นว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดก็ตามที่สามารถส่ือสารกันได้ได้ก็ถือ เป็น “internet-like” หรือพูดง่ายๆก็คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สื่อสารแบบเดียวกับกับระบบอินเตอร์เน็ต นั้นเอง โดยคำว่า “Things” ก็คือคำใช้แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เหล่าน้ัน ตู้ ATM ถือเป็นอุปกรณ์ Internet of Things ช้ินแรก จากคำนิยามที่นาย Kevin Ashton ได้บรรยายไว้ ก็ได้มีการยกตัวอย่างเจ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าข่าย ถือเป็น Internet of Things ได้นั้นก็พบว่าเจ้าตู้ ATM ท่ีเราใช้กดเงินกันอยู่ทุกวันนี้น่ีแหละถือเป็น Internet of Things ชิ้นแรกของโลก เพราะมันสามารถเชื่อมต่อสื่อสารหากันได้ผ่านเครือข่ายของธนาคารและสาขา ต่างๆ ซึ่งเจ้า ATM นั้นถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1974 ก่อนที่จะมีการนิยามคำว่า Internet of Things เสีย ด้วยซ้ำ

4 ต่อมาหลังปี 2000 โลกมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นจำนวนมากและมีการใช้คำว่า Smart ซ่ึงในที่นี้คือ smart device, smart grid, smart home, smart network, smart intelligent transportation ต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งการเชื่อมต่อเหล่าน้ันเองก็เลยมา เป็นแนวคิดที่ว่าอุปกรณ์เหล่าน้ันก็ย่อมสามารถสื่อสารกันได้ด้วยเช่นกันโดยอาศัยตัว Sensor ในการสื่อสาร ถึงกัน นั่นแปลว่านอกจาก Smart devices ต่างๆจะเช่ือมต่ออินเตอร์เน็ตได้แล้วมันยังสามารถเชื่อมต่อไปยัง อุปกรณ์ตัวอื่นได้ด้วย ในปี 2020 จะมีรถยนตท์ ่เี ชื่อมต่ออนิ เตอร์เน็ตถงึ 250,000 คัน และเมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็กๆที่เป็น Internet of Things สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แล้ว ทำไม Things อย่างรถยนต์ทั้งหลายจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับเขาบ้างไม่ได้ ตัวอย่างรถยนต์ที่ว่านั้นก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่เชื่อมต่อข้อมูลของตัวรถเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และศูนย์ข้อมูลของ Tesla motor ในการอัพเดทข้อมูลสำคัญๆต่างๆให้กับตัวรถยนต์และผู้ขับขี่ หรืออย่างโครงการ Google’s Self- Driving Car รถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลท่ีนำระบบอินเตอร์เน็ตเข้ามาร่วมประมวลผลในการคำนวนเส้นทางต่าง (คล้าย กับที่เราเปิด Google Maps เพื่อค้นหาเส้นทาง) โดยกูเกิลได้นำข้อมูลของรถยนต์กว่า 10,000คันไป ประมวลผลในแต่ละสัปดาห์เพ่ือหาวิธีการขับข่ีที่ปลอดภัยท่ีสุดให้กับรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิล และในปัจจุบัน ก็มีหลายค่ายรถยนต์ก็เริ่มพัฒนารถยนต์ให้มีความสามารถในลักษณะนี้เพิ่มขึ้น และอาจจะมีการต่อยอด แนวคิดน้ีข้ึนไปอีก โดยอาจจะไปถึงขั้นท่ีในอนาคตเราจะได้เห็นรถยนต์แต่ละคันตามท้องถนนสามารถสื่อสาร กันแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้เพื่อนำไปประมวลผลการเรื่องขับขี่ที่ปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจจะ เกิดข้ึนน่ันเอง

5 ประเภทของ Internet Of Things ปัจจบุ นั IoT แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ o Industrial IoTs: แบ่งจาก Local Network มีหลายเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในโครงข่าย Sensor Nodes โดยตวั อุปกรณ์ IoT Device ในกลมุ่ น้ี จะเชือ่ มต่อแบบ IP Network เพื่อเข้าสู่อนิ เตอร์เนต็ o Commercial IoTs: แบง่ จาก Local Communication ทีเ่ ป็น Bluetooth หรอื Ethernet (Wired Or Wireless) โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะสื่อสารภายในกลุ่ม Sensor Nodes เดียวกัน เทา่ น้นั หรือเป็นแบบ Local devices เพียงอยา่ งเดยี วอาจไมไ่ ด้เชื่อมสอู่ ินเตอร์เนต็ ประโยชน์ของ Internet Of Things การท่ีเทคโนโลยเี ป็นที่แพรห่ ลายนัน้ ไม่ได้อยู่ทีป่ จั จัยด้านราคาอยา่ งเดียว แตเ่ ทคโนโลยนี ั้นต้องส่งมอบ ประโยชนต์ ่อชีวติ ของผู้ใชด้ ว้ ย ซึง่ IoTs กอ่ ให้เกิดประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ มากมาย รับสง่ ข้อมลู ในรูปแบบดจิ ิทัล IoTs มีคุณสมบัติด้านการเก็บข้อมูลทางภายภาพให้อยู่ในรูปดิจิทัลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว จึงนับเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมากในยคุ Digital Transformation ทำงานตรวจสอบในจุดที่คนเขา้ ไม่ถึง เราสามารถออกแบบ Smart Device ให้มีขนาดเล็กและทนทาน เพื่อติดตั้งตามจุดที่คนเข้าถึงยาก หรือในจุดที่มีอันตรายระหว่างดำเนินการได้ เช่น ภายในท่อส่งน้ำมัน บ่อบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น เพื่อช่วยลด ความเสี่ยงตอ่ ชีวติ และทรพั ยส์ ินจากการเข้าพนื้ ท่อี นั ตรายเป็นประจำได้ ลดภาระงานให้กับบคุ ลากร ในอดีตการเก็บข้อมูลต้องใช้คนในการสอดส่องที่เครื่องมือเพื่อหาความผิดปกติ แต่ปัจจุบัน IoTs ไม่ เพยี งแต่สอดสอ่ งให้เราผ่าน Dashboard เทา่ นน้ั แต่ยงั สามารถเรียนรู้และหาความผิดปกติด้วยเทคโนโลยีอื่นๆ ได้ อยา่ ง Artificial Intelligence เปน็ ต้น แมน่ ยำ! และส่งข้อมูลไดแ้ บบ Real-Time ข้อมลู จาก IoT ไมเ่ พียงแต่เปน็ ดิจิทัลเท่านั้น ยังสามารถแลกเปล่ียนได้อย่างรวดเร็วระดับ Real-Time มคี วามแมน่ ยำ และสามารถใชง้ านได้ตลอดเวลา ทำให้มขี อ้ มูลในการตัดสินใจไดท้ นั ที จะเห็นได้ว่า IoTs มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราและสังคมรอบข้างในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงยังเข้าไปมีความเกี่ยวข้องกับ แวดวงต่างๆ ทัง้ ภาคธุรกิจและสังคมมากข้นึ เพื่อเตรยี มพรอ้ มท่ีจะก้าวสู่ยคุ ดจิ ิทลั อย่างแท้จรงิ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง Internet Of Things และ Big data การนำ Internet Of Things ไปใชง้ านตา่ งๆ ด้านพลงั งาน มีการนำ IoT มาใช้จะเพิ่มความฉลาดของระบบพลงั งานและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลงั งาน ซึ่งช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานจากท่อส่งอัจฉริยะ (Smart Pipelines) ถึงมิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meters) และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ทุกแง่มุมของการสร้างและส่งต่อพลังงานล้วนถกู ทำให้มี

6 ความปลอดภัยยิ่งขึ้น พึ่งพาอาศัยกันได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย เพื่อตอบสนองความกระหาย พลงั งานของโลก หรอื ที่เรียกวา่ พลังงานอจั ริยะ หรอื Smart Energy ด้านการดูแลสขุ ภาพ ตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยเฉลี่ยสูงกว่า 10% ของ GDP ในระดับชาติของทั่วโลก IoT จึงเป็น หัวใจหลักในการปรบั ปรุงการนำเสนอบริการสำคัญด้านการดูแลสุขภาพผ่านการเช่อื มต่อและการแบ่งปันข้อมูล ซึ่งเป็นเหตุผลของการสร้างศูนย์ทดลอง Connected Care ของ IIC โดยสมาชิกของศูนย์ดังกล่าวต่างมุ่งเน้น ในการสร้างระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพผ่าน IoT ในระบบเปิดไว้สำหรับสอดส่องดูแลผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้าน หรอื ท่ีอยู่ระยะไกล โดยมีระบบบริหารจดั การจากระยะไกลทม่ี ีระบบรักษาความปลอดภยั อย่างดีไว้สำหรับคอย ติดตามดูอาการของผู้ป่วยเรื้อรัง สิ่งนี้มอบศักยภาพในการสร้างโซลูชันในราคาเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยและ ครอบครัว อีกท้ังยังชว่ ยใหผ้ ู้ดูแลมีโอกาสดูแลผปู้ ่วยไดอ้ ย่างต่อเน่อื งและมปี ระสิทธภิ าพ การลดความสูญเสียในการขนส่ง IoT สามารถสร้างระบบขนสง่ ทีส่ ามารถรบั รูก้ ารเปล่ียนแปลงทเ่ี กิดขึน้ และดำเนินการตอบสนองได้อยา่ งรวดเร็ว ในแบบเรียลไทม์ ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความปลอดภัยของสาธารณะ ลดช่วงเวลาดาวน์ ไทม์ และดูแลเรื่องของการบำรุงรักษาระบบหรืออุปกรณ์ตา่ ง ๆ ได้ในเชิงป้องกันก่อนที่จะเกิดความขัดข้องกับ ชิ้นส่วนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ด้วยการวิเคราะห์และดำเนินการแก้ไขตามข้อมูลที่ได้จากตรวจสอบเซนเซอร์ และเครื่องจักรที่อยู่แวดล้อม อาทิ สภาพภูมิอากาศ ทั้งสามารถระบุเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกบั การปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพการใชพ้ ลังงานจากการวิเคราะห์ความสามารถ ภาคการผลติ และระบบซพั พลายเชน นวัตกรรมด้าน IoT ในภาคการผลิตซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปสู่โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต (Smart Factory) IoT ใหค้ วามสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลลัพธไ์ ดอ้ ย่างมากมายมหาศาล ทง้ั ในเร่อื งของกระบวนการ ผลิตไปตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชนด้วย IoT กระบวนการผลิตจะควบคุมการทำงานได้ด้วยตัวเองจากเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่มีความชาญฉลาด สามารถดำเนินการแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุขัดข้องแบบที่ไม่ได้ คาดการณ์ล่วงหนา้ โดยจะมกี ารเปล่ียนชนิ้ สว่ นต่าง ๆ ได้เองโดยอตั โนมัติจากการนำข้อมูลเรียลไทม์มาใช้ และ อุปกรณ์ดิจิทัลแบบพกพาทุกชิ้นในโรงงานจะต้องรายงานสถานะของอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ซ่อมอยู่ และสามารถใช้ มือถอื ของเจ้าหน้าท่ีเข้าถงึ ข้อมลู การดำเนนิ งานได้แบบเรียลไทม์ โดยตวั เซนเซอรข์ องอปุ กรณส์ วมใส่จะติดตาม ตำแหน่งของพนักงานในโรงงานแตล่ ะคนได้ ในกรณีทีเ่ กิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ที่เรียบเรียงมาทั้งหมดยังเปน็ เพียงแค่ บางส่วนเท่านั้น IoT ยังมีอีกหลายด้าน หลายแง่มุมที่เป็นประโยชน์ตอบสนองความง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูง ในปัจจุบันไดเ้ ป็นอย่างดี ซงึ่ ผปู้ ระกอบการ SMEs ควรมกี ารเรียนรอู้ ย่างจริงจังแนะสามารถนำมาปรับใช้งานใน ภาคของธรุ กิจได้ เพราะเชื่อเถอะว่า มันจะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเรามากยิ่งขึ้นทุกขณะ ตอนนี้เราไม่ปรับเปลี่ยน ในอนาคต เทคโนโลยเี หล่านจ้ี ะมาปรับเปลีย่ นเรา ไม่วา่ เราจะพร้อมหรอื ไม่

7 ผลกระทบที่อาจจะเกิดขนึ้ Internet of Thing นั้นหากถูกพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบ จะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้เป็นอย่างมาก ในแง่ ของความสะดวกสบาย และรวดเร็ว ช่วยลดขน้ั ตอนความยุ่งยากในการทำกิจกรรมประจำวนั ต่างๆ แต่ถึงอย่าง นน้ั ก็ยงั คงมขี ้อบกพร่อง ซ่งึ สามารถจำแนกไดด้ ังน้ี ปญั หาด้านการสง่ ขอ้ มลู : หวั ใจหลักของแนวคดิ Internet of Thing คือระบบเครอื ขา่ ยท่เี ปน็ ตัวกลาง ในการรับส่งข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ และเครือข่ายที่สำคัญท่ีสุดคือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หมายความว่า แนวคิดนี้จะต้องพึ่งพาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเปน็ หลกั ซึ่งถ้าหากเครือข่ายดังกล่าวไม่สามารถใชง้ านไดช้ ั่วคราว หรือเกิดการผิดพลาดทางการสง่ ข้อมลู ก็จะส่งผลให้อุปกรณต์ ่างๆ ไมส่ ามารถทำงานได้ ปัญหาด้านความปลอดภัย : เม่ือทุกสิ่งถูกเช่ือมต่อเข้าด้วยกัน การรกั ษาความปลอดภัยยิ่งสามารถทำ ได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากหากสามารถเจาะเข้าอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในเครือข่ายนั้นได้ ก็จะสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ช้ิน อื่นได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแนวความคิด Internet of Thing นั้นคือการเชื่อมต่อทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ดังนั้นอุปกรณ์ ทุกชิ้นจึงเปรียบเสมือนอยู่ในเครอื ข่ายข้อมูลเดียวกัน เท่ากับว่าข้อมูลทุกชนิดที่อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งได้รับ อุปกรณ์ ชิ้นอน่ื กจ็ ะไดร้ บั ดว้ ย เน่ืองจากต้องนำไปประมวลผลเพือ่ ทำงานรว่ มกัน ซงึ่ ก่อนทแ่ี นวคดิ น้จี ะถกู พฒั นาข้ึนอย่าง สมบรู ณค์ งต้องมกี ารพฒั นาด้านการรกั ษาความปลอดภัยของข้อมลู เสียกอ่ น ปัญหาการประมวลผลผิดพลาด : ถึงแม้แนวคิด Internet of Thing คือต้องการให้อุปกรณ์ต่างๆ ตดิ ตอ่ ส่ือสารกนั เอง และกระทำสงิ่ ตา่ งๆ อตั โนมัติโดยไม่ต้องรอคำสั่งของผู้ใช้ แต่อย่างไรกต็ ้องป้อนข้อมูล และ เขียนโปรแกรมคำสั่งเพ่ือให้อุปกรณ์น้นั ๆ สามารถทำงานได้ ซงึ่ บางคร้ังอาจจะเกิดความผดิ พลาดจากการเขียน คำสัง่ ไมร่ ดั กมุ หรอื ครอบคลุมพอแนวความคิด Internet of Thing น้นั คือการเชือ่ มต่อทุกสิ่งเข้าดว้ ยกัน ดังน้ัน หากอุปกรณช์ ้นิ หน่ึงประมวลผลผดิ พลาด ก็มแี นวโนม้ ว่าอุปกรณช์ น้ิ อื่นจะทำงานผิดพลาดตามไปด้วย และหาก เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะส่งผลให้หมดความน่าเชื่อถือไปทันที เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ท่ี ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ปญั หาเก่ียวกับผใู้ ช้งาน : การที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากไปจะส่งผลเสยี ต่อการดำเนินชีวิต ซ่ึงจะทำให้ผู้ใช้ ติดความสบาย จนไม่สามารถทำเรื่องพื้นฐานได้ด้วยตนเอง รวมถึงการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้ใช้งานได้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพก็เป็นเร่ืองสำคญั ท่กี ารรับร้ขู องแต่ละบคุ คลไมเ่ ท่าเทยี มกัน

8 เทคโนโลยที ใี่ ชใ้ นการทำธุรกรรมโดยไมต่ อ้ งผา่ นบคุ คลท่ีสาม (Blockchain) Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีคนพูดถึงมากว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนโลกเหมือนที่อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนโลกในยุค 1990 ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า Blockchain ตอนนี้สภาพเหมือนอินเทอร์เน็ตตอนเริ่มต้น ซึ่งภาคการเงินจะ ปล่อยผ่านไปไม่ได้ ต้องมีคนศึกษาเรื่องนี้ เพื่อเป็นการลองทำดูว่า เอา Blockchain มาใช้กับเรื่องต่างๆ ได้ อยา่ งไร แมว้ ่าวันนี้อาจจะยงั ไมม่ ีการประยุกตใ์ ช้ในลักษณะทีเ่ หน็ เปน็ รปู ธรรมกต็ าม ความหมายของ Blockchain Blockchain คือ ระบบโครงข่ายในการเก็บบญั ชีธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ที่เก็บ สถติ กิ ารทำธุรกรรมทางการเงนิ และสินทรพั ย์ชนิดอื่นๆ อีกในอนาคต โดยไม่มีตัวกลาง คือสถาบันการเงนิ หรือ สำนักชำระบัญชี ระบบ Blockchain จะไม่มีตัวกลางอย่างที่เคยเป็นมา ยกตัวอย่างการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin จะมีรหัส Token สร้างขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับ Blockchain และทำการตรวจสอบว่า Bitcoin นั้นๆ มี ความน่าเชือ่ ถอื หรอื ไมก่ อ่ นท่จี ะทำธุรกรรมใหส้ ำเร็จต่อไป เท่ากบั วา่ Blockchain เปน็ ระบบโครงข่ายในการทำธุรกรรมตา่ งๆ ซึง่ ตดั ตัวกลางอย่างสถาบันการเงินที่มีอยู่ใน โลกปจั จุบนั ออกไป ซ่ึงทำให้ต้นทุนการทำธรุ กรรมถูกลง และอาจจะส่งผลให้สถาบนั การเงนิ ท่เี ป็นตวั กลาง รวม ไปถงึ สำนักชำระบัญชีต่าง ๆ ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งมีอีกในอนาคตได้เลย หากเทคโนโลยีนีเ้ ข้ามาแทนท่ีได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ Blockchain ไม่เพียงมีบทบาทอยู่แค่การทำธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น หากแต่ยังอาจถูกนำไปใช้ใน งานอื่นๆ เช่น การเก็บสถิติการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใสมากขึ้น การให้ยืม Cloud Storage ระหว่างกัน , บริการ co-location, ระบบ Peer to Peer Lending และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแม้แต่เหล่าธนาคารเองก็ ตัดสินใจเข้าลงทุนในการทำ Blockchain มากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด เหล่าสถาบันการเงินอย่างธนาคาร Citibank ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ รวมไปถึงบริษัท VISA ก็ได้เข้าลงทุนในบริษัทบล็อกเชนชั้นนำอย่าง Chain.com เพื่อแนวทางรกั ษาตลาดเทคโนโลยนี ี้เชน่ กนั

9 แนวคดิ Blockchain เร่มิ กลบั มาเปน็ กระแสที่ตอ้ งจบั ตามมองอกี คร้ัง พรอ้ มมกี ารพฒั นาใหม่ๆ ไปสกู่ ารใชง้ าน ที่มากกว่าการทำธุรกรรม Bitcoin ในอดีตที่ไม่ได้รับการยอมรับมากนัก ผนวกรวมกับกระแสการเพิ่มขึ้นของ อุปกรณ์ที่ใช้แนวคิด อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things) จำเป็นต้องมีการจัดการ ดูแลอย่างการ รักษาความปลอดภัยระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ และความจำเป็นที่จะต้องบันทึกฐานข้อมูลของการติดต่อต่างๆ เหล่านั้น ทำให้เทคโนโลยีอย่าง Blockchain ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนบุคคลจะกลายมาเป็นตัวช่วย สำคญั ของการใชง้ านดงั กลา่ ว โดยลดขัน้ ตอนระบบการทำงานให้เรียบงา่ ยขนึ้ มีการยดื หยุน่ ที่สงู ข้นึ รวมท้ังการ ตอบสนองความตอ้ งการของลกู ค้าได้อยา่ งรวดเรว็ แต่กระนั้นความสำเร็จของ Blockchain จะสามารถพลิกสถานะการให้บริการด้านการเงนิ โลกดิจิทลั ได้หรือไม่ การหาพารต์ เนอรท์ ีม่ ีประสบการณ์ในการทำงานกับระบบความซบั ซ้อน และความหลากหลาย ในทกุ ระดับการ ใช้งานไม่วา่ เล็ก หรอื ใหญ่ เปน็ หัวใจสำคัญของการจัดการกบั ปัญหาน้ีได้อยา่ งดีท่สี ุด ซึง่ ถา้ ยอ้ นกลับไปเม่ือ 5 ปี ที่ผ่านมาไอเดียทางธุรกจิ เหล่าน้ี ต่างเคยถูกมองว่าเป็นเรือ่ งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นไดจ้ ริง หากแต่ปัจจบุ ันเรื่องเช่นนี้ ได้กลายเป็นตัวกำหนดผู้ชนะในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการมองว่าซอฟต์แวร์คือตัวแปร สำคัญของการเปลย่ี นแปลงของโลกยคุ ใหม่น่ันเอง วิวัฒนาการของ Blockchain ดว้ ยการ Fork การ Fork เป็นส่วนที่สำคัญในการเกิดวิวฒั นาการของบล็อกเชน เหมือนอย่างที่การกลายพันธ์สำคัญตอ่ DNA ในสิ่งมีชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดการวิวัฒนาการผ่านการคัดเลือกของธรรมชาติ การ Fork ทำให้เราสามารถทดลอง บลอ็ กเชนหลายเวอร์ช่ันขนานกนั ได้ โดยจะมีเพียงเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งทส่ี ุดเท่านัน้ ท่จี ะอยรู่ อด การ Fork ของบล็อกเชน เกิดขึ้นได้เพราะโค้ดปัจจุบันและสถานะของบล็อกเชนสามารถถูกคัดลอกได้อย่าง เปิดเผย เปรียบกับการที่โปรแกรมเมอร์อนุญาตให้สามารถคัดลอกโค้ดของ Facebook และเปิดอีกเวอร์ชั่น หนึ่งแข่งกันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การ Fork ที่ผ่านมามักพบปัญหาในเรื่องผลตอบแทน กลุ่มคนที่ทำการ Fork ใหม่ จะมีแรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่ค่อนข้างน้อยที่จะทำให้ Fork ของตัวเองประสบความสำเร็จ เป็นเพราะ รูปแบบการ Fork ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงการคัดลอกการเป็นเจ้าของจากกลุ่มคนที่ถือ Token เดิม แทผมขอยกตัวอย่าง ถ้าหากมีกลุ่มนักพัฒนาที่คิดว่าเขาสามารถสร้างเวอร์ชั่นที่ดีกว่าของเหรียญที่ชื่อ ว่า TokenA ได้ เดิมทีเขาอาจถือ TokenA อยู่จำนวนเล็กน้อย เช่นประมาณ 0.10% เมื่อทำการ Fork ตัว TokenA เขาก็จะยังถือเพียง 0.10% ของ TokenA ที่ถูก Fork แล้ว (หรือเราอาจจะเรียกมันว่า ForkedTokenA) เพราะเหตุนี้ แม้ ForkedTokenA จะประสบความสำเร็จ ผู้พัฒนาก็จะได้ผลตอบแทน จำนวนน้อยมาก เทียบเท่ากบั การถอื TokenA เดิม เม่อื มองในมุมของสตาร์ทอัพ คุณก็คงอยากให้ “founders” หรอื ผ้กู ่อตั้ง ForkedTokenA ได้รบั ผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจที่งดงาม แต่กลับกลายเป็นว่า ผู้ก่อตั้งน่าจะได้รับผลตอบแทนในการพัฒนา TokenA มากกว่า ForkedTokenA เพราะ TokenA น่าจะมีมูลคา่ ที่มากกวา่ อยู่แลว้ ต้ังแตต่ น้ ถา้ หาก TokenA มีมลู คา่ $10 และ ForkedTokenA มีมูลค่า $1 ภายหลังจากการ Fork การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ TokenA โตขึ้น 20% จะทำ กำไรให้กับผู้พัฒนา $2 ต่อ coin ส่วนถ้าหาก ForkedTokenA โตขึ้น 20% ผู้พัฒนาจะทำกำไรได้เพียงแค่

10 $0.20 แมจ้ ะมจี ำนวน coin ที่เทา่ กนั ผลประโยชน์ของเขากลบั ไม่สมเหตุสมผล นกั พฒั นาควรได้รับเหรียญมาก ขึ้นเพือ่ แก้ไขปญั หาเรื่องผลตอบแทนน้ี แล้วเรอื่ งราวก็ยิ่งดูตลกถ้ามองในฝ่ังของผู้ถือบล็อกเชน (Blockchain) เดิม ถา้ หาก TokenA Foundation ถือ 20% ของ coin ใน TokenA ตอนน้ีเขาจะมี 20% ของ coin ใน ForkedTokenA ด้วยเชน่ กนั โดยที่ทมี พัฒนา ForkedTokenA จะไม่ได้เลยสักเหรียญ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ Ethereum Classic ทำการ Fork จาก Ethereum ทันใดนั้นเอง Ethereum Foundation ก็กลายเป็นผู้ถือ Ethereum Classic ด้วยเช่นกัน แม้ว่า พวกเขาจะไม่ได้มีความสนใจที่จะมีส่วนร่วมเลยก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว หากมองเรื่องของการกำกับดแู ล การ Fork มักเกิดจากความคิดเห็นที่แตกตา่ งกันในทศิ ทางของ โปรเจ็ค และ Token ก็ไดก้ ลายเป็นกระบวนการในการโหวตเร่ืองการเปลยี่ นแปลงต่างๆ เน่ืองจากจุดประสงค์ ของการ Fork คือการทดลองแนวทางใหม่ การ Fork ที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็อาจไม่อยากมีผู้ถือเดิมที่ไม่ได้เห็นด้วย กับแนวทางการ Fork นี้ตั้งแต่ต้น ทำให้เริ่มที่จะเห็นได้ชัดว่าการแบ่ง Token กันใหม่นั้นกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีประโยชน์มากสำหรับการ Fork ใหม่ที่ต้องการจะอยู่รอด ถึงแม้การแบ่ง Token ใหม่อาจเป็นเรื่องที่ เกดิ ข้นึ ไม่คอ่ ยบอ่ ย แต่ก็เรมิ่ มีแนวโนม้ ว่าจะกลายเปน็ เรอื่ งปกติในอนาคต การแบ่ง Token ใหม่อีกครั้งเป็นวิธีการสร้างสมดุล โดยส่วนมากแล้ว Fork ที่เกิดขึ้นใหม่จะต้องการให้ผู้ถือ Token เดิมรูส้ ึกต้องการถือ Token ใหม่นีด้ ว้ ย อยา่ งน้อยกเ็ พื่อให้ผใู้ ช้เดมิ รู้สึกวา่ จะได้รับผลตอบแทนเทียบเท่า กับของเดิม แต่เป้าหมายหลักที่สำคัญคือการให้ผลตอบแทนแก่กลุ่มที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาการ Fork ซึ่ง ส่วนมากควรจะให้ผลตอบแทนโดยการย้ายการถือครองของ Token (foundation-like) และลดสัดส่วนของผู้ ถือ Token เดิม เพื่อนำไปให้แก่กลุ่มผู้พัฒนา กรณีนี้จะคล้ายคลึงกับการออกหุ้นใหม่ในบริษัทท่ีมีอายุเก่าแก่ เพอ่ื มอบให้พนักงานทีเ่ ข้ามาทีหลัง เรื่องสำคัญอีกเรื่องก็คือ ต้องไม่ลืมว่าการ Fork ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างการแข่งขันกันโดยตรงเสมอไป เหมือนกับการกลายพันธ์ของ DNA ที่สร้างสิ่งมีชีวิตมากมายที่เริ่มต้นจาก genetic tree เดียวกัน เราอาจเหน็ โปรโตคอล (Protocol) หนึ่ง ขยายออกเป็น 3 โปรโตคอล เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ต่างกัน มีความเป็นไปได้สูง ว่าจะนำโปรโตคอลไปแยกส่วนและนำกลับมาประกอบฟังค์ชั่นต่างๆ ใหม่ เพื่อให้ได้จุดสมดุลตามที่ต้องการ และเน่ืองจากระบบนเิ วศมกี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งต่อเนอ่ื ง จดุ สมดลุ กจ็ ะเปลยี่ นไปตามกาลเวลา การ Fork ก็มีจุดอ่อนในบางเรื่อง เชน่ เดยี วกนั กบั การกลายพันธ์ุของสิ่งมชี ีวติ การ Fork ไมไ่ ดห้ มายความว่าจะ สำเร็จเสมอไป เพราะมีโอกาสที่จะสูญเสยี Network Effect และอาจเกิดการแบ่งแย่งทรัพยากรในการพัฒนา ตัง้ แต่แรกเริม่ แมท้ ง้ั สองโปรเจ็คจะสามารถดึงทรพั ยากรใหม่เข้ามาได้ในอนาคต ในภาพรวม เราควรเห็นความสำคัญที่ว่า การพัฒนาโดยไร้ซึ่งศูนย์กลางเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากกว่าการสร้าง บางอย่างในสภาพแวดล้อมที่มีศูนย์กลาง แต่ผมคาดว่าต่อไปในอนาคตจะเกิดการพัฒนาโดยปราศจาก ศูนยก์ ลางมากขนึ้ เม่อื มีเทคนคิ การพัฒนาและโครงสร้างผลตอบแทนท่ผี า่ นการขัดเกลาแลว้ ผมขอสรุปดังนี้ การ Fork เป็นกลไกที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งการที่จะทำให้การ Fork มี ประสิทธผิ ลนน้ั การให้ผลตอบแทนแก่กลุ่มตา่ งๆ สำหรบั การทดลองเสน้ ทางใหม่เป็นเรื่องที่จำเป็น นนั่ หมายถึง การแบ่ง Token ใหม่ในการ Fork เพือ่ มอบผลตอบแทนแก่ผู้สร้าง Fork หากปราศจากสิ่งนี้ ผมคิดว่าเราจะย่ิง

11 เห็นปัญหาที่ทำให้นักพัฒนาต้องลำบากใจ อย่างที่เราเห็นกับบิทคอยน์ โปรเจ็คต่างๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงช้าลง เพราะเกรงว่าจะทำลายมลู ค่าในปัจจุบนั ดว้ ยการ Fork นวัตกรรมบลอ็ กเชนจะสามารถเกิดข้นึ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วกว่าในปัจจบุ ันและมากกว่าท่ีเคยมีมา นทจี่ ะเปน็ การปรับเพือ่ ใหผ้ ลประโยชน์แก่กลุ่มแกนหลกั ของบลอ็ กเชนหว่ งใหม่ หลกั การทำงานของเทคโนโลยี Blockchain การทำงานของ Blockchain บลอ็ กเชน เปน็ รปู แบบการเกบ็ ข้อมูล (Data structure) แบบหนง่ึ ทที่ ำให้ข้อมลู Digital transaction ของแตล่ ะคนสามารถแชร์ไปยังทุกๆ คนได้ เปน็ เสมอื นหว่ งโซ่ (Chain) ที่ท าให้ block ของข้อมูลลิ้งก์ต่อไปยัง ทุกๆ คนเป็น โดยที่ทราบว่าใครที่เป็นเจ้าของและมีสิทธใิ นข้อมูลนั้นจริงๆ เมื่อบล็อกของข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ ในบลอ็ กเชน มันจะเปน็ เร่ืองยากมากๆ ท่จี ะเขา้ ไปเปล่ียนแปลง เวลาท่ีมใี คร ตอ้ งการจะเพ่ิมข้อมลู ทกุ ๆ คนใน เครือข่ายซึ่งล้วนแต่มีสำเนาของบล็อกเชน สามารถรัน Algorithm เพื่อตรวจสอบ Transaction โดย Transaction ใหม่นี้จะได้รับอนุญาต ต่อเมื่อในเครือข่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยว่ามันถูกต้อง Bitcoin (บิทคอยน์) กับ Blockchain (บล็อกเชน) เก่ียวข้องกนั อย่างไร บล็อกเชน เป็นเทคโนโลยี ด้านความปลอดภยั ของข้อมลู บทิ คอยน์ ว่าด้วยเร่ืองสกุลเงินบนโลกดจิ ิตอล จะเห็นได้ว่า บล็อกเชน ไม่ใช่ บิทคอยน์ และบิทคอยน์ ก็ไม่ใช่บล็อกเชน แต่โมเดลบิทคอยน์ มีความ ต้องการน าเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลนี้ มีความปลอดภัย และเพราะว่า บล็อกเชน ว่าด้วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องได้กับทุก อุตสาหกรรม ไม่ เจาะจงเฉพาะบิทคอยน์ หรือ FinTech เพียงแต่เทคโนโลยีนี้เรียกได้ว่าส่งผลกระทบต่อวงการ FinTech ค่อนข้างเหน็ ไดช้ ัดเจน และการบมู ของเทคโนโลยตี วั น้ี มาจากความพยายามในการทำบิทคอยน์ ยกตัวอย่างการประยุกตใ์ ช้ เช่น วงการอสังหาริมทรัพย์ สามารถประยุกต์ใช้ท า Smart contract โดยถ้าสัญญาอยู่ในบล็อกเชน ทุก คนจะเห็นข้อมูลตรงกัน เราจึงสามารถไว้ใจใหร้ ะบบ Automate ปฏิบัติงานใดๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ นอกจากน้ยี งั มกี ารประยกุ ต์ใชไ้ ดอ้ ีกมากมาย ดงั ท่ีมีการสรุปไว้ในแผนภาพน้ี

12 องคป์ ระกอบของเทคโนโลยี Blockchain Blockchain เป็น technology ที่เกี่ยวกับความเชื่อใจ (Trust) ในการทำธุรกรรมที่มีมูลค่า (Value) โดย มี องค์ประกอบ 4 ข้อ ดงั น้ี 1. Block เปน็ การเก็บ Data Transaction/Fact โดยบรรจุในกล่อง(Block) และเมือ่ ปิดกล่องแลว้ ข้อมูลภายในกลอ่ งห้าม เปลี่ยนแปลง โดยจะมี Hash ปะหน้ากล่อง (Hash function คือการนำ input ขนาดยาวเท่าไหร่ก็ได้มาแปลง เป็นค่าขนาดคงท่ี ซ่ึง input จะให้คา่ output เดิมเสมอ) โดยสรปุ คือ .. เปน็ Block ท่ใี ช้เก็บ data ทไี่ มส่ ามารถ เปลยี่ นแปลงได้ 2. Chain การเอา header (hash) ของ block มาเรียงตอ่ กันเปน็ chain • มีแค่ header (hash) ลา่ สดุ สามารถตรวจสอบไดต้ ลอดทง้ั chain ว่าไม่ถกู เปล่ียนแปลง • การทำธรุ กรรมก็แค่เอา hash ล่าสุด 2 คนมาเทียบกนั ถ้าตรงกนั คือเช่อื ถือได้ ทำธรุ กรรมได้ • เราสามารถเก็บแค่ hash ลา่ สุดไวก้ ไ็ ด้ ไมต่ ้องเกบ็ ทง้ั blockchain ในการทำธุรกรรม • ข้อมูลกล่องปัจจุบันจะเก็บ hash ของกล่องก่อนหน้า ทำให้เปลี่ยน data transaction ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ เนอ่ื งจากมี Hash กำกบั ไวท้ ่ีกล่องและถา้ จะแกข้ ้อมลู บางกลอ่ ง ต้องตามแกท้ ้งั chain ทุก block • โดยสรุป Chain คอื เอา Block มาต่อกนั โดยเก็บคา่ Hash ไว้ในกลอ่ งถดั ไป 3. Consensus วธิ กี ารตกลงกนั วา่ block ถดั ไปจะเกบ็ อย่างไร สามารถทำไดห้ ลายวิธีเชน่ • วิธใี ดก็ได้ท่ตี กลงกนั แล้วทุกคนยอมรับ”ธรุ กรรม” ทเี่ กดิ ข้นึ เชน่ เปา่ ยิงชุบ / แบบประชาธิปไตย/ หัวหน้า ฟนั ธง etc. แตว่ ิธกี ารทีใ่ ชอ้ ยู่ในปจั จุบนั เช่น • Prove of Work : คือให้คนที่โชคดีและขยันที่สุดชนะ ซึ่งยิ่งจำนวน peer มาก ความน่าเชื่อถือยิ่งเยอะ และยง่ิ ปลอดภัยจากการถูกทำลายระบบ • Prove of Stake : ให้สิทธิ์กับคนที่ถือมูล (value) ที่มีค่าสูงสุด ในการตัดสิน แต่วิธีนี้อาจจะใส่กฎอื่นเพิม่ เช่น อาจจะใช้ได้แล้วต้องหยุดสักพัก ให้สิทธิ์คนอื่นบ้าง ไม่งั้นคนอื่นอาจจะไม่ใช้ระบบเพราะไม่มีสิทธิ์มี เสยี ง เพิ่มเติม : Forking = การแตกออกจาก chain หลัก ซึ่ง chain ที่แตกออกไปจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องและจะ เปน็ โมฆะในทีส่ ุดปรกตมิ ปี ระมาณ 4–5 Block 4. Validation การตรวจสอบธุรกรรม ใช้ digital signature (private key) เพื่อประกันว่าธุรกรรมเกิดจากเจ้าของเงินจริงๆ - Bitcoin มีมา 9 ปี ยังไม่มใี ครโดน Hack ระบบแตท่ ี่โดน hack คือ web ทีเ่ ก็บ wallet (private key) คอื ใคร ถือ private key คนนน้ั มสี ทิ ธท์ิ ำธุรกรรมไดเ้ ปรยี บเสมอื นเจ้าของ 5. Wallet (optional) กระเป๋าเงินที่ทำใหเ้ ราทราบมลู ค่าของเงนิ ทเ่ี รามอี ยู่

13 ประเภทของ Blockchain ปัจจุบันมีการแบ่งเทคโนโลยี Blockchain ออกเป็น 3 ประเภท นั้นคือ Public, Private, Consortium ซึ่งแต่ ละประเภทก็มีเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันไป เนื้อหาต่อจากนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักเทคโนโลยี Blockchain กนั มากขนึ้ 1. Public Blockchain (Blockchain แบบเปิดสาธารณะ ) Blockchain ประเภทนี้ เรามักรู้จักกันดีในชือ่ Bitcoin กับ Ethereum ซึ่งเป็น Blockchain ที่ใช้งาน จริงกับคนทั่วโลก ข้อดีของ Public Blockchain ประเภทนี้คือ ทางองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนตอนเริ่มต้นใน ราคาสูง เช่น การนำเอา Ethereum มาใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการรบั และสง่ ข้อมลู ทา่ นสามารถใชเ้ พ่อื เก็บ ขอ้ มลู และเรียกข้ึนมาดูได้แบบออนไลน์ โดยที่ท่านไม่ตอ้ งลงทนุ ซื้อเครื่อง Server มาติดต้ังระบบเอง ท่านเพียง แคจ่ า่ ยค่าการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลตามการใช้งานจรงิ เท่านัน้ คล้ายๆ จา่ ยคา่ บริการแบบค่ามือถือชนิดเติม เงนิ ใชเ้ ท่าไรกจ็ ่ายเท่านนั้

14 สำหรบั ข้อดขี อง Public Blockchain ยงั มอี ีกมากมาย เช่น การส่งข้อมลู ไปใหห้ น่วยงานผู้รบั ปลายทางเราก็ไม่ ตอ้ งมาสร้างชอ่ งทางสง่ ข้อมูลกัน หรือท่ีนิยมทำ Web Service API เพื่อให้ App คยุ กนั องคก์ รผู้ส่งข้อมูลเพียง แคใ่ สข่ ้อมูลลงไปใน Blockchain และจ่าหนา้ ซองถึงองค์กรผู้รับเท่าน้ันผู้รบั ก็ได้รับข้อมูลไปโดยทนั ที แต่ข้อเสีย ของ Public Blockchain ก็มีเช่นกัน ข้อมูลที่เราใส่เข้าไปใน Public Blockchain นั้นจะกลายเป็นว่าข้อมูล เหล่านั้นจะถูกเปิดเผยแก่ทุกคนแบบสาธารณะ แปลว่าไม่มีอะไรเป็นความลับ หากต้องการความเป็นส่วนตัว องค์กรกต็ ้องหาวธิ ีการใน การเขา้ รหัสขอ้ มลู กอ่ นทจี่ ะสง่ ซึง่ เป็นขน้ั ตอนท่ที ำใหเ้ กิดความยุ่งยากในการใชง้ าน 2. Private Blockchain (Blockchain แบบปดิ ) Blockchain ประเภทนี้เป็นการสร้างระบบ Blockchain เพื่อมาใช้กันภายในองค์กร หรือเป็นระบบ ปิด บลอ็ กเชนประเภทนี้จะมกี ารจำกัดการเข้าถึงข้อมูล ทำใหจ้ ะมเี พยี งคนบางกลุ่มเท่าน้ันซ่งึ เป็นคนที่ได้ยืนยัน ตัวตนและตรวจสอบข้อมูลในระบบบล็อกเชนแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้งานระบบได้ สำหรับองค์กรที่ ตอ้ งการรกั ษาความปลอดภยั ขอ้ มลู ในระดับสูง อาจจะเปน็ การเชอ่ื มโยงข้อมลู ระหวา่ งบริษัทในเครือด้วยกันเอง หรือระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในระบบ Blockchain ประเภทนี้ได้ จึงเป็น อะไรที่ตรงข้ามกับ Public Blockchain อย่างสิ้นเชงิ Blockchain ประเภทนี้ถกู ออกแบบมาเพ่ือแก้ปัญหาการ เปิดเผยข้อมูลที่องค์กรต้องประสบใน Public Blockchain ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่องค์กรต้องลงทุนใน การสร้างระบบ Infrastructure เพื่อรองรับการใช้งานภายในองค์กรเอง ซึ่งก็มีความท้าทายในการดูแลรักษา และจำนวนเงินไม่นอ้ ยท่อี งคก์ รจะต้องลงทนุ อีกเชน่ กนั ครบั ข้อดีอีกข้อของ Private Blockchain คือการที่เราสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ภายใน Blockchain Network ของเราให้ทำงานได้ตามที่เราต้องการนั่นเอง เราไม่จำเป็นต้องออกแบบระบบให้เป็นไปตามกฎของ โลกเหมือน Public Blockchain เช่น ถ้าออกแบบระบบโดยอ้างอิงอยู่บน Public Blockchain – Bitcoin เวลามีการส่งเงินนั้นเราก็ต้องออกแบบระบบให้มีการรอ Confirm ธุรกรรม 10-15 นาทีตามกฎของ Bitcoin แต่ในทางกลับกันหากองคก์ รใช้ระบบประเภท Private Blockchain เราจะสามารถออกแบบให้การ Confirm ธุรกรรมแล้วเสร็จภายใน 1-2 วินาทีก็เป็นไปได้ หรือสามารถสร้างเงื่อนไขของสัญญาอัจฉริยะ (Smart

15 contract) เพื่อการกำหนดกฎการทำธุรกรรมของกลุ่มกันเองและดำเนินการด้วยความเป็นอิสระ ในรูปแบบ ธรุ กรรมอตั โนมัติ ซึ่งถือเปน็ การเปดิ ประตไู ปสู่การเชอ่ื มโยงกับข้อมลู อ่ืนๆ อีกมากมาย 3. Consortium Blockchain (Blockchain แบบ เฉพาะกลมุ่ ) Blockchain ประเภทคือการรวมเอา 2 แนวคิดแรกเข้าด้วยกัน เป็นการผสมผสานระหว่างข้อดีของ Public Blockchain และ Private Blockchain เข้าด้วยกนั ซงึ่ แนวคิด Consortium Blockchain นก้ี ำลงั เป็น ที่นิยมอย่างสูงสำหรับการนำมาประยุกต์ใช้กับองค์กรด้านการเงินในปัจจุบัน เนื่องจากองค์กรเหล่านี้มีการทำ ธุรกิจที่เหมือนกัน โดยปกติจะต้องเชื่อมโยงเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอยู่แล้ว จึงสร้างเป็นเครือข่าย ความร่วมมือและพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น Consortium Blockchain สำหรับธนาคารใช้ใน การแลกเปลี่ยนข้อมูลการโอนเงินระหวา่ งกนั ภายในสมาคมธนาคารด้วยกนั เอง และธนาคารที่จะเข้ามาร่วมใน เครือข่ายได้จะต้องได้รับอนุญาตจากตัวแทนของสมาคมเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์ใช้งานระบบรว่ มกับธนาคารอื่นๆ ได้ ข้อดีของ Blockchain ประเภทนี้คือธนาคารไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรและลูกค้าจะรั่วไหล กลายเป็นข้อมูล Public และในเรื่องการลงทุนระบบ Infrastructure ก็ลดลงไม่เหมือนการสร้าง Private Blockchain ขึ้นมาใช้เฉพาะภายในองค์กรของตนเอง ซึ่งจะไม่ต่างอะไรกับการลงทุนทำระบบใหญ่ๆ ที่ต้องใช้ งบประมาณสูงและเสียเวลามาก แตก่ จ็ ำเปน็ ต้องแลกด้วยความไม่คล่องตวั ในการปรับเปลี่ยนแก้ไขเง่ือนไขการ ใช้งานต่างๆ เพราะอาจจะตอ้ งรอให้ผ่านมติความเหน็ ชอบจากสมาชิกสว่ นใหญใ่ นสมาคมเสียกอ่ น

16 ธรุ กรรมการเงินดจิ ติ อล (Fintech) ความหมายของ FinTech FinTech (Financial Technology) คือ กลุ่มธุรกิจที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้การบรกิ ารที่เกีย่ วข้อง กับการเงินและการลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิง่ ขึ้น เช่น การทำธุรกรรมรับ-จ่าย-โอนเงินออนไลน์ของธนาคาร หรอื การวเิ คราะห์ข้อมลู หุ้นเพอ่ื ช่วยการตดั สนิ ใจของนักลงทนุ โดยบริการเหล่านม้ี กั จะอยใู่ นรูปแบบของบริการ ออนไลน์แทบท้งั สน้ิ Financial Technology คอื การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับการเงนิ ในการสร้างนวตั กรรมใหม่ เพื่อเป็น สินค้า บริการ การแกป้ ัญหาทางการเงนิ รวมถงึ เป็นแนวทางในการประกอบธรุ กิจใหม่ ๆ ทำใหก้ ารจัดการ และ การเข้าถึงทางการเงนิ เปน็ ไปได้ง่ายขึ้น ด้วยเทคโนโลยี เทคโนโลยีทางการเงิน มีจุดเริ่มต้นจากการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบงานของธนาคาร เมื่อ เทคโนโลยีเติบโตขึ้นพร้อม ๆ กับความสามารถในการเข้าถึงของบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนที่ถือเป็น Disrupter แห่งยุค ก็ทำให้อำนาจในการทำธุรกรรมและเข้าถึงบริการทางการเงินไม่ถูกจำกัดอยู่กับสถาบัน การเงินอีกต่อไป เทคโนโลยีทางการเงิน ได้แตกแขนงออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ กัน เพื่อตอบสนองความ ต้องการทางการเงนิ ของผใู้ ช้ Fintech ยอ่ มาจาก Financial Technology (เทคโนโลยที างการเงนิ ) ซงึ่ เปน็ การใช้เทคโนโลยีในส่วน ของการออกแบบและการให้บริการทางการเงิน โดยเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องเข้าใจว่า fintech นั้นไม่ใช่ สาขาวิชาของตัวเองแต่เป็นการควบรวมส่วนสำคัญต่างๆ เอาไว้ ที่ร่วมถึงการกู้ยืมระหว่างบุคคลต่อบุคคลทาง ออนไลน์ (peer-to-peer lending), ความปลอดภัยของข้อมูล (data security), ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence), บล็อกเชน (blockchain), ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data), ผู้แนะนำการลงทุนอัตโนมัติ (robo- advisers), และการระดมทุนจากสาธารณะชน (crowd-funding) และทั้งหมดนี้ก็กำลังเปลี่ยนแปลงวิถีของ การธนาคารท่ี เรารูจ้ กั ไปอยา่ งแทจ้ ริง วิวัฒนาการดา้ นเทคโนโลยีทาง การเงินจากอดตี ...สปู่ จั จุบัน จาก Bank 1.0 ถงึ ยคุ Virtual Bank เทคโนโลยีทางการเงิน หรอื FinTech คอื การผสมระหว่างคำว่า Financial และ Technology เขา้ ไว้ด้วยกนั ซึ่งหมายถึงการนำเทคโนโลยีหรือโปรแกรมคอมพิวเตอรม์ าประยุกต์ใช้หรอื สนับสนุนการให้บรกิ ารทางการเงนิ การธนาคาร และการลงทุนในรูปแบบตา่ ง ๆ ซึ่งหากศึกษาวิวัฒนาการของ FinTech จะพบว่านับจากการวาง ระบบเคเบิลใต้น้ำ (Transatlantic Cable) อันถือเป็นจุดกำหนดของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินในราวปี 1866 เป็นต้นมา รูปแบบการให้บริการทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยเี ป็นตัวขับเคลือ่ นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่าง มาก จวบจนปัจจุบัน ที่กลุ่มอุตสาหกรรมทางการเงินกำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ จากการมี สำนักงานสาขาในแบบเดิม หรือ “Brick-and-Mortar Branches” มาเป็นการให้บริการที่อยู่ในโลกออนไลน์ แบบเตม็ รูปแบบ หรอื ท่เี รยี กวา่ “Virtual Bank”

17 จาก Bank 1.0 ผู้เขียนขอวิเคราะห์วิวัฒนาการของธนาคารตามการเปลีย่ นแปลงของรูปแบบการใหบ้ รกิ าร โดยอธิบายเปน็ ยคุ ตา่ ง ๆ ตามลำดับ ดังน้ี ธนาคารในยคุ แรก หรือ Bank 1.0 คือ ยุคที่ธนาคารยังไม่มกี ารใช้เทคโนโลยีใด ๆ ในการให้บริการ ดังนั้น การ ดำเนินการต่าง ๆ ไมว่ า่ จะฝาก ถอน หรอื ก้ยู ืม ล้วนแล้วแต่กระทำลงในรูปแบบกระดาษท้ังสิ้น ซ่ึงประชาชนใน ยุคนน้ั เลอื กใชบ้ ริการธนาคารด้วยความเชื่อทว่ี า่ ธนาคาร คือ สถานที่ ๆ ปลอดภยั ในการเก็บเงิน หรืออาจกล่าว ได้วา่ ประชาชนได้ให้ Trust กับการดำเนินงานของธนาคารน้นั เอง ต่อมาในยุค Bank 2.0 ความต้องการในการใช้บริการธนาคารมีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีเข้ามา ชว่ ยเพิ่มประสิทธภิ าพในการใหบ้ ริการ เรม่ิ จากการใช้ระบบ Mainframe เพื่อการรองรับการให้บริการ จนกระ ทง้ั มีการให้บรกิ ารผ่านตู้ ATM โดยธนาคาร Barclays และมกี ารออกบัตรเครดิตโดยสถาบนั การเงินในสหรัฐอม รกิ า (Bank of American และ American Express) หลังจากนั้นในยุค Bank 3.0 หรือ ในช่วงปี 1990 เป็นต้นมาได้เริ่มมีการใช้ Internet Banking และ Mobile Banking ตามลำดับ ต่อมา ในปี 1999 หลักจากที่มกี ารก่อต้ังบริษัท Alibaba พบว่า รูปแบบการให้บริการ e- Commerce platform ที่มีการเก็บข้อมูลการขายสินค้า/บริการออนไลน์ ทำให้ platform ทราบข้อมูลทาง การเงนิ ของผู้ใชบ้ ริการไดไ้ ม่ยากนัก อันเป็นผลใหม้ กี ารเกิดกลุ่มธุรกิจท่ีเกยี่ วกบั การชำระเงินอย่าง Alipay และ ธุรกจิ ไฟแนนซ์/Money Market Fund อย่าง Yue Bao ซ่ึงธรุ กจิ การใหบ้ รกิ ารทางการเงนิ ประเภทต่าง ๆ ท่ีได้ กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้คน มากมายและไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานสาขาในแบบกายภาพ เนื่องจากเป็นการให้บริการผ่าน Application ที่ เชื่อมต่ออยู่ในโลกออนไลน์ หรืออาจกล่าวได้ว่า Bank ในยุค 4.0 นั้น ได้รับอิทธิพลจาก Business Model แบบ Alibaba จึงส่งผลให้การให้บริการทางการเงนิ ในรูปแบบ Automated เพิ่มจำนวนมากขึ้น และ ส่งผลให้บรกิ ารทางการเงนิ ในยคุ นี้สามารถทำได้แบบ No human Involved จาก Bank 4.0 สู่ Virtual Bank Virtual Bank หรือ Internet Based Bank คือ สถาบันการเงิน (อาจเป็นธนาคารหรือการรวมตัวของกลุ่ม อุตสาหกรรมทางการเงินและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง) ที่ให้บริการและดำเนินการทุกอย่างในรูปแบบ online เช่น ใหบ้ ริการผา่ น website, email หรอื mobile check deposit เป็นตน้ ปัจจุบัน กฎหมายในหลายประเทศได้อนุญาตให้ประกอบธุรกิจในแบบ Virtual Bank ได้ โดยประเทศที่ได้มี การใหใ้ บอนญุ าตประกอบธรุ กจิ Virtual Bank แลว้ เช่น ฮ่องกง (8 ราย) และไตห้ วนั (3 ราย) เปน็ ตน้ ซึ่งหาก พิจารณาในโครงสร้างของ Virtual Bank แต่ละรายที่ได้รับอนุญาตไปแล้ว จะสังเกตเห็นว่า ผู้เล่นในธุรกิจ Virtual bank มักอยู่ในรูปแบบการรวมตัวของกลุ่มธุรกิจแบบร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง กลุ่มธุรกิจที่ เติบโตมากจาก App-Based enable Service (เช่น line, Ctrip, Tencent และ Ant Financial) กลุ่มธุรกิจ ธนาคารเดิม (Standard Chartered Bank และ CTBC Bank) กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม (เช่น Chunghwa Telecom) และกลมุ่ บริษทั เทคโนโลยี (เชน่ Jingdong Digital Technology) เปน็ ต้น

18 ยกตัวอย่างเช่น Virtual Bank license ในไต้หวัน FSC (Financial Supervisory Commission) ได้ให้ ใบอนุญาตกับกลุ่มธุรกิจ Line Financial Taiwan ซึ่งเป็นการร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง Line Group, Taipei Fubon Commercial Bank, CTBC bank, Standard Chartered, Union Bank of Taiwan แ ล ะ บ ร ิ ษั ท โทรคมนาคม FarEastTone อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติ การดำเนินการในรูปแบบ Virtual ในบางประเทศ ธนาคารยังคงรูปแบบ สำนักงาน ใหญ่และสำนักงานสาขาอยูเ่ ชน่ เดิม เพยี งแตม่ ีการใช้เทคโนโลยีเพ่ือเช่ือมโยงการทำงานระหวา่ งสำนักงานสาขา และสำนักงานใหญ่เข้าด้วยกัน หรือเชื่อมต่อการให้บริการกับลูกค้าผ่านระบบ Kiosks เป็นต้น เช่น ระบบ Virtual Banking system ของธนาคารในประเทศคูเวต ประเภทของ Fintech Fintech คนมักจะคิดถึงระบบ Mobile Banking ของแต่ละธนาคารก่อนเป็นอันดับแรก แต่ตามว่าเทคโนโลยี ทางการเงินนั้นมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน และการแบ่งประเภทของฟินเทคก็สามารถแบ่งได้หลากหลายวิธี เช่นกนั แตถ่ า้ จะจำแนกตามจุดประสงค์ในการใชง้ าน สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 7 แบบ 1. Banking Technology การนำเทคโนโลยีมาใช้กับระบบธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่คนมักคิดถึง เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีทางการเงิน เพราะ หลายคนคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่แล้ว และเชื่อว่าในโทรศัพท์ของคนวัยทำงานส่วนใหญ่จะต้องติดตั้ง แอปพลิเคชันธนาคาร ซึ่ง ฟินเทคประเภทนี้คือ Mobile Banking ที่มีขึ้นเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารสามารถทำ ธุรกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการบริหารจัดการเงินของตัวเองได้ด้วยตัวเอง ทำงานในฟังก์ชันเดียวกับที่ธนาคารแบบ ดั้งเดิมทำ ทงั้ เช็กยอดบญั ชี โอนเงิน จ่ายบิล และอื่นๆ 2. Crowdfunding Platforms เทคโนโลยีเพื่อการระดมทุน กล่าวคือ คราวด์ฟันดิงแพลตฟอร์ม เป็นแพลตฟอร์มตัวกลาง ระหว่าง ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการขอ และให้เงินทุน แทนท่ี ผู้ประกอบการจะต้องไปขอกู้สินเชื่อจากธนาคาร ก็สามารถระดมทุน จากนักลงทุนหลาย ๆ คนได้ และนัก ลงทุนเอง ก็สามารถเลือกลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจ ผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวได้ โดยแพลตฟอร์ม นอกจากจะ เป็น ตัวกลางในการเช่ือมต่อแลว้ ยังอำนวยความสะดวก ในเรื่องการสมัครขอระดมทุน ตรวจสอบเครดิต และ อนุมัติ ด้วยเช่นกัน ซึ่ง เพียร์ พาวเวอร์จัดอยู่ใน ฟินเทคประเภทนี้ โดย การระดมทุนผ่านแพลตฟอร์ม ของ เพยี ร์ พาวเวอร์ จะอยใู่ นรปู แบบของหนุ้ กูค้ ราวด์ฟันดิง ทีใ่ ห้ผลตอบแทนเปน็ ดอกเบ้ีย 3. Cryptocurrency สกุลเงินดิจิทัลทั้ง Cryptocurrency หรือเทคโนโลยี Blockchain เป็นการสมมติชุดข้อมูลขึ้นมาด้วยวิธีใดวิธี หนึ่งในโลกออนไลน์ แล้วทำให้ใช้งานได้เหมือนเงินจริง สามารถใช้จ่ายได้ รวมถึงเก็งกำไรได้ด้วย โดยสกุลเงิน ดิจิทัลสกุลแรกที่ถือกำเนิดมาในโลกคือ Bitcoin และที่สั่นสะเทือนวงการการเงินล่าสุดคือการประกาศเปิดตวั Libra สกุลเงินดิจิทัลของ Facebook ที่จับมือกับพาร์ทเนอร์เจ้าใหญ่ทั่วโลกซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น Technology Disruptive ท่ีใหญ่ท่สี ุดในอนาคตการเกิดขึ้นของเทคโนโลยที างการเงิน ประเภทนี้ บา้ งก็ถูกมอง เป็นโอกาสที่จะสร้างความเท่าเทียมทางการเงิน บ้างก็ถูกมองว่าเป็นภัยต่อระบบการเงินดั้งเดิมของโลก จึง

19 ได้รับทั้งการต้อนรับและขับไล่จากทั่วโลก อย่างไรก็ดี Cryptocurrency ถือเป็นระบบการเงินแห่งอนาคตที่มี การขยายขอบเขตความสนใจเพ่ิมข้นึ เรือ่ ย ๆ 4. Payment Technology ระบบการจา่ ยเงินท่ดี ำเนนิ การดว้ ยเทคโนโลยี ประเภทนค้ี อื ระบบตวั แทนการใช้จา่ ย ทีผ่ ู้ใชต้ อ้ งเปดิ บัญชกี ับทาง แพลตฟอร์มจึงจะสามารถใช้งานได้ ตวั อยา่ งเช่นระบบ E-Wallet ตา่ ง ๆ เครดติ การ์ด ซง่ึ ระบบ Payment จะ ตา่ งจาก Mobile Banking ตรงทีเ่ จ้าของแพลตฟอร์มไม่ใชธ่ นาคาร และใหบ้ ริการเฉพาะการใช้จา่ ยเท่านน้ั 5. Enterprise Financial Software ซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร อีกหนึ่งเครื่องมือเทคโนโลยี ที่จะช่วยผู้ประกอบการในเรื่อง การจัดการทางด้าน การเงิน ไม่ว่าจะเป็น การจัดการบัญชี ระบบจ่ายเงินเดือน-ภาษีและการจัดการพนักงาน ซึ่งครอบคลุมถึง สวัสดิการด้านการเงิน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดเวลา และทรัพยากรที่ต้องใช้งาน ทำให้ประสิทธิภาพ ของกระบวนการภายในองค์กรดีขน้ึ 6. Investment Management เทคโนโลยที จี่ ะชว่ ยจดั การทางด้านลงทุน ในปัจจุบันจะเหน็ ได้ว่า มีแพลตฟอร์มการลงทุนท่ีหลากหลายมากข้ึน ไมว่ ่าจะเปน็ แอปพลเิ คชันลงทนุ ใน Private fund, ทองคำ, กองทนุ รวม รวมถึงแพลตฟอรม์ ท่ีใช้ AI ช่วยในการ วิเคราะห์หุ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีอย่าง Robo Advisor มาช่วยในการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) 7. Insurance Technology/ Insurtech หลายคนมองว่าการซื้อประกันภัย ประกนั ชีวติ คือการลงทุนรปู แบบหนง่ึ รวมท้งั ระบบการคำนวณเบ้ยี ประกันมี ความซับซ้อน การใช้เทคโนโลยีทางการเงนิ เข้ามาช่วยทั้งด้านการคำนวณเบี้ยประกัน ผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงอัตราส่วนลดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้เสนอขายประกันภัย ประกันชีวิตบรหิ ารจัดการ ระบบประกันได้ง่ายข้นึ ผลสำเร็จของ Fintech ด้วยเหตทุ ่ี FinTech เป็นกลุ่มธรุ กจิ ทน่ี ำเสนอบริการในช่องทางใหม่ ๆ หลกั การท่ีเคยใช้ได้ดีในการสร้าง สินค้าแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป หัวใจของการสร้างสินค้าหรือบริการใน FinTech ให้ประสบ ความสำเรจ็ มีดังน้ี แก้ปญั หาไดต้ รงจุด ตอ้ งมองให้ออกว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร แล้วเสนอวธิ ีการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ เราสามารถใชเ้ ทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาช่วยสร้างพฤติกรรมการใช้บริการใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคได้ โดยดูจากตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน ก่อนหน้านี้ เช่น ตัดปัญหาเวลาทำการของธนาคารด้วยการทำธุรกรรมบน iBanking หรือลดเวลาการเดินทาง ไปห้างสรรพสนิ คา้ ดว้ ยการ Shopping Online ใช้งานงา่ ย เพราะการใช้ชีวิตทุกวันนี้ก็ยากพอแล้ว ลูกค้าจึงมองหาบริการที่ใชง้ านได้ง่าย และให้ประสบการณ์ท่ีดีระหว่าง การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ทั้งจากเดสก์ท็อปและมือถือ ความสะดวก

20 รวดเร็วในการติดต้ังแอปพลิเคชนั การใช้งานผ่าน user interface ที่เข้าใจง่าย สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ไมว่ ่าจะเปน็ ลูกคา้ ในชว่ งอายใุ ด ๆ กต็ าม มีความปลอดภัย เน่อื งจาก FinTech เก่ียวขอ้ งกบั ธุรกรรมทางด้านการเงินไม่ว่าทางใดก็ทางหนงึ่ ความปลอดภยั ในการใชบ้ ริการ ย่อมเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ระบบจะต้องมี ทั้งในด้านการรักษาข้อมูลของลูกค้ารวมไปถึงความปลอดภัยใน การทำธุรกรรมต่าง ๆ ลูกคา้ เข้าถึงการบรกิ ารไดง้ า่ ย ความสะดวกในการเข้าถึงการบริการถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ตัวอย่างที่เห็นชัดในปัจจุบันนี้ เช่น การสร้าง Mobile application เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย และสามารถเข้าใช้งานจากที่ใดก็ได้ เปรยี บเสมอื นจับเอาบริการหน้าร้านใส่ในมือของลูกค้า ซ่ึงทุกวนั น้ี ใคร ๆ ก็ใช้ smartphone ดังน้ัน การสร้าง Mobile application จงึ เป็นอีกหนึง่ บริการท่ีไมค่ วรมองขา้ ม ตรง life style ของกลมุ่ เปา้ หมาย ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าเป็นนักวิเคราะห์ ชอบอ่านตัวเลข ตีเส้นราคาหุ้น และวิเคราห์ข้อมูลในเชิงลึก การใชบ้ ริการผา่ นเว็บไซต์หรือโปรแกรมบนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ก็ดจู ะเป็นส่ิงทเ่ี หมาะสม เนอื่ งจากการใช้งานบน แท็บเล็ตหรอื มอื ถืออาจจะมีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน แต่หากเป็นบริการงา่ ย ๆ เชน่ การชำระเงนิ โอนเงนิ หรือ ธุรกรรมอื่น ๆ ท่ีต้องใช้ในชีวิตประจำวัน การทำธุรกรรมเหล่านี้บนมือถือก็จะให้ความคล่องตัวกับผู้ใช้งาน มากกว่า มรี ะบบรองรับทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ ไม่ว่าจะเป็นการบริการด้านใดก็ตาม ระบบจะต้องมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าจำนวนมากได้อย่างเหมาะสม จะต้องมั่นใจว่าระบบยังสามารถ ให้บริการลูกค้าได้ แม้จะมีจำนวนลูกค้าหลาย ๆ ท่านเข้าใช้งานพร้อม ๆ กันก็ตาม อีกทั้งควรมีแผนสำรอง ใน กรณรี ะบบหลักเกิดมีปัญหาใชง้ านไม่ไดด้ ว้ ย ตอบสนองความตอ้ งการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว การบริการที่ดีควรจะปรับตัวให้ทนั กับสถานการณ์ เพื่อรกั ษากลุ่มลูกค้า นอกจากการนำ feedback มาพัฒนา และปรับปรงุ บริการแลว้ การเหน็ ปัญหาและความต้องการในอนาคต ก็จะทำให้บริการของเราทันสมัยอยู่เสมอ ความสำเร็จของ FinTech อาจจะวัดได้จากหลายด้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมุ่งที่จะแก้ปัญหาให้กับ ลูกค้า สามารถเป็นคำตอบในระยะยาวให้กับลูกค้าได้ โดยที่ลกู ค้าไม่เลิกหรือเปล่ียนไปใชบ้ ริการเจ้าอ่ืน และใน ขณะเดียวกนั กส็ ามารถท่ีจะดึงดดู กล่มุ ลกู ค้าใหม่ ๆ เขา้ มาใช้บริการเพิม่ ข้ึนไดอ้ กี ดว้ ย Fintech Revolution กำลังนำมาซึ่งการปรับปรุงใหม่จำนวนมากหนึ่งในผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดคือ “การเพิ่ม โอกาสใหผ้ ู้ที่มรี ายได้ตำ่ ได้เขา้ ถงึ บริการทางการเงนิ มากข้ึน” ตอนนี้เรามีประชากรประมาณ 2 พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคาร เป็นครั้งแรกใน ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่เราสามารถทำให้บุคคลเหล่านี้สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินได้ ตามที่ ธนาคารโลกได้กล่าวไว้นั้น ใน 5 ปีที่ผ่านมา มีประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคารจำนวน 700 ล้านคนที่สามารถ

21 เข้าถึงการบริการทางการเงินได้ และนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อุตสาหกรรม fintech นั้นจะเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมการเงินอย่างต่อเน่ืองและลูกค้าจะเปน็ ผู้ไดร้ ับผลประโยชน์มากทีส่ ุด ไม่เพยี งแต่จากประสบการณ์ ผู้ใช้ท่สี ะดวกสบายมากขนึ้ เท่าน้นั แตย่ งั รวมถึงการลดต้นทนุ และการเขา้ ถงึ ทางการเงินทีม่ ากขนึ้ อีกดว้ ย หุ่นพูดคุยแบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Chatbots) กำลังถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมาแทนศูนย์ ให้บริการแสนน่าเบื่อ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์และเครื่องมือจดจำเสียงกำลังได้รับการทดสอบเพื่อไม่เพียงแค่เป็น การนำมาแทนรหัสผา่ น แตย่ ังรวมถงึ การใช้รหสั 2 ปจั จัยทท่ี างธนาคารกำลังใช้อยู่ด้วยเชน่ กนั หลายๆ คนกำลัง เชื่อมต่อ Fintech เข้ากับ Internet of Things ลองนึกภาพประกันรถยนตร์ของคุณกำลังปรับลดเบี้ยประกัน แบบอัตโนมัติเพราะรถของคุณทราบเองว่าคุณขับรถอย่างปลอดภัยแล้วจึงแจ้งข้อมูลนี้ให้กับผูใ้ ห้ประกันได้รับ ทราบโดยอตั โนมัติ ธนาคารกำลังตระหนักวา่ ภูมิทัศน์กำลังเปลีย่ นแปลงไปและพวกเขาต้องปรับตวั เพือ่ ความอยู่รอด บางธนาคาร จะประสบความสำเร็จในการวิวัฒนาการนี้ แต่ธนาคารอีกหลายแห่งจะไม่ประสบผลดังกล่าว และสิ่งนี้มีจะผล ตามมาในภายหลัง ธนาคารซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า 30% ของงานในธนาคารจะหายไป ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ให้ตัวเลขนี้ไว้สูงถึง 50% สิ่งนี้จะมีผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่ ผลกระทบโดยตรงจากการสญู เสยี ตำแหน่งงาน (30% ถงึ 50%) แต่ทัง้ หมดนยี้ ังเก่ยี วข้องกับเศรษฐกิจรอบด้าน ต้งั แตบ่ ริษทั กฎหมายไปจนถงึ บริษทั บัญชี บรษิ ัทการโรงแรม และรา้ นอาหาร PWC ไดท้ ำการวจิ ัยว่าประมาณหน่งึ ในสขี่ องกระแสรายไดข้ องธนาคารจะไดร้ ับผลกระทบงานใหมบ่ างตำแหน่ง จะถูกสร้างขึ้นในอุตสาหกรรม Fintech แต่จะมีจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทยี บกับงานที่จะหายไปและงานเหลา่ นี้ จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างมากพร้อมกับความต้องการด้านทักษะที่แตกออกไปจา กนายธนาคารแบบดั้งเดิม งานเหล่าน้ีเปน็ งานประเภทโปรแกรมเมอร์ นกั ออกแบบความสร้างสรรค์ ทไ่ี ม่ใช่สำหรบั ผ้คู ้าขายหรือเจ้าหน้าที่ ควบคมุ กฎระเบยี บแล้วในวันน้ีเราต้องทำอะไรบา้ งเราจำต้องปรับตวั ให้เขา้ กับระบบนิเวศใหม่อย่างรวดเร็ว เรา จำต้องมกี ารเปล่ยี นแปลงขน้ั พื้นฐานในเรื่องของกระบวนความคิด ผูท้ ส่ี ามารถเปลี่ยนกระบวนความคิดได้ก่อน ก็จะเป็นผู้ที่อยู่รอด คนส่วนใหญ่คิดว่า Fintech คือเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติวงการธนาคาร แต่เมื่อเร็วๆ นี้นั้น Fintech คือการนำเทคโนโลยีมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากขึ้นแต่ก็อาจจะเป็นการปฏิวัติวงการทางการเงิน ในบางกรณี เหล่าธนาคารท่ีชาญฉลาดจะเหน็ สิ่งทีบ่ รกิ ารแบบ Fintech กำลังเสนออยู่และนำส่ิงเหล่านีเ้ พื่อมา รบั มือกบั จดุ ท่ียากลำบากที่พวกเขากำลงั ประสบ ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งการรบั ลกู คา้ ใหม่ หรือเรื่องประสบการณ์ของ ผู้ใช้ หรือเรื่องการลดต้นทุน บางธนาคารจะอยู่ไม่ได้และมีเพียงผู้ที่ยอมรับเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะประสบ ความสำเรจ็ ในช่วงสองสามปถี ัดจากนีจ้ ริงๆ แลว้ ทวปี เอเชียกำลงั เป็นผ้นู ำในเรอื่ ง Fintech Revolution สำหรบั บุคคลทั่วไป ตอนนี้พ่อแมม่ ีความสะดวกใจมากขึน้ ที่จะส่งลูกๆ ออกไปสรา้ งหรอื ทำงานท่ีธุรกิจ Startup มากกว่าทจี่ ะหาตำแหนง่ ทม่ี ่ันคงในธนาคารแบบดั้งเดิม โดยส่วนตัวผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เราจะฝึกอบรมคนรุ่นต่อไปอย่างไร หลักสูตร Fintech ควรจะถกู นำเสนอในระดับมหาวิทยาลัยเพราะผมมีความเช่ืออยา่ งลึกซึ้งวา่ ในปี 2017 นี้น้ันจะเป็นสิ่ง ทีย่ อมรับไม่ได้อีกต่อไปถ้าเราปล่อยให้นักศึกษาจบการศึกษาในภาควิชาด้านการเงนิ โดยที่ไม่มีหลักสูตรเก่ียวกับ Fintech เราจำเป็นต้องลงไปไกลกว่านั้น ใช่ครับ เรายังจำเป็นต้องสอนหลักสูตรหลักๆ เช่นเศรษฐศาสตร์

22 การเงินหรือบัญชีของบริษัท แต่เราก็ต้องปลูกฝังหลักสูตรการสอน Fintechในทุกหลักสูตรด้านการเงินใน Business School (MBA) หลักสูตรที่เกี่ยวกับการออกแบบ การเขียนโค้ด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เป็นส่ิง ที่สำคัญมากเพราะนายธนาคารแห่งอนาคตและเหล่าผู้ที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมจะไม่ใช่นาย ธนาคารแบบดัง้ เดิมแต่จะเป็นนักออกแบบ นักเขียนโปรแกรม และนักคดิ สรา้ งสรรค์แทน

ค อา้ งอิง https://sites.google.com/site/eportorra/home/tdformanagework


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook