เคร่ืองดนตรีไทยคือ สิ่งที่สรา้ งข้ ึนสาหรบั ทาเสียงใหเ้ ป็ นทานอง หรือจงั หวะ วธิ ีที่ทาใหม้ ีเสียงดงั ข้ นึ น้ันมี อยู่ ๔วธิ ี คือใชม้ อื หรอื ส่ิงใดส่ิงหนึ่งดีดท่ีสาย แลว้ เกดิ เสียงดงัข้ ึน ส่ิงที่มีสายสาหรบั ดีด เรียกวา่ \"เครื่องดีด\"ใชเ้ สน้ หางมา้ หลายๆ เสน้ รวมกนั สีไปมาที่สาย แลว้ เกดิ เสียงดงั ข้ ึน สิ่งที่มสี ายแลว้ ใชเ้ สน้ หางมา้ สีใหเ้ กดิเสียงเรยี กวา่ \"เครื่องสี\"ใชม้ ือหรือไมต้ ีท่ีส่ิงน้ัน แลว้ เกิดเสียงดงั ข้ นึ ส่ิงท่ีใชไ้ มห้ รือมอื ตีเรียกวา่ \"เคร่ืองตี\"ใชป้ ากเป่ าลมเขา้ ไปในสิ่งน้ัน แลว้ เกดิ เสียงดงั ข้ ึน สิ่งท่ีเป่ าลมเขา้ ไปแลว้ เกดิ เสียงเรยี กวา่ \"เครอ่ื งป่ า\"เครอ่ื งทุกอยา่ งท่ีกล่าวแลว้ รวมเรยี กวา่ เครื่องดีด สี ตี เป่ า
วงป่ี พาทย์ คาวา่ \"ปี่ พาทย\"์ หมายถึงการประสมวงท่ีมีป่ี และเคร่ืองเคาะ (ตี) ร่วมดว้ ย สมยั สุโขทยั ได้เร่ิมมี \"วงปี่ พาทยเ์ ครื่องหา้ \" ข้ ึนมากอ่ น โดยใช้เครื่องดนตรี 5 ช้ ิน คือ ปี่ ตะโพน ฆอ้ ง กลอง ฉ่ิง ต่อมาไดม้ ีวิวฒั นาการมาเป็ นลาดบั จนเจริญถึงขีดสุดในสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ โดยมีการเพ่ิมระนาดเขา้ ไปในภายหลงั วงปี่ พาทยใ์ นปัจจุบนั แบ่งออกได้7 แบบ ตามการจดั กลุม่ เครื่องดนตรีดงั น้ ี
ป่ี พาทยช์ าตรี - ป่ี นอก, ฆอ้ งคู่, โทนชาตรี, กลองชาตรี, ฉิ่ง, กรบั
ป่ี พาทยเ์ คร่ืองหา้ - ปี่ ใน, ฆอ้ งวงใหญ่, ระนาด, ตะโพน, กลองทดั , ฉิ่ง
ป่ี พาทยเ์ คร่ืองคู่ - ปี ใน, ปี่ นอก, ฆอ้ งวงใหญ,่ ฆอ้ งวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทมุ้ , ตะโพน, กลองทดั , ฉิ่ง ฉาบ กรบั โหม่ง
ป่ี พาทยเ์ คร่ืองใหญ่ - ปี ใน, ปี่ นอก, ฆอ้ งวงใหญ,่ ฆอ้ งวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทมุ้ , ระนาดเหล็ก, ระนาดทมุ้ เหล็ก ตะโพน,กลองทดั , ฉิ่ง ฉาบ กรบั โหม่ง
ป่ี พาทยน์ างหงส์ - ปี่ ชวา, ฆอ้ งวงใหญ,่ ฆอ้ งวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทมุ้ , กลองมลาย,ู ฉ่ิง
ป่ี พาทยด์ ึกดาบรรพ์ - ขลยุ่ เพียงออ, ขลยุ่ อู,้ ฆอ้ งวงใหญ,่ ฆอ้ งหุย่ , ระนาดเอก, ระนาดทมุ้ , ระนาดทมุ้ เหล็ก, ซออ,ู้ ตะโพน, กลองตะโพน, กลองแขก, ฉิ่ง (กรมพระยานริศรานุวตั ิวงศ์ เป็ นผคู้ ิดข้ ึน)
ป่ี พาทยม์ อญ - ปี่ มอญ, ฆอ้ งมอญ, ระนาด, เปิ งมางคอก, ตะโพนมอญ, โหม่ง มอญ,ฉิ่ง ฉาบ (จดั เคร่ืองดนตรีตามแตว่ ่าจะเป็ นชุดเคร่ืองเล็ก, เคร่ืองใหญ่ หรือ เคร่ืองคู่)
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: