ผเี สือ้ กลางคนื ในหุบเขาล�ำ พญา ศนู ย์วจิ ัยความหลากหลายทางชวี ภาพ เฉลมิ พระเกยี รติ 72 พรรษา บรมราชนิ ีนาถ มหาวิทยาลัยราชภฏั ยะลา ISBN 987-974-8144-93-1
ผเี ส้อื กลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา
ผเี ส้อื กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ผเี ส้อื กลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา
ผีเส้ือกลางคนื ....ในหบุ เขาลำ�พญา จดั ทำ�และเผยแพร่โดย ศนู ยว์ จิ ยั ความหลากหลายทางชวี ภาพ เฉลมิ พระเกยี รติ 72 พรรษา บรมราชนิ ีนาถ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏยะลา เลขที่ 133 ถนนเทศบาล 3 ต�ำ บลสะเตง อ�ำ เภอเมืองยะลา จังหวดั ยะลา 95000 โทรศพั ท์ : 0-7322-7151-60 ต่อ 1028 โทรสาร : 0-7322-7128 E-mail : [email protected] Website : www.yru.ac.th สงวนลขิ สิทธ ิ์ 2553, ศูนยว์ จิ ัยความหลากหลายทางชีวภาพ เฉลมิ พระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินนี าถ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏยะลา การอ้างอิง ศนู ยว์ จิ ยั ความหลากหลายทางชวี ภาพ เฉลมิ พระเกยี รติ 72 พรรษา บรมราชนิ ีนาถ. (2553). ผีเสื้อกลางคนื ใน หุบเขาล�ำ พญา. สงขลา : มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา. 112 หน้า. พมิ พ ์ พิมพค์ รั้งท่ี 1 จ�ำ นวน 1,000 เลม่ ISBN 987-974-8144-93-1 ออกแบบและพมิ พ ์ บรษิ ทั เอสพร้นิ ท์ (2004) จำ�กัด โทร.0-7325-5555 ผเี สือ้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ผีเสอื้ กลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา ศนู ย์วจิ ยั ความหลากหลายทางชวี ภาพ เฉลมิ พระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชนิ ีนาถ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏยะลา ISBN 987-974-8144-93-1 ผเี ส้อื กลางคืนในหบุ เขาล�ำ พญา
ผเี ส้อื กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
….ป่าไม้คือทรัพยากรท่ีอำ�นวยประโยชน์ท้ังทางตรงและ ทางออ้ มแกส่ งิ่ มชี วี ติ ถอื เปน็ หวั หนา้ กลมุ่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ทม่ี หี นา้ ทร่ี กั ษาสมดลุ ควบคมุ ดนิ ฟา้ อากาศ ใหอ้ ยู่ในสภาพ ปกติ รักษาต้นน้ำ� ลำ�ธาร ความชุ่มช่ืนให้แก่ดินเป็นแหล่ง รวมพชื พรรณพฤกษชาติ แหล่งอาหาร และท่ีอย่อู าศยั ของ สิ่งมชี ีวติ ทัง้ หลาย... ผเี สอ้ื กลางคืนในหบุ เขาล�ำ พญา
ผเี ส้อื กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
...ข้าพเจ้ามีความภูมิใจในทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และ สัตว์ป่าของไทยมาก ข้าพเจ้าเห็นว่า เราควรใช้ทรัพยากร เหล่านี้อย่างระมัดระวังและทำ�นุบำ�รุงให้คงอยู่ตลอดไป มิใช่ให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ ถูกทำ�ลายหมดส้นิ ไปในระยะเวลาอนั สั้นแค่ชว่ งอายุเรา... ผีเสื้อกลางคืนในหุบเขาล�ำ พญา
คำ�นำ� มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยการดำ�เนินงานของศูนย์วิจัยความ หลากหลายทางชวี ภาพ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชนิ นี าถ ร่วมกับ ประชาชนชาวล�ำ พะยาและนกั วชิ าการในทอ้ งถนิ่ ไดร้ วบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั ผเี สอ้ื กลางคืนท่ีพบในพื้นที่หุบเขาลำ�พญา จัดพิมพ์เป็นหนังสือ “ผีเสื้อกลางคืน ในหุบเขาลำ�พญา” เพื่อเผยแพร่ให้ทราบกันโดยทั่วไปว่าในหุบเขาลำ�พญา มที รพั ยากรอนั ทรงคณุ คา่ เนอื่ งจากผเี สอื้ กลางคนื เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทมี่ คี วามสำ�คญั ในหว่ งโซอ่ าหารของระบบนเิ วศ จงึ เปน็ ดชั นเี บอื้ งตน้ เพอ่ื บอกความอดุ มสมบรู ณ์ ของทรัพยากรในพ้ืนที่ได้ นอกจากเป็นการรวบรวมความรู้ที่มีในท้องถ่ินแล้ว ศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ ยังคาดหวังให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้เห็นคุณค่า เกิดความรู้สึกหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติในถ่ินกำ�เนิด อันจะนำ�ไปสู่การ อนรุ กั ษ์ การศึกษาและพฒั นาการใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งยั่งยนื ตอ่ ไป คณะกรรมการศูนยว์ ิจยั ความหลากหลายทางชีวภาพ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินนี าถ และบคุ ลากรในมหาวทิ ยาลัยราชภฏั ยะลา ขอน้อมจติ อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธ์ิทั้งหลาย ขอถวายพระพรชัยมงคลแด่องค์พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จงทรง พระเจริญด้วย พระพลานามัย ทรงพระเกษมสำ�ราญ พระชนมายุย่ิงยืนนาน เปน็ ม่งิ ขวญั ของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ไกรสร ศรีไตรรตั น์) อธิการบดีมหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา ผเี ส้ือกลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ค�ำ น�ำ หนังสือ “ผีเส้ือกลางคืนในหุบเขาลำ�พญา” เล่มน้ี ได้จัดทำ�ขึ้น เพ่ือรวบรวมชนิดผีเส้ือกลางคืนซ่ึงสำ�รวจพบในพ้ืนท่ีหุบเขาลำ�พญา เนื่องจาก เป็นพ้ืนท่ีที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก แห่งหน่ึงในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย นอกจากความหลากหลายของ พรรณไม้และพันธุ์สัตว์ต่างๆ แล้วยังพบความหลากหลายของผีเส้ือกลางคืน อีกด้วย ดังนั้นศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาจึงรวบรวมชนิดผีเส้ือ- กลางคืนท่ีพบในหุบเขาลำ�พญา รายละเอียดของเน้ือหาประกอบด้วย ข้อมูล ทว่ั ไปของผเี สอื้ กลางคนื ชอ่ื สามญั ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื วงศ์ ลกั ษณะทางสณั ฐาน อนุกรมวิธาน และลักษณะประจำ�วงศ์ แต่เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ ของทรัพยากรชีวภาพดังกล่าว คณะผู้ทำ�งานไม่อาจรวบรวมผีเสื้อกลางคืน ในหุบเขาลำ�พญาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ จำ�เป็นต้องใช้ความพยายามและเวลา ในการศึกษาสำ�รวจ เพ่อื ให้ไดข้ อ้ มูลที่ครบสมบรู ณ์ในโอกาสตอ่ ไป คณะผจู้ ดั ท�ำ หวงั อยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สอื “ผเี สอ้ื กลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา” เลม่ นี้ คงเป็นประโยชนแ์ กผ่ ู้สนใจในการศกึ ษาหาความรู้เกี่ยวกับผเี สอ้ื กลางคนื เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนา เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ จากผีเส้ือกลางคืนอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต รวมทั้งเป็นหนังสือสำ�หรับ ผสู้ นใจทวั่ ไป ซงึ่ เปน็ สง่ิ หนง่ึ ทชี่ ว่ ยสรา้ งแรงจงู ใจใหม้ กี ารศกึ ษาคน้ ควา้ ตลอดจน เกิดจิตสำ�นึกและตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติอันนำ�ไปสู่การ อนรุ ักษใ์ ห้คงอย่กู บั ผืนป่าแห่งน้ีตลอดไป คณะผูจ้ ัดทำ� ผีเสื้อกลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา
สารบญั ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกบั ผเี สื้อกลางคืน 1 วงจรชวี ติ ของผเี สือ้ กลางคืน 8 ปัจจัยในการด�ำ รงชวี ิตของผีเสอื้ กลางคนื 10 สภาวะที่มผี ลตอ่ การปรากฏตัวของผเี สอื้ กลางคืน 11 พฤตกิ รรมของผีเสื้อกลางคนื 12 ความสำ�คัญของผีเสื้อกลางคนื 14 การอนุรักษผ์ ีเส้ือกลางคืน 15 ผเี ส้ือกลางคนื 16 ลักษณะของผีเส้อื กลางคืนในแต่ละวงศ ์ 17 ผเี สื้อกลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา 37 บรรณานุกรม 100 ภาคผนวก 101 ดัชน ี 109 ผีเสอื้ กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ความรู้ทั่วไปเก่ียวกับผเี สือ้ กลางคนื ผีเสื้อกลางคืน (Moths) เป็นแมลงท่ีมีจำ�นวนชนิดมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในบรรดา 1 แมลงทั้งหลาย มักออกหากินตอนพลบค่ำ� มีความสำ�คัญต่อระบบนิเวศและสร้างความ สมดุลให้แก่ธรรมชาติโดยตัวเต็มวัยช่วยผสมเกสรซึ่งเป็นจุดกำ�เนิดชีวิตของพรรณไม้นานา ชนิดให้สืบสายพันธุ์ต่อไป ส่วนหนอนผีเส้ือจะกัดกินใบอ่อนของพืชอาศัย (Host plant) จึงจัดผีเส้ือเป็นผู้บริโภคอันดับต้นของห่วงโซ่อาหาร เราสามารถพบผีเส้ือกลางคืนได้ทุก ฤดกู าลในทกุ พนื้ ทที่ งั้ บรเิ วณภเู ขาสงู อากาศหนาวเยน็ ทะเลทราย ทช่ี น้ื ตามปา่ เขาเขตมรสมุ ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าไผ่ ทุ่งหญ้า ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าชายเลน โป่งดิน ริมนำ้� รมิ ทะเล ตามมลู สตั ว์ เปน็ ตน้ สว่ นชนดิ ของผเี สอื้ ทพี่ บขน้ึ อยกู่ บั ตน้ ไมซ้ งึ่ เปน็ แหลง่ อาหาร ของตวั หนอนและผเี สอ้ื แต่ละชนิด ผเี สอื้ กลางคนื เปน็ สตั วท์ จ่ี ดั อยใู่ นไฟลมั อารโ์ ทรโพดา (Phylum Arthropoda) คลาส อินเซกตา (Class Insecta) หรือเฮซาโพดา (Hexapoda) อันดับเลพิดอปเทอรา (Order Lepidoptera) ลักษณะเด่น คือ ปีกท่ีปกคลุมด้วยขนและเกล็ดสีเล็กๆ เรียงซ้อนกันอยู่ บนแผ่นปีก ผีเสื้อกลางคืนเป็นแมลงที่มีความหลากหลายของชนิดพันธ์ุมาก พบมากถึง 200,000 ชนดิ พบในประเทศไทยประมาณ 20,000 ชนดิ ววิ ฒั นาการของผเี สอ้ื แมลงจัดเป็นสัตว์ที่มีจ�ำ นวนชนิดมากที่สุดในโลก คือ ร้อยละ 55 ของส่ิงมีชีวิต ทง้ั หมดในโลก แมลงจงึ มลี กั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั มากมาย ซากดกึ ด�ำ บรรพท์ คี่ น้ พบแมลงเรมิ่ ววิ ฒั นาการมาต้ังแต่ยุคคารบ์ อนิเฟอรสั (Carboniferous) ราว 300 ลา้ นปี แตแ่ มลงในกลมุ่ ผเี สื้อเปน็ แมลงที่มปี กี บอบบาง ซากดึกด�ำ บรรพ์ทพ่ี บจึงไม่ค่อยสมบรู ณ ์ จากหลักฐานซากดึกดำ�บรรพ์สันนิษฐานว่าผีเสื้ออาจมีวิวัฒนาการมาจาก บรรพบุรุษของแมลงในอันดับมีคอปเทอรา (Mecoptera) ซึ่งถือกำ�เนิดในยุคเพอร์เมียน (Permian) ตอนต้น หรอื ประมาณ 250 ลา้ นปกี ่อน ผีเส้อื ท่มี ีอายุเกา่ แก่ทสี่ ุดเทา่ ทีค่ ้นพบ มอี ายรุ าว 100 – 140 ลา้ นปี นน่ั แสดงวา่ ผเี สอ้ื ตอ้ งมวี วิ ฒั นาการมายาวนาน จากการศกึ ษา พืชมีดอกพร้อมกับผีเส้ือพบว่ามีวิวัฒนาการท่ีควบคู่กันไป ท้ังน้ีเพราะผีเส้ือเกือบทุกชนิด มปี ากเปน็ ทอ่ มวี วิ ฒั นาการมาเพอ่ื ใชด้ ดู น�้ำ หวานทอี่ ยลู่ กึ ลงไปในดอกไม้ พชื มดี อกทคี่ น้ พบ มีอายุเก่าแก่ที่สุดคือประมาณ 90 ล้านปี เมื่อดูจากความหลากหลายของพืชมีดอก ซึ่งมีอยู่มากมายในยุคนั้น จึงสันนิษฐานได้ว่าพืชมีดอกน่าจะถือกำ�เนิดมาก่อนหน้านั้น หรอื ราว 150–200 ลา้ นปี ดงั นน้ั ถา้ ผเี สอื้ มวี วิ ฒั นาการรว่ มกบั ดอกไม้ ผเี สอ้ื กน็ า่ จะถอื ก�ำ เนดิ ในยุคนนั้ แต่ในปจั จบุ ันยงั ไมม่ ีการระบวุ า่ ผีเส้ือมีกำ�เนดิ ทย่ี คุ ใดอย่างแน่นอน ผีเสอ้ื กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
รูปร่างและลักษณะโดยทั่วไปของผเี ส้อื กลางคืน ผีเส้อื กลางคนื เปน็ สตั วท์ ไ่ี มม่ ีโครงกระดูกภายใน แตม่ เี ปลอื กนอกแขง็ ห่อหุ้มรอบ ตวั (Exoskeleton) เปน็ สารจ�ำ พวกไคตนิ (Chitin) ภายในเปลอื กแขง็ เปน็ ทยี่ ดึ ของกลา้ มเนอ้ื ท่ี ใช้ในการเคล่ือนที่ ลำ�ตัวของผีเสื้อประกอบด้วยปล้องที่มีลักษณะคล้ายวงแหวนหลายๆ วงเรียงตอ่ กัน เชอ่ื มยดึ ด้วยเยอ่ื บางๆ เพอ่ื ใหเ้ คล่ือนไหวได้สะดวก โดยมวี งแหวนท้งั หมด 14 ปล้อง ร่างกายแบง่ ออกเป็น 3 สว่ น คอื สว่ นหัว (Head) 1 ปล้อง สว่ นอก (Thorax) 3 ปลอ้ ง และสว่ นทอ้ ง (Abdomen) 10 ปลอ้ ง โครงสร้างภายนอกของผีเสื้อกลางคนื 2 ภาพท่ี 1 โครงสร้างภายนอกของผีเสือ้ กลางคืน ผีเสอื้ กลางคืนประกอบดว้ ยโครงสรา้ งภายนอกต่างๆ ดังนี้ 1. ตาประกอบ (Compound eyes) 2. หนวด (Antennae) 3. ปาก (Proboscis) 4. ขา (Legs) 5. อก (Thorax) 6. ท้อง (Abdomen) 7. ปล้องส่วนก้น (Bottom segment) 8. ปีกด้านหลัง (Back wing) 9. ปกี ด้านท้อง (Abdomen wing) 10. หาง (Tail) ผีเสอื้ กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ลักษณะดา้ นหลังของผีเสอ้ื กลางคนื ภาพที่ 2 ลักษณะด้านหลงั ของผเี สื้อกลางคืน ลักษณะดา้ นหลงั ของผีเส้อื กลางคืน ดังนี้ 3 1. ตาประกอบ (Compound eyes) 2. หนวด (Antennae) 3. ปกี ค่หู น้า (Fore wings) 4. ปีกค่หู ลัง (Hind wings) 5. โคนปีก (Base) 6. เสน้ ปกี (Wing venation) 7. ขอบปกี ดา้ นนอก (Costa) 8. ขอบปีกดา้ นข้าง (Side) 9. ขอบปกี ดา้ นใน (Dorsum) 10. มุมปลายปกี หนา้ (Page wingtip angle) 1 1. มุมปลายปกี หลงั (Back wingtip angle) ผีเสอื้ กลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
ลักษณะดา้ นท้องของผเี ส้อื กลางคนื ภาพท่ี 3 ลกั ษณะดา้ นท้องของผเี ส้ือกลางคนื 4 ลักษณะด้านทอ้ งของผีเส้ือกลางคืน ดงั น้ี 1. ปาก (Proboscis) 2. ตาประกอบ (Compound eyes) 3. หนวด (Antennae) 4. ปีกคูห่ น้า (Fore wings) 5. ปกี คูห่ ลงั (Hind wings) 6. โคนปกี (Base) 7. เส้นปีก (Wing venation) 8. ขอบปกี ดา้ นนอก (Costa) 9. ขอบปีกด้านข้าง (Side) 10. ขอบปกี ด้านใน (Dorsum) 11. มุมปลายปีกหน้า (Page wingtip angle) 12. มมุ ปลายปกี หลงั (Back wingtip angle) 13. ขาคู่หนา้ (Fore legs) 14. ขาคกู่ ลาง (Medium legs) 15. ขาค่หู ลัง (Hind legs) ผีเสือ้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ผเี สอื้ กลางคนื มโี ครงสรา้ งและรา่ งกายแบง่ เปน็ 3 สว่ น คอื สว่ นหวั สว่ นอก และส่วนท้อง ดังนี้ 1. ส่วนหัว (Head) เป็นอวัยวะที่อยู่หน้าสุดของผีเส้ือมีอวัยวะรับความรู้สึกคือ ตาเดยี่ ว (Ocelli) ใช้ในการรับรคู้ วามมดื สวา่ ง และตาประกอบ (Compound eyes) ท�ำ หนา้ ท่ี ในการรบั ภาพทเ่ี คลอื่ นไหว มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในการมองเหน็ ระหวา่ งตามหี นวด (Antennae) 2 ขา้ ง ใช้ดมกลิ่น หนวดของผีเสื้อกลางคนื มีรปู ร่างหลายแบบ เชน่ เคยี ว (Stylate) เสน้ ดา้ ย (Filiform) ฟันหวี (Pectinate) และพู่ขนนก (Plumose) เวลาเกาะซอ่ นหนวดไว้ใตป้ กี หรือลู่ แนบไปตามขอบปีก ใต้ส่วนหัวมีปากแบบหลอดดูดหรือท่องวง (Proboscis) สำ�หรับดูด อาหารที่เป็นของเหลว นอกจากนใี้ นระยะตวั หนอนของผีเสือ้ มีส่วน Mouthparts ซงึ่ เป็น อวยั วะทใ่ี ชใ้ นการกดั กนิ พืชอาหาร ได้แก่ กราม (Mandibles) ฟัน (Maxillae) และริมฝีปาก (Labial Palps) อ อ ม ม า ต เิ ด ีย ม 5 ตารวมประกอบด้วยหนว่ ยย่อยๆ ทเี่ รยี กว่า ออมมาติเดียม อดั รวมเขา้ ด้วยกนั ภาพท่ี 4 ตาประกอบของผเี สอื้ กลางคืน ปากทอ่ งวง (Proboscis) ภาพท่ี 5 ลักษณะปากผีเสื้อกลางคนื ผเี สือ้ กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
หนวดแบบเส้นด้าย (Filiform) หนวดแบบเส้นดา้ ยปลายแหลม (Clavate) หนวดแบบฟนั หวี (Pectinate) หนวดแบบขน (Setaceous) 6 หนวดแบบพ่ขู นนก (Plumose) หนวดแบบเคยี ว (Stylate) ภาพที่ 6 ลกั ษณะหนวดผีเส้ือกลางคืนแบบต่างๆ 2. สว่ นอก มี 3 ปลอ้ ง คอื อกปลอ้ งแรก (Prothorax) อกปลอ้ งกลาง (Mesothorax) และอกปล้องทา้ ย (Metathorax) นอกจากน้ี ในแต่ละปลอ้ งมีขา (Legs) ตดิ อยู่ปล้องละ 1 คู่ เรยี กวา่ Thoracic legs ขาของผเี สอ้ื แตล่ ะชนดิ มโี ครงสรา้ งโดยทวั่ ไปเหมอื นกนั ซงึ่ ประกอบ ดว้ ยปล้องต่างๆ ขาของผเี ส้ือเปน็ ขาแบบขาเดิน และสว่ นอกยังประกอบดว้ ยปกี (Wings) เปน็ เยื่อบางๆ ประกบกนั 2 คู่ โดยปกี คหู่ นา้ (Fore Wings) ติดอย่ทู ี่อกปล้องกลาง และปกี คู่หลัง (Hind Wings) ติดอยู่ท่ีอกปล้องท้าย ผีเสื้อมีเส้นปีกเป็นโครงร่างให้คงรูปอยู่ การจัดเรยี งของเสน้ ปีกเปน็ ลักษณะหนึ่งที่ใชใ้ นการจำ�แนกชนดิ และวงศ์ของผีเสอื้ ผเี สือ้ กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
ภาพที่ 7 ปกี และการเรียงของเส้นปกี ผีเสือ้ ปีกคา้ งคาว 3. สว่ นทอ้ ง มลี กั ษณะเป็นปลอ้ งคลา้ ยกันจ�ำ นวน 6-7 ปลอ้ ง ด้านขา้ งของแต่ละ ปล้องมีรูหายใจ (Spiracles) ปล้องละ 1 คู่ ส่วนปล้องสุดท้ายของส่วนท้องเปล่ียนแปลง รูปร่างเป็นอวัยวะที่ใช้ในการผสมพันธุ์ (Sexual organ) ซึ่งมีรูปร่างลักษณะท่ีแตกต่างกัน แล้วแตช่ นดิ ของผีเส้อื ท�ำ ให้ผเี ส้อื สามารถผสมพนั ธ์ุกนั ไดเ้ ฉพาะผเี สื้อชนิดเดียวกนั เท่านั้น อวยั วะเพศของผเี สอื้ จึงสามารถใชใ้ นการจ�ำ แนกชนดิ ของผเี ส้อื ได้ นอกจากน้ียงั มีอวัยวะที่ อยู่ภายในสว่ นทอ้ งคอื บางส่วนของหัวใจ (Heart dorsal blood vessel) อวัยวะทใี่ ชย้ ่อย อาหาร (Digestive organs) อวยั วะท่ีใช้ขบั ถา่ ย (Excretory Organs) ท่อหายใจ (Tracheal trunk) และระบบกล้ามเนื้อ (Muscular system) 7 รหู ายใจ (Tracheal trunk) ภาพที่ 8 รูหายใจ (Tracheal trunk) ผเี ส้ือกลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
วงจรชวี ติ ของผเี ส้ือกลางคนื ผีเสื้อมีการเจริญเติบโตแบบโฮโลเมตาโบลัส (Holometabolous) คือ การเจริญ เตบิ โตทม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงรปู ร่างแบบสมบูรณ์ (Complete Metamorphosis) แบง่ เป็น 4 ระยะ คอื ไข่ (Egg) หนอน (Caterpillar) ดักแด้ (Pupa) และตัวเตม็ วัย (Adult) 8 ภาพที่ 9 วงจรชวี ิตผเี ส้อื กลางคืน การเจรญิ เตบิ โตแตล่ ะระยะใชเ้ วลาแตกตา่ งกนั ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ ของผเี สอ้ื อณุ หภมู ิ และสภาพอากาศ การเจริญเตบิ โตในแต่ละขั้นมีรูปรา่ งท่ีไม่เหมือนกนั ขอ้ ดขี องการเจรญิ เตบิ โตแบบนคี้ อื แตล่ ะชว่ งของวงจรชวี ติ ตอ้ งการอาหารทแ่ี ตกตา่ งกนั และอาจอาศยั อยใู่ น สภาพแวดลอ้ มทแี่ ตกตา่ งกนั มศี ตั รตู า่ งชนดิ กนั ท�ำ ใหก้ ารเจรญิ เตบิ โตในแตล่ ะระยะมอี ตั รา เสย่ี งต่อการถกู ทำ�ลายน้อยลง ผีเสอ้ื กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
1. ระยะไข่ หลังผสมพันธแุ์ ลว้ ผเี สอ้ื ตัวเมีย จะบินหาต้นพืชท่ีเหมาะสมในการวางไข่ ไข่ ของผเี ส้อื มสี ี รปู รา่ ง และขนาดแตกต่างกัน เช่น สีเหลืองหรือสีเขียว รูปร่างกลม แบน ครึ่งวงกลมคล้ายฝาชีหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภาพที่ 10 ระยะไข่ ผเี สอ้ื กลางคนื บางชนดิ มี Hairy Scale ปกคลมุ ผเี สอ้ื สว่ นใหญว่ างไขใ่ ตใ้ บพชื โดยขบั สารเหนยี วๆออกมาเพอ่ื ยดึ ตดิ อกี ดว้ ย พชื อาศยั ทผี่ เี สอ้ื เลอื กวางไขม่ ักเป็นพืชมขี น เพ่ือให้ไข่เกาะติดกับขนของพืช โดยวางไข่เป็นกลุ่มๆ ระยะน้ี ประมาณ 3-10 วนั ตวั ออ่ นภายในไขจ่ ะเจริญพัฒนาเป็นตัวหนอน 2. ระยะหนอน เมื่อหนอนภายในไข่ เจรญิ พัฒนาเต็มท่แี ล้ว จะใช้ปากเจาะเปลอื ก ไข่ออกมา และกินเปลือกไข่เป็นอาหารชนิด แรก หลังจากน้ันตัวหนอนจึงกัดกินใบพืช ภาพท่ี 11 ระยะหนอน อาศัยเป็นอาหาร ตัวหนอนผีเส้ือกลางคืน ส่วนใหญ่มีขนปกคลุมทั่วตัว ลำ�ตัวเป็นปล้องๆ ปากอยู่ด้านล่าง ใต้ปากมีอวัยวะพิเศษ เป็นรูขับของเหลว 1 รู เรียกว่า สปินเนอเรท (Spinneret) ใช้สร้างเส้นใยไว้รองรับขณะ เคลื่อนที่ ตัวหนอนเตบิ โตโดยการลอกคราบ 4-5 คร้ัง ระยะนปี้ ระมาณ 10-30 วนั หลงั จาก ลอกคราบคร้งั สุดทา้ ยผวิ ของตัวหนอนจะแขง็ ตวั เปน็ เปลือกดักแด้ เขา้ สรู่ ะยะดักแด้ตอ่ ไป 3. ระยะดักแด้ รูปร่างและระยะเวลาของ 9 ดักแด้ผีเสื้อแต่ละชนิดแตกต่างกัน บางชนิด ผวิ เรยี บ บางชนดิ มขี นปกคลมุ ในระยะนดี้ กั แด้ ผีเส้ือจะไม่กินอาหารราว 10-30 วัน นับว่า เป็นช่วงเวลาที่อันตรายต่อการอยู่รอดมาก ภาพที่ 12 ระยะดกั แด ้ เพราะตอ้ งอยนู่ ิ่งๆ ตลอดเวลา แตด่ ักแดม้ ีวิธี การพรางตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ เช่น มีสีเขียวเหมือนใบไม้สด มีสี น�ำ้ ตาลคลา้ ยกบั ใบไมแ้ หง้ บางชนดิ มรี ปู รา่ งคลา้ ยกง่ิ ไม้ การเกาะของดกั แดพ้ บหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่ เกาะอยกู่ บั กงิ่ ไม้ โดยสรา้ งใยออกมาพนั เกยี่ วไวร้ อบตวั ดกั แด้ พบในดกั แดข้ องผเี สอื้ ในวงศ์ Lasiocampidae เช่น ผีเสื้อหนอนบ้งุ ชมพูเลก็ (Trabala pallida) หรอื ดักแดว้ างราบ กบั พนื้ หรืออยู่ในใบไม้มว้ นเป็นหลอดพบในดกั แด้ของผเี สื้อในวงศ์ Saturniidae เช่น ผเี สอ้ื หนอนกระท้อน (Attacus allas) หรือบางชนดิ ดกั แด้ฝังตัวในดิน เชน่ ผเี สื้อเหยี่ยวสะแต็ค (Acherontia stax) ผเี สอ้ื กลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
เม่อื เตบิ โตจนเหมือนตัวเตม็ วยั ผีเสือ้ จะใช้ขาดันเปลอื กของดกั แด้ให้ปริออกทาง ด้านหลังของส่วนอก แล้วขยับตัวออกจากเกราะดักแด้ จากน้ันจะห้อยหัวและปีกลงล่าง แล้วขบั ของเสยี ที่สรา้ งขณะเปน็ ดักแดอ้ อก เรยี กของเสียวา่ มโี คเนียม (Meconium) ใชเ้ วลา ในการเกาะพักเพ่ือผึ่งปีกให้แห้งสนิทและหายใจเข้า เพ่ือให้เลือดไหลเวียนในเส้นปีก ประมาณ 1-2 ชว่ั โมง ก็สามารถบนิ ออกไปหากินและผสมพนั ธุไ์ ด้ 4. ระยะตวั เตม็ วยั ตวั เตม็ วยั ของผเี สอื้ แตล่ ะชนดิ มอี ายุ ไมเ่ ทา่ กนั บางชนดิ มอี ายเุ พยี ง 1 เดอื น บางชนดิ กม็ อี ายุ ถงึ 1 ปี หนา้ ทห่ี ลกั ของผเี สอ้ื ในระยะนคี้ อื การผสมพนั ธุ์ เพอื่ สบื ทอดเผา่ พนั ธ ุ์ ดงั นน้ั ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ของผเี สอื้ ภาพท่ี 13 ระยะตัวเตม็ วัย ตวั เตม็ วยั มกั ออกหาคเู่ พือ่ ผสมพันธ์ุ ในขณะเดียวกันก็ หาอาหารด้วย อาหารของผีเสือ้ คือ ของเหลวทมี่ แี รธ่ าตตุ า่ งๆ เช่น น้ำ�หวานดอกไม้ น�้ำ ตามพน้ื ดนิ หรอื พนื้ ทราย สว่ นใหญผ่ เี สอ้ื เพศผมู้ กั ลงหากนิ ตามทชี่ นื้ แฉะ รมิ ล�ำ หว้ ย รมิ ถนน ตามโปง่ ดนิ ผลไม้เน่า มลู สัตว์ สว่ นผเี สอ้ื เพศเมยี มักกนิ นำ้�หวานจากดอกไม้ ปจั จัยในการดำ�รงชีวิตของผเี ส้ือกลางคนื 10 ภาพท่ี 14 แหล่งอาศัยของผเี สือ้ 1. นำ้� ร่างกายของผีเส้ือมีนำ้�เป็นส่วนประกอบหลักเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำ� จงึ ตอ้ งการน้ำ�เขา้ ไปชดเชยเพอื่ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ผเี สอ้ื ตอ้ งการทงั้ ความชนื้ ในอากาศและ แหล่งน้ำ�ที่ดูดกินเข้าไปโดยตรง ถ้าในอากาศมีความชื้นมากเกินไป ผีเสื้อก็จะไม่ออกบิน เช่น หลังฝนตกใหม่ๆ หรือช่วงที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม แหล่งนำ้�ตามธรรมชาติของผีเสื้อ ได้แก่ พ้นื ทรายช้ืนๆ โคลนเหลว ซากพืชสตั วเ์ นา่ เปื่อย ผลไม้สกุ งอมรวมทง้ั มลู สัตว์ต่างๆ 2. กระแสลม ลมเป็นปัจจัยร่วมกับอุณหภูมิและความช้ืน ลมท่ีพัดแรงเกินไป ทำ�ให้ไม่สะดวกต่อการบิน และใบไม้โยกไปมาไม่สะดวกในการเกาะดูดน้ำ�หวาน ผีเส้ือ ส่วนใหญ่จะหลบเข้าเกาะพักตามต้นไม้ท่ีอับลมเวลาท่ีมีลมแรง เม่ือกระแสลมอ่อนหรือ ลมสงบผเี ส้ือจึงออกบินหาอาหาร ผเี สือ้ กลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
3. อาหาร หมายถึง พืชอาหารของหนอนและพืชที่ให้น้ำ�หวานแก่ตัวเต็มวัย รวมทง้ั อาหารทเี่ ปน็ ของเหลวทไี่ ดจ้ ากซากพชื ผลไมส้ กุ งอม มลู สตั วต์ า่ งๆ อาหารประเภทหลงั เปน็ แหลง่ สารไนโตรเจนและเกลอื แรบ่ างอยา่ ง สารอาหารเหลา่ นม้ี ผี ลตอ่ ความสมบรู ณข์ อง สเปิร์มในผีเสื้อเพศผู้ นอกจากน้ีผีเส้ือหลายชนิดยังชอบกินเกลือแร่จากเหงื่อของคนและ สัตว์ รวมท้งั น้�ำ จากถงุ เท้าและรองเท้าชืน้ ๆ อีกดว้ ย 4. แหล่งอาศัย ผีเส้ือจำ�เป็นต้องมีแหล่งอาศัยที่เหมาะสมอยู่ในบริเวณที่หากิน เพอ่ื เปน็ ทพี่ กั นอนในเวลากลางวนั หรอื เวลามแี ดดรอ้ น ผเี สอื้ บางชนดิ ชอบเกาะนอนใตใ้ บไม้ บนกง่ิ ไม้ ล�ำ ตน้ หรอื ตามทรี่ ม่ ครม้ึ ใกลๆ้ กบั ตน้ พชื ทก่ี ำ�ลงั ออกดอกและเปน็ แหลง่ น้ำ�หวาน สภาวะที่มผี ลต่อการปรากฏตัวของผีเสื้อกลางคนื 11 ภาพที่ 15 การเกาะของผีเส้ือกลางคืนราบกับพน้ื ใบไม้ ช่วงเวลาทเ่ี หมาะสม คือ เวลาประมาณ 16:00 น. ถึงเวลา 06:00 น. อณุ หภูมิ มากกวา่ 15 องศาเซลเซยี ส ท้องฟา้ ไม่มีเมฆปกคลมุ หรอื ฝนตก ฤดูกาล สามารถพบผีเส้ือกลางคืนได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูกาลที่เหมาะสมท่ีสุด คือ ชว่ งตน้ ฤดฝู นประมาณเดือนพฤษภาคม และช่วงปลายฤดูฝนประมาณเดอื นตลุ าคม บรเิ วณทสี่ ามารถพบเหน็ ผเี สอ้ื กลางคนื ไดง้ า่ ย มกั ขน้ึ อยกู่ บั แหลง่ อาหาร ไดแ้ ก่ ยางไม้ ดอกไม้ โดยเฉพาะดอกไม้ที่มลี ักษณะดอกเป็นหลอด เชน่ ดอกเข็ม ดอกผกากรอง ดอกโสกนำ้� เป็นต้น บริเวณริมล�ำ ธารทีม่ ีน�้ำ ซับ ทรายช้นื ๆ หรอื โป่งดนิ ทีม่ ีความชื้นหรือ บรเิ วณท่ีมแี สงสวา่ ง ผเี ส้ือกลางคืนในหบุ เขาล�ำ พญา
พฤติกรรมของผีเสือ้ กลางคนื การกนิ อาหาร อาหารของผเี ส้อื กลางคืนเป็นของเหลวเพราะผีเส้ือกลางคนื ไมม่ ี อวัยวะสำ�หรับเคี้ยวอาหาร แต่มีอวัยวะท่ีเป็นท่อยาวสำ�หรับดูดน้ำ�หรือของเหลว เช่น นำ้�หวานจากดอกไม้ น�ำ้ จากผลไมเ้ นา่ ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ มะละกอ มะเดือ่ สับปะรด น�ำ้ ตาลเมา นำ้�ทห่ี ลอ่ เลย้ี งตน้ ไม้ และส่งิ ที่เนา่ เปือ่ ย ไดแ้ ก่ ซากเน่าของสัตว์ มูลสตั ว์ แต่ผเี ส้อื กลางคนื บางชนดิ ชอบทกุ อยา่ งรวมทง้ั นำ้�ปสั สาวะดว้ ย การทผ่ี เี สอื้ กลางคนื ดดู น�ำ้ ปสั สาวะไมใ่ ชเ่ พยี ง ต้องการน้�ำ เทา่ นนั้ แตต่ ้องการไนโตรเจนและเกลือโซเดียมซ่ึงไม่สามารถผลติ ไดเ้ อง ผเี สอ้ื กลางคนื สามารถขับน้ำ�ทเ่ี กนิ ความตอ้ งการออกทางทวารเป็นจงั หวะๆ คลา้ ยกับมันกรอง เก็บส่วนท่ีต้องการออกจากนำ้�ที่ดูดเข้าไป สำ�หรับผีเสื้อกลางคืนท่ีพบรวมกลุ่มกัน เช่น บนพ้ืนทรายเปียก มักเป็นเพศผู้แทบทั้งส้ิน อาจพบเพศเมียบ้าง แต่เน่ืองจากผีเส้ือ เพศเมียตอ้ งหลบซ่อนตัวไม่ให้ถูกรบกวนจากศตั รูธรรมชาตเิ พือ่ ทำ�หน้าทีว่ างไข ่ การผสมพันธ ์ุ ผีเสอื้ กลางคืนเพศผู้ มวี ธิ ีในการผสมพันธุ์ คอื 1) เกาะอยู่บนท่ีสูง เชน่ ยอดไม้ กงิ่ ไม้ หรอื บนกอ้ นหนิ รอใหเ้ พศเมยี ทพ่ี รอ้ มจะผสมพนั ธบ์ุ นิ เขา้ มาในเขตพนื้ ท่ี ของตน 2) บินผ่านไปบริเวณที่เพศเมียอยู่ หากพบเพศเมียพร้อมผสมพันธุ์ เพศผู้จะบิน เกาะบงั คับใหเ้ พศเมียลงส่พู นื้ เพ่ือผสมพันธุ์ การวางไข ่ ผเี สอ้ื กลางคนื วางไขบ่ นใบพชื ทเี่ ปน็ อาหารของตวั หนอน หรอื เปลอื ก ไม้ ผเี สอื้ กลางคนื มวี ธิ กี ารทดสอบพชื อาหารดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การใชข้ าหนา้ หรอื หนวด ที่มีประสาทรับความรู้สึกแตะทดสอบ หรือบางชนิดใช้ปลายท้องแตะทดสอบก่อนวางไข่ แต่มีบางชนดิ ท่ปี ล่อยไข่ลงสู่ดิน 12 การเพมิ่ อณุ หภมู ริ า่ งกาย เนอ่ื งจากผเี สอ้ื กลางคนื เปน็ สตั วเ์ ลอื ดเยน็ ไมส่ ามารถ ปรบั อณุ หภูมใิ นรา่ งกายใหค้ งทีต่ ลอดเวลาได้ จึงจำ�เปน็ ต้องท�ำ ใหร้ ่างกายอบอุน่ วิธีการท่ี พบบ่อยคือการผ่ึงแดดโดยตรง บางชนิดท่ีมีเกล็ดสีดำ�หรือสีเข้มจะเกาะหุบปีกตั้งตรงกับ ดวงอาทติ ย์ แตม่ บี างชนดิ ที่กางปีกรับแสงอาทิตย์โดยตรง การบิน ผีเสื้อในแต่ละวงศ์มีการบินท่ีมีลักษณะเฉพาะตัว ข้ึนอยู่กับกิจกรรม ในขณะน้นั เช่น ก�ำ ลังกินอาหาร บนิ หาคู่ หรอื บนิ หาที่วางไข่ เชน่ - ผเี ส้อื ปกี คา้ งคาว มีลักษณะในการบินขนึ้ ๆ ลงๆ - ผีเสือ้ เหย่ยี วหวั กะโหลกบินขน้ึ ลงเป็นลูกคลน่ื ในแนวตรง ผีเส้ือบินเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของล�ำ ตัวและปีกมสี ่วน ในการก�ำ หนดลกั ษณะการบนิ คอื ผเี สื้อท่ีมขี นาดลำ�ตวั ใหญ่เม่อื เทียบกบั ปกี ท่ีมขี นาดเลก็ ผีเสอื้ จะกระพือปีกถๆ่ี และบินเรว็ เชน่ ผเี สือ้ บินเร็ว และหากผเี สือ้ ที่มีปีกใหญ่เม่ือเทียบ กับขนาดของลำ�ตวั ผเี สอ้ื จะไม่ค่อยกระพือปีกบ่อย บนิ ในลักษณะรอ่ นและบินไม่เร็วนกั ผเี สอื้ กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
การป้องกันตัว เม่อื โดนรบกวนผีเสือ้ มกั มวี ธิ ีในการป้องกันตัวเอง ดงั นี้คอื 13 1. การบิน เม่ือถูกรบกวนผีเส้ือส่วนมากจะบินอย่างรวดเร็วและไม่มีรูปแบบท่ี แนน่ อน ทำ�ให้ยากต่อการตดิ ตาม การบินลกั ษณะนี้ทงั้ ท่ีไมถ่ ูกรบกวน เปน็ การลดโอกาสที่ จะถกู ท�ำ รา้ ยได้ ผเี สอ้ื อน่ื ๆ ทบี่ นิ อยา่ งเชอ่ื งชา้ ซงึ่ งา่ ยตอ่ การถกู จบั มนั มจี ดุ ประสงคใ์ หศ้ ตั รู มองเห็นได้ง่าย เพอ่ื ที่จะรวู้ า่ มันมพี ษิ หรอื มรี สชาติไม่ดี ลักษณะการบินเชน่ น้ีเพอ่ื ปอ้ งกัน การถูกท�ำ ร้ายหรือถูกรบกวน 2. การเลยี นแบบ ผเี สอื้ บางชนดิ ทเี่ ปน็ อาหารของนก มลี กั ษณะการบนิ คลา้ ยกบั พวกทไ่ี มเ่ ปน็ อาหารของนก นอกจากนน้ั ผเี สอ้ื กลมุ่ นยี้ งั มรี ปู รา่ งผนั แปรไปจนคลา้ ยกบั พวก ที่นกไม่กิน ตลอดจนนิสัยของมันก็คล้ายกับพวกที่เป็นพิษและมักปะปนกับพวกนั้น เพื่อเปน็ การปอ้ งกนั ตวั สำ�หรบั การเลยี นแบบเช่นนี้ เรยี กวา่ Batesian Mimicry 3. ผเี สื้อทไี่ มเ่ ป็นอาหารของนก เชน่ กล่มุ Danaids เป็นตวั อย่างทีผ่ ีเส้อื อืน่ ใช้ ในการเลยี นแบบ และการเลยี นแบบลกั ษณะนพี้ บในผเี สอ้ื เพศเมยี เปน็ สว่ นใหญ่ สว่ นผเี สอ้ื เพศผมู้ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกบั ชนดิ ของมนั ทเี่ คยเปน็ มากอ่ นและบางครงั้ มสี สี ดสวย สนั นษิ ฐาน วา่ ผเี สอื้ ทน่ี กกนิ เปน็ อาหารยอมใหม้ กี ารสญู เสยี ผเี สอ้ื เพศผจู้ ำ�นวนหนงึ่ ซง่ึ ไมส่ ง่ ผลตอ่ การ สูญพันธุ์ของผีเสื้อเหล่าน้ี และเป็นการสงวนผีเสื้อเพศเมียซึ่งมีหน้าที่ในการออกไข่ไว้โดย วธิ ีการเลยี นแบบ การอำ�พรางตวั โดยอาศยั ลวดลายสขี องมนั เป็นการอ�ำ พรางตัว ผีเสือ้ ส่วนมากมี สสี ดใสดา้ นบนปีก แต่สว่ นลา่ งของปีกมืดทบึ เมอ่ื เกาะพักมันหุบปีกไวบ้ นหลงั ให้มองเหน็ ด้านล่างของปีก การท่ีมีสีมัวทึบเช่นน้ี ทำ�ให้ผีเสื้อปลอมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเวลาทเ่ี กาะบนตน้ ไม้ กง่ิ ไม้ ใบไมร้ ว่ ง หรือบนพ้ืนดิน ผเี สอื้ บางชนิดมีลวดลาย บนปกี เปน็ วงกลมโต 2 วง คล้ายดวงตา ได้แก่ ผเี ส้ือนกฮูก (Brahmaea sp.) โดยปกตแิ ล้ว ผีเสื้อเพศเมียมีวิธีป้องกันตัวมากกว่าเพศผู้ เพราะสีของเพศเมียมักทึบและไม่เด่นชัดเท่า เพศผ ู้ การทีผ่ ีเสือ้ เพศเมียมสี เี ชน่ นัน้ และมกั บินตามพุ่มไม้และในป่า ท�ำ ให้มองเหน็ ได้ยาก จึงเปน็ การปอ้ งกนั ตัวเองวิธีหนงึ่ การนอน ผเี สอ้ื กลางคนื มกั นอนในชว่ งเวลาทไี่ มเ่ หมาะสมตอ่ การออกหากนิ เชน่ เวลากลางวนั หรอื ชว่ งทอ้ งฟา้ มดื ครม้ึ เวลานอนผเี สอ้ื จะกางปกี และเอาหวั ลง หนวดชตี้ รง ไปขา้ งหน้า บางชนดิ นอนใตใ้ บไม้ และกางปีกออก หรอื บางชนดิ ทม่ี ีปกี สีคล�ำ้ จะใช้ปกี โอบ รอบกง่ิ ไมเ้ ลก็ ๆ บางชนดิ นอนทล่ี ำ�ต้น บางชนิดนอนในถ�้ำ หรอื นอนตามซอกไม ้ บางชนดิ นอนเดย่ี วๆ และบางชนดิ นอนรวมกนั เปน็ กลุม่ ผีเส้ือกลางคืนในหุบเขาล�ำ พญา
ความส�ำ คญั ของผีเสอื้ กลางคืน ภาพที่ 16 ความสัมพนั ธข์ องผเี สอื้ กลางคืนกับสงิ่ มีชีวติ ชนิดอ่ืน 1. ความสัมพันธ์ของผีเส้ือกลางคืนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอ่ืน ผีเสื้อกลางคืนบาง ชนดิ มคี วามสมั พนั ธแ์ บบ myrmecophily mutualism กบั มดในชว่ งระยะทเ่ี ปน็ ตวั หนอน โดย ตัวหนอนผีเสื้อหล่ังสารละลายของน้ำ�ตาลและกรดอะมิโนผสมกันในรูปของเซรีน (serine) เพอ่ื เปน็ อาหารแกม่ ด สว่ นมดท�ำ หนา้ ทปี่ อ้ งกนั ตวั หนอนและดกั แดข้ องผเี สอ้ื จากปรสติ และ ผู้ล่า นับวา่ เป็นการได้ประโยชน์ทง้ั 2 ฝา่ ย นอกจากนผี้ ีเสื้อบางชนดิ ดูดกินน�ำ้ เลี้ยงจากพืช และมีการแบง่ ปนั กันดดู กบั ดว้ งบางชนดิ เชน่ Rose beetles, Stag beetles แมลงวนั และแตน 2. ผีเสื้อกลางคืนเป็นดัชนีบ่งช้ีความเปล่ียนแปลงของระบบนิเวศ ผีเส้ือ 14 สามารถใช้เป็นดัชนีบ่งช้ีสภาพของระบบนิเวศเบ้ืองต้นได้อย่างดี โดยผีเสื้อเเละพรรณไม้ จะดำ�รงอยู่ด้วยความสัมพันธ์กัน หากพ้ืนที่ใดพบชนิดของผีเส้ือมาก ย่อมเเสดงถึงสภาพ ปา่ เเละพนั ธพ์ุ ชื มคี วามหลากหลาย หรอื การพบผเี สอื้ บางชนดิ เชน่ ผเี สอื้ ในระยะตวั หนอน กนิ หญา้ ยอ่ มเเสดงวา่ พนื้ ทน่ี นั้ ไดถ้ กู เเปรสภาพไปเพอ่ื ทำ�การเกษตร หรอื ปลอ่ ยทง้ิ รา้ งกลาย เป็นทงุ่ หญ้า เปน็ ต้น 3. ชว่ ยในการผสมเกสรของพชื ผีเส้ือในระยะตัวเตม็ วยั ช่วยผสมเกสรดอกไม้ ทำ�ให้เกิดการกระจายพันธ์ุของต้นไม้ขึ้นในธรรมชาติ พืชพรรณไม้หลายชนิดอาศัยผีเส้ือ ชว่ ยในการผสมเกสร โดยใชส้ สี นั ความงามของกลบี ดอก หรอื ใชก้ ลน่ิ หอมดงึ ดดู ใหผ้ เี สอื้ เขา้ มาตอมและดูดกินนำ้�หวานเป็นสิ่งตอบแทน ขณะเดียวกันเกสรดอกไม้ก็จะติดตามแข้งขา หรือลำ�ตัวของผเี สือ้ เมอื่ ผเี สื้อบินไปเกาะยังดอกอนื่ กเ็ กิดการผสมเกสรขนึ้ 4. ศัตรูพืช ผีเสื้อมีส่วนทำ�ลายต้นพืช เพราะขณะที่ผีเส้ือมีชีวิตอยู่ในระยะ ตวั หนอนกจ็ ะตอ้ งกนิ ใบหรอื สว่ นอน่ื ๆ ของพชื เพอื่ การเตบิ โตเปน็ ผเี สอ้ื และแพรข่ ยายพนั ธุ์ ตอ่ ไป ผเี สือ้ กลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
การอนรุ กั ษผ์ เี ส้อื กลางคืน 1. มาตรการทางกฎหมาย เชน่ การประกาศเปน็ พนื้ ทอี่ ทุ ยานแหง่ ชาติ เขตรกั ษา พันธ์ุสัตว์ป่า หรือพื้นท่ีอนุรักษ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการกำ�หนดให้แมลงบางชนิดรวมทั้ง ผเี สอ้ื เปน็ สตั วป์ า่ คมุ้ ครอง ตามพระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ พ.ศ. 2535 ส�ำ หรบั ผีเสอ้ื กลางคนื ทจี่ ัดวา่ เป็นสตั วป์ า่ คมุ้ ครอง ไดแ้ ก่ 1) ผเี ส้อื กลางคืนคา้ งคาว (Lyssa zampa) 2) ผีเสื้อกลางคืนหางยาวทุกชนดิ ในสกลุ Actias 2. การไม่ซ้อื ไมข่ าย ไม่สะสมผีเส้อื และไมจ่ บั ผเี สือ้ ในปัจจุบันมีการรณรงค์ ไม่ให้จับผีเส้ือ ให้ผีเส้ือมีชีวิตอยู่ในสภาพธรรมชาติ การดูผีเส้ือในธรรมชาติ ให้ความ เพลดิ เพลนิ เกดิ ความรสู้ กึ ทอี่ อ่ นโยนเปน็ กจิ กรรมทพี่ ฒั นาทกั ษะการสงั เกต การจดจ�ำ ทศั นศลิ ป์ ใหค้ วามรู้ ปลูกจติ สำ�นึกใหเ้ กิดความรัก ความเขา้ ใจในธรรมชาติ 3. การรกั ษาปา่ ซงึ่ เปน็ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั แหลง่ อาหารทสี่ �ำ คญั ของผเี สอ้ื โดยการ ไม่ตดั ไม้ทำ�ลายป่า หรือท�ำ ใหเ้ กดิ มลพิษตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มในแหล่งท่ผี ีเสอ้ื อาศัยอยู่ 4. การไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำ�จัดศัตรูพืช เน่ืองจากพืชบางชนิดเป็น แหลง่ อาหารของผเี สือ้ การใชส้ ารเคมไี ม่เพียงมผี ลท�ำ ลายแมลง ผีเส้ือและวชั พชื แตส่ ่งผล กระทบตอ่ ระบบนเิ วศ เกดิ สารตกคา้ งในสงิ่ แวดล้อมทั้งในบรรยากาศ ในน้�ำ และแทรกซึม สะสมอยใู่ นชน้ั ดิน 15 ภาพที่ 17 ผีเส้อื กลางคืนปกี คา้ งคาว ภาพท่ี 18 ผีเสอ้ื กลางคนื หางยาวตาเคยี ว ปีกลายหยัก ผเี สือ้ กลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
ผเี สอื้ กลางคืน (Moths : Heterocera) ผีเส้ือกลางคืนเป็นผีเส้ือท่ีออกหากินตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเด่น คือ ปีกคู่หน้ากับคู่หลังซ้อนกันแบบแนบติดกัน มีอวัยวะยึดเกี่ยวปีกหน้าและปีกหลัง เพื่อชว่ ยในการกระพือปีก เวลาเกาะกางปีกขนานกับพ้นื แตป่ ีกจะลู่ลงมากกวา่ และหนวด ลู่ไปตามขอบปีก หนวดผีเสื้อกลางคืนมีหลายแบบ ได้แก่ แบบเส้นด้ายปลายแหลม แบบฟันหวี แบบพู่ขนนก ลำ�ตัวอ้วนมีเกล็ดปกคลุมค่อนข้างหนา ในประเทศไทยมีผีเสื้อ กลางคืนประมาณ 20,000 ชนิด 40 วงศ์ ดงั น้ี วงศ์ผีเสื้อปกี ร้ิว (Family Alucitidae) วงศ์ผเี สื้ออาร์คทิอดิ ี้ (Family Arctiidae) วงศผ์ เี ส้อื บอมไบซดิ ี้ (Family Bombycidae) วงศ์ผีเสอ้ื บราเมอดิ ี้ (Family Brahmaeidae) วงศ์ผเี สื้อคาลลิดลู ดิ ี้ (Family Callidulidae) วงศผ์ เี สอ้ื โครูทดิ ี้ (Family Choreutidae) วงศ์ผีเส้ือหนอนเจาะไม้ (Family Cossidae) วงศผ์ ีเสอ้ื ดรพี านิด้ี (Family Drepanidae) วงศผ์ ีเสื้ออพิ โิ คพอี ิดี้ (Family Epicopeiidae) วงศ์ผเี สอ้ื เอทมอิ ิดี้ (Family Ethmiidae) วงศผ์ เี สอ้ื ยูเทอโรทดิ ี้ (Family Eupterotidae) วงศ์ผเี สื้อยีโอเมททริดี้ (Family Geometridae) 16 วงศ์ผเี สื้อหนอนชอนใบ (Family Gracillariidae) วงศผ์ ีเสอ้ื ผี (Family Hepialidae) วงศ์ผีเสอื้ ไฮบลีอิดี้ (Family Hyblaeidae) วงศผ์ ีเสอื้ หนอนชักใย (Family Lasiocampidae) วงศ์ผเี ส้ือหนอนหอย (Family Limacodidae) วงศ์ผเี สื้อลายแมนทรอิ ดิ ี้ (Family Lymantriidae) วงศ์ผีเสอ้ื ไลโอนทิ ิอดิ ี้ (Family Lyonetiidae) วงศผ์ ีเส้อื นอคทูอิดี้ (Family Noctuidae) วงศผ์ เี ส้อื โนโตดอนทดิ ี้ (Family Notodontidae) วงศ์ผเี สื้อหนอนปลอก (Family Psychidae) วงศ์ผีเสื้อปกี แฉก (Family Pterophoridae) วงศผ์ เี สื้อหนอนกอ (Family Pyralidae) ผเี สือ้ กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
วงศ์ผีเส้ือยักษ ์ (Family Saturniidae) วงศผ์ ีเสอื้ ปกี ใส (Family Sesiidae) วงศ์ผีเสอ้ื เหยี่ยว (Family Sphingidae) วงศ์ผีเสือ้ ไทรดิ ิด้ี (Family Thyrididae) วงศ์ผีเสอ้ื หนอนเจาะผา้ (Family Tineidae) วงศ์ผเี สอ้ื หนอนมว้ นใบ (Family Tortricidae) วงศ์ผเี สื้อคา้ งคาว (Family Uraniidae) วงศผ์ ีเสอ้ื ลายจุด (Family Yponomeutidae) วงศ์ผีเสื้อรมควัน (Family Zygaenidae) ลักษณะของผีเส้อื กลางคืนในแตล่ ะวงศ์ วงศอ์ ะลซู ทิ ดี ้ี (Family Alucitidae) หรอื ผเี สอ้ื ปกี ร้ิว (Hairy Plume Moths) เปน็ ผเี สอ้ื ทมี่ ขี นาดเลก็ ถงึ เลก็ มาก ปกี คหู่ นา้ มลี กั ษณะเปน็ กา้ น (Plumed Wings) ม ี 6 กา้ น ปกี คหู่ ลงั ม ี 6-7 กา้ น แตล่ ะกา้ นมขี นแตกแขนงออกมาคลา้ ยขนนกประสานกนั เปน็ แผน่ ปกี 17 ภาพท่ี 19 เสน้ ปีกของผีเสอื้ วงศ์อะลูซทิ ดี ้ี ผีเสือ้ กลางคืนในหบุ เขาล�ำ พญา
วงศ์อาร์คทิอิดี้ (Family Arctiidae) หรือผีเสื้อหนอนบุ้ง ผีเส้ือลายเสือ (Tiger moths, Footman moths) เปน็ ผเี สอ้ื ขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลาง สว่ นใหญม่ สี สี ดฉดู ฉาด มีลายพาดตามขวางสแี ละจุดสตี ่างๆ สว่ นใหญส่ เี หลืองปนด�ำ คลา้ ยลายเสอื เมือ่ พักอยกู่ ับ ท่ีกพ็ ับปีกห้มุ ตัวคล้ายรปู หลงั คา พาลไพสั้น เส้นมเี ดีย 2 บวกมีเดีย 3 (M2+M3) อย่ใู กล้กบั ควิ บติ ัส (Cu1, Cu2) ท�ำ ให้เหน็ เสน้ คิวบติ ัสคลา้ ยกบั มี 4 เสน้ ในปีกคหู่ นา้ เสน้ สบั คอสตา้ (Sc) และเรเดียส (R) ของปีกหลงั รวมกันเปน็ เส้นเดียวเป็นระยะทางยาวแลว้ ถึงจะแยกออก จากกันที่ปลาย ตวั หนอนมขี นมาก มลี กั ษณะเป็นตวั บ้งุ ดกั แด้มีปลอกซึ่งตัวหนอนใช้ใยถกั กับขนหุ้มลำ�ตวั ตัวหนอนของแมลงวงศ์น้ีส่วนใหญ่กินใบของต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะไม้ป่าเป็น อาหาร บางครั้งกลายเป็นแมลงศัตรูทางป่าไม้ ตัวเต็มวัยออกหากินเวลากลางคืนและมัก จะชอบเลน่ แสงไฟ ภาพที่ 20 เส้นปกี ของผีเสอ้ื วงศอ์ ารค์ ทิอิดี้ 18 วงศ์บอมไบซดิ ี้ (Family Bombycidae) หรือผีเส้อื ไหม (Silk Worm Moths) สว่ นใหญม่ ขี นาดกลาง มสี ีนำ้�ตาล สีดำ� พบบอ่ ย คือ สีขาว ปีกค่หู นา้ มีลายเส้นสีน�้ำ ตาล อ่อนพาดตามขวางหลายเส้น และบางทีก็มี 2 เส้นท่ีตรงปลายของดิสคอลเซลล์ ตัวอ้วน ป้อม มีขนปกคลุมเต็ม ตัวเต็มวัยไม่กินอาหารและไม่บิน โดยมากมีชีวิตอยู่ได้ 2-3 วัน เพศเมยี วางไข่ได้ครงั้ ละ 300-400 ฟอง ตัวหนอนเรยี บไมม่ ขี น มขี าเลก็ ๆ สั้นทีป่ ลายหาง เม่อื ตวั หนอนโตเต็มทจ่ี ะเรม่ิ ชักใย ภาพที่ 21 เส้นปกี ของผเี สอ้ื วงศ์บอมไบซิดี้ ผีเสื้อกลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
วงศบ์ ราเมอดิ ี้ (Family Brahmaeidae) เป็นผเี สื้อขนาดใหญ่ พบในเขตร้อนชน้ื และเขตอบอุ่น ปีกคู่หน้าและคู่หลังมีขนาดใหญ่ มีสีพ้ืนเป็นสีน้ำ�ตาล แต้มลายเส้นสีดำ� ดา้ นบนของปกี คหู่ นา้ มจี ดุ ดวงตา เพศผมู้ หี นวดแบบ Bipectinate สว่ นเพศเมยี มหี นวดแบบ Filiform ชอบเลน่ ไฟในเวลากลางคนื ภาพท่ี 22 เส้นปีกของผีเสอ้ื วงศบ์ ราเมอดิ ี้ วงศ์คาลลดิ ูลิด้ี (Family Callidulidae) เปน็ ผีเส้อื เล็ก ลกั ษณะภายนอกดูคล้าย กบั ผเี สอื้ กลางวัน มีหนวดแบบ Filiform มีสีน�ำ้ ตาลสม้ ออกหากนิ ในเวลากลางคนื 19 ภาพที่ 23 เสน้ ปีกของผีเสือ้ วงศ์คาลลดิ ูลดิ ี้ ผีเส้ือกลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
วงศโ์ ครูทดิ ี้ (Family Choreutidae) เปน็ ผเี ส้อื กลางคืนทีม่ ขี นาดเล็กมาก มีตา เดยี่ วใหญ่ ตวั เตม็ วยั มักมีส ี Metallic ออกหากินในเวลากลางวนั พบบนิ ในท่โี ล่งแจ้ง หรอื บรเิ วณทมี่ ีดอกไม้ ตัวออ่ นกินพชื ในวงศ์ Asteraceae ภาพท่ี 24 เสน้ ปีกของผเี สือ้ วงศโ์ ครทู ดิ ี้ วงศค์ อสสดิ ี้ (Family Cossidae) หรอื ผเี สอ้ื หนอนเจาะไม้ (Carpenter Moths, Leopard Moths, Goat Moths) เป็นผีเสื้อขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ ลำ�ตัวอ้วน กน้ แหลม ปกี คอ่ นไปทางยาวมากกวา่ กวา้ ง ปกี หนาและแขง็ แรง มกั มรี อยดา่ งหรอื จดุ ทว่ั ไป ตามปกี เส้นปีกมคี วิ บิตัส 2 (Cu) ทงั้ สองปีก และเสน้ มีเดีย (M) แตกแขนงเปน็ ง่าม ฟรนี ลู ั่ม (Frenulum) เจริญดแี ตบ่ างครง้ั ก็สัน้ มาก ไมม่ ตี าเดย่ี ว ฟนั (Maxillae) ไมเ่ จรญิ หนวดเป็น แบบ Bipectinate ทั้งเพศเมียและเพศผู้ หรือบางคร้ังลักษณะโคนหนวดเพศผู้เป็น 20 Bipectinate และปลายหนวดเป็นแบบ Filiform แมลงในวงศน์ อี้ อกหากนิ เวลากลางคนื ชอบวางไขต่ ามเปลอื กไมห้ รอื ในรู ตวั หนอน เจาะกินเป็นรูขนาดใหญ่เข้าไปในเน้ือไม้หรือต้นผลไม้ต่างๆ ทำ�ให้ก่ิงหักหรือต้นแห้งตาย ตวั หนอนมสี ว่ นหวั ตดิ กบั อกปลอ้ งแรกซง่ึ ขยายใหญ่ มกี รามใหญ ่ เปน็ ศตั รขู องตน้ ไมห้ ลาย ชนดิ มกั จะพบขุยหรือมลู หนอนอยทู่ โ่ี คนต้น บางคร้ังมนี �้ำ เหลวใสๆ ไหลออกมาจากรมู ี กลิ่นเหมือนสาบแพะ จึงได้ชื่อว่า “Goat Moth” ชนิดที่เป็นศัตรูสำ�คัญของต้นกาแฟใน ประเทศไทยคือ หนอนกาแฟสีแดง (Zeuzera coffeae Nietner) เป็นอันตรายร้ายแรง ของการปลกู กาแฟ และอกี ชนดิ หนงึ่ คอื ผเี สอ้ื หนอนเจาะสกั (Xileutes ceramicus Walker) เป็นศตั รทู ี่ร้ายแรงของไมส้ ัก ผเี ส้ือกลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ภาพท่ี 25 เส้นปกี ของผเี สือ้ วงศ์คอสสิด้ี วงศ์ผีเสื้อดรพี านดิ ้ี (Family Drepanidae) หรือ Hook-tip Moths เปน็ ผีเสอ้ื ขนาดเลก็ ถงึ ปานกลาง ส่วนใหญ่มีสที บึ บางชนิดมลี วดลายสีสันสดใส หนวดมหี ลายแบบ เชน่ Filiform, Bipectinate จ�ำ แนกไดง้ า่ ย ปลายปกี คหู่ นา้ แหลมและงอคลา้ ยเคยี ว มอี วยั วะ ฟงั เสยี งทสี่ ว่ นทอ้ ง ตวั หนอนกนิ ใบพชื หลายชนดิ ทงั้ ไมย้ นื ตน้ และไมพ้ มุ่ บางชนดิ อาศยั กดั กินอยูใ่ นใบม้วนอย่างหลวมๆ 21 ภาพท่ี 26 เส้นปีกของผีเสือ้ วงศ์ดรีพานิดี้ ผเี สอื้ กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
วงศอ์ พิ โิ คพอี ดิ ี้ (Family Epicopeiidae) เปน็ ผเี สอ้ื ขนาดกลาง ลกั ษณะภายนอก คลา้ ยผีเสอ้ื กลางวนั พวกผเี สื้อหางตุม้ จดุ ชมพอู อกหากนิ ในเวลากลางวัน และมกั หากินปน อยู่กบั กลุ่มผเี สือ้ หางตุ้มจดุ ชมพู หนวดแบบ Bipectinate ภาพท่ี 27 เสน้ ปกี ของผีเสอื้ วงศอ์ ิพโิ คพีอิดี้ วงศเ์ อทมอิ ดิ ี้ (Family Ethmiidae) เปน็ ผเี สอ้ื ขนาดเลก็ ถงึ ปานกลาง ไมม่ ตี าเดย่ี ว ปีกคู่หน้ามักมีสีขาวหรือเทาและมีจุดสีดำ� ตัวอ่อนกินใบและดอกพืชวงศ์ Boraginaceae และ Hydrophyllaceae 22 ภาพที่ 28 เส้นปีกของผีเสือ้ วงศเ์ อทมิอดิ ี้ ผีเสอื้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
วงศย์ เู ทอโรทดิ ี้ (Family Eupterotidae) เปน็ ผเี สอ้ื ขนาดกลางถงึ ใหญ่ หนวดเปน็ แบบ Bipectinate ลำ�ตัวปกคลุมด้วยขน Proboscis เล็ก หรือไมม่ ี Maxillary Palps, Labial Palps สน้ั หนามที่ Tibia ของขาคหู่ น้า ขาคู่กลาง ขาค่หู ลัง เปน็ แบบ 0-2-2 ปกี คู่หนา้ ไม่มี Areole ส่วนใหญส่ ีนำ้�ตาล ดำ� บางชนดิ มสี ีเหลอื ง และมจี ุดแต้มสีทพ่ี นื้ ปกี ภาพที่ 29 เสน้ ปีกของผีเสอื้ วงศย์ เู ทอโรทิดี้ 23 วงศ์ยีโอเมททริดี้ (Family Geometridae) หรือผีเสื้อหนอนคืบ (Loopers, Measuring Worms, Geometers) เป็นผเี สื้อทม่ี ีล�ำ ตวั บอบบาง ซง่ึ ผดิ กับปกี ท่ีกว้างใหญ่ ไม่ได้สัดส่วนกับลำ�ตัว จึงเป็นผีเสื้อที่บินไม่เร็ว เม่ือพักอยู่กับท่ีจะกางปีกขนานกับพ้ืนดิน บนปีกมักมีเส้นเป็นลายคลื่นพาดตามขวาง ตัวเมียบางชนิดไม่มีปีกหรือมีปีกเล็กมาก ลักษณะเส้นปีกท่ีผิดกับผีเส้ือในวงศ์อ่ืนคือ ฐานของเส้นสับคอสต้า (Subcosta) ของปีก คหู่ ลงั โคง้ งอเข้าไปในฮิวเมราล แองเกิล (Humeral angle) โดยมีเส้นขวางปกี หนา้ เสน้ ควิ บติ ัส (Cubitus) ในปีกหนา้ มีลักษณะคล้ายกบั มี 3 เส้น เพศผู้และเพศเมยี หลายชนิดมสี ตี ่างกนั ตวั หนอนยาว มขี าเทยี มเฉพาะปล้องท่ี 8 และที่ 10 การเคล่ือนไหวมีลักษณะคบื ไปจึงได้ ชอื่ ว่า “หนอนคบื ” จดั เปน็ วงศท์ มี่ คี วามสำ�คญั ในทางทำ�ลายพชื ทเ่ี พาะปลกู วงศห์ นง่ึ พชื ทถ่ี กู ทำ�ลาย มหี ลายวงศ์ และหลายสกลุ เชน่ พวกท่ีกนิ ใบคาง ทงิ้ ถ่อน มะหวด ซง่ึ เป็นไม้ป่า พวกทีก่ นิ ไม้ดอก เช่น เข็มแดง ยี่โถ กุหลาบ ดอกพุด และพวกท่ีกินใบผลไม้หรือพืชสำ�คัญ ทางเศรษฐกจิ เชน่ ล�ำ ไย มะมว่ ง สม้ เงาะ ทบั ทมิ พรกิ ไทย จงึ จดั วา่ เปน็ วงศท์ ม่ี คี วามสำ�คญั ทางเศรษฐกิจวงศ์หน่งึ ผีเสือ้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ภาพที่ 30 เส้นปีกของผเี สอ้ื วงศ์ยีโอเมททรดิ ี้ วงศ์กราซิลลาริอิดี้ (Family Gracillariidae) หรือผีเส้ือหนอนชอนใบ (Leaf Miners) เปน็ ผีเสือ้ ขนาดเลก็ มาก ลำ�ตัวยาว ปีกลักษณะคลา้ ยใบหอก ขอบปกี มีขน ละเอยี ดยาว ขอบปกี คหู่ ลงั ดา้ นบนใกลฐ้ านปกี มลี กั ษณะโคง้ ขน้ึ เลก็ นอ้ ย ไมม่ ตี าเดย่ี ว หนวด แบบ Filiform มักยาวเทา่ หรอื ยาวกวา่ ปกี คหู่ นา้ เม่ือเกาะพักปกี ผเี สื้อจะยกสว่ นหนา้ ของ ล�ำ ตัวขึ้นและส่วนปีกแตะพน้ื ที่เกาะ ตวั หนอนมลี กั ษณะแบนชอนไชอยใู่ นพชื ใบ 24 ภาพที่ 31 เส้นปกี ของผีเสื้อวงศก์ ราซิลลารอิ ดิ ้ี ผเี ส้ือกลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
วงศ์เฮเปยี ลดิ ี้ (Family Hepialidae) หรือผีเสอื้ ผี (Ghost Moths หรือ Swifts) เป็นผีเสือ้ ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ เม่อื กางปีกวดั ความกวา้ งได้ประมาณ 25-27 มลิ ลเิ มตร ส่วนใหญ่สีน้ำ�ตาลหรือเทามักมีจุดสีเงินบนปีก บางชนิดมีรูปร่างคล้ายผีเส้ือในวงศ์ Sphingidae มี Proboscis สนั้ หรือไม่มี ออกหากนิ เวลาพลบค�่ำ หรอื กลางคืน เปน็ ผีเสอื้ ท่ี บินได้ค่อนข้างเร็ว จึงได้ชื่อว่า Swift ผีเสื้อเหล่านี้แพร่กระจายอยู่ท่ัวไป พบท่ัวโลกเกือบ 500 ชนดิ ตัวหนอนเจาะเปน็ อโุ มงค์เข้าไปอาศัยกดั กนิ เนอ้ื ไมใ้ นต้นไม้ หรอื กินเปลือกไมท้ ่ี เจริญขึ้นมาใหม่ บางชนิดอาศัยอยู่ในดินกัดกินรากพืช หรือข้ึนมากินใบพืชท่ีมีต้นเตี้ย บางชนดิ เป็นศัตรขู องทงุ่ หญ้าเล้ยี งสตั ว์ ภาพที่ 32 เสน้ ปกี ของผเี ส้ือวงศเ์ ฮเปียลดิ ้ี 25 วงศ์ไฮบลีอิด้ี (Family Hyblaeidae) เป็นผีเสื้อขนาดเล็ก ลำ�ตัวป้อมส้ัน ไม่มี ตาเดี่ยว หนวดเป็นแบบ Filiform มี Proboscis แข็งแรง Maxillary Palps มี 3 หรอื 4 ปลอ้ ง Tibia ของขาคู่หนา้ คกู่ ลาง ค่หู ลัง เพศผูม้ ีหนาม 0-2-0 เพศเมียมี 0-2-4 อนั ไม่มอี วัยวะ ฟังเสยี ง ตวั หนอนเป็นศัตรสู ำ�คญั ของต้นสัก ตวั หนอนจะกัดกนิ ใบสกั จนเหลอื แต่กา้ นและ เส้นใบ เม่ือเข้าดกั แด้ ตวั หนอนจะท้งิ ตวั โดยสรา้ งเสน้ ใยลงมา เพอ่ื เขา้ ดกั แดใ้ นดิน ภาพท่ี 33 เสน้ ปกี ของผีเสื้อวงศไ์ ฮบลีอิด้ี ผเี สือ้ กลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
วงศ์แลสิโอแคมปิดี้ (Family Lasiocampidae) หรือผีเส้ือหนอนชักใย (Tent Caterpillars) เปน็ ผเี สอ้ื ขนาดกลาง ล�ำ ตวั อว้ นปอ้ ม บางชนดิ ล�ำ ตวั เรยี วยาว ปกคลมุ ดว้ ยขนไปถงึ ขาและตา หนวดเปน็ แบบ Bipectinate ทง้ั สองเพศ แตใ่ นเพศผมู้ ลี กั ษณะแขนง ยาวกวา่ ลกั ษณะเด่นของปกี คอื มมุ Humeral Angle ของปีกหลังยืน่ ขยายออกไปมากและ มีเสน้ ปีก Humeral Vein สำ�หรบั เสน้ Cubitus ของปกี คหู่ นา้ มลี ักษณะ 4 เส้น ไมม่ ีปาก ตาเด่ยี วและ Frenulum พาลไพสน้ั ปกคลมุ ดว้ ยขน สว่ นใหญส่ เี หลือง น้ำ�ตาล หรอื สเี ทา หนอนมีขนออ่ นคลุมมาก โดยเฉพาะขนเป็นกระจกุ ตรงสันหลงั ของปล้องแรกๆ แมลงในวงศ์น้ีมีมากในเขตร้อน ตัวหนอนบางที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในใยท่ีถักข้ึน กนิ ใบไม้ของไม้ป่าตา่ ง ๆ เชน่ ต้นสะแก จิก สนทะเล แค แตก่ ็มีบางชนิดทีท่ �ำ ลายตน้ ผลไม้ ทป่ี ลกู เชน่ ผเี สอื้ หนอนบงุ้ ชมพู่ ระยะทเี่ ปน็ หนอนดกั แดแ้ ละตวั เตม็ วยั จะกอ่ ใหเ้ กดิ อาการ คันมากเมือ่ เราไปสัมผัส 26 ภาพที่ 34 เส้นปีกของผีเสอ้ื วงศแ์ ลสิโอแคมปิด้ี วงศล์ มิ าโคดดิ ้ี (Family Limacodidae) หรอื ผเี สอ้ื หนอนหอย (Slug Caterpillars และ Saddleback Caterpillars) ผีเส้ือในวงศ์น้ีเรียกว่า Slug Caterpillars เนื่องจาก ลำ�ตัวอ้วนส้ันคล้ายทาก (Sluglike) ขาจริงมีขนาดเล็ก ขาเทียมไม่มี ส่วนหัวซ่อนอยู่ใน Prothorax ตัวหนอนมักมีรูปร่างแปลกๆ และมีขนหรือหนามพิษ เม่ือท่ิมแทงทำ�ให้เกิด การระคายเคือง ผีเสื้อหนอนหอยมีขนาดเล็กถึงปานกลาง อ้วนป้อม มีขนปกคลุมมาก มกั มีสนี �ำ้ ตาลอ่อน และมีจุดสเี ขยี ว สนี ำ้�เงิน หรอื สีอืน่ ๆ ทม่ี ขี นาดใหญ่ปรากฏบนปกี ไมม่ ี ตาเดี่ยว เพศผู้มีหนวดแบบ Bipectinate เพศเมียเป็นแบบ Filliform มี Proboscis และ Maxillary Palps ขนาดเล็ก หรือไมม่ ี ผเี สื้อในวงศน์ ีม้ ีประมาณ 1,000 ชนิด สว่ นใหญพ่ บ แพรห่ ลายในเขตร้อนชืน้ ผเี สื้อกลางคืนในหุบเขาลำ�พญา
ภาพที่ 35 เสน้ ปีกของผเี สือ้ วงศ์ลมิ าโคดิด้ี 27 วงศ์ลายแมนทริอดิ ้ี (Family Lymantriidae) หรือผเี สื้อหนอนบ้งุ หแู ดง ผเี สือ้ หนอนหางเหลอื ง และบงุ้ ตา่ งๆ (Gypsy Moths, Tussock-Moths, Brown Tail Moths) เป็นผีเส้ือขนาดกลาง มีสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด หนวดของเพศผู้มีลักษณะเป็น Bipectinate ไมม่ ตี าเดย่ี ว เพศเมียบางชนิดไม่มีปีกและมหี นวดเป็นแบบ Serrate ขามกั จะคลุมดว้ ยขน ละเอียด เมื่อเกาะน่ิงอยู่กับท่ีมักยืดขาหน้าย่ืนตรงออกไป เส้นปีกมีลักษณะคล้ายกับ วงศน์ อคทอู ิด้ี (Family Noctuidae) มาก แต่เสน้ สบั คอสต้าบวกเรเดยี ส 1 (Sc+R1) และเรเดยี ส เซคเตอร์ (Rs) ของปีกหลังร่วมกันไกลจากฐานปีกหลังออกไป ตรงปลายส่วนท้องของ เพศเมยี โดยมากมขี นยาวคลมุ ซงึ่ ใชเ้ ปน็ ทคี่ ลมุ ไขเ่ มอ่ื วางไขเ่ สรจ็ แลว้ ตวั หนอนมขี นปกคลมุ มากเตม็ ล�ำ ตวั หรอื เปน็ กระจกุ ตามปลอ้ งตา่ งๆ ของล�ำ ตวั ล�ำ ตวั มสี สี นั ตา่ งๆ กนั สวยงามมาก แมลงในวงศ์นเ้ี ป็นศตั รูสำ�คัญของป่าไม้ และตน้ ผลไม้ตา่ งๆ หลายชนิด ตัวหนอน กัดกินใบและยอดอ่อนต่างๆ ซ่ึงบางครั้งก็ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ที่พบบ่อย ไดแ้ ก่ บุง้ ทก่ี ินใบนอ้ ยหน่า กหุ ลาบ ทองหลาง พชื ตระกลู ถ่วั ต่างๆ ชงโค ผกั กาด สนทะเล สม้ โอ ฝ้าย เปน็ ต้น ภาพท่ี 36 เสน้ ปกี ของผเี สอ้ื วงศล์ ายแมนทริอดิ ้ี ผีเสื้อกลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
วงศไ์ ลโอนทิ ิอดิ ้ี (Family Lyonetiidae) หรือ Lyonetiid Moths เป็นผีเสอื้ ท่ีมี ขนาดเลก็ มาก ปีกแคบ มตี าเดย่ี ว และ Maxillary Palps มกั ไม่มีสว่ นของ Proboscis หรอื มีแตส่ ัน้ หนวดยาวสองในสามของปีกคหู่ นา้ ตวั หนอนลกั ษณะแบน ชอนใบ ล�ำ ตน้ พชื และบางชนดิ อาศัยอยู่ในเส้นใยทส่ี ร้างระหวา่ งใบพืช ภาพที่ 37 เส้นปกี ของผเี สอื้ วงศไ์ ลโอนทิ ิอดิ ี้ วงศ์นอคทอู ิดี้ (Family Noctuidae) หรอื ผีเสื้อหนอนกระท้ตู า่ งๆ (Noctuida Moths, Owlet Moths, Cut-Worm) เปน็ ผีเสื้อท่ีวงศ์ใหญท่ ่ีสดุ ในอนั ดบั ผเี ส้ือ ส่วนใหญ่ หากนิ ในเวลากลางคนื มกั ชอบเลน่ แสงไฟ มขี นาดและสสี นั ตา่ งกนั มาก แตส่ ว่ นใหญม่ ขี นาด กลางและสีทึบ ลำ�ตัวอ้วนป้อม ปีกคู่หน้าค่อนข้างแคบ และปีกคู่หลังกว้าง เมื่อพับปีก มลี กั ษณะคลา้ ยหลงั คา Labial palpi มกั ยาว สว่ นใหญม่ หี นวดเปน็ แบบ Filiform บนสนั หลงั อกมกั มีเกลด็ ปกคลมุ หนา เส้นปกี มเี ส้นมีเดีย 2 (M2) ของปกี หนา้ ขึ้นใกลก้ ับมเี ดยี 3 (M3) มากกว่ามีเดีย 1 (M1) เส้นคิวบิตัสมีลักษณะคล้ายเป็น 4 เส้น ปีกหลังมีเส้นสับคอสต้า 28 บวกเรเดยี ส 1 (Sc+R1) รวมกับเรเดยี สเซคเตอรช์ ิดกับโคนปีกมาก ตวั หนอนโดยทว่ั ๆ ไป เรยี บ มขี นละเอียดเลก็ นอ้ ยและสที ึบ ส่วนใหญ่มีขาเทียม แมลงในวงศ์น้เี ปน็ ศตั รูพืชท่ีสำ�คัญทส่ี ดุ วงศห์ น่งึ ตวั หนอนกดั กินใบและผล และ บางครงั้ เขา้ ไปอยใู่ นล�ำ ตน้ มหี ลายชนดิ ทเี่ ปน็ ศตั รขู องพชื ตา่ งๆ เชน่ หนอนกอสชี มพู หนอน กระทู้กลา้ ขา้ ว บางชนดิ มีลกั ษณะเปน็ หนอนคบื เชน่ หนอนคบื กะหล�ำ่ ปลี หนอนคบื ละหุ่ง บางชนดิ ท�ำ ลายรากพชื ตา่ งๆ หนอนกระทเู้ หลา่ นม้ี นี สิ ยั ออกหากนิ ในเวลากลางคนื และจะ หลบซอ่ นตวั อยู่ตามใตก้ อ้ นหนิ ดนิ หรือใตด้ นิ ตามโคนต้นพืชในเวลากลางวัน ผเี สื้อกลางคนื ในหบุ เขาลำ�พญา
ภาพที่ 38 เสน้ ปีกของผเี ส้อื วงศน์ อคทูอิด้ี 29 วงศ์โนโตดอนทิดี้ (Family Notodontidae) หรือผเี ส้ือปกี ปม (Prominents) เป็นผเี สือ้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำ�ตวั อ้วน ป้อม ปกคลุมด้วยขนและเกลด็ ปกี ไม่กว้าง มากแตแ่ ข็งแรง มุมปีกด้านล่างยื่นไม่ถงึ ปลายของส่วนทอ้ ง เส้นปีกมเี ดยี 2 (M2) ของปีก หนา้ อย่หู ่างจากเสน้ เรเดยี ส (R) พอๆ กบั เส้นควิ บติ ัส (Cu) เส้นคิวบิตสั มีลกั ษณะคล้ายกับ มี 3 เส้น เสน้ สบั คอสต้า+เรเดียส 1 (Sc+R1) และเรเดยี ส เซคเตอร์ (Rs) ของปกี หลังรวม กนั บางชนดิ ดา้ นล่าง ตรงกง่ึ กลางปกี มีมุมแหลมยน่ื ออกมา จึงไดช้ ่ือว่า “Prominents” แมลงเหลา่ นอี้ อกหากินในเวลากลางคนื มักชอบแสงไฟ ตัวหนอนกินใบพืชรวม ทั้งพืชต่างๆ ซ่ึงไม่ค่อยมีความสำ�คัญทางเศรษฐกิจเท่าใดนัก มี 2-3 ชนิดที่เป็นศัตรูของ ผลไม้ที่ปลกู เช่น ชนดิ ท่กี ินดอกเงาะ มะมว่ ง ลำ�ไย เปน็ ต้น ภาพท่ี 39 เสน้ ปีกของผีเสื้อวงศโ์ นโตดอนทิด้ี ผีเสือ้ กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
วงศ์ไซคิดี้ (Family Psychidae) หรือผเี สื้อหนอนปลอก (Bag-Worm Moths) ตัวหนอนของผเี ส้ือวงศน์ ี้อาศัยอยู่ในปลอก ซง่ึ ประกอบดว้ ยเศษไมแ้ ละเศษใบไม้ช้นิ เล็กๆ มกั ถกั กนั ดว้ ยเสน้ ใยตา่ งๆ และพาปลอกตดิ ตวั ไปดว้ ยไมว่ า่ จะเคลอื่ นไปทใี่ ด ตวั เตม็ วยั เพศผู้ และเพศเมียมีลักษณะไม่เหมือนกัน เพศผู้มีปีก มีเกล็ดคลุมลำ�ตัวบางๆ หรือไม่มีเลย ปกี ไมม่ รี อยจดุ หรอื รอยดา่ ง เสน้ ปกี แตกตา่ งกนั มากในแตล่ ะชนดิ ในวงศเ์ ดยี วกนั Labial palpi ส้นั มาก หนวดเปน็ แบบBipectinate Frenulum โตเปน็ พเิ ศษ สว่ นท้องเรยี วแหลมและมขี น เปน็ ใยทปี่ ลาย เพศเมยี ไมม่ ปี กี ไมม่ ขี าหรอื มแี ตส่ นั้ มากมลี กั ษณะคลา้ ยตวั หนอนมาก และ ไมอ่ อกจากปลอกแมจ้ ะเขา้ ดกั แดแ้ ลว้ กต็ าม ตรงปลายหางมเี กลด็ ลกั ษณะคลา้ ยขนปกคลมุ ตวั หนอนมอี กโต ขา 3 คู่ เหน็ ไดช้ ัดเจน สว่ นทอ้ งเรียวแหลมลงไป วงศ์น้ีพบแพร่หลายท่ัวโลก หลายชนิดมีความสำ�คัญทางเศรษฐกิจเน่ืองจาก ตัวหนอนกินใบพืชทป่ี ลูกตา่ งๆ เช่น มะขาม ชมพู่ มะพร้าว กล้วย จาก กระถนิ ณรงค์ บางคร้งั ท�ำ ให้ใบพชื เหล่านัน้ เหลอื แตโ่ ครงหรอื ก้านใบ 30 ภาพที่ 40 เส้นปกี ของผเี สื้อวงศ์ไซคิดี้ วงศเ์ ทอโรฟอรดิ ้ี (Family Pterophoridae) หรอื ผเี สอื้ ปกี แฉก (Plume Moths) เปน็ ผเี สอื้ ขนาดเลก็ ลำ�ตวั ยาว มกั มีสีเทา สขี าว หรือสีน�ำ้ ตาล ปีกแตกออกเป็น 2 หรอื 3 แฉก ไมม่ ีตาเดย่ี ว หนวดแบบ Filiform มขี าค่อนข้างยาว เปน็ ผีเสือ้ บนิ ไม่ค่อยเกง่ เมอื่ เกาะ พักปีกคู่หน้าและคู่หลังซ้อนติดกันอยู่ในแนวระนาบ อาจพบมาเล่นไฟในเวลากลางคืน ตวั หนอนมขี นาดเลก็ ชอนใบพชื เมอ่ื ตวั หนอนโตขนึ้ จะกดั กนิ ผวิ ใบ หรอื เจาะล�ำ ตน้ พชื ผเี สอ้ื ปีกแฉกพบแลว้ ราว 500 ชนิด ผีเส้อื กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ภาพที่ 41 เส้นปีกของผีเส้อื วงศ์เทอโรฟอริดี้ 31 วงศ์ไพราลลิด้ี (Family Pyralidae) หรือผีเสื้อหนอนกอ ผีเสื้อหนอน เจาะลำ�ต้น (Pyralids) สว่ นใหญเ่ ปน็ ผีเส้ือขนาดเล็ก ในเขตร้อนพบขนาดกลางและขนาด ใหญด่ ว้ ย ล�ำ ตวั คอ่ นขา้ งบอบบาง สว่ นหวั เหน็ ไดช้ ดั เจน มกั มตี าเดยี่ ว หนวดแบบ Filiform Labial Palpi ค่อนข้างยาว และยืน่ แหลมออกมาขา้ งหนา้ เปน็ สองง่าม จึงได้ชือ่ วา่ “Snout Moths” ปีกหน้ายาวเป็นรปู ค่อนไปทางสามเหลยี่ ม มีอานลั เวน (Anal Vein) 1 เส้น ปีกหลัง กว้าง ใหญ่ มีอานัลเวน 3 เส้น เสน้ สับคอสตา้ (Sc) และเรเดยี ส (R) ของปีกหลงั รวมกันเลย ดสิ คอล เซลล์ (Discal Cell) และแยกออกจากกันอีกตรงปลายเสน้ ซ่ึงเป็นลักษณะส�ำ คัญ ในการแยกผีเสื้อวงศ์นี้ ถึงแม้บางชนิดเส้นท้ังสองจะไม่รวมกันเสียท่ีเดียวก็ตามแต่ก็จัดอยู่ ในลักษณะเดยี วกนั วงศ์นี้จัดว่ามีความสำ�คัญทางเศรษฐกิจอย่างมาก มีหลายชนิดที่ตัวหนอนเจาะ เขา้ ไปอาศยั อยใู่ นลำ�ต้นธัญพืชตา่ งๆ เช่น ข้าว ขา้ วโพด ข้างฟา่ ง ฯลฯ บางชนดิ เป็นหนอน ม้วนใบ เช่น หนอนม้วนใบฝ้าย หรือเป็นศัตรูทำ�ลายในยุ้งฉางท่ีเก็บแป้งและเมล็ดพันธ์ุ เช่น พวก Meal Moth หรือบางชนิดกนิ ไขและเทียนไข เช่น Beemoth, Wax Moth ภาพที่ 42 เสน้ ปกี ของผีเสือ้ วงศไ์ พราลลดิ ี้ ผีเสื้อกลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา
วงศ์สทั เทอนนอิ ิด้ี (Family Saturniidae) หรือผีเส้ือยกั ษ์ (Giant Silk Worm Moths) เปน็ ผีเส้ือท่มี ขี นาดใหญท่ สี่ ดุ ในอนั ดับผีเสอื้ โดยมากมสี ฉี ูดฉาด และมลี ายเป็นวง คล้ายตาตรงกลางปีกท้ังสองข้าง ลำ�ตัวอ้วนป้อม มีขนปกคลุมหนา หนวดเป็นแบบ Bipectinate โดยในเพศผู้เหน็ ชดั เจนมากกว่าในเพศเมีย ปากไม่เจริญ ตวั แกไ่ มก่ ินอาหาร Palpi และ Maxillae สนั้ และเล็ก ปีกใหญแ่ ข็งแรง ฮวิ เมอรอล แองเกลิ (Humeral Angle) ของปีกหลงั ใหญแ่ ละมีรอ่ งแข็ง โดยมากมเี ส้นปกี มีเดยี 1 ทง้ั ปกี หน้าและปีกหลังติดกับเส้น เรเดียสโดยเส้นขวางปีก r-m ตัวหนอนมีขนาดโต โดยมากมีหนามหรือปุ่มขนาดต่างๆ ยื่นออกมาจากลำ�ตัว ผีเสื้อวงศ์น้ี 2-3 ชนิด นิยมเล้ียงเพื่อเอาเส้นไหม ซ่ึงจะได้ไหมเส้น หยาบ ขรขุ ระทอเป็นเส้อื ผ้าได้ทนกวา่ ไหมธรรมดา มีบางชนิดเปน็ ศตั รูส�ำ คญั ของพชื ปลกู เชน่ พวกทีก่ นิ กระทอ้ น มะกอก มะกอกฝรัง่ และใบไม้บางชนิด 32 ภาพท่ี 43 เสน้ ปีกของผเี ส้ือวงศ์สทั เทอนนิอดิ ี้ วงศเ์ สสอิ ดิ ้ี (Family Sesiidae) หรือผีเส้อื ปกี ใส (Clear Winged Moths) ผเี สอ้ื วงศน์ หี้ ลายชนดิ มลี กั ษณะคลา้ ยผง้ึ หรอื ตอ่ แตนมากกวา่ คลา้ ยผเี สอื้ เพราะมปี กี ใสและ บางครงั้ ก็มสี สี นั ฉูดฉาด ปกี ส่วนใหญ่ไมม่ ีเกล็ด ยกเวน้ ท่ีขอบปีกและเส้นปีก ลักษณะของ ปกี คูห่ น้าแคบ ยาว ปลายโปง่ จ�ำ นวนอานลั เวนสข์ องปีกคูห่ ลงั 2-4 ทงั้ เพศผ้แู ละเพศเมีย มี Frenulum Hook ลำ�ตัวมีขนาดกลาง หนวดยาวเรียว ปลายหนวดมีลักษณะเป็นใย บางพวกก็มหี นวดเป็นแบบ Pectinate ปลายท้อง มีขนเปน็ พแู่ บนคล้ายพดั ผเี สอื้ กลมุ่ นบี้ นิ ไดร้ วดเรว็ โดยเฉพาะในวนั ทม่ี แี ดดจดั ตวั หนอนเจาะตน้ ไมอ้ าศยั กดั กนิ ภายในเนอื้ ไม้ มบี างชนดิ เปน็ ศตั รสู �ำ คญั ของตน้ ผลไมต้ า่ งๆ เชน่ องนุ่ บางชนดิ ท�ำ ลาย เถาฟกั ท�ำ ให้พืชเหล่าน้ถี ึงตาย ตัวหนอนโดยมากไมม่ สี ี มขี นนอ้ ย ช่องหายใจของปลอ้ งท ่ี 8 โตกวา่ ปลอ้ งอนื่ ๆ และอยสู่ ูงกว่าชอ่ งหายใจของปลอ้ งอ่นื ๆ ผเี สอ้ื กลางคืนในหบุ เขาลำ�พญา
ภาพท่ี 44 เส้นปีกของผเี สือ้ วงศเ์ สสอิ ดิ ี้ วงศส์ ฟงิ ยดิ ้ี (Family Sphingidae) หรอื ผเี สอื้ เหยยี่ ว ผเี สอื้ หวั กะโหลก (Hawk Moths, Sphinxes) ผเี สอื้ ในวงศน์ สี้ งั เกตไดจ้ ากลกั ษณะของหวั จะเรยี ว ล�ำ ตวั อว้ นและเรยี ว แหลมไปทางหาง ปีกยาวแคบ และมีมุมปีกหน้าแหลม ปีกหลังเล็กส้ันกว่าปีกหน้ามาก เมอ่ื ซอ้ นกบั ปกี หนา้ จะเปน็ สามเหลย่ี ม หนวดหนาทตี่ รงกลางหรอื อาจจะไปถงึ ปลายซง่ึ บาง ครงั้ งอเปน็ ตะขอ ปากยาวมาก 33 ภาพท่ี 45 เสน้ ปกี ของผีเส้อื วงศ์สฟงิ ยิด้ี วงศไ์ ทรดิ ดิ ี้ (Family Thyrididae) เป็นผีเสือ้ ขนาดเลก็ ล�ำ ตัวส้ันป้อม มกั พบ ตาเดยี่ ว หนวดแบบ Filiform หรอื Pectinate มี Proboscis หรอื ไมม่ แี ตพ่ บนอ้ ยมาก Maxillary Palps สน้ั มี 1 หรอื 2 ปลอ้ ง Labial Palps สัน้ และโค้งมี 2 ปล้อง Tibia ของขาเพศผ ู้ และเพศเมยี มหี นาม 0-2-2, 0-2-3 หรือ 0-2-4 Tibia ของขาคหู่ ลงั ของเพศผู้ บางครง้ั พบวา่ มขี นเรยี งกนั เปน็ แผง ไมม่ อี วยั วะฟงั เสยี ง ผเี สอื้ วงศน์ สี้ ว่ นใหญพ่ บในเขตรอ้ นชน้ื หรอื ก่งึ รอ้ นชื้น ผเี ส้ือกลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ภาพท่ี 46 เสน้ ปีกของผีเสอื้ วงศไ์ ทรดิ ดิ ้ี วงศ์ไทเนอิด้ี (Family Tineidae) หรือผีเสื้อหนอนเจาะผ้า (Cloth Moths) เป็นผเี สอ้ื ขนาดเล็ก ส่วนหวั คลุมด้วยเกล็ดคล้ายขน ปากส้ันหรอื ไมม่ ปี าก Maxillary palpi ยาวและม้วน หนวดส้ันปีกคู่หนา้ คอ่ นขา้ งแคบและยาว มีเส้นปกี แบบโบราณ และอาจ หายไปบ้าง Tibia ของขาหลงั มขี นคลมุ แมลงในวงศน์ ม้ี ีหลายชนดิ ที่ตัวหนอนเจาะเส้ือผ้า กินเสน้ ใยตา่ งๆ เชน่ ขนสตั ว์ ไหม พรม ท�ำ ใหข้ าดเป็นรอยหรอื เป็นรพู รุน ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจทลี ะมากๆ บางชนิดเปน็ ศตั รสู ำ�คญั ของเมล็ดพชื และแป้ง อาหารท่เี กบ็ ในโกดงั ย้งุ ฉาง หรอื ตามบ้าน เรือน ตัวหนอนอาจจะอยู่ในปลอก ท่อเล็กๆ หรือไม่มีอะไรห่อหุ้มก็ได้ บางชนิดทำ�ลาย พชื ปลกู บางชนดิ กนิ วตั ถุทีต่ ายแล้วเปน็ อาหาร 34 ภาพท่ี 47 เส้นปีกของผีเสื้อวงศไ์ ทเนอิด้ี วงศท์ อทรซิ ดิ ี้ (Family Tortricidae) หรือผเี สอื้ หนอนม้วนใบ (Leaf Rollers) เป็นผีเส้ือขนาดเล็ก ฐานของเส้นคิวบิตัส (Cu) ไม่มีขนยาวเป็นแผงย่ืนออกมา โคนเส้น อานลั เวนส์ท่ี 1 (1A) เหน็ ได้ชัด และเสน้ ควิ บิตสั 2 (Cu2) ย่นื ออกมาจากจดุ ก่อนถงึ ¼ ของ ปลายดสิ คอล เซลล์ (Discal Cell) ผเี ส้ือเหล่านี้มกั จะมสี เี ทา เทาออ่ น น�ำ้ ตาลและมีลายจุด ผีเสือ้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
หรอื รอยดา่ งบนปกี ปกี มปี ลายคลา้ ยถกู ตดั เปน็ มมุ ฉาก และเมอื่ พกั อยกู่ บั ทจี่ ะหบุ ปกี คลา้ ย รูปหลังคา ตัวหนอนของแมลงในวงศ์นี้มีนิสัยต่างๆ กัน มีหลายชนิดท่ีเป็นหนอนม้วนใบ หรอื ห่อ เปน็ ศตั รูสำ�คัญของสม้ กระท้อน และผลไม้อนื่ ๆ โดยกัดกินใบพืชเปน็ อาหาร ภาพที่ 48 เสน้ ปีกของผเี ส้ือวงศท์ อทริซิด้ี 35 ผเี สื้อวงศย์ ูรานอิ ดิ ้ี (Family Uraniidae) หรอื ผเี สอ้ื คา้ งคาว เป็นผีเสอื้ ทมี่ ขี นาด เลก็ ถึงขนาดใหญ่ ปีกไมม่ ี Frenulum แต่มี Humeral Angle มี Anal vein 1 เส้น เพศเมียมี อวยั วะฟังเสียงท่ที อ้ งปล้องที่ 3 โดยมีแผน่ แขง็ ของท้องปล้องท่ี 2 ยื่นมาปดิ ออกหากนิ ใน เวลากลางคนื ภาพที่ 49 เส้นปีกของผเี สื้อวงศย์ รู านิอดิ ้ี ผเี ส้ือกลางคนื ในหบุ เขาล�ำ พญา
วงศอ์ โี ปโนมทู ดิ ้ี (Family Yponomeutidae) หรอื ผเี สอื้ ลายจดุ (Ermine Moths) ผีเสื้อที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง ปีกแคบ ปีกมักมีลวดลาย สีสดใส ตัวหนอนกินใบพืช หลายชนิด ชอนใบพชื หรืออาศยั ในเสน้ ใยท่สี ร้างขนึ้ แลว้ กดั กนิ ใบพืช ผเี ส้ือในวงศน์ ้ีเป็นท่ี รู้จักกันดีท่ัวโลก คอื ผเี สื้อหนอนใยผกั (Plutella xyloatella) เป็นแมลงศตั รทู ีส่ �ำ คญั ทีส่ ดุ ของ พชื ผักตระกลู กะหลำ่� โดยตวั หนอนจะกัดกินใบผักเปน็ รูพรนุ สรา้ งความเสยี หายรุนแรงแก่ พชื ผกั ท่ีปลูก ภาพท่ี 50 เสน้ ปกี ของผีเส้ือวงศ์อีโปโนมทู ิดี้ วงศ์ไซเกนิด้ี (Family Zygaenidae) หรือผีเสื้อรมควัน (Smoky Moths) Burnets และ Foresters เป็นผีเสื้อที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง สีเทา หรือดำ� บางชนิด มลี วดลายสสี นั สดใสคลา้ ยผเี สอื้ กลางวนั ตาเดย่ี วอาจจะมหี รอื ไมม่ กี ไ็ ด ้ มหี นวดหลายแบบ 36 เชน่ Filiform, Serrate, Bipectinate หรือ Clubbed ผเี สอ้ื ในวงศน์ ดี้ ดู กนิ น�ำ้ หวานในเวลา กลางวัน ตวั หนอนกนิ ใบพชื เปน็ อาหาร ภาพที่ 51 เส้นปีกของผเี สอื้ วงศไ์ ซเกนิดี้ ผีเสือ้ กลางคนื ในหุบเขาลำ�พญา
ผเี สอ้ื กลางคนื ในหุบเขาล�ำ พญา ผีเสอื้ กลางคนื ในหุบเขาล�ำ พญา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130