Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาการอ่านของนักเรียน โดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นำต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นักเรียนมีสุข”

การพัฒนาการอ่านของนักเรียน โดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นำต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นักเรียนมีสุข”

Published by ครูนิด คิดเลข, 2020-12-23 05:10:30

Description: การพัฒนาการอ่านของนักเรียน
โดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นำต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นักเรียนมีสุข”

Search

Read the Text Version

การพัฒนาการอ่านของนักเรียน โดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ข้อ นาตอ่ ด้วย 3 ความดพี น้ื ฐาน สานให้นกั เรยี นมสี ขุ ” ของนกั เรียนระดับชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1-6 โรงเรยี นอนุบาลชุมชนหนองบวั แดง นายขันทอง เดน่ พันธ์ ผอู้ านวยการโรงเรยี นอนุบาลชุมชนหนองบัวแดง โรงเรียนอนุบาลชมุ ชนหนองบวั แดง ตาบลหนองบวั แดง อาเภอหนองบัวแดง จงั หวดั ชัยภมู ิ สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชยั ภมู ิ เขต 1 กระทรวงศึกษาธกิ าร

กติ ตกิ รรมประกาศ วิจัยฉบบั น้ีสำเร็จสมบูรณไ์ ด้ด้วยควำมสำมัคคแี ละควำมร่วมมอื จำกคณะครูโรงเรียนอนุบำลชุมชน หนองบัวแดง ท่ีได้กรุณำให้คำปรึกษำท่เี ป็นประโยชน์ ตลอดจนเสยี สละเวลำในกำรตรวจสอบและให้ คำแนะนำในกำรแก้ไขข้อบกพรอ่ งตำ่ งๆ จนวิจยั สำเร็จอย่ำงมคี ณุ ภำพ ผู้วจิ ยั ขอกรำบขอบพระคุณเป็นอย่ำง สงู มำ ณ โอกำสน้ี ขอขอบพระคุณผ้ทู รงคุณวุฒทิ ้งั 5 ท่ำน ท่ีกรุณำใหค้ วำมอนเุ ครำะหเ์ ปน็ ผู้เชย่ี วชำญในกำร ตรวจสอบและให้คำแนะนำในกำรพัฒนำเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นกำรวิจยั ครั้งนใ้ี หม้ ปี ระสิทธิภำพยิ่งขึ้น ขอขอบคุณ รองผู้อำนวยกำรโรงเรียน และคณะครูโรงเรียนอนุบำลชุมชนหนองบัวแดง ท่ีให้ควำมอนุเครำะห์และ อำนวยควำมสะดวกในกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลวจิ ัย และขอขอบใจนกั เรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษำปีที่ 1-6 โรงเรยี นอนุบำลชุมชนหนองบัวแดง ท่ีใหค้ วำมร่วมมอื ผู้วิจัยในกำรเข้ำรว่ มกิจกรรมทผ่ี ู้วิจัยพฒั นำขึ้น ส่งผล ใหก้ ำรวิจยั ครัง้ น้ีสำเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดี ขอนอ้ มรำลึกถึง อำนำจบำรมขี องคุณพระศรีรัตนตรัย บิดำมำรดำ และครอู ำจำรยอ์ นั เปน็ ท่ีพ่ึงให้ ผวู้ จิ ัยมีสมำธิและสติปัญญำนำมำส่คู วำมสำเร็จในกำรจัดทำวิทยำนิพนธ์ฉบบั น้ี คณุ ค่ำและประโยชน์ของ วทิ ยำนพิ นธ์ฉบบั น้ี ผวู้ จิ ัยขอมอบเป็นเคร่อื งบชู ำคณุ พระศรีรตั นตรยั บิดำมำรดำ ครอู ำจำรย์ เพือ่ นรว่ มงำน และผมู้ ีพระคุณ ท่ใี หก้ ำรสนบั สนุนและประสิทธปิ์ ระสำทวิชำควำมรู้ ตลอดจนเปน็ กำลังใจดว้ ยดีเสมอมำ ทำให้ผูว้ ิจยั ประสบควำมสำเรจ็ ในกำรศึกษำครั้งนี้ ขันทอง เดน่ พนั ธ์

ก ชื่อเรอ่ื ง การพฒั นาการส่งเสริมการอ่านของนักเรยี นโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาต่อดว้ ย 3 ความดี พื้นฐาน สานใหน้ ักเรยี นมสี ุข” ผู้ศกึ ษา นายขันทอง เดน่ พันธ์ หน่วยงาน โรงเรยี นอนบุ าลชมุ ชนหนองบัวแดง ปีการศึกษา 2562 บทคดั ย่อ การวิจยั คร้ังนีม้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนโรงเรยี นอนุบาลชุมชน หนองบวั แดงที่มตี ่อการพฒั นาและสง่ เสริมการอา่ นของนักเรยี นโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความ ดพี นื้ ฐาน สานใหน้ ักเรียนมสี ุข” 2) เพ่อื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรยี นโรงเรยี นอนบุ าลชุมชนหนองบวั แดง ทม่ี ตี อ่ การพัฒนาและสง่ เสริมการอ่านของนักเรยี นโดยใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สาน ใหน้ ักเรยี นมีสขุ ” ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวจิ ัย คือ นกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 – 6 โรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบวั แดง อาเภอหนองบัวแดง จังหวดั ชยั ภูมิ ปีการศึกษา 2562 จานวน 1,040 คน เครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจัย ประกอบด้วย กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านของนักเรียน โดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นกั เรียนมสี ุข” ซ่ึงมดี งั น้ี 1) กิจกรรมภาษาไทยวันละคา 2) กิจกรรม ภาษาองั กฤษวันละคา 3) กิจกรรมปุจฉา วสิ ชั นา 4) กจิ กรรมหนงั สอื เล่มเลก็ 5) กิจกรรมต้นไมพ้ ูดได้ 6) กจิ กรรมเสยี งตามสาย 7) กจิ กรรม “ถนนคนอ่าน” 8) กจิ กรรมพสี่ อนน้องเพ่ือนชว่ ยเพ่อื น 9) กจิ กรรม ครอบครวั รกั การอา่ น 10) กิจกรรมผ้าป่าคา นาอา่ น 11) กจิ กรรมสวนสภุ าษติ 12) กิจกรรมนกั ขา่ วรนุ่ เยาว์ 13) กจิ กรรมธนาคารออมคา 14) กิจกรรมบันทกึ รักการอ่าน 15) กิจกรรมตะกร้าพาเพลิน 16) กจิ กรรม ยอดนักอ่าน และ17) กิจกรรมเล่านิทานหรรษา แบบสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนโรงเรยี นอนุบาลชุมชน หนองบัวแดง ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1-6 ทม่ี ตี ่อการพฒั นาและสง่ เสริมการอา่ นของนักเรยี นโดยใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นาต่อด้วย 3 ความดพี น้ื ฐาน สานให้นักเรียนมีสขุ ” และแบบประเมินความพงึ พอใจของ นักเรยี นต่อการจดั กจิ กรรมการพฒั นาและส่งเสริมการอา่ นของนกั เรียนโดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดีพ้นื ฐาน สานใหน้ ักเรียนมสี ขุ ”สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) พฤตกิ รรมระดับการปฏบิ ัติกจิ กรรมการพฒั นาและสง่ เสริมการอ่านของ นักเรียนโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ข้อ นาต่อดว้ ย 3 ความดพี ้ืนฐาน สานใหน้ กั เรียนมีสขุ ” ของนักเรยี นชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 1-6 ปีการศึกษา 2562 มพี ฤติกรรมระดบั การปฏิบตั ิ ระดับ มาก สอดคลอ้ งกับสมมติฐาน ที่ตง้ั ไว้ 2) ความพงึ พอใจตอ่ การกิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมการอ่านโดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นักเรียนมสี ุข” ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-6 หลงั การจัดกจิ กรรมการ พัฒนาและสง่ เสริมการอา่ นของนักเรียนโดยใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นาต่อดว้ ย 3 ความดีพ้ืนฐาน สานใหน้ ักเรียน มสี ขุ ” มคี วามพงึ พอใจต่อการจัดกจิ กรรมในระดบั มาก สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านที่ต้ังไว้

(2) หน้า (1) สารบญั (2) (5) บทคดั ย่อ (6) สารบัญ 7 สารบญั ตาราง 7 สารบัญภาพ 12 บทที่ 1 บทนา 12 12 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 13 1.2 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั 15 1.3 สมมตฐิ านการวิจยั 15 1.4 ขอบเขตการวิจัย 16 1.5 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 16 1.6 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 17 1.7 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ 18 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง 22 2.1 การสง่ เสริมนสิ ัยรกั การอา่ น 30 41 2.1.1 ความหมายของนสิ ยั รักการอา่ น 45 2.1.2 การสร้างนสิ ัยรักการอา่ น 45 2.1.3 การส่งเสริมนสิ ัยรกั การอ่านในประเทศและต่างประเทศ 51 2.1.4 ปจั จยั ทมี่ ีผลตอ่ การส่งเสริมนิสัยรกั การอ่าน 54 2.1.5 ปญั หานสิ ยั รักการอา่ น 60 2.2 การจดั กิจกรรมสง่ เสริมนสิ ยั รักการอา่ น 62 2.2.1 ลกั ษณะของกิจกรรมสง่ เสริมนิสัยรกั การอา่ น 64 2.2.2 การสรา้ งบรรยากาศและส่ิงแวดล้อม 64 2.2.3 แนวคดิ และทฤษฎีทีใ่ ชใ้ นการจัดกิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่าน 65 2.2.4 สภาพปัญหาการจัดกจิ กรรมสง่ เสริมนสิ ยั รกั การอ่าน 2.3 คุณธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง 2.4.1 งานวจิ ัยในประเทศ 2.4.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ

(3) สารบัญ (ตอ่ ) บทที่ 3 วิธดี าเนนิ การวิจัย หนา้ 3.1 การกาหนดประชากร 67 67 3.2 การสร้างเครื่องมอื ในการวจิ ยั 67 70 3.3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 70 3.4 การวิเคราะหข์ ้อมลู 73 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 73 ตอนท่ี 1 ผลการศกึ ษาพฤติกรรมของนกั เรยี นโรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบวั แดงที่มี 74 ต่อการพฒั นาและส่งเสริมการอ่านของนกั เรยี นโดยใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นา ตอ่ ดว้ ย 3 ความดีพ้ืนฐาน สานใหน้ กั เรยี นมีสขุ ” 76 ตอนที่ 2 ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นโรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบัวแดง 76 ท่มี ตี อ่ การพฒั นาและส่งเสริมการอา่ นของนกั เรยี นโดยใช้ คุณธรรม 8 ขอ้ นา 76 ตอ่ ด้วย 3 ความดีพน้ื ฐานสานใหน้ ักเรยี นมสี ขุ 76 บทท่ี 5 สรุปผลการวิจยั อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 78 5.1 วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 78 5.2 สมมตฐิ านการวจิ ยั 78 80 5.3 วิธีดาเนินการวิจัย 82 5.4 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 5.5 สรุปผลการวิจัย 90 5.6 การอภิปรายผล 92 5.7 ขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายนามผูท้ รงคณุ วุฒิ ภาคผนวก ข แบบสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนโรงเรียนอนบุ าลชุมชนหนองบวั แดง ระดับชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1-6 ทม่ี ตี อ่ การพัฒนาและส่งเสริมการอา่ น ของนกั เรียนโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ด้วย 3 ความดพี ้นื ฐาน สาน ใหน้ กั เรียนมสี ขุ ”

(4) หนา้ 95 สารบญั (ตอ่ ) 92 ภาคผนวก ค แบบประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี นต่อการจดั กจิ กรรมการพัฒนา และสง่ เสรมิ การอ่านนกั เรียนของนกั เรยี นโดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดีพืน้ ฐาน สานให้นักเรียนมสี ุข” ภาคผนวก ง ภาพการเก็บข้อมลู การวจิ ัย ประวตั ผิ เู้ ขียน

(5) หนา้ 73 สารบัญตาราง 75 ตารางที่ 4.1 ค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานการสงั เกตพฤติกรรมกจิ กรรมใน ภาพรวม ตารางที่ 4.2 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานความพึง พอใจตอ่ กิจกรรมการ พฒั นาการสง่ เสรมิ การอา่ นของนกั เรยี นโดยใช้ คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความดพี นื้ ฐาน สานใหน้ ักเรยี นมสี ุข

(6) สารบญั ภาพ หนา้ 15 ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 55 ภาพที่ 2.1 ปริ ามิดแสดงลาดบั ขน้ั ความตอ้ งการตามแนวคิดของมาสโลว์ 7 สาดับขัน้ ภาพที่ 2.2 ทฤษฎีการเรยี นรู้ของ Bloom (Bloom's Taxonomy) 56 ภาพท่ี 2.3 Taxonomy of Educational objectives 56

7 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ในมาตรา 24 (3) ได้ระบไุ วว้ ่า การจดั กระบวนการเรยี นรู้ในสถานศึกษา และหนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องจัดกจิ กรรมให้ผู้เรียน รกั การ อา่ นและเกดิ การใฝ่รู้อย่างต่อเน่อื ง รวมท้ังสง่ เสรมิ สนบั สนุนให้ผ้สู อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สื่อการเรยี น และอานวยความสะดวกเพ่ือใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรแู้ ละมคี วามรอบรู้ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2546 : 2 - 12) การเรียนร้อู ย่างตอ่ เน่ืองตลอดชีวิตจะเกิดขึ้นได้ นักเรียนต้องมีนิสัยรักการอ่าน จะทาให้ นักเรียนและมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามแนวการจัดการศึกษาในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ทีย่ ึดหลักว่า ผูเ้ รยี นทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ถอื ว่าผู้เรยี นสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเตม็ ตามศักยภาพ โดยจัด เน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ ผเู้ รียน โดยคานึงถึงความแตกตา่ ง ระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และนาความรมู้ าใช้แก้ปัญหา การเรยี นรู้จากประสบการณ์จริง สถานศึกษาควรจัดการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมบรู ณาการองคค์ วามรู้ ต่างๆ ท่ีเก้ือกูล ส่งเสริมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการอ่านในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้าง ประสิทธิภาพในการเรียน คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2549 : 10) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยมรี ับสงั่ ถึงเหตจุ ูงใจในการอา่ นหนังสือของ พระองค์ท่านว่า โชคดีทเ่ี กิดในครอบครัวที่รกั การอา่ น สามารถหาหนังสอื อ่านได้ และถกู ฝกึ มาตั้งแต่ทรงพระ เยาว์ ให้รักการอ่านและรจู้ ักค้นคว้า และที่ทรงรักการอ่านจนถึงทุกวันน้ี เน่ืองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯบรม ราชินีนาถทรงอ่านให้ฟังมาแต่ทรงพระเยาว์ และย่ิงอ่านมาก ยงิ่ รู้มาก เกิดแรงบันดาลใจและทัศนคติที่ เหมาะสม เกิดความคิดสรา้ งสรรค์อนั ก่อให้เกิดนวตั กรรมใหมน่ อกจากนีย้ ังก่อให้เกิดคุณธรรมเกดิ ความชื่นชม ในความร้ทู ี่ได้จากการอา่ นอันเป็นเหตใุ หเ้ กิดนิสยั รกั การอา่ น (วราภรณ์ สามโกเศศ. 2554) การอ่านหนังสอื เป็นตัวช้ีวดั สาคัญของความเป็นคนและความเจริญของสงั คม เพราะสังคมการอ่าน คือสงั คมแหง่ การท่ีช่วยใหส้ งั คมมีความเข้มแขง็ และเจริญก้าวหน้า และช่วยพัฒนาความคดิ ให้กา้ วไกลรอบด้าน เป็นเหตเุ ป็นผลมากข้ึน ถ้าเด็กและเยาวชนได้รับการบม่ เพาะใหร้ ักหนงั สือและรักการอา่ นทเ่ี หมาะสมต้ังแต่ เยาว์วยั จะทาให้มนี ิสัยรักการอ่าน นาไปสกู่ ารพัฒนาความคิดและพฤติกรรมการเรียนรู้ ดงั นัน้ จึงมกี ารส่งเสริม ใหม้ กี ารดาเนินการอย่างต่อเนือ่ ง ใหก้ ลายเป็นวฒั นธรรมการอ่านและสร้างสังคมให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (กระทรวงวฒั นธรรม. 2552) และการอ่านเป็นรากฐานสาคัญของการศึกษา ช่วยในการพฒั นาและแก้ปัญหา สังคม โดยนาความรู้ที่ไดจ้ ากการอ่านมาใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์แกส่ ังคมส่วนรวม และประสบการณ์ทไ่ี ด้จากการ อา่ นช่วยให้เข้าใจและอยู่ร่วมกันอยา่ งมคี วามสุข (อัจฉรา ประดิษฐ์. 2550 : 19)

8 การอ่านเป็นสิง่ ทีส่ าคัญทส่ี ุดในการแสวงหาความรขู้ องคนทุกเพศทุกวยั จากสังคมโลกในปจั จุบันเป็น สังคมแหง่ การเรยี นรู้และการแข่งขัน การอ่านจงึ เป็นวิธีการที่จะช่วยให้คนได้รับความรขู้ ้อมูลข่าวสาร และ แนวคิดใหม่ ๆ อันจะเปน็ การพัฒนาตนเองและรจู้ ักปรับตัวให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ประเทศไทยต้อง ตระหนกั ถงึ ความสาคัญและให้การสง่ เสรมิ สนบั สนุนการอา่ นอย่างต่อเน่อื งอกี ท้ังต้องมีหน่วยงานทกุ ภาคสว่ น ร่วมกันชว่ ยจดั กจิ กรรมและรณรงค์ส่งเสริมการอ่าน อกี ส่วนหน่ึงรัฐบาลไดก้ าหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษา ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และเชอ่ื มโยงแผนการศึกษา ชาติ พ.ศ. 2560-2579 แผนแมบ่ ทส่งเสริมวฒั นธรรมการอ่านสู่สงั คมแห่งการเรียนรขู้ องไทย พ.ศ. 2560-2564 ทงั้ นีม้ ุง่ เพอ่ื แก้ปญั หาเรอ่ื งคณุ ภาพ โอกาสและประสิทธภิ าพในการจัดการศึกษาเพอื่ ตอบสนองต่อความตอ้ งการ ของประเทศ โดยให้มคี วามเชื่อมโยงและส่งผลดีตอ่ การพัฒนาประเทศด้านตา่ ง ๆ อย่างต่อเนือ่ ง (ประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา, 2561) ความสอดคล้องของยทุ ธศาสตร์เชื่อมโยงระหว่างแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 กับแผนการ ศึกษาแหง่ ชาติ การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ใน เป้าหมายข้อ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทกุ ช่วงวยั และการสร้างสงั คมแห่งการเรียนรู้ และข้อ 5 การจัดการ ศกึ ษาเพอื่ สร้างเสริมคุณภาพชีวติ ท่ีเป็นมิตรกับสิง่ แวดล้อมตามยทุ ธศาสตร์ท่ี 3 ผเู้ รยี นมีทักษะและคุณลักษณะ พนื้ ฐานของพลเมืองไทยและทกั ษะและคุณลักษณะทจี่ าเปน็ ในศตวรรษที่ 21 โดยมีการพัฒนาส่งเสริมสนบั สนุน ใหค้ นทุกชว่ งวัย มที ักษะความรคู้ วามสามารถ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเหมาะสม เต็มตามศักยภาพใน แตล่ ะช่วงวยั ส่งเสริมและพฒั นาแหล่งเรียนรู้ สื่อตาราเรยี น และสื่อการเรยี นร้ตู ่าง ๆ ใหม้ ีคณุ ภาพ มาตรฐาน และประชาชนสามารถเข้าถงึ แหล่งเรียนรู้ไดโ้ ดยไมจ่ ้ากัดเวลาและสถานที่ สรา้ งเสรมิ และปรับเปลี่ยนค่านยิ ม ของคนไทยใหม้ ีวนิ ยั จิตสาธารณะ และพฤติกรรมท่พี ึงประสงค์ พฒั นาระบบและกลไกการตดิ ตาม การวดั และ ประเมินผลผเู้ รียนให้มีประสิทธภิ าพ พัฒนาคลังข้อมูล สือ่ และนวัตกรรมการเรียนรู้ ท่ีมีคณุ ภาพและมาตรฐาน พฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการผลติ ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และพัฒนาคุณภาพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 5 ว่าดว้ ยเรื่องการจัดการศกึ ษาเพอ่ื สร้างเสริมคณุ ภาพชีวติ ท่เี ป็น มิตรกับสิ่งแวดลอ้ ม โดยมีเป้าหมายให้คนทุกช่วงวยั มีจิตสานึกรักษ์สิ่งแวดลอ้ ม มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และนา แนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงส่กู ารปฏิบัติ โดยมีแนวทางการพัฒนาส่งเสรมิ สนับสนนุ การ สรา้ งจิตสานึกรกั ษ์ส่ิงแวดล้อม มคี ุณธรรม จริยธรรม และนาแนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสู่ การปฏิบัติในการดาเนินชีวิต ส่งเสรมิ และพฒั นาหลกั สตู ร กระบวนการเรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ และสอ่ื การเรยี นรู้ ต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ งกับการสร้างเสริมคณุ ภาพชีวติ ท่ีเปน็ มติ รกับสง่ิ แวดล้อม และพฒั นาองค์ความรู้ งานวจิ ัย และ นวัตกรรมดา้ นการสรา้ งเสรมิ คณุ ภาพชีวิตทเี่ ปน็ มิตรกับส่ิงแวดลอ้ ม เป็นตน้ จากนโยบายของแผนยุทธศาสตร์ของประเทศทาใหร้ ัฐบาลต้องเล็งเห็นความสาคัญของการอา่ นทีเ่ ป็น ทกั ษะสาคัญอย่างย่งิ ตลอดชีวิตของคนทุกคน ความสามารถในการอา่ นมีควา มสมั พนั ธ์กบั ความสาเร็จในการ เรยี นรู้ของทุกคนและนาไปสู่การแสวงหาความรู้ตลอดชวี ิต “การอา่ น” ยังก่อเกดิ ตอ่ การวางรากฐานของการ คดิ การวเิ คราะห์ การสร้างจินตนาการ รวมถงึ การรจู้ ักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในวยั เติบโต ซึ่งจากความเห็นของ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ไดก้ ลา่ วไว้ว่า “สังคมใดทีม่ ีการอ่านนอ้ ย เม่ือเกิดเร่ืองท่ี ซับซ้อนก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ เมือ่ ไม่เขา้ ใจกจ็ ะไม่สามารถเผชญิ กับปญั หาต่าง ๆ ที่เกดิ ข้ึนได้ แกไ้ ม่ได้ทาให้

9 สังคมตดิ ขัด และเกิดวิกฤติขึน้ เร่ือย ๆ การสร้างวัฒนธรรมการอา่ นจึงเป็นเร่ืองเรง่ ด่วนของสงั คมไทย”(ฉัตรชัย นาดี, 2558) การพัฒนาดา้ นการอา่ นจะตอ้ งเร่มิ ตัง้ แต่ในวัยเด็ก ส่วนใหญ่ในเด็กระดับปฐมวัยจะเป็นการเตรียม ความพร้อมด้านการอ่านซ่ึงผู้ท่ีใกล้ชิดเด็กอาจจะฝึกให้เด็กคุ้นเคยกบั ตวั อกั ษร เสียงของตัวอักษร สาหรับ ระดบั ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษาจะกาหนดไวใ้ นหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทยโดยให้ความสาคญั การพฒั นาทกั ษะภาษาไทย ซงึ่ เป็นทกั ษะทตี่ ้องฝึกฝนจนเกิด ความชานาญในการใชภ้ าษา เพื่อการส่ือสารการเรยี นร้อู ย่างมีประสิทธภิ าพและเพื่อนาไปใชใ้ นชวี ติ จริง ดว้ ย การกาหนดด้านการอา่ นไว้วา่ เนน้ การอ่านออกเสยี ง คา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คาประพันธ์ชนิด ต่างๆ การอา่ นในใจเพือ่ สร้างความเขา้ ใจและการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ความร้จู ากสงิ่ ที่อ่านเพ่ือนาไปปรบั ใช้ ในชีวติ ประจาวัน (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551) นอกจากนี้ในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ยังกาหนดคุณภาพผูเ้ รยี นใน แตล่ ะระดับช้ันไวอ้ ีกด้วยโดยกาหนดไว้วา่ เมอ่ื เด็กจบระดับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 จะต้องมีความสามารถด้าน การอ่านออกเสียงคา คาคลอ้ งจอง ขอ้ ความเรือ่ งส้นั ๆ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ถูกตอ้ งคลอ่ งแคล่ว เข้าใจ ความหมายของคาและขอ้ ความท่อี ่าน ตง้ั คาถามเชงิ เหตุผล ลาดบั เหตุการณ์ คาดคะเนเหตุการณ์ สรุป ความรแู้ ละข้อคดิ จากเร่ืองท่ีอ่าน ปฏิบัตติ ามคาส่งั คาอธิบายจากเรื่องที่อ่านได้ เข้าใจความหมายของข้อมูล จากแผนภาพ แผนที่และแผนภูมิ อา่ นหนงั สอื อย่างสม่าเสมอและมีมารยาทในการอ่าน เม่ือเดก็ จบระดับชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 6 จะต้องมีความสามารถอ่านออกเสียง บทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรองเปน็ ทานองเสนาะได้ ถูกต้อง อธบิ ายความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคา ประโยค ข้อความ สานวนโวหารจากเร่อื ง ที่อา่ น เข้าใจคา แนะนาคาอธบิ ายในคมู่ ือต่างๆ แยกแยะข้อคดิ เห็นและข้อเท็จจริงรวมทง้ั จบั ใจความสาคัญ ของเรอ่ื งท่ีอ่าน และนาความรูค้ วามคิดจากเรอ่ื งที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตได้มีมารยาทและ มนี สิ ัยรักการอ่านและเห็นคุณคา่ ส่งิ ท่ีอ่าน เมือ่ เด็กจบระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 จะต้องมีความสามารถอ่าน ออกเสียง บทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทานองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนยั จับใจความสาคัญและรายละเอียดของสง่ิ ท่ีอ่าน แสดงความคดิ เห็นและข้อโต้แยง้ เกี่ยวกับ เรื่องท่อี ่าน และเขยี นกรอบแนวคดิ แผนผงั ย่อความ เขียนรายงานจากส่ิงท่ีอ่านได้ วิเคราะห์วิจารณ์อยา่ งมี เหตผุ ล ลาดบั ความอยา่ งมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรอื่ งท่ีอ่านรวมท้ังประเมนิ ความถูกตอ้ งของข้อมลู ที่ ใช้สนบั สนุนจากเรอื่ งทอี่ า่ น และเมื่อเด็กจบระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 จะต้องมีความสามารถอ่านออกเสยี ง บทรอ้ ยแก้วและบทร้อยกรองเปน็ ทานองเสนาะได้ถกู ต้องและเข้าใจ ตีความ แปลความและขยายความเรื่องที่ อ่านได้ วิเคราะห์วิจารณ์เรือ่ งท่ีอ่าน แสดงความคิดเห็นโตแ้ ยง้ และเสนอความคิดใหม่จากการอ่านอยา่ งมี เหตผุ ล คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเร่อื งที่อ่าน เขียนกรอบแนวคดิ ผงั ความคิด บันทึกยอ่ ความและเขียนรายงาน จากส่ิงท่ีอ่าน สังเคราะห์ประเมินค่าและนาความรู้ความคิดจากการอ่านมาพัฒนาตนพัฒนาการเรยี นและ พฒั นาความรู้ทางอาชีพและนาความรคู้ วามคดิ ไปประยกุ ตใ์ ช้แกป้ ญั หาในการดาเนนิ ชีวิต มมี ารยาทและมนี สิ ัย รกั การอา่ น (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551) จากการศกึ ษานโยบายดา้ นการศึกษาของประเทศไทย พบวา่ มงุ่ เน้นใหค้ วามสาคญั กบั สมรรถนะดา้ น การอ่านโดยเมอื่ พิจารณาแนวปฏิบัติ เกีย่ วกบั การอ่านพบวา่ คณะรัฐมนตรีมมี ติให้การอ่านเป็นวาระแหง่ ชาติ

10 ในปี พ.ศ. 2552-2561 เพ่ือปลูกฝังการอ่า นและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างย่ังยืน (สา นักเลขาธิกา ร คณะรัฐมนตรี. 2552: ออนไลน์ ) สาหรับหน่วยงานทร่ี บั ผิดชอบด้านการศกึ ษา ไดแ้ ก่ กระทรวงศึกษาธกิ ารได้ กาหนดแนวทางการดาเนินงานพัฒนาด้านการอ่านอยา่ งต่อเนอ่ื ง โดยให้สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาและ สถานศึกษาซ่งึ เปน็ หน่วยงานในสังกดั เร่งรัด ส่งเสรมิ และพัฒนาเพ่อื ยกระดบั คุณภาพด้านการอ่าน โดยใหม้ ีการ จัดกิจกรรมหรือโครงการเพอ่ื สง่ เสริมและพัฒนาการอ่านการเขียนของนักเรียน การจัดทาข้อมูลการอา่ นของ นักเรียนเป็นรายบคุ คล การพัฒนาและปรับปรุงหนังสือเรียนหนังสืออา่ นเพิ่มเติม และหนงั สือเสริมการเรียนรู้ ภาษาไทย รวมท้งั การวดั และประเมนิ ผลการอ่านของผู้เรียนเปน็ ระยะเพื่อนาไปสูก่ ารพัฒนาผเู้ รยี นระหว่างการ จัดการเรียนการสอน (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2555. 1-2) และคณะกรรมการการศกึ ษาขั้น พืน้ ฐาน (2552 : 1) เหน็ สมควรใหป้ ลูกฝังคุณธรรมพ้นื ฐาน 8 ประการแก่เยาวชนไทย อันได้แก่ สะอาด ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินยั มีนา้ ใจ สุภาพ โดยมีจุดเน้นเพ่ือพฒั นาเยาวชนให้เป็นคนดี ด้วยการใช้ คณุ ธรรมเป็นพ้ืนฐานของกระบวนการเรียนรู้ทีเ่ ชื่อมโยงกับความร่วมมือของสถาบนั ครอบครวั ชมุ ชน สถาบัน ศาสนา และสถาบันการศึกษา การปลูกฝังคุณธรรมจงึ หมายถึง การจดั สภาพการเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นมองเห็น คุณค่าของการมศี ลี ธรรมและจรยิ ธรรมในด้านต่างๆ และนาไปสู่การเปล่ียนแปลงทัศนคติ ค่านยิ ม ความเช่ือ และพฤตกิ รรมทด่ี งี ามและในทานองเดยี วกันน้ี วิจิตร ศรีสอ้าน (2550) ไดก้ ล่าวตอนหนึง่ ในการประชุมและ ปาฐกถาพิเศษเร่อื ง พลังเยาวชนเพื่อสร้างคุณธรรมวา่ โรงเรียนแต่ละแห่งต้องสร้างวฒั นธรรมโรงเรยี นที่เน้น คณุ ธรรมพ้ืนฐาน 8 ประการ ได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มวี ินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมนี า้ ใจ เพ่อื ให้ เดก็ ดมี คี วามรู้ อยดู่ ี มีความสขุ กิจกรรมส่งเสริมการอา่ นเป็นการสง่ เสริมการกระทาหรือส่งเสริมความสนใจเพ่ือใหน้ ักเรยี นสนใจ และ เหน็ ความสาคัญของการอ่านและพยายามทีจ่ ะพฒั นาการอ่านของตนเองและมีความสุขในการอา่ นดังน้ันการ กาหนดกิจกรรมใน การส่งเสรมิ นิสยั รักการอา่ นให้กบั นกั เรียนจงึ ควรเริ่มตน้ จากการสรา้ งความสนใจในการ อ่านก่อนแล้วจึงกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกิดความชอบ ในการอ่านต่อไปไดเ้ รื่อยๆและมกี ารสร้างความภาคภูมิใจใน การอ่านให้กบั นักเรียนเพ่ือใหเ้ กิดทศั นคตใิ นเชงิ บวกต่อการอ่านอันจะนาไปสู่การมีความต้ังใจที่จะแสดง พฤติกรรมรักในการอ่าน (บุญช่วย สายราม. 2552) และปจั จัยที่ส่งผลตอ่ พฤติกรรมรกั การอ่านของนักเรียนมี หลากหลาย เช่น การส่งเสริมการอ่านทบ่ี ้านของผ้ปู กครอง การอบรมเลีย้ งดูของผปู้ กครอง กล่มุ เพ่อื น การ ส่งเสรมิ การอ่านทางบ้านและการสง่ เสริมการอ่านทางสถานศึกษา ซ่ึงการปลกู ฝังให้เด็กเป็นผู้ท่ีมนี ิสัยรกั การ อ่านไดน้ ั้น พ่อแม่ ผ้ปู กครองและครูผูส้ อนหรือบุคคลที่ใกล้ชิดล้วนเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการสร้างหรือ ปลูกฝังให้เดก็ เป็นผู้ท่มี ีนิสัยรักการอา่ น การปลกู ฝังนิสัยรักการอ่านจึงควรเริ่มต้นจากท่บี ้านหรือครอบครัว เนอื่ งจากครอบครวั ถือเป็นสถาบันแรกท่สี าคัญสาหรบั การปลูกฝังคณุ ธรรม จริยธรรม เจตคตแิ ละค่านิยมที่ดี ใหก้ บั เด็ก โดยพ่อแม่ ผู้ปกครองต้องเป็นแบบอยา่ งท่ีดใี หแ้ ก่เด็ก ให้การสนับสนุน ส่งเสรมิ ให้เดก็ ได้ทากิจกรรม การอ่าน และเม่อื เด็กอยโู่ รงเรียน ครูผสู้ อนจาเปน็ ต้องจดั กิจกรรมส่งเสริมการอา่ น เพ่อื กระตุ้นและจงู ใจ ให้เด็ก อยากเข้าไปมีสว่ นร่วมในกจิ กรรม เพ่ือสร้างให้เด็กมนี ิสัยรักการอ่านอย่างต่อเน่ืองได้หลายวิธที ้ังที่บ้านและ โรงเรียน ดงั นน้ั ครอบครัวโรงเรียนจงึ ต้องร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้เด็กไดอ้ ่านได้ค้นคว้า เพอ่ื ให้ เปน็ ผู้ท่ีมนี ิสัยรักการอา่ น (กลนิ่ สระทองเนยี ม. 2552)

11 การปลูกฝงั คุณธรรมเปน็ การจัดสภาพการเรียนรู้ เพ่อื ให้ผู้เรียนมองเห็นคณุ ค่าของการมศี ลี ธรรมและ จริยธรรมในด้านต่างๆ และนาไปสู่การเปลีย่ นแปลงทศั นคติ คา่ นยิ ม ความเชอ่ื และพฤติกรรมที่ ดงี ามการ พัฒนา มนุษย์ตามหลักพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงกา รฝึกฝนพัฒน ามนุษย์ให้สมบูรณ์ตา มหลักไตร สิกขา อันประกอบดว้ ย ศีล สมาธิ ปัญญา หรอื อกี นยั หนึง่ คือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญาไปพรอ้ มกัน โดยเน้นทก่ี าร พฒั นาปัญญาเป็นแกนหลกั สาคญั ของกระบวนการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฝนให้เกิดความรู้ความ เข้าใจในส่ิงทั้งหลายตามท่ีเป็นจริง สามารถเข้าใจเหตปุ ัจจัยและแก้ไขปัญหาได้ มีความประพฤติที่เป็น มาตรฐานในสงั คมมีจติ ใจท่ผี อ่ งใส เบกิ บาน เป็นอสิ ระทงั้ ภายนอกและภายใน ดบั ความทกุ ข์ ความเดือดรอ้ นที่ เกิดข้ึน กับตน สามารถเปน็ ทพี่ ่ึงให้กับตนเองได้ และในทานองเดียวกันนี้ สานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคณุ ภาพการศึกษา (2550 : 20) ได้กาหนดคุณลักษณะของคนไทยทพี่ งึ ประสงค์ เปน็ คนเก่ง คนดแี ละ มีความสุข โดยมกี ารพฒั นาท่ีเหมาะสมกับวัย ซึ่งในมาตรฐานการจัดการศึกษาขนั้ พื้นฐาน ได้กาหนดปลูกฝัง คุณธรรมจริยธรรม และค่านยิ มท่พี ึงประสงค์ของผู้เรียนไว้ ดงั นค้ี อื ให้ผู้เรยี นมีวนิ ัย มีความรับผิดชอบ มีความ ซื่อสัตย์สุจรติ มีความกตญั ญกู ตเวที มีความเมตตากรณุ า โอบออ้ มอารี เอื้อเฟอ้ื เผือ่ แผ่ ไม่เหน็ แก่ตัว มีความ ประหยัดและใช้ทรพั ยากรอยา่ งคมุ้ ค่า และปฏิบัติตนเป็นประโยชนต์ ่อสว่ นรวม โรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบัวแดง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา ชัยภูมิ เขต 1 มนี โยบายการพฒั นากจิ กรรมการอ่านของนักเรียนโดยใชค้ ุณธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ เป็นพน้ื ฐานของกระบวน การเรียนรู้ ซงึ่ จากการสารวจพบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่ไม่ชอบอ่านหนังสือ อา่ นหนังสอื ไม่ออก ไม่มีควา ม รับผิดชอบ มักใช้เวลาว่างไปในทางอื่น สาเหตุมาจาก นักเรียนขาดการเอาใจใส่ จากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง นักเรียนไม่ชอบเข้าห้องสมุดเพ่ือศึกษาค้นควา้ นักเรยี นใช้เวลาว่างไม่เกิดประโยชน์ ครูไม่ได้จดั กิจกรรมเพ่ือ กระตุ้นใหน้ ักเรียนรกั การอา่ น ครบู รรณารกั ษ์ไม่นาเทคนคิ วธิ ี หรือจัดกิจกรรม ให้นกั เรียนเข้าห้องสมุด หรือไม่ ชว่ ยแนะนา ส่งเสริมการอา่ นให้มปี ระสิทธิภาพ จากการวิเคราะห์ผลการดาเนินงานโครงการส่งเสริมนิสัยรัก การอา่ น โรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบัวแดง ตามการรายงานโครงการในปีการศกึ ษา 2560 พบว่าการ ดาเนินงานตามโครงการยังไม่ประสบผลสาเรจ็ ตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ กล่าวคอื นกั เรยี นส่วนใหญ่ยังขาด ทกั ษะการศกึ ษาหาความร้ดู ว้ ยตนเอง นอกจากน้ียังพบวา่ นักเรยี นสว่ นใหญ่ยังขาดทกั ษะนสิ ัยในการอา่ น ไม่มี นิสัยรักการอา่ นและการค้นคว้าด้วยตนเอง ขาดความขยนั สมุดงานไม่สะอาด ไม่เป็นระเบยี บ นักเรียน ลอกการบา้ นสง่ ครู ไม่รว่ มงานกลุม่ และในส่วนของข้อเสนอแนะโครงการ ไดเ้ สนอไว้ ดังนี้ 1) ควรให้ความ สาคญั กับการพฒั นาแหลง่ ค้นคว้าหาความรูท้ ่ีตอบสนองความตอ้ งการของผู้เรยี นและครูผู้สอน 2) การส่งเสริม ทักษะนิสัยด้านการอ่านโดยปลกู ฝงั ให้นักเรียนมีนสิ ยั รักการอ่าน 3) การสง่ เสรมิ คณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการให้ เกดิ ขึน้ กับนักเรียน จากสภาพปัญหาดังกลา่ ว โรงเรียนอนุบาลชุมชนหนองบัวแดงจึงมีความสนใจที่จะจัดกิจกรรม ส่งเสริมการอา่ นโดยใช้คณุ ธรรมเปน็ พ้นื ฐานของกระบวนการเรียนรู้ของนกั เรียนชัน้ ป.1 – ป.6 เร่อื ง

12 “คณุ ธรรม 8 ข้อ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นกั เรียนมีสขุ ” ขนึ้ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความขยัน มีสมาธิ รกั การอา่ นหนังสอื รู้จักใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ซึ่งจะสง่ ผลต่อการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ได้ เปน็ อยา่ งดี และทาให้การเรียนรู้ของผ้เู รียนเป็นไปแบบยั่งยืน นวัตกรรม “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อดว้ ย 3 ความ ดพี ้ืนฐาน สานให้นักเรยี นมีสุข” ของโรงเรยี นอนุบาลชุมชนหนองบัวแดง บริหารจัดการภายใต้แนวคิด Learning Resources School of the Future ซึ่งเปน็ การเรยี นรู้จากการอ่านทหี่ ลากหลาย ไม่มีขอ้ จากดั ดา้ น เวลาและสถานที่ ศึกษาผ่านโลกอินเตอร์เนต็ ให้บริการสืบค้นข้อมูลแบบทันสมัยด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ อีกท้ังยังมีบรรยากาศการเรยี นรู้ที่สนกุ สนาน มีการแลกเปลย่ี นควา มคิดเห็น ผ่านกจิ กรรมการ เรยี นร้ทู ีห่ ลากหลาย ท่ีเปดิ กว้างในการต่อยอดความคิดและกระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้อย่างต่อเน่ือง และมี ครูผู้รับผดิ ชอบท่ีคอยจดั กิจกรรมทีห่ ลากหลายและใช้คณุ ธรรมเปน็ พ้นื ฐานของกระบวนการเรียนรู้ ซงึ่ คุณธรรม พืน้ ฐาน 8 ประการไดแ้ ก่ สะอาด ขยัน ประหยดั ซอื่ สัตย์ สามคั คี มีวินยั มนี ้าใจ สภุ าพ และ 3 ความดพี ื้นฐาน ได้แก่ มรี ะเบียบ ตรงเวลา มสี มาธิ ซงึ่ นายขันทอง เดน่ พนั ธ์ ผู้อานวยการโรงเรยี นและคณะครูโรงเรยี นอนบุ าล ชมุ ชนหนองบวั แดง ได้พฒั นานวตั กรรมเพอื่ การเรยี นการสอนทใ่ี ช้ชื่อว่า “คุณธรรม 8 ขอ้ นาต่อด้วย 3 ความดี พน้ื ฐาน สานให้นักเรียนมสี ุข” เพื่อเป็นสื่อที่จะนาไปใช้ประกอบการเรียนการสอนรว่ มกับแหล่งเรียนรู้หรือ สาระการเรียนรอู้ ืน่ ๆ ท้ังภายในโรงเรียนและในชุมชน ตลอดจนสร้างความตระหนักใหค้ รู นักเรียน ชมุ ชน ได้ เห็นคณุ คา่ ของการอา่ นและการใช้คณุ ธรรมเปน็ พ้นื ฐานของกระบวนการเรียนรู้ 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 1.2.1 เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรยี นโรงเรียนอนุบาลชมุ ชนหนองบัวแดงทม่ี ีตอ่ การพัฒนาและ สง่ เสรมิ การอา่ นของนักเรียนโดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อดว้ ย 3 ความดีพ้นื ฐาน สานใหน้ ักเรยี นมีสขุ ” 1.2.2 เพื่อศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนโรงเรียนอนบุ าลชมุ ชนหนองบัวแดงที่มตี ่อการพัฒนาและ สง่ เสรมิ การอา่ นของนกั เรียนโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ด้วย 3 ความดีพน้ื ฐาน สานให้นกั เรียนมีสขุ ” 1.3 สมมติฐำนของกำรวิจยั 1.3.1 นักเรียนมีพฤติกรรมระดับการปฏิบัติกจิ กรรมการพฒั นาและสง่ เสริมการอา่ นของนักเรียน โดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดพี ืน้ ฐาน สานให้นักเรยี นมสี ุข” ในระดบั มาก 1.3.2 นกั เรียนมคี วามพงึ พอใจต่อกจิ กรรมการพัฒนาและส่งเสริมการอา่ นของนกั เรยี นโดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ขอ้ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความดีพน้ื ฐาน สานใหน้ กั เรียนมีสขุ ” ในระดับ มาก 1.4 ขอบเขตของกำรวิจยั 1.4.1 ประชำกร คอื นักเรียนระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 1 – 6 โรงเรยี นอนบุ าลชุมชนหนองบัวแดง อาเภอ หนองบวั แดง จงั หวดั ชัยภูมิ จานวน 1,040 คน 1.4.2 เนอ้ื หำกำรเรยี นรู้ / กจิ กรรม / กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ 1) กิจกรรมภาษาไทยวนั ละคา กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 2) กิจกรรมภาษาองั กฤษวนั ละคา กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ภาษาตา่ งประเทศ

13 3) กจิ กรรมปจุ ฉา วิสชั นา กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 4) กิจกรรมหนังสือเล่มเลก็ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย, ศิลปะ, สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 5) กจิ กรรมตน้ ไม้พูดได้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 6) กจิ กรรมเสยี งตามสาย กลุ่มสาระการ เรียนรู้ ภาษาไทย, วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 7) กจิ กรรม “ถนนคนอ่าน” กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 8) กจิ กรรมพี่สอนนอ้ งเพอื่ นช่วยเพอื่ น กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 9) กจิ กรรมครอบครัวรกั การอ่าน กลุ่ม สา ร ะกา ร เรี ยน รู้ ภา ษา ไ ทย, สัง คมศึ กษ า ศาสนา และวฒั นธรรม 10) กจิ กรรมผา้ ปา่ คา นาอา่ น กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ, ภาษาไทย, สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 11) กิจกรรมสวนสุภาษิต กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 12) กิจกรรมนกั ขา่ วรุ่นเยาว์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย, สังคมศกึ ษา ศาสนา และ วัฒนธรรม 13) กิจกรรมธนาคารออมคา กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 14) กจิ กรรมบนั ทึกรกั การอา่ น กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 15) กจิ กรรมตะกรา้ พาเพลนิ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย, การงานอาชพี 16) กิจกรรมยอดนกั อา่ น กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 17) กจิ กรรมเล่านิทานหรรษา กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย, ศลิ ปะ 1.4.3 ตัวแปรท่ีศึกษำ ตัวแปรอสิ ระ ได้แก่ การจดั กิจกรรมสง่ เสริมการอา่ นโดยใช้คณุ ธรรมข้ันพื้นฐาน 8 ข้อ และ 3 ความดีพนื้ ฐานควบคู่ไปกบั การอา่ น ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ 1) พฤตกิ รรมของนักเรียนในการจัดกจิ กรรมการพัฒนาและส่งเสริมการอ่านของนักเรียนโดย ใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นาต่อดว้ ย 3 ความดพี ้นื ฐาน สานใหน้ กั เรียนมสี ขุ ” 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจดั กจิ กรรมการพัฒนาและส่งเสริมการอา่ นของนักเรยี น โดยใช้ “คณุ ธรรม 8 ข้อ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความดพี ืน้ ฐาน สานให้นกั เรยี นมสี ขุ ” 1.5 นิยำมศพั ทเ์ ฉพำะ 1.5.1 คุณธรรม 8 ข้อ หมายถึง คุณธรรมพืน้ ฐาน 8 ประการของเยาวชนไทย อนั ได้แก่ สะอาด ขยนั ประหยดั ซือ่ สัตย์ สามคั คี มวี ินยั มีน้าใจ สภุ าพ โดยมีจดุ เน้นเพ่ือพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี ด้วยการใช้

14 คณุ ธรรมเปน็ พ้ืนฐานของกระบวนการเรยี นรูท้ เี่ ช่อื มโยงกับความร่วมมือของสถาบนั ครอบครวั ชมุ ชน สถาบัน ศาสนา และสถาบนั การศึกษา 1.5.2 ควำมดีพื้นฐำน หมายถงึ 3 ความดีพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ มรี ะเบียบ ตรงเวลา มสี มาธิ 1.5.3 กำรส่งเสริมกำรอำ่ น หมายถึง โรงเรียนอนบุ าลชมุ ชนหนองบัวแดง สงั กดั สานักงานเขต พ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาชยั ภูมิ เขต 1 กาหนดนโยบายและหลกั การบริหารตามวัฏจกั รของเดมมง่ิ (PDCA) เพื่อช่วยพัฒนาการอา่ นของนักเรยี นโดยใช้คุณธรรมเป็นพืน้ ฐานของกระบวนการเรยี นรู้ให้มีคณุ ภาพเปน็ ฐาน การเรยี นรู้ทม่ี ีประสิทธภิ าพ ภายใตแ้ นวคดิ Learning Resources School of the Future เป็นการเรียนรู้ จากการอา่ นทีห่ ลากหลาย ไม่มขี ้อจากดั ด้านเวลาและสถานที่ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความสนใจในการอ่านเห็น ความสาคญั และประโยชน์ของการอา่ น จนเกิดนิสยั รกั การอ่าน 1.5.4 กิจกรรมสง่ เสรมิ กำรอำ่ น หมายถงึ การกระตุ้นดว้ ยกิจกรรมตา่ งๆ เพื่อให้ผเู้ รียนสนใจ การอ่านจนกระทงั่ มนี ิสยั รกั การอา่ นและมีพัฒนาการในการอา่ น ซ่งึ เปน็ กิจกรรมท่ใี ชค้ ุณธรรมเป็นพ้ืนฐานของ กระบวนการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ 1) กจิ กรรมภาษาไทยวันละคา 2) กิจกรรมภาษาอังกฤษวนั ละคา 3) กจิ กรรมปุจฉา วสิ ัชนา 4) กิจกรรมหนังสอื เล่มเลก็ 5) กิจกรรมตน้ ไม้พดู ได้ 6) กจิ กรรมเสียงตามสาย 7) กจิ กรรม “ถนนคนอ่าน” 8) กจิ กรรมพสี่ อนนอ้ งเพ่ือนชว่ ยเพือ่ น 9) กจิ กรรมครอบครัวรกั การอ่าน 10) กจิ กรรมผ้าปา่ คา นาอ่าน 11) กิจกรรมสวนสุภาษติ 12) กิจกรรมนักข่าวรนุ่ เยาว์ 13) กิจกรรมธนาคารออมคา 14) กจิ กรรมบันทกึ รกั การอา่ น 15) กจิ กรรมตะกรา้ พาเพลิน 16) กิจกรรมยอดนักอา่ น 17) กจิ กรรมเลา่ นทิ านหรรษา 1.5.5 ควำมพึงพอใจ หมายถึง ความรูส้ ึกของนักเรียนท่ีมีตอ่ กิจกรรมการพฒั นาและส่งเสริมการ

15 อา่ นของนักเรียนโดยใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาต่อด้วย 3 ความดีพื้นฐาน สานให้นักเรียนมสี ขุ ” ท่ีผู้วิจยั สร้างขน้ึ ประเมินไดจ้ ากแบบสอบถามความพงึ พอใจ 1.5.6 นักเรยี น หมายถึง นักเรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 – 6 โรงเรียนอนุบาลชุมชนหนอง บัวแดง สังกัดสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาชยั ภูมิ เขต 1 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 1,040 คน 1.6 กรอบแนวคดิ ในกำรวิจัย ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอา่ นโดย 1) พฤติกรรมของนักเรียนในการจัดกิจกรรมการ ใช้คณุ ธรรมข้ันพนื้ ฐาน 8 ข้อ และ 3 พฒั นาและส่งเสรมิ การอา่ นของนกั เรียนโดย ความดพี ืน้ ฐานควบค่ไู ปกบั การอา่ น ใช้ “คุณธรรม 8 ข้อ นาตอ่ ดว้ ย 3 ความดีพื้นฐาน สาน ให้นกั เรยี นมสี ุข” 2) ความพงึ พอใจของนักเรยี นต่อการจัดกิจกรรมการ พัฒนาและส่งเสริมการอ่านของนกั เรยี น โดยใช้ “คุณธรรม 8 ขอ้ นาต่อด้วย 3 ความดีพนื้ ฐาน สานใหน้ กั เรียนมีสุข” ภำพที่ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.7 ประโยชน์ท่คี ำดว่ำจะไดร้ บั 1. นกั เรียนเลอื กอา่ นหนงั สอื ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามความสนใจของตนเอง และมีสมาธิในการอ่าน 2. มที กั ษะในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และสังเคราะห์จากเรื่องท่ีอา่ น และนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวันได้ นกั เรยี นอย่างมีคุณภาพ 3. สง่ เสริมการเรยี นรู้โดยการนาไปบูรณาการใช้กับกลมุ่ สาระอ่นื ไดท้ ุกกลุ่มสาระ เพื่อเปน็ พน้ื ฐาน ของการอา่ น การคิดวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทกุ กลุ่มสาระสงู ข้ึน 4. นักเรียนใชค้ ณุ ธรรมขน้ั พื้นฐาน 8 ขอ้ และ 3 ความดีพ้นื ฐานควบคู่ไปกับการอ่าน ทาให้นกั เรียน มีความขยัน มสี มาธใิ นการอา่ น อา่ นไดค้ ล่องและถกู ต้อง 5. ครใู ช้นวัตกรรมในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนไดอ้ ย่างมีคณุ ภาพ 6. โรงเรยี นมีนวตั กรรมท่เี ออื้ ตอ่ การเรียนรู้ของผูเ้ รยี น 7. ชุมชนมีสว่ นร่วมในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมการอ่านของนกั เรยี น และมีคณุ ธรรมเป็น แบบอย่างทด่ี ใี หก้ ับนักเรียน

16 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง คณุ ธรรม 8 ข้อ นาต่อดว้ ย 3 ความดีพน้ื ฐานสานให้นักเรียนมีสขุ เปน็ นวตั กรรมท่ีส่งเสริมการอา่ น ควบคู่ไปกับการใชค้ ุณธรรมพื้นฐาน 8 ขอ้ และ 3 ความดีพ้ืนฐาน ซึง่ จาเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์และ สังเคราะหข์ ้อมลู จากเอกสารและงานวิจยั ต่างๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง สาหรับเป็นขอ้ มลู พนื้ ฐานในการพฒั นารูปแบบการ จดั กิจกรรม ผู้ศกึ ษาไดร้ วบรวมเอกสารงานวิจัยและแนวคิดท่ีเกย่ี วข้องนาเสนอดังหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี 2.1 การส่งเสริมนสิ ยั รกั การอา่ น 2.1.1 ความหมายของนิสัยรกั การอ่าน 2.1.2 การสร้างนิสัยรักการอ่าน 2.1.3 การส่งเสรมิ นสิ ยั รกั การอา่ นในประเทศและตา่ งประเทศ 2.1.4 ปัจจยั ที่มีผลต่อการส่งเสรมิ นิสยั รักการอ่าน 2.1.5 ปญั หานิสัยรักการอ่าน 2.2 การจดั กิจกรรมส่งเสรมิ นิสยั รกั การอา่ น 2.2.1 ลกั ษณะของกจิ กรรมสง่ เสรมิ นิสัยรักการอา่ น 2.2.2 การสร้างบรรยากาศและส่งิ แวดลอ้ ม 2.2.3 แนวคิดและทฤษฎที ่ีใชใ้ นการจดั กิจกรรมส่งเสรมิ การอ่าน 2.2.4 สภาพปญั หาการจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ นิสยั รักการอา่ น 2.3 คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ 2.4 งานวิจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 2.4.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 2.4.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ โดยแตล่ ะหวั ข้อมสี าระสาคญั ดงั น้ี 2.1 การส่งเสริมนสิ ัยรักการอ่าน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการสรา้ งนสิ ัยรักการอ่านในสงั คมไทยเป็นประเด็นทไี่ ดร้ ับความสนใจอย่าง ตอ่ เน่อื งในวงการครูและนักวิชาการ เพราะต่างตระหนักดีว่าการอ่านเป็นปัญหาสาคญั แต่การอ่านหนังสือ ของคนไทยเป็นกิจกรรมทีไ่ ม่นิยมแพรห่ ลายนัก แม้ในกลุ่มผ้รู ู้หนงั สือแล้วซึ่งจะอา่ นกันเทา่ ที่จาเป็น เช่นการ อ่านหนังสือตาราเพอื่ การเรียนการสอบของนักเรียน ผู้มีนิสยั รักการอ่านยังมนี ้อย รัฐบาลในแตล่ ะสมยั จึงมี นโยบายส่งเสรมิ การอา่ นและหวังที่จะสร้างสังคมแห่งการอา่ นให้เกิดข้นึ ในประเทศไทย เชน่ เดียวกบั รัฐบาลยุค นายอภสิ ทิ ธ์ิ เวชชาชีวะ ซงึ่ ท่ีประชุมคณะรฐั มนตรีมมี ตใิ ห้ ปี 2552-2562 เปน็ ทศวรรษแหง่ การอา่ น

17 โดยมงุ่ เน้นให้คนไทยได้รับการพัฒนาความสามารถในการอ่านและรู้หนังสือภายในปี 2555 โดยกาหนด นโยบายให้เพิ่มแหล่งการอ่านครอบคลุมทุกพน้ื ท่ีในประเทศไทยอย่างท่ัวถึง และสร้างภาคเี ครือข่ายเพื่อ ปลกู ฝังการอา่ นและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนทุกรูปแบบ เช่นภาคเี ครอื ข่ายท่ีเรยี กว่า HOPE (Home, Office, Public, Educational Institution) ประกอบด้วยบา้ น ท่ีทางาน ท่ีสาธารณะ และสถานศกึ ษา โดย ร่วมมอื กันสรา้ งบรรยากาศเพ่ือส่งเสริมนิสยั รกั การอา่ นและการเรียนรู้ตลอดชวี ติ อยา่ งย่ังยืนให้เด็กและผใู้ หญใ่ น สงั คม และเพ่ือให้สอดคล้องกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-พ.ศ.2554) ซ่ึง กาหนดไวอ้ ย่างชัดเจนว่า “ปลกู ฝงั นิสยั ใฝ่รู้ รกั การอา่ น สนบั สนนุ การเรียนรตู้ ามศักยภาพและความสนใจอย่าง ต่อเนือ่ ง” โดยมอี งค์กรรัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน ไดร้ ่วมมือกันจดั กิจกรรมเพ่ือส่งเสรมิ นิสัยรักการอ่านและ สรา้ งความตระหนักให้แกเ่ ดก็ เยาวชน ครู อาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครองและประชาชน (ชนะใจ เตชวิทยาพร และคณะ 2552) และสานนโยบายต่อโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนายจาตรุ นต์ ฉายแสง ประกาศให้การศกึ ษาเป็นวาระแห่งชาติได้กาหนดให้ปี ๒๕๕๖ เป็นปีแห่ง “การรวมพลัง ยกระดับคุณภาพ การศึกษา” ประกาศนโยบายเรง่ ดว่ นท่ีจะลดปญั หาการอา่ นไมอ่ อก เขียนไม่ไดข้ องนกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษา โดยให้มกี ารคัดกรองนักเรียนเพื่อหาเด็กกลมุ่ เสยี่ งท่ียงั ไมส่ ามารถอ่านออกเขียนได้ นามาสอนเสรมิ และกาหนด เปา้ หมาย นักเรียนระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 - 3 ทกุ คนตอ้ งอ่านออกเขียนไดร้ อ้ ยละ 100 ทง้ั นี้ให้คดั กรอง ดว้ ยแบบประเมนิ ทเี่ ข้มข้นและนาผลไปใชใ้ นการวางแผนการขับเคลอื่ นการปฏริ ูปการเรยี นรู้ทง้ั ระบบ จากทีก่ ล่าวมาจะเห็นว่าการสง่ เสริมนสิ ัยการอา่ นไม่ได้ปฏิบัตอิ ยา่ งต่อเนื่องอยา่ งจริงจงั ซึง่ การปลกู ฝัง นิสยั รกั การอา่ นทาไดง้ า่ ย แต่ตอ้ งมีความตั้งใจและมีความอดทนทีจ่ ะสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขน้ึ โดยอาศัย ความร่วมมือ การมีสว่ นรว่ มจากทุกฝ่ายจึงจะประสบความสาเร็จ ทาให้ระดบั นสิ ัยรกั การอ่านของเดก็ ไทย กา้ วหน้าไปสูม่ าตรฐานหรอื แข่งขนั กับตา่ งประเทศได้ 2.1.1 ความหมายของนสิ ัยรักการอา่ น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับพุทธศักราช 2542 (2546) ได้ให้ความหมายของคาว่า “นสิ ยั ” วา่ นสิ ยั คือความประพฤตทิ ี่เคยชินกระทาโดยเปน็ กิจวตั ร ซ่ึงเมอื่ ทราบนสิ ัยของบุคคลใดแล้วจะทาให้ สามารถคาดเดาความหรือชนิดของพฤตกิ รรมทอ่ี าจเกิดขึ้นไดอ้ ยา่ งถูกต้องหรอื ใกล้เคยี ง ศศธิ ร อนิ ตุ่น (2550) นิสยั รักการอ่าน หมายถึงพฤตกิ รรมทน่ี ักเรียนแสดงความชอบอ่านหนังสือ ความพึงพอใจในการอ่านเมอื่ มีโอกาสต้องการอ่านมากขึ้น การใช้เวลาวา่ งเพอ่ื การอ่านและความพยายาม เพอื่ ท่จี ะให้ได้อ่านในสิ่งทต่ี นเองช่นื ชอบ หทัยรัตน์ ศรีวรเดชไพศาล (2550) นสิ ัยรักการอ่าน หมายถงึ การแสดงออกถงึ ความมุ่นมน่ั ต่อการ อ่านหนงั สอื อย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องจนเกิดเปน็ นสิ ัย เห็นการอา่ นหนังสอื เปน็ กิจวัตรประจาวนั และถือเป็น ส่วนหน่ึงของชวี ิตประจาวนั ท่จี ะขาดเสียมไิ ด้ มีความสขุ ใจ พอใจเมอ่ื ไดอ้ า่ นหนังสอื และอา่ นทุกคร้งั ท่ีมีโอกาส

18 รูจ้ ักเลือกอ่านหนังสือท่ีมีประโยชน์และมีเนื้อหาหลากหลายตลอดจนเห็นคุณคา่ และประโยชน์ของการอา่ น หนังสือ สันติกา ดวงจติ (2552) ให้ความหมายของนสิ ัยรกั การอา่ นวา่ หมายถึงคณุ ลักษณะท่ชี อบอ่านหนงั สือ ของบุคคลหรือพฤติกรรมความเอาใจใส่ในการอ่านหนงั สอื ทม่ี ีประโยชน์ทุกชนิดอยา่ งสม่าเสมอและต่อเนอ่ื ง มแี รงกระตนุ้ จากภายในจติ ใจท่ีชอบอา่ น ชอบศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองโดยไม่มีใครบังคบั ซ่ึงเกิดข้ึนเป็น ประจาในทุกสถานที่และโอกาส ธิดา สวุ รรณสาครกลุ (2554) นสิ ยั รักการอา่ น หมายถึง การแสดงออกถึงการชอบอา่ นหนังสอื หรือ สงิ่ พิมพ์ต่างๆ ซ่งึ มีเนื้อหาที่เปน็ ประโยชน์ ซ่งึ ทาใหไ้ ดร้ ับความรู้ความเพลดิ เพลิน ช่วยกล่อมเกลาจติ ใจ พัฒนา อารมณแ์ ละส่งเสริมประสบการณ์ ธนศกั ดิ์ เมืองเจริญ (2554) นิสยั รักการอ่าน หมายถึงพฤติกรรมหรอื คณุ ลักษณะท่ีแสดงออกถงึ การ ชอบอ่านหนังสอื โดยได้รบั การฝกึ ฝนเป็นเวลานาน ได้รบั การปลกู ฝังให้เกิดความอยากอา่ นต้ังแตเ่ ดก็ ๆ จนติด เปน็ นสิ ยั มีพฤตกิ รรมการอ่านอยา่ งตอ่ เนื่องและสมา่ เสมอและแสดงออกถึงความสนใจหรือชอบท่ีจะอา่ น จากทีก่ ล่าวมา สรปุ ได้ว่า นิสัยรักการอ่านหมายถึงการแสดงพฤติกรรมวา่ ชอบอ่านหนังสือทุก ประเภท อ่านอย่างสม่าเสมอตอ่ เนื่องจนเกิดเป็นนสิ ยั อ่านหนังสือได้ทุกสถานทท่ี กุ โอกาส โดยไม่มีความร้สู ึก ฝนื ใจที่ตอ้ งอ่านหนังสือ และร้สู กึ เหน็ คณุ คา่ และประโยชน์ของการอา่ น 2.1.2 การสร้างนิสยั รกั การอา่ น นิสยั รักการอ่านมคี วามสาคัญและเป็นประโยชน์ต่อผเู้ รียนมาก เช่น นสิ ยั รักการอา่ นของผเู้ รียนช่วย ใหผ้ ู้เรยี นมีเจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การอา่ น ช่วยให้เกดิ ความเขา้ ใจวา่ หนงั สอื ทุกเล่มมปี ระโยชนแ์ ละเหน็ ประโยชนข์ องการ อา่ นหนังสอื ชว่ ยใหร้ ูจ้ กั หนังสือประเภทตา่ งๆ รจู้ กั การเลือกหนงั สือ รู้วธิ อี า่ นหนงั สอื ให้รูจ้ ักแหลง่ หนังสือ หรอื หอ้ งสมดุ ดังนัน้ การปลูกฝังใหผ้ ้เู รียนมนี ิสยั รกั การอา่ นจงึ เปน็ สิ่งจาเปน็ อย่างยงิ่ การสร้างนสิ ัยรักการอา่ น ในวยั เด็กจะได้ผลดี ตอ้ งใช้เวลาในการปลูกฝังที่ยาวนาน เด็กที่มีนสิ ัยรกั การอ่านจะสมัครใจอา่ น ไมม่ ีบงั คับ จะอา่ นหนังสือทุกประเภท ทกุ โอกาสไมป่ ล่อยเวลาว่างโดยเปลา่ ประโยชน์ ดังน้นั ในการสร้างนิสยั รักการอา่ น ที่จะเกิดผลดีจาเป็นต้องให้ผู้อ่านหรือนักเรียนมีอิสระในการอ่าน การอ่านเกิดข้ึนจากการเห็นคุณค่า ความสาคัญของการอา่ นมากกว่าความจาเป็นบังคับ การเกดิ นสิ ยั รกั การอ่านน่าจะมาจากการอ่านหนงั สือทีใ่ ห้ ความเพลดิ เพลินสนุกสนาน และได้รับสุนทรีจากหนังสือมากกว่าเหตอุ ่ืน เพราะย่งิ อ่านย่ิงสนุก ถ้าจะฝึกให้ เด็กมนี ิสยั รักการอ่านเราจะต้องยอมให้เด็กได้อ่านในสิ่งทเี่ ขาชอบเป็นเบอื้ งต้น เร่ืองเนื้อหาสาระไม่ควรวิตก กงั วลจนเกินเหตวุ า่ จะทาให้เด็กใจแตก หรอื ผลเสียอ่ืนๆ ต้องเชื่อม่นั ในสติปญั ญาและวจิ ารณญาณของเดก็ ว่า เขาสามารถเลอื กสรรได้เอง เมอื่ เขาโตขึ้นเขาจะเลือกไดเ้ อง วิธีที่ดีท่ีสดุ วิธหี นึ่งคือพ่อแม่และสมาชิกคนอืน่ ๆ ในครอบครัวควรเปน็ นักอ่านดว้ ยเป็นการสรา้ งบรรยากาศในการอ่านใหเ้ กิดขึ้นภายในบา้ น

19 วธิ กี ารสรา้ งนสิ ัยการอ่าน (อุทยานการเรยี นรู้, 2556) 1. การวิเคราะห์กลุม่ เป้าหมายคือต้องวิเคราะหแ์ ละเข้าใจกลมุ่ เป้าหมายก่อนว่ามีนิสัยเป็นอย่างไร มธี รรมชาติเป็นอย่างไร พรอ้ มท่ีจะรับการสนบั สนนุ หรอื ไม่ อย่างไร และจะเรง่ รัดได้มากน้อยเพยี งใด เพ่อื ให้ สามารถสนบั สนุนส่งเสริมดา้ นการอ่านไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะ เป็นวัยเดก็ วัยทางานหรือวัยผู้สูงอายุก็ตาม 2. การสร้างความสนใจมกี ระบวนการสร้างความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายมีความคุ้นเคยกับหนังสอื และ อยากรู้อยากเห็นในเนื้อหาสาระที่อยู่ในหนังสือ ท้ังนี้ โดยมีความเหมาะสมกับวัยและวิถีการดาเนินชีวิต เนือ่ งจากกลมุ่ เป้าหมายมคี วามพร้อมไมเ่ ท่ากนั บางคนยงั ไม่เห็นความสาคญั ของการอ่าน ยังไม่เกิดความสนใจ ทจ่ี ะเรียนรแู้ ละพัฒนาทักษะการอ่าน การสร้างความสนใจจงึ เป็นข้นั ตอนทส่ี าคญั และจาเปน็ อาจเร่มิ ต้นจาก การใหก้ ลุ่มเป้าหมายไดอ้ ่านในสง่ิ ท่ีตนอยากอา่ นไดส้ นกุ สนานกบั การอ่านได้เลือกหนงั สืออา่ นด้วยตนเอง 3. การปรบั ทศั นคตมิ ีการปรับทัศนคติต่อการอ่านของกลุม่ เปา้ หมายให้มคี วามเข้าใจ เหน็ คุณค่าและ มีความรู้สึกที่ดีต่อการอ่าน เพ่ือให้กลมุ่ เป้าหมายท่ไี ม่ชอบอ่านลดความรู้สกึ ต่อต้านและยอมรับกระบวนพัฒนา ทักษะการอา่ นได้ 4. ตอ้ งปรับหลักสูตรและระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะในส่วนที่เกย่ี วกับการสอนอ่านว่ามีเด็ก ในสัดส่วนท่ีสูงท่ีอ่านหนังสือไม่คล่องหรืออ่านหนังสอื ไมไ่ ด้ ซึ่งจะเป็นปัญหาตอ่ การเรียนในรายวิชาอื่นๆ ตามมา เนือ่ งจากเด็กไมส่ ามารถอา่ นและเข้าใจได้ นอกจากนเ้ี นื้อหาต่างๆ ทีบ่ รรจุไว้ในหลักสตู รยังมีเนอื้ หา มากเกินจาเป็น ทาให้เด็กเกิดความเบ่อื หน่ายในการเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็ตอ้ งมรี ะบบการลงโทษนกั เรียนท่ไี ม่ อ่านหนังสือดว้ ยเพอ่ื ใหเ้ ขาอา่ นใหไ้ ด้ 5. จดั ใหม้ ีส่ือการอ่านทีห่ ลากหลายเนือ่ งจากปจั จบุ ันมสี ือ่ การเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย และการอ่านเป็น เพยี งช่องทางหนึ่งของการเรียนรู้ การท่ีจะทาให้ผู้อ่านสามารถเรียนรไู้ ดด้ ี มคี วามหมาย มคี วามเข้าใจและมี ความพยายามทจี่ ะสรา้ งนิสัยการอ่าน จงึ ตอ้ งมสี อ่ื การเรียนรู้ประเภทต่างๆมาเสริมซึ่งกันและกันโดยมีรูปแบบ และเนือ้ หาของสอ่ื การอา่ นที่หลากหลาย ไม่นา่ เบื่อ ตอบสนองความตอ้ งการอา่ นของบคุ คลได้อย่างครอบคลุม 6. มีการควบคุมราคาหนังสือคือการทบทวนและควบคมุ ราคาหนังสือให้อยใู่ นเกณฑ์ทเี่ หมาะสม เพื่อให้ประชนท่ัวไปมีโอกาสเข้าถึงหนังสือมากขน้ึ เพราะในสภาพปัจจุบันราคาหนังสอื นับว่าเป็นอุปสรรค สาคัญของการสง่ เสริมการอา่ น 7. มีนโยบายส่งเสริมการอา่ นท่ีต่อเนือ่ งภาครัฐต้องมีนโยบายส่งเสริมการอา่ นท่ีชัดเจนต่อเน่ืองและ เป็นรปู ธรรมในการส่งเสริมห้องสมุดสาธารณะต่างๆ ต้องมหี นังสือที่เพียงพอและเป็นหนังสอื ใหม่ มคี นดแู ล เอาใจใสใ่ ห้หนังสืออยู่ในสภาพทน่ี ่าอ่าน รวมทง้ั มีสถานทที่ ่พี ร้อมใช้ในการอา่ นหนังสือด้วย 8. การดาเนินการอยา่ งเป็นระบบการปลูกฝังและส่งเสริมการอา่ นเป็นเร่ืองสาคัญที่จาเป็นต้อง ดาเนนิ การอยา่ งเป็นระบบ สอดรับกนั ทัง้ ในระดบั ครอบครวั ระดับโรงเรยี น และระดบั นโยบายของภาครัฐ

20 ผาณิต บญุ มาก (2553) ไดเ้ สนอวิธีการในการพัฒนานสิ ยั รกั การอ่านดังน้ี 1. ต้องใหเ้ ดก็ ทุกคนได้มโี อกาสร้จู ักและสัมผสั กับคุณคา่ ของหนังสือตั้งแตแ่ รกเกิด 2. พอ่ แม่ต้องจัดสรรเวลาเพื่ออ่านหนงั สือใหล้ กู ฟัง 3. พอ่ แมแ่ ละครูต้องสรรหาหนังสือดี เหมาะกับวัยมาให้เดก็ ได้อ่าน 4. ท้ังทบ่ี ้านและที่โรงเรียนตอ้ งไม่บังคบั ให้เด็กอ่านแตห่ นงั สือเรยี นต้องให้เวลาเดก็ ไดม้ ีโอกาสอ่าน หนังสอื ท่ชี อบด้วย 5. ปิดทีวีและจากดั เวลาเล่นคอมพิวเตอร์และจัดหาหนังสือสนุกๆ หนงั สือท่นี ่าสนใจตามวัย มา ทดแทนให้เดก็ 6. พาเดก็ ไปร้านหนังสอื เสมอๆ และให้เด็กไดม้ โี อกาสเลอื กซ้ือหนังสอื ด้วยตนเอง 7. โรงเรียนควรจัดกจิ กรรมเสรมิ เพอ่ื การอ่านทสี่ นุกอย่างสมา่ เสมอ เชน่ ตอบปญั หาชิงรางวัลเรื่อง แฮรพ่ี อตเตอร์ ฯลฯ 8. โรงเรยี นควรเฟ้นหาหนังสอื เรียนวชิ าตา่ งๆ ทนี่ าเสนอไดน้ า่ สนใจ 9. ตอ้ งใหเ้ ดก็ เขา้ ถึงหนังสอื อย่างทวั่ ถงึ เชน่ เดก็ ในชนบท กล่มุ เด็กดอ้ ยโอกาส ฯลฯ 10.พ่อแม่ ครู อาจารย์ตอ้ งรู้วธิ ีใชห้ นังสอื เพอื่ พัฒนาเดก็ แตล่ ะวยั นนั ทิยา ตันศรเี จรญิ (2546) ได้แนะนาเทคนคิ การปลูกฝังใหเ้ ด็กรกั การอา่ นโดยผปู้ กครองกบั บตุ ร หลานควรอา่ นหนังสือร่วมกันเป็นประจาทุกวัน ไม่ต้องรอใหถ้ ึงวยั ทเี่ ดก็ อ่านออก เร่มิ ด้วยหนังสือภาพขนาด ใหญท่ ่ีบอกเล่าเรื่องราวดว้ ยภาพ โดยเปิดสมุดดรู ่วมกันกับเด็กแลว้ อ่านเร่ืองราวให้ฟัง สังเกตว่าเด็กชอบ หนงั สอื เลม่ ไหนมากท่ีสดุ อ่านใหฟ้ ังมากที่สดุ แล้วอา่ นให้เขาฟังซ้าๆ เพราะเด็กจะเข้าใจตอ่ เม่อื ได้เห็นและได้ยิน บอ่ ยๆ กระท่ังจาความหมายของคาตา่ งๆ ได้ พูดคยุ ถงึ เร่ืองราวทเ่ี กิดขน้ึ ในหนงั สือเปน็ การทบทวนหลังจาก อ่านจบ บางคร้งั เด็กจะอ่านหนงั สือท่เี ป็นเรอื่ งราวของเขาเอง เพราะยังอ่านไม่ออกแต่จะจิตนาการจากภาพที่ เหน็ แลว้ เล่าเรอ่ื งตามน้นั ผู้ใหญ่ควรรับฟังอยา่ งตัง้ ใจแลว้ คอ่ ยช่วยเสรมิ หรือตั้งคาถามนาเป็นช่วงๆ ใชว้ ิธีจูงใจ อ่าน โดยเร่ิมจากคาศัพท์ที่คุน้ เคยในชีวิตประจาวัน เช่น ช่ือตนเอง พ่อ แม่ ส่วนต่างๆ ของร่างกาย คาตรงกนั ขา้ ม เช่น หน้า-หลงั , ใน นอก สตี า่ งๆ แตไ่ ม่จาเป็นต้องทาตามขั้นตอนเสมอไป ดวู ่าเดก็ กาลังสนใจ อะไรให้รบี สอน เช่น เห็นสนุ ัขกอ็ าจชบ้ี อกวา่ “หมา” เห็นบอ่ ยๆกส็ อนบอ่ ยๆจนจาได้ เอารูปสนุ ัขทีม่ ตี วั หนังสือ เขยี นประกอบใหด้ แู ละลองเขียนในกระดาษเปน็ คาให้ดู ไม่นานเด็กจะอา่ นคานี้ไดแ้ ละเร่ิมสะกดคาอน่ื ๆต่อไป พาลูกไปห้องสมุดและรา้ นหนังสือกับคุณด้วยเสมอ ใหเ้ ดก็ คนุ้ เคยกับบรรยากาศที่เตม็ ไปดว้ ยหนังสอื และไม่ กลัวห้องสมุด สอนให้รู้จักหนังสอื แต่ละประเภทที่มีอยู่เมอ่ื เขาโตพอจะได้สามารถเลือกหนังสือเล่มทต่ี ัวเอง สนใจ พร้อมท้ังอนญุ าตใหเ้ ดก็ เลอื กซอ้ื หนังสอื ด้วยตนเองจะกระตนุ้ ให้เดก็ รูส้ กึ ช่ืนชอบการอา่ น ทาให้การอา่ น เปน็ ส่วนหนึ่งในชวี ติ ประจาวัน เช่น ถ้าเดก็ สนใจการทาอาหารให้ซือ้ ตาราอาหารมาศึกษาวิธีการทาอาหารชนิด ต่างๆ ถ้าเด็กชอบเลน่ กับสนุ ัขทีบ่ า้ นซอื้ หนังสือเก่ยี วกับการเลี้ยงสุนัขมาอ่านรวมกนั กับเขา จะปลูกฝงั ใหเ้ ด็ก

21 เรียนรกู้ ารหาความรู้จากหนังสือตงั้ แต่วัยเยาว์ บอกให้เด็กรู้จักวัตถปุ ระสงค์ของการอ่านท่ีหลากหลายท้ังการ อา่ นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์และการอ่านเพื่อหาความรู้ หรือขอ้ มูลตา่ งๆ ให้หนังสือเปน็ ของขวัญในโอกาสตา่ งๆ เม่อื เด็กเรมิ่ ย่างเข้าสู่วัยรุ่นอนุญาตใหเ้ ขาบอกรับสมาชิก นิตยสาร หรือวารสารทเ่ี ขาสนใจอยา่ งจากัดหนังสือที่ เด็กอ่านยกเวน้ หนังสือที่ไมเ่ หมาะสมจรงิ ๆ เพราะหนงั สอื แต่ละเลม่ ตา่ งมีคุณค่าในตวั เอง อย่าเขม้ งวดกับการ อา่ นมากเกินไป ไม่ควรให้เดก็ รู้สึกวา่ ถูกบงั คับให้อ่าน เพราะเขาจะเกดิ ความร้สู ึกต่อต้าน และทส่ี าคญั อย่าใช้ การอา่ นเปน็ การลงโทษเด็กด้วยการใหเ้ ขานงั่ อา่ นหนังสือตลอดชั่วโมง โดยไม่ให้ดูโทรทัศน์ หรือออกว่งิ เล่น เด็กจะเกดิ ความรูส้ กึ ดา้ นลบกบั การอ่านทันที การปลูกฝังนิสยั รกั การอ่านทด่ี ีนนั้ ควรกระทาตัง้ แต่เด็กยังเลก็ จึง จะได้ผลดี โดยการจัดกิจกรรมการกระตุ้นท่ีเหมาะสมกับเพศ วัยความสนใจ ส่วนวิธีการกระตุ้นนั้นควร พจิ ารณาให้รอบคอบมิเช่นนั้นจะกลายเป็นการเร่งรดั มีการลงโทษ มกี ารบังคบั ใหอ้ ่านจะทาใหเ้ ด็กเกิด ทัศนคตทิ ี่ไม่ดตี ่อการอ่านดังนนั้ ผทู้ ีม่ ีส่วนเกย่ี วขอ้ งทงั้ บา้ น โรงเรียน ห้องสมุด องค์กรตา่ งๆ จึงควรร่วมมือกัน ให้การอ่านเป็นส่วนหน่ึงในชีวติ ประจาวัน บอกให้เด็กรู้ถึงความสาคัญของการอา่ นจึงจะทาให้การดาเนิน กจิ กรรมส่งเสริมการอ่านประสบความสาเร็จ ในการสรา้ งนิสัยรักการอ่านให้กับลกู จากงานวิจยั ของ หทัยรัตน์ ศรวี รเดชไพศาล (2550) ชีใ้ ห้เห็น วา่ การเปน็ ตวั อย่างในการอ่าน ตลอดจนการส่งเสริมกิจกรรมดา้ นการอ่านเช่น การเสรมิ แรงด้วยการชมเชย เม่ือเดก็ อ่าน การพกหนังสือเมื่อเดินทางเปน็ สิ่งสาคัญทจี่ ะทาให้เดก็ ทาตาม การเป็นต้นแบบในการอ่านของ ผ้ปู กครองจงึ มีอิทธิพลต่อการอ่านของเด็ก เช่น อา่ นหนังสือให้ลกู เห็นทุกวันสมัครเปน็ สมาชิกวารสาร จดั หา หนงั สอื ไว้รอบๆ ตวั ในบา้ น การใหห้ นังสือเป็นรางวัลในโอกาสตา่ ง ๆ การอา่ นหนังสอื อยา่ งต้งั ใจและอธิบาย ส่ิงสาคัญต่างๆ ให้แก่เด็ก การอ่านเช่ือมโยงกบั ชีวิตประจาวันอยา่ งไร การเลือกซื้อหนังสือจากร้านหนังสือ การยืมหนงั สือจากห้องสมดุ การอา่ นหนงั สอื เป็นงานอดิเรก การพกหนงั สอื ติดตวั เมื่อเดก็ เห็นแบบอย่างพวก เขาจะซึมซับไปอย่างช้าๆ จนติดตัวจนเป็นนิสัย เช่นเดียวกับ Knipper (2007) ทก่ี ล่าวถึงอิทธิพลสาคัญ นอกเหนอื จากการเปน็ ต้นแบบวา่ การทเ่ี ดก็ ได้รบั การอ่านใหฟ้ ังตง้ั แต่ทบี่ ้านได้รับคาแนะนาทดี่ ี จนอ่านบอ่ ย จะเกดิ เปน็ นสิ ัยรักการอา่ นเช่นเดียวกัน จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การสรา้ งนิสัยรักการอ่าน จาเปน็ ตอ้ งปลูกฝงั ตง้ั แต่เยาว์วัย โดยเริ่มจาก ครอบครัวแสดงตนเป็นตัวอย่างท่ดี ีในการอ่าน สง่ เสรมิ และสนับสนนุ การอ่านเช่นสร้างบรรยากาศในบ้านให้ เป็นบรรยากาศแห่งการอา่ น จัดมมุ หนังสือใหเ้ ขา้ ถึงหนังสอื อย่างง่าย ชวนบุตรหลานให้อ่านหนังสือร่วมกัน เป็นต้น ต่อเนื่องมาท่ีโรงเรียน ต้องอธบิ ายให้เห็นความสาคัญของการอา่ นจัดบรรยากาศและสิ่งแวดลอ้ มท่ีเอื้อ ตอ่ การเรียนรู้เช่นตะกร้าหนังสือเคลือ่ นที่, ต้นไมพ้ ูดได้ ประกวดหนูนอ้ ยนักอ่าน นักข่าวรนุ่ เยาว์เปน็ ต้น การรว่ มมือกนั ท้ัง 2 ฝ่ายจะช่วยส่งเสรมิ ให้นักเรยี นมีทศั นคตทิ ่ีดตี ่อการอา่ นจะนาไปสกู่ ารพฒั นาสติปญั ญาได้ดี

22 2.1.3 การสง่ เสริมนิสยั รกั การอา่ นในประเทศและตา่ งประเทศ การสง่ เสริมนสิ ัยรกั การอา่ นในประเทศ สบื เน่ืองจากรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประกาศให้การศึกษาเป็น วาระแห่งชาตทิ ั้งนี้ได้กาหนดให้ปี 2556 เปน็ ปีแหง่ “การรวมพลัง ยกระดบั คุณภาพการศึกษา” ประกาศ นโยบายเร่งดว่ นที่จะลดปญั หาการอา่ นไมอ่ อก เขยี นไม่ไดข้ องนักเรยี นระดบั ประถมศึกษาโดยให้มีการคัดกรอง นกั เรียนเพ่ือหาเดก็ กลุ่มเส่ียงทยี่ ังไมส่ ามารถอ่านออกเขียนได้ นามาสอนเสริมและกาหนดเป้าหมาย นักเรยี น ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 ทุกคนต้องอ่านออกเขียนได้ร้อยละ 100 ท้งั น้ใี ห้คัดกรองดว้ ยแบบประเมินท่ี เขม้ ข้นและนาผลไปใช้ในการวางแผนการขับเคลอื่ นการปฏริ ูปการเรยี นรทู้ ั้งระบบ รฐั บาลจึงไดเ้ ล็งเห็นความสาคัญของการจดั กจิ กรรมส่งเสริมนิสัยรกั การอ่านให้แก่เยาวชนโดยการ กาหนดนโยบายในด้านการอา่ น การเรยี นรูข้ องกระทรวงศึกษาธิการ ใหป้ ีพุทธศกั ราช 2546 เป็นปแี ห่งการ สง่ เสริมการอ่านและการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้โรงเรียนเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาและชมุ ชนร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนและจัดกิจกรรมสง่ เสริมการอ่านท้ังใน โรงเรยี นและนอกโรงเรียน ท้ังน้ีรัฐบาลยังไดป้ ระกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาตใิ นปี 2552 และกาหนด ทศวรรษการอา่ นหนงั สอื (พ.ศ.2552-2561) จากผลการสารวจสถติ กิ ารอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2554 และ พ.ศ.2556 พบวา่ นโยบายการ สนับสนนุ การอ่านและวิธีการรณรงค์ใหค้ นรักการอา่ นที่ดีท่ีสุดคือ ลดราคาหนังสือใหถ้ ูกลง หนังสอื ควรมี เน้ือหาสาระที่น่าสนใจ ใชภ้ าษาง่ายๆ ท่สี ่ือใหท้ ุกคนเขา้ ถึงไดป้ ลูกฝังการอ่านผ่านครอบครัว ให้สถานศึกษา รณรงค์รักการอา่ น รวมถึงการจดั ทาหอ้ งสมุดประชาชนในชมุ ชน และการปรบั เน้อื หาหนงั สอื รูปเล่มกะทดั รัด ปกสวยงาม มรี ปู ประกอบทาให้อา่ นงา่ ยข้ึนด้วย (อุทยานการเรียนรู้, 2557 และสานักงานสถติ ิแห่งชาติ.2554 และสุขมุ เฉลยทรัพย์, 2552) ซึ่งวิทยากร เชยี งกูล (2552) ให้ความเห็นเกี่ยวกบั สาเหตุท่ีคนไทยไม่อ่าน หนังสอื ว่า เนื่องจากขาดการสง่ เสริมการอ่านจากทางบ้านและโรงเรียน ในส่วนของรัฐบาลก็ขาดการส่งเสริม อย่างจรงิ จัง ดังน้ัน จึงควรรณรงค์แก้ไข ตลอดจนส่งเสริมให้คนไทยมีนิสัยใฝ่รู้และรักการอ่านในส่วน ภาคเอกชนโดยสมาคมผ้จู ัดพิมพแ์ ละผ้จู าหน่ายหนังสอื แหง่ ประเทศไทยได้ศึกษาแนวทางโครงการ Book Start ของประเทศอังกฤษ แล้วริเร่ิมโครงการหนังสอื เลม่ แรกมาต้ังแต่ปี 2547 และในปี 2552 – 2556 โครงการ หนงั สอื เลม่ แรกได้กลายเป็นนโยบายของรฐั บาล โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเปน็ ผู้รับผดิ ชอบ โดยมวี ัตถุประสงค์ เพอื่ ยกระดบั มาตรฐานการอา่ นคนไทยให้สูงข้ึน ใหพ้ ่อแมล่ ูกมีความสุขร่วมกนั ในการอ่านหนงั สือ สรา้ งพื้นฐาน การอา่ น สานสัมพนั ธใ์ นครอบครัว สง่ เสริมการเรียนร้ตู ลอดชีวิตด้วยนิสัยรักการอา่ นผลการดาเนินงานใน 3 ปีท่ผี ่านมา (ปี 2547-2549) ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอยา่ งยิง่ พอ่ แม่ใช้เวลาอยกู่ บั ลูกอย่างมคี วามหมายมากข้ึน สมาชกิ ในครอบครัวมคี วามตนื่ ตวั ในการใช้หนังสอื มากขึ้น พขี่ องเดก็ ซึง่ อยใู่ นวัยประถมตา่ งใหค้ วามสนใจ

23 เข้ามามีบทบาทในการอ่านหนังสอื กับนอ้ งและครอบครัว (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550) ตลอด ชว่ งเวลาได้มีการสารวจผลการสอบและสถิติเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ เพื่อประเมินความก้าวหน้าของ ประชากร ประเมนิ ความรู้หนังสอื ของประชากร ดังน้ี ผลการสารวจการอา่ นหนังสือของประชากร พ.ศ. 2551 พบว่าประชากรอายุ 6 ปขี ึ้นไปอ่านหนังสือ รอ้ ยละ 66.3 และไม่ได้อา่ นหนงั สอื ร้อยละ 33.7 ในกลมุ่ คนทีไ่ ม่อ่านหนังสือ พบว่าไมอ่ ่านหนังสือเพราะดู โทรทัศน์ร้อยละ 50 และไมม่ ีเวลาอ่านหนังสือ ร้อยละ 28.4 ไมส่ นใจ, ไม่ชอบอ่านหนังสือร้อยละ 24.1 และ ประเดน็ สดุ ท้ายรอ้ ยละ 14.2 อ่านหนังสือไมอ่ อก (สานกั งานสถติ ิแห่งชาติ. 2552) ผลการสารวจการอ่านหนังสอื ของประชากรปี 2554 พบวา่ ประชากรอายุต้งั แต่ 6 ปขี ึน้ ไปอา่ นหนงั สือ เพม่ิ ขึ้น จากรอ้ ยละ 66.3 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 68.6 ในปี 2554 ใช้เวลาอา่ นหนังสือนอกเวลาเรียน/เฉลี่ย 35 นาทีต่อวัน น้อยลงจากปี 2551 ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 39 นาทีต่อวัน อ่านหนังสือพิมพ์สูงสุดร้อยละ 63.4 รองลงมาคือตารา หนงั สอื เรียน ร้อยละ 36.6 นวนิยาย/การ์ตนู รอ้ ยละ 35.8 (สานักงานสถติ แิ ห่งชาติ. 2554) สถติ กิ ารอ่านของประชากรไทยปี 2556 ทาการสารวจจากประชากรตวั อย่าง 55,920 ครวั เรอื นไดผ้ ล ปรากฏวา่ คนไทยตั้งแต่อายุ 6 ปี ขึน้ ไปมีอัตราการอ่านหนงั สือร้อยละ 81.8 และใช้เวลาอา่ นหนังสือต่อวัน เฉล่ยี คนละ 37 นาที (สานักงานสถิติแหง่ ชาติ. 2557) ปี 2556 กระทรวงศกึ ษาธิการไดส้ ารวจความสามารถการอ่านออกเสยี งและความเข้าใจการอ่านของ นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 และช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ทวั่ ประเทศ พบว่ามนี ักเรียนที่อ่านไม่ได้ 45,929 คน นกั เรียนทอ่ี า่ นไดแ้ ละเข้าใจบางเรอ่ื งอยใู่ นระดับควรปรับปรงุ 365,420 คน รวมแลว้ มีเดก็ ท่อี ่านหนงั สอื ไม่ แตกฉาน 1 ใน 4 ของจานวนทสี่ ารวจ (สานกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ. 2557) โครงการ ประเมิน ผลนักเรียน นา น าชา ติปี 2012 (พ.ศ. 2555) หรือ PISA (Programme for International Student Assessment) ได้ประเมินผลทักษะความสามารถด้านการอ่าน ผลการทดสอบ นกั เรียนไทยได้คะแนนเฉล่ียด้านการอ่าน 441 คะแนน มนี ักเรียนท่ีมีทกั ษะการอ่านต่ากว่าระดับพ้ืนฐาน ปร ะมา ณ 1 ใน 3 และต่า กว่า ค่า เฉลี่ยของปร ะเทศใน กลุ่ม OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) เกอื บหนง่ึ ระดบั ปี 2557 แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอา่ นสานักงานกองทนุ สนับสนนุ การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ไดส้ ารวจความคิดเหน็ ของเด็กในเขตกรุงเทพและปริมณฑลทม่ี ีอายุระหว่าง 6-13 ปี พบว่าเด็กชอบ อ่านหนังสือที่ไมใ่ ช่หนังสือเรียนร้อยละ 72.80 เหตุผลที่ชอบอ่านหนังสือเพราะมีหนังสอื ท่ีชอบมากท่ีสุด โดยเฉพาะหนังสอื การ์ตูนและมบี คุ คลต้นแบบการอ่าน คือพ่อแม่ชอบอา่ นหนังสือท่ีบ้าน จะอ่านหนังสือน้อย กวา่ 1 ช่ัวโมงมากทีส่ ุด

24 นอกจากน้ี วิทยากร เชียงกูล ( 2552) ให้ความเห็นเก่ียวกบั สาเหตุที่คนไทยไมอ่ ่านหนังสือว่า เน่ืองจากขาดการสง่ เสรมิ การอ่านจากทางบ้านและโรงเรยี น ในส่วนของรฐั บาลก็ขาดการสง่ เสรมิ อย่างจริงจัง ดังนนั้ จงึ ควรรณรงคแ์ ก้ไขตลอดจนสง่ เสริมให้คนไทยมีนิสยั ใฝ่รู้และรักการอา่ น ดงั นี้ 1. สรา้ งกรอบแนวคิดใหม่ของระบบการศกึ ษาไทย โดยกาหนดวา่ การเรยี นรู้จะตอ้ งอาศยั การ รู้จักฟัง การอ่าน คิดวิเคราะห์ โต้แย้ง สังเคราะห์ วิจยั คน้ คว้า เป็นตัวของตัวเอง และวพิ ากษ์วิจารณ์ แทนท่ีจะเป็นการท่องจาตามตารา หรอื ตามท่ีอาจารย์บอกและตอ้ งเปลี่ยนวิธวี ัดผลการสอบปรนัย เป็นการ สอบอัตนัยและทารายงาน ทาโครงการสมั มนา ตลอดจนพัฒนาระบบใหน้ ักเรียนประเมนิ ตวั เอง ซ่ึงสาคัญกว่า คะแนนสอบหรือประกาศนยี บัตร 2. เปลีย่ นวิธีการสอนและส่งเสริมการสอนวิชาวรรณกรรมต้งั แต่ชนั้ เด็กเล็ก ให้เกดิ ความ สนกุ สนานน่าสนใจ สง่ เสรมิ จนิ ตนาการ การคิดตีความอยา่ งหลากหลายเพราะความรทู้ างภาษาเป็นพน้ื ฐาน สาคัญในการเรียนร้วู ิชาอืน่ ๆ 3. ผูป้ กครองและนักเรยี นควรสร้างนิสยั และทศั นคติในการซือ้ หนังสืออ่านแทนการใช้เงนิ เพ่ือ ความสนุกสนานอยา่ งอ่ืนที่มีประโยชน์ ในขณะเดียวกันรัฐบาลควรลดภาษีกระดาษและการพิมพจ์ ัดสรร งบประมาณ ช่อื หนังสอื เข้าหอ้ งสมดุ สถาบนั การศกึ ษาและสร้างหรอื ขยายห้องสมุดประชาชนเพิ่มข้ึน 4. รฐั บาลควรปฏิรูปห้องสมุดท่ัวประเทศใหม้ ีการกระจายอานาจประชาธปิ ไตยและโปรง่ ใสใน การบรหิ ารโดยเฉพาะหอสมดุ แหง่ ชาติควรแยกเป็นองค์กรอิสระและเปดิ สาขาตามจังหวดั ต่าง ๆ ทัว่ ประเทศ 5. สร้างนิสัยรกั การอ่านให้กับเด็กและเยาวชน ลงทุนด้านหนังสอื และส่ือการเรียนรู้ซ่ึง ปัจจุบันเดก็ ๆและเยาวชนหันมาใช้อนิ เทอร์เนต็ มากข้ึน แต่ขาดนสิ ัยรกั การอ่านทาให้ไม่สนใจค้นควา้ แต่นยิ ม คัดลอก คดั แปะขอ้ ความจากบทความและหนงั สอื มาทารายงานสง่ อาจารย์ จากท่ีกล่าวมา สรุปไดว้ ่า จากผลสารวจการอ่านหนงั สือของประชากร ผลสารวจความสามารถใน การอ่านออกเสยี ง พบว่าระดับนิสัยรกั การอ่านของเดก็ ไทยตอ้ งพฒั นาอยา่ งจริงจัง โดยได้รบั ความรว่ มมือจาก หนว่ ยงานและองคก์ รต่างๆ ซงึ่ มีความมงุ่ หมายทพี่ ัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของพลเมืองด้วยการเร่ิมตน้ จากการอา่ น อันเปน็ พน้ื ฐานการเรยี นรูต้ ลอดชีวติ ตั้งแต่เด็กในวัยทารก วยั กอ่ นเข้าเรยี น วยั เรียน จนกระทั่งเรยี นใน ชน้ั สงู ต่อไปกต็ อ้ งมีการฝึกฝนการอ่านให้แตกฉาน สามารถอา่ นคล่อง ใชป้ ระโยชน์จากการอา่ นไดอ้ ย่างเต็มที่ ส่ิงเหล่าน้ีเม่ือได้ฝกึ ฝนบอ่ ยๆ จะทาให้เกดิ นสิ ัยรักการอา่ นในทสี่ ุด การจดั กิจกรรมส่งเสรมิ การอา่ นในตา่ งประเทศ นานาประเทศต่างล้วนแต่ตระหนักถึงความสาคัญของการอ่านว่ามีความสาคญั ตอ่ การพฒั นาคุณภาพ ประชากร ถ้าประชากรอา่ นออกเขียนได้ ใช้การอา่ นในการศึกษาหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างตอ่ เนือ่ งยอ่ ม ส่งผลให้การพฒั นาประเทศเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว ชนะใจ เดชวิทยาพรและคณะ (2552) ศึกษาความสาเรจ็ ของ นโยบายส่งเสรมิ การอ่านของประเทศไทยในระหวา่ ปี พ.ศ.2531-2551 ซึ่งเป็นช่วงท่มี ีการพฒั นานโยบาย

25 ส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเน่ือง เปรียบเทียบกับต่างประเทศจานวน 5 ประเทศ ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดน ประเทศญปี่ ุ่น ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศเวียดนาม พบว่า ประเทศท่ีมี วัฒนธรรมการอ่านอย่างเข้มแข็ง และมีระบบการศกึ ษาดีมีมาตรฐาน รัฐบาลใหค้ วามสาคัญตอ่ การลงทุนดา้ น การศึกษาและพฒั นาหอ้ งสมดุ เพือ่ ส่งเสริมการอ่านของประชาชนในประเทศอยา่ งเป็นระบบ โดยออกกฎหมาย และกาหนดนโยบายในการส่งเสริมนสิ ยั รกั การอ่านดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ภาครัฐและเอกชนร่วมมือและแสวงหาแนวทางในการส่งเสรมิ การอ่านโดยผา่ น การออกกฎหมาย ข้อบังคับที่เก่ียวขอ้ งกบั การอ่านผา่ นระบบการศึกษาและระบบหอ้ งสมดุ ประชาชน รวมถึง กิจ ส่งเสรมิ การอ่าน องค์กรของภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการอ่านของเด็ก ผ่านห้องสมุด ประชาชน ซง่ึ มีเครือข่ายห้องสมุดในชุมชนทอี่ ยใู่ นรฐั ตา่ งๆ ท้ัง 50 รฐั มหี นา้ ท่ีในการกระตุ้นประชาชนให้รัก การอ่านผา่ นศูนย์การอ่าน ซึ่งเร่ิมก่อตงั้ ปี ค.ศ. 1977 นโยบายต่างๆ ทก่ี าหนด มสี ่วนส่งเสริมใหค้ นอเมริกนั รู้ หนงั สือถึงร้อยละ 90 แม้กระทง่ั เด็กนักเรียนชั้นอนบุ าลก็มคี วามสามารถทางการอา่ นระดับดีถงึ ดมี าก ถึงแมจ้ ะ มีผูป้ กครองที่มีการศกึ ษาจบระดับมัธยมปลายและยังมีส่วนสง่ เสริมใหก้ ลุ่มคนอเมริกันท่ีมรี ายได้น้อย ท้ังคน อเมริกันผิวขาว คนแอฟริกัน อเมรกิ ันและคนละตินอเมริกา ทุกคนหันมาดูแลเร่ืองของการอ่านออกเขียนได้ ของเด็กและสมาชิกภายในครอบครัวมากข้ึน โดยมอี งคก์ รเอกชนหลาย ๆ แห่ง ได้เขา้ มามบี ทบาทในการ ส่งเสริมการอ่านของเด็ก เยาวชนและประชาชนในประเทศ เช่นสมาคมการอา่ นนานาชาติ (International Reading Association -IRA) มูลนิธิเพอื่ การอ่านแหง่ ชาติ (The National Right to read Foundation) เป็น ต้น การส่งเสรมิ การอ่านในสหรัฐอเมริกามีจุดยืนท่ีชัดเจนท่ีต้องการให้คนอเมริกันทกุ คนเล็งเห็นถึงความสาคัญ ของหนงั สอื และการอ่านทมี่ ีตอ่ โลกจนทกุ วันน้ี ประเทศสวเี ดน รัฐบาลให้ความสาคญั กับนโยบายดา้ นการอา่ นมาตัง้ แตป่ ี ค.ศ.1905 เป็นประเทศท่ีมี นโยบายและกิจกรรมการส่งเสริมการอ่านอยา่ งมีประสิทธิภาพ อตั ราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรอยู่ใน ระดับรอ้ ยละ 99.99 มีการวิจัยเก่ยี วกับวรรณกรรมหนังสือและนิสยั รักการอา่ น จัดตัง้ เครอื ข่ายรา้ นขาย หนังสอื จัดทาโครงการหนงั สือสาหรบั เดก็ ทกุ คน โดยผลิตหนงั สือท่ีมีคณุ ภาพในราคาถูก ภายใตเ้ งินอุดหนุน ของรฐั บาล มสี ถาบันการเงินสาหรับอุตสาหกรรมหนังสอื มกี ารลดภาษมี ูลคา่ เพมิ่ ให้กับหนงั สือและมีสถาบัน วชิ าการแหง่ สวีเดนเพือ่ หนงั สือเด็ก ความสนใจในการอ่านจึงหยั่งรากฝังลกึ อย่ใู นสังคมชาวสวีเดน ในช่วงปี ค.ศ. 1974 รฐั บาลสวีเดนได้ก่อต้ังสภาวัฒนธรรมแห่งชาติสวีเดน (Swedish National Council for Cultural Affairs-NCCA) ขนึ้ มาเป็นองคก์ รทมี่ ีอานาจหน้าที่ดาเนินนโยบายทางด้านวัฒนธรรม องคก์ รนี้มบี ทบาทอย่าง มากต่อการสง่ เสริมการอ่านของประชาชน โดยรับผิดชอบดแู ลห้องสมดุ ประชาชนและด้านการศึกษาส่งผล สาคัญตอ่ วงวรรณกรรมและนโยบายการอ่าน และในปี ค.ศ. 1996 รฐั บาลนาโครงการหนงั สอื สาหรบั เดก็ สู่ ระบบโรงเรียน โดยมวี ัตถุประสงค์เพอ่ื ที่จะส่งเสริมการอ่านของเดก็ โดยใช้หนังสือมีครูทาหนา้ ทหี่ ลักในการ สง่ เสริมวรรณกรรมและดาเนินกิจกรรมส่งเสรมิ การอา่ นในโรงเรยี นและห้องสมุดต่อมาในปี ค.ศ. 2000

26 ภาควิชาบรรณารักษศ์ าสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยโบราส (Boras University ) ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยกเทนเบิร์ก (Gothenberg University) ศกึ ษาวิจัยดา้ นการอา่ น พบว่า การแวะเวียนเข้า ห้องสมดุ และการอา่ นหนงั สอื เปน็ วัฒนธรรมหลักที่สาคญั ของชาวสวีดิช ประเทศญปี่ ุ่น ชาวญ่ีปุ่นเปน็ ชนชาตทิ ่มี ีอัตราการอ่านหนังสอื พิมพม์ ากทสี่ ุดในโลก ในแตล่ ะเมืองจะมี หอ้ งสมุดประชาชนของตนเองและเป็นท่ีนิยมอยา่ งแพร่หลายในสังคม ห้องสมุดมีของตนเองและจานวน เพิ่มขนึ้ ต่อการเพิ่มขึ้นของจานวนประชากร มอี งค์กรและสมาคมท่ีเก่ียวขอ้ งกับการอ่านและสิ่งพิมพ์เกิดข้ึน มากมาย นโยบายและกจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นของญ่ปี นุ่ มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง จนในปี ค.ศ.1872 ญ่ปี ุ่น เรม่ิ จดั ตัง้ ห้องสมุดประชาชนเปน็ คร้ังแรก พัฒนาห้องสมุดในโรงเรียนระดับหมู่บ้านท่ัวประเทศ มหี ้องสมุด เคล่อื นท่ีโดยขอยืมจากห้องสมุดกลาง จัดต้ังห้องสมุดรฐั สภาแห่งชาติ ห้องสมุดคุณแม่ กระจายหนังสือสู่ นักเรียนไปสูบ่ า้ น และในปี ค.ศ. 1960 กม็ กี ิจกรรมบุงโกะ (Bunko) คือเปดิ บ้านของตนเองเปน็ ห้องสมดุ ตัง้ แต่ ทศวรรษที่ 1990 ญ่ีปุน่ พัฒนาระบบหอ้ งสมดุ โรงเรียนวางแผนจัดตัง้ ห้องสมุดนานาชาตเิ พอ่ื การอ่านของเด็ก พัฒนาหลกั สูตรดา้ นสารสนเทศการอ่านในโรงเรยี น ตลอดจนการแก้ไขกฎหมายห้องสมุดโรงเรียน กาหนดให้ โรงเรียนทีม่ ี 12 หอ้ งเรยี นขนึ้ ไปต้องมีบรรณารกั ษ์ และต้ังแต่ปี ค.ศ. 2000 นโยบายและกิจกรรมสง่ เสริมการ อา่ นของญ่ีปุ่นประสบความสาเร็จอย่างมาก ในการดาเนินกิจกรรมส่งเสริมการอ่านผ่านระบบห้องสมดุ รัฐ จดั ทาโครงการหนังสือเล่มแรกโดยไม่หวังผลกาไร โดยมีเป้าหมายหลกั เพื่อสร้างโอกาสให้ครอบครวั ใชเ้ วลา รว่ มกันและกาหนดให้วันที่ 23 เมษายนของทกุ ปเี ป็นวันอ่านหนงั สือสาหรับเดก็ วัฒนธรรมการอ่านของญีป่ ุ่น ทาใหค้ นญ่ีปนุ่ รักการอา่ นหนังสอื ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี รัฐมีกฎหมาย ระเบียบตา่ งๆ และออกพระราชบัญญัติเกี่ยวกบั การส่งเสริม การอ่าน เพื่อส่งเสริมการอ่าน ม่งุ เนน้ ในการสร้างบรรยากาศการอ่านท่ีดี และมกี ารพฒั นาระบบหอ้ งสมุด อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มกี ารจัดกจิ กรรมส่งเสริมการอา่ นเชน่ โครงการครอบครัวนกั อ่าน โครงการ 1 เมอื ง 1 ห้องสมุด และโครงการ 1 เมือง 1 โครงการรณรงค์รักการอ่าน การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมกี ารสอบวรรณกรรม นอกจากน้ีวฒั นธรรมและความเช่อื ของประชากรท่ีใหค้ วามสาคัญกับการเรียนรู้ เรม่ิ ต้นในระดับครอบครวั ท่ี เปน็ พน้ื ฐาน สร้างความเข้มแข็งใหก้ บั ประชาชนในอนาคต โดยมงุ่ เน้นการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ใน เดก็ เยาวชน และการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิตสาหรับคนทุกเพศทุกวัยโดยไมแ่ บ่งแยก จดั กิจกรรมที่ส่งเสริมการอา่ น ทัง้ ในเดก็ ก่อนวยั เรยี นและกจิ กรรมสาหรบั ครอบครัวสรา้ งมาตรฐานของหอ้ งสมดุ และพัฒนาห้องสมุดโรงเรียน มีการแบง่ แยกหน้าที่ในการส่งเสริมการอา่ นและการพฒั นาห้องสมุดอย่างชัดเจน กิจกรรมและเหตุการณ์ท่ี นา่ สนใจเช่น ส่งเสริมส่ือออนไลน์เพือ่ รองรับแผนการศึกษาในยุคสารสนเทศเพ่ือบริการ หอ้ งสมุดขนาดเล็ก เพ่ือให้ประชาชนจัดต้ังหอ้ งสมุดทใี่ ห้บริการสาหรับเดก็ กาหนดแม่แบบในการพฒั นาและส่งเสริมการใช้ หอ้ งสมุดโรงเรียนให้เปน็ ห้องสมุดท่ีดี นอกจากนี้ยังออกพระราชบญั ญัติ การส่งเสริมการอ่าน โดยสร้าง หอ้ งสมดุ แห่งชาติสาหรับเดก็ และเยาวชนสาหรบั รณรงค์การอา่ นของเด็กกอ่ นวัยเรยี น เทศกาลเรอ่ื งเลา่ สาหรับ

27 ครอบครัวเพ่ือดึงดูดให้ครอบครัวได้มาใช้บรกิ ารและมีประสบการณ์ทีน่ ่าประทับใจจากหอ้ งสมุด โดยจดั เป็น สปั ดาหแ์ ห่งการอ่านและจดั ทาเป็นเทศกาลหนังสือ มีการจัดอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้การอ่านเปน็ วัฒนธรรม ของคนในประเทศและยังพัฒนาการสง่ เสรมิ การอา่ นแบบเปน็ องคร์ วมโดยรวมทุกภาคสว่ นเขา้ ด้วยกัน ประเทศเวยี ดนาม ปัจจบุ นั พบว่า ความสาเร็จค้านการศึกษาและการอ่าน มสี ถิติในระดับสงู ปจั จยั ที่ สาคัญทส่ี ุดคอื ความทมุ่ เทอยา่ งตอ่ เน่อื งของรัฐบาลต่อการพัฒนาระดับการอ่าน ตระหนกั ถึงความสาคัญของ การรูห้ นังสอื และการอา่ นออกเขยี นได้ รฐั บาลยึดเป้าหมายการพัฒนาอตั ราการรูห้ นงั สือเป็นยุทธศาสตรห์ ลัก ให้ความสาคญั ของการรหู้ นงั สือเท่าเทยี มกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ กาหนดการอ่านกับการศึกษาในระบบ การศึกษาภาคปกติ ซึ่งมีลักษณะสาคญั คือ สร้างความสามารถทางภาษาท้องถิ่นละภาษาองั กฤษ กาหนดให้ วชิ าวรรณคดีเป็นวิชาเรียนหลักท่ีต้องเรียนในทุกหลักสูตรและทกุ ระดับชั้น ส่งเสริมการอ่านเพ่ือตดิ ตาม ข่าวสารรอบตัวให้รูเ้ ทา่ ทนั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมโลก ในขณะเดียวกันกย็ ังให้ความสาคัญกับการศึกษา นอกระบบ คอื การจดั การศึกษาให้แก่ผู้ด้อยโอกาสและประชาชน กากับและควบคุมอย่างเข้มงวดจาก ส่วนกลางไปยังท้องถ่นิ เพื่อพฒั นาให้การอา่ นถกู นาไปใช้ไดก้ ับวิถีชวี ิตสมัยใหม่ นอกจากน้ีปัจจัยทางวัฒนธรรม รกั การอ่าน การเรียนรู้ด้วยใจ ความทะเยอทะยาน ใฝร่ ู้ และการอา่ นด้วยความสมัครใจเป็นคุณสมบตั ิต่อ การเรียนรูอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งด้วยตนเองไปตลอดชีวิตของคนเวยี ดนาม เมอ่ื พิจารณาประเทศในแถบเอเชยี ที่มคี วามก้าวหนา้ ในการจัดการศกึ ษาอีกประเทศหนง่ึ คือ ประเทศ มาเลเซียได้จัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ การอา่ นท่ีประสบผลสาเรจ็ โดย The National library of Malaysia (2000) ได้กาหนดนโยบายขององคก์ รเพื่อสรา้ งนิสัยการอา่ นแกค่ นในสงั คม ประชากร เป้าหมายในการจัดกจิ กรรม ได้แก่ เด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ กจิ กรรมท่จี ดั เพือ่ ส่งเสรมิ การอา่ นแก่เด็ก ได้แก่ การเล่าเรือ่ ง (Story-telling) การวาดภาพ (Drawing) การแสดงหุ่น (Puppetry) โรงละคร (Theatre) การประกวดการค้นสารสนเทศ (Information Seeking Contest) คา่ ยคอมพิวเตอร์ (Computer camp) การประกวดการสร้างหนงั สือภาพ (Creative illustration of story book competition) กิจกรรมพบนักเขียน ( Mect-the-author session) การทดสอบ (Quizzes) การโต้วาที (Debating contest) เป็นต้น กจิ กรรมเหลา่ น้จี ัดโดยใช้หนังสือเปน็ ฐาน (Book-based) และสมั พันธ์กบั การอา่ น โดยมีความคาดหวงั วา่ จะทาให้เด็ก เยาวชน รักหนังสือมากข้ึน และปลกู ฝังนสิ ยั รกั การอ่าน นอกจากกจิ กรรมสง่ เสรมิ การอ่านดังกล่าวแล้ว การจัดโปรแกรมสง่ เสรมิ การอา่ นมนี กั จดั กิจกรรมจาก หลายสถาบันโดยเฉพาะจากชนบท การดาเนินงานใช้ใบปลิว โปสเตอรใ์ ห้ความร้แู ก่ประชาชนในการสร้าง หอ้ งสมุดทบ่ี ้าน (Home library) เพราะเขาเชื่อว่าการอา่ นในระยะแรกควรเร่ิมต้นที่บา้ น ดังนั้นบ้านควรมี บทบาทสาคัญในการบ่มเพาะนิสยั รักการอา่ นให้แก่สมาชิกในครอบครัว

28 ลกั ษณะของห้องสมุดท่ีบา้ นอาจจะมีห้องท่ีว่างหรือมุมในบ้านเป็นที่เก็บวัสดุการอ่านพวกหนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร คู่มือการใช้อุปกรณ์ สอื่ การเรียนรู้ แถบบันทึกเสียง วีดีทัศน์ แผนภมู ิ เปน็ ต้น บางบ้านอาจมคี อมพิวเตอร์ อุปกรณ์เหลา่ น้ีอาจจัดไว้บนชั้นเพื่อสร้างบรรยากาศและอานวยความสะดวกใน การอ่าน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในบรรดาห้องสมดุ ประเทศแถบอาเซยี น ในการประชุมประจาปีท่ี กรงุ เทพมหานคร ในชว่ งวันที่ 20-28 สิงหาคม 1999 (65th IFLA Council and general conference) ได้สรุปว่ากิจกรรมสง่ เสริมการอ่านท่ีมปี ระสิทธภิ าพและประสบความสาเร็ จในหอ้ งสมุดอาเซยี นแบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ 1. โปรแกรมการใช้หนงั สือเป็นฐาน (Book-based programming) ได้แกก่ จิ กรรมดงั นี้ 1.1 การจัดหาหนงั สือโดยการจัดทารายการหนังสือ รายละเอียดสรุปของหนงั สือแต่ละเล่มมี การเขยี นหัวข้อไว้อย่างชดั เจน 1.2 โปรแกรมการอ่านได้แก่ 1.2.1 คา่ ยการอา่ น (Reading camp) 1.2.2 ประกวดการอา่ น (Reading contest) 1.2.3 การเล่าเร่ืองจากหนงั สอื (Book talk) 1.2.4 อา่ นหนงั สือให้ฟงั (Read aloud to children) 1.2.5 การแต่งกวี (Creative poetry) 1.2.6 หนงั สอื ภาพ (Picture book) 1.2.7 การเลา่ นทิ านพื้นบ้าน เรื่องสน้ั (Story hours) 1.3 กิจกรรมการฝึกปฏิบตั ิ ได้แก่ 1.3.1 กิจกรรมการแสดงละคร (Dramatic activities) 1.3.2 การใชห้ ่นุ (Puppets) 1.4 การใชง้ านศลิ ปะพ้ืนบ้าน (Craft activities) 1.5 การแขง่ ขนั (Competition : Quiz) 1.6 กิจกรรมรายบคุ คล (Activities for individual) 2. การนาหนังสือสู่ท่ีสาธารณะ (Singing books to public) ได้แกก่ ารเตรยี มจัดนทิ รรศการหนังสือ ในหอ้ งสมุดในชมุ ชน การสง่ เสริมสิ่งพมิ พ์ท่ีนา่ สนใจ อา่ นง่าย เช่นเร่อื งเก่ยี วกับสขุ ภาพ การเกษตร การเล่า วรรณกรรมท่ไี ม่ได้ตพี มิ พ์ จดั พมิ พเ์ ป็นชุดสาหรับให้แต่ละหมู่บ้าน ชุมชนอา่ น เช่นจัดขา่ วจากหนังสอื พิมพ์ วิทยแุ ละรายการโทรทศั น์ กระตนุ้ ให้รู้จกั แหล่งหนังสอื และแหล่งการอ่านหนงั สอื แกค่ นในชุมชน

29 3. การใช้รูปแบบใหม่ในการจัดกิจกรรม (New format to promote reading) การจัดกิจกรรม สง่ เสริมการอ่านของห้องสมุดในอาเซียนที่กล่าวมาทั้งหมดถอื ว่าเป็น ภารกจิ หลักท่ีจะต้องกระทาโดยการ ประสานงานการจดั บริการด้วยความมีน้าใจของบรรดาประเทศเหลา่ สมาชิก เพ่อื พัฒนาให้ประชากรทุกคนมี นสิ ัยรกั การอา่ น รักการเรยี นรู้เพ่อื จะอยู่ในสงั คมโลกในปัจจุบนั ซ่ึงเปน็ สังคมฐานความรู้ ทางกระทรวงศึกษาธิการและหอสมุดแห่งชาตแิ ห่งประเทศนิว ซแี ลนด์ (Ministry Education and National Library of New Zealand. 2002) ได้กาหนดแนวทางสาหรับโร งเรียนในด้านการสร้าง สภา พ แวดลอ้ มทส่ี ง่ เสรมิ การอ่านไวด้ งั นี้ 1. ครตู ้องใชห้ ้องสมดุ เป็นแหลง่ ทรัพยากรสาคญั ในการพัฒนาการรหู้ นังสอื ให้แก่เด็ก 2. บรรณารักษ์ต้องสนับสนุนและปลูกฝงั นิสัยรักการอา่ นให้แกเ่ ด็ก อันจะช่วยพัฒนาให้เดก็ เป็น นกั การอ่าน ท้ังนี้โดยสร้างสภาพแวดล้อมของหอ้ งสมุดทเี่ อ้ือต่อการพัฒนาการอ่านไมว่ ่าจะเป็นสงิ่ อานวยความ สะดวก ทรพั ยากรสารสนเทศ ระบบและบรกิ ารของห้องสมุด 3. โรงเรียนตอ้ งแสวงหากลยทุ ธ์ในการเพิ่มพูนความรขู้ องครเู กีย่ วกบั หนงั สือสาหรบั เดก็ และเยาวชน 4. บุคลากรของโรงเรยี นไม่ว่าจะเป็นครหู รือบรรณารักษต์ อ้ งมีนิสยั รักการอ่านและเป็นแบบอย่างท่ีดี ให้แก่นกั เรียนในด้านการอ่าน 5. บุคลากรของโรงเรยี น โดยเฉพาะอย่างยงิ่ บรรณารกั ษต์ ้องใช้กลยทุ ธ์ท่ีมปี ระสิทธิภาพในการสง่ เสริม วัฒนธรรมการอา่ นในโรงเรยี นตลอดจนในชมุ ชนทโี่ รงเรียนต้ังอยู่ 6. โรงเรียนสามารถขยายประสบการณ์และทักษะในการอ่านของเด็กด้วยการสร้างความรว่ มมือ ระหวา่ งห้องสมุดโรงเรยี นกับห้องสมุดประชาชน นอกจากนี้ JohnssonSmaragli and Ionsson (2006) ไดท้ าวจิ ยั ทที่ าการเก็บขอ้ มูลระยะยาวเพอื่ ศกึ ษานิสยั รักการอ่านของเด็กพบวา่ นิสัยรกั การอ่านของเดก็ จะเกดิ ข้นึ ในวยั ก่อนเข้าเรียนและในระยะแรกๆ ของวยั เรยี น และนิสยั รกั การอา่ นมี 2 ลักษณะ คอื 1) พฤติกรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ (actual behavior) เชน่ จานวน หนังสือท่ีอ่านในระยะเวลาใดเวลาหนง่ึ 2) พฤติกรรมทเ่ี ป็นนิสัย (habitual behavior) ได้แกค่ วามถี่ในการ อา่ น และระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการอ่านเชน่ จานวนชว่ั โมงที่อ่านหนงั สือต่อสัปดาห์ ส่วน Scales and Rhee (2001) กลา่ ววา่ รปู แบบของการอ่าน (reading pattem) คือ พฤตกิ รรมทบ่ี ุคคลทาช่วงก่อนอา่ น ระหว่างอ่านและหลัง การอ่าน รปู แบบการอ่านมี 3 ส่วนคอื 1) ก่อนการอา่ น ผอู้ ่านมีการระบุวัตถุประสงคข์ องการอ่านหรือดู ลกั ษณะเนื้อหาของหนังสือทจี่ ะอา่ น 2) ระหว่างการอา่ น เช่นการใชเ้ ทคนิคตา่ งๆ เพือ่ ถอดความหมายคาศัพท์ ใหม่ทไ่ี มท่ ราบความหมายมาก่อน และการรับรู้วา่ หนังสือหรอื สงิ่ พมิ พ์ทอ่ี ่านมีความยากลาบากในการอ่าน หรือไม่ และผู้อ่านเขา้ ใจความหมายของสง่ิ ท่ีอา่ นหรือไม่ 3) ภายหลังการอ่าน เป็นคาถามเกี่ยวกับการ เช่ือมโยงและการแลกเปลี่ยนเรยี นร้กู บั ส่ิงที่ได้อ่าน

30 จากทก่ี ลา่ วมา สรุปได้ว่า การจดั กิจกรรมสง่ เสริมการอา่ นในตา่ งประเทศ โดยแต่ละประเทศ จะปลูกฝงั นิสัยรกั การอ่านตัง้ แต่เด็กเล็กท่ียังพดู ไมไ่ ด้ อ่านไม่ได้ เพื่อจะให้เด็กนั้นซมึ ซับการอา่ นเปน็ ส่วนหน่ึง ของชวี ิต มีการจัดห้องสมุด สรา้ งบรรยากาศการอ่านเพื่อกระตุ้นให้เกิดความอยากอ่านหนังสือ จัดสภาพ แวดลอ้ มให้เข้าถงึ หนงั สอื โดยง่าย ซง่ึ เป็นวธิ ีการสร้างเสริมนิสัยรักการอ่านที่เริ่มต้นจากบา้ น มาสู่โรงเรียน รบั ชว่ งพัฒนาตอ่ ยอด ทาใหเ้ ด็กตา่ งประเทศมีระดบั การอ่านทีส่ งู กวา่ ประเทศไทย 2.1.4 ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การส่งเสรมิ นิสัยรักการอ่าน ปัจจยั ที่มผี ลตอ่ การส่งเสรมิ นิสัยรกั การอา่ นมีหลายประการ ผลการสารวจของสานักงานอุทยานการ เรยี นรู้ (2552) เก่ยี วกับพฤตกิ รรมและนิสัยรกั การอ่านของคนไทย พบวา่ ปัจจัยทีม่ ีผลกระทบต่อนสิ ัยรักการ อ่าน ไดแ้ ก่ 1. นโยบายภาครัฐ โดยรัฐควรมีนโยบายสนบั สนนุ การศกึ ษาท่ีชดั เจนและตอ่ เน่ืองมีการ สนับสนนุ งบประมาณอย่างพอเพียงและใหค้ วามสาคญั กับการอ่านหนงั สือของเยาวชน 2. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของการอ่านหนังสือและสนบั สนุนการซ้ือหนังสือท่ีดแี ละมคี ุณค่า ให้กับลูก 3. ครอู าจารยต์ ้องมเี ทคนคิ และวธิ ีการสอนทที่ าใหเ้ ยาวชนมีทศั นคติทีด่ ตี ่อการอ่านและตอ้ งมี คุณภาพในการปลูกฝงั นสิ ยั รักการอา่ นและความรู้แก่เยาวชน 4. หนังสือส่งเสริมการผลิตหนังสือมีคุณภาพดีท้ังเน้ือหาและรูปแบบมีราคาไม่แพง เพื่อที่ เยาวชนสามารถหาซอ้ื มาอา่ นได้ 5. บรรยากาศในสังคม ควรมีบรรยากาศของสังคมแห่งการเรียนรู้และการอา่ นหนังสือมี สถานท่ีอา่ นหนังสอื ที่สะอาด สะดวกสบาย เหมาะสมกบั การอา่ น ซ่งึ กระจายอยูใ่ นชุมชนตา่ งๆ อย่างท่ัวถงึ 6. ต้นแบบ มีบคุ คลต้นแบบในสังคมท่ีเยาวชนนิยมชมชอบโดยเป็นต้นแบบผู้รักการอ่าน หนังสอื เพ่ือกระตุ้นให้เกิดการเลียนแบบนิสยั และมีต้นแบบที่หลากหลายกลุ่มอายุเพื่อให้เหมาะสมกับ เยาวชน จากงานวจิ ัยของ (อุทยานการเรียนรู้) ปจั จัยหรอื เง่ือนไขทีห่ ลอ่ หลอมสู่การสรา้ งนิสยั การอา่ นของ บคุ คล จนมั่นใจทจ่ี ะระบตุ นเองวา่ “เปน็ คนชอบอ่าน” น้ัน สามารถแบง่ ออกได้เป็น 3 กลมุ่ ได้แก่ ปจั จยั ดา้ น โครงสรา้ งทางสงั คม ปัจจยั ภายในของบคุ คล และปจั จยั ภายนอกอนื่ ๆ ดงั นี้ 1. ปัจจัยดา้ นโครงสรา้ งทางสงั คม 1.1 การหล่อหลอมของครอบครวั ครอบครัวเป็นสถาบนั ทางสงั คมทมี่ ีบทบาทสาคัญอยา่ งย่ิง ในการหลอ่ หลอมนิสัยรักการอ่านให้กับเยาวชน โดยใช้กระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่ทาใหเ้ ยาวชนมี แบบอยา่ งมีผู้คอยเอาใจใส่ดูแลและสนบั สนุนส่งเสริม มีส่ือการเรียนรู้ประเภทต่างๆ มาสนับสนุนให้เยาวชน เรียนรูไ้ ด้เรว็ ข้นึ

31 1.2 การหลอ่ หลอมของโรงเรียน โรงเรยี นเป็นสถาบนั ทางสงั คม มีหนา้ ที่โดยตรงในการให้ การศึกษาเพื่อพฒั นาคุณภาพของเด็ก ๆ และเยาวชน โดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอน และการจัด กจิ กรรมเสริมหลักสูตรต่างๆของโรงเรียน การพัฒนาให้เด็กและเยาวชนอา่ นออกเขยี นได้จึงเป็นภารกิจสาคัญ ของโรงเรียน ในฐานะผู้ออกแบบกิจกรรมทางการศึกษา การสนับสนุนส่งเสริมและการพัฒนาทักษะ ความสามารถในการอา่ นท่ีสูงข้ึน มีการอบรมบม่ นสิ ัย การคัดสรรสคู่ วามเป็นเลศิ การสร้างตวั แบนท่ีดดี ้าน การอ่าน รวมท้ังการกดดัน บังคบั และการลงโทษ เพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่ว มีความ เข้าใจ วเิ คราะห์เปน็ จบั ประเดน็ สาคญั ได้ จนถึงขน้ั ทก่ี ลา่ วไดว้ ่ามีความแตกฉานในการศกึ ษาเรยี นร้เู ด็กและ เยาวชนจานวนมากท่พี ลาดโอกาสในการปลูกฝงั ให้เป็นผู้รักการอ่านโดยครอบครวั จึงมีโอกาสได้เร่ิมต้นท่ี โรงเรียน 1.3 การหล่อหลอมการอา่ นจากวัด สังคมไทยในอดีตจะมีวัดเป็นศนู ย์รวมของกิจกรรมท่ี หลากหลาย รวมทัง้ การศกึ ษาแตส่ าหรับเยาวชนหญิงหรือเยาวชนในยคุ ปจั จบุ ันอาจจะไม่มโี อกาสได้เรยี นรู้ดา้ น การอ่านจากวัด แม้บางโรงเรยี นจะมีคาว่า “วดั ” เปน็ ส่วนหน่ึงของช่ือโรงเรียน หรือโรงเรียนตงั้ อย่ใู นบรเิ วณ วดั หรอื วดั บางแห่งอาจจะมโี รงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรมแผนกสามัญศึกษาอยกู่ ต็ าม เนื่องจากระบบการศึกษา สาหรับคนรุน่ ใหมไ่ ดแ้ ยกตัวออกจากวัดอยา่ งชดั เจนนานแล้ว บทบาทของวัดในด้านการให้การศึกษาทว่ั ไปแก่ เยาวชนจึงเลือนรางไป 1.4 การหล่อหลอมการอา่ นจากหนว่ ยงานหรือองค์กรอนื่ ๆ หนว่ ยงานทปี่ ฏบิ ัตกิ ารอยใู่ นพื้นที่ หรือองค์กรในทอ้ งถน่ิ ก็มีสว่ นอยู่บา้ ง ในการส่งเสริมการอา่ นของประชาชนใหม้ ากข้ึน เช่น สานกั งานส่งเสริม การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย (กศน.) องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ (อปท.) ผู้นาในชุมชน ท้องถิ่น เป็นต้น ในฐานะที่เป็นฝ่ายสนับสนุนสง่ เสริมการอ่านของประชาชน โดยการจัดโครงการทาง การศึกษานอกโรงเรียน การจัดให้มีท่อี ่านหนังสอื หรือหอ้ งสมุดในท้องถ่นิ เพ่อื ส่งเสริมการอ่านและเปดิ โอกาส ให้ประชาชนในทอ้ งถิ่นเขา้ ถงึ หนงั สอื หรอื การแสวงหาความรู้จากการอา่ นหนงั สือ 2. ปัจจัยภายในของบุคคลคุณลักษณะของบุคคลมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างนิสัยการอา่ น โดยเฉพาะการเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือ มีทศั นคตทิ ่ีดีต่อการอา่ น มีวุฒิภาวะที่ สงู ข้ึนสติปัญญาความสามารถในการอา่ น หน้าที่การงาน ฐานะความเปน็ อยแู่ ละรายไดต้ ลอดจนคุณลักษณะ อื่น ๆ 2.1 การเป็นคนใฝร่ ู้ใฝ่เรียนเป็นบุคลิกเฉพาะอีกประการหนึ่งของผู้ที่รกั การอ่าน เปน็ ความ สนใจใฝ่ร้ขู องตนเองหรือการเปน็ บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ (learning person) เหน็ ประโยชน์ของการอา่ น มคี วาม รูส้ กึ ที่ดีตอ่ การอา่ น และอ่านตอ่ เนื่องมาอยา่ งสมา่ เสมอ 2.2 การเห็นคุณคา่ ของการอ่าน ในการใฝ่รใู้ ฝ่เรียนของเดก็ และเยาวชนนั้น ส่วนหนึ่งเกิด จากการมองเห็นคุณคา่ ของการอ่าน โดยเฉพาะคณุ คา่ แหง่ เน้ือหาสาระของหนังสือท่อี า่ น เชน่ อา่ นแล้วทาให้

32 เกิดความรูค้ วามเข้าใจที่ชัดเจนในเรอื่ งต่าง ๆ อา่ นแลว้ ได้คาตอบหรอื มีทางออกสาหรบั ปัญหาท่ีติดคา้ งอยใู่ นใจ อ่านแลว้ ไดแ้ นวคิดแนวปฏบิ ตั ทิ ช่ี ัดเจน อ่านแลว้ ทาใหม้ ีหลกั ในการดาเนนิ ชวี ิต เปน็ ต้น 2.3 การมีทศั นคตทิ ี่ดีต่อการอ่าน เมอ่ื เห็นคุณค่าและได้รบั ประโยชนจ์ ากการอ่านตามคุณค่า ที่ตนให้ไว้ ทาใหพ้ ัฒนาการสกู่ ารมีทัศนคตทิ ีด่ ีต่อการอ่านไดแ้ ละมคี วามสุขทีไ่ ด้อ่านหนงั สือ 2.4 การมีวุฒิภาวะท่สี ูงขึ้น ความรู้สึกชอบท่ีจะอ่านหนังสือของตนไม่ได้เร่มิ ตน้ ต้ังแตใ่ นวัย เด็กหรือในชว่ งวยั เรียน แต่มีพฒั นาการสะสมและมีความชัดเจนข้ึนเม่ือมีอายุมวี ุฒภิ าวะ หรือมีภาระหนา้ ที่ และความรบั ผดิ ชอบมากข้นึ ทาให้มีการปรับเปลี่ยนความคิดและพฒั นามาเปน็ ผู้ทช่ี อบอ่านในภายหลัง 2.5 สตปิ ญั ญาความสามารถในการอ่านเปน็ ปัจจัยหนง่ึ ที่ทาให้บคุ คลชอบหรอื ไม่ชอบทจ่ี ะอ่าน ผ้ทู อ่ี ่านแล้วสามารถจับประเดน็ ได้ ตีความได้ วเิ คราะห์ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการทางาน รวมท้งั การอธบิ ายถ่ายทอดให้คนอืน่ เข้าใจตามไดท้ าให้เกิดความภูมใิ จในตนเองและเป็นการเสรมิ แรงไปพร้อมๆ กัน บุคคลลักษณะนีจ้ งึ ประสบความสาเรจ็ จากการอ่าน ได้รับการยอมรับและจะเป็นผทู้ ่ีรักการอ่าน ในทาง ตรงกันขา้ มหากผู้อ่านมที ักษะทางสมองทช่ี ้ากว่า อ่านอย่างไม่มีประสิทธภิ าพ จาไม่ได้ วิเคราะห์ไมเ่ ป็น ไมเ่ กิดความเขา้ ใจในการอา่ นกจ็ ะต้องใชเ้ วลาอ่านนานขนึ้ หรือตอ้ งอา่ นมากขึน้ จึงจะเกิดความเขา้ ใจ 3. ปัจจยั ภายนอกของบุคคลอกี หลายประการและบางประการอาจอยูน่ อกเหนือการควบคุมของ บุคคลที่เข้ามามีส่วนเก่ียวข้องกับการ สร้า งนิสัยการอ่านด้วย เช่น บริบททา งสังคม สังคมเพื่อน สภาพแวดล้อมทเ่ี อื้อตอ่ การอ่าน ระบบการศึกษาของประเทศ นโยบายของรัฐเกีย่ วกับการส่งเสริมการอ่าน ระบบตลาดและการกาหนดราคาหนังสือและปจั จัยอนื่ ๆ 3.1 บริบททา งสังคมโดยท่ัวไปหมายถึงสภา พของชุมชนที่อยู่อาศัยและท่ีทา งานว่า มี บรรยากาศท่ีเอื้อต่อการกระตุ้นหรอื ผลกั ดนั ใหบ้ คุ คลเห็นความสาคัญของการอ่านหรือไม่ หากบุคคลอาศยั อยู่ ในบรบิ ทของสังคมทต่ี อ้ งใช้ความรู้ในการดาเนินชีวติ หรือทางานอยู่ในสถานทีท่ ีต่ ้องใชค้ วามร้ใู นการปฏิบัตงิ าน (มลี กั ษณะเปน็ knowledge worker) สภาพสังคมเป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ยอมรับและให้ความสาคัญกับผู้รู้ ตลอดจนการใช้ความรู้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาบุคคลก็จะมกี ารเรยี นรอู้ ยู่เสมอ (มีลกั ษณะเป็น learning person)และงา่ ยต่อการพฒั นาดา้ นการอ่าน แต่หากสภาพสงั คมเป็นสังคมชนบท ผคู้ นส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มฐี านะค่อนข้างยากจน มีแบบแผนการดาเนินชีวติ เรียบง่าย หรือทางานอยู่ในสถานที่ที่ไมไ่ ด้ใชว้ ชิ าความรู้ มากนัก ความจาเป็นในการอ่านหนังสอื จึงมีไม่มากและทาให้ไม่อ่านหนงั สอื หรืออา่ นหนงั สอื น้อยลง 3.2 สงั คมเพ่อื นสาหรบั เด็กและเยาวชนโดยทัว่ ไปนั้น นอกจากจะได้รบั อทิ ธพิ ลจากครอบครัว และโรงเรียนแล้ว สังคมเพื่อนที่เขาคบหากันก็นับว่าเป็นแหล่งอิทธิพลที่มีความสาคัญต่อความคิดและ พฤติกรรมการอ่านอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นซง่ึ เป็นช่วงที่กาลงั แสวงหาตัวตนและความเป็น อสิ ระ เด็กๆจะตดิ เพื่อนมากและอาจเช่ือเพ่ือนมากกว่าพอ่ แม่หรอื ครู ผู้ร่วมสนทนากลมุ่ ทเี่ ป็นพอ่ แม่ผปู้ กครอง จานวนมากยอมรับวา่ บุตรหลานของตนได้รับอิทธิพลจากเพอ่ื น โดยเฉพาะอทิ ธพิ ลที่จะชักจูงกันใหอ้ อกหา่ งไป

33 จากการอา่ นขณะท่ีคนชอบอา่ นช้ีใหเ้ หน็ ว่าเพอ่ื นเป็นผทู้ สี่ ร้างแรงจูงใจให้อา่ นและการสนทนา และการสนทนา แลกเปลี่ยนกบั เพื่อนทช่ี อบอ่านจะทาให้มวี งการสนทนามีขอบข่ายเนือ้ หาท่ีกวา้ งขึ้น หรอื แมแ้ ตก่ ารคบเพ่ือนท่ี ชอบหรือมีความถนัดในเร่ืองใดเร่อื งหนงึ่ ก็สามารถสร้างแรงจงู ใจใหส้ นใจติดตามเรอ่ื งนั้นอีกด้วย 3.3 สภาพแวดลอ้ มท่เี อ้ือต่อการอ่าน สภาพแวดล้อมและบรรยากาศทเ่ี อ้ือตอ่ การอา่ นเป็นอีก ปจั จัยหน่ึงที่มกี ารกล่าวถงึ วา่ มสี ว่ นทาให้เกิดความร้สู ึกทนี่ ่าอ่าน อยากอา่ นและอ่านไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ เชน่ สภาพแวดลอ้ มทม่ี ีความสงบเงียบ ไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิเป็นธรรมชาติและมีสง่ิ อานวยความสะดวกในการ อา่ นที่เพียงพอเปน็ ต้น 3.4 ระบบการศึกษาระบบการศึกษาซ่ึงครอบคลุมเป็นแม่บทของการจัดการเรียนการสอน ของประเทศนับว่ามีผลอย่างมากต่อการหล่อหลอมทกั ษะการอา่ น เน่ืองจากระบบการศึกษาจะมผี ลตอ่ การ จดั การโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการในโรงเรียน รวมไปถึงหลกั สูตรและการจดั การเรียนการสอนการ จดั กิจกรรมสนบั สนนุ ส่งเสริมต่างๆ รวมท้ังเร่ืองการสอนอา่ นและการนากจิ กรรมการอ่านไปใช้ในการวัดและ ประเมนิ ผล 3.5 นโยบายของรฐั เกี่ยวกบั การส่งเสริมการอา่ นของรัฐที่ดาเนนิ การผ่านเปน็ นโยบายสาคัญที่ มสี ่วนผลักดันให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ แต่ก็มกั มีขอ้ จากัดในเรื่องความต่อเน่อื งของโครงการหรอื การนา นโยบายสูก่ ารปฏิบตั ิมีความเข้มงวด จนไม่สามารถปฏิบัติได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เชน่ นโยบายการใหย้ ืม หนังสือเรยี น ซึ่งนักเรียนจะต้องนาหนังสือส่งคนื ในสภาพท่ีเรียบร้อย ไม่มีการขีดเขียน หากชารดุ เสียหาย จะต้องส่งคืนเปน็ เงนิ ทาใหเ้ ดก็ ๆ ไม่กล้าที่จะนาหนงั สือไปใช้ด้วยเกรงว่าหนังสอื จะเก่าหรือถกู ขโมย ในท่สี ุดก็ ไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์จากหนงั สอื ตามโครงการยมื เรยี น เป็นตน้ 3.6 ระบบตลาดและการกาหนดราคาหนังสอื ปัจจบุ ันมีการผลิตหนังสือและส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ ในปริมาณท่ีสูงข้ึนหลากหลายขึ้น แตก่ ารกระจายของหนังสือไปยังท้องถิ่นชนบทกย็ งั มไี ม่มาก หนังสอื ส่วน ใหญ่ยังกระจกุ ตวั อยใู่ นเขตเมอื ง ประกอบกบั การกาหนดราคาหนังสือเป็นไปตามกลไกตลาดและมักมีราคา แพง จนเป็นอุปสรรคต่อการซ้อื หาหนงั สือมาอ่าน โดยเฉพาะผทู้ ่ีมีรายไดน้ อ้ ยหรอื นักเรียนในครอบครัวท่ีมี ฐานะยากจนไม่สามารถซอื้ หาหนังสอื ท่มี ีคณุ ภาพดมี าอา่ นได้ นอกจากน้ี ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ นิสัยรกั การอา่ น แบง่ ได้ 2 กลุ่ม ไดแ้ กป่ จั จัยทางครอบครวั และปัจจัยทาง โรงเรยี น ดังรายละเอียดตอ่ ไปน้ี 1. ปจั จยั ทางครอบครัว นักภาษาศาสตร์ศกึ ษาและวจิ ัยพบวา่ เด็กจะสามารถรบั รแู้ ละเรยี นรตู้ ้ังแต่ แรกเกิด การสง่ เสริมนสิ ยั รกั การอ่านจึงสามารถฝึกฝนไดต้ ั้งแต่วัยทารก หรอื แม้แต่เม่ือเดก็ อยู่ในครรภม์ ารดา พ่อแมผ่ ้ปู กครองและคนในครอบครัวมีอิทธิพลต่อการอ่านของเดก็ และเปน็ สังคมแรกท่ีสาคัญที่สดุ ตอ่ พัฒนาการ ทางภาษาและการร้หู นังสือและการปลูกฝังนสิ ยั รักการอ่านขนั้ ต้นซ่ึงจะมผี ลสบื เนอื่ งไปสกู่ ารพัฒนานิสัยรักการ อ่านในโรงเรียนต่อไป

34 1.1 การสร้างสภาพแวดล้อมที่เก้ือกูลตอ่ การอา่ นงานวจิ ัยในตา่ งประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรฐั อเมรกิ า อังกฤษ หรอื นิวซีแลนด์ ดงั ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่รักการอา่ นนั้นส่วนใหญ่จะมีสภาพแวดลอ้ มในบา้ นท่ีมีลักษณะ คลา้ ยกนั คือ เด็กมหี นังสือหรือสิ่งตีพิมพ์ให้ได้อ่านอยู่เสมอ และมีอุปกรณ์อื่นๆเช่นกระดาษ ดนิ สอ สีไวใ้ ห้เด็ก ได้ทากจิ กรรมต่างๆ มีสมาชิกในครอบครัวท่คี อยกระตนุ้ ให้เดก็ อา่ นและเขยี นและเหน็ สมาชกิ ในครอบครัวอา่ น หนงั สอื เปน็ แบบอย่าง McKool (2007), Jennings (2003) ท้งั น้ี Kingarmdt (2009) ได้เสนอวิธกี ารสร้าง สภาพแวดล้อมท่เี อื้อตอ่ การอ่านท่ีบา้ น สรุปได้ดังน้ี 1.1.1 จดั หาสถานที่เหมาะสมสาหรบั อา่ น ซง่ึ เปน็ สถานที่เงยี บและมคี วามสะดวกสบายให้ เด็กๆรับรแู้ ละสัมผัสได้ถงึ ความสุขและความเพลิดเพลนิ ในระหว่างการอา่ นหนงั สอื 1.1.2 จัดหามุมหนังสอื หรือช้ันหนังสือไว้ในบ้าน มหี นังสือหลากหลายประเภทเพ่ือเป็น ทางเลอื กให้เดก็ ๆไดอ้ า่ นตามความสนใจ 1.1.3 ให้โอกาสและส่งเสริมให้เด็กหยิบจับหรือเลน่ หนังสอื ตามความสนใจและตามระดับอายุ ดว้ ยตนเอง ซึ่งผปู้ กครองอาจถามครทู ีโ่ รงเรียนว่าเด็กมีความสามารถในการอ่านในระดับใดและสนใจหนังสือ อะไร หรือให้ครแู นะนาหนังสือท่เี ด็กกาลังเรียนท่ีโรงเรยี น 1.1.4 วางแผนให้เดก็ ๆ อา่ นหนงั สอื ทุกวันจนเป็นกจิ วตั รเชน่ เดก็ อนบุ าลอาจใชเ้ วลา 15 นาที เด็กประถมอาจใชเ้ วลา 30 นาที 1.1.5 เปน็ แบบอย่างทีด่ ีในการอา่ น อา่ นหนังสือให้ลูกเห็น เพ่ือให้เด็กๆ รวู้ า่ การอ่านเป็น สิง่ จาเป็นและมีความสาคัญ 1.2 การเลือกหนังสอื ที่มีความเหมาะสมสาหรบั เดก็ หนังสือทผ่ี ลิตขน้ึ สาหรบั เด็กนน้ั มเี ป็นจานวน มาก มีความหลากหลายทง้ั ด้านชนดิ ประเภท ภาษา ขนาด กลมุ่ อายุ และราคา พ่อ แม่ ผปู้ กครองการ เข้าใจจิตวทิ ยาพฒั นาการของเดก็ และเลือกหนังสอื ทีม่ ีคุณภาพเหมาะสมกับความสนใจและอายุ ทนต่อการฉีก ขาด เช่นวัยทารกเด็กควรได้จับต้องหนังสือที่ทาด้วยผ้าหรือพลาสติก หนังสือท่ีมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ เชน่ หนงั สอื ท่มี ีเสียงและกล่นิ หนังสือนิทานก่ึงของเล่น หนังสอื ลอยนา้ เมอ่ื พ้นวัยทารก เดก็ ควรรจู้ ักหนงั สือ เล่มใหญ่ ซงึ่ ตัวอกั ษรและภาพขนาดใหญ่อา่ นงา่ ย หนังสอื ทท่ี าจากกระดาษแขง็ หนังสือท่ีมีมติ ิเซ่น หนงั สือ ปอ๊ บอัพเป็นต้น เมอื่ เด็กโตขึ้นก็สามารถทจ่ี ะอ่านหนงั สือที่หลากหลายประเภทมากข้ึน ( Rogers. 2008) นอกจากน้ี และฉวีวรรณ คหู าภินนั ท์ (2542) อธิบายถึงประเด็นการเลอื กหนงั สอื ท่ีเหมาะสมกับกลุ่มอายขุ อง เดก็ ซง่ึ จะชว่ ยสร้างนสิ ยั รกั การอา่ นในเด็ก ดังนี้ 1.2.1 เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ พ่อแม่ควรเลอื กหนังสือเล่มใหญท่ ่มี ีรูปภาพประกอบ ตัวโตๆ แล้วอ่านเร่ืองแตล่ ะหน้าให้ลูกฟงั ดังๆ พรอ้ มกบั ชช้ี วนให้ลกู ดูรปู ด้วยซึ่งจะทาใหเ้ ด็กสนุกกบั การอา่ น และได้เรียนรศู้ ัพท์ควบคไู่ ปดว้ ย

35 1.2.2 เด็กอายุ 3-6 ขวบจะสนใจเร่ืองรอบตวั เช่นตน้ ไม้ ดอกไม้ สตั ว์และดวงดาว เปน็ ต้น แต่จะมีความสนใจสัน้ ประมาณ 5-10 นาที ดงั นนั้ หนงั สอื ทีเ่ ลือกมาอ่านให้ลูกฟงั ควรจะส้ันๆ และมีรปู ภาพ สสี ันสวยงาม 1.2.3 เด็กอายุ 6-8 ขวบ ชอบเร่ืองลึกลับเทพนิยาย เด็กชายชอบเรื่องราวผจญภัย เดก็ หญงิ สนใจเรอ่ื งราวในบา้ น เส้อื ผา้ ช่วงความสนใจประมาณ 15-20 นาที 1.2.4 เดก็ อายุ 9-11 ขวบ ชอบเรื่องลึกลับ เรอื่ งความสัมพันธ์ระหว่างเพ่อื นมติ รภาพและ สนใจเร่ืองจริงมากข้ึน เด็กผชู้ ายสนใจวิทยาศาสตร์ การผจญภยั ตอ่ สู้ ส่วนเด็กผ้หู ญิงจะชอบการแต่งกาย การบ้านการเรือน และเรือ่ งเกย่ี วกับเทวดานางฟ้า หนังสือท่ีเด็กในวยั นี้ชอบได้แก่ วรรณคดี นิทาน เรอ่ื ง ตลก นทิ านพ้ืนบา้ น และหนงั สือทม่ี ีเรือ่ งและรปู เท่าๆ กันหรือรูปอาจนอ้ ยลงกไ็ ด้ 1.2.5 เด็กวัย 12 ขวบขึ้นไป ความสนใจในการอ่านจะหลากหลายมากขึ้นจะชอบเร่ือง วิทยาศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ ชีวประวตั ิ บุคคลสาคัญและเร่ืองของเด็กในวัยเดียวกัน รวมท้งั เรื่องโรงเรยี น กฬี า งานอดเิ รกและรู้จกั คน้ ควา้ เพิ่มเติมในสิ่งท่อี ยากร้อู ยากเห็นและสิ่งที่กาลงั เรยี นในหอ้ งเรียนหนงั สือทเ่ี ด็ก ในวัยน้ชี อบไดแ้ ก่ หนงั สอื ท่มี ีเร่ืองมากว่ารูป ตลอดจนหนังสอื การต์ นู และวารสาร การเลอื กหนงั สือกับเดก็ จึงตอ้ งคานึงถึงความสนใจและตรงกับความต้องการของเด็ก นอกจากน้ี หนงั สอื สาหรบั เดก็ เล็ก ควรมีรปู ร่างโคง้ มน ไมม่ มี มุ แหลม ไม่ว่าจะเล่มเลก็ หรอื เลม่ ใหญ่ ทาจากวสั ดทุ ่คี งทน แข็งแรงและเป็นวสั ดทุ ่ีไม่เปน็ อันตราย หากเดก็ นาเข้าปาก กล่าวไดว้ ่าการเลือกหนังสืออย่างชาญฉลาด นอกจากจะทาใหเ้ ด็กสนุกสนานเพลดิ เพลินกับการอ่าน ยังช่วยพัฒนาทักษะการอ่านไปตามลาดบั สรา้ งนิสัย รกั การอา่ น ตลอดจนสร้างรสนิยมการอ่านท่ีดี 1.3 การจัดกิจกรรมการอา่ น กิจกรรมเกี่ยวกับการอ่านที่พ่อแม่ผปู้ กครองสามารถจดั ข้ึนเพื่อ ปลกู ฝงั นิสยั รักการอา่ นใหบ้ ุตรหลานมีหลายอยา่ ง กิจกรรมเหล่าน้ที าไดง้ ่าย ไม่เสยี ค่าใช้จ่ายเพียงแต่ต้องทา สม่าเสมอและตอ่ เนอื่ งจนกลายเปน็ สว่ นหนึง่ ของชวี ิตในครบครวั กิจกรรมทจี่ ดั อยา่ งแพร่หลายมดี ังนี้ 1.3.1 การเล่านทิ าน การเล่านิทานใหเ้ ด็กฟัง ทง้ั นทิ านปากเปล่า นิทานจากหนังสือภาพ หรอื นิทานทีเ่ ลา่ ด้วยศิลปะต่างๆ ทาให้เดก็ สนุกซึ่งจะเป็นความสนกุ ประทับใจไปยาวนาน เด็กๆ ได้เรียนรู้ส่ิง ตา่ งๆทง้ั ด้านภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ความรรู้ อบตัว ความคิดและจนิ ตนาการ ยงั เป็นการสรา้ งนสิ ยั รักการ อ่านใหเ้ กิดขน้ึ ทลี ะเล็กละนอ้ ย จนกระทัง่ กลายเป็นนักอ่านโดยไมร่ ู้ตวั (ปรีดา ปัญญาจนั ทร์ และชีวัน วสิ าสะ. 2552) 1.3.2 การอา่ นหนังสือใหเ้ ด็กฟัง เดก็ ชอบฟังเรอื่ งราวต่างๆจากหนงั สือ ในทานองเดียวกบั ที่ ชอบฟังนทิ าน การเลอื กหนงั สือท่ีมีเนื้อหาท่ีเด็กสนใจและเหมาะกับอายุของเด็กจงึ มีความสาคัญมาก เดก็ ได้ ฝกึ สมาธิในการฟงั ได้คิดตามเรื่องราวท่ฟี ัง ตลอดจนซักถามหรือออกความเห็น เด็กไดเ้ รียนรภู้ าษาจาก

36 หนงั สือ นอกจากนี้ปฏิสมั พันธท์ ี่เกิดขนึ้ ระหว่างช่วงเวลาแหง่ การอา่ นยงั ก่อให้เกดิ ความรกั ความอบอุ่นและ ความใกลช้ ดิ กันในครอบครัว (Bloom ; Marth ; &Waters.1998) 1.3.3 การให้ลูกอ่านหนังสือให้พอ่ แมฟ่ งั นอกจากจะอา่ นหนังสือให้ลกู ฟังพ่อแม่ควรฝึกฝนให้ ลูกได้อ่านออกเสยี ง โดยอ่านให้พ่อแม่หรอื สมาชกิ ในครอบครัวฟัง การอ่านออกเสียงเป็นการฝกึ สมาธิ ฝึกสายตา ฝึกการเปล่งเสียงในภาษานั้นๆ ซ่งึ ถ้าได้ทาเปน็ ประจาอย่างต่อเนื่องย่อมมผี ลในการพัฒนาภาษาท้ัง การออกเสียง การพดู และความเข้าใจในการอา่ น นอกจากจะส่งเสริมให้ลกู ได้เลอื กอ่านหนังสือที่ตนชอบ พอ่ แม่อาจแนะนาหนงั สือดีๆ ให้ลูกอา่ น เช่นกวีนิพนธท์ ี่เหมาะสมกับวัย วรรณกรรมสาคญั ๆเพื่อใหเ้ ด็กไดซ้ ึม ซบั สุนทรยี ภาพทางภาษา (Cohen. 2010) 1.3.4 การเช่ือมโยงการอา่ นเขา้ กับกิจกรรมอนื่ ๆ พอ่ แม่ที่เห็นความสาคัญของการอา่ น มักจะ หาโอกาสเชื่อมโยงการอา่ นเขา้ กับกจิ กรรมต่างๆ ท่ีลูกทา เช่น เช่ือมโยงรายการโทรทัศน์ทเ่ี ดก็ สนใจเข้ากับ หนงั สือ ดูภาพยนตร์และอ่านหนังสอื เกย่ี วกับภาพยนตรเ์ รื่องนั้น สอนให้เด็กเรยี นรวู้ ิธีทาอาหารโดยใช้ตารา อาหาร อ่านหนังสอื กอ่ นไปทศั นศกึ ษา แนะนาให้เด็กอา่ นหนังสอื เกี่ยวกับงานอดิเรก เช่นการดแู ลสตั ว์เลี้ยง การเลน่ กฬี า ดนตรี ศิลปะ และเกมตา่ งๆ เป็นตน้ วิธีต่างๆ ทาให้เดก็ ตระหนักวา่ การอ่านมคี วามเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจาวัน การอ่านช่วยตอบคาถาม ช่วยแก้ปัญหา ขยายความรู้ หรอื เพิม่ ประสทิ ธิภาพในการทา กิจกรรมต่างๆ อกี ทัง้ ยังเปน็ เรอ่ื งสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ด้วย (Coole with Books. 2010) 1.3.5 การทากิจกรรมท่ีเกย่ี วข้องกับการอ่านในชุมชนและสงั คม มีบริการและกิจกรรมต่างๆ ทีต่ อบสนองความสนใจในด้านการอ่านของเด็กที่พ่อแม่ควรให้การสนับสนุนเช่น พาลูกไปใชบ้ รกิ ารหอ้ งสมุด ประชาชน ให้ลูกซ้ือหนังสือจากร้านหนังสือ ไปเทยี่ วงานสัปดาหห์ นังสือ ไปร่วมกจิ กรรมการอ่านเช่น การสนทนาเกยี่ วกับหนงั สือ พบนักเขียน เป็นตน้ กิจกรรมเหลา่ นจี้ ะเช่อื มโยงการอา่ นของเด็กกับโลกภายนอก ชว่ ยขยายโลกทศั น์ของเด็ก ซงึ่ จะช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถในการอาน ของเด็กให้กา้ วหน้ายงิ่ ขนึ้ ซ่งึ สอดคล้องกับแผนงานสรา้ งเสรมิ วฒั นธรรมการอ่าน สสส. และมหาวทิ ยาลยั ราชภัฎสวนคสุ ติ (2557) สารวจ “ครอบครวั กับการอ่าน” พบวา่ ปัจจยั ทม่ี ีส่วนสาคัญในการสง่ เสริมการอา่ น 3 อนั ดบั แรกคือ พ่อแม่ ร้อยละ 27.85 รองลงมาได้แก่ตัวเด็กเอง ร้อยละ 25.19 และครูอาจารย์ร้อยละ 24.16 จะเห็นได้ว่า “ครอบครัว” เปน็ หน่วยท่เี ล็กทสี่ ุด แต่มีพลังและมีความสาคัญท่ีสุดที่จะสรา้ งรากฐานและนิสัยรักการอา่ น อยา่ งมี คุณภาพ นอกจากนี้พบข้อมูลว่า พอ่ แม่ผู้ปกครองมกี ารปลกู ฝังสร้างค่านิยมใหบ้ ุตรหลานเปน็ คนรัก การอ่าน (คะแนน 7.85) โดยที่พ่อแม่และผู้ปกครองกม็ ีความชอบและรักการอ่านด้วย (คะแนน 7.81) และยงั มกี ารส่งเสริม สนับสนุน หาซอ้ื หนงั สือใหบ้ ุตรหลาน (คะแนน7.72) และสุดใจ พรหมเกิด (2557) กล่าวเสรมิ ว่าปัจจยั ท่ีจะทาให้เด็กรักการอ่านหนงั สือตั้งแตเ่ ล็กๆ ก็คือพ่อแม่ หากทาตวั เป็นตัวอย่างท่ีดี พร้อมกับสง่ เสริมให้อา่ นหนงั สืออย่างต่อเน่ืองก็จะสรา้ งแรงบันดาลใจให้แก่ลูกได้ ถือเป็นจิตวิทยาอย่างหนึง่ ที่

37 ทาให้เป็นหนอนหนังสือในอนาคตพร้อมเสนอเทคนคิ การฝึกลูกเปน็ นักอ่านอย่างง่ายใหม้ ีความสขุ กับการอา่ น หนงั สือ โดยไม่ต้องพ่ึงเทคโนโลยีสมัยใหม่เปน็ เคร่ืองมือหลอกลอ่ ดังนี้ 1. พ่อแม่ต้องเป็นแบบอยา่ งใหล้ ูกเห็นสม่าเสมอ อา่ นหนังสอื ทกุ คร้ังท่ีมีเวลาและมีโอกาส เดก็ จะ เลียนแบบนสิ ัยรักการอา่ น 2. หาวธิ ีใหล้ ูกได้ใช้เวลาอยูก่ ับหนังสือต้ังแตเ่ ขาอายุยังน้อย เรม่ิ ปลูกฝังการอ่านให้กับลูกโดยที่ไม่มี สิง่ รบกวนอ่นื เชน่ ทีวี, โทรศัพท์มือถอื , คอมพิวเตอร์ 3. หาหนงั สือแนวทล่ี ูกชอบมาใหเ้ ขาอ่าน เพราะการไดอ้ า่ นหนังสือแนวทีต่ นชอบจะช่วยจุดประกาย นิสยั รักการอา่ นได้ 4. ทาใหก้ ารอ่านเปน็ เร่อื งสนกุ เด็กทพ่ี ่อแมย่ ่านหนังสอื ให้ฟงั ต้งั แตย่ ังเด็ก เม่ือเขาโตข้นึ และพ่อแม่ เลิกอา่ นหนังสือใหฟ้ งั เช่อื ว่าหนงั สือใหห้ ายขายรหิ าลาท่ีพ่อหรือแม่อ่านหนังสือใหฟ้ ัง ดังนนั้ แมถ้ กู คุณจะโต แลว้ ก็สามารถอ่านหนงั สือให้ลกู ฟงั ได้ โดยอาจสลบั ใหแ้ ตล่ ะคนในครอบครัวเป็นคนอ่านให้สมาชกิ คนอ่ืนฟงั 5. พยายามส่งเสรมิ ให้ลูกรกั การอ่านให้มากการได้พูดคยุ กบั ลูกเก่ียวกับหนังสือที่เขาอ่านอย่างเป็น กันเอง แสดงถึงความเอาใจใส่และความสนใจทค่ี ุณมีต่อหนังสือของเขาดว้ ย 6. การมีสง่ิ กระตุ้นเปน็ อกี วิธีทใี่ ชไ้ ด้ผล เพราะวา่ เดก็ ต้องการการยอมรับในความพยายามอ่านหนงั สือ ของพวกเขาท้ังนัน้ ลองใหค้ าวหรอื อะไรกไ็ ดท้ ค่ี ุณคดิ วา่ จะทาใหล้ กู รสู้ ึกภาคภมู ิใจที่ได้รางวัล 7. ให้หนงั สือเป็นของขวัญกบั ลูก การที่พ่อแม่ให้หนงั สือกับลูกจะเป็นส่ิงที่น่าต่ืนเต้นมากสาหรับเขา โดยเฉพาะหนงั สือทีเ่ ขาอยากได้ การทาเช่นนจี้ ะชว่ ยสรา้ งนิสัยรักการอ่านให้ลกู ได้ และจะทาใหท้ ั้งพ่อหรือแม่ มีความสุขท่เี ห็นเขาไดไ้ ปนง่ั ในมมุ โปรดเพอ่ื อ่านหนังสอื ท่เี ขาชนื่ ชอบ นีค่ อื วิธงี ่ายๆ ทีจ่ ะส่งเสรมิ ให้ลูกๆ เป็นนัก อา่ นได้ตลอดชีวติ สว่ นจะประสบความสาเรจ็ หรือไม่ ข้ึนอยกู่ บั ความต้ังใจของพอ่ แมเ่ ปน็ สิง่ สาคัญที่สุด 2. ปัจจัยทางโรงเรียน โรงเรียนเปน็ สถาบนั ท่ีมีบทบาทต่อการสร้างนสิ ัยรกั การอา่ นของเด็กในลาดับ ถดั มาต่อจากบา้ น การเข้าโรงเรียนเปน็ จดุ เรมิ่ ต้นของเด็กสู่สงั คมที่กวา้ งข้นึ ซ่ึงเดก็ ใช้เวลาอย่อู ย่างยาวนานใน แต่ละวัน โรงเรียนจึงเป็นสงั คมท่ีเด็กเรยี นรปู้ ระสบการณ์คร้ังแรกรวมถึงประสบการณใ์ นการอ่าน การใช้ชวี ิต และการทากิจกรรมต่างๆ รว่ มกับเพื่อนๆ ครู โรงเรยี นจึงมีหน้าท่สี าคัญในการสรา้ งบรรยากาศและวฒั นธรรม การอ่านให้เกดิ ข้ึน เพ่ือสรา้ งใหเ้ ด็กเป็นนักการอ่านต้งั แต่วยั เยาว์ตลอดจนพัฒนาความสามารถในการอ่าน โดยตอ่ เนอื่ ง ในระบบโรงเรยี นทไ่ี ดม้ าตรฐาน ผู้บรหิ ารและครูย่อมเห็นคุณค่าของการอ่านและมคี วามพยายามสร้าง นสิ ัยรกั การอ่านในเด็กอย่างตอ่ เนอ่ื ง ดังทอ่ี จั ฉรา ประดษิ ฐ์ (2550) ซง่ึ วจิ ัยเรื่อง กระบวนการสง่ เสรมิ การอา่ น ที่ได้ผลสาหรับเด็กประถมศึกษาช่วงช้ันที่ 1 และ 2 ได้รายงานปจั จัยของความสาเร็จต่อนสิ ัยรกั การอ่าน 7 ประการ ดังน้ี

38 1. ปจั จัยด้านความพรอ้ มของผ้บู ริหาร การบริหารโรงเรยี น ใหป้ ระสบความสาเร็จดา้ นการ อ่านนัน้ ลักษณะบุคลิกสว่ นตวั ของผู้บริหารต้องมีความเป็นมิตร เป็นนกั คิดและมวี ิสยั ทศั น์กว้างไกลใจกว้างใน การทางานและเป็นนักอ่านโดยนิสยั 2. ปัจจัยด้านความพร้อมของบุคลาการส่งเสรมิ การอา่ น ซึ่งบทบาทหนา้ ท่ีและการทางาน ของครูรักการอ่านน้ัน จะช่วยสง่ เสรมิ งานหอ้ งสมุดและการเรยี นรทู้ ้ังระบบของกลุม่ สาระต่างๆ ได้อย่างเป็น รปู ธรรม เพราะครรู ักการอ่านเป็นผเู้ ช่อื มโยงการอ่านไปสู่ความสัมฤทธ์ิผลดา้ นอน่ื ท้ังอ่านเก่ง อา่ นเป็นและนา ความรูไ้ ปต่อยอดได้ 3. ปัจจัยด้านความพรอ้ มดา้ นงบประมาณซ้ือหนังสือ เพ่ือสง่ เสรมิ การอ่าน ถ้าโรงเรียนมี งบประมาณจากัด โรงเรยี นอาจซอ้ื หนังสอื มือสองที่มภี าพดี เน้ือหานา่ สนใจหรอื การทาสาเนาหนังสือเพือ่ เพิ่ม หนงั สอื ใหมใ่ ห้มหี ลากหลายมากขนึ้ 4. ปจั จัยด้านความพร้อมของสถานท่ีและการจัดสภาพแวดล้อมเพอื่ ส่งเสริมการอ่าน การจัด มุมหนังสือในหอ้ งเรยี นเปน็ การจดั สภาพแวดลอ้ มใหห้ ้องเรียนใหม้ ีหนังสืออย่ใู กลต้ วั เด็ก ช่วยนาหนังสอื เข้าไป หาเดก็ 5. ปัจจัยด้านความพร้อมของกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ส่ิงท่ีได้จากกิจกรรมคือเด็กได้ แลกเปลี่ยนเรียนรทู้ ี่จะอ่านดว้ ยกัน ได้ใช้นสิ ยั รกั การอา่ นไปสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เด็กไดร้ ู้จักการคิด วิเคราะหแ์ ลว้ คัดสรรเร่ืองมาเขียนเองตลอดจนการเรยี นรู้การทางานเป็นกล่มุ 6. ปัจจัยดา้ นความพร้อมของนกั เรยี น เมอ่ื เด็กมคี วามพรอ้ มในด้านการอ่าน เดก็ จะเสียสละ ความสุขสว่ นอนื่ เพ่อื ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตน 7. ปัจจัยการสนับสนุนของผู้ปกครอง ชุมชน และองค์กรเอกชน การทโ่ี รงเรยี นจดั อบรม ผูป้ กครองเร่ืองการส่งเสริมการอา่ น ทาให้เดก็ มผี ู้กระตนุ้ เรอื่ งการอ่านอย่างตอ่ เนอ่ื ง ซ่ึงต้องอาศยั ความรว่ มมือ ระหว่างโรงเรียน บา้ นและชุมชน แมน้ มาส ชวลติ (2544) ได้กล่าวถึงปจั จัยทเี่ กื้อกูลการพฒั นาการอ่านของบุคคล ดังนี้ 1. ปัจจัยส่วนบุคคล ทีเ่ กือ้ กูลการพฒั นาการอา่ นมี 2 ประการ ประกอบด้วย ก. ปจั จัยทเ่ี กี่ยวกบั การสอน ได้แกผ่ สู้ อนและวิธีสอน ในทนี่ ้หี มายถึงครทู กุ คนไม่จากดั เฉพาะ ครูสอนภาษาไทยเทา่ นน้ั ครมู หี น้าท่ีสอนการอา่ นในแตล่ ะวชิ า เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่าง แจ่มแจ้ง และวธิ ีสอนน้ันครูต้องเนน้ ให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยตนเองใหม้ าก ผูเ้ รียนต้องแสงหาความรู้เองซ่งึ ส่วน ใหญไ่ ดจ้ ากการอา่ น จะเป็นการปลกู ฝังนสิ ัยการอา่ นให้เกดิ ข้นึ ข. ปจั จัยที่เก่ยี วกับการอา่ น นอกจากจะไดร้ ับการฝกึ ท่ดี ีจากครูผู้สอนแล้ว ปจั จยั ทีเ่ ป็นสว่ น ตนของผู้เรียนที่เกือ้ กลู หรืออาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการอ่าน ได้แก่ความสมบูรณข์ องรา่ งกาย รา่ งกายท่ี บกพรอ่ งบางประการจะมผี ลต่อการอา่ นอย่างมากเช่นความบกพรอ่ งทางตา หู เป็นต้น วฒุ ิภาวะทางอารมณ์

39 สงั คมก็มีผลต่อการอ่านเชน่ กนั นอกจากนน้ั ความตั้งใจจริง ความศรัทธาและความตระหนักถงึ ความสาคัญ ของการอ่าน สงิ่ เหลา่ นจี้ ะเกอ้ื กลู ตอ่ การพฒั นาการอ่านของบคุ คล 2. ปจั จัยทางสงั คม ไดแ้ ก่ทศั นคตขิ องสังคม วัฒนธรรมการอา่ นในสงั คม รวมทงั้ ลกั ษณะนสิ ยั ของคน ในสังคมในการแสวงหาความรจู้ ากการอ่าน คุณภาพและปรมิ าณวสั ดุในการอ่าน นโยบายของรัฐในการจัด การศกึ ษาและจดั บริการสารสนเทศลว้ นแตเ่ ป็นปจั จัยทีม่ ผี ลต่อการสง่ เสริมเกอ้ื กูลในการพัฒนาการอ่านของคน ในสงั คมทั้งสิ้น บุญรวม งามคณะ (2555) ไดส้ รุปว่า องค์ประกอบของการอา่ นเก่ียวข้องกับวัยและความสามารถ ของผอู้ ่าน สิ่งแวดล้อม อารมณ์ แรงจูงใจ บุคลิกภาพ ความหมายของสาร การเลอื กความหมายและการ นาไปใช้รวมไปถึงสารที่นามาใชอ้ ่าน กระบวนการในการอ่านโดยผู้อา่ นควรมีความพรอ้ มทัง้ ดา้ นร่างกาย สมอง อารมณ์ และสงั คม มคี วามสามารถในการอา่ นเหมาะกบั ระดบั ของสารทีน่ ามาใชเ้ ป็นสอ่ื และได้รบั การ ฝึกฝนให้อา่ นตามลาดับขั้นของกระบวนการอ่านจึงจะชว่ ยใหป้ ระสบความสาเร็จในการอา่ น ส่ิงทจ่ี ะชว่ ยให้การ อา่ นมปี ระสิทธิภาพน้ันต้องอาศัยความรู้ทางภาษาและความรู้ในดา้ นอืน่ ๆ โดยเฉพาะประสบการณ์เดิมของ นกั เรียน และความรู้รอบตัวด้านต่างๆ ตลอดจนความเชื่อ ถ้าผูร้ ับสารและผู้ส่งสารมีความเขา้ ใจตรงกัน ผู้รบั สารก็จะยงิ่ เข้าใจความหมายได้งา่ ยย่ิงข้นึ องคป์ ระกอบของการอา่ นทต่ี ้องคานึงถึงคอื 1. ระดบั สตปิ ัญญา เดก็ มีสติปญั ญาไม่เทา่ เทียมกัน ย่อมมีผลอย่างยิง่ ต่อการอา่ น จงึ ไม่ควรเน้นใหแ้ ต่ ละบุคคลยา่ นไดเ้ ท่ากนั ในเวลาเดียวกนั 2. วุฒภิ าวะและความพรอ้ ม การอา่ นตอ้ งอาศัยทักษะตา่ งๆ เปน็ องค์ประกอบย่อยๆ เช่นทกั ษะการ ใช้สายตา การใชอ้ วยั วะเก่ียวกับการออกเสียง ดังน้นั การเตรยี มความพรอ้ มทางดา้ นรา่ งกายของเด็กจงึ เปน็ สิ่ง สาคัญอย่างยง่ิ ในการเร่ิมต้นการสอนอ่าน 3. แรงจูงใจทง้ั ภายนอกและภายใน ภายนอกไดแ้ ก่ พอ่ แม่ ครู ฯลฯ ภายในได้แก่การค้นพบด้วย ตนเองว่าชอบหรอื ไม่อย่างไร 4. สภาพร่างกาย ท่ีสมบูรณ์จะช่วยให้สุขภาพจิตดี ร่าเริง แจ่มใส มีความกระตือรือร้นมากกว่า ร่างกายทอี่ อ่ นแอและเจบ็ ปว่ ย 5. สภาพอารมณ์ทมี่ ั่นคงสมา่ เสมอ แจ่มใส ไมม่ แี รงกดดันจากความคาดหวังของครูหรอื ผปู้ กครองจะ ทาให้เด็กอา่ นไดด้ ี สอดคลอ้ งกับ ธนศกั ดิ์ เมืองเจรญิ (2554) กล่าววา่ ปจั จัยทสี่ ่งผลตอ่ การสง่ เสริมนสิ ัยรกั การอ่านของ นกั เรียนโรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนา ไดแ้ ก่ ปจั จัยเกี่ยวกบั ตัวนักเรียน ปัจจยั เกี่ยวกับผปู้ กครองและ ปจั จยั เก่ียวกบั สภาพแวดลอ้ มทางการอา่ นทโ่ี รงเรียน

40 1. ปจั จยั เกยี่ วกับตัวนักเรยี นนกั เรียนทมี่ นี ิสยั รกั การอา่ นมคี ณุ ลกั ษณะสาคญั คอื เปน็ เดก็ ฉลาดรอบรู้ ได้รบั การสง่ เสริมการอ่านจากผปู้ กครองตั้งแต่เยาว์วยั อ่านหนังสืออย่างเสมอด้วยความเพลิดเพลิน สามารถ เลือกอา่ นหนงั สอื ทตี่ นเองชอบหรือสนใจไดด้ ว้ ยตัวเอง ผู้ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของการอ่าน ชอบห้องสมดุ เข้าใช้ และยืมหนังสอื อยา่ งสม่าเสมอ สามารถจัดสรรเวลาสาหรับการอา่ น แนะนาใหผ้ ้อู ่นื อ่านหนังสือได้ ไปรา้ น หนงั สือกบั พอ่ แมส่ ม่าเสมอ 2. ปัจจยั เกย่ี วกับผ้ปู กครอง 2.1 ผ้ปู กครองตระหนกั ในความสาคัญของการอ่าน ผู้ปกครองของเด็กท่ีมีนสิ ยั รักการอ่านเห็น คณุ ค่าของการอา่ น และเห็นว่านิสยั รกั การอ่านจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การปลูกฝงั ตั้งแตเ่ ล็ก เพราะจะทาให้นสิ ัยรัก การอ่านและการใฝร่ ู้ติดตวั เดก็ ไปอยา่ งยาวนาน ทาให้เด็กเข้าถึงขอ้ มูลสารสนเทศ และยงั มีส่วนสาคัญตอ่ การ ร้หู นงั สือและการศึกษาในอนาคต การอ่านจะช่วยใหเ้ ด็กมจี ินตนาการ รจู้ ักแสวงหา วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ หาเหตผุ ล มีสมาธิ มคี วามม่ันใจ และมีความพอใจในตนเอง การอ่านมีความสาคัญมากต่อการพัฒนาตนเอง 2.2 เจตคติเชงิ บวกของผปู้ กครองท่ีมตี ่อการอ่าน ผปู้ กครองต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การอ่าน เป็นสิ่งสาคัญเพราะช่วยให้เด็กมคี วามรู้และขยายความรู้ที่มอี ยู่ ช่วยพัฒนาคาศัพท์และทักษะทางภาษา สง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ พัฒนาทักษะทางสังคม ช่วยให้เด็กประสบความสาเร็จด้าน การศึกษาและมีอนาคตท่ดี ี นิสัยรักการอ่านควรได้รับการปลูกฝงั ตง้ั แต่เยาวว์ ยั เพราะจะนาไปสู่การหาความรู้ อย่างไมม่ ีท่สี ิ้นสดุ ทาใหเ้ ด็กมคี วามม่นั ใจในตวั เอง สามารถดาเนินชวี ิตไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 2.3 ผปู้ กครองมีบทบาทในการส่งเสริมการอ่านแก่เดก็ 2.3.1 การจัดมุมหนังสือในบ้านหรือห้องสมุดในบ้านเพ่ือสนับสนุนใหอ้ ่านเลือก หนังสือทเ่ี หมาะสมกับเพศและวยั หาหนงั สือทดี่ ีมีคณุ ภาพ สนับสนนุ การซ้ือหนังสอื พาลูกไปร้านหนังสือ หรือเปน็ สมาชกิ ห้องสมุดโรงเรยี น 2.3.2 บทบาทของผู้ปกครองในการดูแล แนะนาและชว่ ยเลือกหนงั สอื ท่ีมีคณุ ภาพให้ เดก็ อ่าน นักเรียนที่มีนสิ ัยรกั การอา่ นมกั เลอื กหนงั สืออา่ นดว้ ยตัวเอง โดยพ่อแม่ทีม่ ีบทบาทสาคญั ในการช่วย เลือกเพอ่ื ให้เดก็ ไดอ้ ่านหนงั สือดมี คี ุณภาพตรงกับความสนใจ มีความเหมาะสมในด้านเนื้อหาทั้งกับเพศและวัย ทงั้ น้ีเพ่ือเพิ่มพนู ความรู้คาศัพท์และพฒั นาดา้ นการเขียน การแนะนาหนงั สอื ดีใหเ้ ด็กอา่ น เช่น วรรณกรรม คลาสสิค และการเลอื กหนงั สือตามรายการหนังสือทีค่ รูกาหนดใหอ้ า่ น 2.3.3 เจตคตเิ ชงิ บวกของผู้ปกครองเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีตอ่ การอ่าน ผู้ปกครองมีความเห็นวา่ เทคโนโลยมี ีผลกระทบท้งั ในเชงิ บวกและเชิงลบต่อการส่งเสริมการอ่าน จงึ ข้ึนอยทู่ ก่ี าร เลือกใช้เทคโนโลยีใหเ้ หมาะสม ปัจจบุ ันเทคโนโลยีมบี ทบาทสาคญั ในการ เชน่ หนังสอื ออนไลน์ หนงั สอื พมิ พ์ ออนไลน์ การใช้คอมพิวเตอร์เพอื่ การศึกษา การอ่านหนงั สอื ท่ีนามาสร้างภาพยนตร์ การสง่ั ซื้อหนังสือ

41 ผ่านทางอินเทอร์เนต็ การอา่ นบทวจิ ารณห์ นงั สือ การดาวนโ์ หลดหนงั สืออิเล็กทรอนิกสล์ งในเครื่องสาหรับ อา่ น เชน่ ไอแพด (Ipad) เปน็ ตน้ 2.3.4 ผปู้ กครองเป็นต้นแบบในการอ่าน บุคคลสาคัญท่ีเป็นต้นแบบการอ่านใน ครอบครัวคือ พ่อแมซ่ ่ึงเป็นนักอา่ นเช่นกัน การอ่านให้ลกู เห็น การทาตนเป็นตวั อย่างท่ดี ี การอ่านอย่างมี ความสุข เปน็ ต้นแบบสาคญั จากทกี่ ลา่ วมาสรุปได้ว่าปจั จยั ทจี่ ะสร้างนสิ ัยรักการอา่ น ไดแ้ ก่ 1) ปัจจัยด้านครอบครัวสังคมคือ การหล่อหลอมของครอบครัว ความตระหนักในความสาคญั ของการอ่าน จัดสภาพแวดล้อมใหเ้ อื้อตอ่ การอ่าน 2)ปจั จยั ด้านโรงเรียนไดแ้ ก่ ความพรอ้ มของผบู้ ริหาร ความพรอ้ มของบุคลากร ความพร้อมด้านงบประมาณ ความพร้อมด้านอาคารสถานที่ ความพร้อมด้านกิจกรรมสง่ เสริมการอา่ น ความพร้อมของนักเรียนการ สนบั สนุนของผ้ปู กครอง 3) ปจั จัยเกี่ยวกับตวั นักเรียน ได้แก่ การเป็นคนใฝร่ ู้ใฝ่เรยี น เห็นคณุ คา่ ของการอา่ น มีทัศนคตทิ ่ีดีตอ่ การสอน มีวุฒิภาวะท่ีสูงข้นึ มีความสามารถในการอา่ น 4) ปจั จยั เกยี่ วกบั ผู้ปกครอง ไดแ้ ก่ บริบททางสังคม ทัศนคติของสังคม วัฒนธรรมการอ่านในสังคม นิสัยของคนในสังคม สังคมเพ่ือน สภาพแวดล้อม 2.1.5 ปัญหานสิ ยั รักการอ่าน จากการสังเคราะห์วรรณกรรมทเ่ี กี่ยวขอ้ ง (ชัยภพ เสรผี ล. 2550 : สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์, 2552 ; สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2552) สรุปได้ว่าโรงเรยี นมีอิทธิพลตอ่ การสร้างนิสัยรักการอ่านของเด็ก ดงั นี้ 1. นโยบายและหลกั สูตรการอา่ นของโรงเรียน โรงเรียนท่ีกาหนดนโยบายเก่ียวกับการรู้หนงั สือหรือ การอา่ น แสดงให้เห็นว่าโรงเรยี นตระหนกั ถึงความสาคัญของการอ่าน นโยบายการอ่านจะเป็นตัวกาหนด หลกั สูตรการสอนอา่ นเบอ้ื งตน้ การสอนอ่านที่เชื่อมโยงกับการสอนวิชาอ่นื ๆ (Kralak. 2005) หลักสตู รการ อ่านเปน็ ส่วนหนง่ึ ของหลักสูตรการรหู้ นังสอื ทปี่ ระกอบด้วยการสอนทกั ษะ 4 ประการ คือการอา่ น การพูด การฟังและการเขยี นในภาษาหนึ่งๆ ซ่ึงเป็นเครื่องมอื ในการเรียนรู้ เพราะเม่ือนกั เรยี นสามารถอา่ นออกเขยี น ไดท้ จ่ี ะกระตุ้นให้เกิดแรงใฝ่สมั ฤทธิ์ เด็กที่มีปัญหาในการสร้างทกั ษะ 4 ดา้ น มักจะขาดแรงกระตุ้นและสรา้ ง ปญั หาในการสอนให้กบั ครู ดังนนั้ การกาหนดหลกั สตู รและวธิ ีการสอนท่ีดี จึงเปน็ หลกั ประกันต่อการสร้าง พนื้ ฐานการย่านที่ม่ันคง ดังตวั อยา่ งหลกั สูตรการอา่ นของโรงเรยี นรัฐบาลมลรัฐแคลฟิ อร์เนยี สหรัฐอเมริกา \"Reading Language Arts Theme for California Public Schools\" (California Department of Education. 2007) ซงึ่ ใช้เป็นกรอบสาหรับการสอนอ่านและการรู้หนังสือ ตั้งแต่ระดบั อนุบาลจนถึงเกรด 12 กรอบหลักสูตรประถมศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ระดับคอื ระดับอนุบาล-เกรด 3 และเกรด 4-6 ในระดบั แรก ขอบเขตเนอ้ื หาหลักสตู รประกอบดว้ ยการเรียนรูเ้ กี่ยวกบั ตวั อักษรและบทบาทของตวั อักษรในการอา่ นการออก เสียง การประสมพยญั ชนะและสระเพือ่ อ่านเป็นคา การสะกดคา การเรียนรคู้ าศัพท์ควบคู่ไปกับแนวคิด

42 (เชน่ คาต่างๆ ที่เกี่ยวกับสี ขนาด) การอา่ นเพื่อความเขา้ ใจ การเลา่ เรื่อง/นิทานและใหเ้ ด็กมปี ฏสิ มั พันธ์ใน ระดับที่ 2 เนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วย การวิเคราะห์และรจู้ ักคา การฝึกหัดอา่ นให้คล่อง การเรียนรูค้ าศัพท์ ควบคู่ไปกับแนวคิด การอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านและวิเคราะห์โครงสร้างวรรณคดีประเภทต่างๆ การวจิ ารณว์ รรณกรรม นอกจากขอบเขตเนื้อหาแลว้ สง่ กาหนดมาตรฐานของเนื้อหาหลักสตู รและวธิ ีการสอน ในแตล่ ะชนั้ การประเมนิ ความสามารถในการอ่าน พูด ฟัง เขียนของนักเรยี น ความรับผดิ ชอบและการ สนบั สนนุ การเรียนรภู้ าษาของนกั เรียนของผู้มีสว่ นเกีย่ วขอ้ งและเกณฑ์การประเมิน วสั ดุทีใ่ ชใ้ นการสอน 2. สภาพแวดลอ้ มของโรงเรียนท่ีมีอิทธิพลต่อการสรา้ งนสิ ัยรกั การอา่ น ผบู้ รหิ าร ครู และบรรณารกั ษ์ ลว้ นมีบทบาทสาคัญในการสรา้ งสภาพแวดลอ้ มที่เก้ือกลู ตอ่ การอ่านของนักเรยี น ไมว่ า่ จะเป็นสภาพแวดลอ้ ม ทางกายภาพเช่นห้องสมุดโรงเรียนทม่ี คี ุณภาพ บรรยากาศท่สี งบสบาย หรอื สภาพแวดลอ้ ม ทนพฤตกิ รรม ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 2.1 หอ้ งสมุดโรงเรยี นนับเป็นปัจจัยทส่ี าคัญท่สี ุดในการปลูกฝงั นิสัยรักการอ่าน การพฒั นา ทกั ษะการอา่ นของเด็กจนกลายเปน็ นักอา่ น โดยการจัดหาหนังสอื และทรพั ยากรการอ่านหลากหลายประเภท และรูปแบบ สอดคล้องกับหลักสูตรและตอบสนองความสนใจในการอ่านตามเพศและวยั ของนกั เรียน จัดให้มี การเข้าถึงทรัพยากรการอา่ นโดยสะดวก ไม่ว่าจะเปน็ การอา่ นในหอ้ งสมดุ การลืมไปอ่านท่บี ้านหรอื นาไปใช้ ในห้องเรยี น ห้องสมุดควรมบี รรยากาศท่ีสะดวกสบายและไม่เป็นทางการ เชิญชวนใหน้ ักเรยี นอยากเข้าใช้ กระตุ้นใหเ้ กิดการเรยี นรู้ เชน่ นทิ รรศการผลงานเขยี นและงานศิลปะของนกั เรยี น มีสถานท่ีเพียงพอสาหรบั จัด กิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่านต่างๆ เชน่ การเล่านิทานเป็นต้น Krathen (2004) ไดศ้ กึ ษางานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การ อ่าน สรุปว่าคุณภาพของห้องสมุดโรงเรียนมีความสมั พันธ์โดยตรงกับสมั ฤทธิผลในการอ่านของนักเรียน กลา่ วคือ หอ้ งสมดุ ทม่ี ศี ักยภาพสง่ ผลให้ผลสมั ฤทธใิ์ นการอ่านของนกั เรยี นสูงตามไปดว้ ย 2.2 แบบอยา่ งทีด่ ีในการอา่ น ครูทุกคนควรสร้างแบบอยา่ งท่ีดีในการอา่ นจากงานวจิ ัยของ Wheldall ; & Entwhistle (1988) พบว่าเด็กจะอ่านหนังสือมากข้ึนเม่ือเหน็ ครูอ่าน ในทานองเดียวกัน นกั เรยี นจะเข้าห้องสมุด เมอ่ื เห็นครูเข้าห้องสมุดพฤติกรรมในการอ่านและการใชห้ ้องสมุดของครูจึงมผี ลต่อ ทศั นคตเิ ชิงบวกท่มี ตี อ่ การอา่ นของนกั เรียน 2.3 บรรณารักษ์วิชาชีพ ห้องสมุดในประเทศพัฒนาเล็งเห็นความสาคัญของการจัดหา บรรณารักษ์ทสี่ าเรจ็ การศึกษาทางบรรณารกั ษ์ศาสตร์มาบริหารจัดการห้องสมุด โดยเฉพาะห้องสมุดโรงเรียน ถอื วา่ บรรณารักษม์ ีฐานะเปน็ ครูด้วย บรรณารักษว์ ิชาชพี มบี ทบาทในการจดั หาทรพั ยากรทมี่ ีคุณภาพเหมาะสม กบั หลักสตู รและความต้องการของผู้ใช้ รว่ มมือกับครูเพ่อื พัฒนาการเรียนการสอนและทักษะในการอา่ นและ จดั กิจกรรมอนั หลากหลายเพอ่ื สง่ เสรมิ การอ่าน 3. กจิ กรรมส่งเสริมการอ่าน การจดั กจิ กรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนต้องอาศัยความร่วมมือทั้ง บรรณารักษ์ ผู้บรหิ าร ครแู ละผู้ปกครอง ซึ่งล้วนมบี ทบาทในการร่วมกันกาหนดกิจกรรมอันหลากหลายอย่าง

43 ตอ่ เน่ืองตลอดปี เพ่ือส่งเสริมการอ่านของนักเรียน Matt (1995) กลา่ วว่า การอ่านเป็นวิชาท่สี าคญั ที่สดุ ใน ระดับประถมศึกษา จึงไดเ้ สนอโครงการสง่ เสริมการอ่านในโรงเรยี นทัง้ น้คี ือ การเลน่ เปน็ กล่มุ การฝึกอ่านใน ใจ การอา่ นออกเสยี ง การเลอื กอา่ นโดยอิสระ การพดู คยุ เก่ียวกบั หนงั สือ ชมรมหนังสอื การอ่านในประเด็น ทีก่ าหนดการจดั ศูนย์การฟงั (Listening Center) วนั แหง่ การอา่ น การอ่านหนังสือร่วมกัน การใหร้ างวลั การ อา่ น การอ่านออกเสยี งระหว่างทศั นศึกษา การพบนกั เรียนและการอ่านเปน็ กจิ กรรมเลอื กเสรีนอกจากนี้ยงั มี กิจกรรมส่งเสริมการอ่านมากกว่าอืน่ ๆ ท่ีโรงเรยี นนิยมจัดกันเชน่ ยอดนกั อา่ น ค่ายการอ่าน การอา่ นมาราธอน การเลา่ นิทาน ละครใบ้ การอ่านหนงั สือใหเ้ ดก็ เลก็ หรือคนตาบอดฟัง หนังสอื ทามอื แนะนาหนงั สอื ผา่ นเว็บ จดั นิทรรศการหนังสอื โต้วาที่เก่ยี วกบั หนังสือ โรงเรยี นหลายแห่งจัดสัปดาห์หนังสอื หรอื สัปดาห์ห้องสมดุ เป็น ประจาทกุ ปี ซง่ึ ประกอบด้วยกิจกรรมตา่ งๆ เช่นการแสดงของนักเรียนที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมที่มีช่อื เสยี ง การขายหนงั สอื ราคาถกู การพบนกั เขยี นหนงั สือเด็ก การวาดภาพ ประกวดการอา่ นการเขียนเร่อื ง เป็นตน้ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น นสิ ยั รักการอา่ นเกดิ ขึ้นได้จาการจัดสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมและเออ้ื อานวย ให้เด็กรกั การอ่านทั้งที่บ้านและทโ่ี รงเรียน สภาพแวดล้อมท่ีบา้ น เกิดได้จากความสัมพันธ์ระหว่างคนใน ครอบครวั เชน่ การได้อา่ นหนังสือร่วมกนั พูดคุยและแสดงความคิดเห็นในเร่ืองทอี่ ่าน การทล่ี ูกได้เห็นพอ่ แม่ อา่ นเป็นประจาการใหข้ องรางวลั เป็นหนงั สือ และการสนับสนุนจากพ่อแมใ่ หล้ ูกเลือกซ้ือหนังสอื เอง สาหรับ สภาพแวดลอ้ มทีโ่ รงเรยี นก็มีสว่ นสาคัญย่งิ ในการสง่ เสริมนิสัยรกั การอา่ น ครูมบี ทบาทเปน็ อยา่ งมากนับตงั้ แต่ การเปน็ แบบอย่างทด่ี ใี หน้ ักเรียนในเร่ืองการอ่าน การจัดการเรียนการสอนท่ีตอ้ งใชท้ รัพยากรสารสนเทศจาก หอ้ งสมุดส่งเสริมให้นกั เรยี นได้ศึกษาค้นควา้ ตนเอง มีการจัดกจิ กรรมการอ่านทีน่ ่าสนใจในห้องเรียนมีมุม หนังสือเพ่ือให้นักเรียนได้อ่านเมือ่ ต้องการ รวมท้ังมีห้องสมุดที่มีคณุ ภาพไดม้ าตรฐาน พร้อมท้ังมบี รรณารักษ์ วิชาชีพท่ีจะทางานรว่ มกบั ครูผสู้ อนในการสง่ เสรมิ การอา่ น จากการแสดงทรรศนะของผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการกาหนดนโยบายให้คนไทยทกุ คนร่วมมือกัน ส่งเสริมนสิ ัยรักการอ่านดังกลา่ ว ทาให้มีการเคล่ือนไหวของหน่วยงานทางราชการองค์กร สมาคม มูลนิธิ ต่างๆ ได้รณรงค์โดยเป้าหมายร่วมกนั เพ่ือแสดงพลงั ท่ีจะชว่ ยให้คนไทยมีนสิ ัยรกั การอา่ น ปรากฏวา่ ได้ผลดใี น ระดบั ท่ยี งั ไม่น่าพงึ พอใจ อุดม เพชรสังหาร (2552) ไดส้ รุปสาเหตทุ ี่คนไทยไมร่ กั การอา่ นไว้ดงั น้ี 1. คนไทยไม่เห็นความสาคญั ของการอา่ น การอ่านสาหรับผู้ใหญ่มีความหมายเพียงแต่ เครื่องมอื ชนิดหนึ่งในการเรียนหนงั สือใหไ้ ด้ดี เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การมงี านทา คนไทยส่วนใหญ่มองว่า หนังสือไมม่ ีความจาเปน็ ต่อชวี ติ 2. ขาดแบบอย่างที่ดีในการสง่ เสรมิ ปลูกฝังให้เกดิ พฤตกิ รรมการอา่ นตงั้ แต่วัยเด็ก เม่อื ผู้ใหญ่ ไมอ่ ่านให้เดก็ เห็นแลว้ เด็กจึงไม่ไดเ้ รียนร้พู ฤติกรรมการอา่ น โดยในทางจติ วทิ ยาพบว่า หากสงิ่ ท่ีผู้ใหญ่สอน และสิง่ ที่ผู้ใหญป่ ฏิบัติมคี วามขัดแย้งกัน เด็กจะทาตามในสง่ิ ทผี่ ใู้ หญ่ปฏิบัติ ซ่ึงสอดคล้องกบั การคน้ พบใหม่

44 ในทางประสาทวทิ ยาศาสตร์ น้นั คือเซลล์กระจกเงาในสมองของมนุษย์ซ่ึงช้ีว่าวิธเี รยี นรู้ท่ีสาคญั ท่สี ุดของมนุษย์ คือการเรียนรู้ด้วยการเลียนแบบทางสังคม ทกั ษะทางสงั คม ทักษะทางภาษา ทักษะทางอาชีพหรือแมแ้ ต่ ทกั ษะการดารงชวี ติ ประจาวัน เราต่างเรยี นรผู้ ่านการเรียนแบบทง้ั สน้ิ 3. แรงดงึ ดดู ของสง่ิ เร้ามากมายในโลกยุคดิจิตัล โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เกมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีตา่ งๆ ในประเทศไทย อิทธิพลของเกมคอมพิวเตอร์คอื เครื่องมือพัฒนามนุษย์ท่ีไม่ก่อให้เกิด ผลเสียใดๆ จึงส่งเสริมให้เด็กๆเล่นเกมเหล่าน้โี ดยปราศจากการควบคมุ สุดท้ายปัญหาเด็กติดเกมเลย กลายเปน็ ปญั หาทสี่ าคัญซงึ่ ยอ่ มส่งผลกระทบต่อการปลกู ฝงั วัฒนธรรมการอ่านให้แก่เด็กๆ 4. การกระจายหนงั สือส่ผู ูอ้ า่ น ร้านขายหนงั สือในประเทศไทย มีเพยี งระดับอาเภอ ระดับ จงั หวัดเทา่ นนั้ ซึง่ หากนับรวมทั้งประเทศแล้วมีไม่เกิน 1,500 แห่ง เม่ือเทียบกับคนจานวน 85 ล้านคนถอื ว่า นอ้ ยมาก 5. ขาดการส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานทเ่ี ก่ียวขอ้ งอย่างจรงิ จัง จากทางรัฐบาลทาง กระทรวงศกึ ษาธิการ และจากองคก์ รทอ้ งถ่นิ 6. ประเทศไทยเคยมีสภาพบ้านเมอื งทีอ่ ุดมสมบูรณ์ ไมเ่ คยตกเปน็ เมืองขนึ้ ไม่เคยต้องเผชิญ ความยากลาบาก กดดัน ประกอบกับสภาพอากาศในเขตร้อน เอ้อื ให้คนออกมาคบหาสมาคมกันเปน็ กลุ่มๆ วฒั นธรรมของคนไทยจงึ มีลักษณะมุขปาฐะ เล่าเร่อื งพูดคยุ กันมากกว่าที่จะจัดบันทึกเป็นลายลักษณอ์ ักษรและ ยา่ นกันอย่างจริงจงั 7. หนังสอื คณุ ภาพดียังมไี มเ่ พียงพอ นอกจากนี้สภาพท่ีเปน็ ปัญหาหรือเป็นอุปสรรคขัดขวางทส่ี าคัญ ที่ทาให้บุคคลไม่ได้อา่ นหนังสือ ตามปกติ หรืออ่านหนังสือได้น้อยลงไปจากทเ่ี คยอา่ น หรือมีประสิทธภิ าพในการอ่านลดลง 1. ไม่มเี วลาส่ิงท่ีเปน็ อปุ สรรคอยา่ งย่งิ ตอ่ การเพิม่ พูนการอา่ นและมักจะเป็นข้ออ้างอย่เู สมอท้งั ของผู้ท่ี ชอบอ่านและไมช่ อบอ่าน ก็คือเรือ่ งของเวลาท่ีจะใชใ้ นกจิ กรรมการเล่นของบคุ คล บุคคลจานวนมากให้เหตุผล ของการไม่อา่ นหรอื อ่านน้อยลง ดว้ ยเหตผุ ลของเวลาที่มอี ยูอ่ ย่างจากดั และถกู จดั สรรให้กับภารกิจอน่ื มากขึ้น เชน่ การใช้เวลาในการทางานทีต่ ้องรับผิดชอบมากขึ้น การดินรนส้ชู ีวติ กับสภาพท่ีบบี ค้ั นทางเศรษฐกิจและ สงั คมมากข้ึน จนทาให้เวลาทีท่ จ่ี ะใช้ในกจิ กรรมการอา่ นลดลงและเป็นอุปสรรคตอ่ การเพิ่มพูนทักษะการอ่าน หรือไม่สามารถอ่านไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ 2. มีปัญหาสุขภาพปัญหาสุขภาพเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทาให้คน ชนื่ ชอบการอ่านหนงั สือ หรือเคยอ่าน หนงั สือบ่อยๆ มีการอ่านนอ้ ยลงท้งั ในเชิงจานวนครง้ั ของการอ่าน ระยะเวลาในการอ่าน และประสทิ ธภิ าพ การอา่ นเชน่ ขาดสมาธใิ นการอ่าน อ่านได้ชา้ ต้องหยุดการอ่านในระยะเวลาส้นั ๆ เป็นตน้ ทั้งน้อี าจจะเกิด จากปัญหาความเจบ็ ปวดของกลา้ มเนอื้ ปญั หาเร่ืองสายตา ปวดศีรษะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อศักยภาพและ โอกาสในการอา่ นทง้ั สนิ้

45 3. ขาดทักษะการอ่านในขณะท่ีตนกล่มุ หนง่ึ ไม่มีเวลาท่จี ะอ่านนนั้ มคี นอกี จานวนหนงึ่ ท่ีมีเวลามากพอ แก่การอ่านและสนใจที่จะอ่าน แต่เนื่องจากมีทกั ษะในการอา่ นน้อยอ่านไม่คล่องหรืออ่านไม่ออก ซ่ึงเป็น เหตุผลหน่ึงท่ีทาให้กลุ่มบคุ คลเหล่านีไ้ มส่ ามารถเขา้ ถึงการอ่านได้ และเมื่อเวลาผ่านไปนานข้นึ ก็อาจจะผลักดัน กล่มุ นีใ้ หก้ ลายเปน็ คนท่ีไม่ชอบอ่านไปในทีส่ ดุ 4. หนังสือมรี าคาแพง ไมส่ ามารถซ้ือได้ราคาหนงั สอื ทส่ี งู ท่ีเป็นที่เป็นสาเหตุหนงึ่ ทที่ าให้คนอา่ นหนงั สือ ได้นอ้ ยลงหรือไม่ได้อา่ น เนือ่ งจากมีข้อจากัดในเรือ่ งทนุ ทรัพย์อนั เป็นต้นทุนในการอ่าน โดยเฉพาะในกรณขี อง การซ้ือหนังสือมาอา่ นเอง อันเปน็ ผลมาจากฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว ค่าครองชีพทสี่ ูงขน้ึ และภาวะ เศรษฐกิจที่ซบเซา/ชะลอตัวลง ผูค้ นมีความจาเป็นท่ีจะต้องใช้จา่ ยอย่างประหยัดและเพื่อปากท้องเปน็ ลาดับ แรก ทาให้คนจานวนมากซือ้ หนงั สอื อ่านนอ้ ยลงหรือไม่สามารถซ้อื หามาอ่านได้ 5. ขาดเปา้ หมายในการอ่านอีกประเดน็ หนง่ึ ที่ทาใหส้ ถานการณ์การอ่านของคนไทยยังอยใู่ นระดับท่ีต่า กด็ ือการขาดเป้าหมายในการอ่าน ไม่มีวตั ถุประสงค์ในการอ่านและไม่ทราบว่าตนเองจะอ่านไปทาอะไร การขาดเปา้ หมายในการอ่าน ทาให้ผู้อ่านไม่มีแรงจูงใจท่ีชดั เจนในการอ่าน ไมก่ ระตือรอื รน้ และไม่อา่ นอย่าง ต่อเนอ่ื งสม่าเสมอโดยเฉพาะในผูท้ ี่พ้นวัยการศึกษาเล่าเรียนแล้ว จากท่กี ลา่ วมา สรุปได้ว่า ปญั หานิสยั รักการอ่าน เรม่ิ จากคนไทยไม่เห็นความสาคัญของการอา่ นไม่มี แบบอยา่ งท่ีดใี นการปลูกฝังนิสยั รักการอ่าน มีส่ิงเร้ายุคดิจิตัลมากมาย ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ขาดหนังสือคณุ ภาพดี หนังสือมรี าคาสูงและมักจะอ้างว่าไม่มีเวลาอ่าน ขาดทักษะการอา่ นและประการ สดุ ทา้ ยคือขาดเปา้ หมายในการอ่านเปน็ เหตุให้นสิ ยั รกั การอา่ นอยู่ในระดับตา่ 2.2 การจดั กจิ กรรมส่งเสริมนิสยั รกั การอา่ น 2.2.1 ลักษณะของกิจกรรมสง่ เสริมนิสัยรกั การอ่าน กิจกรรมส่งเสริมรักการอ่าน เป็นกิจกรรมที่ทาให้กลุ่มเป้าหมายสนใจกา รอ่านเห็น ความสาคัญและความจาเป็นของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลนิ ในการอ่าน พยายามพัฒนาการอ่านของตนให้ ถงึ ระดับการอ่านเปน็ และอ่านจนเปน็ นิสยั (แม้นมาส ชวลิต, 2546) กิจกรรมส่งเสริมการอา่ น จะมีลักษณะที่ สาคญั ดังนี้ 1. เร้าใจ บุคคลที่เป็นเป้าหมายอาจเป็นคนเดียวหรือกล่มุ คน หรือคนท่ัวไปให้เกดิ ความ อยากอา่ นหนงั สือ โดยเฉพาะหนังสือทีม่ ีคุณภาพตามทป่ี ระสงค์ หรือผจู้ ัดกจิ กรรมเหน็ ว่าควรอา่ น กจิ กรรม จะชี้ให้เหน็ ว่า การอา่ นเปน็ สงิ่ จาเปน็ มีความสาคญั มีประโยชนต์ ่อบุคคลนานาประการ 2. จงู ใจให้บคุ คลที่เปน็ เปา้ หมายเกิดความพยายามที่จะอ่านให้แตกฉาน เพ่อื จะไดร้ เู้ ร่ืองราว อันนา่ รู้ นา่ สนุกในหนงั สือ ตามที่ผู้จัดกิจกรรมนา้ มากลา่ วนอกจากจะเป็นประโยชนแ์ ลว้ ยังเกดิ ความรู้สึกว่า ความพยายามอ่านให้เข้าใจถอ่ งแท้น้ันคุ้มค่า ใหค้ วามร้สู ึกเปน็ อิสรเสรี ไม่ตอ้ งพงึ่ พาผู้อ่ืนให้ช่วยอา่ น ชว่ ย ตีความหมาย ซ่ึงบางครั้งอาจคลาดเคล่ือนก็ได้ เปน็ ความจาเปน็ ทจี่ ะฝึกฝนการอ่าน และการใช้ค่มู ือช่วยการ

46 อ่าน เชน่ พจนานุกรม ศพั ท์วิชาเฉพาะ เป็นต้น ไม่เกดิ ความเบอ่ื หน่ายท้อแท้ทจี่ ะต้องต่อส้เู อาชนะตนเองให้ เอาชนะหนงั สอื ใหไ้ ด้ 3. กระตนุ้ แนะนา ใหอ้ ยากรู้อยากเห็นเรือ่ งราวต่างๆ ท่ีมีอยู่ในหนงั สอื มากมายหลายอย่าง อยากมองดูใหร้ ้รู อบและรสู้ ึกซง้ึ เปดิ ความคิดให้กว้าง เมอ่ื อ่านเรื่องหนึ่งแลว้ กอ็ ยากอ่านอีกเรอ่ื งหน่ึงตอ่ ไป มคี วามรสู้ ึกว่าการอา่ นเป็นกิจกรรมประจาวนั ที่จะขาดเสียมิได้เกิดความรู้สกึ วา่ หนังสอื ทา้ ทายใหอ้ า่ นให้วจิ ารณ์ ให้ประเมินค่า ให้อยากนาเอาความรู้ท่ีไดร้ ับไปใช้ อยากเขยี นหนังสือทานองเดยี วกันนี้ให้ดีกวา่ เล่มที่อา่ น เหล่านี้ เป็นต้น 4. การสรา้ งบรรยากาศการอ่านข้ึนในบา้ น ในโรงเรียนและในสงั คม นอกจากกิจกรรมจะเร้า ใจจูงใจให้อ่าน และกระตนุ้ ใหเ้ กิดความคิดให้กวา้ งแลว้ กจิ กรรมส่งเสรมิ การอ่านจะเก่ยี วข้องกับการผลติ วัสดุ การอา่ นใหเ้ หมาะสม การสรา้ งและปรับปรุงแหลง่ วัสดุการอ่านให้มีเพยี งพอ บรู ณาการการอ่านเข้าไว้ในการ เรยี นการสอนและในการตัดสินใจเพ่อื ดาเนนิ การต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านควรให้เดก็ มีส่วนรว่ มให้เกิดความตระหนักวา่ เด็กสามารถหาความ เพลดิ เพลินจากการอ่านได้จากหนังสือ ทั้งท่ีเด็กมกี ิจกรรมอย่างอื่นอีกมากในเวลาว่าง การอ่านควรเป็น กจิ กรรมหนึ่งทม่ี ีแรงดึงดูดใจมากกว่ากิจกรรมอ่ืนๆ ดังน้ัน ครูควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านผา่ นการ ออกแบบที่เอ้อื ต่อการให้นกั เรียนได้มีโอกาสสารวจหนังสือที่พวกเขาเปน็ เจา้ ของก่อนจากนนั้ จงึ พิจารณาจัด บรรยากาศในช้นั เรยี น ให้นักเรียนตระหนักวา่ การอ่านเพ่ือความเพลิดเพลนิ เป็นธรรมชาติของชีวิตเชน่ เดียวกับ การอา่ นเพอื่ การเรยี นรู้ ดังนน้ั ครจู ะต้องแสดงความรสู้ ึกว่าการอ่านมีประโยชน์เพื่อผ่อนคลายซึ่งสามารถจัดได้ จากบรรยากาศรอบๆ ในการจัดกิจกรรมสว่ นในชัน้ เรียนควรมีห้องสมุดในช้นั เรียนในแต่ชั้นเรยี นควรมหี ้องสมุด ของตนเอง มีหนังสือที่เด็กใช่มากทส่ี ุดในเวลาท่ีอยใู่ นโรงเรียน ครูอาจจะยืมหนังสือจากห้องสมุดโรงเรยี น หอ้ งสมดุ สาธารณะมาจัดไวใ้ ห้นกั เรยี นไดอ้ า่ นในเวลาว่างกอ่ นท่ีจะเร่มิ เรียนหรือหลังรบั ประทานอาหารกลางวัน หรือใชค้ ้นควา้ หลงั จากทไ่ี ดร้ ับมอบหมายงาน อาจจะจดั โตะ๊ และเก้าอี้ที่นั่งสบายๆ หรือนัง่ กับพื้นปูพรมหรือ เส่ือที่มสี สี วยงาม ในชนั้ เรียนควรมีชั้นวางหนงั สือทเี่ ดก็ สามารถหยิบหนังสืออา่ นไดง้ า่ ย นอกจากนคี้ วรมีการจดั นิทรรศการหนังสอื ในห้องจะเป็นการสร้างความสนใจในการอา่ น มกี ารจัด ป้ายนเิ ทศมรี ูปภาพสสี วย มีคาถามดงึ ดูดใหน้ ักเรยี นสนใจอ่านค้นคว้าอาจจะมีการะต้ังคาถาม เชน่ หนูอ่าน หนงั สือเล่มน้ีแล้วหรือไม่ หรอื หนอู ยากแนะนาหนังสือเล่มใดหรือเล่มไหนมีภาพที่หนูชอบ หรอื ใครเปน็ ผูเ้ ขยี น หนงั สือเล่มน้ี จะเปน็ การกระตนุ้ ใหน้ ักเรียนได้คิดและสนใจหนังสือ สว่ นปา้ ยนิเทศควรจะมหี นังสือท่มี ีสสี วย มรี ูปภาพเก่ียวกับเรอ่ื งราวหรือภาพตัวละครซึ่งนักเรียนสรา้ งขึ้น จุดประสงค์ของการจัดป้ายนิเทศเพื่อให้ นกั เรียนได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือทเี่ ขาต้องการอ่านและตื่นเต้น สนใจอยากอ่าน การจัด นิทรรศการหนังสอื อาจใช้โปสเตอร์ที่มีการพิมพ์เกี่ยวกบั หนังสือใหม่ หรือหนังสือที่ทันต่อเหตุการณ์เช่น หนงั สอื ในงานสัปดาหห์ นังสอื หนังสอื ทไ่ี ด้รบั รางวัล เป็นต้น

47 กิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การแบ่งปันการอ่านวรรณกรรม (Sharing literature) เป็นวิธีท่ีมี ประสิทธิภาพท่ีจะน าเด็กๆ กับหนังสือเข้าด้วยกัน เด็กจะกระตือรือร้น ท่ีจะสะท้อนความรู้ความคิด ความสามารถในการอ่านและสามารถแบ่งปันการอ่านกบั เพื่อนนักเรียนดว้ ยกนั ได้ ครสู ามารถอ่านหนังสอื ให้ นักเรยี นท้ังเปน็ วธิ ีธรรมดาทไี่ ด้ผลเด็กทีอ่ ่านเกง่ หรอื กา่ นไมเ่ กง่ จะต้ังใจฟงั เรื่อง การอ่านออกเสยี งของครจู ะเป็น การแนะนาหนังสือให้นกั เรยี นรู้จักเป็นการจุดประกายความสนใจ กิจกรรมการอ่านหนังสือให้เดก็ ฟงั เป็นกิจกรรมตามปกติที่ครอู า่ นออกเสยี งจากหนังสอื ให้นักเรียนฟัง หรอื ใหน้ ักเรยี นชนั้ โตกวา่ ทากิจกรรมต่อเนือ่ งจากครโู ดยนกั เรยี นทอ่ี า่ นคลอ่ งและอ่านไมค่ ล่องได้ฟงั เรอ่ื งราวท่ี อา่ นและจะมีความพยายามในการอา่ นเอง ครคู วรเลือกหนังสือทส่ี นกุ สนาน เพื่อสร้างความรู้สึกท่ีดีเปิดโอกาส ใหน้ ักเรยี นได้ใกลช้ ิดเป็นการสรา้ งความรสู้ ึกท่ีดี เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นได้ใกลช้ ดิ เป็นการสรา้ งบรรยากาศที่ นักเรียนจะเหน็ สีหนา้ ทา่ ทางการอ่านพรอ้ มดภู าพในหนังสือ บางครั้งครูอาจใช้เคร่ืองฉายภาพทึบเพอ่ื ให้เด็ก เหน็ ภาพในหนงั สือมีขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนอา่ นครูจะแนะนาเรื่องเลา่ สิ่งทีน่ ักเรยี นสนใจเกี่ยวกับชอ่ื ผู้แตง่ หนังสือ โดยการแสดงนทิ รรศการหนังสอื ควรแนะนาหนงั สือโดยสรปุ แนะนาฉาก เหตุการณ์ นสิ ยั ตวั ละครการพลอ็ ต เรื่อง ครูควรแสดงความพอใจทีน่ กั เรยี นอ่านเรื่องตอ่ จากทค่ี รูเล่า และกระตุ้นใหน้ ักเรยี นอา่ นเร่ืองอน่ื ตอ่ ไป กจิ กรรมท่ีสัมพันธ์กบั การอา่ น ครูเลา่ เรอ่ื งให้นักเรยี นนัง่ ล้อมวงครู ครูเตรียมเรอื่ งท่ีจะเลา่ เตรียมโครง เรอ่ื งของตวั ละครหลกั และลาดับเหตุการณ์ในเร่ืองโดยไม่ลืมเล่าเหตุการณท์ ี่นา่ สนใจท่ีสาคญั ท่ีสุดของเร่ือง ครูเลา่ ด้วยน้าเสียง ท่าทางท่แี สดงอารมณ์ถา่ ยทอดความรู้สึกของตัวละคร ครจู ะเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ และพยายามพดู จูงใจให้เห็นว่านา่ สนกุ โดยไม่เลา่ ทัง้ หมดเร่ืองเพือ่ ใหผ้ ้เู รียนติดตามและยืมหนงั สือไปอ่านดว้ ย ตนเอง กิจกรรมการเล่าเรื่องโดยใชก้ ระดาน (Chalktalk) เปน็ วธิ ีการท่ีได้ผลดีทาให้นักเรยี นสนใจครูผู้เลา่ จะ วาดภาพบนกระดานหรือใชด้ ินสอรา่ งภาพคร่าวๆ แลว้ เลา่ เรอ่ื งตามภาพท่เี ขียน กิจกรรมการอา่ นและอภิปรายหนงั สือ (Realing and discussion books) ผู้เรียนเลือกอ่านหนังสือ เรื่องเดยี วกนั น่งั ล้อมวงเปน็ กลมุ่ กลมุ่ ละ 5-6 คน แล้วนาความรคู้ วามเขา้ ใจจากการอ่านในใจถา่ ยทอดให้เพอ่ื น ในกลมุ่ ฟงั ตามความเขา้ ใจของแต่ละคนเพ่ือตรวจสอบความถูกตอ้ งและเพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจยิง่ ขึน้ กจิ กรรมการรายงานหนงั สือ (Book report) เป็นวิธีที่ใช้ได้กับโปรแกรมการอ่านทเี่ น้นการอ่านเป็น รายบุคคลเป็นการสรุปส่งิ ทีน่ กั เรยี นมคี วามสามารถในการอ่านในช้ันเรียนการรายงานหนงั สอื จะเกดิ ผลดีเมอ่ื ใช้ รว่ มกับการอ่านแบบอสิ ระ (Independent ruling) เม่ือนกั เรยี นอ่านจบจะได้พัฒนาทักษะ นักเรียนอาจเลอื ก อา่ นหนังสืออ่านหนังสือที่สัมพันธ์กับเร่ืองได้ ครูอาจให้อ่านเป็นกลุ่มเป็นการอ่านเพ่อื ผ่อนคลาย หรอื อา่ นฆ่า เวลาให้อิสระแกน่ ักเรียนในการเลือกหนงั สือ นักเรียนที่อ่านดว้ ยความเพลดิ เพลินจะชว่ ยกระตุ้นนักเรยี นคน อนื่ ๆ ได้โดยการแบง่ ปนั ประสบการณก์ ารอา่ นด้วยการใหร้ ายงานปากเปล่าแบบไมม่ ีแบบแผน

48 รูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสรมิ การอ่านส่งเสริมการอ่านทีจ่ ัดสว่ นมากจะเป็นกจิ กรรมท่ีใชผ้ ู้ หนังสือ เป็นฐาน โดยมีเป้าหมายที่จะกระตนุ้ ความสนใจในการอา่ น การดาเนินงานของหน่วยงานทั้งโรงเรียน กระทรวงศึกษาธกิ ารเกี่ยวกบั การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและจะเกดิ ผลต่อนักเรียน ครู ผู้เกี่ยวข้อง อย่างไร ไดม้ กี ารติดตามผลการดาเนนิ งานดงั น้ี การอา่ นมคี วามสาคญั ต่อการเรียนรูต้ ลอดชวี ิต การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอา่ นจึงเป็นกญุ แจสาคญั ที่ จะนาไปสู่การปฏริ ูปหลกั สตู รด้วยจดุ ประสงค์ท่ีนกั เรยี นมศี กั ยภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น โดย The Education Department (2001) ของประเทศฮอ่ งกง ได้ศึกษาเม่ือเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.2001 โดยมีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ สารวจนิสัยการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1- มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ในการอ่านหนงั สือต่างๆ หนังสือพมิ พ์ และสารสนเทศทางอเิ ล็กทรอนิกส์ ตลอดจนสารวจความสนใจในการอ่านทีบ่ ้าน ที่โรงเรียน ผลการสารวจพบว่านาเรียนสว่ นใหญ่ใชเ้ วลาวา่ งหลังจากเลิกเรียนดูโทรทัศน์ วีดีทศั น์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ นกั เรียนใช้เวลา 2 ช่ัวโมง/สัปดาหใ์ นการอ่านหนงั สือ หนังสือพิมพ์ และสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ถอื ว่าการอ่าน อยู่ในระดับต่า การอา่ นหนังสือพิมพห์ รือคอมพิวเตอร์มีส่ิงท่ีคล้ายคลึงกันคือการอ่านขา่ วบันเทิงเรือ่ งราวใน ชวี ิตประจาวัน สารสนเทศทางเทคโนโลยี ส่วนหนังสอื ท่ีอา่ นส่วนมากจะเป็นเรือ่ งราวตา่ งๆ เร่อื งตลกขาขัน นิทานและการ์ตูน การอ่านส่วนใหญ่เพื่อความบันเทิงมากว่าประเทืองปัญญา นักเรียนส่วนใหญ่จะอ่าน หนงั สอื ที่บ้านในวนั หยุด จุดประสงค์การอา่ นของนกั เรียนประถมศึกษาเพ่ือแสวงหาความรู้ สว่ นนักเรยี น มธั ยมเพอื่ ใชเ้ วลาวา่ ง จากผลการสารวจนีท้ าให้ได้ขอ้ เสนอแนะที่นา่ สนใจว่าพอ่ แม่ควรจะมีสว่ นร่วมในการส่งเสรมิ การอา่ น กระตุ้นความสนใจ มสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมการอ่านของลูก การใช้วัสดกุ ารอ่านที่ง่ายเปน็ สง่ิ สาคัญในการปลกู ฝัง นสิ ยั การอ่านและนักเรียนควรจะใช้เวลาให้มากขนึ้ ในการเข้ารว่ มกิจกรรมการอา่ น และโรงเรียนควรสรา้ ง บรรยากาศท่เี ออื้ ต่อการอ่าน กิจกรรมท่ีจัดข้ึนเพ่อื ส่งเสริมการอ่านน้นั มีหลายกจิ กรรม แต่ละกิจกรรมท่มี ีความมุ่งหมายเพ่ือปลูกฝัง นิสัยรักการอ่านแกผ่ เู้ รียนตลอดจนพฒั นาความสนใจในการอา่ นใหก้ วา้ งขึ้น จากงานวิจัยของอรศรี งามวทิ ยา พงศแ์ ละคณะ (2553) พบวา่ กิจกรรมทจ่ี ะเอ้ือไปสูก่ ารสร้างวฒั นธรรมการอ่านได้นั้น กจิ กรรมจะต้องมีลักษณะ สาคัญ ดงั น้ี 1. กจิ กรรมตอ้ งมีความหลากหลาย เพ่ือตอบสนองตอ่ ความหลากหลายแตกต่างของกลุ่มเป้าหมาย สามารถเช่ือมโยงการอ่านเขา้ ไปกับกจิ กรรมได้อย่างผสมกลมกลืน กิจกรรมไม่จาเป็นต้องมุ่งไปที่เรอ่ื งการอ่าน โดยตรง แตส่ ามารถดาเนินผา่ นกิจกรรมอื่นๆ ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจอยู่ก่อนแล้ว ดังน้ันผู้จัดกิจกรรมต้องมี ความรคู้ วามสามารถทกั ษะการเชอ่ื มกิจกรรมใหไ้ ปโยงกบั การอ่านโดยอาศัยฐานกจิ กรรมอื่นได้ 2. กิจกรรมเชอื่ มโยงธรรมชาติของเดก็ เข้ากับการอา่ น ผจู้ ดั กจิ กรรมตอ้ งมีความเข้าใจเร่ืองการเรียนรู้ และเขา้ ใจธรรมชาตกิ ารเรียนรูข้ องเด็ก ว่าเด็กมคี วามอยากรู้อยากเหน็ หรือได้รู้ (Curiosity)และมีจนิ ตนาการ