Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่มที่ 6 การวิจัยในชั้นเรียน

เล่มที่ 6 การวิจัยในชั้นเรียน

Description: เล่มที่ 6 การวิจัยในชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

คานา การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ให้ความสาคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ ทกั ษะชวี ิต ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ และคิดสร้างสรรค์ การท่ีจะให้ผู้เรียน มีคุณลักษณะดังกล่าวต้องจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซ่ึงครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นปัจจัย สาคัญประการหนึ่งในการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ หากครูและบุคลากรทางการศึกษามีสมรรถนะ เพียงพอ มีความรู้ความเข้าใจและนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้ของผู้เรียน ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีย่อมจะทาให้การพัฒนาผู้เรียนบรรลุ เปา้ หมายและมาตรา 52 ระบุว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนา ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มคี ุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง ดังน้ันการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นแนวทางหน่ึงของการส่งเสริม สนับสนุนให้ครูและ บคุ ลากรทางการศกึ ษามสี มรรถนะเพยี งพอ สาหรบั การสร้างโอกาสและจดั การเรยี นรทู้ ่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเองเปน็ ผเู้ รยี นร้ตู ลอดชวี ิต การพัฒนาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพิเศษในยุคสังคมฐานความรู้ ซ่งึ ความร้มู ีปรมิ าณมาก สามารถเรยี นรู้และค้นคว้าได้จากหลายแห่งโดยไม่จากัดเวลา สถานท่ีจึงต้องมีการ ปรับเปล่ียนวิธีการให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาการ และแนวคิดการพัฒนาคนให้เป็นบุคคล แห่งการเรยี นรแู้ ละร่วมสร้างสังคมแหง่ การเรยี นรู้ หลักสูตรการอบรมครูสอนการศึกษาพิเศษเดิมเน้นให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการ อบรม พัฒนาโดยต้องใช้เวลาพบกับผู้ให้ความรู้เป็นส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนให้ผู้เข้าอบรมศึกษาเอกสาร ประกอบหลักสูตรด้วยตนเองก่อนเข้ารับการทดสอบวัดความรู้พื้นฐาน หากมีผลการทดสอบผ่านเกณฑ์ท่ี กาหนดในหลกั สตู รจะเขา้ รบั การอบรมเขม้ เพอื่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกปฏิบัติรวมทั้ง ประยุกต์ใช้ความรู้ ในการจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษในสถานศึกษาท่ีตนปฏิบัติงาน ซ่ึงกาหนดเป็น ภาคปฏิบัติท่ีมีการนิเทศ ติดตามให้ครูที่ผ่านการอบรมมีเพื่อนร่วมทางในการเป็นพ่ีเล้ียง ช้ีแนะจนมีความ ม่ันใจว่าตนเองสามารถจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ เมื่อมีการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรอบรมครูสอน การศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พุทธศักราช 2544 ใน ปี พ.ศ. 2551 (คร้ังท่ี 1) และ พ.ศ. 2556 (คร้ังที่ 2) จึงได้มีการปรับสาระให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าและการเปล่ียนแปลงองค์ ความรู้ ในกระบวนการอบรมได้ปรับเปล่ียนให้สถาบันการศึกษาท่ีผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษาด้าน การศึกษาพิเศษเปน็ หนว่ ยงานอบรมระยะส้ันแบบเข้มหลังจากผู้ขอเข้ารับการอบรมผ่านเกณฑ์การทดสอบ วัดความรู้พ้ืนฐานจากการศึกษาเอกสารประกอบหลักสูตรและการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ

เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานได้พัฒนาตนเองสาหรับการนาไปสู่การ ปฏบิ ตั ใิ นสถานศกึ ษาตามเง่ือนไขท่กี าหนดของหลักสูตร ขอขอบคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะทางานทุกท่านท่ีได้ร่วมกันปรับปรุง พัฒนาหลักสูตร เอกสาร ประกอบหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพการเปล่ียนแปลง หวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารประกอบการจัดการ อบรมตามหลักสูตรการอบรมครูสอนการศึกษาพิเศษฉบับนี้จะอานวยประโยชน์ให้การพัฒนาครูและ บคุ ลากรทางการศกึ ษาพิเศษมีประสทิ ธิภาพและเกิดประสทิ ธผิ ลตามเจตนารมณท์ ุกประการ นายชินภทั ร ภมู ริ ัตน เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน

คาชแ้ี จง เอกสารชุดศึกษาด้วยตนเอง วิชาการศึกษาพิเศษ เร่ือง การวิจัยในช้ันเรียนท่ีเกี่ยวกับการจัด การศึกษาพิเศษเล่มนี้ ได้รวบรวมเน้ือหาจากเอกสารที่เก่ียวข้องประกอบด้วย แนวคิดและหลักการ เกี่ยวกับการวิจัยในช้ันเรียน การวางแผนการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการ เสนอผลการวเิ คราะห์ บทสรุปและตัวอยา่ งการวิจยั ในชั้นเรียนด้านการศึกษาพิเศษ เพ่ือให้ครูและผู้สนใจ นาความรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนและการทาวิจัย รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ให้มีประสิทธภิ าพสงู ขนึ้ คณะผูจ้ ัดทา

สารบัญ หนา้ คานา 1 1 คาชี้แจง 2 3 สารบญั 3 6 แนวทางการใช้ชุดการศึกษาดว้ ยตนเอง 7 11 หน่วยที่ 1 แนวคดิ และหลกั การเก่ยี วกบั การวิจยั ในช้ันเรยี น.....………………………………. 11 ความสาคัญและความหมายของการวิจยั ในชนั้ เรยี น..................................... 12 ความสาคัญของการวจิ ัยในชัน้ เรียน............................................................... 14 ประโยชนข์ องการวจิ ยั ในชนั้ เรียน.................................................................. 17 ลักษณะของการวิจัยในชั้นเรยี น.................................................................... 17 ประเภทของการวิจัยในชัน้ เรียน.................................................................... 20 รปู แบบการวิจยั ในช้ันเรยี น............................................................................ 22 22 หนว่ ยที 2 การวางแผนการวจิ ยั ..................................................................................... 22 การกาหนดช่ือเรือ่ งงานวจิ ยั .......................................................................... 27 การทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง............................................................... 27 การวางวางแผนการวิจยั และดาเนินการวิจัย................................................. 30 30 หน่วยที่ 3 การเก็บรวบรวมข้อมลู .................................................................................. 32 การสรา้ งและพัฒนาการเครื่องมือเกบ็ ข้อมลู ................................................. 32 การเก็บรวบรวมข้อมลู .................................................................................. 34 หนว่ ยที 4 การวิเคราะห์ข้อมลู และการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู …………………………… การออกแบบการวิเคราะหข์ ้อมลู .................................................................. การเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู .................................................................... หนว่ ยที 5 การนาเสนอผลงานวิจยั ................................................................................. องค์ประกอบในการเขยี น 5 บท................................................................. การจัดรปู แบบการพิมพ์ของหน้า................................................................... การเขียนอา้ งองิ ............................................................................................ หนว่ ยที 6 บทสรุปและตวั อยา่ งการวิจัยในช้นั เรียนด้านการศกึ ษาพิเศษ........................ บทสรุป.......................................................................................................... ตัวอยา่ งการวจิ ยั ในชั้นเรยี นด้านการศึกษาพเิ ศษ........................................... บรรณานกุ รม คณะทางาน

แนวทางการใช้ชดุ การศกึ ษาดว้ ยตนเอง ท่านทีศ่ กึ ษาเอกสารควรปฏิบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเน้ือหา และสาระสาคัญของเอกสาร 2. ทาความเขา้ ใจเน้อื หาอยา่ งละเอียด 3. ศกึ ษาจากแหลง่ ความรเู้ พิ่มเติม 4. โปรดระลกึ ไว้เสมอวา่ การศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง เปน็ เพียงสว่ นหนึ่งของการพฒั นา ความร้ดู ้านการศึกษาพเิ ศษเท่าน้นั ควรศกึ ษาคน้ ควา้ จากแหล่งความรู้อน่ื ๆ เพม่ิ เติม

หนว่ ยท่ี 1 แนวคิดและหลกั การเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน ความสาคญั และความหมายของการวจิ ยั ในชั้นเรยี น การวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาและเป็นการแสวงหาความรู้ท่ีมี วิธีการอย่างเป็นระบบแล้วนาไปสู่การแก้ปัญหา โดยจะค้นหาว่าอะไรเป็นเหตุของปัญหาท่ีจะศึกษาและ ค้นคว้าให้ได้ผลซ่ึงเป็นคาตอบที่น่าเชื่อถือ โดยมีวิธีการและเคร่ืองมือที่ผ่านการตรวจประเมินจาก ผู้เชี่ยวชาญแลว้ ทง้ั มกี ารอ้างอิง หลักการและทฤษฎีเพื่อยนื ยันผลการค้นพบความรู้ใหม่ท่ีเพิ่มพูนจากองค์ ความร้เู ดมิ ทมี่ อี ยูแ่ ลว้ ซงึ่ สามารถนาไปประยกุ ต์ใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้ คาว่า Action Research ใช้ในความหมายภาษาไทยหลายคาที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ การวิจัยเชิง ปฏิบัติการ การวิจัยปฏิบัติการ วิจัยดาเนินการ การวิจัยในชั้นเรียน วิธีการวิจัยในช้ันเรียน การวิจัยใน ห้องเรยี น (Classroom Research) การวิจยั เชงิ ปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) และการวิจัยของครู (Teacher – Based Research) เพราะเป็นการวิจัยท่ีครูเป็นผู้ดาเนินการ ใช้เวลาใน การวิจัยไม่มากนัก มีประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับครู เป็นการวิจัยทางการศึกษา (Educational Research) (สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2544 และกอบกุล จงกลนี, 2545) การวิจัยในชัน้ เรียนเป็นการวิจัยท่ีเกิดจากความต้องการของครูท่ีจะพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง กิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดผลกับผู้เรียนในทางท่ีดีข้ึน เหมาะสมและมีคุณค่ามากขึ้น ทั้งน้ีเพื่อให้ คุณภาพของการศึกษาสูงข้ึน บรรลุจุดประสงค์ของการศึกษา คือ การพัฒนาและเปล่ียนแปลงผู้เรียนให้ดี ขนึ้ โดยเน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยการเร่ิมต้นจาก การศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา ดาเนินการศึกษา จนถึงการสรุปและรายงานผลการศึกษาซึ่งมีนักวิชาการ และนกั การศึกษาไดใ้ ห้ความหมายของการวจิ ัยในชั้นเรยี นไว้ดังนี้ มนสิช สิทธิสมบูรณ์ (2548) ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนว่า หมายถึง การดาเนินงาน ของครูอย่างเป็นระบบในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อการสะท้อนผลและหาวิธีการแก้ปัญหาตามสภาพที่ เกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน ด้วยกระบวนการวิจัยที่เชื่อถือได้ เพ่ือการแก้ไขปรับปรุง เปล่ียนแปลง พัฒนาและ เพ่ิมพูนความรู้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน ทั้งในด้านท่ีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การพัฒนาหลกั สตู ร และการบริหารจดั การเรียนการสอน โชคชัย สุขสนิท (2548) สรุปความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนว่า คือ การวิจัยท่ีจัดทาโดย ครผู สู้ อน มีจดุ ม่งุ หมายเพื่อแกไ้ ขปัญหาท่ีเกดิ ข้ึนในช้ันเรียนและนาผลมาใช้ปรับปรุงพัฒนาการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ทาให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทาอย่าง รวดเรว็ เพือ่ นาผลไปใช้ทนั ที

2 สุวิมล ว่องวานิช (2550) ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ การวิจัยท่ีทาโดย ครูผ้สู อนในห้องเรียนเพ่ือแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในห้องเรียนและนาผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน หรอื ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผเู้ รียนให้ดีย่ิงขึน้ เพอ่ื ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ กบั ผูเ้ รยี น เพลินพิศ ธรรมรัตน์ (2550) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในช้ันเรียน (Classroom Action Research: CAR) หรือเรียกส้ันๆ ว่า การวิจัยในช้ันเรียน (Classroom Research: CR) ว่าหมายถึง การวิจัยท่ีทาในบริบทของชั้นเรียนและนาผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน เป็นการนา กระบวนการวจิ ยั ไปใช้ในการพฒั นาครูให้ไปส่คู วามเป็นเลิศและมีอิสระทางวชิ าการ สรุปได้ว่า การวิจัยในชั้นเรียน เป็นการพัฒนาผู้เรียนอย่างมีระบบ เป็นการศึกษาและวิจัยควบคู่ กับการจัดการเรียนการสอนโดยครูผู้สอน เพื่อแก้ปัญหาให้กับนักเรียน และพัฒนาการสอนของตนเอง และเผยแพรผ่ ลการวจิ ยั ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ผู้อน่ื ความสาคัญของการวิจัยในชั้นเรยี น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ (5) ระบุให้ สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอน สามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและอานวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ีผู้สอนและผู้เรียน อาจเรียนไปพร้อมกัน จากส่ือการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ ซึ่งนักการศึกษาหลาย ทา่ นได้สรุปความสาคัญของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น ไวด้ ังน้ี บุญชม ศรีสะอาด (2546) กล่าวว่า การวิจัยในช้ันเรียนมีความสาคัญต่อการจัดการศึกษาเป็น อย่างยิ่งเพราะเป็นกระบวนการหนึ่งในกระบวนการเรียนการสอน ที่ครูเป็นผู้จัดทาเพ่ือแก้ปัญหาการ เรียนรู้ของผู้เรียนทาให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและการ พฒั นาวชิ าชพี ครูด้วย การวจิ ัยในช้นั เรียนมีความสาคัญตอ่ การจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครูผู้ทาวิจัยที่ จะพัฒนาการเรียนการสอนและแก้ปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียนควบคู่กับการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน หรอื เปน็ การวจิ ัยประกอบแผนการจดั การเรยี นรู้ให้มปี ระสทิ ธิภาพและเกดิ ประโยชน์สูงสุดต่อการ จดั การศกึ ษาต่อไป (พิทยา แสงสว่าง, 2546 และมนสิช สทิ ธิสมบรู ณ์, 2548) สุวมิ ล วอ่ งวานชิ (2549) กล่าวถึงความสาคัญและความจาเป็นของการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน ไว้ ดังน้ี 1) ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทาวิจัย การประยุกต์ใช้ ตระหนักถึงทางเลือก ที่เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ดีขึ้น 2) เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ นอกเหนือจากการ เปล่ียนแปลงหรือสะท้อนผลการทางาน 3) เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติโดยตรง เนื่องจากช่วยพัฒนาตนเอง ด้านวิชาชีพ 4) ช่วยทาให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเน่ืองและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการปฏิบัติและ การแก้ปัญหา 5) เป็นการวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติ ในการทาวิจัย ทาให้

3 กระบวนการวิจัยมีความเป็นประชาธิปไตย ทาให้เกิดการยอมรับในความรู้ของผู้ปฏิบัติ 6) ช่วยตรวจสอบ วธิ กี ารทางานของครูทีม่ ปี ระสิทธผิ ล 7) ทาให้ครูเป็นผนู้ าการเปลย่ี นแปลง สรุปไดว้ า่ การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการท่ีใช้เพื่อการศึกษาสภาพท่ีเกิดขึ้นภายใน ห้องเรยี นโดยมีครูเป็นผู้ดาเนินการ จึงมีความสาคัญ คือ เป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้าท่ีเกี่ยวข้องกับการ เรียนการสอนในห้องเรียน เพ่ือหาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับ หลักสูตร วิธีสอน การจัดกิจกรรม สื่อการสอน และวิธีการวัดประเมินผล เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ประสิทธิภาพการเรยี นการสอนตามสภาพทีเ่ กิดขึน้ ภายในห้องเรยี นโดยมคี รูเป็นผ้ดู าเนินการ ประโยชน์ของการวจิ ยั ในชนั้ เรียน การวจิ ัยในชน้ั เรยี นมีเปา้ หมายเพ่อื พฒั นาการเรียนการสอนหรือพฒั นาการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมท่ี กระทาควบคู่กับการเรยี นการสอนหรือบรู ณาการไปกับการเรยี นการสอน เป็นการกระทาที่มีประโยชน์กับ ทุกๆ ฝ่ายที่เก่ียวข้อง ช่วยในการพัฒนาวิชาชีพครู เน่ืองจากข้อค้นพบท่ีได้จากกระบวนการสืบค้นที่เป็น ระบบและเชื่อถือได้ ทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการพัฒนาการเรียนรู้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยู่ในระดับท่ีน่าพอใจ และไม่มีปัญหาการเรียน ซ่ึงส่งผลไปถึงการขจัดปัญหาและผลกระทบอ่ืนๆ ด้วย และครูเกิดการ พัฒนาการจัดการเรียนการสอน มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ในการหาทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ได้นวัตกรรมท่ีผ่านการปรับปรุงจนเป็นที่ยอมรับ และเกิดความมั่นใจในการทางานมากขึ้น สามารถ อธิบายได้ว่าตนเองสามารถจัดการเรียนรู้ให้เกิดผลแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคลและแต่ละคนอย่างไร นอกจากนย้ี ังเปน็ การพัฒนาผู้ที่มีส่วนร่วมนาไปสู่การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ และด้วยหลักการสาคัญ ของการวิจัยปฏิบัติการที่เน้นการสะท้อนผล ทาให้การวิจัยแบบนี้ส่งเสริมบรรยากาศของการทางานแบบ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ที่ ทุ ก ฝ่ า ย เ กิ ด ก า ร แ ล ก เ ป ล่ี ย น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ แ ล ะ ย อ ม รั บ ใ น ก า ร ค้ น พ บ ร่ ว ม กั น (สวุ ิมล องวานิช, 2544, เพลนิ พศิ ธรรมรตั น์, 2550) ลักษณะของการวจิ ัยในชั้นเรียน การวจิ ยั ในชั้นเรยี น มีลักษณะทสี่ าคัญหลายประการซง่ึ นกั การศึกษาหลายท่านไดก้ ลา่ วไว้ ดังน้ี ประวิต เอราวรรณ์ (2546) ได้กล่าวถงึ ลกั ษณะของการวิจยั ในชน้ั เรียนไว้ดงั นี้ 1) ปญั หาการวิจยั เกิดขึน้ จากการทางานในชั้นเรียนทเ่ี กยี่ วกบั การเรียนการสอน 2) ผลการวิจยั นาไปใชเ้ พ่ือพัฒนาการเรียนการสอน 3) การวจิ ยั ดาเนนิ ไปพรอ้ มกบั การจดั การเรียนการสอน กลา่ วคือ สอนไปวิจยั ไปแล้วนา ผลการวจิ ยั มาใช้แก้ปัญหา และทาการเผยแพรใ่ หเ้ กดิ ประโยชน์ต่อผูอ้ ื่น เพลินพศิ ธรรมรัตน์ (2550) ได้ให้แนวคิดเก่ียวกับลักษณะของการวิจัยในช้ันเรียนไว้ว่า การวิจัย ในช้ันเรียน เป็นวิจัยแบบหน่ึงของการวิจัยทางการศึกษา โดยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) นิยมเรียกว่า การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research) หรือการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน (Classroom Action Research: CAR) การวิจัยเกิดท่ีห้องเรียนโดยครูมีบทบาทเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูล

4 อย่างเป็นระบบ มีหัวใจสาคัญคือมุ่งจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนโดยอาศัยการปฏิบัติ (Action) ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้วิจัยโดยตรง แต่เป็นนักทาหรือนักปฏิบัติมากกว่า โดยอาศัยระเบียบวิธีวิจัย หรือที่เรียกว่าการวิจัย เข้ามาใช้เป็นกระบวนการหรือวิธีการพัฒนาการเรียนการสอนในช้ันเรียนท่ีตนเอง รับผิดชอบอยู่ สุวิมล ว่องวาณิช (2550) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะของการวิจัยในชั้นเรียนหรือการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียนว่า เป็นการวิจัยท่ีครูผู้สอนแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้านการเรียนการสอนท่ี เก่ียวข้องกับผู้เรียนในห้องเรียนโดยมีการดาเนินงานที่เป็นวงจรต่อเน่ือง มีกระบวนการทางานแบบมีส่วน ร่วม และเป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่งของการทางานปกติ เพื่อให้ได้ข้อค้นพบเก่ียวกับการแก้ไข ปญั หาทีส่ ามารถปฏิบตั ไิ ดจ้ ริง ดังนั้นการนาแนวทางการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนไปใช้ในการพัฒนาการ เรียนการสอน มลี ักษณะสาคัญ ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ลักษณะสาคญั ของการวจิ ยั ปฏบิ ัติการในช้ันเรยี น ใครทา การวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชัน้ เรยี น คือ การวจิ ัยที่มีลักษณะดังน้ี ทาอะไร ทไ่ี หน ครูผสู้ อนในห้องเรยี น เมอื่ ไร อยา่ งไร ทาการแสวงหาวธิ ีการแกไ้ ขปัญหา ทเี่ กิดขน้ึ ในหอ้ งเรยี น เพอื่ จดุ มุ่งหมายใด ลักษณะเดน่ การวิจัย ในขณะทีก่ ารเรียนการสอนกาลังเกิดขึ้น ด้วยวธิ ีการวิจยั ท่มี ีวงจรการทางานต่อเน่ืองและสะทอ้ นกลับ การทางานของตนเอง (Self-Refection) โดยขัน้ ตอนหลักคอื การทางาน ตามวงจร PAOR (Plan, Act, Observe, Reflect & Revise) มจี ดุ ม่งุ หมายเพ่ือพฒั นาการเรียนการสอนใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ ผเู้ รยี น เป็นกระบวนการวจิ ยั ที่ทาอย่างรวดเรว็ โดยครูผู้สอนนาวิธกี ารแกป้ ัญหาที่ ตนคิดขนึ้ ไปทดลองใช้กบั ผู้เรียนทันทแี ละสงั เกตผลการแก้ปัญหานน้ั มกี าร สะท้อนผลและแลกเปล่ยี นประสบการณ์กับเพ่ือนครใู นโรงเรยี น เปน็ การ วจิ ยั แบบร่วมมอื (Collaborative Research) ทม่ี า : สุวมิ ล วอ่ งวาณิช (2550) รปู แบบของการวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการมีความสอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนการสอน และเหมาะ สาหรบั ครูท่ไี ม่มคี วามรู้ในระเบยี บวธิ ีวจิ ยั เน่อื งจากได้ลดเกณฑบ์ างอย่างของการวิจัยตามรูปแบบออกไป ทาให้ครูสามารถนาวธิ ีการวิจยั ในชัน้ เรยี นไปใช้ในการศกึ ษาเกี่ยวกับส่ิงท่เี กดิ ขึ้นมาแล้วหรือกาลังจะเกิดขึน้ ต่อไปในอนาคตก็ได้ งานวิจัยทางการศึกษาพิเศษ นิยมใช้รูปแบบการวิจัยทางจิตวิทยา เน่ืองจากกลุ่มเป้าหมายท่ี ศึกษา มีจานวนน้อยและมีความแตกต่างกันมาก รูปแบบการศึกษาวิจัยท่ีนิยมใช้ คือ Single-Subject Design/Reversal Design/Withdrawal Design/Single-case Design, Single Baseline Design Single Study หรือ การวิจัยแบบกลุ่มตัวอย่างเด่ียว มีช่ือเรียก ต่าง กัน ได้แก่ Single Case Experimental Design, Single System Design, Single Case Design,

5 Single Subject Design, Within Subject Comparison Design ,Idiographic Design, N = 1 Design, Small- N- Design , Small- n – Experimentation ซึ่งการวิจัยรูปแบบน้ีมีข้อดีคือ มีข้ันตอน งา่ ย ไมซ่ ับซอ้ น แปลผลง่าย แต่มขี อ้ จากัดคือ ไมส่ ามารถสรุปอา้ งอิงไปสกู่ ลุ่มประชากรได้ กระบวนการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนต้องมีการดาเนินงานท่ีเป็นวงจรต่อเนื่อง มีกระบวนการ ทางานแบบมีส่วนร่วม และเป็นกระบวนการที่เป็นส่วนหน่ึงของการทางานปกติ เพ่ือให้ได้ข้อค้นพบ เก่ียวกับการแก้ไขปัญหาที่สามารถปฏิบัติได้จริง ในขั้นตอนของการวิจัยมีกระบวนการทางานที่เป็นวงจร การวิจัยแบบขดลวดตามแนวคิดดั้งเดิมที่เสนอ โดย Kemmis and Metaggart (1988) ซ่ึงแสดงให้เห็น วา่ การวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชั้นเรียนมี 4 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผนหลังจากที่วิเคราะห์และกาหนดประเด็น ปัญหาที่ต้องการการแก้ไข (Plan) 2) การปฏิบัติตามแผนที่กาหนด (Act) 3) การสังเกตผลท่ีเกิดขึ้นจาก การปฏิบัติงาน (Observe) และ4) การสะท้อนผลหลังจากการปฏิบัติงานให้ผู้ที่มีส่วนร่วมได้ วพิ ากษ์วิจารณ์ ซึ่งนาไปสู่การปรับปรงุ แก้ไขการปฏิบตั งิ านตอ่ ไป (Reflect) วงจรการวิจัยปฏบิ ัติการนี้เรียก ย่อๆ วา่ วงจร PAOR ดงั แสดงในภาพท่ี 1 Plan Plan Plan Reflect Act Reflect Act Reflect Act Observ Observ Observ ภาพeที่ 1 ขั้นตอนการวจิ ยั ปฏบิ ัตe กิ าร (Kemmis and McTeaggart, 1988) จุดเรม่ิ ต้นของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน คือ การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน จากน้ันจึงกาหนดเป็นคาถามวิจัยที่ต้องการค้นหาคาตอบ โดยการวินิจฉัยปัญหาท่ีเกิดขึ้นแล้วหา แนวทางแก้ไข หลังจากได้ข้อค้นพบจึงนาผลดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนให้เพื่อนร่วมงานท่ีเก่ียวข้อง วิพากษ์วจิ ารณ์ แสดงใน ภาพที่ 2 ระบุปัญหา วนิ ิจฉยั คน้ หาวธิ ีแกไ้ ขและลง แลกเปล่ียนประสบการณ์ มือแกไ้ ข ภาพที่ 2 กจิ กรรมการทาวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในช้ันเรยี น

6 ประเภทของการวจิ ยั ในช้ันเรยี น การวิจัยในชั้นเรียนมีหลายประเภท ข้ึนอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนก ซึ่งอาจยึดเกณฑ์การ จาแนกเช่นเดียวกับการวิจัยท่ัวไปก็ได้ อย่างไรก็ตามการวิจัยในชั้นเรียนมีลักษณะเฉพาะอาจจาแนกตาม เกณฑเ์ ฉพาะเพิ่มขึน้ ได้ ดงั นี้ (เพลนิ พศิ ธรรมรัตน์, 2550) จาแนกตามความละเอียดของกระบวนการวิจัย จาแนกได้ 3 ประเภท คือ 1. การวิจัยหนา้ เดียว เป็นการวิจยั ท่ีสามารถเขยี นรายงานเพียงหน้าเดียวหรือหลายหน้า แต่ไม่มากนัก และการเขียนจะเขียนเพียงบอกปัญหาและวิธีแก้ปัญหา และผลการแก้ปัญหาอย่างย่อพอ เขา้ ใจ คลา้ ยกับบทคัดยอ่ ของการวจิ ัยอ่ืน 2. การวิจัยอย่างง่าย เป็นการวิจัยท่ีค่อนข้างมีกระบวนการท่ีครบถ้วน แต่การเขียน รายงานการวิจยั บางหัวข้ออาจขาดความสมบรู ณ์บา้ ง เช่น เอกสารงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง 3. การวิจยั ท่ีสมบูรณ์เป็นการวจิ ัยทอ่ี ยใู่ นระดับมาตรฐานสากลดาเนนิ การตาม กระบวนการทคี่ รบถ้วน เขยี นรายงานการวจิ ยั อย่างสมบรู ณ์ จาแนกตามจุดมงุ่ หมายเฉพาะของการวิจยั จาแนกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. การวจิ ยั เพื่อศึกษาสภาพปัจจบุ ันและปญั หา เชน่ การวิจัยเพือ่ วิเคราะห์หรือวนิ จิ ฉยั ผู้เรียน การวิจยั เพ่อื ประเมนิ คุณภาพการศึกษา การวิจยั เพื่อศกึ ษาสภาพและปญั หาการเรียนรู้ เปน็ ตน้ 2. การวิจยั เพ่อื ประยกุ ต์ทฤษฎใี นการแกป้ ัญหาและพัฒนา เช่น การวจิ ยั เพอ่ื สรา้ งสื่อและ นวตั กรรมการเรียนรู้ การวิจยั เพอ่ื สรา้ งเครื่องมือประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผ้เู รยี นใหม้ คี วามเปน็ เลศิ เป็นตน้ จาแนกตามรปู แบบหรือแนวทางในการศกึ ษา จาแนกได้ 6 ประเภท คอื 1. รูปแบบหรือวธิ ีการเพ่ือการพัฒนาการเรียนการสอน เช่น การปรับเปลี่ยนและพฒั นาวิธกี ารสอน ทดลองสอนดว้ ยเทคนิค และวิธีการตา่ งๆ คน้ หาวิธีการใหม่ๆ เพื่อปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมผู้เรยี น การสรา้ งแบบฝกึ ทักษะด้านตา่ งๆ ของผเู้ รยี น เทคนคิ วธิ ีการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ หาแนวทางในการแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของผเู้ รยี น 2. การศึกษาเกย่ี วกับองคป์ ระกอบของการเรียนการสอน เช่น ความสัมพนั ธร์ ะหว่างครูกับนกั เรียน ความรูเ้ ดิมกับพฒั นาการของการเรียนรู้ ปจั จัยท่มี ผี ลต่อการเรียนของผู้เรยี น การวิเคราะห์หลกั สูตร การนาหลกั สตู รไปใช้ ประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ลของการวัดประเมนิ ผล บรรยากาศในหอ้ งเรียนกับผลการเรียนรขู้ องนกั เรยี น 3. การศึกษาเก่ียวกบั ลักษณะและรูปแบบของหลักสูตร เชน่ การประเมนิ การตดิ ตามการใช้หลักสตู ร การพัฒนาหลกั สูตร

7 การพัฒนาเทคนิคการวัดและประเมนิ ผล วิเคราะห์ความเหมาะสมของรายวิชาต่างๆ 4. การศึกษาเกี่ยวกับการจดั การเรยี นการสอน เช่น การประเมนิ ตดิ ตามการใช้แผนการสอน การทดลองใชว้ ิธกี ารสอนหรอื ชุดการสอน การสร้างสอ่ื แบบฝึก ชดุ ฝึก ชดุ การสอน หนงั สือ นวัตกรรม ผลการใช้สอ่ื แบบฝกึ ชุดฝึก ชดุ การสอน หนังสอื นวัตกรรม การจัด หรอื ใช้รปู แบบของกจิ กรรมการเรียนการสอน เจตคตขิ องครู อาจารย์ นกั เรยี น ท่ีมตี ่อรายวชิ าต่างๆ บรรยากาศในห้องเรียนและโรงเรยี น การจดั ห้องเรียนและห้องปฏิบัตกิ ารต่างๆ 5. การศกึ ษาเก่ยี วกบั เทคนคิ วธิ กี าร และรูปแบบของการวัดและประเมินผล เชน่ การสร้างและพฒั นาแบบทดสอบแบบตา่ งๆ การวิเคราะหห์ าคุณภาพแบบทดสอบ การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น การหาความสมั พันธ์ของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน การหาปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 6. การศกึ ษาเกย่ี วกบั ส่อื เทคโนโลยี และนวตั กรรมต่างๆ เชน่ การพฒั นาสือ่ การสอน หรอื การหาประสิทธภิ าพของสอ่ื การสอน การเปรียบเทยี บวธิ ีการสอนแบบตา่ งๆ การเปรียบเทียบประสทิ ธิภาพของสอ่ื การสอน ศกึ ษาผลการนาเทคโนโลยมี าใชใ้ นการเรยี นการสอน ศึกษาผลการเรียนรทู้ ีเ่ กิดจากการใชน้ วัตกรรม ศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาต่างๆ ที่เกดิ จากการใช้ส่ือ รปู แบบของการวิจยั ในช้ันเรยี น การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการวิจัยท่ีเกิดจากการศึกษาโดยครู ซ่ึงเป็นผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์หรือ สถานการณ์ของห้องเรียนในขณะท่ีทากิจกรรมการเรียนการสอนในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง แล้วเขียน รายงานผลการศึกษาออกมาในรูปแบบของการวิจัยในชั้นเรียน เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการศึกษาปัญหาที่ เกดิ ขน้ึ ต่อไป ดังน้ันการวจิ ัยในช้นั เรยี นจึงมลี กั ษณะดังน้ี (เพลนิ พิศ ธรรมรตั น์, 2550) 1. เป็นงานวิจยั ท่มี ุง่ คน้ หารปู แบบ วธิ ีการที่เกย่ี วกับการเรยี นการสอน 2. เป็นงานวจิ ัยท่มี ุ่งพฒั นาคุณภาพของตวั ผเู้ รียนและประสิทธภิ าพของครผู ู้สอน 3. เป็นงานวิจัยท่ีมุ่งศกึ ษา สารวจสภาพที่ปรากฏตามความต้องการ ความสนใจ การวิจัยในช้ันเรยี นเป็นรูปแบบหนึง่ ของการวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ าร ซ่ึงเปน็ การวิจัยท่ีมุ่งแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนเป็น ครั้งๆ ไป หรือเป็นเร่ืองใดเรื่องหนึ่งในช่วงระยะเวลาหน่ึง ผลการวิจัยที่ค้นพบไม่สามารถนาไปใช้อ้างอิงกลุ่มอ่ืนๆ

8 เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในวงจากัดเฉพาะท่ี เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนท่ีครูต้องการคาตอบมาอธิบาย เฉพาะที่เกิดขึ้นในหอ้ งที่ตนรบั ผิดชอบอยูเ่ ทา่ น้ัน ไมเ่ ก่ียวกับปัญหาของห้องเรยี นอนื่ ๆ การวิจยั ในช้ันเรยี นใชก้ ารวิจยั เชงิ บรรยายและวจิ ัยเชิงทดลอง ดังน้ี 1. การวิจัยเชิงบรรยาย 1.1 ลักษณะการศึกษาค้นคว้า เป็นการรวบรวมข้อมูลหรือค้นหาข้อเท็จจริงต่างๆ ใน สถานการณ์ท่ีเกิดขน้ึ แล้ว ไมม่ ีการสรา้ งสถานการณ์ใดๆ ไม่มกี ารกาหนดตัวแปรอิสระ 1.2 ลักษณะของปัญหาหรือเร่ืองที่เหมาะสมสาหรับการวิจัยเชิงบรรยาย คือ เป็นความสัมพันธ์ใน ปจั จุบันของสง่ิ ท่ปี ฏบิ ัติอยเู่ ป็นประจา ความเช่ือ แนวคิดหรือทัศนคติ กระบวนการท่ีกาลังดาเนินอยู่ เป็นการ ทานายลักษณะของผลท่จี ะเกดิ ข้ึน แนวโนม้ หรือความเปล่ียนแปลงทกี่ าลงั พัฒนาอยู่ 1.3 การวิจัยในช้ันเรียนเชิงสารวจ เป็นแบบท่ีควรใช้อย่างมาก ก่อนท่ีจะทาการวิจัยเชิง ทดลอง เพราะทาให้ผู้วิจัยไดร้ ูจ้ ักนกั เรยี น ร้วู ่ามีนกั เรยี นจานวนเท่าใดทีเ่ ป็นปัญหา มีปัญหาของการเรียน การสอนในเรื่องใด รู้สาเหตุของปัญหา เพ่ือครูจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงประเด็นและตรงกับกลุ่ม นักเรียนท่ีมีปัญหาจริงๆ เมื่อครูวิจัยในชั้นเรียนรู้จักนักเรียนดีแล้ว ครูต้องคิดต่อไปว่าจะแก้ไขอย่างไร แล้วจึงลงมือแกไ้ ขโดยใช้การวิจยั ในชนั้ เรียนเชงิ ทดลอง 2. การวจิ ยั เชิงทดลอง เป็นการศึกษาโดยจงใจเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหน่ึงของสถานการณ์ที่ดาเนินอยู่หรือสร้าง สถานการณ์ขึ้นเองเพื่อศึกษาผลการเปล่ียนแปลง การวิจัยในช้ันเรียนได้แก่ การทดลองใช้นวัตกรรม การศึกษาท่ีสร้างข้ึน เพ่ือแก้ไขปัญหาการเรียนการสอนที่เกิดข้ึนในห้องเรียน เนื่องจากการวิจัยตาม รปู แบบ (Formal Research) มรี ายละเอียดและรปู แบบท่ีจะต้องยึดถืออยู่ตลอดเวลา ทาให้เกิดข้อยุ่งยาก และขอ้ จากัดในการทาวจิ ัยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่มีพ้ืนฐานหรือความรู้ทางด้านระเบียบวิธีวิจัย ที่ดีพอ วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) จึงถูกพัฒนาข้ึนมา เพื่อแก้ไขข้อยุ่งยากท่ีเกิดจากการ วิจัยในช้ันเรียน มีการลดข้ันตอนและข้อจากัดท่ีเป็นของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามรูปแบบของการวิจัย เชิงวิชาการลงไป ทาให้ง่ายต่อการทาความเข้าใจและนาไปใช้ได้ง่าย ดังน้ันเพื่อแสดงให้เห็นถึงความ แตกต่างระหวา่ งการวจิ ัยตามรปู แบบกบั การวิจยั เชงิ ปฏิบัติการจึงขอเสนอข้อเปรียบเทียบระหว่างการวิจัย เชงิ ปฏิบัตกิ ารกบั การวิจัยตามรปู แบบ ดงั ตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบระหวา่ งการวิจัยเชงิ ปฏิบัติการกบั การวิจัยตามรปู แบบ หวั ข้อ การวจิ ัยตามรูปแบบ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการ (Formal Research) (Action Research) 1. ผลการวจิ ัย มีความกว้างขวางและครอบคลมุ เฉพาะที่ เฉพาะเรื่อง ไม่สามารถ อา้ งอิงไปใช้กบั กลุ่มอ่ืนได้ อ้างองิ ไปใช้กับกล่มุ อ่นื ได้ 2. จุดมุง่ หมายของ การวจิ ยั มุง่ ศึกษา คน้ หาความรเู้ พ่ือนาไปใช้กับ มงุ่ ศึกษาค้นหาความรู้ เพื่อนาไปใช้ บคุ คลหรือสถานการณ์ทวั่ ไปไม่เจาะจง กับบุคคลหรือสถานการณ์เฉพาะ ทใี่ ดทห่ี นงึ่

9 ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบระหว่างการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการกับการวิจัยตามรูปแบบ (ต่อ) หัวข้อ การวจิ ัยตามรปู แบบ การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการ (Formal Research) (Action Research) 3. วิธกี ารกาหนดปัญหาท่ี ศึกษาจากปญั หาวิจัยที่ทามาก่อน ไดจ้ ากปญั หาทเี่ กิดขน้ึ เฉพาะหนา้ นามาศกึ ษา หรือปญั หาที่มีมุมมองกวา้ ง หรือจากเป้าหมายในขณะนน้ั 4. กระบวนการทใ่ี ช้ในการ ทาอยา่ งกวา้ งขวาง ชัดเจน และ ค้นคว้าอย่างง่ายๆ และเปน็ แหล่ง คน้ ควา้ เอกสารและงานวจิ ัย เปน็ แหล่งปฐมภูมิ ทตุ ิยภูมิ 5. วธิ กี ารไดม้ าซง่ึ ใชว้ ธิ ีการสุม่ เลือกโดยใช้วิธกี ารทาง เป็นนกั เรยี นในห้องเรียนหรอื กลุ่มตวั อยา่ ง สถติ แิ ละความนา่ จะเปน็ ผูท้ างานรว่ มกนั 6. แผนแบบการวิจยั มกี ารควบคุมตัวแปรอย่างเข้มงวด ตดั ขัน้ ตอนทไี่ ม่จาเป็นบางอย่าง และใช้ระยะเวลายาวนาน ออกไป ใช้ระยะเวลาสน้ั ไมเ่ ขม้ งวด ในการควบคุมตัวแปร 7. กระบวนการวัดผล ประเมนิ ผลและมกี ารวดั ก่อนการ วัดตามแบบปกตหิ รอื ใชแ้ บบทดสอบ ทดลอง ระหว่างการทดลองและ มาตรฐาน หลังการทดลอง 8. การวิเคราะห์ข้อมูล ใชว้ ธิ กี ารทดสอบนยั สาคัญทางสถิติ ขึน้ อยกู่ ับความชดั เจนของการกระทา หรือวธิ ีการเชิงคุณภาพ เสนอเป็นข้อมลู ดบิ และไม่เนน้ การ ทดสอบนยั สาคัญทางสถิติ ซึ่งจะมี หรอื ไม่มกี ็ได้ 9. การประยุกตใ์ ช้ ยึดความสอดคล้องตามทฤษฎี ยึดความสอดคล้องในการปฏิบัติ ผลการวิจยั 10.ระยะเวลาในการศึกษา ใชร้ ะยะเวลานานเป็นภาคเรียนหรอื ใชร้ ะยะเวลาส้นั ๆ ตามหวั ข้อหรือ ปีการศึกษาหรอื มากกว่านน้ั ประเด็นที่ศึกษา ธรี ะพัฒน์ ฤทธิ์ทอง (2545) ได้อธบิ ายรูปแบบการวิจัยในชน้ั เรยี นว่า การวิจยั ในชั้นเรยี นของครูเปน็ การวจิ ัยเก่ียวกับปญั หาที่เกิดข้ึนจากการจัดการเรียนการสอนของครู สามารถทาได้ 4 รูปแบบ คือ 1. วิจัยสารวจปัญหา เป็นการวิจัยเพ่ือสารวจศึกษาปัญหาที่เกิดข้ึนในการจัดการเรียนการ สอนโดยการสังเกตและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบทั้งระหว่างทาการสอนและหลังจากตัดสินผลการเรียน โดยกาหนดประเดน็ ในการสารวจศกึ ษาปัญหาทขี่ ดั เจน 2. วิจัยทดลองสื่ออุปกรณ์ เป็นการแก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่ออุปกรณ์ โดยผู้สอนได้ทาการวิเคราะห์ปัญหาที่ได้จากการสารวจวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาและพิจารณาถึง แนวทางแก้ปัญหาเหมาะสมแล้วพบว่าควรจะแก้ปัญหาโดยการจัดสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนก็ ดาเนนิ การจดั ทาสือ่ อปุ กรณก์ ารเรียนการสอน แล้วนามาทดลองใชก้ บั นักเรยี นกลุ่มเปา้ หมาย 3. วิจัยทดลองเทคนิควิธีการ เป็นการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค วธิ ีการตา่ งๆ ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนได้วิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหาและพิจารณาเห็นว่าสาเหตุ

10 สาคัญของปัญหาเกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้กับผู้เรียนยังไม่ส่งผลต่อครูภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนจึง จาเป็นตอ้ งคดิ คน้ สรรหาเทคนคิ วิธีการในการจดั กิจกรรมมาทดลองใชใ้ นการแกป้ ญั หา 4. วิจัยทดลองหลักการแนวคิดและทฤษฎี เป็นการวิจัยเพ่ือแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอน โดยนาเอาหลักการแนวคิดและทฤษฎีที่ได้คิดค้นหรือสรรหามากาหนดเป็นขั้นตอนการดาเนินงาน เพ่ือนาไปสู่ การพัฒนากลุ่มเป้าหมาย การวิจัยรูปแบบน้ีจะนิยมเอาปัญหาที่เกิดข้ึน กับนักเรียนในภาพรวมมาพัฒนา เช่น การแก้ปัญหานักเรียนท่ีได้ผลการเรียน “ร” โดยใชห้ ลกั การประเมนิ แบบมีส่วนร่วม เป็นตน้ ชาตรี เกิดธรรม (2545) ได้อธิบายว่า เปา้ หมายสาคญั ของการวิจัยในช้ันเรียนคือ เพ่ือเป็นการ แกไ้ ขปัญหาทีเ่ กิดขนึ้ ในการพัฒนาการเรยี นของผเู้ รียนไม่ใช่เพ่อื มุ่งสรา้ งองคค์ วามรใู้ หม่แต่อย่างใด ดงั นั้น การวิจัยในช้นั เรียนจงึ ไมจ่ าเป็นต้องยดึ รปู แบบที่เคร่งครัดเหมอื นกับการวจิ ยั เชิงวิชาการ โดยทั่วไปแล้วการ วจิ ัยในชน้ั เรยี นควรมลี กั ษณะดงั น้ี 1) เปน็ การวจิ ยั จากปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในชัน้ เรยี นเกี่ยวกับการเรยี นการสอน 2) เป็นการวิจยั เพือ่ นาผลการวจิ ยั ไปใช้เพอื่ พฒั นาการเรยี นการสอน 3) การวิจยั ดาเนนิ ไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอน กล่าวคือ สอนพร้อมกับทาการวิจัยไป ดว้ ย แล้วนาผลการวจิ ยั มาใชแ้ ก้ปญั หา และเผยแพรใ่ หเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ ผูอ้ ่ืน สรุปได้ว่าวิธีการวิจัยในช้ันเรียน สามารถทาได้ท้ังในรูปแบบการวิจัยสารวจและการวิจัยทดลอง การวิจัยสารวจทาให้ทราบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในบริบทของห้องเรียนทาให้ครูเข้าใจปัญหาได้อย่าง ชัดเจน อันจะนาไปสู่การคิดค้น หรือสรรหาเทคนิควิธีการ สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอน หรือหลักการ แนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ การวิจัยทดลองทาเพื่อใช้แก้ปัญหานั้นๆ กับกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบจนกว่า จะบรรลผุ ลสาเร็จตามเป้าหมายทวี่ างไว้

หน่วยที่ 2 การวางแผนการวจิ ยั การกาหนดชอ่ื เร่อื งการวิจยั การวจิ ยั ในชั้นเรียนเป็นการวิจัยม่งุ แกป้ ัญหาและพฒั นาการจัดการเรยี นร้ขู องนกั เรยี นซ่ึงส่วนใหญ่ ปัญหาทเ่ี กิดขนึ้ มักอยใู่ นช้นั เรียน ดงั นัน้ ในการกาหนดปญั หาการวจิ ัยจงึ มาจากการบรรยายสภาพการณ์ใน ชนั้ เรยี น ปรากฏการณท์ เี่ ปน็ ปัญหาทีใ่ ช้กระบวนการวิจยั นาไปสู่การกาหนดปัญหาการวจิ ัย (Research problem) และคาถามการวจิ ัย (Research question) ก่อนทาการวิจัยเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งผู้วิจัยต้องศึกษาสภาพการณ์หรือบริบทท่ีใช้ในการวิจัย (Situation study or Contextual study) ซึ่งบรรยายให้เห็นถึงความสาคัญท่ีจะศึกษา และมีประเด็น ปัญหาที่สงสัย (Issues) โดยแสดงหลักการ เหตุผล ท่ีมีข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ ตลอดจนมี วรรณคดีที่เก่ียวข้องสนับสนุน ให้ผู้อ่านโดยเฉพาะผู้มีอานาจการตัดสินใจอนุมัติให้ทาวิจัยและแหล่งทุน สนับสนุน มีความเข้าใจและยอมรับถึงความสาคัญของปัญหาการวิจัย และคาถามการวิจัยชัดเจนยิ่งข้ึน ตามลาดับ ซ่ึงปัญหาการวิจัยจะนาเสนอในส่วนแรกของเค้าโครงการวิจัย (Research proposal) อย่างไร ก็ตามสาหรับการวิจัยในชั้นเรียนครูสามารถตัดสินใจทาวิจัยได้เองโดยไม่เน้นการทบทวนวรรณกรรมท่ี เกย่ี วขอ้ ง ในหัวข้อความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาต้องบรรยายเกี่ยวกับปัญหาของการวิจัยท่ีได้มา จากผลของการศึกษาสภาพปัญหา ซ่ึงแหล่งของปัญหาการวิจัยอาจได้จากการสังเกตสภาพการณ์หรือ ปรากฏการณ์ท่ีเป็นปัญหาจากประเด็นปัญหาท่ีสงสัยในปัจจุบัน (Current issues) จากประสบการณ์ใน การปฏบิ ตั ิงานและประสบการณ์สว่ นบคุ คล จากการทบทวนวรรณคดีท่ีเกี่ยวข้องและจากการคิดวิเคราะห์ และพัฒนามาจากทฤษฎที ่สี นใจ ในเขียนความสาคัญของปัญหาการวิจัย ควรชี้ให้ให้เห็นถึงความสาคัญใน การแก้ปัญหาในชั้นเรยี นโดยเนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคญั การไดค้ วามรใู้ หม่ที่พัฒนาการเรยี นการสอน คาถามการวจิ ัยได้มาจากการจาแนกปญั หาวจิ ัยออกมาเปน็ ประเด็นคาถามต่างๆ ใหช้ ัดเจนเจาะจง ย่ิงข้ึน คาถามการวิจัยจึงเป็นข้อความที่เป็นประโยคคาถามท่ีแสดงถึงตัวแปรที่ต้องการศึกษาในการวิจัย เร่อื งน้นั คาถามการวจิ ยั ท่ีดีตอ้ งมลี กั ษณะดงั น้ี คอื 1. มคี วามเปน็ ไปได้ (Feasibility) ในการทาวิจยั ภายใต้ทรัพยากรสนับสนนุ ทผี่ ู้วจิ ัยมีอยู่ เช่น ระยะเวลา งบประมาณ กาลงั คน และพื้นฐานความรใู้ นสาขาวชิ าการของผูว้ จิ ัย 2. มีความชัดเจน (Clear) 3. มีความสาคญั (Significance) เชน่ เปน็ คาถามทีจ่ ะได้คาตอบที่มคี ณุ คา่ ชว่ ยใหไ้ ด้ความรูใ้ หมท่ ี่ สาคญั ในการพฒั นาคน พัฒนางาน พฒั นาองค์กร เปน็ ตน้ 4. ไม่ขัดต่อจรยิ ธรรม (Ethics) เชน่ ไม่สง่ ผลเสียหายต่อคน สัตว์ พชื ศิลปวัฒนธรรม ทรพั ยากร และส่งิ แวดลอ้ ม เปน็ ต้น ( Fraenkel & Wallen , 1996 : 26–27)

12 การกาหนดปญั หาการวจิ ัยนาไปสกู่ ารต้ังคาถามการวิจัยและการเขียนวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั รวมท้งั แสดงใหเ้ ห็นถึงความสัมพันธข์ องตัวแปรทีช่ ัดเจนเพราะวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย เป็นข้อความที่ เป็นประโยคบอกเลา่ ที่แปลงมาจากคาถามวิจัยนัน่ เอง โดยจะแสดงความสมั พนั ธ์ หรือความเชอื่ มโยง ระหวา่ งตวั แปรหรอื ปรากฏการณ์ท่ตี ้องการศึกษา ดังภาพท่ี 2 ภาพท่ี 3 ความสัมพนั ธข์ องปัญหาการวจิ ยั คาถามการวจิ ัย วตั ถุประสงคแ์ ละชอื่ เร่ือง การเขียนวัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัยที่ดีต้องให้สอดคล้องกับปัญหาการวิจัยและคาถามการวิจัยส่วนชื่อ เร่อื งจะแสดงความสมั พนั ธข์ องตัวแปรตามทีก่ าหนดไว้ในวตั ถุประสงค์ ดังนั้นในการเขียนรายงานการศึกษาจากข้อค้นพบท่ีได้จากการวิจัยแต่ละข้อจึงต้องมีความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และคาถามการวิจัยซ่ึงจะเป็นตัวชี้นาว่าจะส่งผลกระทบทางบวกอย่างไรและ ผวู้ ิจัยสามารถนามาเขยี นเปน็ ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการวจิ ัยได้ ตัวอย่างการเขียนปัญหาการวิจัย คาถามการวิจัย วตั ถปุ ระสงคแ์ ละชื่อเรือ่ งการวจิ ยั ที่มี ความสมั พนั ธก์ นั ตัวอย่างการเขียนปญั หาการวจิ ยั คาถามการวิจัย วตั ถุประสงค์และชื่อเรอ่ื งการวิจัย ปญั หาการวิจัย คือ นักเรียนออทิสตกิ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 มปี ัญหาในการอ่านคาศัพท์ คาถามการวจิ ยั คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนทาให้ความสามารถในการอา่ นคาศัพท์ของนักเรยี น ออทสิ ติกชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 สูงขน้ึ หรือไม่ วัตถุประสงค์ในการวจิ ัย คือ เพ่ือศกึ ษาผลของการใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนทมี่ ีต่อความสามารถ ในการอ่านของนักเรยี นออทสิ ตกิ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ช่อื เร่อื ง คือ การศกึ ษาผลของการใช้คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนท่ีมีตอ่ ความสามารถในการอ่านของ นักเรยี นออทิสติกชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 การทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ ง (Review of literature หรอื Literature review) การทบทวนวรรณกรรม เป็นกระบวนการสาคัญท่ีจะส่งเสริมศักยภาพของครูให้เป็นบุคคลแห่ง การเรียนรู้ เป็นแบบอย่างของการเป็นบุคคลท่ีมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการทาวิจัยชั้นเรียนอาจให้ ความสาคัญต่อการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องน้อย เพราะครูใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสอนมีเวลาน้อย และขาดแหล่งเรียนรทู้ างวชิ าการทจี่ ะศกึ ษาคน้ คว้าเพ่มิ เตมิ การแก้ปัญหาต่างๆ อาจเกิดจากประสบการณ์

13 ของตนเองที่มีมานาน ซ่งึ นาไปสกู่ ารต้ังสมมตฐิ านทมี่ คี วามเป็นไปได้ อยา่ งไรก็ตามการทบทวนวรรณกรรม ทเ่ี กีย่ วขอ้ งมีความจาเปน็ สาหรับครูทีเ่ ปน็ ผู้วจิ ัยด้วย เป้าหมายหลักที่สาคัญของการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องซึ่งเป็นเอกสาร ตารา แนวคิด ทฤษฎี หรืองานวิจัยต่าง ๆ ท้ังจากในประเทศและต่างประเทศ คือ ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถ จัดกลุ่มตัวแปรที่ เก่ยี วข้องและนาขอ้ มลู ท่ไี ด้มาเปน็ ฐานความรูใ้ นการกาหนดตัวแปรที่จะนามาศึกษาวิจัย และนาไปกาหนด เป็นกรอบความคิดในการวิจัย ท่ีผู้วิจัยนาไปใช้ในการกาหนดสมมุติฐานการวิจัย (ถ้ามี) นิยามเชิง ปฏิบัติการและทาให้ผู้วิจัยไม่ทาวิจัยซ้าซ้อนกับอดีตท่ีมีคนเคยทาวิจัยมาแล้ว ผู้วิจัยสามารถใช้ความรู้ที่ได้ จากการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการเลือกตัวอย่าง (Sampling design) การออกแบบการวัด (Measurement design) ให้เหมาะสม รวมท้ังนาผลของการทบทวน วรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ไปใช้ในการอภิปรายผลการวิจัยท่ีแสดงถึงการพัฒนาองค์ความรู้ในบริบทนั้นๆ ที่ สาคัญผลงานท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องเป็นการแสดงหลักฐานว่าผู้วิจัยมีความรอบรู้มี ความรู้ ความเข้าใจในเรอื่ งท่ที าวจิ ยั และมีความทนั สมัยในการตดิ ตามผลงานวจิ ัยอย่างครอบคลมุ ในการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง มักพบปัญหาว่า มีผู้วิจัยหน้าใหม่ ที่ทบทวนวรรณกรรมที่ เกี่ยวข้องแบบไม่เข้าใจเป้าหมายอย่างแท้จริง เพียงแต่ทาไปตามขั้นตอนของการวิจัยเท่านั้นอาจใช้วิธีการ รวบรวมแบบตัดต่อ ขาดการวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลการทบทวน (Review) วรรณกรรมบางเร่ืองไม่ เก่ียวข้องกับเรื่องท่ีศึกษา ซ่ึงทาให้หลังทบทวนแล้วก็ไม่สามารถกาหนดกรอบความคิดในการวิจัยได้ ถือ เป็นความคลาดเคลื่อนที่สาคัญของผู้วิจัย หรือกาหนดกรอบความคิดในการวิจัยข้ึนมาเองโดยไม่ได้เอาผล การทบทวนวรรณกรรมมาใช้ประโยชน์ ซ่ึงมักจะมีปัญหาตามมาคือ นาผลการศึกษาวรรณกรรมไป อภิปรายผลไม่ได้ หวั ขอ้ เรือ่ งในการทบทวนวรรณที่เกีย่ วข้องต้องครอบคลมุ ตัวแปรตามท่ีกาหนดในชอื่ เร่ืองการวิจัย หรือวัตถุประสงค์การวิจยั และต้องทบทวนวรรณกรรมทเี่ ปน็ ทงั้ หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ที่ เกย่ี วขอ้ ง จากแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลายไดแ้ ก่ หนังสือ ตารา วารสาร รายงานการวิจยั วิทยานิพนธ์ หรือ จากสอื่ ออนไลนต์ า่ งๆ ซ่ึงในการยกข้อความนามาเขยี นต้องมกี ารอ้างอิงชอื่ สกลุ ผู้เป็นเจา้ ของผลงานปี พ.ศ. หรอื ค.ศ. ทผ่ี ลิตผลงานไว้อย่างถกู ต้องตามหลกั การเขียน ซง่ึ เสนอไวใ้ นบทที่ 5 การเขยี นรายงานการวจิ ยั ตัวอย่างหัวขอ้ ในการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ยี วข้อง ชอื่ เร่ือง การศึกษาผลของการใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนที่มตี ่อความสามารถในการอ่านคาศัพท์ของ นักเรียนทมี่ ีความบกพรอ่ งในการเรยี นรู้ โรงเรียนประชารกั ษ์ อาเภอนา้ ใส จังหวดั แผ่นดินทอง วรรณกรรมทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ควรประกอบด้วย หวั เรือ่ งดังนี้ 1. หลักการและแนวคิดในการสอนอ่านเปน็ คา 2. หลักการและแนวคิดเกยี่ วกับคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน 3. ความรูเ้ กีย่ วกับนกั เรยี นทม่ี ีความบกพรอ่ งในการเรียนรู้ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกยี่ วข้อง จะทาให้ผูว้ จิ ัยสงั เคราะหไ์ ดต้ ัวแปรและเขียนเปน็ กรอบ ความคดิ ในการวจิ ยั

14 กรอบความคดิ ในการวจิ ัย (Conceptual framework) กรอบความคิดในการวจิ ัย เป็นกรอบความคิดที่ผู้วิจัยได้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ที่ ศกึ ษาจากการทบทวนวรรณกรรมท่หี รอื ปรากฏการณท์ ่ีเกิดข้ึนจริงในธรรมชาติและจะนาไปตรวจสอบว่ามี ความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์หรือไม่เพียงใดในรายงานการวิจัยนิยมเสนอกรอบความคิดในการ วิจยั ในรปู ของแผนภาพแสดงโครงสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งตวั แปรทัง้ หมดที่ใช้ในการวิจัย กรอบความคิด ในการวิจัยจะรวมตัวแปรทุกตัวท่ีเก่ียวข้องสัมพันธ์กับตัวแปรตามท่ีผู้วิจัยต้องการศึกษา แต่ในการวิจัย ผู้วิจัยอาจพิจารณาควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรบางตัว ทาให้อิทธิพลจากตัวแปรนั้นคงที่ หรือ จากัดขอบเขตการวิจัยไม่ศึกษาตัวแปรท้ังหมดในกรอบความคิดเชิงทฤษฎี ตัวแปรที่เหลืออยู่ในกรอบ ความคิดในการวิจัย จึงอาจมีจานวนน้อยกว่าตัวแปรในกรอบความคิดในกรณีเรื่องที่จะทาวิจัยเป็นเรื่องท่ี ยังไม่เคยมีใครทามาก่อน จึงไม่สามารถกาหนดกรอบความคิดในการวิจัยได้ ซึ่งมีโอกาสเป็นไปน้อยมาก เพราะองค์ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีทฤษฎีและข้อค้นพบจากการวิจัยเป็นฐานรองรับ ปัญหาวิจัยที่ยังไม่ เคยมีใครทามาก่อนนั้นอาจจะมีได้ คือเป็นปัญหาวิจัยท่ียังไม่มีการวิจัยในประเทศไทย มีแต่ในต่างประเทศ กรณีเช่นนี้ การกาหนดกรอบความคิดในการวิจัยต้องอิงทฤษฎีและข้อค้นพบจากการวิจัยในต่างประเทศ หากจะมีกรณีท่ีปัญหาวิจัยท่ีจะทานั้นยังไม่มีทฤษฎีใด ๆ เก่ียวข้องเลยแม้แต่น้อยและไม่มีใครเคยทาวิจัย เลย ผ้วู ิจัยจะสร้างกรอบความคดิ ในการวจิ ัยตามหลกั การเหตผุ ลโดยกาหนดขอ้ ตกลงเบือ้ งต้นรองรบั กไ็ ด้ การวางแผนการวจิ ยั และดาเนนิ การวจิ ยั การวิจัยในช้ันเรียนเป็นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้เพื่อตอบคาถามหรือปัญหาท่ีมีอยู่อย่าง เป็นระบบและมีวตั ถุประสงคท์ ช่ี ัดเจน มีขอบข่ายการวิจัยในช้ันเรียนหรือเก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการ สอน โดยครูเป็นผู้ทาวิจัยเริ่มจากขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหา การกาหนดปัญหาการวิจัย การออกแบบ การวจิ ัย และสรา้ งเครอ่ื งมือ การวิเคราะห์ข้อมลู และเขยี นรายงานวิจัย กระบวนการและข้นั ตอนในการวิจัยในช้ันเรยี น นกั การศกึ ษาหลายท่านไดเ้ สนอกระบวนการวิจัยและข้ันตอนในการวิจัยในช้นั เรียนไว้ ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี และนงลักษณ์ วิรัชชยั (2546) ได้สรปุ กระบวนการทีเ่ ป็นขั้นตอนในการทาวิจัยไว้ 9 ข้ันตอน เรียกว่า เก้ากา้ วสคู่ วามสาเรจ็ ในการปฏบิ ัติการในชัน้ เรียน ดังน้ี ก้าวท่ี 1 การเลือกปญั หาวจิ ยั ท่ีมาของปัญหาวิจัย (ปญั หาจากตัวผู้เรียน ปัญหาท่ีเกิดระหว่าง การจัดการเรียนการสอน ปัญหาที่เกิดจากความต้องการของครู) เลือกปัญหาที่สาคัญเลือกปัญหาท่ีไม่ สามารถใช้วิธีการเดิมแก้ปัญหาได้ เลือกปัญหาท่ีเกิดข้ึนต่อเนื่อง และยังแก้ไขไม่ได้เลือกปัญหาท่ีสามารถ แกไ้ ขได้ดว้ ยตนเอง ก้าวที่ 2 การวิเคราะห์สภาพปัญหา สารวจสภาพ หรือลักษณะของปัญหาเก็บข้อมูลเส้นฐาน (หากทาได)้ กา้ วที่ 3 การวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา หาสาเหตุท่หี ลากหลาย หาสาเหตทุ สี่ าคญั ก้าวท่ี 4 การหาแนวทางแก้ปัญหา พัฒนาการเรียนรู้ สังเกต วิเคราะห์ เช่ือมโยงคิดหาวิธีท่ี แตกตา่ งไปจากเดิม ศกึ ษาหาความรู้ (อา่ น ฟัง พดู คยุ ) ก้าวที่ 5 การระบปุ ญั หาวิจยั คาถามวจิ ัย วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย ระบใุ หช้ ัดเจนเขยี นให้ถกู ต้อง

15 กา้ วท่ี 6 การวางแผนการดาเนินการแก้ปัญหา การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนศึกษาทาความ เข้าใจในวิธีการ นวัตกรรมท่ีนามาใช้ ระบุวิธีการ ขั้นตอนท่ีจะใช้ในการดาเนินการให้ละเอียด และชัดเจน เก็บขอ้ มูลเส้นฐาน (หากยังไมไ่ ด้ทาในขัน้ ตอนที่ 2) ก้าวท่ี 7 การลงมอื ปฏิบัติ เกบ็ รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล ให้รายละเอียดเก่ียวกับการ ดาเนินการแต่ละข้ันตอน และสิ่งท่ีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับปรุงวิธีการ แก้ไข แนวปฏบิ ตั ิ กา้ วท่ี 8 การสรปุ ผลและอภิปรายผลการวิจัย แสดงความคิดเห็นว่าการวิจัยได้ผลดีไม่ดีเพราะ อะไร ให้ข้อมูลว่า ผู้วิจัยได้เรียนรู้หรือได้บทเรียนอะไรบ้าง ตามวัตถุประสงค์การวิจัย (ส่ิงท่ีค้นพบช่วยให้ เกิดความเขา้ ใจ ความกระจา่ ง และการขยายความรู้ ความคิดอยา่ งไร) ก้าวที่ 9 การสะทอ้ นความคดิ แสดงความคิดเห็นว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนคร้ังน้ีครูได้ พัฒนาทักษะการวิจัย และความเป็นครูมืออาชีพในด้านใด ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเผยแพร่การแลกเปลี่ยน เรียนรู้รายงานวิจัย และความคิดเห็นให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทาง หรือผลการนางานวิจัยไปใช้ ประโยชน์ในการพัฒนางานของครู พิสณุ ฟองศรี (2550) เสนอข้ันตอนการทาวจิ ัยในช้นั เรียน ไว้ 8 ขนั้ ตอน คือ 1. การสารวจและกาหนดปัญหาเพื่อเตรียมเร่ืองวจิ ัย 2. การค้นคว้าและทบทวนเอกสาร 3. การสรา้ งและพัฒนานวตั กรรมต่างๆ 4. การกาหนดตัวแปรและสมมติฐาน 5. การเลือกแบบวิจยั และกาหนดกลมุ่ ตวั อย่าง 6. การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมือเก็บขอ้ มลู 7. การวิเคราะหข์ อ้ มลู 8. การเขียนเค้าโครงและรายงานการวจิ ัย นกั การศกึ ษาแตล่ ะทา่ นได้เสนอกระบวนการวจิ ยั ในชั้นเรยี นไวอ้ ย่างหลากหลายข้นั ตอนซ่ึงมีความสอดคล้องกัน แต่ขั้นตอนหลักของการวิจยั ในชนั้ เรียน ไดแ้ ก่ สารวจและวเิ คราะห์ปัญหา กาหนดวิธีการในการแก้ปัญหา พัฒนาวิธีการ หรือนวตั กรรม ดาเนนิ การวิจยั และสรุปผลน้นั ตอ้ งถูกกาหนดไว้ในสว่ นของการวางแผนการวิจัย ซึ่งหากมีการดาเนินการ วิจยั แล้วผลการวิจยั แสดงให้เหน็ ว่ายงั ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามท่ตี อ้ งการ กจ็ ะตอ้ งทาการปรับปรงุ แก้ไข โดยย้อนกลับ ไปค้นหาวิธีการหรือนวัตกรรมใหม่แล้วพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรม ตลอดจนนาวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้อีกเป็นวงจร จนไดผ้ ลเป็นท่ีนา่ พอใจแลว้ จึงเขียนเปน็ รายงานการวิจัยฉบบั สมบูรณ์ การเลือกกกลุ่มตัวอย่างการวิจยั การเลือกกลุ่มตัวอย่างหรือเป้าหมายที่ศึกษาในการวิจัยช้ันเรียนส่วนใหญ่มักศึกษาจากประชากร ท้งั หมดซึ่งจะนยิ มใช้คาวา่ กลุ่มเปา้ หมายแทนคาว่าประชากร เช่น นักเรียนทั้งห้อง หรือนักเรียนท้ังระดับท่ี ครูได้รับมอบหมายให้สอน เนื่องจากครูต้องรับผิดชอบการสอนอยู่แล้ว ก็ใช้วิธีการสอนไป พัฒนาไป พร้อมๆ กัน นอกจากนจ้ี ะพบวา่ ครูอาจสนใจพัฒนานักเรยี นบางคนบางกลุ่มท่ีมีคุณลักษณะเฉพาะเจาะจง ผู้วิจัยต้องเขียนลักษณะท่ีเฉพาะเจาะจงของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว หรือจะดาเนินการวิจัยเพ่ือแก้ปัญหา ของนกั เรียนคนเดยี่ วทม่ี ลี ักษณะหรอื ปัญหาท่ีเจาะจงกส็ ามารถดาเนินการได้ เช่นกัน

16 โดยสรุปจะเหน็ ว่าเม่ือมกี ารกาหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ในการวิจัยแล้วต้องมีการวางแผนหรือ ออกแบบการวิจัยรวมทั้งการเตรียมเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ส่ือ นวัตกรรม และเครื่องมือเก็บรวบรวม ข้อมูลที่จะใช้ในการวิจัยท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือตอบคาถามการวิจัย การกาหนดกลุ่ม ตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน วางแผนระยะเวลาในการพัฒนาเครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูล รวมท้งั การวเิ คราะห์ข้อมูลและเขียนรายงานวิจัยให้ถูกต้องและตอบคาถามการวิจัยได้อย่างชัดเจนมีความ นา่ เช่อื ถือ

หนว่ ยท่ี 3 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเป็นขัน้ ตอนท่ีสาคญั ทีส่ ดุ ข้นั หนง่ึ ในงานวิจยั ผู้วิจัยควรศึกษาทาความเข้าใจ ทั้งลักษณะและประเภทข้อมูลตลอดจนวิธีการเก็บข้อมูล เพื่อจะได้นาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสมช่วยให้ครูตอบคาถามการวิจัยในชั้นเรียนได้ถูกต้อง ลักษณะของข้อมูลที่ดีต้องมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับปัญหาวิจัย การรวบรวมข้อมูลที่ใช้สาหรับการวิจัยในช้ันเรียนได้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น แบบ บันทึกพฤติกรรม แบบทดสอบ แบบสอบถาม จากกลุ่มจากกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลที่รวบรวมได้ต้องอยู่ ภายใต้กรอบของปญั หา ข้อมูลอาจอยู่ในรูปของข้อมูลเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพก็ได้ การรวบรวมข้อมูล ครตู อ้ งยดึ ถอื คณุ ธรรมและจริยธรรมของผู้วิจยั อยา่ งเขม้ งวด ไมม่ ีความลาเอยี ง หรอื อคติเพราะจะทาให้ผล การศกึ ษาเกิดความผิดพลาดได้ง่าย อย่างไรก็ตามในการทาวิจัยใหเ้ ปน็ ท่เี ชื่อถอื เม่ือมีการศึกษาปัญหา แนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องและ กาหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัยไดแ้ ลว้ ผู้วจิ ยั อาจตัง้ สมมติฐานได้ ในกรณีท่ีวัตถุประสงค์การวิจัยมีทิศทางและ ในการออกแบบการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย การออกแบบการวัด การออกแบบการสุ่มตัวอย่างและการ ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นส่วนสาคัญในการวางแผนการวิจัยที่ดีและส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ ผลการวิจยั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ของการวิจยั ในช้ันเรยี น มแี นวทางการดาเนินงาน ดงั น้ี การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมอื เกบ็ ขอ้ มูล การออกแบบการวัด โดยท่ัวไปในการวจิ ัยชัน้ เรยี นมเี ครื่องมอื ท่ผี ้วู จิ ัยจะพัฒนา 2 อย่าง คือ 1. เครื่องมือท่ีใช้ในการวัด เป็นเคร่ืองมือที่สร้างขน้ึ เพื่อจะวัดคา่ ตวั แปรหรอื ใชใ้ นการรวบรวม ขอ้ มลู เพ่ือตอบคาถามการวจิ ัยนัน่ เอง 2. เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการทดลองซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการทดลอง อาจเปน็ นวัตกรรมท่ี ผู้วจิ ัยพฒั นาขน้ึ 1. เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวัด ในการออกแบบเคร่ืองมอื ท่จี ะวัดตอ้ งคานึงถึงคุณลักษณะท่ีต้องการวัด เช่น สิ่งท่ีจะวัดเป็นความรู้ การกระทา ความเป็นจริง หรือความคิดเห็น ตามกรอบของเนื้อหาในการวิจัย ท้ังน้ีต้องสอดคล้องกับ นยิ ามปฏิบตั กิ ารของตวั แปรทจ่ี ะวัดด้วย การออกแบบเครื่องมือมแี นวทางการเลือกเครื่องมือ แสดงดงั ตารางท่ี 3

18 ตารางท่ี 3 ความสัมพันธ์ของเคร่ืองมือและคณุ ลักษณะที่ตอ้ งการวดั คณุ ลกั ษณะท่ีตอ้ งการวัด เครอ่ื งมอื วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ตรวจสอบรายการ เตมิ คา ความเปน็ จริง แบบสารวจ ประมาณค่า บันทึกข้อมลู เขยี นตอบ เลือกตอบ ความคดิ เหน็ การกระทา แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ สนทนา บันทกึ บันทึก ประมาณคา่ ความรู้ ความเข้าใจ แบบทดสอบ แบบสมั ภาษณ์ พฤติกรรมหรอื การกระทา แบบสังเกต แบบประเมิน ความเป็นจรงิ ในการสรา้ งเคร่ืองมือในการวัดค่าตวั แปรของการวิจัยมีข้ันตอนมขี ้ันตอนการสรา้ ง ดงั นี้ 1) กาหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างเครอ่ื งมือ 2) ศึกษาหลักการและแนวคดิ ทเี่ กี่ยวข้องเก่ยี วกับการสร้างเครอ่ื งมือ 3) เขียนนิยามปฏิบัติการของคณุ ลักษณะท่ตี ้องการวัด 4) กาหนดชนิดเครื่องมือวัด 5) เขยี นข้อความ / ข้อคาถาม 6) ตรวจสอบคุณภาพ โดยตรวจสอบความตรงเชงิ เน้ือหาให้ผ้เู ชยี่ วชาญทเี่ กย่ี วขอ้ ง 7) ปรบั ปรุงเครื่องมือวัดตามคาแนะนาของผ้เู ชย่ี วชาญ 8) ตรวจสอบคณุ ภาพเชงิ ปฏิบัติโดยนาไปทดลองใช้ แตบ่ างคร้งั การนาเครอ่ื งมือไป ทดลองใชท้ าได้ยากเพราะเด็กพเิ ศษทีม่ ีคุณสมบตั ิใกล้เคียงกันมีจานวนนอ้ ย และเคร่ืองมือท่ีออกแบบมา สาหรับเก็บรวบรวมข้อมลู ชัน้ เรยี นใดย่อมมคี วามเหมาะสมกับชั้นเรยี นน้นั 9) ปรับปรงุ เคร่ืองมือวดั ให้สมบรู ณ์พร้อมเก็บข้อมูล อย่างไรกต็ ามการสรา้ งเครอ่ื งมอื สาหรับใช้ในการวิจัยช้ันเรยี นไมจ่ าเป็นต้องใช้กระบวนการวิจยั ครบท้งั 9 ข้อขา้ งตน้ ก็ได้ 2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการทดลอง เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ นวัตกรรม ซง่ึ อาจ เป็นส่ือ เป็นกิจกรรมหรอื วธิ กี ารสอนทีผ่ วู้ จิ ยั นามาใชเ้ พ่ือพฒั นาการเรยี นการสอน ในการทาเครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการทดลองเพื่อการทาวิจัยชัน้ เรยี น ควรจดั ทานวตั กรรมและเอกสารซึ่ง เป็นองคป์ ระกอบที่เก่ียวข้องใหค้ รอบคลุมแนวทางในการนาไปใช้ ดังตารางที่ 4

19 ตารางท่ี 4 เครอื่ งมือในการทดลองและองคป์ ระกอบท่ีเก่ียวข้อง เครอื่ งมอื ในการทดลอง องค์ประกอบทเ่ี กยี่ วขอ้ ง วิธีการสอนแบบ...... แผนการจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิธีสอนแบบ...... สอ่ื / อุปกรณ์ /ใบงาน/แบบฝึก แบบฝึกทักษะ แผนการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้ แบบฝกึ ทักษะ คมู่ ือการใช้แบบฝึกทกั ษะ กจิ กรรม........ แผนการจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ิจกรรม .... เชน่ กจิ กรรมดนตรี กจิ กรรมศลิ ปะ คู่มอื การจดั กิจกรรม... กจิ กรรมการปนั้ เปน็ ตน้ ชุดกิจกรรมสื่อ/อุปกรณป์ ระกอบ สิ่งประดิษฐ์ ... แผนการจดั การเรียนรู้โดยใช้ส่ิงประดษิ ฐ์ คู่มือการใชส้ ง่ิ ประดิษฐ์ แบบ /โครงสรา้ ง/ส่ิงประดิษฐ์ ขัน้ ตอนการสร้างเคร่อื งมือทดลอง 1) กาหนดจดุ มุ่งหมายในการสรา้ ง เคร่อื งมือทดลอง 2) ศกึ ษาหลกั การ แนวคดิ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั เครอื่ งมือทดลอง 3) กาหนดโครงสรา้ งเน้ือหา 4) กาหนดรปู แบบ/โครงสร้างเครอ่ื งมอื ทดลอง 5) เขียนรายละเอยี ดตามรูปแบบ/โครงสรา้ งที่กาหนด จัดทาแผนการจัดการเรยี นรู้และคู่มือ การใชเ้ คร่ืองมือทดลอง 6) ตรวจสอบคุณภาพเชิงเน้ือหาโดยผู้เชีย่ วชาญ 7) ปรับปรุงเคร่ืองมือทดลองและเอกสารประกอบ 8) ตรวจสอบคณุ ภาพเชงิ ปฏิบัติโดยนาไปทดลองใช้ 9) ปรบั ปรงุ เครื่องมอื ทดลองและเอกสารประกอบใหส้ มบรู ณก์ อ่ นนาไปใช้ตามแผนการจัดการ เรยี นรู้ การออกแบบเครื่องมือการวิจัยท่ีดี มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย สามารถวัดได้ตรง กับส่ิงที่ต้องการวัดซ่ึงก็คือตัวแปรในการวิจัย ในกระบวนการสร้างเคร่ืองมือต้องมีการหาคุณภาพเคร่ืองมือทั้ง ความตรงโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ความตรงเชิงเนื้อหาเพ่ือใหม้ ัน่ ใจวา่ เครื่องมือสามารถวัดไดต้ รงกับสิ่งที่ต้องการวัดแต่ อาจไม่จาเป็นตอ้ งหาความเที่ยงถา้ ไม่มกี ลมุ่ ตัวอย่างทมี่ ีคณุ ลักษณะคลา้ ยกันกับกลุม่ ตวั อยา่ ง

20 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ลักษณะของข้อมูลที่ดีต้องมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาวิจัย การ รวบรวมข้อมูลท่ีใช้สาหรับการวิจัยในชั้นเรียนได้มาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น แบบบันทึกพฤติกรรม แบบทดสอบ แบบสอบถาม จากกลมุ่ จากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องเป็นไปตามแบบแผนการ ทดลองท่กี าหนดไวอ้ ยา่ งชัดเจน ตวั อย่างข้นั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลการวจิ ัย แบบแผนการทดลอง แบบการวิจัยในการทดลองคร้ังนเ้ี ปน็ แบบวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยจะดาเนนิ การทดลอง แบบ One Group Pretest-Posttest Design ดังนี้ E o1 X o2 เมือ่ E แทน นกั เรยี นบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1 o1 แทน การทดสอบความสามารถของการประสานสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมือกับตา นักเรียนบกพร่องทางสตปิ ัญญาชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนการใชก้ ล่องงาน X แทน การสอนโดยใชก้ ล่องงาน o2 แทน การทดสอบความสามารถของการประสานสัมพันธ์ระหวา่ งมือกับตา นักเรยี นบกพร่องทางสติปญั ญาช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 หลงั การใชก้ ล่องงาน วธิ ีดาเนนิ การทดลอง การทดลองในคร้ังนี้ทดลองกับเด็กบกพร่องทางสติปัญญาที่กาลังศึกษาในโรงเรียนบ้านทุ่งปี การศึกษา 2549 ใช้เวลาทดลอง 12 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง คร้ังละ 30 นาที รวม 60 ครั้งโดยมี ขนั้ ตอน ในการทดลองดงั น้ี 1. ผ้วู จิ ัยขอใหโ้ รงเรียนบ้านท่งุ ออกหนังสือแต่งตงั้ ผเู้ ชี่ยวชาญและเรียนเชิญผูเ้ ช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน ในการตรวจสอบเคร่ืองมอื และขออนญุ าตผบู้ ริหารโรงเรียนบ้านทุ่งเพ่ือทาการทดลองและดาเนินการ ศึกษา 2. ทาการทดสอบก่อนการสอนโดยใช้กล่องงาน จานวน 2 คร้ัง ในสัปดาห์ที่ 1 จานวน 1 ครั้ง และสัปดาห์ที่ 2 จานวน 1 ครั้ง ด้วยแบบทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทา การทดสอบเป็นรายบุคคลบันทึกคะแนนผลการทดสอบก่อนการทดลองเก็บไว้เพื่อนาไปวิเคราะห์ข้อมูล ต่อไป 3. ดาเนินการทดลอง โดยผ้วู ิจัยเป็นผ้ทู าการทดลองดว้ ยตนเอง โดยใชก้ ล่องงานประกอบแผนการ จัดการเรียนรู้ทั้ง 16 กิจกรรม เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ทาการทดลองในวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลา 13.00- 14.00 น. สปั ดาห์ละ 5 คร้ัง คร้ังละ 30 นาที รวม 60 ครั้ง โดยมีการทดสอบระหว่างเรียนทุกวันศุกร์ของ สัปดาห์ท่ี 2, สัปดาห์ท่ี 4, สัปดาห์ที่ 6, สัปดาห์ท่ี 8, สัปดาห์ท่ี 10 และสัปดาห์ท่ี 12 จานวน 6 ครั้ง ด้วยแบบทดสอบความสัมพันธร์ ะหวา่ งตากบั มือกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทาการทดสอบเป็นรายบุคคล บันทึก

21 พฤติกรรมและบันทึกผลคะแนนการทดสอบหลังการสอน จานวน 6 คร้ัง เก็บไว้เพื่อนาไปวิเคราะห์ข้อมูล ต่อไป ตวั อยา่ งขน้ั ตอนการทดลอง ผู้วจิ ัยดาเนนิ การดงั น้ี ตารางที่ 5 กิจกรรมการฝกึ ในสปั ดาห์ท่ี 1 วนั ท่ี 1 ของการฝึก นกั เรยี น กลอ่ ง กิจกรรมที่ 1 กจิ กรรมที่ 2 กิจกรรมท่ี 3 กิจกรรมที่ 4 คนท่ี งานที่ 1 1 ร้อยลกู ปัด ตอ่ หว่ ง นาลูกปดั ใส่ถ้วย นกั เรียนทุก 2 2 ปลอ่ ยฝานา้ อัดลมลงรู นาตัวหนบี ใส่ รอ้ ยเชอื กตามรอยปรุ คนทาแบบฝึก กระดาษแข็ง ที่ 1 ลากเส้น 3 3 ใสห่ มดุ สี หยบิ ตวั เลขใสบ่ ล็อก คลึงดนิ น้ามนั เปน็ เส้น ตรงแนวตง้ั 4 4 นาตะเกียบใส่รู หยบิ รูปทรงใส่บล็อก คลึงดินน้ามันเป็นก้อน จากบนลงลา่ ง 5 5 ปลอ่ ยลกู ปดั สีลงหลกั นาห่วงใสห่ ลกั ตดั หลอดดดู ตามรอยประ 4. หยุดทาการทดลองในสัปดาห์ท่ี 13 และสัปดาห์ท่ี 14 ทดสอบความคงทนของทักษะการประสาน สัมพันธ์ระหว่างตากับมือด้วยแบบทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทาการทดสอบ เปน็ รายบคุ คล บันทึกพฤติกรรมและบันทกึ ผลคะแนนการทดสอบหลังการสอน จานวน 1 ครั้ง เก็บไว้เพื่อนาไป วเิ คราะหข์ ้อมลู ตอ่ ไป สรุปได้ว่าในการเก็บรวบรวมข้อมูล ควรมีการวางแผนกิจกรรมและระยะเวลาในการทดลองและเก็บ ข้อมลู เพอ่ื ให้การวจิ ยั มคี วามครบถ้วนสมบูรณ์

หน่วยที่ 4 การวเิ คราะหข์ ้อมูลและการเสนอผลการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูลและการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นข้ันตอนท่ีครูทาการประมวลผล ข้อมูลทีร่ วบรวมได้แลว้ นาเสนอในรูปของแผนภูมิ ตารางต่าง ๆ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของข้อมูลดิบก็ได้ รูปแบบ ของข้อมูลท่ีนาเสนออาจมีลักษณะเป็นกลุ่ม เป็นรายบุคคล หรือผลการทดสอบนัยสาคัญทางสถิติ ซึ่ง ประกอบด้วยสถิติพรรณาต่าง ๆ ท่เี กีย่ วข้องกับปญั หาวจิ ัยในชน้ั เรียน รายละเอียดดังน้ี การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล ในการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล คือ กระบวนการวิเคราะห์ผลการวิจัยหลังจากการรวบรวม ขอ้ มลู แล้ว ซง่ึ ในการวิเคราะหผ์ ลข้อมลู จะพิจารณาจากข้อมูลที่ได้ เช่น ถ้าข้อมูลเป็นสาระข้อเท็จจริงจากการสัมภาษณ์ หรือประเด็นเน้ือหาจากคาถามปลายเปิด การ วเิ คราะหข์ ้อมูลตอ้ งใชก้ ารพรรณนาเนอื้ หาและจดั กลุ่มเนอ้ื หาตามประเดน็ ที่ต้องตอบคาถามการวจิ ัย ถา้ ข้อมูลเปน็ จานวนเชงิ ปริมาณ ให้พิจารณาว่าวตั ถุประสงคต์ ้องการทราบอะไร ค่าความถี่ ค่าร้อย ละ หรือคา่ เฉล่ีย การวิเคราะห์ข้อมูลสาหรับการวิจัยในช้ันเรียน อาจใช้การรับจานวน ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา การเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล เน่อื งจากงานวิจยั ชัน้ เรยี นมกั ใช้กล่มุ ตัวอย่างจานวนน้อยและศกึ ษากับกลมุ่ เป้าหมายที่มีลกั ษณะ เฉพาะเจาะจง รปู แบบของงานวจิ ยั กไ็ ม่ซับซ้อนมาก สว่ นใหญ่จึงไม่ใชส้ ถิติวเิ คราะห์ที่ยงุ่ ยากมาก และอาจ ใช้วิธีการนาเสนอผลการวิจยั ในรปู แบบ ตาราง แผนภมู แิ ท่ง แผนภูมวิ งกลม กราฟเส้นตรง เป็นตน้ ดงั ตวั อย่าง ต่อไปนี้ Bar Chart) X Y 30% 50% 20% (0= , 1= , 2= ) ภาพท่ี 4 ตัวอย่างแผนภมู แิ ทง่ แสดงรอ้ ยละของจานวนนักเรยี นทีเ่ ลม่ เกม

23 (Pie Chart) 30% 50% 20% (0= 1= , 2= ) ภาพที่ 5 ตวั อยา่ งแผนภาพวงกลมแสดงร้อยละของจานวนนกั เรยี นท่เี ลม่ เกม 1 23 120 98 99 100 90 90 90 80 ค่าเฉลีย่ = ค ่าเฉล ่ีย= 60 ค่าเฉล่ีย= 50 45 40 40 40 30 20 20 15 00 0 0 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 1 2 34 ……… ภาพที่ 6 ตวั อย่างกราฟเส้น แสดงคา่ ร้อยละของความถ่ที มี่ ีพฤติกรรมซึง่ สังเกตได้ อย่างไรก็ตามในการเลอื กวา่ จะนาเสนอขอ้ มูลในรูปแบบใดนั้นต้องคานึงถึงลักษณะของข้อมูลด้วย เช่น ถา้ ขอ้ มูลมีความเป็นอิสระมาจากกลุ่มตัวอย่างคนละคนสามารถใช้แผนภูมิแท่งหรือแผนภูมิวงกลมได้ แต่ถ้าข้อมูลมีความต่อเน่ืองกัน เป็นข้อมูลลักษณะเดียวกันมีเป้าหมายจากการสังเกตเดี่ยวกัน เช่นความถ่ี ของพฤตกิ รรมเดยี วกนั เปล่ยี นตามชว่ งเวลา การนาเสนอโดยกราฟเสน้ จะมคี วามเหมาะสมมากกวา่ เป็นต้น ตัวอยา่ งการวเิ คราะห์ข้อมูล นาเสนอผลการพัฒนาทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของนักเรียนบกพร่องทาง สติปัญญาโรงเรียนบา้ นทุ่งภายหลงั การใช้กลอ่ งงานเป็นกราฟเสน้ ตรง วเิ คราะห์เปรยี บเทยี บความแตกต่างของคะแนนทีไ่ ดจ้ ากการประเมนิ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตากับ มือก่อนและหลังการใช้กล่องงานโดยใชส้ ถิติ Wilcoxon matched- pairs signed – ranks test

24 สูตร D = Y – X เมอื่ D แทน คา่ ความแตกต่างของข้อมูลแต่ละคู่ Y แทน คะแนนของการประเมินหลังทาการทดลอง X แทน คะแนนของการประเมนิ กอ่ นทาการทดลอง สถิติท่ีใชว้ ิเคราะหผ์ ลการพัฒนาทกั ษะการประสานสมั พนั ธร์ ะหว่างตากบั มือโดยใชก้ ลอ่ งงานของ นักเรียนบกพร่องทางสตปิ ัญญาใชก้ ารวเิ คราะหเ์ น้ือหาตามกราฟเสน้ ตรงและสถิตใิ ช้สาหรับวิเคราะห์เปรยี บเทียบ ความสามารถก่อนและหลงั การใช้กล่องงานใช้สถิติ Wilcoxon matched- pairs signed – ranks test ตารางท่ี 6 คะแนนดา้ นการประสานสัมพนั ธร์ ะหว่างตากับมือของนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา ทง้ั 5 คน กอ่ นสอนและหลงั สอนในภาพรวม คะแนน (เต็ม 30 คะแนน) นกั ก่อน ก่อน หลงั หลงั หลงั หลงั หลัง หลัง ตดิ ตาม เรียน สอน สอน สอน สอน สอน สอน สอน สอน ผล คนที่ สปั ดา สปั ดาห์ สปั ดาห์ สัปดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ สัปดาห์ สปั ดาห์ สปั ดาห์ หท์ ี่ 1 ท่ี 2 ท่ี 2 ท4่ี ท6่ี ท8่ี ท1่ี 0 ท1่ี 2 ท1่ี 4 1 3 3 5 5 7 11 11 12 12 2 3 3 4 5 6 9 10 10 10 3 54 5 5 7 8 8 9 9 4 44 5 5 5 7 8 8 8 5 3 3 4 6 8 9 11 11 11 ค่าเฉลี่ย 3.6 3.4 4.6 5.2 6.6 8.8 9.6 10 10 SD .89 .55 .55 .45 1.14 1.48 1.51 1.58 1.58 จากตารางที่ 6 พบวา่ การศึกษาผลของการใชก้ ล่องงานในการพัฒนาทกั ษะการประสานสมั พนั ธ์ ระหวา่ งตากับมือของนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา พบวา่ นกั เรียนบกพร่องทางสติปญั ญาที่ไดร้ ับการ สอนด้วยกล่องงาน สว่ นใหญ่มคี ะแนนจากการทดสอบด้วยแบบทดสอบการประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งตากับ มอื เพ่มิ ข้ึนทุก 2 สัปดาหต์ ามลาดับ ตง้ั แต่สปั ดาหท์ ี่ 1 ถึง สัปดาหท์ ่ี 12 สงู ขนึ้ แสดงว่ากลอ่ งงานและ แผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 แผน จานวนกิจกรรม 16 กิจกรรม สามารถพฒั นาทกั ษะการประสานสมั พันธ์ ระหวา่ งตากบั มอื ของนักเรยี นบกพร่องทางสติปัญญาได้

25 คะแนนเฉลี่ย 1p2re Pretest Treatment 9.6 10 Follow up 8.8 10 10 8 pre 6.6 5.2 4.6 6 3.6 3.4 4 2 6 8 10 12 14 สปั ดาห์ pre 0 24 12 ภาพท่ี 7 ผลของการใช้กล่องงานในการพัฒนาทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของ นักเรียนบกพรอ่ งทางสติปัญญา เฉลย่ี ทัง้ 5 คน จากภาพที่ 7 พบว่า ค่าเฉล่ยี ของคะแนนด้านการประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งตากบั มือ ของนักเรยี น ทัง้ 5 คน ท่ีไดร้ บั การสอนด้วยกล่องงานมรี ะดบั คะแนนเฉลยี่ ดา้ นการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ สงู ขึน้ อยา่ งต่อเน่ือง ดงั นน้ั จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ การสอนโดยใช้กล่องงานทาใหน้ ักเรยี นบกพร่องทาง สติปญั ญามพี ัฒนาการด้านทักษะการประสานสัมพนั ธ์ระหว่างตากับมือดีขึน้ เหน็ ไดจ้ ากคะแนนรายบุคคล และภาพรวมจากคะแนนเฉล่ียของทุกคนทม่ี ีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นทุก 2 สปั ดาห์ จากผลการวิจัยครัง้ น้ี พบวา่ คา่ คะแนนโดยเฉลย่ี ก่อนการทดลอง ได้คะแนน 3.6 ซ่ึงเทียบเทา่ กับ ความสามารถด้านการประสานสมั พนั ธ์ระหวา่ งตากับมือของนักเรียนทั่วไปอายุ 3 ปี 6 เดือน หลังจาก ทดลองใช้ได้ 12 สัปดาห์ หรอื 3 เดอื น พบว่า ค่าคะแนนโดยเฉลีย่ เท่ากบั 10 คะแนน เทยี บเทา่ กับ ความสามารถด้านการประสานสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตากบั มือของนักเรยี นทว่ั ไปอายุ 6 ปี จากผลการทดลองน้ี แสดงให้เห็นว่าการใชก้ ล่องงานทผ่ี ้วู ิจยั พฒั นาขนึ้ ทาให้นักเรียนบกพร่องทางสติปัญญามีพัฒนาการดีข้ึน คะแนน 12 10 9 8 11 3 4.5 4 12 3 234 10 5 นกั เรียนคนที่ 8 6 3 4 2 0 1 pre ภาพที่ 8 ผลการเปรียบเทียบความสามารถดา้ นการประสานสัมพันธ์ระหวา่ งตากับมือของนักเรียน บกพร่องทางสตปิ ัญญาเปน็ รายบุคคลกอ่ นและหลงั การใชก้ ล่องงาน

26 จากกราฟ พบว่า ผลคะแนนจากการทดสอบด้านการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของ นกั เรียนบกพร่องทางสติปัญญาเปน็ รายบุคคล ภายหลังจากท่ีได้รับการสอนโดยใช้กล่องงาน มีคะแนนสูง กวา่ ก่อนไดร้ บั การสอนทุกคน เม่ือนาไปเทียบกับทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของนักเรียน ทวั่ ไป พบว่า ทักษะการประสานสมั พนั ธ์ระหวา่ งตากับมือของนักเรียนของนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา ใกลเ้ คียงหรือเทียบเท่ากับนักเรียนทั่วไป และเม่ืองดการสอนโดยใช้กล่องงานหลังจากสอนได้ 12 สัปดาห์ เพื่อติดตามความคงทนของทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของนักเรียน ก็พบว่านักเรียนยัง สามารถทาแบบทดสอบในสปั ดาห์ท่ี 14 ไดเ้ ท่ากบั คะแนนเดมิ ในสัปดาห์ที่ 12 แสดงให้เห็นว่าการสอนโดย ใช้กล่องงานที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสามารถพัฒนาทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือของนักเรียนได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพและจากการบนั ทึกพฤติกรรม พบวา่ หลังจากใช้กล่องงานได้ 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์ ผู้วิจัยพบว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าของทักษะการประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมืออย่างเป็นรูปธรรม สามารถสังเกตพฤติกรรมได้อย่างชัดเจน ทุกคน ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างคะแนนดา้ นการประสานสัมพันธ์ระหวา่ งตากับมือของนักเรียน บกพร่องทางสติปัญญาทั้ง 5 คน โดยใช้สถิติทดสอบ Wilcoxon matched–pairs signed–ranks test ปรากฏดังตาราง ตารางท่ี 7 เปรียบเทียบความสามารถของการประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งตากับมือของ นักเรยี นบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาท้ัง 5 คน กอ่ นและหลังการใช้กล่องงาน นกั เรียน คะแนนกอ่ น คะแนนหลงั ผลตา่ ง ลาดับท่ี ลาดบั ตามเครื่อง คนท่ี การสอนโดย การสอนโดย ของ ความ หมายค่าสถติ ิ ใชก้ ลอ่ งงาน ใช้กล่องงาน คะแนน แตกตา่ ง (คะแนนเต็ม (คะแนนเตม็ D=Y-X +- 30 คะแนน) 30 คะแนน) 1 3 12 3 1 +1 -0 2 3 10 7 4 +4 -0 3 5 9 4 2.5 +2.5 - 0 4 4 8 4 2.5 +2.5 - 0 5 3 11 8 5 +5 -0 T+=+15* T - = 0 * มนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 จากตาราง พบว่า ทกั ษะการประสานสมั พันธ์ระหว่างตากบั มือของนักเรยี นบกพร่องทาง สตปิ ัญญาทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยใช้กล่องงาน ก่อนและหลังการทดลองแตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่ี ระดบั .05 โดยภายหลงั การทดลอง นกั เรยี นบกพร่องทางสติปัญญามคี ะแนนในดา้ นการประสานสมั พันธ์ ระหวา่ งตากับมอื สงู กว่าก่อนการสอนโดยใชก้ ลอ่ งงานและแผนการจัดการเรียนรโู้ ดยการใช้กล่องงาน

หน่วยท่ี 5 การนาเสนอรายงานผลการวิจัย ในการนาเสนอรายงานผลการวิจยั ชั้นเรียนสามารถเขยี นไดต้ ามความเข้มข้นของกระบวนการวิจัย ไดแ้ ก่ 1) การวจิ ัยหนา้ เดียวท่ีสามารถเขียนรายงานเพยี งหนา้ เดียวหรือหลายหน้าแต่ไม่มากนัก โดยเขียน เพียงบอกปัญหา วิธีแก้ปัญหาและผลการแก้ปัญหาอย่างย่อพอเข้าใจ คล้ายกับบทคัดย่อของการวิจัยอื่น 2) การวิจยั อย่างง่าย เป็นการวิจัยท่ีค่อนข้างมีกระบวนการท่ีครบถ้วน แต่การเขียนรายงานการวิจัยบาง หัวข้ออาจขาดความสมบูรณ์บ้าง เช่น เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องและ 3) การวิจัยท่ีสมบูรณ์ เป็นการ วิจัยที่อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ดาเนินการตามกระบวนการที่ครบถ้วน เขียนรายงานการวิจัยอย่าง สมบูรณ์ (เพลนิ พิศ ธรรมรัตน์, 2550) ในการเขียนรายงานการวิจัยชั้นเรียนแบบสมบูรณ์เป็นการเขียนในรูปแบบมาตรฐานในการ เขียน รายงานการวิจัยแบบสมบูรณ์ หรือรายงานการวิจัย 5 บทจาเป็นต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลท่ี ชัดเจน มีประกอบดว้ ย3 ส่วนคือ ส่วนหน้า ส่วนเน้ือหาและส่วนท้าย ทั้งน้ีโครงสร้างรายงานวิจัยส่วนหน้า ได้แก่ ปกนอก(หน้าปก) ปกใน บทคัดย่อประกาศคุณูปการหรือกิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง สารบญั ภาพประกอบ โครงสรา้ งรายงานวิจัยสว่ นเนือ้ หา ได้แก่ บทที่ 1 บทนา บทท่ี 2 เอกสารงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล และบทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะโครงสร้างรายงานวิจัยส่วนท้าย ได้แก่ บรรณานุกรม ภาคผนวก บัญชีรายนาม ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในการตรวจความตรงของเคร่ืองมือ สาเนาหนังสือประสานงาน ตัวอย่าง เคร่อื งมือ และผลการหาคณุ ภาพเครอ่ื งมือ ประวัตขิ องผวู้ จิ ยั รวมท้งั ปกนอก (หลงั ) รายงานการวิจยั แบบสมบูรณ์มีรายละเอยี ด เกีย่ วกับ องคป์ ระกอบในการเขียน 5 บทรูปแบบ การพมิ พ์ และการเขยี นแนวทางในอา้ งอิง ดงั น้ี องค์ประกอบในการเขยี น 5 บท องค์ประกอบในการเขยี น 5 บท ประกอบดว้ ย 1.1 บทท่ี 1 บทนา ในบทนาองรายงานการวิจัยโดยทั่วไปมีรายละเอยี ดของ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา คาถามของการวิจัย วัตถุประสงค์ของการศึกษา สมมติฐานของการวิจัย ขอบเขตของการศึกษาด้าน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา ขอบเขตของเนื้อหา ขอบเขตเรื่องเวลาและขอบเขตด้าน สถานทีใ่ นการวจิ ัย ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้และนยิ ามศัพทใ์ นการวจิ ยั 1.2 บทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ในบทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องมีรายละเอียดของข้อมูลจากการศึกษาหลักการ แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งกบั ตวั แปรที่ศึกษาและบรบิ ทท่เี กี่ยวขอ้ ง ซงึ่ ผู้วิจยั ศกึ ษาจาก หนังสือ ตารา บทความในวารสาร เวป็ ไซด์ ส่ืออเิ ล็คทรอนิกส์และรายงานการวิจัยต่าง ๆ ตามกรอบและประเด็นท่ี เก่ยี วข้องกับการวจิ ัย เพื่อเปน็ การยืนยันแนวคิด หลักการในการทางานวิจัยทีน่ า่ เชือ่ ถือ

28 1.3 บทที่ 3 การดาเนนิ การวิจยั ในบทที่ 3 ผู้วิจัยควรเขียนรายละเอียดเก่ียวกับ วิธีการหรือขั้นตอนในการดาเนินงานวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างซึ่งบอกถึงวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างและวิธีการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง เน่ืองจากการวิจัยทางการศึกษาพิเศษอาจมีประชากรท่ีสนใจศึกษาจานวนน้อย บางครั้งสนใจศึกษาจาก ประชากรท้ังหมด ไม่จาเป็นต้องเลือกกลุ่มตัวอย่าง อาจเรียกว่าเป็นการศึกษาจากกลุ่มเป้าหมาย รายละเอียดของเขอบเขตการศึกษา ตัวแปร ลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ข้ันตอนหรือวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตลอดจนสถิติที่ใช้ในการ วเิ คราะห์ข้อมลู 1.4 บทท่ี 4 ผลการศึกษาและอภิปรายผล ในบทที่ 4 เป็นการนาเสนอผลการวิจัยมีรายละเอียดของผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ของการ วิจัยหรือเรียกว่าเป็นการตอบคาถามการวิจัยนั่นเองส่วนการอภิปรายผลให้อภิปรายตามประเด็นของ การศึกษาเพื่อยืนยันผลการค้นพบการอภิปรายผลและข้อเสนอแนะที่สมบูรณ์และดีจะเป็นประโยชน์ต่อ ผใู้ ช้ผลงานวิจยั น้ันๆ เป็นอย่างมาก ถือเป็นจุดสาคัญของรายงานการวิจัยท่ีจะช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้ความ เขา้ ใจในการวิจยั นั้นอย่างลึกซึง้ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้ ในการเขียนอภิปรายผลการวิจัย ผู้วิจัยควรนาข้อค้นพบของการวิจัยแต่ละข้อไปอภิปรายว่า เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยก็ควรอภิปรายว่าข้อค้นพบนั้นสอดคล้องกับทฤษฎีและผลงานวิจัย ที่ เกี่ยวข้องอะไรบ้าง ถ้าเป็นไปได้ควรบรรยายว่าได้ข้อค้นพบที่ใหม่ และช่วยสนับสนุนหรือพัฒนาองค์ ความรู้ในบริบทเรื่องน้ันอย่างไร และในกรณีท่ีข้อค้นพบไม่เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย แสดงว่าไม่ สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎแี ละผลการวิจยั ในอดีตต้องอภิปรายว่าเนอ่ื งมาจากสาเหตใุ ด 1.5 บทที่ 5 สรปุ ผลการศกึ ษาและข้อเสนอแนะ บทที่ 5 เป็นการเขียนสรุปผลการวิจัยที่มีรายละเอียดของงานวิจัยโดยย่อ ได้แก่ วัตถุประสงค์ สมมติฐานการวิจัย (ถ้ามี) วิธีการดาเนินศึกษา ซ่ึงรวมถึงกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปร เครื่องมือและการเก็บ รวบรวมข้อมูล สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ ซ่ึงการเขียนข้อเสนอแนะโดยท่ัวไปควรนาข้อค้นพบ ของการวิจัยแต่ละขอ้ ไปประยุกตใ์ ช้ เพ่ือการพัฒนาในบรบิ ทท่เี กีย่ วขอ้ งและเขียนข้อเสนอแนะสาหรับการ วิจัยครั้งต่อไป โดยอาศัยจุดอ่อนและจุดแข็งของผลงานวิจัยนั้นเป็นพ้ืนฐานในการเสนอแนะ ในการ รายงานการวจิ ยั ส่วนมากจะเสนอแนะให้การวจิ ัยครัง้ ต่อไปเพิม่ ตวั แปร ซ่ึงในการเสนอแนะทุกประเด็นจึง ควรมเี หตุผลประกอบ 1.6 บรรณานุกรม การอ้างอิงที่มาของข้อมูลที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้าของผู้วิจัยจะต้องนามาเขียนไว้ใน บรรณานุกรม ซ่ึงมีรายละเอียดของข้อมูลการอ้างอิงท่ีมาของข้อมูลซ่ึงส่วนใหญ่เป็นการอ้างอิงจาก การศึกษาค้นควา้ ของผู้ทาวิจยั ซงึ่ อา้ งอิงช่อื บคุ คล องคก์ ร หน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ ซ่ึงข้อมูลช่ือท่ี นามาอา้ งองิ บรรณานุกรมจะสอดคล้องกับในเล่ม หลักการเขียนบรรณานุกรมมีหลายแบบที่สากลนิยมใช้ ซงึ่ ผ้วู จิ ัยต้องตดั สินใจเลือกเพยี งแบบเดียวเพอื่ ใหม้ คี วามคงเสน้ คงวาในการเขียน

29 การเขยี นอ้างอิงในบรรณานุกรมตอ้ งมกี ารจดั เรยี งชือ่ ผ้ทู ี่ไดร้ ับการอ้างองิ ตามลาดับตัวอักษรและ ถ้าชื่อผแู้ ต่งเปน็ คนเดยี วกันให้เรียงตามปี พ.ศ. หรอื ค.ศ.ท่ีเขยี นหนังสือ ท้ังน้ีใหอ้ ้างอิงผู้แตง่ ท่เี ป็นคนไทย ก่อนคนต่างชาติ ตวั อย่างการเขียนบรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2552). ราชกจิ จานุเบกษา. ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ ารเร่ืองกาหนดประเภท และหลักเกณฑ์ของคนพกิ ารทางการศึกษา พ.ศ.2552. เลม่ 126 ตอนพเิ ศษ 80 ลงวนั ที่ 8 มถิ ุนายน 2552. หน้า 47. ดารารัตน์ สัตตวชั ราเวช. (2546). เดก็ ออทสิ ตกิ . ค้นเม่ือ 18 กรกฎาคม 2546, คน้ จาก http://www.thaicilnic.com. ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ. (2547). อุบัติการณ์ สาเหตุ และการดาเนนิ โรคออทิสซ่ึม: ความรู้เร่ืองออทิ สติกสาหรับผู้ปกครอง ครูและบุคลากรทางสาธารณสขุ . พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. ขอนแก่น: คลงั นานา วิทยา. ทวีศกั ด์ิ สิรริ ัตน์เรขา. (2548). ออทิสตกิ . คน้ เมือ่ 11 สงิ หาคม 2548, จาก http://www. happyhomeclinic.com/autism.htm. เพญ็ แข ลม่ิ ศลิ า. (2540). การวนิ จิ ฉัยโรคออสทิ ซึม. สมทุ รปราการ: โรงพยาบาลยุวประสารทไวทโยปถัมภ์. __________ . (2545). ออทิสซ่มึ ในประเทศไทยจากตาราสู่ประสบการณ์ ในเอกสารประกอบบรรยาย พิเศษการประชุมระดับชาติเร่อื ง ครู หมอ พอ่ แม่ : มติการพัฒนาศักยภาพของบคุ คลออทิ สตกิ . กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. มาลินี ไชยบงั , ยุพาศรี ไพรวรรณ ชวลติ ชูกาแพง และจรยิ าภรณ์ รุจโิ มระ.(2551). “การศกึ ษาผลการ ปรับพฤติกรรมก้าวรา้ วของเด็กออทิสตกิ ทเี่ รยี นร่วมโดยใชว้ ธิ ีการเสรมิ แรงดว้ ยเบย้ี อรรถกรในการ เลน่ เกมกับเด็กปกติ”. วารสารมหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม; ว.มรม. ปีท่ี 2 ฉบับที่ 1 : มกราคม - เมษายน 2551 : 43-52. วินดั ดา ปิยะศลิ ป์. (2543). คู่มอื เก่ียวกบั เด็กออทสิ ตกิ . กรงุ เทพฯ: แอดทีม ครีเอชนั่ DfES Publication. (2006). Information for parents Autistic spectrum disorders (ASDs) and related condition. 2nd ed. Nottingham: DfES Publications 1.7 ภาคผนวก ในภาคผนวกควรแนบรายละเอียดท่ีมรี ายละเอียด ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ภาคผนวก ข เครือ่ งมือการวิจยั และผลการหาคุณภาพเครอ่ื งมือวิจยั ภาคผนวก ค แผนการจดั การเรียนรปู้ ระกอบการใชน้ วัตกรรม ภาคผนวก ง เอกสารอื่น ๆ เช่น ภาพประกอบ ฯลฯ

30 การจดั รปู แบบการพมิ พข์ องหน้า ในการจัดรูปแบบการพิมพ์นั้นมีความสาคัญเพราะจะทาให้รายงานน่าอ่านและข้อมูลมีความ ครบถ้วน ไม่ขาดหาย เมือ่ มกี ารเยบ็ เลม่ มาตรฐาน จัดหน้าโดยทั่วไป ในการจัดพิมพ์ในกระดาษ ขนาดมาตรฐาน A4 ควรเว้นกั้นหน้าจาก ด้านขวาและเว้นจากด้านบนเท่ากันคือ 1.5 นิ้วหรือ 3.81 เซนติเมตร เว้นก้ันหลังและเว้นจากด้านล่าง เท่ากนั คือ 1 นว้ิ หรอื 2.54 เซนตเิ มตร รูปแบบตัวอักษรที่นิยม ได้แก่ Angsana New, Cordia New และTH SarabunPSK ขนาดตัวอักษรที่พมิ พ์ หัวข้อหรือบท ใช้ขนาด 18 สว่ นอักษรท่วั ไปใชข้ นาด 16 เพือ่ ให้มคี วามสวยงามน่าอา่ น ควรใช้อักษรแบบเดียวกันทั้งเล่ม การเขยี นอา้ งอิง ในการเขยี นอา้ งองิ มีความสาคัญเพราะนอกจากเปน็ การอ้างองิ แหล่งที่มาของข้อมลู ทีน่ ่าเชื่อถือ แลว้ ยังเป็นการให้เกยี รติแกเ่ จ้าของแหลง่ ข้อมูลและเป็นแนวทางให้ผู้อ่านสืบค้นข้อมลู ในเชงิ ลึกต่อไปได้ ใน การเขยี นอ้างอิงมแี นวทางการเขียนดงั น้ี 1. ในการอา้ งองิ ช่ือผู้แตง่ ก่อนเขยี นข้อความ เชน่ วินดั ดา ปิยะศลิ ป์. (2543). 2. ในการอา้ งอิงช่ือผู้แต่งหลายคน(ตง้ั แตส่ องคนขนึ้ ไป) ก่อนเขยี นข้อความ เชน่ วินดั ดา ปิยะศิลป์ (2543) และ ทวศี ักด์ิ สิริรตั นเ์ รขา (2548) มีความเหน็ สอดคล้องกนั ว่า... 3. ในการอา้ งองิ ชื่อผแู้ ต่งหลังเขียนข้อความ เชน่ (วนิ ัดดา ปยิ ะศลิ ป์, 2543) 4. ในการอา้ งองิ ช่ือผแู้ ต่งหลายคน (ต้ังแต่สองคนขึ้นไป) หลังเขียนข้อความ เชน่ (วนิ ัดดา ปิยะศิลป์, 2543และทวีศักด์ิ สิริรตั นเ์ รขา, 2548). ในการอ้างอิงภายในเล่มควรใชร้ ปู แบบการอา้ งองิ ใหค้ งเส้นคงวาตลอดทั้งเล่ม ถ้ามีการคัดลอก ขอ้ ความจากเอกสารหนงั สือโดยตรงอาจต้องอ้างอิงเลขหน้าด้วย ซึง่ ถา้ อ้างองิ เลขหนา้ ควรอ้างอิงเลขหน้า ตลอดทงั้ เลม่ และทีส่ าคญั ในการศกึ ษาข้อมลู ที่ใชใ้ นการวจิ ัยควรศกึ ษาจากแหล่งข้อมูลท่ีเป็นต้นฉบบั เพื่อ ความถูกตอ้ งของข้อมลู จรงิ และการอ้างอิงไม่คลาดเคล่อื น โดยสรุปจะเห็นว่าในการเขียนรายงานการวิจัยแบบสมบูรณ์ 5 บทน้ันในรายงานการวิจัยควร ประกอบด้วย ส่วนหน้า ส่วนเน้ือหาและส่วนท้าย โดยมีโครงสร้างรายงานวิจัยส่วนหน้า ได้แก่ ปกนอก (หน้าปก) ปกในบทคัดย่อประกาศคุณูปการหรือกิตติกรรมประกาศสารบัญ สารบัญตาราง สารบัญ ภาพประกอบ โครงสรา้ งรายงานวจิ ัยส่วนเนอ้ื หา ไดแ้ ก่ บทที่ 1 บทนา บทท่ี 2 เอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและบทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ โครงสร้างรายงานวิจัยส่วนท้าย ได้แก่ บรรณานุกรม ภาคผนวก บัญชีรายนามผู้ทรงคุณวุฒิหรือ ผู้เชย่ี วชาญในการตรวจความตรงของเครื่องมือ สาเนาหนังสือประสานงาน ตัวอย่างเครื่องมือ และผลการ หาคณุ ภาพเคร่ืองมือ ประวตั ขิ องผู้วจิ ยั รวมทงั้ ปกนอก (หลัง) ซ่ึงครหู รือผทู้ าวิจยั

31 ช้ันเรียนอาจไม่มีเวลาในการศึกษาเรียบเรียงข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์และเป็นระบบได้ โดยอนุโลมในการ เขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียนอาจเขียนในรูปงานวิจัยหน้าเดียว หรือเขียนบทที่สองได้ไม่สมบูรณ์นักแต่ จาเป็นต้องมีข้อมูลท่ีสาคัญคือ การระบุปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน การเขียนวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจน นาไปสู่ การตอบคาถามการวิจัยท่ีวัดได้ ประเมินได้ กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษา ขั้นตอนการดาเนินการศึกษาค้นคว้าและผลท่ีได้จากการวิจัยท่ีต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือตอบ คาถามการวิจัย อย่างไรก็ตามการเขียนรายงานการวิจัยช้ันเรียนแบบย่อแม้ไม่ครบห้าบทแต่ต้องนาเสนอ รายละเอียดของการค้นพบปัญหา แนวทางการแก้ปัญหา ขั้นตอนการทาวิจัยและผลท่ีได้รับ นอกจากน้ี แลว้ อาจเขยี นใหเ้ ห็นถงึ กระบวนการสะท้อนกลับ (Reflection) ท่ีไดจ้ ากการวพิ ากษ์วิจารณ์ของผู้เก่ียวข้อง หรอื เพ่ือนรว่ มงานซึ่งชว่ ยกาจัดจุดอ่อนของการวิจยั ในช้ันเรยี นทม่ี ีเอกสารอ้างองิ นอ้ ย

หนว่ ยที่ 6 บทสรุปและตัวอย่างการวจิ ยั ในชัน้ เรยี นด้านการศึกษาพเิ ศษ บทสรปุ การวิจัยช้ันเรียน( Action Research ) หรือการวิจัยในห้องเรียน (Classroom Research) หรือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (Classroom Action Research) และการวิจัยของครู (Teacher – Base Research เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีความสัมพันธ์สืบเน่ืองมาจากการวิจัยทางการศึกษา (Education Research) เป็นการวิจัยที่เกิดจากความต้องการของครูที่จะพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง กิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดผลกับผู้เรียนในทางท่ีดีข้ึน เหมาะสมและมีคุณค่ามากข้ึนโดยครูเป็น ผดู้ าเนนิ การใชเ้ วลาในการวิจัยไมม่ ากนัก มีประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับครู ท้ังน้ีเพ่ือให้ คุณภาพของการศกึ ษาสงู ข้นึ การวิจัยในชั้นเรียนสามารถแบ่งได้หลากหลายขั้นตอนตามนักการศึกษาแต่ละคน ซ่ึงข้ันตอน หลกั ของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น ไดแ้ ก่ 1. สารวจและวิเคราะหป์ ัญหา เป็นจุดเริ่มต้นสาคัญในการวางแผนแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพ การเรียนการสอน ทาได้หลายลกั ษณะนาไปส่ปู ัญหาของการวจิ ยั แหล่งข้อมลู 2. กาหนดวิธีการในการแก้ปัญหา ทาให้เห็นแนวทางแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้นขั้นตอนน้ีจะนาไปสู่ ตวั แปรทจี่ ะศกึ ษา และวิธกี ารท่ีจะพัฒนาหรอื แกป้ ัญหา 3. พัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรม ข้ันตอนน้ีเป็นการกาหนดวิธีการ หรือสร้างนวัตกรรมในการ แกป้ ญั หาหรอื พฒั นา เปน็ ข้ันตอนนาไปสู่ตวั แปรทจ่ี ะศึกษาและวธิ กี ารทจ่ี ะพฒั นา 4. นาวิธกี ารหรือนวตั กรรมไปใช้ ขนั้ ตอนนค้ี รตู อ้ งระบวุ ่า จะปฏิบัติกับใครเมื่อไรอย่างไร แล้วเก็บ รวบรวมข้อมลู ต้องมเี คร่ืองมือและวธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล รวมทัง้ แนวทางการวิเคราะหข์ ้อมลู 5. สรุปและรายงานผล เม่ือรวบรวมข้อมูลได้แล้ว นาข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยเลือกใช้สถิติท่ี เหมาะสมกับข้อมูลท่ีรวบรวมได้แล้วสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามท่ี ตอ้ งการ ก็จะตอ้ งทาการปรบั ปรุงแกไ้ ข โดยยอ้ นกลบั ไปค้นหาวิธีการหรือนวัตกรรมใหม่แล้วพัฒนาวิธีการ หรือนวัตกรรม ตลอดจนนาวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้อีกจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงเขียนเป็นรายงาน การวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ ดงั ภาพที่ 4

33 ภาพท่ี 9 วงจรวจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารในช้นั เรียน การวิจัยที่ครูผู้สอนแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้านการเรียนการสอนท่ีเก่ียวข้องกับผู้เรียนใน ห้องเรียนโดยมีการดาเนินงานที่เป็นวงจรต่อเนื่อง มีกระบวนการทางานแบบมีส่วนร่วม และเป็น กระบวนการท่ีเป็นส่วนหน่ึงของการทางานปกติ เพ่ือให้ได้ข้อค้นพบเก่ียวกับการแก้ไขปัญหาท่ีสามารถ ปฏิบตั ไิ ด้จริง ในการทาวิจัยช้ันเรียนนั้นนอกจากผู้วิจัยหรือครูผู้สอนจะมองเห็นปัญหา เข้าใจปัญหา สามารถ ระบุปัญหาการวิจัยได้ ต้ังคาถามการวิจัยได้แล้ว ต้องสามารถกาหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาจากความรู้ และประสบการณ์ของครูเอง หรือจากการศึกษาค้นคว้าเอกสาร วรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง แล้วกาหนดเป็น วัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัยซึ่งนาไปสู่การตอบคาถามการวิจัย ครูผู้วิจัยต้องมีความรู้ในการ ออกแบบและเลือกเคร่ืองมือวัดหรือเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล การหาคุณภาพของเคร่ืองมือ การ ทดลองใชน้ วัตกรรม เก็บรวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ข้อมลู และรายงานผล ในการเขียนรายงานผลการวิจัยอาจเป็นความยุ่งยากของครูผู้วิจัยเพราะมีเวลาเหลือจากการสอน ไม่มากนัก แต่เป็นเร่ืองจาเป็นที่ครูผู้วิจัยต้องเรียบเรียงผลการดาเนินการวิจัยมาเป็นรายงานวิจัยเพ่ือ เผยแพร่ผลงานให้ผู้เก่ียวข้องและสาธารณชนได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อไป อย่างไรก็ตามการเขียนรายงานการวิจัยช้ันเรียนไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบในการเขียนรายงานการ วจิ ัย แต่ต้องมคี วามครบถ้วน สมบูรณแ์ ละชดั เจนในเรอื่ งของ การระบปุ ัญหา คาถามการวิจัย วัตถุประสงค์ การวิจัย กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือการทดลองหรือนวัตกรรมหรือวิธารแก้ปัญหา เครื่องมือการวัดหรือเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ขอ้ มลู และการรายงานผลการวิจัยซ่งึ ตอ้ งตอบคาถามการวจิ ยั การเขียนรายงานการวิจัยทีด่ ี มีความชดั เจนเม่ือนามาเผยแพร่ ผู้อา่ นจะเขา้ ใจง่ายและนามาใช้ ประโยชน์ เปน็ แนวทางในการพฒั นาการเรียนการสอนและการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาตอ่ ไป

34 ตัวอยา่ งการวจิ ัยในชัน้ เรียนดา้ นการศกึ ษาพิเศษ ตวั อย่างท่ี 1 รายงานผลการปรบั ปรุงพฤติกรรมตัง้ ใจเรียนโดยการใชข้ อ้ ตกลงของนกั เรียน บกพร่องทางสติปญั ญา ความเปน็ มาและความสาคัญของการวิจยั ปญั หาการไม่ต้ังใจทางาน กวนเพือ่ นเป็นปัญหาทเี่ กิดขน้ึ ทกุ ครัง้ ระหว่างครูสอน นักเรียนจะเดินไป มา รบกวนเพื่อน และทาแบบฝกึ หดั ทค่ี รูมอบหมายไมเ่ สร็จในเวลาท่คี รกู าหนด ปัญหาน้ีทาให้เกิดปัญหาใน ช้นั เรยี น เช่น ทาใหค้ รูตอ้ งหยดุ สอนในช่วงเวลาหน่งึ นักเรียนคนอื่นไม่มีสมาธิในในการเรียน พูดคุยกันใน ชน้ั เรียน ปีการศึกษา 2555 ผู้วิจัยสอนวิชาภาษาไทย มีนักเรียนท่ีมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่เร่ิมสอน จนหมดชั่วโมงเรียน จานวน 3 คน ผู้วิจัยจึงนาปัญหานี้มาศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหา เพ่ือปรับปรุง พฤตกิ รรมการตงั้ ใจเรียนโดยใชข้ ้อตกลง วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เพอื่ แกป้ ญั หาการตั้งใจเรียนของนกั เรยี นบกพร่องทางสติปัญญา ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ในวิชา ภาษาไทย ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยคร้งั นี้เปน็ การวจิ ยั เชิงทดลอง โดยใชข้ ้อตกลงในการเรียนต้ังแตค่ ร้งั แรกของการตั้งใจเรียน โดยให้คะแนนพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรยี นในวชิ าภาษาไทย ประกอบดว้ ย พฤตกิ รรมไมต่ ้งั ใจทางาน รบกวนเพอื่ น ไม่ ตัง้ ใจทางาน แต่ไมก่ วนเพื่อน รวมกันเกิน 5 ครัง้ จะไม่ได้คะแนนเข้าใชเ้ รียน ในวนั นั้นๆ กล่มุ เป้าหมาย นกั เรยี นบกพร่องทางสตปิ ัญญา ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2555 เครื่องมอื การวิจยั 1) แบบบนั ทึกคะแนนพฤติกรรมไมต่ ง้ั ใจเรียน 2) ข้อตกลงในการตงั้ ใจเรียน โดยแจ้งข้อตกลงกับนักเรยี น และผู้ปกครองต้ังแต่ครง้ั แรกของ ช่วั โมงเรยี น การรวบรวมข้อมูล 1) ใชแ้ บบบนั ทึกคะแนนพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน คัดเลอื กกลมุ่ เปา้ หมายไดจ้ านวน 3 คน 2) ผวู้ ิจัยสอบถามสาเหตุการไมต่ ัง้ ใจเรยี นของนักเรียนเปน็ รายคน วิเคราะห์หาแนวทางการแก้ไข รว่ มกบั อาจารย์ประจาวิชาอ่นื ๆ และผู้ปกครอง 3) สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนกลมุ่ เปา้ หมาย เปน็ ระยะเวลา 10 สปั ดาห์ โดยใชแ้ บบบันทกึ คะแนนพฤติกรรม

35 4) บนั ทกึ คะแนนพฤตกิ รรมของกลุ่มเป้าหมาย สัปดาหล์ ะ 2 ครงั้ รวม 20 ครัง้ ตัง้ แต่วนั ที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ถึงวันท่ี 18 มกราคม 2556 การวิเคราะหข์ อ้ มูล วิเคราะหข์ ้อมูลจากผลการบนั ทึกคะแนนพฤติกรรมไมต่ ง้ั ใจเรยี นหลังจากทาสญั ญาขอ้ ตกลงกับ นกั เรยี น ผลการบันทึกพฤติกรรมไม่ตง้ั ใจเรียนและรบกวนเพือ่ นในชั่วโมงเรียน กลุ่มเป้าหมาย จานวน 3 คน พบวา่ นกั เรียนมจี านวนคร้ังของพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนและรบกวนเพื่อนในชั่วโมงเรยี นลดลง ผลการวิจยั จากการใชข้ อ้ ตกลงกบั นกั เรยี นทีม่ ีพฤติกรรมไมต่ ัง้ ใจเรยี นและรบกวนเพ่ือนในช่ัวโมงเรียน พบว่า นักเรยี นกลุ่มเป้าหมายแสดงพฤติกรรมตง้ั ใจเรียนในวิชาภาษาไทย ในจานวนคร้ังที่ตรวจสอบว่าพฤติกรรม ไม่ตัง้ ใจทางานและรบกวนเพอ่ื นในช่ัวโมงเรียน รวม 20 ครง้ั บนั ทึกข้อมูลไดด้ งั น้ี

36 ตารางที่ 1 จานวนครั้งของพฤตกิ รรมไม่ต้ังใจเรียนและรบกวนเพือ่ นในชั่วโมงเรียน ของนกั เรียน กลมุ่ เปา้ หมาย ครัง้ ที่ จานวนครงั้ ของพฤติกรรม จานวนครงั้ ของพฤตกิ รรม จานวนคร้งั ของพฤติกรรม ตรวจสอบ นักเรียนคนท่ี 1 นักเรยี นคนที่ 2 นักเรยี นคนที่ 3 ไ ่มตั้งใจทางาน รบกวนเ ื่พอน รวม ไ ่ม ้ตังใจทางาน รบกวนเ ่ืพอน รวม ไ ่ม ้ัตงใจทางาน รบกวนเ ื่พอน รวม 1 7 3 10 5 6 11 7 5 12 2 7 5 12 5 7 12 7 5 12 3 7 5 12 5 8 13 7 5 12 4 6 4 10 4 7 11 6 4 10 5 6 4 10 4 6 10 6 4 10 6 54945 9 549 7 6 4 10 4 5 9 6 4 10 8 54945 9 549 9 53835 8 538 10 5 2 7 2 5 7 5 2 7 11 4 2 6 1 4 5 4 2 6 12 4 2 6 1 4 5 4 1 5 13 3 2 5 1 3 4 3 1 4 14 2 2 4 1 1 2 2 1 3 15 2 1 3 1 1 2 2 1 3 16 1 1 2 1 1 2 1 1 2 17 1 0 1 1 1 2 1 0 1 18 1 0 1 0 1 1 1 0 1 19 1 0 1 0 0 0 0 0 0 20 1 0 1 0 0 0 0 0 0

37 14 คะแนน 1 2 12 3 10 8 6 4 2 0 คร้ังท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ภาพที่ 1 กราฟแสดงจานวนพฤตกิ รรมไม่ตั้งใจเรียนและรบกวนเพ่อื นในช่ัวโมงเรยี นของ นกั เรียนกลมุ่ เปา้ หมาย สรปุ ผลการวจิ ัย พฤติกรรมไมต่ ้งั ใจของนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา หลังการทาข้อตกลง นักเรียนแสดง พฤติกรรมตั้งใจเรยี นเพิ่มข้ึน พฤติกรรมไมต่ ง้ั ใจเรียน รบกวนเพื่อนในชน้ั เรียนลดลง พยายามควบคุม ตนเองให้นัง่ เรียนและทางานตามท่คี รูกาหนดให้เสร็จทนั เวลา

38 ตวั อยา่ งที่ 2 รายงานผลการใชช้ ดุ พัฒนาความสามารถในอ่านคาของนกั เรยี นบกพร่องทางการ เรยี นรู้ดา้ นการอ่านคาท่ีมฐี านการออกเสียงวรรคปะ ในภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นบา้ นสีสด ความเปน็ มาและความสาคัญของการวิจัย ความสามารถในการอ่าน เป็นพื้นฐานของมนุษย์ในการเขียน การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและการการ ดาเนินชีวิตประจาวัน ในปีการศึกษา 2554 ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีนักเรียนบกพร่องทางการเรียนรู้ จานวน 2 คน มีความย่งุ ยากในการอา่ นออกเสยี งคา และความเขา้ ใจในคา ท่มี ีฐานท่ีใช้ในการออกเสียง วรรค ปะ ซ่ึงอยู่ริมฝีปาก คือ พยัญชนะ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ และ ม ผู้วิจัยจึงพัฒนาชุดความสามารถใน การอ่านคา ท่มี าจากฐานท่ใี ช้ในการออกเสียง ดังกล่าว วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย 1. เพ่อื พัฒนาชุดความสามารถในการอ่านคา ทม่ี าจากฐานทใ่ี ช้ในการออกเสียง วรรค ปะ ของ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 ในวชิ าภาษาไทย ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2555 2. เพอ่ื เปรียบเทยี บความสามารถในการอา่ นคาที่มาจากฐานท่ใี ช้ในการออกเสยี ง วรรค ปะ ของ นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 ในวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2555 ก่อนและหลังการใช้ชดุ พัฒนาความสามารถในการอ่าน วิธดี าเนินการวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบ one group pretest post test โดยทดสอบ ความสามารถในการอ่านคาท่ีมาจากฐานการออกเสียงวรรคปะ ก่อนและหลังการใช้ชุดพัฒนา ความสามารถในการคา ประกอบด้วย สื่อวีดีทัศน์ฝึกการฟัง การเลียนเสียง และบัตรภาพ เกมจับคู่ภาพ กับคา ทาการทดลองสัปดาห์ละ 5 วัน ทุกวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลา 15.00 น.- 16.00 น. ตั้งแต่ วันท่ี 19 พฤศจิกายน 2555–5 มกราคม 2556 รวม 12 สปั ดาห์ กลุม่ เปา้ หมาย นกั เรียนบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5 ทีเ่ รยี นวชิ าภาษาไทย ภาคเรยี นที่ 2 ปี การศกึ ษา 2555 เครอ่ื งมอื การวิจัย 1. ชุดพฒั นาความสามารถในการคา ทีผ่ า่ นการตรวจสอบความตรงเชิงเนือ้ หาจากผู้เชีย่ วชาญดา้ น ภาษาไทยและการศึกษาพิเศษ จานวน 3 คน 2. แบบทดสอบความสามารถในการอ่านคาที่มาจากฐานการออกเสยี งวรรคปะ จานวน 30 คา การรวบรวมขอ้ มลู 1. ใชแ้ บบทดสอบความสามารถในการอา่ นคาทม่ี าจากฐานการออกเสยี งวรรคปะคัดเลอื ก กลมุ่ เปา้ หมายไดจ้ านวน 2 คน และใช้เป็นคะแนนความสามารถก่อนการพัฒนา

39 2. ผู้วจิ ัยสอบถามสาเหตุความยงุ่ ยากในการอ่านคาที่มาจากฐานการออกเสียงวรรคปะของ นักเรยี นเป็นรายคน วิเคราะห์หาแนวทางการแก้ไขร่วมกับอาจารยป์ ระจาวิชาภาษาไทยที่สอนนักเรียนใน ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2555 3. ใชช้ ดุ พัฒนาความสามารถในการคาใช้ชดุ พัฒนาความสามารถในการคา สปั ดาห์ละ 5 วนั ทุก วันจนั ทร์ ถงึ วันศุกร์ เวลา 15.00 น.- 16.00 น. ตั้งแต่ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 – 5 มกราคม 2556 รวม 12 สัปดาห์ 4. ใชท้ ดสอบความสามารถในการอ่านคาท่ีมาจากฐานการออกเสยี งวรรคปะคัดเลือก กล่มุ เป้าหมายได้จานวน 2 คนหลงั การใชช้ ดุ พัฒนาความสามารถในการอ่าน การวิเคราะห์ขอ้ มูล วเิ คราะห์ข้อมลู จากคะแนนการทดสอบความสามารถในการอ่านคาท่ีมาจากฐานการออกเสียง วรรคปะ กลุ่มเปา้ หมาย จานวน 2 คน นาเสนอขอ้ มลู เปรยี บเทียบความสามารถในการอ่านก่อนและ หลงั การใชช้ ุดพัฒนาความสามารถในการอ่านโดยใช้กราฟแท่ง ผลการวิจยั 1. นกั เรยี นกล่มุ เป้าหมาย จานวน 2 คน มีความสามารถในการอ่านคาที่มาจากฐานที่ใช้ในการ ออกเสยี ง วรรค ปะเพมิ่ สูงข้ึน 2. ความสามารถในการอ่านคาทม่ี าจากฐานท่ีใช้ในการออกเสยี ง วรรค ปะ ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 ในวชิ าภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2555กอ่ นและหลังการใช้ชดุ พฒั นา ความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน ตารางที่ 1 คะแนนความสามารถในการอ่านคาทีม่ าจากฐานทใี่ ชใ้ นการออกเสียง วรรค ปะ ของ กลมุ่ เปา้ หมาย นกั เรยี นคนที่ คะแนนความสามารถในการอ่านคาทมี่ าจากฐานท่ีใชใ้ นการออกเสียง วรรค ปะ (30 คะแนน) กอ่ น หลัง 15 28 27 29

40 กราฟ เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอา่ นคาทีม่ าจากฐานท่ใี ช้ในการออกเสยี ง วรรค ปะของ นักเรียนบกพร่องทางการได้ยิน กอ่ นและหลงั การใช้ชดุ พฒั นาความสามารถในการอ่านคา คะแ35นน 30 25 20 15 10 5 0 1 2 กราฟท่ี 1 เปรยี บเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านคาทีม่ าจากฐานที่ใช้ในการออกเสยี ง วรรค ปะ ของนกั เรียนบกพร่องทางการได้ยนิ ก่อนและหลังการใชช้ ดุ พัฒนาความสามารถในการอ่านคา สรปุ ผลการวจิ ัย นักเรียนกลุ่มเป้าหมาย จานวน 2 คน มีความสามารถในการอ่านคาที่มาจากฐานท่ีใช้ในการออก เสียง วรรค ปะเพิ่มสูงข้ึน คะแนนก่อนและหลังการใช้ชุดพัฒนาความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน นักเรียนบกพรอ่ งทางการเรียนรูส้ ามารถอา่ นคาในชวี ติ ประจาวนั ในฐานการออกเสียงวรรคปะ คาอน่ื ๆ ได้

บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2552). นโยบายปฏิรปู การศึกษาสาหรบั คนพิการในทศวรรษทส่ี อง พ.ศ.2542- 2561. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. กอบกลุ จงกลนี. (2545). ปญั หาการวิจยั ในชน้ั เรียน. วิทยานิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบนั ฑติ มหาสารคาม, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ชาตรี เกิดธรรม. (2545). เทคนคิ การทาวิจัยในช้นั เรียน. ปทุมธานี: สถาบนั ราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์. ชริ าวุธ โถชาลี. (2553). การวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วมเพ่ือพัฒนาครูในการทาวจิ ัยในชั้นเรยี น โรงเรียนบา้ นคาลอดพนื้ สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาสกลนคร เขต 3. วทิ ยานพิ นธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบรหิ ารการศึกษา คณะครุศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยราช ภฏั สกลนคร. โชคชัย สขุ สนทิ . (2548). สภาพและปัญหาการทาวจิ ยั ในชน้ั เรียนของข้าราชการครผู ูส้ อน สงั กัดสานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาชยั ภมู ิ เขต 2. วิทยานพิ นธ์ ปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เลย. ทศิ นา แขมมณี และนงลักษณ์ วริ ชั ชัย. (2546). เกา้ ก้าวในการวจิ ัยปฏิบตั ิการในช้ันเรียนและการ สังเคราะหง์ านวจิ ัย. กรงุ เทพฯ: นชิ ิน แอดเวอร์ไทซิง่ กรู๊ฟ. ธรี ะพฒั น์ ฤทธิ์ทอง. (2545). วิจยั ในชนั้ เรยี น (พิมพค์ รงั้ ที่ 2). กรุงเทพฯ: เฟอื่ งฟ้าพรน้ิ เตอร์. นตั ิยา พรหมสิงห์. (2553). การพฒั นาครดู า้ นการทาวจิ ัยในช้นั เรยี น โรงเรียนบ้านเหลา่ หมากบา้ เชยี งสม สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาอดุ รธานี เขต 2. รายงานการศกึ ษาอิสระปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ . บุญชม ศรสี ะอาด. (2546). การวิจยั สาหรับครู. กรงุ เทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ประภาพรรณ เสง็ วงศ.์ (2550). การพัฒนานวัตกรรมการเรยี นร้ดู ว้ ยวิธีการวจิ ัยในชั้นเรียน.กรงุ เทพฯ : อี. เค. บุ๊คส์. ประวิต เอราวรรณ์. (2546). การวจิ ยั ปฏิบัติการ ( พิมพ์ครงั้ ที่ 3 ). ขอนแกน่ : ขอนแก่นการพิมพ์. พร้งิ พรรณ คงสถติ . (2552). แนวทางการพฒั นาการดาเนินการวจิ ยั ในชนั้ เรยี น : กรณีศึกษาโรงเรยี นบ้าน หว้ ยไผ่สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาเลย เขต 2. ปรญิ ญาครศุ าสตร์ มหาบัณฑติ สาขาการ บริหารการศึกษา, มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เลย. พัชนี กลุ ฑานันท์. (2553). การพัฒนารปู แบบการฝกึ อบรมครผู สมผสานในการทาวิจยั ในชน้ั เรยี น. วทิ ยานิพนธ์อุตสาหกรรมดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าวจิ ัยและพัฒนาหลักสูตร คณะครุศาสตร์บัณฑิต วิทยาลยั , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. พทิ ยา แสงสว่าง. (2546). ปญั หาและความต้องการการวิจยั ในชน้ั เรียนตามทศั นะของข้าราชการครตู น้ สังกัดสานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวดั เลย. วทิ ยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ สาขาการบริหาร การศึกษา, สถาบนั ราชภัฏเลย. พสิ ณุ ฟองศรี. (2550). วิจยั ชั้นเรียน : หลกั การและเทคนิคปฏิบตั ิ (พิมพ์ครัง้ ท่ี 3). กรุงเทพฯ: บรษิ ัท พรอพเพอร์ต้ีพรน้ิ ท์ จากดั .

พสิ ิจฎ์ พฒั ศรี. (2551). กระบวนการพฒั นาครูด้านการวิจัยในชั้นเรยี น : กรณศี ึกษาโรงเรียนบ้านโพนแพง สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาสกลนคร เขต 1. วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาครุศาสตรมหา บณั ฑิต สาขาการบริหารการศึกษา คณะครศุ าสตร์, มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. เพลนิ พิศ ธรรมรตั น์. (2550). การวจิ ยั เพือ่ พัฒนาการเรียนรู้. สกลนคร : คณะครศุ าสตร์, มหาวทิ ยาลัย ราชภฏั สกลนคร. มนสิช สิทธสิ มบรู ณ์. (2546). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการวิจัยในชนั้ เรยี น. วิทยานพิ นธ์ ศกึ ษาศาสตร ดุษฎีบณั ฑิต สาขาหลักสตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ________. (2548). ชดุ ฝึกปฏิบตั กิ ารเหนือตาราการทาวิจัยในช้นั เรยี . (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4). พษิ ณุโลก: มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. วีรพล พิลาจนั ทร์. (2547). การพฒั นาบคุ ลากรเก่ียวกับการวิจยั ในชัน้ เรียน โรงเรยี นบ้านวังกงุ กง่ิ อาเภอซับใหญ่ จังหวดั ชยั ภมู .ิ การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบันฑิต มหาสารคาม, มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ศริ ิชยั กาญจนวาสี, ดิเรก ศรีสโุ ข และทววี ัฒน์ ปติ ยานนท์. (2544). การเลอื กใชส้ ถติ ิท่เี หมาะสม สาหรบั การวิจยั ทางสงั คมศาสตร์ (พิมพ์คร้ังที่ 3) .กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2547). ทฤษฎีการประเมิน. (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สมหวัง พธิ ยิ านวุ ฒั น์. (2544). วิธวี ิทยาการประเมนิ : ศาสตร์แห่งคุณคา่ (พมิ พค์ รง้ั ที่ 2). กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สัมมนา รธนิธย.์ (2546). การวจิ ัยเพอื่ พัฒนาการเรียนรจู้ ากประสบการณ์สปู่ ฏิบัตกิ าร (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 3.) กรุงเทพฯ: ขา้ วฟา่ ง. สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ. (2544). การวจิ ยั ในชัน้ เรยี นเพอื่ พัฒนาการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทพริกหวานกราฟฟิค จากัด. สุจติ รา ต้นโพธ์ิ. (2553). การพฒั นาบุคลากรด้านการวิจัยในชัน้ เรยี น โรงเรยี นพบิ ลู มังสาหาร อาเภอ พบิ ลู มงั สาหาร จงั หวดั อุบลราชธานี. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาการ บรหิ ารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สุภาวดี ไชยศรหี า. (2553). การพัฒนาครูในการทาวจิ ัยในช้ันเรยี น โรงเรยี นห้วยเมก็ วิทยาคม สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษากาฬสนิ ธ์ุ เขต 2. วทิ ยานิพนธ์ ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. สุวิมล ว่องวาณิช. (2549). การวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในช้ันเรยี น (พมิ พ์ครัง้ ที่ 9). กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ด่านสทุ ธา การพิมพ์ จากัด. ________. (2550). การวิจยั ปฏบิ ัติการในชั้นเรยี น (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 10). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . Brown, B. L. (2002). Improving Teaching Practices Through Action Research. Dissertation Abstracts International. 63(04) : 1304-A ; October, 2002.

Kemmis, S. & McTaggart, R. (1988). The Action Research Planner. 3rd ed. Victoria: Deakin University Press. Lee, T.S. (2002). Increasing Stakeholders’ Participation in the Individual Education Plan (IEP) Development Process Through Action Research. Doctor’s Thesis. University of Virginia. McCoy, T. M. (2003). High School Local Improvement Plans Development an Action Research Approach. Dissertation Abstracts International. 63(07) : 2500-A ; January, 2003.

คณะปรบั ปรงุ พฒั นาหลักสตู รอบรมครูสอนการศึกษาพเิ ศษ กรมสามญั ศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร พทุ ธศกั ราช 2544 ในปี พ.ศ. 2556 (ครั้งท่ี 2) ทีป่ รกึ ษา เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 1. นายชนิ ภัทร ภูมริ ัตน์ ท่ีปรกึ ษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส 2. นางพจมาน พงษไ์ พบลู ย์ ผู้อํานวยการสาํ นักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ 3. นายพะโยม ชิณวงศ์ คณะกรรมการปรบั ปรงุ เอกสาร ชดุ เอกสารศึกษาด้วยตนเอง 1. นางพกิ ลุ เลยี วสริ ิพงศ์ ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนโสตศกึ ษาอนุสารสนุ ทรจงั หวัด เชยี งใหม่ 2. นายประมวล พลอยกมลชุณห์ ผอู้ ํานวยการโรงเรยี นสอนคนตาบอดภาคเหนือ 3. นายสุจนิ ต์ สว่างศรี อํานวยการโรงเรียนลพบรุ ปี ญั ญานกุ ูล 4. นางสมพร หวานเสร็จ ผู้อาํ นวยการโรงเรยี นเศรษฐเสถยี รในพระราชูปถมั ภ์ 5. นางพวงทอง ศรีวิลยั ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่ 6. นายนะรงษ์ ชาวเพ็ชร ผ้อู าํ นวยการโรงเรยี นโสตศกึ ษาจังหวัดปราจนี บรุ ี 7. นายสุพล บุญธรรม ผอู้ าํ นวยการศูนย์การศึกษาพเิ ศษ สว่ นกลาง กรงุ เทพมหานคร 8. นางญาณกร จนั ทหาร ผอู้ ํานวยการศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 5 จงั หวัดสุพรรณบรุ ี 9. นายชลิต วิพทั นะพร ผู้อาํ นวยการศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ประจาํ จังหวัด มหาสารคาม 10.นางสุรญั จิต วรรณนวล ผู้อาํ นวยการศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ ประจาํ จงั หวัดลาํ ปาง 11. นางสรวยี ์ ดอกกหุ ลาบ ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 12 จังหวดั ชลบุรี 22. นางสาวทกั ษิณา ชว่ ยบาํ รุง ผูอ้ ํานวยการศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจาํ จังหวดั จนั ทบุรี 13. นายสามารถ รตั นสาคร นักวิชาการศึกษาชํานาญการ สาํ นกั บริหารงานการศึกษาเศษ 14. นางเกศินี สนั จะโป๊ะ ครู ค.ศ. 1 ศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 12 จังหวดั ชลบรุ ี ผ้อู า่ นและพจิ ารณาเน้ือหา 1. นางศรียา นิยมธรรม ข้าราชการบาํ นาญ 2. นางมลวิ ัลย์ ธรรมแสง มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดสุ ิต 3. นายสวุ พัชร์ ช่างพินจิ มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม 4. นางเบญจา ชลธาร์นนท์ ขา้ ราชการบาํ นาญ กระทรวงศึกษาธิการ 5. นายดุสิต ลิขนะพิชติ กุล นายแพทย์ทรงคุณวฒุ ิ กรมสุขภาพจิต 6. นางสาวจติ ประภา ศรอี ่อน ขา้ ราชการบํานาญ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล