Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การประเมินเพื่อเรียนรู้การตั้งคำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการเรี่ยนรู้

การประเมินเพื่อเรียนรู้การตั้งคำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการเรี่ยนรู้

Published by ศิพาณัฏฐ์ ใจสัตย์, 2022-06-15 07:54:59

Description: การประเมินเพื่อเรียนรู้การตั้งคำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการเรี่ยนรู้

Search

Read the Text Version

การประเมินเพ่อื เรยี นรู้ : การต้งั คำ� ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับ เพ่อื ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ สำ�นักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำ�นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ : การตัง้ คำ� ถามและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้ ISBN 978-616-395-853-2 พมิ พ์ครัง้ ที่ 1 : 2560 จ�ำนวนพมิ พ ์ 33,000 เล่ม ผู้จดั พิมพ ์ สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ พมิ พท์ ่ี โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จ�ำกดั 79 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรงุ เทพมหานคร 10900 โทร. 0-2561-4567 โทรสาร 0-2579-5101 นายโชคดี ออสุวรรณ ผู้พมิ พ์ผูโ้ ฆษณา ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของส�ำนกั หอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ส�ำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ : การต้ังค�ำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้.-- กรุงเทพฯ : ส�ำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2560. 93 หนา้ . 1. การประเมนิ ผลทางการศกึ ษา. I. ชือ่ เร่ือง. 371.26 ISBN 978-616-395-853-2

คำ� นำ� การประเมินเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญในกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการสอน การประเมินเพื่อเรียนรู้เป็นการประเมินผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงมุ่งเน้นไปที่ผู้เรียนเป็นส�ำคัญ และใช้การวัดและประเมินผลเป็นสิ่งขับเคลื่อนในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ดังนั้น การปฏิรูป การวัดและการประเมินในระดับชั้นเรียนจึงมีความส�ำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การตงั้ คำ� ถามทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและการใหข้ อ้ มลู กระตนุ้ การเรยี นรู้ สำ� หรบั เอกสาร “การประเมินเพ่ือเรียนรู้ : การต้ังค�ำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีส่งเสริมการเรียนรู้” เล่มนี้ ได้เรียบเรียงข้ึนจากการสังเคราะห์เอกสาร ต�ำรา และจากการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ครูผู้สอน ได้ใช้ศึกษาเพื่อเพ่ิมพูนความรู้เก่ียวกับเทคนิคการต้ังค�ำถามเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน แนวคิด หลักการ ทฤษฎีการให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีมีประสิทธิภาพ รวมถึงตัวอย่างการน�ำเทคนิค การต้ังค�ำถามและการให้ขอ้ มูลย้อนกลบั สู่ชน้ั เรียน การประเมินคุณภาพผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้เป็นส่วนส�ำคัญท่ีครูต้องด�ำเนินการ ตลอดเวลา ซงึ่ กระบวนทศั นก์ ารประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 เนน้ การประเมนิ เพอ่ื ปรบั ปรงุ และพัฒนาการเรียนรู้ (Improve student learning) โดยเฉพาะการประเมินเพื่อเรียนรู้ (Assessment for learning) โดยเอกสารเล่มนี้มจี ุดเน้น 2 เรอ่ื ง ได้แก่ 1) การตงั้ ค�ำถามกระตุ้น การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างการคิดข้ันสูง การต้ังค�ำถามท่ีดีและมีประสิทธิภาพต้องเป็นค�ำถาม ท่ีทรงพลัง (Power questions) ซึ่งเป็นค�ำถามกระตุ้นการคิดและน�ำไปสู่การเรียนรู้สอดคล้องกับ จุดม่งุ หมายของการเรียนรู้ 2) การใหข้ อ้ มลู ที่กระตนุ้ การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น แบง่ ได้ 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่ การให้ข้อมูลกระต้นุ การเรียนรู้ (Feed-up) การให้ข้อมูลยอ้ นกลบั (Feedback) และการใหข้ อ้ มูล เพื่อการเรยี นรตู้ อ่ ยอด (Feed forward) ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน หวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์กับครูผู้สอนและผู้เก่ียวข้องได้มากพอสมควร ท้ังน้ี ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วม ในการจดั ทำ� เอกสารเลม่ นใ้ี หส้ มบรู ณ์ สามารถนำ� ไปปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล ตอ่ ไป (นายการณุ สกุลประดษิ ฐ)์ เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน



สารบัญ การประเมินเพือ่ เรียนรู้ : การตั้งค�ำถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้ หนา้ บทน�ำ 1 เปา้ หมายการประเมนิ 3 เคร่ืองมือ/วธิ กี ารประเมินเพ่ือเรียนรู้ (Assessment for Learning Tools) 4 มโนทศั น์การประเมนิ เพื่อเรียนร ู้ 10 หลักการประเมินเพ่ือเรียนร ู้ 12 ค�ำถามสำ� หรับการวางแผนการประเมนิ 16 เทคนิคการต้ังค�ำถามเพื่อสง่ เสริมการเรยี นรูข้ องนักเรียน 17 เรียนรกู้ ารตงั้ ค�ำถาม 18 สารบบพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของบลูม (ฉบับปรับปรุง) Bloom’s Revised Taxonomy 22 พฤติกรรมแต่ละระดบั ของ Bloom’s Revised Taxonomy 24 ตวั อยา่ งค�ำถามของพฤตกิ รรมแต่ละระดบั ของบลูม (Bloom’s Revised Taxonomy) 27 พลังคำ� ถาม (Power Questions) 33 เทคนิคทค่ี รสู ามารถนำ� ไปใชใ้ นชว่ งการถาม-ตอบคำ� ถามในชัน้ เรียน 36 รายละเอียดของเทคนิคทคี่ รูสามารถน�ำไปใช้ในชว่ งการถาม-ตอบค�ำถามในชั้นเรยี น 37 รปู แบบการประเมนิ ระหวา่ งเรียนท่ีมปี ระสิทธภิ าพ 44 รปู แบบการประเมินระหวา่ งเรียนทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ 45 รปู แบบการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสริมการเรยี นร ู้ 46 ตัวอย่างการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4 เรื่อง การประยุกต์ใช้ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการดำ� รงชีวิต 48 ตวั อยา่ งกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ตัวชว้ี ดั ท 4.1 ป.1/3 เรยี บเรียงคำ� เป็นประโยคง่าย ๆ 54

สารบญั (ตอ่ ) รูปแบบการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ หน้า 57 การให้ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback) 60 การชว่ ยนักเรียนใช้ผลการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ 65 ข้อเสนอแนะในการให้ข้อมลู ย้อนกลบั สำ� หรบั เนอื้ หาเฉพาะ 67 การปรับการให้ข้อมลู ย้อนกลับสำ� หรับนักเรียนที่มีความแตกตา่ งกัน 72 ตวั อย่างการใช้คำ� ถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับสู่แผนการจัดการเรยี นรู ้ 84 บรรณานกุ รม 91 คณะผจู้ ัดท�ำ 93

การประเมนิ เพอื่ เรียนรู้ : การตัง้ ค�ำถามและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลับเพือ่ สง่ เสริมการเรยี นรู้ บทนำ� เมื่อมีการเปล่ียนแปลงหลักสูตรเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-Based Curriculum) ผนวกกบั ขอ้ คน้ พบใหม่ ๆ มผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงกระบวนทศั นใ์ หม่ (Paradigm Shift) ของการวัดและประเมินผลการศึกษา ปัจจุบันค�ำท่ีเก่ียวข้องกับการวัดและประเมินผลท่ีพูดถึงกัน มากท่ีสุด คือ การประเมินเพ่ือเรียนรู้ (Assessment for Learning) การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (Assessment of Learning) ซงึ่ นกั การศกึ ษา ได้เสนอแนะว่า การประเมินการเรียนรู้ต้องด�ำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา มีการให้ข้อมูล ย้อนกลับทั้งการเรียนรู้ของนักเรียนและการสอนของครู ซึ่งจัดเป็นการประเมินความก้าวหน้าของ นกั เรยี นและบรู ณาการการประเมนิ การเรยี นรเู้ ขา้ กบั การสอนแบบวนั ตอ่ วนั (day to day) สอดคลอ้ ง กับแนวคิดการประเมินเพ่ือเรียนรู้ (Assessment for Learning) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริม การเรียนรู้ และเป็นการประเมินตลอดกระบวนการเรียนรู้มากกว่าการประเมินหลังเสร็จสิ้น กระบวนการ ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะใช้ในการวินิจฉัยผู้เรียน วางแผนการจัดการเรียนรู้ และการให้ข้อมูลย้อนกลับใช้เพ่ือการปรับปรุงและพัฒนาอย่างทันที ปัญหาส�ำคัญในการประเมิน การเรยี นรู้ สรุปสาระส�ำคญั ได้คอื การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร้สู ่วนใหญ่เน้นวัดความรู้ ก�ำหนด จุดมุ่งหมายการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ไม่ชัดเจน แยกส่วนกับกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลความรู้ ความคิดโดยใช้แบบทดสอบมากกว่าการวัดและประเมินผลท่ีเกิดขึ้น ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ผู้บริหารโรงเรียนและครูให้ความสนใจในเร่ืองการวัด และประเมินผลเชิงก�ำกับติดตาม และตรวจสอบคุณภาพการศึกษาที่ใช้คะแนนเฉล่ียจากการ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นเคร่ืองบ่งช้ีความส�ำเร็จในการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน (Black and William, 1998; Stiggins, 2002, 2005) การประเมินเพื่อเรียนรู้ เป็นการประเมินผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในขณะท่ีการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ตามแนวคิดใหม่ มุ่งเน้นไปท่ีผู้เรียนเป็นส�ำคัญมากกว่าครูผู้สอน ใช้การวัดผลเป็นส่ิงขับเคล่ือนในกระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลในชั้นเรียน จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งใหค้ วามสำ� คญั กบั การตงั้ คำ� ถามทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ เนอื่ งจากคำ� ถามเปน็ ตวั กระตนุ้ / ช้ีแนะให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตนเอง แต่จะเป็นประโยชน์มากหรือน้อย ข้ึนอยู่กับรูปแบบของค�ำถามและเทคนิคการใช้ค�ำถาม ดังนั้น เทคนิคการต้ังค�ำถามเพื่อส่งเสริม การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั เพ่อื ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 1

การเรียนรู้ของนักเรียน จึงเป็นเรื่องส�ำคัญย่ิงท่ีครูควรเรียนรู้และน�ำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำ� หรบั การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Feedback) มาใช้ในชัน้ เรียนแทนการประเมนิ เพอ่ื ตรวจสอบการเรยี นรู้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของ Hattie and Timperley (2007) พบว่า การให้ข้อมูลย้อนกลับมีอิทธิพลท่ีมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดในการเรียนรู้และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รวมท้ังการใช้ผลการวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูในฐานะผู้สอนและผู้ประเมินผล ควรมีการเสริมพลังการเรยี นรู้ การใช้การประเมินเพ่ือเรียนรู้ในช้ันเรียน เพ่ือให้ครูเข้าใจว่านักเรียนสามารถเรียนรู้ ได้อย่างไร เข้าใจหรือไม่ ครูสามารถหาแนวทางการสอนท่ีช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและ เรียนรู้ได้อย่างแท้จริง การต้ังค�ำถามเป็นเทคนิคและกลยุทธ์การประเมินเพื่อเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้ครูเข้าถึงการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างลึกซ้ึง ค�ำตอบของนักเรียนช้ีให้เห็นถึงระดับ ความเข้าใจ จุดอ่อน จุดแข็งของนักเรียน ด้วยการตั้งค�ำถามและสังเกตค�ำตอบ ช่วยให้ครูสามารถ เข้าใจและวิเคราะห์ความต้องการเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน อีกท้ังยังช่วยให้ครูให้ข้อมูลย้อนกลับ กบั นกั เรยี น เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ย่างเตม็ ศกั ยภาพไดต้ ามเป้าหมายการเรยี นรู้ การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ที่ดีส�ำหรับการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนสนุกกับการเรียน การตัง้ คำ� ถาม และการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับท่ีเชอ่ื มโยงกบั การประเมนิ เพือ่ การเรียนรู้ การประเมินเพ่ือเรียนรู้ มีส่วนส�ำคัญในการจัดการเรียนรู้ทุกเวลาในห้องเรียน การประเมนิ นนั้ เกดิ ขนึ้ เสมอ เพราะครตู อ้ งตงั้ คำ� ถามกระตนุ้ ยว่ั ยผุ เู้ รยี นใหแ้ สดงความคดิ ความสามารถ การตั้งค�ำถามที่ดี เป็นคุณลักษณะอย่างหน่ึงท่ีผู้สอนในปัจจุบันควรได้รับการเพิ่มพูนทักษะ โดยการต้ังค�ำถามกระตุ้นการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างกระบวนการคิดที่น�ำไปสู่การวางแผน การแกป้ ญั หา และการสรา้ งสรรค์ ชว่ ยกระตนุ้ การคดิ ขน้ั สงู ของผเู้ รยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การตงั้ คำ� ถามทดี่ ี ต้องเป็นค�ำถามส่งเสริมการเรียนรู้และทรงพลัง (Power Questions) ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และ แก้ปัญหา ตลอดจนค�ำถามที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยและเกิดค�ำถามในการเรียนรู้ต่อไป การให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับเชงิ สร้างสรรค์ (Creative Feedback) ซ่ึงจะเป็นการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียนได้เป็นอย่างดี หลงั จากตั้งคำ� ถามกระตุ้นยว่ั ยุผ้เู รียนแล้ว การให้ข้อมลู ย้อนกลบั แก่ผเู้ รียนใน 3 ลกั ษณะ ได้แก่ การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (Feed-Up) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และ การให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด (Feed-Forward) เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ผู้เรียนตระหนัก ในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการประเมินผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ให้ความส�ำคัญ กับการประเมิน เพือ่ ปรับปรงุ การเรียนร้ขู องผูเ้ รียน (Improve Student Learning) การประเมิน เพ่ือเรียนรู้ (Assessment for Learning) และใช้การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) เปน็ เคร่อื งมือการเรียนรู้ 2 การประเมนิ เพื่อเรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลย้อนกลบั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้

การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ หากต้งั ค�ำถามผดิ กไ็ มม่ ีค�ำตอบทถี่ ูก (“Assessment for Learning” Wrong Questions Never Yield Right Answers) EDUCA 2014 การประเมนิ เพ่ือเรยี นรู้ : การตง้ั ค�ำถามเพือ่ กระตุน้ ความคดิ และการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพ่อื ยกระดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรู้ (Assessment for Learning : Questioning and Feedback to Understand and Enhance Learning) Hon. Associate Professor Berry, Rita Shuk Yin, Assessment Research Centre, Hong Kong เป้าหมายการประเมนิ การประเมินเพื่อเรียนรู้ (Assessment for Learning) หมายถึง กระบวนการ รวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ ตามสภาพจริงเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน เพ่ือระบุ และวินิจฉัยปัญหาการเรียนรู้ และให้ข้อติชมท่ีมีคุณภาพแก่ผู้เรียน เพ่ือปรับปรุงการเรียนรู้ให้ดีข้ึน โดยใชว้ ธิ กี ารประเมนิ หลากหลาย และเพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นในแงม่ มุ ต่าง ๆ อยา่ งรอบดา้ น อันจะน�ำไปส่กู ารปรับการเรยี นและเปลย่ี นการสอนให้มปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึ้น การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) หมายถึง กระบวนการ รวบรวมหลกั ฐานขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษต์ า่ ง ๆ เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นขณะเรยี นรู้ เพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี น ตระหนักในการเรียนรู้ของตน สามารถวางแผนการเรียนรู้ ก�ำกับการเรียนรู้ วินิจฉัย ประเมิน และปรับปรุงการเรียนรู้ของตน การให้ผู้เรียนออกแบบแผนการเรียนรู้ ฝึกให้ผู้เรียนคิดทบทวน เกย่ี วกับการเรียนรูแ้ ละกลยุทธ์ในการเรียนรู้ จะช่วยใหผ้ เู้ รียนพฒั นาการเรยี นรูข้ องตนตลอดเวลา การประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment of Learning) หมายถึง กระบวนการ รวบรวมหลักฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ เม่ือส้ินสุดกระบวนการเรียนรู้ เพ่ือตัดสินคุณค่าในการ บรรลุวัตถุประสงค์หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซึ่งแสดงถึง มาตรฐานทางวิชาการในเชิงสมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ สารสนเทศดังกล่าวน�ำไปใช้ ในการกำ� หนดระดบั คะแนนให้ผเู้ รียน รวมท้งั ใชใ้ นการปรบั ปรุงหลกั สตู รและการเรียนการสอน ท่มี า : พจนานกุ รมศัพท์ศกึ ษาศาสตร์ ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน, 2555 การประเมินเพอื่ เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั เพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้ 3

เครื่องมอื /วธิ ีการประเมนิ เพ่ือเรยี นรู้ (Assessment for Learning Tools) การประเมินเพื่อเรียนรู้ เป็นกระบวนการในการใช้เทคนิคการประเมินแบบต่าง ๆ เพอื่ สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นมที กั ษะการคดิ วเิ คราะหแ์ ละการปฏบิ ตั งิ านทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ ประกอบดว้ ย หลายเทคนิค โดยสามารถจัดกลุ่ม เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ เทคนิคการก�ำหนดเป้าหมายของการเรียน ท่ีชัดเจน เทคนิคการตั้งค�ำถามท่ีกระตุ้นการคิด เทคนิคการฝึกให้นักเรียนคิด เทคนิคการสรุป และสื่อสารความคิด เทคนิคการประเมินโดยนักเรียน และเทคนิคการให้ผลสะท้อนกลับของครู ซึ่งมรี ายละเอยี ดดังต่อไปน้ี การตงั้ ค�ำถามทก่ี ระตุ้นการคดิ การก�ำหนดเป้าหมาย การฝกึ ใหน้ ักเรยี นคิด ของการเรยี นทช่ี ัดเจน การประเมนิ เพอื่ การเรียนรู้ การใหข้ ้อมูลย้อนกลับของครู การสรุปและส่อื สารความคดิ การประเมนิ โดยนักเรียน การกำ� หนดเป้าหมายของการเรยี นท่ีชดั เจน เป็นการก�ำหนดเป้าหมายของการเรียนท่ีชัดเจน ซ่ึงอาจก�ำหนดเป็นเป้าหมายระยะยาว และเปา้ หมายระยะสน้ั (Long and Short Term) โดยควรมกี ารตรวจสอบเปน็ ระยะวา่ ผลการเรยี นรู้ ของนักเรียนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ โดยเป้าหมายระยะส้ันอาจก�ำหนดเป็นเป้าหมาย ประจ�ำบทเรยี น (Lesson Target Setting) ซง่ึ หลังจากจบการเรียนในแต่ละบทเรียนแล้ว นกั เรยี น ควรแสดงใหเ้ หน็ วา่ ไดบ้ รรลตุ ามเปา้ หมายของบทเรยี นทว่ี างไวห้ รอื ไม่ กอ่ นทจี่ ะเรมิ่ เรยี นบทเรยี นตอ่ ไป นอกจากน้ันนักเรียนก็อาจก�ำหนดเป้าหมายเพ่ือการประเมินตนเอง (Self-Assessment Targets) ครูอาจใช้ค�ำถามเพ่ือให้นักเรียนช่วยกันก�ำหนดเป้าหมายของงานท่ีดี (What is good?) เช่น นักเรียนคิดว่าผลงานท่ีดีควรเป็นอย่างไร นักเรียนรู้สึกอย่างไรกับข้อเสนอแนะของครู นักเรียนรู้ หรือไม่ว่าควรจะท�ำอะไรต่อไป นักเรียนรู้ได้อย่างไรว่างานที่ท�ำนั้นดีหรือไม่ เป้าหมายของการเรียน ท่ีก�ำหนดควรจะเก็บไว้ในที่นักเรียนสามารถย้อนกลับไปดูได้ง่าย เช่น ติดไว้ที่ปกสมุดด้านใน หรือท�ำเป็นบัตรเคลอื บพลาสตกิ (Laminated Criteria) เปน็ ตน้ นอกจากนน้ั ในการมอบหมายงาน ให้นักเรียน ครูอาจน�ำเสนอตัวอย่างงาน (Exemplar Work) เพ่ือให้นักเรียนใช้ตัวอย่างท่ีให้เป็น เป้าหมายในการปฏิบตั ิงานของตนเอง 4 การประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพอื่ สง่ เสริมการเรยี นรู้

การตง้ั ค�ำถามที่กระต้นุ การคดิ การตั้งค�ำถามที่กระตุ้นการคิด เป็นเทคนิคของการประเมินท่ีส�ำคัญ ท่ีจะส่งเสริมให้ ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ โดยเฉพาะการสรา้ งทกั ษะการคดิ ระดบั สงู ครผู สู้ อนอาจใชก้ ารตง้ั คำ� ถามปลายเปดิ กวา้ ง ๆ ในการนำ� เขา้ สเู่ รอื่ ง (Scene-Setting) คำ� ถามปลายเปดิ จะมปี ระโยชนม์ ากกวา่ คำ� ถามปลายปดิ ในการกระตุ้นให้นักเรียนฝึก คิด พูด และส่ือความเข้าใจ ครูผู้สอนอาจตั้งค�ำถามโดยใช้เทคนิค Might คือ ตั้งค�ำถามให้นักเรียนคิดหาค�ำตอบที่เป็นไปได้ท่ีหลากหลาย เช่น ปรับจากถามว่า ประชาธิปไตยหมายถึงอะไร เปน็ ประชาธิปไตยอาจจะหมายถึงอะไรได้บา้ ง ซ่ึงค�ำถามแรกถามเพื่อ ให้ได้ค�ำตอบเดยี วให้ตรงกบั ทค่ี รรู ู้ ในขณะที่คำ� ถามหลังจะเปิดกว้างให้นกั เรยี นได้แสดงความเหน็ ได้ มากกว่า นอกจากน้ันควรปรับค�ำถาม (Invert the Question) ทีว่ ดั ความรู้ ความจำ� เป็นค�ำถาม ที่แสดงเหตแุ ละผลมากกวา่ เชน่ ปรับจากคำ� ถามวา่ ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ เป็น ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย หมายถึงอะไร หรืออาจต้ังค�ำถามเชิงเหตุผล เชน่ ปรบั จากคำ� ถามว่า งูเป็นสตั วช์ นดิ ใด เปน็ งเู ป็นสัตว์เลอ้ื ยคลานเพราะเหตุใด การฝกึ ให้นกั เรยี นคดิ นอกจากการต้ังค�ำถามท่ีกระตุ้นความคิดแล้ว ยังมีหลายเทคนิคท่ีจะส่งเสริม ให้นักเรียนคิดระดับสูง เช่น การให้นักเรียนตั้งค�ำถามและการเปิดโอกาสให้นักเรียนคิดอย่างอิสระ ในการฝึกให้นักเรียนตั้งค�ำถาม ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งค�ำถามด้วยตนเอง ในบางครั้ง นักเรียนจะต้ังค�ำถามเองไม่ได้ ครูอาจมีตัวอย่างแนวการต้ังค�ำถามท่ีดี (Good Question Stems) ติดไวห้ นา้ ชัน้ เช่น ตวั อยา่ งแนวการต้งั ค�ำถามทดี่ ี - เพราะเหตใุ ด...................................... - จะเปน็ อยา่ งไร ถา้ .............................. - นักเรยี นจะ.........................ไดอ้ ย่างไร - กรุณาอธบิ ายเพิม่ เตมิ เรอื่ ง................ - มีวธิ ีใดบ้างท่ีจะ.................................. การตง้ั คำ� ถามของนกั เรยี นอาจเกยี่ วขอ้ งกบั การจดั การเรยี นรู้ เชน่ การตง้ั คำ� ถามเกย่ี วกบั สิ่งที่นักเรียนต้องการเรียนรู้ การตั้งค�ำถามเพื่อถามครูหรือเพื่อนนักเรียนเพ่ือประเมินการเรียนรู้ และการต้ังค�ำถามเกี่ยวกับผลงานของตนเอง วิธีการต้ังค�ำถามของนักเรียนอาจกระท�ำด้วยวาจา (Students Ask Questions) หรอื การตง้ั ค�ำถามโดยวิธีการเขียนลงในกระดาษ (Students Write Questions) ครูอาจจดั กล่องสำ� หรบั รบั คำ� ถามของเดก็ เพื่อให้เด็กท่ีตอ้ งการตงั้ ค�ำถามสามารถทำ� ได้ ตลอดเวลา แล้วครหู รอื เพอ่ื นนักเรียนจะตอบคำ� ถามในภายหลงั การประเมินเพ่อื เรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับเพอื่ สง่ เสริมการเรยี นรู้ 5

นอกจากนั้นครูควรฝึกทักษะการคิด ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกคิด เมื่อครู ตั้งค�ำถามแล้ว ควรให้เวลา (Wait-Time) นักเรียนคิดก่อนตอบ หรือหลังจากที่นักเรียนตอบแล้ว ครูอาจจะไม่ตอบสนองในทันที แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนคิดก่อน แล้วครูค่อยตอบสนองต่อค�ำตอบ ของนักเรียน เพ่ือเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทบทวนความคิดของตนเอง หรือเปิดโอกาสให้เพ่ือน นักเรียนได้คิดเกี่ยวกับค�ำตอบนั้น ๆ บางคร้ังครูอาจให้นักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันระดมสมอง บันทึกผลการระดมสมอง และอภิปรายในกลุ่มใหญ่ การอภิปรายในกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่นี้ จะช่วยให้นักเรียนฝึกการคิดในระหว่างที่พูด (Think through Talking) ในบางคร้ังนักเรียนอาจมี ปัญหาในการตอบค�ำถาม เนื่องจากไม่เข้าใจความหมายของค�ำในค�ำถามของครู จึงอาจพูดคุย เกี่ยวกบั ค�ำในคำ� ถามกอ่ น (Discuss Words) เชน่ อาจถามนกั เรยี นว่า มีค�ำไหนทนี่ กั เรยี นไมเ่ ข้าใจ นกั เรยี นเขา้ ใจความหมายของคำ� วา่ อยา่ งไร สำ� หรบั นกั เรยี นบางสว่ นทไี่ มช่ อบคดิ ดว้ ยตนเอง หรอื ตอบ คำ� ถามตามเพอ่ื น ครอู าจใชเ้ คร่ืองมอื เป็นบตั รค�ำตอบ A B C D ให้นักเรียนเลอื กชูพรอ้ มกัน เพอื่ ฝกึ ใหน้ ักเรียนคิดตัดสินใจด้วยตนเอง การสรุปและสอื่ สารความคดิ การประเมินความสามารถในการคิดของนักเรียน นอกจากการสังเกตจากการตอบ ค�ำถามของนักเรยี นแล้ว ครอู าจใช้เทคนิคอ่ืน ๆ เพ่มิ เตมิ เช่น การใหส้ รุปความร้หู ลังจากการเรียน 1 ประโยค (One-Sentence Summary) ครูอาจให้เวลา 1 นาที เพ่ือให้นักเรียนระบุส่ิงส�ำคัญ ท่นี กั เรยี นได้เรียนรู้ (Minute Paper) หรืออาจให้นกั เรยี นใชก้ ระดานไวทบ์ อร์ดขนาดเลก็ เขียนสรุป ความคิด นักเรียนอาจน�ำผลการเขียนสรุปความรู้มารวบรวมเป็นเล่ม (Learning Journal) แล้ว เพ่ิมค�ำอธิบายเก่ียวกับกิจกรรมที่ท�ำ เป้าหมาย และผลการประเมินสรุป นอกจากนั้นนักเรียน อาจสื่อสารความคิดด้วยการพูด เช่น การพูดให้เพื่อนนักเรียนฟังเกี่ยวกับความคิดของตนเอง (Tell Your Neighbour) หรือให้นักเรียนอภิปรายความคิดกับกลุ่ม แล้วหาฉันทามติเป็นค�ำตอบ ของกลมุ่ (Group Answers) อีกครั้ง การประเมนิ โดยนกั เรยี น การเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดป้ ระเมนิ ตนเอง ประเมนิ เพอ่ื น และประเมนิ การจดั การเรยี นรู้ เป็นทางเลือกท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน และสามารถน�ำผลมาใช้ในการปรับปรุงการจัด การเรียนรู้ดว้ ย กอ่ นสอนนกั เรยี น สามารถใหข้ อ้ มลู เกย่ี วกับความรเู้ ดิมของตนเอง (All You Know) ครูอาจจะถามค�ำถามหลักสามค�ำถาม (Know Want Learn) นักเรียนรู้อะไร อยากรู้อะไร และได้เรียนรู้อะไรบา้ ง โดยสองคำ� ถามแรก ใหถ้ ามกอ่ นเรยี น และค�ำถามสดุ ทา้ ย ใหถ้ ามหลงั เรียน ข้อมูลท่ีได้น้ี ครูอาจน�ำไปใช้เพื่อการวางแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อต่อยอดความรู้เดิมของนักเรียน และหลกี เลย่ี งการจดั เนอื้ หาทซ่ี ำ�้ ซอ้ น หลงั จากเสรจ็ สนิ้ การเรยี นการสอนแตล่ ะครงั้ ครอู าจถามคำ� ถาม 6 การประเมินเพ่ือเรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้

ใหน้ ักเรยี นตอบ เช่น ได้เรยี นรอู้ ะไรใหม่ ๆ บา้ ง มีอะไรท่งี า่ ย มีอะไรทีย่ าก และอยากจะเรียนอะไร ในอนาคต โดยอาจให้สนทนากับเพ่ือนหรือเขียนติดไว้บนกระดาน (Post-It) นอกจากนั้นอาจใช้ เครื่องมือตา่ ง ๆ ชว่ ยในการประเมิน เชน่ สัญลักษณ์ไฟจราจร สญั ลักษณใ์ บหน้า สญั ลกั ษณ์นิ้วมือ การระบายสใี นชอ่ งสเี่ หลีย่ ม (แดง -> ไม่เขา้ ใจ, เหลือง -> ไม่แนใ่ จ, เขยี ว -> เข้าใจ) ส�ำหรับการจัดการเรียนรู้ที่มอบหมายให้นักเรียนท�ำชิ้นงาน ครูก็สามารถเปิดโอกาส ให้นักเรียนได้ประเมินผลงานของตนเอง (Student Marking) และประเมินผลงานของเพื่อน (Peer Marking) ได้ ซึ่งการประเมินตนเองหรือเพื่อน ช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจเก่ียวกับงานได้ ลมุ่ ลึกย่งิ ขนึ้ นกั เรยี นสามารถตรวจสอบผลงานเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ และสามารถปรบั ปรุงผลงาน ของตนเองให้ดีขึ้น นอกจากให้นักเรียนตัดสินผลงานเป็นคะแนนแล้ว ครูยังสามารถฝึกให้นักเรียน ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลงานเพ่ือการปรับปรุง (Student Review) ด้วย ส�ำหรับการประเมิน ปลายภาคหรอื ปลายปี ครอู าจใหน้ กั เรยี นเลอื กผลงานทดี่ ที สี่ ดุ พรอ้ มทงั้ ใหน้ กั เรยี นอธบิ ายดว้ ยวา่ เหตใุ ด จงึ เลอื กผลงานแตล่ ะช้ิน (Why is it best?) เม่อื เปรยี บเทียบกับเป้าหมาย เกณฑ์ และระดับคณุ ภาพ ส�ำหรับการประเมินเพื่อน ครูอาจให้นักเรียนจับคู่กันประเมินผลงาน (Response Partners) ครูอาจใช้แผนภมู ิและแผนภาพ (Graphic Organizers) เปน็ ตวั ชว่ ยในการประเมนิ ตนเองหรอื เพอื่ น นอกจากน้ันครูอาจให้นักเรียนบอกสิ่งที่ดีในผลงานท่ีประเมิน 2 อย่าง และบอกสิ่งที่ควรปรับปรุง เพ่อื ให้ผลงานดีขึน้ 1 อย่าง การให้ข้อมลู ย้อนกลับของครู การให้ข้อมูลย้อนกลับของครูและการให้นักเรียนแก้ไขผลงาน เป็นอีกแนวทาง ในการใช้การประเมินเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน การตรวจงานของครูควรให้ข้อเสนอแนะ (Comment-Only Marking) แทนการให้เป็นคะแนนหรือเกรด เพื่อให้นักเรียนและครูสามารถ ตรวจสอบความกา้ วหนา้ ได้ ขอ้ เสนอแนะเหลา่ นน้ั ควรมกี ารจดบนั ทกึ ไวส้ มำ่� เสมอ อาจทำ� ในรปู แบบของ บันทึกการเรียนรู้ การให้ข้อมูลย้อนกลับของครูควรมีลักษณะเชิงบวก ควรมีการชมเชย และระบุ จุดเด่นของงาน ในขณะเดียวกันก็ควรให้การแนะแนวทางเพ่ือการปรับปรุง (Improvement Guidance) ใหน้ ักเรียนรู้วา่ จะพฒั นางานไดอ้ ย่างไร ครอู าจจะเป็นแม่แบบในการให้ข้อมูลยอ้ นกลับ เพอื่ ใหน้ กั เรยี นนำ� ไปใชใ้ นการประเมนิ ผลงานของเพอ่ื นไดด้ ว้ ย ครอู าจนำ� งานหรอื การบา้ นทน่ี กั เรยี น ท�ำผิดมาเป็นประเด็นในการอภิปราย (Incorrect Discussion) เพื่อช่วยแก้ไขความเข้าใจ ที่คลาดเคล่ือน อย่างไรก็ตามครูไม่ควรสร้างบรรยากาศเชิงลบ หรือท�ำให้นักเรียนรู้สึกว่าถูกซ�้ำเติม นอกจากการให้ผลสะท้อนกลับแล้ว ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนแก้ไข (Corrections) ผลงาน ของนักเรียนเอง ซ่ึงครูควรจัดเวลาเผ่ือไว้หลังจากการตรวจงานนักเรียน นอกจากนั้นครูควร มีการติดตามใหน้ กั เรยี นได้แก้ไขงานตามข้อมลู ย้อนกลับทไ่ี ด้รบั (Comment Follow-Up) การประเมนิ เพ่ือเรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้ 7

การใหข้ อ้ มูลย้อนกลับของครู สามารถดำ� เนินการได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เกยี่ วกบั ผลงาน (Task) วา่ ผลงานทป่ี ฏบิ ตั ดิ หี รอื ไม่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ เช่น การแก้โจทย์ปัญหาขอ้ นีถ้ กู ต้อง หรือการแก้โจทย์ปัญหาข้อน้ผี ดิ 2) การใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เกี่ยวกับกระบวนการ (Process) ว่า กระบวนการที่ใชใ้ นการ ปฏิบัติงานมีข้อบกพร่องอย่างไร จะแก้ข้อบกพร่องของกระบวนการอย่างไร มีทางเลือกในการ ปฏิบัติงานด้วยวิธีอ่ืนหรือไม่ เช่น นักเรียนลองตรวจสอบดูใหม่ซิว่า การแก้โจทย์ปัญหาข้อนี้ ยังมีขอ้ บกพรอ่ งตรงไหน หรือการแก้โจทยป์ ญั หาขอ้ น้ีถูกตอ้ งแลว้ แต่มวี ิธีการแก้โจทย์ปญั หาวธิ ีการ อื่นหรือไม่ หรือขณะที่แก้โจทย์ปัญหา นักเรียนคุยกับเพ่ือนอยู่ นักเรียนลองนั่งท�ำคนเดียว ไมค่ ุยกบั เพ่ือน ดูซิว่าค�ำตอบจะเหมอื นเดิมหรอื ไม่ 3) การให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับการก�ำกับติดตามตนเอง (Self-Regulation) ว่า นักเรียนต้องตรวจสอบผลงานได้อย่างไร เช่น นักเรียนท�ำแบบฝึกหัดไม่ทันเวลา คราวหน้านักเรียน จะทำ� อย่างไรใหท้ ันเวลา หรอื คราวนี้นกั เรียนลมื น�ำงานมาส่งครู จะท�ำอย่างไรไม่ใหน้ กั เรียนลมื อีก 4) การใหข้ ้อมลู ย้อนกลับเกย่ี วกับการประเมินตนเอง (Self-Personal Evaluation) วา่ ผลงานของตนเองเป็นอย่างไร เมือ่ เทียบกบั เกณฑ์ มคี ณุ ภาพระดับใด เชน่ นักเรยี นพอใจในผลงาน ของตนเองหรือยัง หรือผลงานของนักเรียนมีคุณภาพระดับใด หรือถ้าครูให้โอกาสปรับปรุงผลงาน อกี ครง้ั นักเรยี นจะปรบั ปรุงหรอื ไม่ ถ้าปรบั ปรงุ จะปรบั ปรุงอย่างไร กลยุทธ/์ เทคนิคของการให้ขอ้ มูลย้อนกลับ ฐานความคิดของครูผู้สอนในการให้ข้อมูลย้อนกลับ จะต้องมีความเช่ือว่าส่ิงที่ผู้เรียน ได้ปฏิบัติหรือแสดงออกเป็นสิ่งท่ีมีเหตุผลจากการกระท�ำและความคิดของผู้เรียน ครูผู้สอน จะเปลี่ยนแปลงเหตุผลน้ันของผู้เรยี นได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด โดยเทคนิคในการให้ข้อมูลย้อนกลับ ส่ผู ูเ้ รยี นของครูผสู้ อน มรี ายละเอียดดงั น้ี 1. เวลา (Timing) ช่วงเวลาในการให้ข้อมูลย้อนกลับต้องด�ำเนินการให้ทันกับการแก้ไขผู้เรียน หากให้ข้อมูลย้อนกลับในระยะเวลาท่ีช้าเกินไป จะท�ำให้ผู้เรียนเปล่ียนความต้ังใจท่ีจะพัฒนา ตนเองให้ไปสูจ่ ุดหมายในการเรยี นรู้ ช่วงเวลาในการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไปส่ผู ้เู รยี นไมค่ วรมีระยะเวลา เกนิ กวา่ 2 สปั ดาห์ หลงั จากทีผ่ ูเ้ รยี นไดท้ �ำการทดสอบ หรือไดท้ ำ� ภาระงาน/ชิ้นงานน้ันไปแล้ว ทงั้ นี้ ในการให้ข้อมูลย้อนกลับสู่ผู้เรียนควรเป็นการสะท้อนผลท่ีเป็นจริง และสะท้อนผลส่ิงท่ีผู้เรียนเข้าใจ คลาดเคลอื่ น หรือเขา้ ใจผดิ พลาดจากองค์ความรู้ 8 การประเมนิ เพ่อื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้

2. ปริมาณ (Amount) ข้อมูลย้อนกลับที่จะให้กลับไปสู่ผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ จะต้องมีจ�ำนวนไม่มาก หรอื ไมน่ อ้ ยเกนิ ไป จนทำ� ใหผ้ เู้ รยี นไมส่ ามารถพฒั นาการเรยี นรไู้ ด้ ครผู สู้ อนควรเลอื กจดุ ทจ่ี ะใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับที่ส�ำคัญ ๆ ประมาณ 2-3 จุด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถที่จะน�ำข้อมูลย้อนกลับไปใช้ในการ พัฒนาตนเองในการเรียนรู้ ท้ังนี้ ครูผู้สอนควรให้ข้อมูลย้อนกลับในส่วนท่ีเป็นจุดแข็งของผู้เรียน ในปริมาณท่ีใกล้เคียงกับจุดท่ีควรพัฒนาของผู้เรียน โดยส่ิงที่ครูผู้สอนไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่งคือ ให้ข้อมูลย้อนกลับไปสู่ผู้เรียนเฉพาะช้ินงาน/ภาระงานที่ผู้เรียนท�ำได้ไม่ดีเพียงอย่างเดียว ครูผู้สอน ต้องพยายามมองหาจุดเด่น จุดแข็งของผู้เรียนให้ได้ เพื่อเป็นการให้ก�ำลังใจกับผู้เรียนในการพัฒนา ตนเองไปพรอ้ มกนั 3. วธิ ีการ (Mode) ครูผู้สอนต้องเลือกวิธีการในการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนด้วยวิธีการส่ือสาร ให้ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้สิ่งท่ีครูต้องการสื่อสารได้ง่าย เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเอง เช่น ผู้เรียน ทไี่ มช่ อบอา่ น หรอื มปี ญั หาในการอา่ นจบั ใจความ ครูควรให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั โดยวิธีการพดู แก่ผ้เู รียน ซึ่งถ้าครูผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยวิธีการเขียนกับนักเรียนกลุ่มน้ี ข้อมูลย้อนกลับก็จะไม่เกิด ประโยชน์กับตัวผู้เรียน ดังน้ัน ครูผู้สอนควรจะต้องศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ตลอดจน ความถนัดและความสนใจของผู้เรียนก่อนให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับที่ครูผู้สอน สะทอ้ นสูผ่ ู้เรยี น จะเกิดประโยชน์กบั ตวั ผูเ้ รยี นสูงสุด 4. ผู้เขา้ ร่วม (Audience) ครูผู้สอนต้องท�ำความเข้าใจในตัวผู้เรียนและกลวิธีในการน�ำเสนอข้อมูลย้อนกลับ ให้แก่ผู้เรียน เพื่อคุณภาพของข้อมูลย้อนกลับจะได้เกิดกับตัวผู้เรียนอย่างสูงสุด ท้ังน้ีครูผู้สอน ต้องท�ำการพิจารณาว่า ข้อมูลย้อนกลับใดท่ีควรจะต้องน�ำเสนอให้กับผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรอื ข้อมูลย้อนกลับประเภทใดที่ควรจะนำ� เสนอใหผ้ เู้ รยี นรับทราบในรูปแบบของกลุ่ม เชน่ ครผู ้สู อน ตอ้ งการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แกผ่ เู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลในเรอื่ งเดยี วกนั ทมี่ คี วามเหมอื นหรอื มคี วามคลา้ ยกนั ในผู้เรียนจ�ำนวนหลาย ๆ คนนั้น ครูผู้สอนควรจะปรับเปล่ียนวิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับมาน�ำเสนอ ให้ผู้เรียนได้รับทราบในรูปแบบของกลุ่มจะมีความเหมาะสมมากกว่า หรือในกรณีที่ครูต้องการ ให้ข้อมูลย้อนกลับสู่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แต่ในการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนต่อคนน้ันใช้เวลา มากก็จะท�ำให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ เกิดความรู้สึกเบ่ือหน่าย ไม่อยากจะเรียนรู้ หรือเกิดอคติกับผู้เรียน คนน้ันไป การประเมนิ เพื่อเรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับเพ่ือสง่ เสริมการเรยี นรู้ 9

มโนทศั น์การประเมินเพื่อเรียนรู้ การวดั และประเมิน การวัดและประเมนิ เพอื่ สรปุ ผลการเรียนรู้ เพือ่ การพัฒนา ผกลากราปรรเระียเมนินรู้ การประเมิน เพื่อเรียนรู้ การประเมนิ ขณะเรยี นรู้ การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ การประเมินเพ่ือเรียนรู้ เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนด�ำเนินการประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียน และตัดสินผลการเรียนในรายวิชา/กิจกรรมท่ีตนสอน ในการประเมินเพื่อการพัฒนา ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ก�ำหนด เปน็ เปา้ หมายในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรดู้ ว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เชน่ การซกั ถาม การสงั เกต การตรวจการบา้ น การแสดงออกในการปฏบิ ตั ผิ ลงาน การแสดงกริ ยิ าอาการตา่ ง ๆ ของผเู้ รยี น ตลอดเวลาทจ่ี ดั กจิ กรรม เพ่ือดวู ่าบรรลจุ ดุ ประสงค์การเรยี นรหู้ รือมแี นวโน้มวา่ จะบรรลุตวั ชวี้ ัดเพยี งใด แล้วแก้ไขขอ้ บกพร่อง เป็นระยะ ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การประเมินเพื่อเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทส�ำคัญ คือ การวัดและประเมิน เพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) และการวัดและประเมินเพื่อสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ 10 การประเมนิ เพื่อเรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ข้อมลู ย้อนกลบั เพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้

ประเภท เปา้ หมาย และลกั ษณะของการประเมิน ประเภทการประเมนิ เปา้ หมายการประเมนิ ลักษณะของการประเมนิ การวดั และประเมิน การประเมินเพื่อเรียนรู้ (Assessment - เกิดข้ึนก่อนเริ่มการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพือ่ การพัฒนา for Learning) คือ กระบวนการประเมิน เพ่ือให้ครูสามารถตัดสินความพร้อม (Formative เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ ของผู้เรียน ที่จะเรียนรู้องค์ความรู้และ Assessment) ที่ด�ำเนินการโดยครูและผู้เรียน ในการ ทักษะกระบวนการใหม่ และให้ข้อมูล ใช้ข้อมูลสารสนเทศทางการประเมิน สารสนเทศท่ีน่าสนใจแก่ผู้เรียนและ เพ่ือระบุและวินิจฉัยจุดเด่นและจุดที่ต้อง การเรยี นรูท้ ีผ่ ูเ้ รียนพึงพอใจ ปรบั ปรงุ ของผเู้ รยี น สกู่ ารปรบั ปรงุ การเรยี นรู้ - เกิดขึ้นบ่อยและต่อเน่ืองระหว่าง หรือการท�ำงานของผู้เรียน จนผู้เรียน การเรียนการสอน ขณะที่ผู้เรียนยังคง สามารถปรับปรุงวิธีการเรียนรู้ วางแผน ก�ำลังได้เรียนรู้องค์ความรู้และปฏิบัติงาน การเรยี นรู้ในขั้นตอนตอ่ ไปให้ส�ำเรจ็ ได้ ตามทักษะ การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment เกิดข้ึนบ่อยและต่อเนื่องระหว่าง as Learning) คอื กระบวนการประเมนิ การเรยี นการสอน ดว้ ยการสนบั สนนุ ตวั แบบ ที่นักเรียนได้วิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง และการแนะนำ� จากครอู ยา่ งตอ่ เนอื่ ง อาทิ ด้วยตนเอง เพื่อปรับปรุงการเรียนรู้และ - เพ่ือประเมินทักษะทั่วไปของนักเรียน ผลงานของตนเองได้ ด้วยการส่งเสริมให้ ด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะ นักเรียนสะท้อนความรู้ ความสามารถ การคิดขั้นสูง ที่ก�ำหนดให้เป็นเป้าหมาย ของตนเอง ประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรูห้ นึง่ รู้วิธีใช้การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ส่ิงใหม่ - ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีสนับสนุน จนผู้เรียนกลายเป็นผู้ประเมินตนเอง ใหก้ ารเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นมศี กั ยภาพมากขนึ้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้เรียน - ผู้เรียนประเมินตนเองโดยไตร่ตรอง ได้รับการพัฒนา ให้สามารถควบคุม เป้าหมายการเรียนรู้ที่ได้ก�ำหนดร่วมกัน การรคู้ ดิ ของตนเองไดใ้ นทส่ี ุด ระหว่างผ้เู รยี นกบั ครูอยา่ งตอ่ เนื่อง การวดั และประเมิน การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (Assessment เกิดข้ึนตอนจบปลายภาค/ปลายปี เพ่อื สรปุ ผลการเรยี นรู้ of Learning) คือ การใช้หลักฐานการเรยี นรู้ - เพอ่ื ประเมนิ วา่ นกั เรยี นรอบรตู้ ามเนอื้ หา (Summative เพ่ือประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทกั ษะในรายวชิ าไดเ้ พยี งไร Assessment) ด้วยการเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐาน - เพ่ือตัดสินผลการเรียนโดยเทียบกับ การเรยี นรู้ เกณฑ์หรือมาตรฐานการเรยี นรู้ การประเมนิ เพื่อเรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ข้อมลู ย้อนกลับเพ่ือส่งเสริมการเรยี นรู้ 11

หลักการประเมินเพื่อเรยี นรู้ ค�ำนงึ ถงึ ขอบเขตความส�ำเรจ็ เปน็ ส่วนหนึ่งของแผนการจัดกจิ กรรม การเรยี นรู้ ของผู้เรียน 10 1 พฒั นาความสามารถ 2 เน้นไปท่ีวธิ ีการ ของผูเ้ รียน 9 ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ ในการประเมินตนเอง ได้รบั การแนะน�ำเชงิ สรา้ งสรรค์ 3 เสมอื นเปน็ สง่ิ ส�ำคัญ ในชน้ั เรยี น 8เกี่ยวกบั วธิ ที ป่ี รับปรุง การเรียนรู้ 7 6 4 ทกั ษะส�ำคญั ท่แี สดง ความเปน็ ครูมอื อาชพี สง่ เสริมให้เกดิ ความรบั ผิดชอบ ค�ำนงึ ถึงความส�ำคญั และแบง่ ปนั ความเข้าใจ แรงจงู ใจของผเู้ รียน 5 ตอบสนองไดง้ า่ ยและพัฒนาขึน้ ในทางสรา้ งสรรค์ 12 การประเมนิ เพื่อเรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับเพอ่ื ส่งเสริมการเรียนรู้

หลักการประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ หลกั การประเมนิ แนวคดิ เพื่อเรยี นรู้ หลักการท่ี 1 แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ของครู ควรใหโ้ อกาสทงั้ ผเู้ รียน ควรเปน็ ส่วนหนึง่ และครไู ดร้ ับและใช้ข้อมลู สารสนเทศเก่ยี วกับความกา้ วหน้า ของแผนการจดั กิจกรรม ทไ่ี ปถงึ เป้าหมายการเรียนรู้ การวางแผนควรประกอบดว้ ยกลวธิ ี การเรยี นรู้ ท่เี ช่ือมั่นไดว้ ่า ผเู้ รียนเขา้ ใจเป้าหมายทผ่ี ู้เรยี นกำ� ลังท�ำใหส้ �ำเรจ็ ลลุ ว่ ง และเขา้ ใจในเกณฑ์ ทีจ่ ะถูกน�ำมาใช้ประเมินการทำ� งานของผ้เู รียน วิธกี ารท่พี วกเขาจะไดร้ ับขอ้ มูลยอ้ นกลบั หรือวธิ ีการท่ีผเู้ รยี น จะได้เปน็ สว่ นหนึง่ ของการประเมนิ การเรียนรู้ของพวกเขาเอง ครผู ู้สอนจงึ ควรวางแผนวิธีการชว่ ยเหลือใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความก้าวหน้า ในผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรู้ หลักการที่ 2 กระบวนการเรยี นรู้ต้องอยู่ภายในจิตใจ ท้ังของผู้เรยี นและครู ควรเน้นไปที่วิธีการให้ผู้เรียน ในขณะทม่ี ีการวางแผนการประเมิน รวมทง้ั ในขณะทม่ี กี ารช้ีแจง เกิดการเรยี นรู้ อธบิ ายเกี่ยวกบั หลกั ฐานการเรยี นรู้ ผ้เู รียนควรจะตระหนักรู้ เก่ียวกับวิธีการเรียนรขู้ องตนเองเทา่ ๆ กบั สงิ่ ท่ีเขาไดเ้ รยี นรู้ หลกั การที่ 3 มีกจิ กรรมการวดั และประเมินผล (Assessment) มากมาย ทีค่ รู ควรแสดงให้เหน็ ว่า และผูเ้ รยี นทำ� ในชัน้ เรยี น ดงั เช่น ช้นิ งาน และการท่ีผเู้ รยี นซกั ถาม เสมือนเป็นสง่ิ สำ� คญั เพ่ือแสดงให้เหน็ ถงึ องคค์ วามรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะของพวกเขา ในชั้นเรยี น สงิ่ ทผ่ี ูเ้ รียนพูดหรือทำ� จะถูกสงั เกต ตคี วามหมาย และตัดสนิ สง่ิ ดงั กลา่ วเหลา่ นี้เกดิ ขนึ้ เพือ่ แสดงใหเ้ ห็นถงึ วิธีการเรยี นรู้ท่ปี รากฏ ขน้ึ ในตวั ผูเ้ รียน กระบวนการเรียนรู้เหลา่ น้ี เป็นสว่ นหนง่ึ ของการ ด�ำเนนิ กิจวตั รประจำ� วนั ในชั้นเรียนที่จำ� เป็นยิง่ อีกทั้งผูเ้ รียน และครูควรร่วมกันสะท้อน พูดคุย และรว่ มกันตัดสนิ ได้ หลกั การท่ี 4 ครูมอื อาชีพกำ� หนดให้มีองคค์ วามรแู้ ละทักษะในเรอ่ื งการวางแผน เป็นทกั ษะสำ� คัญทแ่ี สดง การประเมนิ การสังเกตการเรียนรู้ การตีความหลกั ฐานแหง่ การเรียนรู้ ความเปน็ ครมู ืออาชีพ (Evidence of Learning) ใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ (Feedback) แก่ผเู้ รยี น และสนับสนุนผู้เรยี นในการประเมินตนเอง (Self-Assessment) ครจู งึ ควรไดร้ ับการสนบั สนนุ ในการพัฒนาทักษะเหลา่ นีอ้ ยา่ งต่อเน่ือง สูก่ ารพฒั นาความเป็นครูมอื อาชีพ การประเมนิ เพ่อื เรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 13

หลักการประเมิน แนวคดิ เพือ่ เรียนรู้ หลกั การท่ี 5 ครูควรตระหนกั ถึงผลกระทบ (ความคิดเหน็ คะแนน ระดับ ควรตอบสนองได้ง่ายและ ผลการเรียน) มีผลตอ่ ความมน่ั ใจและความกระตือรอื ร้นของผ้เู รยี น พัฒนาขนึ้ ในทางสร้างสรรค์ และผู้สอนควรให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ในทางสร้างสรรคเ์ ท่าที่จะเป็นได้ เนื่องจากไมว่ า่ การประเมนิ ขอ้ คดิ เหน็ ทเี่ น้นไปที่การท�ำงานของผู้เรยี นมากกว่าตัวผู้เรยี น ผลใด ๆ ย่อมเกดิ ผลกระทบ ชว่ ยให้การเรียนรู้และแรงจงู ใจพฒั นาข้นึ ตอ่ ความรูส้ กึ หลกั การที่ 6 การประเมนิ ท่สี นับสนุนใหผ้ ้เู รยี นเกดิ แรงจงู ใจ ด้วยการใหค้ วามสำ� คัญ ควรคำ� นึงถงึ ความสำ� คัญ กับความก้าวหนา้ และผลสำ� เร็จมากกวา่ ความลม้ เหลว กบั แรงจูงใจของผ้เู รียน การเปรยี บเทยี บกบั ผเู้ รียนคนอ่ืนที่เก่งกวา่ ไม่นา่ จะท�ำให้ผเู้ รยี นเกิด แรงจงู ใจข้ึนได้ แต่กลับท�ำใหผ้ ูเ้ รียนรู้สึกไม่ดี และคดิ ล้มเลกิ ที่จะพฒั นาความก้าวหนา้ วิธปี ระเมินผลสนับสนุนใหผ้ เู้ รียน เกดิ แรงจูงใจ ด้วยการรักษาความเปน็ ตัวของตัวเองไว้ จากการใหท้ างเลือกขอ้ มลู ย้อนกลับท่ีเป็นไปในทางสรา้ งสรรค์ และสรา้ งโอกาสให้กำ� หนดทศิ ทางดว้ ยตัวเอง หลกั การที่ 7 ส�ำหรับการเรยี นรูท้ ่ีมีประสิทธิภาพท่จี ะเกดิ ข้ึน ผเู้ รยี นจำ� เปน็ ควรสง่ เสริมใหเ้ กิด ท่จี ะตอ้ งเข้าใจในส่ิงทผี่ ูเ้ รยี นกำ� ลงั พยายามทำ� ให้สิ่งนนั้ ความรบั ผิดชอบ ประสบความส�ำเรจ็ หรือตอ้ งการให้มนั ส�ำเร็จ ความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ท่จี ะเรียนร้ตู ามเป้าหมาย เมอ่ื ผ้เู รียนมสี ว่ นรว่ มในการตัดสินใจในเป้าหมาย และมีส่วนรว่ ม และแบ่งปันความเข้าใจ ในการระบเุ กณฑ์สำ� หรับประเมนิ ความกา้ วหนา้ การสือ่ สารเกณฑ์ ในเกณฑ์ทีผ่ เู้ รียน การประเมินจะเกิดขึ้นเม่ือครูและนกั เรียนได้รว่ มกันอภิปรายเกณฑ์ จะถกู ประเมนิ การประเมิน รวมถงึ คำ� ศพั ทท์ ีใ่ ช้ เพ่อื ผูเ้ รยี นจะสามารถเขา้ ใจได้ จดั หาตัวอย่างทบ่ี รรลตุ ามเกณฑก์ ารประเมิน และให้ผเู้ รยี น มสี ว่ นในการประเมินตนเองและเพอ่ื นประเมินเพื่อน 14 การประเมนิ เพ่ือเรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรู้

หลกั การประเมิน แนวคดิ เพือ่ เรียนรู้ ผู้เรียนต้องการขอ้ มลู สารสนเทศและการแนะน�ำ เพื่อทจี่ ะวางแผน ข้นั ตอนในการเรยี นรขู้ องพวกเขาตอ่ ไป ดงั นัน้ ครูควรทจี่ ะหาจุดเด่น หลกั การที่ 8 ของผู้เรยี น และใหค้ �ำปรกึ ษาถงึ วิธีท่จี ะพฒั นาผ้เู รียน ซ่ึงตอ้ งชัดเจน ควรได้รับการแนะน�ำ และเป็นไปอยา่ งสร้างสรรค์เกยี่ วกับจดุ ทีค่ วรพัฒนา ใหโ้ อกาส เชิงสรา้ งสรรคเ์ กย่ี วกบั ผ้เู รยี นปรับปรงุ การท�ำงานของผเู้ รียน วธิ ที ี่จะปรบั ปรงุ การเรยี นรู้ หลกั การที่ 9 ผู้เรียนที่เป็นอสิ ระจะมีความสามารถในการคน้ หาและเพิม่ ทกั ษะ ควรพฒั นาความสามารถ องค์ความรู้ และความเขา้ ใจใหม่ ๆ ผู้เรยี นเหลา่ นัน้ จะกงั วลอยู่กับ ของผเู้ รียนในการประเมิน การสะท้อนความคดิ ด้วยตนเอง ครูควรจัดใหผ้ ู้เรยี นตามความ ตนเอง เพ่อื ให้ผ้เู รียน ต้องการและความสามารถ ด้วยการแนะน�ำการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ได้สะท้อนและบริหาร ด้วยการพัฒนาทกั ษะในการประเมนิ ตนเอง จดั การตนเองได้ หลกั การที่ 10 การประเมนิ เพ่ือพัฒนาการเรยี นรู้ ควรถูกใช้เพ่อื เพม่ิ โอกาส ควรคำ� นึงถงึ ขอบเขต ในการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนทุกคน ในเนอื้ หาทัง้ หมดของกจิ กรรม ความสำ� เรจ็ ของผเู้ รียน ทางการศึกษา และเพ่ิมศักยภาพให้กบั ผู้เรียนทุกคน ทุกคน ไดป้ ระสบความส�ำเร็จทีด่ ีท่สี ดุ ของผูเ้ รียนแตล่ ะคน จากหลักการประเมินเพื่อเรียนรู้ 10 ข้อ ข้างต้น ควรมีองค์ประกอบท่ีส�ำคัญท่ีท�ำให้ เกิดข้นึ ในชน้ั เรียน ดังนี้ องคป์ ระกอบที่ 1 เทคนิคการใชค้ ำ� ถาม (Questioning Technique) องคป์ ระกอบท่ี 2 การให้ข้อมูลยอ้ นกลบั แก่ผ้เู รียน (Providing Feedback to Learner) องค์ประกอบท่ี 3 การให้ผเู้ รยี นประเมินตนเอง และการประเมินโดยเพ่อื น (Peer and Self-Assessment) ซง่ึ จะกลา่ วถงึ รายละเอยี ดในหน่วยตอ่ ไป เอกสารอ้างอิง Assessment Reform Group. 2002. Assessment for Learning : 10 Principles. Cambridge : University of Cambridge Faculty of Education. การประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลับเพอ่ื สง่ เสริมการเรยี นรู้ 15

ค�ำถามส�ำหรับการวางแผนการประเมนิ การประเมินและพัฒนาการเรียนรู้นักเรียนที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องตอบค�ำถาม 8 ประการ เพื่อให้การวางแผนและการออกแบบการประเมินบรรลุวัตถุประสงค์ โดยตอบค�ำถาม ในแตล่ ะขอ้ ใหช้ ัดเจน ทำ� ไม เม่ือไร อะไร ใคร และอยา่ งไร ดังแผนภาพต่อไปนี้ 1. ท�ำไมจงึ ประเมิน/วัตถุประสงค์ของการประเมนิ คอื อะไร - ประเมินเพ่ือการเรยี นรู้ การประเมินขณะเรยี นร/ู้ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ - ตอ้ งการให้ข้อมลู ยอ้ นกลับเกย่ี วกบั การสอน - มกี ารเสริมแรง มีการทบทวน มีการปรับปรุง 8. ใช้ผลการประเมนิ มาพฒั นาการเรยี นรู้ 2. ประเมนิ เมือ่ ไหร่ ของนกั เรยี นอย่างไร - กอ่ นการเรียนรู้ (วินจิ ฉยั ผ้เู รียน) - ใชข้ ้อมูลในการเปลย่ี นโปรแกรมการสอน ระหว่างการเรยี นรู้ หลังการเรยี นรู้ - ใชเ้ ฉพาะนักเรียนทงั้ หมด/เฉพาะกลุม่ - สม่ำ� เสมอ ตอ่ เน่ือง ไม่คอ่ ยมี - เปน็ ข้อมลู ในการเปลย่ี นหลักสูตร - ระหว่างวัน/สัปดาห์/เทอม/ระหวา่ งในชนั้ เรยี น/ - การปฏิบัตใิ นการประเมิน ทบ่ี ้าน 7. น�ำเสนอผลการประเมนิ อย่างไร 3. อะไรเป็นเปา้ หมาย/มาตรฐานการเรยี นรู้ - ใหใ้ คร/เมื่อไร/อะไร ในการประเมิน - พ่อแม/่ ครู - บนั ทึกข้อมลู อยา่ งไร - เปา้ หมายการเรยี นรทู้ ี่ประเมนิ - แลกเปล่ยี นเรียนร้กู นั ดว้ ยวธิ ีใด (การเขียน - มาตรฐานการเรียนร/ู้ พฤติกรรมท่ีวดั /ระดบั การวัด การนำ� เสนออีเมล) - บูรณาการพฤติกรรมทว่ี ดั 6. ตัดสินผลการประเมนิ อยา่ งไร 4. ใครเป็นผู้ประเมนิ /ผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี คือใคร - มเี กณฑก์ ารประเมนิ มีรบู รคิ - ผูป้ ระเมินเป็นนกั เรียน เพอื่ น ครู หน่วยงาน - เปรียบเทยี บการประเมนิ กบั ครคู นอนื่ ภายนอก - ผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสยี เปน็ นักเรยี น ครู พ่อแม่ ชุมชน 5. ออกแบบการประเมินอยา่ งไร - กระบวนการหรือเคร่อื งมือท่ใี ช้ประเมิน - ประเมินอย่างเป็นทางการหรอื ไม่ทางการ - ประเมินโดย Portfolio การปฏบิ ัติ การนำ� เสนอ ตรวจสอบรายการ คำ� ถามปลายเปดิ ที่มา : http://www.sofweb.vic.edu.au/blueprint/fs1/assessment.asp 16 การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้

ปรับปรุงการสอน ตรวจสอบผลการเรยี นรู้ อธบิ าย ขยายรายละเอียด สง่ เสริมใหน้ ักเรยี นได้พฒั นาการทกั ษะการคดิ ตรวจสอบทัศนคติของผ้เู รยี น ผู้เรียนมีมมุ มองที่หลากหลาย สง่ เสริมให้นกั เรียนได้ตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจของตนเอง สรปุ แนวคิดหรอื ความรู้ สนับสนนุ ความคิดของตวั เอง ค�ำถามจำ� แนกตามข้นั การคดิ ความส�ำคญั ในการใชค้ �ำถาม 1. ท�ำไมตอ้ ง “ถาม” การใช้ค�ำถามทรงพลัง (Power Questions) แสดงความคดิ เหน็ ความร/ู้ ความจ�ำ เพื่อพฒั นานักเรยี น เพ่อื พัฒนานักเรียนอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ให้เหตผุ ล ความเขา้ ใจ แสวงหาวธิ ีการแก้ปญั หา การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้ 17 การน�ำไปใช้ เทคนิคการตง้ั ค�ำถาม ศึกษาค้นควา้ เพ่มิ เติม วเิ คราะห์ เพอื่ ส่งเสริมการเรยี นร้ขู องนักเรยี น ท�ำนายปรากฏการณ์ ประเมินคา่ ทบทวนผลการเรยี นรู้ สร้างสรรค์ กำ� หนดเปา้ หมายของตนเอง วางแผนพัฒนาตนเอง การน�ำเทคนคิ การตั้งค�ำถามมาใช้ 2. เทคนิคการตั้งค�ำถาม เทคนิคการต้ังค�ำถามที่ครูสามารถ เกิดความเชื่อม่ันในตนเอง ในช่วงการถาม-ตอบในชั้นเรียน น�ำไปใช้ในช่วงการถาม-ตอบในชั้นเรยี น กระดานแผ่น การใชค้ �ำถาม-ค�ำตอบเพื่อทบทวนบทเรียน การต้ังค�ำถามแบบสบื สวน/สอบสวน รอเวลา นค่ี ือค�ำตอบ การใชค้ �ำถามเพอื่ สรา้ งความม่นั ใจ ใหเ้ วลาคดิ การตอบเพิม่ เติม ไม่มกี ารยกมอื อะไรคอื ค�ำถาม การใชค้ �ำถามเพือ่ ขยายคำ� ตอบของนกั เรยี น หาตวั ชว่ ย การตอบบนกระดาน (ไวท์บอรด์ ) การตั้งคำ� ถามต่อยอด บงิ โกคำ� ส�ำคัญ การใชค้ �ำถามเพ่ือส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจ การใหค้ �ำถามล่วงหนา้ การตง้ั คำ� ถามโดยใช้ไมไ้ อศกรีม บัตรคำ� A B C D E กระบวนการทำ� งานของตนเอง การถามสะทอ้ นกลับ การใช้คำ� ถามแบบเจาะลกึ ความเขา้ ใจ การสมั มนา หรือการถามยำ�้ ซำ้� แบบโสเครตสิ

เรยี นร้กู ารต้ังค�ำถาม ความส�ำคัญของการใช้ค�ำถามเพอ่ื พฒั นานกั เรียน การใช้ค�ำถามเป็นกลวิธีส�ำคัญท่ีครูใช้ประเมินความรู้และความเข้าใจที่นักเรียนแต่ละคน มีอยู่ รวมทั้งเป็นเคร่ืองมือสะท้อนให้ครูสามารถช่วยเหลือส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจให้นักเรียน แตล่ ะคนใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย การเรยี นทคี่ รกู ำ� หนดไว้ นน่ั คอื การใชค้ ำ� ถามเปน็ รปู แบบการปฏสิ มั พนั ธ์ โดยทั่วไประหว่างนักเรียนกับครู ซ่ึงครูสามารถใช้เพื่อวัดระดับความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจน วัดความคิดในระดบั สงู ของนักเรยี นได้ กล่าวไดว้ า่ ครสู ามารถใชค้ �ำถามในชัน้ เรยี นเพอื่ 1. ปรับปรุงการสอน เพราะการใช้ค�ำถามท�ำให้ครูได้รับข้อมูลย้อนกลับที่แสดงความรู้ และความเข้าใจของนักเรียนในการเรียนรนู้ ้ัน ๆ ไดท้ ันที 2. ส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาการทักษะการคิดจากระดับต�่ำสู่การคิดระดับสูง รวมท้ัง ส่งเสริมความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องทศ่ี กึ ษา 3. สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นไดต้ รวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจของตนเอง รวมทงั้ ชว่ ยใหน้ กั เรยี น เกดิ ความกระจา่ งสามารถเชอื่ มโยงความรู้ ความเขา้ ใจใหม่ท่เี กดิ ข้นึ และพัฒนาการเรียนรู้มากข้ึน การใชค้ �ำถามในช้ันเรียนเพ่อื พัฒนานักเรียนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เน่ืองจากค�ำถามท่ีครูใช้ในชั้นเรียนมีหลายระดับ การใช้ค�ำถามเหล่านั้นพัฒนานักเรียน ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ครคู วรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ครูควรวางแผนก�ำหนดการใช้ค�ำถามที่น�ำสู่เป้าหมายหลักในการเรียนรู้ท่ีก�ำหนดไว้ โดยค�ำถามท่ีใช้ต้องเปน็ ค�ำถามท่ีท้าทายความคิดนักเรยี น มคี ำ� ถามทั้งระดบั งา่ ยและยาก ตามระดบั กระบวนการคิดของ Anderson & Krathwohl ประกอบด้วย คำ� ถามที่ประเมนิ ความรู้ ความเข้าใจ การน�ำไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมนิ คา่ และการสรา้ งสรรคข์ องผูเ้ รยี น ท้ังนคี้ รจู ะสามารถเลอื กใช้ คำ� ถามทเี่ หมาะสมกบั ความรู้ ความสามารถของเดก็ แตล่ ะคน กลา่ วคอื เมอ่ื ครใู ชค้ ำ� ถามไปตามลำ� ดบั ข้ันตอนท่ีเตรียมไว้ ถ้านักเรียนไม่สามารถตอบได้ ครูจะสามารถลดระดับขั้นค�ำถามลงเพื่อทบทวน ระดบั ความรู้ ความเขา้ ใจของนักเรียนกอ่ นจะก้าวสูค่ �ำถามในระดับสงู ต่อไป 2. ครคู วรใชค้ ำ� ถามนอ้ ยขอ้ แตเ่ ปน็ คำ� ถามทม่ี คี ณุ ภาพ โดยใชค้ ำ� ถามปลายเปดิ เพอ่ื กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นคดิ คำ� ตอบของตนเองเปน็ คำ� ถามทสี่ ง่ เสรมิ ความคดิ ระดบั สงู เชน่ คำ� ถามทข่ี นึ้ ตน้ ดว้ ยคำ� วา่ ทำ� ไม ซงึ่ คำ� ถามทต่ี อ้ งการคำ� ตอบอนั เกดิ จากการวเิ คราะหข์ องนกั เรยี น หรอื คำ� ถามประเภททก่ี ระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นคาดเดาค�ำตอบ เชน่ จะเป็นอย่างไรถา้ ...(สถานการณ์)... เป็นตน้ 18 การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เพอ่ื สง่ เสรมิ การเรียนรู้

3. ครคู วรใชค้ �ำถามกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นพบความกระจ่างน�ำทางส่กู ารสรปุ ความคดิ ส�ำคัญ หรือความคดิ หลักได้ 4. ครูควรหลกี เลีย่ งการใช้ค�ำถามทีม่ ีลักษณะ ดงั น้ี - การใชถ้ ามคำ� ถามปลายปดิ มากเกนิ ไป - การใช้ค�ำถามที่นกั เรยี นสามารถใช้คำ� ตอบใช่/ไม่ใช่ - การใช้ค�ำถามท่ตี ้องการค�ำตอบสัน้ ๆ มากเกินไป - การใชค้ ำ� ถามลวงท่ีมปี ระเดน็ ก่อให้เกดิ การเขา้ ใจผดิ - การใชค้ ำ� ถามทม่ี คี วามซ�ำ้ ซอ้ นกับคำ� ถามเดิม - การใชค้ �ำถามทีเ่ นน้ เฉพาะนกั เรียนกลมุ่ ใดกลุม่ หนึ่ง 5. ครูควรมีการจัดล�ำดับการใช้ค�ำถามท่ียืดหยุ่นได้ เนื่องจากอาจมีความจ�ำเป็นท่ีครู ต้องปรับเปลี่ยนค�ำถามหรือใช้ค�ำถามท่ีไม่ได้เตรียมมาก่อนในสถานการณ์ที่อาจเกิดข้ึนในช้ันเรียน โดยทค่ี รไู มไ่ ดค้ าดไว้ เช่น อาจต้องใช้คำ� ถามเพ่ือถามกลับค�ำตอบท่ไี ดจ้ ากผ้เู รยี น เปน็ ตน้ การประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพ่อื ส่งเสริมการเรยี นรู้ 19

ตวั อยา่ งการแบง่ กลมุ่ ค�ำส�ำคญั และค�ำถามทจี่ �ำแนกตามขนั้ การคดิ ของ Anderson & Krathwohl ความรู้/ความจ�ำ ระบ,ุ จ�ำ (ระลกึ ), อธบิ าย, นยิ าม, แจกแจง, แยกแยะ, จับค,ู่ ต้งั ช่อื , บอก แปลความ, คาดการณ์, อธบิ าย, ย่อความ, อธิบายความ, แปลความ, ความเขา้ ใจ เปรียบเทียบ (เหตุการณ์และวตั ถุ), จดั กลมุ่ น�ำไปใช้ สาธติ , แกป้ ัญหา, ใช,้ ช้แี จง, เช่ือมโยง, ปรับแนวคดิ , ทดลอง วิเคราะห์ วิเคราะห,์ อธิบาย, อนุมาน, แบง่ แยก, จดั ล�ำดับความส�ำคญั , เปรยี บเทยี บความเหมอื น ความต่าง, ชแี้ จงอยา่ งมีเหตผุ ล, ช้ีแจงอยา่ งมีวจิ ารณญาณ, สรุป ประเมินคา่ ก�ำหนดค่า, ตัดสินค่า, ประเมินค่า ออกแบบ, สร้างสรรค์, แตง่ , ประพนั ธ์, น�ำมา, ประกอบกัน, น�ำมารวมกนั , สรา้ งสรรค์ น�ำมาจดั ใหม่, สะท้อน, คาดการณ์, คาดเดา, ตง้ั สมมติฐาน, ยอ่ ความ 20 การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั เพ่ือส่งเสริมการเรยี นรู้

ตัวอยา่ งค�ำถามทีจ่ �ำแนกตามขนั้ การคดิ ของ Anderson & Krathwohl ความรู้/ความจ�ำ ความเข้าใจ น�ำไปใช้ สง่ิ น้ีเรียกวา่ อะไร/ ท�ำไมเขาจึง... นักเรยี นคดิ วา่ ตอ่ ไป นคี่ ืออะไร กำ� ลังเกดิ อะไรขน้ึ จะเกิดอะไรขึน้ ท�ำไม ...มาจากไหน ในปลอ่ งภูเขาไฟ จึงเปน็ เชน่ นน้ั ...เกิดขน้ึ เมื่อไร จงอธิบาย เครอ่ื งมอื ไหนส�ำคญั ทสี่ ดุ ...เกดิ ข้ึนกับใคร ณ จุดน้ีเขากำ� ลังร้สู ึก ในการ... สามเหล่ยี มมกี ช่ี นดิ อยา่ งไร เราจะนำ� เสนอขอ้ มูล อะไรคือลกั ษณะสำ� คัญของ... เป็นแผนภมู ิไดอ้ ย่างไร นักเรยี นสามารถน�ำสิ่งที่รู้ มาใช้ในการแกป้ ญั หา ไดห้ รือไม่ อยา่ งไร วเิ คราะห์ ประเมนิ ค่า สร้างสรรค์ จะเกิดอะไรข้นึ จากการ ค�ำขวัญใดท่ีมี นักเรยี นสามารถ เปลี่ยนแปลงคำ� กริยาเหล่านี้ ผลกระทบต่อ... แตง่ บทร้อยกรอง ทำ� ไมชาวโรฮิงญาจงึ อพยพ มากท่ีสุด โดยใช้สมั ผสั ของตนเอง มาอยใู่ นประเทศไทย พวกเขาควรพฒั นา ไดห้ รอื ไม่ อยา่ งไร สรุปสมมติฐานไดว้ ่าอยา่ งไร บรเิ วณพน้ื ท่ีสีเขยี ว อะไรคือจุดประสงคห์ ลัก อะไรคือหน้าทขี่ อง... หรอื สนี �ำ้ ตาล ของผูเ้ ขียนเร่อื งนี้ กลยทุ ธใ์ ดท่ีนำ� มาใช้ วธิ ีการใดที่นักเรยี น ไดด้ ีกวา่ กัน ใช้ในการตรวจสอบ ทางทฤษฎนี ี้ ข้อสรปุ ใหม่ของนกั เรียน คืออะไร การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั เพือ่ ส่งเสรมิ การเรียนรู้ 21

สารบบพฤตกิ รรมการเรียนรขู้ องบลมู (ฉบับปรับปรุง) Bloom’s Revised Taxonomy การสร้างสรรค์ (Creating) สร้างความคดิ ผลติ ภณั ฑ์ หรือมมุ มองในการมองสิ่งต่าง ๆ ใหม่ออกแบบ, สรา้ งสรรค,์ วางแผน การประเมนิ คา่ (Evaluating) ตัดสินการตดั สนิ ใจหรือการปฏิบัติตรวจสอบ, ตง้ั สมมตฐิ าน, วพิ ากษ์วิจารณ์, การวเิ คราะห์ (Analysing) แยกขอ้ มลู สารสนเทศออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ เพ่ือคน้ หาความเข้าใจและความสัมพันธ์ ระหวา่ งองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ เปรยี บเทียบ, จดั ระบบ, สอบถาม ซกั ไซค้ น้ หา การน�ำไปใช้ (Applying) ใชข้ อ้ มูลสารสนเทศทเี่ คยเรยี นมาในสถานการณใ์ หม่หรือสถานการณ์ท่ใี กล้เคยี งกัน การน�ำไปปฏบิ ัติ, การลงมอื กระทำ� , การใช้, การบริหารจดั การ การเขา้ ใจ (Understanding) อธบิ ายความคิดหรอื ความคิดรวบยอดตา่ ง ๆ แปลความหมาย, ลงขอ้ สรปุ เรยี บเรยี งใหม่ จดั หมวดหมู่ อธิบาย การจ�ำ (Remembering) จ�ำขอ้ มลู ได้ ระลึกได้, ทำ� รายการเกี่ยวกับ, อธบิ าย, ดงึ ข้อมูลที่มอี ยูม่ าใช้ บอกช่ือ ค้นพบ 22 การประเมินเพือ่ เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เพอื่ ส่งเสริมการเรียนรู้

กระบวนการทางปัญญา จัดจ�ำแนกหมวดหมู่ล�ำดับความรู้ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) ทเ่ี รยี งล�ำดับจากความรจู้ ากระดบั ตำ�่ ไปยังความรรู้ ะดบั สงู การจ�ำ เป็นความสามารถของสมองในการระลึกหรือจ�ำความรู้หรือสารสนเทศ ท่ีเกบ็ ไว้ในสมอง เปน็ ความจ�ำระยะยาว การเข้าใจ เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการสร้างความหมายหรือความรู้ จากสื่อหรือเคร่ืองมือทางการศึกษาด้วยตนเอง เช่น การอ่าน การอธิบายของครู ทักษะย่อย ของความสามารถในข้ันนี้ ได้แก่ การแปลความหมาย การให้ตัวอย่าง การจัดจ�ำแนก การสรุป การสรุปอ้างองิ การเปรียบเทยี บ และการอธบิ าย การน�ำไปใช้ จัดเป็นกระบวนการทางสมอง ในการใช้กระบวนการที่ได้เรียนรู้มา ในสถานการณ์ใหมห่ รือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน การวิเคราะห์ กระบวนการทางปัญญา ในข้ันน้ีเป็นการแยกความรู้ออกเป็นส่วน ๆ โดยสามารถให้เหตุผลว่าความรู้ส่วนย่อยที่แยกแต่ละส่วนมีความเก่ียวข้องกับโครงสร้างของความรู้ ทั้งหมดอย่างไร นักเรียนท่ีมีความสามารถในการวิเคราะห์จะต้องสามารถจ�ำแนกความแตกต่างได้ จัดระบบความรไู้ ด้ และบอกทม่ี าของความรู้หรอื องค์ประกอบของความรูแ้ ต่ละสว่ น การประเมินค่า เดิมความสามารถด้านการประเมินค่าจัดเป็นความรู้ขั้นสูงสุด เป็นความสามารถของสตปิ ญั ญาเกีย่ วกบั การตรวจสอบและการวพิ ากษ์ต่าง ๆ การสรา้ งสรรค์ เปน็ ความสามารถดา้ นสตปิ ญั ญาในการสรา้ งสง่ิ ใหมจ่ ากสงิ่ ทเี่ คยเรยี นรมู้ า หรือสิ่งท่ีพบเห็นในบริบทต่าง ๆ นักเรียนท่ีมีความสามารถในการสร้างสรรค์จะต้องสามารถ สร้างสรรคง์ าน แผนงาน หรือผลติ ภณั ฑ์ หรือชิ้นงานทแ่ี ปลกใหม่ ลำ� ดบั ขนั้ การจำ� การเขา้ ใจ เปน็ การคดิ ขน้ั ตำ่� การคดิ ขน้ั พนื้ ฐาน (Basic Skills) การนำ� ไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมนิ ค่า และการสร้างสรรค์ จดั เป็นการคดิ ขนั้ สงู (Higher Order Thinking) การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 23

พฤติกรรมแต่ละระดับของ Bloom’s Revised Taxonomy ระดับ ค�ำกรยิ าทบ่ี ่งบอก การจ�ำ (Remembering) ผู้เรียนสามารถจำ� บอกซ�้ำได้และบอกความรู้ ท�ำรายการ ตอบหรอื ท�ำซำ้� ทไ่ี ดเ้ รียนรแู้ ล้วได้ จำ� ได้ ระบชุ ื่อ เช่อื มได้ ระลึกได้ ระลกึ ได้ แสดง จดั กลุม่ จัดท�ำรายการ บอกตำ� แหนง่ อา่ นได้ อธิบาย หาจดุ เด่น เขยี นได้ ระบุ ให้ตัวอย่าง ระบเุ ค้าโครงของเรอ่ื ง ดงึ ขอ้ มูลท่ีมอี ยมู่ าใช้ สร้างใหมแ่ บบเดมิ ขดี เส้นใต้ บอกชือ่ จัดกล่มุ อ้างองิ บอกต�ำแหนง่ เลือกอา้ งซ้ำ� เรียงล�ำดับ ค้นหา ทบทวน ฯลฯ บอกสง่ิ ที่คน้ พบ อา้ งองิ บนั ทึก จบั คู่ เลอื ก การเข้าใจ (Understanding) เขยี นขอ้ ความใหม่ อธิบาย ผเู้ รยี นอธบิ ายความหมายของสารสนเทศ ระบุ รายงาน โดยการแปลความและตีความหมายสงิ่ ที่เคยเรยี น อภปิ ราย ตระหนกั รู้ การแปลความหมาย เลา่ เร่ืองซ้�ำ ทบทวน การให้ตวั อย่าง บันทึกยอ่ สงั เกต การสรปุ แปลความหมาย ท�ำเค้าโครง การอา้ งองิ ยกตัวอย่างของ... รับผิดชอบต่อ... การเรียบเรยี งใหม่ เรยี บเรยี งใหม่ ตคี วาม การจดั จ�ำแนกหมวดหมู่ จดั ระบบใหม่ ให้ความคิดหลัก การเปรียบเทียบ ร่วมประสาน กะ/ประมาณ การอธิบาย ให้นยิ าม ฯลฯ 24 การประเมินเพือ่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพื่อสง่ เสริมการเรียนรู้

ระดบั ค�ำกริยาที่บ่งบอก การน�ำไปใช้ (Applying) นักเรียนใช้ความรใู้ นสถานการณ์หรอื บริบท แปลความหมาย วาดภาพ ทแี่ ตกต่างจากทีเ่ คยเรียนมากอ่ น จัดสถานการณ์ เปล่ยี นแปลง แสดงนทิ รรศการ คำ� นวณ การน�ำไปปฏิบัติ อธิบายดว้ ยภาพ เรียงล�ำดบั การลงมอื กระทำ� หรอื ปฏิบัติ ค�ำนวณ แสดง การใช้ ตคี วาม แก้ปัญหา การบรหิ ารจัดการ สร้างหรอื ทำ� สะสม ลงมอื ฝึกปฏิบตั ิ สาธิต การวิเคราะห์ (Analysing) น�ำไปใช้ แสดงละคร ผเู้ รียนย่อยความรูส้ ารสนเทศออกเปน็ จัดการหรือกระท�ำ สร้าง ส่วนยอ่ ย ๆ เพือ่ สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ สัมภาษณ์ ใช้ เก่ียวกบั ความรู้นั้นอยา่ งลกึ ซ้งึ ประยกุ ตใ์ ช้ ฯลฯ การเปรยี บเทยี บ จำ� แนกสิ่งท่ีเด่น เปรยี บเทยี บ การจดั ระบบ ตง้ั คำ� ถาม เปรียบความแตกตา่ ง การแยกสว่ นประกอบ ตคี า่ ส�ำรวจ การให้เหตผุ ล ทดลอง ค้นหา สืบค้น การท�ำโครงเรอื่ ง ตรวจตรา จดั กลมุ่ การคน้ หาความหมาย ตรวจสอบ จัดอันดบั การจัดทำ� โครงสร้าง พิสจู น์ เรยี งลำ� ดบั กอ่ นหลงั การบูรณาการ แยก/จ�ำแนก ทดสอบ สบื เสาะ โต้แยง้ เรียบเรยี ง วเิ คราะห์ สบื สวนสอบสวน ทำ� แผนภมู ิ เลื่อน เปล่ียนแปลง เชือ่ มโยง สมั พันธ์ วิจัย จัดกลมุ่ ค�ำนวณ จำ� แนกออกเปน็ กลุ่ม วพิ ากษ์วจิ ารณ์ ฯลฯ การประเมนิ เพ่อื เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เพอื่ ส่งเสริมการเรียนรู้ 25

ระดบั ค�ำกริยาที่บ่งบอก การประเมนิ คา่ (Evaluating) ตัดสิน สรปุ ผู้เรียนตัดสินใจบนพื้นฐานของการคิดทบทวน ประมาณคา่ ให้ความคดิ เห็น ไตรต่ รอง วิพากษ์วิจารณ์ และประเมนิ ค่า ตรวจสอบความถูกตอ้ ง อภปิ รายโตแ้ ย้ง การตรวจสอบ ทำ� นาย ตัดสนิ การต้งั สมมติฐาน ประเมิน ใหค้ ำ� แนะนำ� การวพิ ากษว์ ิจารณ์ ใหค้ ะแนน จัดจำ� แนก การทดลอง ปรับปรงุ ใหม่ ตีค่า การตัดสิน อา้ งถงึ ให้คุณคา่ การทดสอบ จดั อนั ดับความส�ำคญั พิสูจน์ การสืบเสาะ/คน้ หา ใหเ้ หตุผลว่าท�ำไม ให้เหตุผลโต้แยง้ การกำ� กบั ติดตาม เปรยี บเทยี บ ตัดสนิ ใจ ประเมนิ คา่ วพิ ากษ์ โตแ้ ยง้ เพ่ือปกปอ้ ง เรียงลำ� ดบั คดั เลอื ก ปฏเิ สธ เลือก ฯลฯ การสร้างสรรค์ (Creating) เรยี งความ สร้างสูตร ผ้เู รยี นสร้างสรรค์ความคิดและข้อมลู รวบรวมสงิ่ ตา่ ง ๆ พฒั นา สารสนเทศใหมโ่ ดยใช้ประสบการณเ์ ดมิ จัดระบบ แสดง ปฏบิ ตั ิ ประดษิ ฐ์คดิ คน้ ทำ� นาย การออกแบบ รวบรวม เรยี บเรียง ผลิต การสร้างสิง่ ใหม่ ท�ำนาย/พยากรณ์ ผสมผสาน การวางแผน ประดิษฐ์ ออกแบบ ติดตัง้ การผลิตสงิ่ ใหม่ เสนอ ออกแบบ การประดษิ ฐ์คิดค้นส่ิงตา่ ง ๆ สรา้ ง ปรุง ประกอบ การประดิษฐ์ วางแผน รวบรวม การท�ำหรือปรุงสงิ่ ใหม่ เตรียมพรอ้ ม เรียบเรยี ง พัฒนา ฯลฯ ริเรมิ่ ส่ิงใหม่ จนิ ตนาการ 26 การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลับเพือ่ สง่ เสริมการเรียนรู้

ตัวอยา่ งคำ� ถามของพฤติกรรมแตล่ ะระดบั ของบลมู (Bloom’s Revised Taxonomy) ระดับ ตัวอย่างค�ำถาม การจ�ำ อะไรจะเกดิ ขึ้นหลังจาก...? (Remembering) ...มจี �ำนวนเท่าไหร่? สง่ิ น้คี อื อะไร? การเข้าใจ เขาคนนน้ั เปน็ ใคร? (Understanding) บอกชอ่ื ...ได้หรอื ไม่? หาความหมายของ... อธบิ ายว่าอะไรจะเกิดขึน้ หลงั จาก... ใครที่พดู กับ... ข้อไหนผดิ ขอ้ ไหนถูก? นกั เรยี นสามารถอธิบายวา่ ท�ำไม...? นักเรยี นสามารถเขยี นขอ้ ความโดยใชส้ �ำนวนของตนเองได้หรือไม?่ นักเรยี นจะอธิบายสิ่งน้ีไดอ้ ยา่ งไร? นักเรยี นสามารถเขยี นเคา้ โครงเรือ่ งส้นั ๆ ไดห้ รอื ไม?่ นกั เรยี นคดิ ว่าอะไรท่ีอาจจะเกดิ ต่อไปจากเหตกุ ารณ.์ ..? ใครทีน่ ักเรียนคดิ ว่าเขาเป็น...? ใจความสำ� คญั ของเร่อื งน้ีคอื อะไร? นกั เรียนสามารถอธบิ าย...ให้ชดั เจนไดห้ รอื ไม่? นกั เรียนสามารถอธิบาย...ไดห้ รอื ไม?่ คนท่ัว ๆ ไปทำ� ในสงิ่ ท.่ี ..ท�ำหรอื ไม?่ การน�ำไปใช้ นกั เรยี นทราบหรือไมว่ ่าตวั อยา่ งทน่ี ำ� เสนอน้นั หาได้จากท่ไี หน? (Applying) นักเรียนสามารถจัดกลุ่มส่ิงของโดยใช้ลกั ษณะ...ได้หรือไม่? ปจั จัยใดบา้ งที่นกั เรยี นสามารถเปลย่ี นแปลงถ้าหากว่า...? นกั เรียนจะถามเก่ยี วกับ...โดยใช้คำ� ถามว่าอยา่ งไร? จากขอ้ มลู ท่ีกำ� หนดให้ นักเรียนสามารถพัฒนาชุดการสอน เกย่ี วกับ...ได้หรือไม่? การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ข้อมลู ย้อนกลับเพ่อื ส่งเสริมการเรียนรู้ 27

ระดบั ตัวอยา่ งค�ำถาม การวเิ คราะห์ เหตกุ ารณ์ในขอ้ ใดทอ่ี าจจะไมเ่ กดิ ข้ึน? (Analysing) ถ้าเกดิ เหตกุ ารณ์...แลว้ ผลสดุ ท้ายจะจบลงอยา่ งไร? ส่งิ ของสองส่งิ นี้มคี วามคล้ายคลึงกนั อยา่ งไร? การประเมนิ คา่ นักเรียนมองเห็นผลลัพธอ์ นื่ ๆ ทอ่ี าจจะเกิดข้ึนอะไรบ้าง (Evaluating) ท�ำไม...จึงเกดิ การเปลยี่ นแปลง นักเรียนสามารถอธบิ ายสงิ่ ทจ่ี ะต้องเกดิ ขึ้นเมือ่ ...ไดห้ รือไม?่ อะไรเป็นปัญหาของ...? นักเรียนสามารถจำ� แนกความแตกต่างระหวา่ ง...ได้หรอื ไม่? มีอะไรบา้ งทเี่ ปน็ แรงจงู ใจอยู่เบื้องหลงั ของ...? จุดเปล่ยี นของเรอื่ งนี้คืออะไร? อะไรเป็นปญั หาท่ีเกี่ยวข้องกับ...? มวี ธิ ีการทดี่ ีกวา่ สำ� หรบั การแก้ปัญหา...หรอื ไม่? ตัดสินคุณค่าของ.../นกั เรยี นคดิ อะไรเก่ยี วกบั ...? นกั เรยี นสามารถปกปอ้ งแนวคดิ หรอื ตนเองเกยี่ วกบั ...ไดห้ รอื ไม?่ นกั เรียนรหู้ รือไมว่ า่ ...เปน็ ส่ิงท่ดี ีหรือไมด่ ?ี นักเรียนจะจัดการสิ่งต่อไปน้ไี ดอ้ ยา่ งไร? อะไรบา้ งทจี่ ะเปล่ยี นเปน็ ...นักเรียนจะแสดงความคิดเหน็ วา่ อย่างไร? นักเรียนเชอ่ื หรอื ไมว่ ่า....? นกั เรยี นรูส้ กึ อย่างไร ถ้า...? สิ่งน้จี ะเกิดประสิทธผิ ลอย่างไร? ผลท่ตี ามมาของการกระทำ� นี ้ คอื อะไรบ้าง? สงิ่ ต่อ นอี้ ะไรบ้างท่ีมีอทิ ธิพลต่อชวี ิตของเรา? ข้อดีและขอ้ เสียของ...มอี ะไรบา้ ง? ท�ำไม...จึงมีคา่ ? ทางเลือกอืน่ ๆ มีอะไรบ้าง? ใครไดป้ ระโยชน์และใครบา้ งเสยี ประโยชน์จากการกระทำ� นี?้ 28 การประเมนิ เพื่อเรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพือ่ สง่ เสริมการเรียนรู้

ระดับ ตัวอย่างค�ำถาม การสร้างสรรค์ นักเรียนสามารถออกแบบ...เพ่อื ...ได้หรอื ไม?่ (Creating) นักเรยี นมองเหน็ วธิ ีทอี่ าจจะเปน็ ไปได้ในการแกป้ ัญหา...? ถา้ นักเรียนสามารถใช้แหลง่ ข้อมลู ได้ท้ังหมด นกั เรยี นจะจดั การ ในการใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ไดอ้ ย่างไร? ท�ำไมนักเรียนจงึ ไม่ออกแบบการท�ำ...ด้วยตนเอง? อะไรจะเกดิ ขน้ึ ถา้ หากวา่ ...? มีแนวทางหรือวิธีการใดบ้างทน่ี กั เรยี นสามารถ...? นกั เรียนสามารถน�ำ...มาสรา้ งใหมแ่ ละคดิ วธิ นี ำ� ไปใช้ ท่แี ตกตา่ งจากเดิมไดห้ รอื ไม่? นกั เรยี นสามารถพัฒนาโครงรา่ งสำ� หรับ...ได้หรือไม่? การประเมนิ เพอื่ เรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลับเพ่อื ส่งเสรมิ การเรียนรู้ 29

กระบวนการทางสติปัญญา ตวั อย่าง การจ�ำ การระลึกได้ • ระบุกบชนดิ ตา่ ง ๆ ในแผนผงั ของสตั วค์ รง่ึ บกคร่งึ น้ำ� • คน้ หาดา้ นท่ีเทา่ กนั สองด้านของรูปสามเหลี่ยมที่ก�ำหนดให้ • ตอบคำ� ถามแบบถกู -ผดิ หรอื แบบเลอื กตอบได้ การจำ� ได้ • ระบชุ ื่อนกั เรียนสตรชี าวองั กฤษในศตวรรษที่ 19 จำ� นวน 3 คน • เขยี นข้อเทจ็ จริงแบบทวีคณู ได้ • สรา้ งสูตรเคมขี องสารคารบ์ อนเตตระคลอไรด์ได้ การเข้าใจ • แปลความหมายโจทย์ปัญหาเป็นสมการพชี คณิตได้ การแปลความหมาย • วาดรูประบบย่อยอาหารได้ • เรยี บเรยี งค�ำปราศรัยของประธานาธิบดลี ินคอนได้ การให้ตวั อย่าง • วาดรปู ทม่ี ีสมบตั ิคขู่ นานกันได้ • บอกชอื่ สตั ว์เลย้ี งลกู ดว้ ยนมท่ีอาศัยอยูใ่ นแถบบา้ นเรา การจดั จ�ำแนกหมวดหมู่ • ท�ำสญั ลกั ษณ์บวกหรอื ลบจ�ำนวน • ท�ำรายการประเภทของรัฐบาลทพี่ บในประเทศสหรฐั อเมรกิ า • จดั กลุม่ สตั วพ์ น้ื เมืองตามสปชี ีส์ การสรุป • ตงั้ ชื่อเรือ่ งบทความส้นั ๆ ได้ • ท�ำรายการจุดส�ำคญั ท่เี กี่ยวข้องกบั การทำ� โทษด้านการลงทุน ทด่ี �ำเนินการผ่านเว็บไซต์ การสรปุ อา้ งอิง • อา่ นเร่ืองราว บทสนทนาระหวา่ งบุคคลสองบคุ ลกิ พร้อมทงั้ สรปุ ความสัมพนั ธใ์ นอดตี ของคนทัง้ สอง • บอกความหมายของค�ำใหมจ่ ากบรบิ ทของเน้อื เรื่อง • ทำ� นายจำ� นวนในอนกุ รมได้ 30 การประเมนิ เพือ่ เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มูลย้อนกลับเพือ่ สง่ เสรมิ การเรยี นรู้

กระบวนการทางสตปิ ญั ญา ตวั อย่าง การเปรียบเทยี บ • อธบิ ายว่าหัวใจมคี วามเหมือนกับปั๊มนำ�้ อยา่ งไร • เขียนประสบการณ์ของตนเองเกย่ี วกับการบุกเบกิ ดินแดน ทางตะวนั ตก • ใชแ้ ผนภาพเวนในการอธิบายความเหมือนและความแตกตา่ ง ของหนังสือสองเลม่ ทีแ่ ต่งโดยซาร์ ดิกเกน้ ส์ การอธิบาย • วาดแผนผงั อธิบายวา่ ความดนั อากาศส่งผลอยา่ งไรตอ่ อากาศ • ค้นหารายละเอียดวา่ ทำ� ไมจงึ มีการปฏิวตั ฝิ รงั่ เศส เกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไร และมีการด�ำเนนิ การอย่างไร • อธิบายวา่ อัตราการลงทุนมผี ลอยา่ งไรตอ่ เศรษฐกิจ การน�ำไปใช้ • บวกเลขสองหลักในแนวตงั้ ได้ การปฏบิ ัติ • อา่ นออกเสยี งเรอ่ื งราวทเ่ี ปน็ ภาษาต่างประเทศได้ • ขวา้ งลกู เบสบอลไดไ้ กล การน�ำไปใช/้ การปฏบิ ตั ิ • ออกแบบการทดลองเกย่ี วกับการเจริญเติบโตของพืชในดนิ ต่างชนดิ กนั • ตรวจอกั ษรงานเขียนได้ • สร้างงบประมาณการทำ� งานได้ การหาความเหมือน- • เลอื กขอ้ ความหรือค�ำสำ� คญั จากโจทยป์ ญั หาทางคณิตศาสตร์ ความแตกต่าง และตดั ข้อความที่ไมเ่ กยี่ วขอ้ งออก • วาดแผนภาพแสดงประเดน็ หลกั และประเดน็ รองของบทประพนั ธ์ การจดั ระบบ • จัดวางหนงั สือในหอ้ งสมดุ ใหต้ รงตามหมวดหมู่ • ทำ� แผนผงั อปุ กรณท์ ีใ่ ช้บ่อยและอธิบายผลการใช้ • ทำ� แผนผงั แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งพชื กับสตั ว์ ใหเ้ หตผุ ลหรอื อา้ งเหตผุ ล • เขยี นจดหมายถงึ บรรณาธิการเพ่ือตัดสินความคดิ เหน็ ของผู้แตง่ ทม่ี ีตอ่ ปัญหาในท้องถ่ิน • ระบตุ วั ละครหรอื เรอื่ งราวทเ่ี ปน็ จดุ เดน่ ในบทประพนั ธห์ รอื เรอ่ื งสนั้ • ต้งั สมมติฐานเก่ยี วกบั มุมมองของนกั การเมอื งทม่ี ตี อ่ ปญั หาต่าง ๆ การประเมินเพอื่ เรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลับเพ่อื สง่ เสริมการเรียนรู้ 31

กระบวนการทางสติปัญญา ตัวอยา่ ง การประเมนิ ค่า การตรวจสอบ • มีส่วนรว่ มในการทำ� งานกลมุ่ ให้ข้อมูลปอ้ นกลบั ในการท�ำงาน หรอื ข้อโตแ้ ย้งอย่างมเี หตผุ ล • ฟังการปราศรยั ทางการเมืองแล้วท�ำรายการขอ้ ความ ท่ีมคี วามขดั แย้งกนั • ทบทวนแผนของโครงการวา่ ได้รวมขนั้ ตอนทีจ่ ำ� เป็น ไวใ้ นการด�ำเนนิ งานหรอื ยัง การวพิ ากษ์วิจารณ์ • ตัดสนิ ว่าควรดำ� เนนิ การอย่างไรให้โครงการประสบความส�ำเรจ็ ตามเกณฑ์ • เลอื กวธิ กี ารแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตรท์ เ่ี หมาะสมทส่ี ุด • ตดั สินข้อโตแ้ ย้งต่อความเชอื่ ทางโหราศาสตรอ์ ยา่ งถูกต้อง การสรา้ งสรรค์ • สร้างเกณฑ์หรือทางเลอื กสำ� หรับการพฒั นาความสมั พันธ ์ สรา้ งส่งิ ใหม่ ระหว่างเช้ือชาตใิ นโรงเรยี น • ต้งั สมมติฐานเพอ่ื อธิบายว่าท�ำไมพชื ตอ้ งการแสงอาทิตย์ • เสนอทางเลือกในการลดการพึ่งพาเชือ้ เพลิงจากซากพืชซากสัตว์ เพ่ือลดปญั หาด้านเศรษฐกิจและสง่ิ แวดลอ้ ม • ท�ำตามสมมติฐานทางเลอื กตามเกณฑท์ ก่ี �ำหนด การวางแผน • ท�ำบทภาพยนตรใ์ นการนำ� เสนอผลงานเก่ยี วกับแมลง • ท�ำเคา้ โครงรายงานการวจิ ยั เรอ่ื ง ความคดิ เหน็ ของ Mark Twain ที่มตี ่อศาสนา • ออกแบบการทดลองเพือ่ ตรวจสอบผลของดนตรีประเภทตา่ ง ๆ ท่ีสง่ ผลต่อการผลิตไข่ของไก่ การผลติ ผลงาน • เขยี นบทความจากความคดิ เห็นของทหารกลมุ่ พนั ธมิตร หรอื สหภาพ • สร้างแหล่งท่อี ยูอ่ าศัยให้กับสตั วป์ ีกในท้องถิ่น • แสดงละครเก่ยี วกบั เร่ืองราวบางตอนในบทประพนั ธ์ที่ไดจ้ าก การอ่าน 32 การประเมินเพื่อเรยี นรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพอ่ื สง่ เสรมิ การเรยี นรู้

พลังคำ� ถาม (Power Questions) 7. ใช้ค�ำถาม 1. วางแผน 2. หลกี เลี่ยง ทีห่ ลากหลาย การตงั้ ค�ำถาม การใชค้ �ำถาม ท่ีหลากหลาย ท่ชี ้ีน�ำค�ำตอบ ลว่ งหน้า 6. ถามทลี ะ 3. เวน้ หนงึ่ ค�ำถาม ระยะเวลา ใหผ้ ู้เรียนคดิ 5. ถามดว้ ย หาค�ำตอบ ค�ำถาม 4. ไม่ยำ�้ ค�ำถาม ทีช่ ดั เจน พลงั ค�ำถาม เป็นค�ำถามกระตุน้ การคดิ และน�ำไปส่กู ารเรยี นรู้ เปน็ ค�ำถามทส่ี อดคลอ้ งกับ จดุ มุ่งหมายของการเรียนรู้ เปน็ ค�ำถามที่มีประสทิ ธภิ าพมากกวา่ เป็นคำ� ถามท่ัว ๆ ไป กลยุทธ์การตั้งพลังค�ำถาม 1. วางแผนการตงั้ คำ� ถามทหี่ ลากหลายลว่ งหนา้ โดยเปน็ คำ� ถามทตี่ อบสนองจดุ ประสงค์ ให้ความส�ำคัญกับการถามในเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า คิดวิจารณญาณ คิดเป็นระบบ คดิ แกป้ ญั หา และคิดสร้างสรรค์ 2. หลีกเลย่ี งการใชค้ ำ� ถามทช่ี นี้ �ำคำ� ตอบ (Leading Questions) เพราะจะทำ� ให้ผเู้ รยี น ไม่ต้องใช้ความคิด 3. เว้นระยะเวลาให้ผูเ้ รียนคดิ หาคำ� ตอบ โดยการต้งั คำ� ถามแต่ละคำ� ถามจะตอ้ งเวน้ ช่วง ระยะเวลาที่เหมาะสม เพ่ือให้ผูเ้ รยี นไดค้ ดิ แสวงหาค�ำตอบ การประเมินเพ่ือเรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้ 33

4. ไม่ย้�ำค�ำถาม การย�้ำค�ำถามหรือถามซ�้ำจะท�ำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในค�ำถาม ของผโู้ คช้ เพราะเกดิ การเรยี นรวู้ า่ ผโู้ คช้ จะตอ้ งถามซำ้� ๆ ดงั นน้ั จงึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งสนใจคำ� ถามของผโู้ คช้ 5. ถามด้วยค�ำถามท่ีชัดเจน มีความเฉพาะเจาะจง เพราะจะท�ำให้ผู้เรียนมีประเด็น การคิดหาคำ� ตอบการต้งั คำ� ถามทกี่ ว้างมากเกนิ ไป ทำ� ให้ผเู้ รียนสับสนวา่ ผู้โค้ชตอ้ งการถามอะไร 6. ถามทีละหนึ่งค�ำถาม ไม่ถามหลายค�ำถามในครั้งเดียวกัน เพราะท�ำให้ค�ำถาม ลดความสำ� คัญลง และยังท�ำให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความสับสนอีกด้วย 7. ใช้ค�ำถามท่ีหลากหลาย ได้แก่ ค�ำถามปลายปิด ค�ำถามปลายเปิด ตลอดจน การเช่ือมโยงสาระทีถ่ ามใหส้ อดคล้องกบั สถานการณใ์ นชวี ิตจริง เปน็ เรื่องใกลต้ วั ผเู้ รยี น ซงึ่ จะทำ� ให้ ผ้เู รยี นให้ความสนใจค�ำถามมากย่งิ ขนึ้ กลยุทธก์ ารตอบสนองตอ่ ค�ำตอบของผเู้ รียน 1. ผโู้ คช้ ตงั้ ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ กบั ตนเองวา่ คำ� ตอบของผเู้ รยี นเปน็ สง่ิ ทมี่ คี ณุ คา่ ไมว่ า่ จะเปน็ ค�ำตอบทถ่ี กู หรือผิด ผู้โค้ชจะใหค้ วามสนใจกบั ทุกคำ� ตอบ 2. ไม่ขัดจังหวะการตอบค�ำถามของผู้เรียนโดยไม่จ�ำเป็น โดยเปิดโอกาสให้ตอบค�ำถาม ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี และถา้ สิง่ ทีผ่ ู้เรยี นตอบน้นั มีประเดน็ ท่นี ่าสนใจ ผโู้ คช้ อาจตง้ั ค�ำถามต่อเนอื่ งไปได้ 3. แสดงท่าทางให้ความสนใจกับค�ำตอบของผู้เรียน ไม่ว่าค�ำตอบน้ันจะถูกต้องหรือไม่ ก็ตาม การแสดงทา่ ทางให้ความสนใจดังกลา่ ว เป็นการให้แรงเสรมิ กบั ผเู้ รียนใหต้ อบค�ำถามไดม้ าก ๆ 4. ไม่ด่วนสรุปตัดสินค�ำตอบของผู้เรียนว่าเป็นค�ำตอบท่ีไม่ถูกต้อง หรือเป็นค�ำตอบ ท่ีไม่เข้าท่า แต่ผู้โค้ชควรให้ค�ำแนะน�ำหรือแสดงความคิดเห็นของตนเองเพ่ิมเติม เพ่ือท�ำให้ผู้เรียน มคี วามเข้าใจทถี่ ูกต้อง 5. ถ้าผู้เรียนไม่ตอบค�ำถามใด ๆ ผู้โค้ชควรตั้งค�ำถามใหม่ที่ง่ายกว่าค�ำถามเดิม และ เม่อื ผูเ้ รยี นตอบค�ำถามท่งี า่ ยน้ันได้แล้ว จงึ กลับมาถามค�ำถามเดมิ ท่ผี ู้เรยี นไม่ตอบอีกคร้งั 6. นกั เรียนคดิ ว่าการท�ำความดนี ้นั ทำ� ยากหรอื ง่าย ประเภทของค�ำถาม ค�ำถามท่ีใช้ถามผู้เรียนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีจุดมุ่งหมายในการถาม ท่ีแตกต่างกัน แต่ล้วนใช้เป็นค�ำถามที่กระตุ้นการคิดของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ผู้โค้ชควรใช้ประเภท คำ� ถามทม่ี คี วามหลากหลาย เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชค้ วามคดิ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ซง่ึ มตี วั อยา่ งประเภทคำ� ถาม และตัวอย่างคำ� ถาม ดังต่อไปนี้ 34 การประเมนิ เพ่ือเรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลบั เพ่ือสง่ เสรมิ การเรยี นรู้

ประเภทค�ำถาม ตวั อยา่ งค�ำถาม 1. คำ� ถามตรวจสอบผลการเรียนรู้ - องคป์ ระกอบของส่ิงมชี วี ติ คืออะไร - การออกก�ำลงั กายมปี ระโยชนอ์ ย่างไร 2. คำ� ถามทใ่ี ห้ผเู้ รยี นอธิบาย - อธบิ ายความหมายของค�ำวา่ ประชาธิปไตย ขยายรายละเอยี ด - อธิบายความเกยี่ วข้องกนั ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั ส่งิ แวดลอ้ ม 3. ค�ำถามท่ใี ช้ตรวจสอบทศั นคติ - นักเรียนคดิ ว่าคณติ ศาสตรม์ ีประโยชนอ์ ย่างไร ของผ้เู รียน - นักเรียนคดิ ว่าการท�ำความดีน้นั ทำ� ยากหรืองา่ ย 4. ถามทชี่ ้ีให้ผู้เรยี นมมี ุมมอง - นักเรียนคิดวา่ ยงั มีวิธกี ารอน่ื อีกหรอื ไม่ ทห่ี ลากหลาย - คดิ ว่าเรื่องนม้ี ีข้อดีและขอ้ เสียอยา่ งไร 5. ค�ำถามทใ่ี ห้ผู้เรยี นลงสรปุ แนวคดิ - นักเรยี นได้ความรูอ้ ะไรจากการเรยี นเร่ืองนี้ หรือความรู้ - ใจความส�ำคัญของสงิ่ น้คี ืออะไร 6. คำ� ถามที่ให้ผู้เรยี นสนบั สนนุ - นักเรียนเหน็ ด้วยกบั เรื่องนเ้ี พราะอะไร ความคดิ ของตัวเอง - นักเรยี นตัดสนิ ใจแบบนเี้ พราะอะไร 7. ค�ำถามทใี่ ห้ผู้เรยี นแสดงความคิด - นกั เรยี นคิดอยา่ งไรกับเรอ่ื งนี้ เหน็ ตอ่ สิง่ ใดสิง่ หนึ่ง - นกั เรียนเหน็ ดว้ ยกับเรื่องน้หี รือไม่ 8. ค�ำถามทใ่ี ห้ผเู้ รยี นใหเ้ หตุผล - นกั เรียนคิดว่าเพราะเหตุใดเราจึงควรประหยัด เก่ียวกับสิง่ ใดสิง่ หนง่ึ - ท�ำไมสง่ิ แวดลอ้ มมีความส�ำคัญกบั มนุษย์ 9. คำ� ถามท่ีใหผ้ ู้เรยี นแสวงหาวิธีการ - นกั เรียนคิดว่าปัญหาทเ่ี กดิ ขึ้นจะแก้ไขอย่างไร แก้ปญั หา - นักเรยี นคิดว่ามวี ิธีการแก้ปัญหาได้อย่างไร 10. นกั เรียนคิดว่ามีวธิ ีการแก้ปญั หา - นักเรยี นคิดวา่ ปญั หาท่ีเกิดข้นึ จะแกไ้ ขอย่างไร อยา่ งไร - นักเรียนคิดว่าจะหาความรเู้ พมิ่ เตมิ จากสง่ิ ใด 11. ค�ำถามที่ใหผ้ เู้ รียนทำ� นาย - นกั เรียนคดิ วา่ จะเกิดอะไรขึ้นกบั เหตุการณ์นี้ ปรากฏการณ์บางอย่าง - ถ้าส่งิ นีเ้ กดิ ข้ึนนกั เรียนคดิ ว่าจะเกดิ อะไรต่อไป 12. ค�ำถามทใ่ี ห้ผเู้ รยี นทบทวน - นักเรยี นคดิ วา่ คำ� ตอบท่ีได้มขี ้อผดิ พลาดอะไร ผลการเรียนรูข้ องตนเอง - นักเรยี นมั่นใจในคำ� ตอบของตัวเองหรือไม่ 13. ค�ำถามท่ีให้ผู้เรียนกำ� หนด - นกั เรยี นมเี ป้าหมายในการเรยี นว่าอย่างไร เปา้ หมายของตนเอง - วันนีน้ ักเรียนต้องการเรียนรเู้ รอ่ื งใด 14. ค�ำถามทใี่ ห้ผเู้ รียนวางแผน - นักเรียนคิดวา่ จะวางแผนการเรียนอย่างไร การพฒั นาตนเอง - นักเรยี นจะวางแผนอยา่ งไรให้ผลงานมคี ณุ ภาพ 15. คำ� ถามทท่ี �ำใหผ้ ู้เรยี น - นกั เรยี นคดิ วา่ ตนเองมคี วามเก่งในเร่ืองใด เกดิ ความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง - นกั เรยี นเชือ่ หรอื ไมว่ ่าตนเองจะทำ� ไดส้ �ำเรจ็ การประเมนิ เพ่ือเรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเพื่อสง่ เสริมการเรียนรู้ 35

เทคนิคทค่ี รสู ามารถนำ� ไปใช้ในช่วงการถาม-ตอบค�ำถามในชั้นเรยี น 10. การใช้ 1. รอเวลา ค�ำถามแบบ เจาะลกึ ความ 2. ไมม่ ีการยกมือ เข้าใจ 9. การต้งั ค�ำถาม เทคนคิ 3. การตัง้ ค�ำถาม โดยใชไ้ ม้ การตงั้ ค�ำถาม ต่อยอด ไอศกรีม 4. บตั รค�ำ 8. การตอบ ABCDE บนกระดาน (ไวทบ์ อรด์ ) 7. การตอบ 6. การต้ังค�ำถาม 5. การสัมมนา เพ่ิมเติม แบบสบื สวน/ แบบโสเครติส สอบสวน 36 การประเมนิ เพอื่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมลู ย้อนกลับเพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้

รายละเอยี ดของเทคนคิ ทคี่ รสู ามารถน�ำไปใช้ในชว่ งการถาม-ตอบค�ำถามในช้นั เรยี น 1. รอเวลา 2. ไมม่ ีการยกมือ 3. การตงั้ ค�ำถามต่อยอด - ใหเ้ วลานกั เรียนคดิ สักนิด หลงั จากทคี่ รถู ามค�ำถามแล้ว - เมอ่ื ครูต้องการใหน้ กั เรยี นมี - ครูควรเรยี บเรยี งค�ำถาม จากงานวิจัยพบว่า ส่วนร่วมในการตอบค�ำถามใด ๆ ตามล�ำดบั เป็นข้นั ๆ การให้เวลานกั เรียนประมาณ ครอู าจใช้เทคนคิ ดงั กลา่ ว ใหส้ อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา 3-5 วินาที ก่อนตอบคำ� ถาม โดยอธบิ ายว่า คำ� ถามนี้ การเรยี นรู้ โดยเร่มิ ถามค�ำถาม ช่วยเพมิ่ คุณภาพและปรมิ าณ ครคู ิดวา่ ทกุ คนควรมสี ว่ นรว่ ม เพือ่ ให้ได้ค�ำตอบตามระดับ ของค�ำตอบไดอ้ ยา่ งมาก ในการตอบจึงไม่จ�ำเปน็ ต้องมี ขน้ั ตอน ทกั ษะการเรยี นรู้ (จนน่าท่ึง) การยกมือตอบ ขั้นพ้นื ฐาน ได้แก่ สังเกต บรรยาย ระบุ ทบทวนความร้เู ดมิ และไปต่อยอดสูร่ ะดับท่สี ูงขึ้น คือ การสงั เคราะห์ การน�ำไปใช้ และตีความผ่านการอภิปราย ในชัน้ เรียน 4. บัตรค�ำ ABCDE 5. การสมั มนาแบบโสเครตสิ 6. การตั้งค�ำถามแบบ - ให้เวลานกั เรียนคดิ สักนิด สบื สวน/สอบสวน หลังจากทีค่ รถู ามค�ำถามแล้ว จากงานวิจัยพบว่า - ครใู ห้นกั เรยี นเขยี นค�ำถาม - ทำ� ไมตวั ละคร/คน การให้เวลานกั เรียนประมาณ เมื่อจบบทเรยี นหรอื คิดอย่างนั้น 3-5 วินาที ก่อนตอบคำ� ถาม หน่วยการเรยี น จากนั้น ชว่ ยเพม่ิ คุณภาพและปริมาณ แบง่ นักเรียนออกเปน็ กลุ่มย่อย - คณุ รไู้ ด้อยา่ งไร ของคำ� ตอบไดอ้ ยา่ งมาก โดยในแตล่ ะกล่มุ จดั ใหส้ มาชกิ - มีเหตผุ ลไหม อะไร 1 คน ท�ำหนา้ ท่ีเป็นผ้ปู ระสานงาน - คณุ หมายความวา่ อะไร นำ� สูก่ ารอภปิ รายกลุ่ม สมาชกิ ที่พูดว่า... แต่ละคนส่งค�ำถามของตนเอง - มีเหตุผล/ข้อมูลอะไรทคี่ ุณ มารวมกัน ซ่งึ มสี มาชิกคนหนึง่ ต้องสนบั สนุนจุดยนื ของคุณ อา่ นคำ� ถามและดำ� เนินการ - บอกข้อมูลมากกว่าน้ี อภิปรายหาคำ� ตอบรว่ มกัน ในเรือ่ ง... หากกลมุ่ ใดตอ้ งการ - คณุ จะท�ำให้นา่ เช่ือถอื หรอื ความช่วยเหลอื ครกู ็เข้าไป ยืนยนั เรอื่ ง...อย่างไร ใหค้ วามชว่ ยเหลอื หรือชี้แนะ รวมท้งั ท�ำหน้าท่เี ปน็ ผ้สู งั เกต การเรยี นรูข้ องนักเรียน การประเมินเพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพ่ือสง่ เสริมการเรียนรู้ 37

7. การตอบเพ่มิ เตมิ 8. การตอบบนกระดาน 9. การต้ังค�ำถามโดยใช้ (ไวทบ์ อรด์ ) ไมไ้ อศกรมี - เป็นวิธที ่ีครูให้นักเรยี น - วิธกี ารน้ีมีจุดประสงค์ - วธิ นี ้คี รูเขียนชือ่ นักเรียน ช่วยตอบเพ่มิ เติมคำ� ตอบ ที่จะรบั รคู้ วามเขา้ ใจของ แต่ละคนลงบนไมไ้ อศกรีม ของเพื่อนร่วมชั้นท่ีตอบมาแล้ว นกั เรยี นอยา่ งรวดเร็ว โดยครู แตล่ ะอนั วางไมไ้ อศกรมี บอ่ ยครงั้ ทคี่ วามคิด ใหน้ กั เรยี นตอบสน้ั ๆ เทา่ กับจ�ำนวนนกั เรยี นลงใน ของนกั เรียนจะเกิดขนึ้ เพ่มิ เตมิ (1 หรอื 2 ค�ำ) ลงบนกระดาน ถ้วย 1 ใบ เม่ือครูถามค�ำถาม อกี หลังจากที่ได้ฟงั คำ� ตอบ จากน้นั ชูกระดานคำ� ตอบขนึ้ ครูดึงไมไ้ อศกรีมทตี่ รงกับ ของเพ่อื น ดงั น้นั จงึ เป็นโอกาส ครูก็สามารถมองเห็นว่า ช่ือนกั เรียนคนใด นกั เรยี นคนน้นั ท่ีดที ่ีครูควรถามนักเรียน นกั เรยี นแต่ละคนมคี วามรู้ ตอ้ งลุกขึ้นตอบคำ� ถาม คนอ่ืน ๆ เพอ่ื ช่วยเสรมิ เติมเต็ม ความเขา้ ใจแคไ่ หน การเรียนรู้ ถ้าตอบไมไ่ ดค้ รูกห็ ยบิ ค�ำตอบนั้น ๆ กำ� ลังพัฒนาอย่างไร ไมไ้ อศกรมี ทม่ี ีชือ่ นักเรียน คนต่อไป 10. การใช้ค�ำถามแบบเจาะลึกความเข้าใจ - ครตู อ้ งพจิ ารณาถึงระดับของค�ำถามท่คี รใู ช้เสมอวา่ เปน็ คำ� ถามระดบั ใด ถ้าใช้ค�ำตอบท่ตี อ้ งการทบทวนความรู้เดมิ ครูกค็ าดหวงั ได้วา่ การอภปิ รายที่ไดจ้ ะตอ้ งลงลกึ ถึงความเขา้ ใจ ในเนอื้ หาเร่ืองทีส่ อนได้เพียงเล็กนอ้ ยเท่าน้ัน 38 การประเมินเพอื่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลบั เพอื่ สง่ เสริมการเรียนรู้

2. การใชค้ �ำถาม 3. การใช้ค�ำถาม เพอ่ื สรา้ งความม่นั ใจ เพ่ือขยายค�ำตอบ ของนกั เรยี น 1. การใช้ การน�ำเทคนิค 4. การใช้ค�ำถาม ค�ำถาม-ค�ำตอบ การใชค้ �ำถามมาใช้ เพ่อื ส่งเสริมใหน้ กั เรยี น เพอ่ื ทบทวนบทเรยี น ในชว่ งเวลา เขา้ ใจกระบวนการ การถาม-ตอบ ท�ำงานของตนเอง ในช้นั เรยี น การน�ำเทคนิคการใช้ค�ำถามมาใช้ในช่วงเวลาการถาม-ตอบในช้ันเรยี น มดี ังนี้ 1. การใช้ค�ำถาม-ค�ำตอบเพ่ือทบทวนบทเรยี น 1.1 กระดานแผน่ เหลก็ โดยครูใหน้ ักเรียนแต่ละคนเขยี นค�ำตอบและแสดงใหค้ รดู ู ซึง่ ครูสามารถมองคำ� ตอบและทราบได้วา่ นักเรียนคนใด มีความรู้ ความเข้าใจในบทเรยี นนน้ั ๆ อย่างไร และคนใด ต้องการเพิ่มเติมความร้ใู นเรือ่ งดังกลา่ ว 1.2 นค่ี อื ค�ำตอบ, เทคนคิ น้คี รจู ะบอกค�ำตอบใหน้ กั เรยี น เชน่ อะไรคอื ค�ำถาม - ครู : “ค�ำตอบ คอื 45 ค�ำถามสำ� หรบั ค�ำตอบน้คี ืออะไร (Here is the answer, หรือควรจะถามว่าอย่างไร” หรือ What’s the question) - ครู : “ค�ำตอบ คอื พระเจ้าเฮนร่ที ี่ 8 นกั เรียนคดิ ว่า มคี ำ� ถามอะไรบา้ งท่สี ามารถใชค้ ำ� ตอบนไ้ี ด”้ 1.3 บิงโกค�ำส�ำคัญ เทคนิคน้ีใช้ในกรณที ี่ครตู อ้ งการทบทวนคำ� ส�ำคัญทเ่ี รียนรู้ โดยครูเขียนค�ำส�ำคญั พร้อมหมายเลขแต่ละค�ำบนกระดาน จากนั้นให้นกั เรยี นเลือกหมายเลขของคำ� เหล่านน้ั เขียนลงบน กระดานบิงโกของตนเอง ต่อมาใหน้ ักเรยี นฟังครูอา่ นคำ� จำ� กัดความ ของคำ� สำ� คัญทีละคำ� แล้วจึงกากบาทหมายเลขของคำ� สำ� คัญ ทต่ี รงกบั ค�ำจ�ำกดั ความ เม่ือนักเรียนคนใดมีกากบาทครบ ตามตารางบงิ โก ตามแนวดิ่ง แนวนอน หรอื แนวทแยง ให้นักเรยี นคนนนั้ อา่ นค�ำส�ำคญั คำ� น้นั พรอ้ มกบั คำ� จ�ำกัดความ เพ่ือเป็นการทบทวนความร้รู ว่ มกนั การประเมนิ เพือ่ เรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับเพื่อส่งเสรมิ การเรียนรู้ 39

2. การใชค้ �ำถามเพอ่ื สรา้ งความม่นั ใจ การต้ังค�ำถามท่ีท�ำให้นักเรียนไม่รู้สึกว่าขาดความมั่นใจเม่ือตอบผิด จะกระตุ้น ให้นักเรียนม่ันใจหรือกล้าเส่ียงที่จะตอบ ค�ำถามเหล่านี้จะเป็นค�ำถามที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนา ความเข้าใจ และเพิ่มความร้ขู ึ้นทลี ะน้อย เทคนิคท่ีครสู ามารถน�ำไปใชไ้ ด้ อาทิ • ให้เวลาคดิ ครูจะใหเ้ วลานกั เรียนคดิ หลงั จากตง้ั คำ� ถาม • หาตวั ชว่ ย เปน็ การสรา้ งความมน่ั ใจในการตอบคำ� ถามของนกั เรยี น ซงึ่ เมอ่ื นกั เรยี น ไดฟ้ งั ค�ำถามของครแู ล้ว ครจู ะเปิดโอกาสให้ถามเพอื่ นหรือตัวช่วยได้ • การให้ค�ำถามล่วงหน้า เพือ่ ให้นกั เรียนได้มกี ารร่วมกันคดิ หรืออภปิ รายหาคำ� ตอบ ลว่ งหนา้ ก่อน • การถามสะทอ้ นหรอื การถามยำ�้ ซำ้� เปน็ การใชค้ ำ� ถาม ถามเพอื่ ยำ้� คำ� ตอบทน่ี กั เรยี น ตอบมา โดยเฉพาะกรณีทีค่ �ำตอบน้นั เป็นคำ� ตอบท่ไี มถ่ กู ตอ้ ง เพอ่ื ให้นกั เรียนไดท้ บทวนค�ำตอบ ตัวอยา่ งถามสะทอ้ นหรอื การถามย้�ำซ้ำ� เชน่ “ทเี่ ธอตอบมา หมายถึง ...ใช่ไหม” “นักเรียนคนอ่ืน ๆ ละ่ ใครคิดต่างจากนบ้ี ้าง” หรือ เมื่อนักเรียนตอบไม่ถูกต้อง ครูอาจถามค�ำถามเดิมกับนักเรียนคนอื่น เพอื่ ใหไ้ ดค้ ำ� ตอบท่หี ลากหลาย และกลับมาถามนักเรยี นคนเดมิ ทีต่ อบไมถ่ ูกว่า “เธอยังยนื ยนั ค�ำตอบเดิม หรือคดิ จะเปลยี่ นค�ำตอบใหม่” หรือครูอาจสรุปค�ำตอบ หรือข้อถกเถียงจากค�ำตอบท่ีหลากหลายของนักเรียน แล้วถามกลับไปวา่ “นักเรยี นคิดว่าคำ� ตอบใดถกู ทีส่ ุด เพราะอะไร” 40 การประเมินเพ่ือเรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับเพือ่ สง่ เสรมิ การเรยี นรู้

3. การใชค้ �ำถามเพ่อื ขยายค�ำตอบของนกั เรียน ในการถาม-ตอบค�ำถามระหว่างครูกับนักเรียน การที่ครูใช้ค�ำถามเพ่ือขยายมุมมอง หรือความคิดของนักเรียน ถือว่าเป็นการส่งเสริมความเข้าใจ รวมทั้งเป็นการให้โอกาสนักเรียน ได้อธิบายความคิดของตนเอง ค�ำถามที่ครูสามารถน�ำไปใช้ขยายค�ำตอบของนักเรียน หลังจาก ท่ีนกั เรียนตอบคำ� ถามแล้ว อาทิ “อธบิ ายเพมิ่ เตมิ หนอ่ ยไดไ้ หม” “ลองยกตวั อย่างหรอื บอกรายละเอียดเพิม่ เตมิ อีกหนอ่ ย” “พูดตอ่ ไป” “บอกเพ่มิ เติมหน่อยไดไ้ หมว่า เธอหมายถงึ อะไร” หรอื อาจใชภ้ าษาทา่ ทาง เช่น พยักหนา้ หรือใชส้ ัญญาณมือ เพ่อื ใหน้ กั เรยี นพูดต่อไป รวมทงั้ อาจใชก้ ารถามซ�ำ้ ย�้ำค�ำตอบของนักเรยี น เชน่ “ดังนน้ั ส่ิงทเ่ี ธอคดิ ก็คือ...(ทบทวนสงิ่ ท่นี กั เรียนตอบ)” “ดังนั้น ทีเ่ ธอพดู หมายถงึ ...” “นักเรยี นคนไหนจะสรุปสงิ่ ท่สี มศรเี พิง่ ตอบไปได้บา้ ง” นอกจากน้ันการขยายค�ำตอบที่นักเรียนตอบมา ครูอาจใช้การตอบกลับเพื่อกระตุ้น ให้นกั เรยี นคดิ ตอ่ เชน่ “ใชแ่ ลว้ บางทีครกู ค็ ดิ ว่า...” “แลว้ เธอคิดอย่างไร” “ครูรู้วา่ เธอหมายถงึ อะไร ครูก็คดิ เชน่ กันวา่ ...” “นักเรียนรสู้ กึ ไหมว่า...” เทคนิคการใช้ค�ำถามเพื่อขยายค�ำตอบของนักเรียนนี้จะช่วยให้นักเรียนคิดตาม และสามารถปรบั แก้ไขค�ำตอบ กรณีทคี่ ำ� ตอบอาจมคี วามผิดพลาด หรอื คลาดเคลอื่ นไดด้ ้วยตนเอง การประเมินเพ่ือเรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับเพือ่ สง่ เสริมการเรียนรู้ 41

4. การใช้ค�ำถามเพอ่ื ส่งเสริมใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจกระบวนการท�ำงานของตนเอง ช่วงเวลาการถาม รายละเอยี ด ตัวอย่างค�ำถาม นักเรยี นเร่ิมทำ� ชิน้ งาน ครูใชค้ �ำถามเพ่ือให้นักเรียน “เธอคดิ อยา่ งไรกบั ...” ไดป้ ระเมินการทำ� งาน “เธอคิดว่าจะทำ� อะไรตอ่ ไป” ของตนเองตามเกณฑ์ “มีอะไรพเิ ศษทนี่ ักเรียนคิดว่า ความสำ� เร็จทีน่ ักเรยี น ต้องเพิ่มเตมิ ไหม” มีไวใ้ นใจซ่ึงมตี ัวอย่าง “เธอคดิ ว่าทท่ี ำ� มาเป็นอยา่ งไร” คำ� ถามดังตอ่ ไปนี้ “เธอคดิ ว่าทีท่ ำ� มามันส�ำคญั หรอื จ�ำเป็นไหมทีต่ ้อง..” “เม่อื งานนีส้ ำ� เร็จแลว้ จะออกมา เปน็ อย่างไร” เมื่อนักเรยี นเริ่มท�ำช้ินงาน ถ้ามีปญั หาหรือความยาก “เธอจะลอง...ดูไหม” เกดิ ขึน้ ในขณะท�ำชิ้นงานครู “แลว้ ถ้าอย่างน้จี ะดขี ึ้นไหม” อาจใชค้ �ำถามต่อไปน้ี “ท�ำไมไม่...” “ลองเปรียบเทียบความคิดเธอกบั ...” “มวี ิธีอ่นื ทเ่ี ธอคดิ อีกไหม” “วิธ.ี ..จะชว่ ยได้ไหม” ขณะนกั เรียนปฏิบตั ิ ครอู าจใชค้ ำ� ถามเพ่อื ช่วย “เธอตดั สินใจท่จี ะ.../ทำ� ไมเธอตัดสนิ ภาระงาน การปฏิบัตงิ านของนักเรียน ใจอยา่ งนนั้ ” “บอกครซู วิ า่ มีวิธีอ่ืนไหมทเ่ี ธอจะ...” “แล้วจะยงั ไงตอ่ ...” “มนั อาจจะ...ได้ไหม” เมือ่ เสร็จสิ้นการท�ำ ครใู ชค้ ำ� ถามเพอ่ื สะทอ้ นกลบั “คุณจะปรบั หรอื พัฒนา...อยา่ งไร” ภาระงานหรอื เสรจ็ สิ้น หรอื เสริมใหน้ ักเรียนเข้าใจ “มันเกิดขน้ึ ได้อย่างไร” บทเรยี น วธิ คี ดิ หรือกระบวนการเรยี นรู้ “เธอจัดการมันไดอ้ ยา่ งไร” ของตนเอง “ท�ำไมจึงเปน็ เช่นน้นั ” “อะไรคอื ส่งิ ทีด่ ที ี่สดุ ในผลงาน ของนักเรยี น” “อะไรคือเคล็ดลบั ของความส�ำเรจ็ ” “อะไรคือวิธที ม่ี ีประสทิ ธิภาพทสี่ ุด” “นกั เรียนสามารถน�ำวิธีการเหล่าน้ี ไปใช้ท่ีอื่นไดไ้ หม ที่ไหนบ้าง” 42 การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้