Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมสมัย

เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมสมัย

Published by 033 วันวิสา นิยมธรรม, 2021-06-08 04:56:52

Description: รายวิชา นวัตกรรมเพื่อการศึกษา ปี2 เทอม 2 ปีการศึกษา 2563
เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมสมัย

Keywords: เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมสมัย

Search

Read the Text Version

ทฤษฎรี ว่ มสมยั (Contemporary Theory)

ทฤษฎกีารเรีย นรู้ประมวลสารสนเทศ(Information Processing Theory) ทฤษฎีก ระบวนก ารทางสมองในก ารประมวลขอ้มูลทปน็ทฤษฎทีี่สนใจ ทก ่ีย วก ับก ระบวนก ารพฒันาสติปญั ญ าของมนุษย ์โดย ใหค้วามสนใจ ทก ่ีย วก บัก ารทางานของสมอง โดย ทฤษฎนีม้ีแีนวคิดว่า ก ารทางานของสมองมนษุย ม์คีวามคลา้ย คลงึก ับก ารทางานของทคร่ืองคอมพวิทตอร์คลอสทมยีร์(Klausmeier) ไดอ้ ธบิ ายการเรียนรูข้ องมนษุ ย์โดยเปรยี บเทียบการ ทางานของคอมพวิ เตอรก์ ับการทางานของสมอง ซึง่ มกี ารทางานเป็นขนั้ ตอนดังน้ี 1.ก ารรับขอ้มูล(Input) โดยผา่ นทางอปุ กรณห์ รือเครอ่ื งรับข้อมลู 2.ก ารทขา้รหสั(Encoding) โดยอาศยั ชุดคาส่งั หรือซอฟต์แวร์ (Software) 3.ก ารสง่ขอ้มูลออก (Output) โดยผา่ นทางอุปกรณ์ คลอสเมยีรไ์ดอ้ธบิายการประมวลผลขอ้มลู โดยเรมติ่น้จากการทม่ีนษุยร์บัสงิ่เราเ้ขา้มาทางประสาทสมัผสัทง้ั5 สงิ่เราท้เ่ีขา้มาจะไดร้บัการบนัทกึไวใ้นความจาระยะสนั้ซ่ึงการ บนัทกึนจ้ีะขนึ้อยกู่บัองคป์ระกอบ 2 ประการคอืการรจู้กั(Recognition) และความสนใจ(Atention) ของบุคคลทรี่บัสงิ่เรา้บุคคลจะเลอืกรบัสงิ่เราท้ต่ีนรจู้กัหรอืมี ความสนใจสงิเ่รา้นน้ัจะไดร้บัการบนัทกึลงในความจาระยะสนั้(Short-Term Memory) ซ่ึงดารงคงอยในู่ ระยะเวลาทจี่ากดัมากในการทางานทจ่ีะเปน็ตอ้งเกบ็ขอ้มลู ไวใช้ ้ ชว่ัคราวอาจจาเปน็ตอ้งใชเ้ทคนคิตา่งๆในการจาชว่ยเชน่การจดักลมุ่คา หรอืการทอ่งซ้า ๆกนัหลายครงั้ซ่ึงจะสามารถชว่ยใหจ้ดจาสงิ่นน้ัไวใช้ ง้านได้การเกบ็ขอ้มลู ไวใช้ ใ้นภายหลงั สามารถทาไดโ้ดยขอ้มลู นน้ัจาเปน็ตอ้งไดร้บัการประมวลและเปลย่ีนรปูโดยการเขา้รหสั(Encoding)เพอื่นาไปเกบ็ไวใ้นความจาระยะยาว(Long Term Memory) ซ่ึงอาจตอ้งใชเ้ทคนคิตา่งๆเขา้ชว่ยเชน่การทอ่งซ้าหลายๆครงั้หรอืการทาขอ้มลู ใหม้ีความหมายกบัตนเองโดยการสมัพนัธส์งิ่ทเ่ีรยีนรสู้งิ่ใหมก่บัสงิ่เกา่ทเ่ีคยเรยีนรมู้ากอ่นซ่ึง เรยีกวา่เปน็กระบวนการขยายความคดิ (Elaborative Operations Process) ความจาระยะยาวนม้ีี2 ชนดิ คอืความจาทเี่กย่ีวกบัภาษา(Semantic) และ ความจาทเ่ีกยี่วกบัเหตกุารณ(์Affective Memory)เมอ่ืขอ้มลู ขา่วสารไดร้บัการบนัทกึไวใ้นความจาระยะยาวแลว้บุคคลจะสามารถเรยีกขอ้มลู ตา่งๆออกมาใชไ้ด้ซ่ึงในการ เรยีกขอ้มลู ออกมาใช้บุคคลจาเปน็ตอ้งถอดรหสัขอ้มลู (Decoding)จากความจาระยะยาวนนั้และสง่ตอ่ไปสตู่วักอ่กาเนดิพฤตกิรรมตอบสนองซ่ึงจะเปน็แรงขบัหรอืกระตนุ้ให้ บุคคลมกีารเคลอ่ืนไหวหรอืการพดูสนองตอบตอ่สงิ่แวดลอ้มตา่งๆ

การประยุกตใ์ ชเ้ ฤษฎใี นการเรยี นการสอน ในการจดัการเรยีนการสอนนน้ัควรตระหนกัถงึสงิ่ทผ่ีเรู้ ยีนเคยรมู้ากอ่นทถ่ีกู บนั ทกึเกบ็ไวใ้นความจา ระยะยาวซ่ึงมอีทิธพิลกบัการเรยีนรใหู้ ม่ควรพยายามสรา้งสะพานทจี่ะชวย่ใหผ้เรู้ยีนสามารถเชอ่ืมโยงระหวา่งสงิ่ท่ี ผเรู้ยีนเคยรมู้ากอ่นกบัสงิ่ทจ่ีะเรยีนรใหู้ ม่โดยวธิกีารตา่งๆทกี่ลา่วมาแลว้เชน่การทบทวนการทาซ้าๆ (Rehearsal) การเรยีบเรยีงและรวบรวม(Organize) การขยายความ หรอืขยายความคดิ (Elaborate) การบรหิ ารควบคุมการประมวลขอ้มลู ของสมองกค็อืการทบ่ีุคคลรถู้งึการคดิ ของตนและสามารถควบคุมการคดิ ของตนใหเ้ปน็ไปในทางทตี่นตอ้งการการรในู้ ลกัษณะนใี้ชศ้พัทท์าง วชิาการวา่“Metacognitionา หรอื“การรคู้ดิ ” การรคู้ดิ (Metacogitive knowledge) ประกอบไปดว้ยความรเู้กยี่วกบับุคคล(Person) ความรเู้กยี่วกบังาน(Task) และความรเู้กยี่วกบักลวธิ ี (Strategy)ทจ่ีาแนกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ก่ 3. ความรใู้นเชงิปจัจยั(decarative Knowledge) คอืความรเู้กยี่วกบัปจัจยตัา่งๆทมอี่ีทิธพิลตอ่งาน 2. ความรเู้ชงกิระบวนการ(procedural Knowledge) ไดแ้กค่วามรเู้กยี่วกบักระบวนการและวธิกีารตา่งๆในการดาเนนิ งาน 3. ความรเู้ชงเิงอื่นไข( conditional Knowledge) ไดแ้กค่วามรเู้กยี่วกบัสถานการณข์อ้จากดัเหตผุลและเงอ่ืนไขในการใชก้ลวธิตีา่งๆและการดาเนนิ งาน

องษป์ ระกอบวองกระบวนการประมวลวอ้ มูลสารสนเเศ 3. การใสจใ่ (Attention) หากบุคคลมีความใสจใ่ ในขอ้มลู ทไี่ดร้บัเขา้มาทางประสาทสมผั สั(SM) ขอ้มลู นน้ักจ็ะถกูนาเขา้ไปสคู่วามจาระยะสนั้(STM) ตอ่ไป หากไม่ไดร้บัความใสจใ่ ขอ้มลู นนั้กจ็ะเลอืนหายไปอยาง่รวดเรว็ 2. การรบัรู้(Perception)เมอื่บุคคลใสจใ่ในขอ้มลู ใดทร่ีบัเขา้มาทางประสาทสมัผสับุคคลกจ็ะรบรั ขู้อ้มลู นน้ั และนาขอ้มลู นเ้ีขา้สคู่วามจาระยะสนั้(STM) ตอ่ไป ขอ้มลู ทร่ีบัรนู้จี้ะเปน็ความจรงิตามการรบัรู้(Perceieved reality) ของบุคคลนนั้ซ่ึงอาจไม่ใชค่วามจรงเิชงิปรนยั(Objective reality)เนอ่ืงจาก เปน็ความจรงิทผี่า่นการตคีวามจากบุคคลนนั้มาแลว้ 3. การทาซ้า (Rehearsal) หากบุคคลมกีระบวนการรกัษาขอ้มลู โดยการทบทวนซ้าแลว้ซ้าอกีขอ้มลู นนั้กจ็ะยงคังถกูเกบ็รกัษาไวใ้นความจาระยะสนั้(STM) หรอืความจาปฏบิตักิ าร 4. การเขา้รหสั(Encoding) หากบุคคลมกีระบวนการสรา้งตวัแทนทางความคดิ (Mental representation)เกยี่วกบัขอ้มลู นนั้โดยมกีารนาขอ้มลู นน้ั เขา้สคู่วามจาระยะยาว(LTM) และเชอื่มโยงเขา้กบัสงิ่ทมอี่ียแลู่ ว้ในความจาระยะยาวการเรยีนรอู้ยาง่มีความหมายกจ็ะเกดิขนึ้ 5. การเรยีกคนื (Retrieval) การเรยีกคนืขอ้มลู ทจ่ีาไวใ้นความจาระยะยาว(LTM)เพอื่นาออกมาใช้มีความสมัพนัธอ์ยาง่ใกลช้ดิกบัการเขา้รหสัหากการเขา้รหสัทา ใหเ้กดิการเกบ็จาไดด้มีีประสทิธภิาพ การเรยีกคนืกจ็ะมีประสทิธภิาพตามไปดว้ย

ชอื่ งานวจิ ยั : การออกแบบและพฒันานวตักรรมทางปญั ญาทสี่งเ่สรมิการประมวลสารสนเทศโดยการบรู ณาการระหวา่งศาสตรก์ารสอนกบัประสาทวทิยาศาสตร์The Design and Development of Cognitive Innovation to Enhance Information Processingusing Integration between Pedagogy and Neuroscience ปัาหาวจิ ยั โลกในปจัจบนัุมกีารเปลยี่นแปลงไปเทคโนโลยมีความพฒั นาขนึ้ดงันนั้การจดัการเรยีนรพู้ บวา่จากสภาพปญั หาทเ่ีปลยี่นแปลงไป สง่ผลกระทบตอ่การเรยีนรโู้ดยเฉพาะอยาง่ยงิ่ปญั หาทเ่ีกดิขนึ้ใน ประเทศไทยพบวา่จากผลของการทดสอบทางการศกึษาระดบัชาตขินั้พนื้ฐาน(O-NET) โดยเฉพาะวชิาภาษาองกัฤษในระดบัชนั้ประถมศกึษาปที่ี6 ปกีารศกึษา2555 พบวา่คา่คะแนนเฉลย่ี 36.99 (สถาบนัทดสอบทางการศกึษาแหง่ชาต,ิ 2555) นอกจากนยี้งัพบวา่สถติกิารสอบวชิ าภาษาองกัฤษของนกัเรยีนประเทศไทยปี2552-2553จากผลการประเมินการศกึษาพบวา่ทกัษะ การใชภ้าษาองกัฤษของเดก็นกัเรยีนใน 44 ประเทศทว่ัโลกโดยสถาบนัการสอนภาษาองกัฤษนานาชาติEducation First (EF) พบวา่ทกัษะการใชภ้าษาองกัฤษของเดก็ไทยอยในู่อนัดบัท่ี42 ของโลกและอยในู่กลมุ่ทท่ีกัษะตา่กวา่ระดบัมาตรฐานเมอื่เทยีบกบัประชาคมอาเซยีนความสามารถในการใชภ้าษาองกัฤษของคนไทยโดยเฉลยอี่ยในู่อนัดบัตา่สะทอ้นใหเ้หน็วา่คนไทยยงัมีความจาเปน็ท่ี จะตอ้งพฒันาระดบัความสามารถในการใชภ้าษาองกัฤษใหส้งูขนึ้ เฤษฎเี ใี่ ช้ : ทฤษฎปรีะมวลสารสนเทศ(Information Processing) กระบวนการวจิ ยั รปูแบบทใี่ชใ้นการวจิยคัรง้ันี้คอืการวจิยเัชงพิ ฒันาการเกบ็รวบรวมและวเิคราะหข์อ้มลู 3 กระบวนการดงัรายละเอยดีตอ่ไปน้ี 3.กระบวนการออกแบบ (Design process) 1) ทฤษฎพีทุธปิญั ญานยิม โดยใชท้ฤษฎกีารประมวลสารสนเทศและหลกัการทางดา้นประสาทวทิยาศาสตรท์มีุ่่งเนน้การใสใจ่ 3.2 สงัเคราะหก์รอบแนวคดิเชงทิ ฤษฎ(ีTheoretical 4fr)aพmนื้ฐeาwนทoาrงดkา)้นเซท่ึงคปรโะนโกลอยบดีว้ย5 พนื้ฐานดงันี้ 3) พนื้ฐานทางดา้นจติวทิยาการเรยีนรู้ 5) พน้ืฐานทางดา้นประสาทวทิยาศาสตร์ 2) พนื้ฐานทางศาสตรก์ารสอน

1.3 ศกึ ษาสภาพบริบท (Contextual study)เกีย่ วกับนโยบายของสถานศกึ ษา สภาพการจัดการเรียนรู้ในสาระการเรยี นรู้ ภาษาต่างประเทศ ประกอบดว้ ยวธิ กี ารจดั การเรยี นการสอน โดยมุง่ เนน้ การประมวลสารสนเทศและการใส่ใจเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1.4 สังเคราะห์กรอบแนวคิดการออกแบบ(Designing framework) ที่อาศัยพ้ืนฐานจากกรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี (Theoretical framework) และ การศกึ ษาสภาพบริบท (Contextual study) และทาการบนั ทกึ ในแบบบันทกึ 1.5 สังเคราะหอ์ งค์ประกอบของนวัตกรรมทางปัญญาที่สง่ เสริมการประมวลสารสนเทศ โดยการบรู ณาการ 1.6 การออกแบบ และการออกแบบองค์ประกอบของนวัตกรรมทางปัญญา การสร้างนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยี สร้างโปรแกรมการสอนวชิ าภาษาอักฤแบบภาพโดยให้เด็กจดจาคาศัพทเ์ ป็น การใช้ กราฟฟกิ ภาพเคล่ือนไหว รวมท้งั ภาพจรงิ เพื่อแสดงการ เปลี่ยนแปลงของวตั ถุ ตา่ งๆ เป็นการกระต้นุ ให้ผู้เรยี นเกดิ การสนใจ ก็คอื การ สรา้ งสงิ่ เรา้ ให้นกั เรียนตามหลกั การของทฤษฎีทาใหส้ ามารถอา้ งอิงหรือเชอ่ื มโยงกับประสบการณเ์ ดมิ ของตนเองได้ และผนวกกับการ ออกแบบโดยอาศยั ทฤษฎีพทุ ธปิ ัญญานิยม มงุ่ เนน้ การประมวลสารสนเทศ (Information processing) ตามหลกั การ ซง่ึ ประกอบไปด้วย 1) ความจาาประสาทสัมผัส (Sensory register) เสนอส่งิ เรา้ ใหเ้ กดิ การกระตนุ้ ความสนใจหรอื สงิ่ ทค่ี นุ้ เคยใหก้ ับนักเรยี นเพอ่ื ให้ นักเรยี นเกดิ การอยากเรียนรู้ 2) ความจา ระยะสน้ั (Short-term memory) จะเลอื กรบั สิง่ เร้าทต่ี นร้จู ักหรือมคี วามสนใจ จาเปน็ ต้องใชเ้ ทคนิคตา่ ง ๆ ในการจาช่วย ให้ ผเู้ รยี น จัดกลุ่มคา และการท่องซา้ ๆ 3) ความจาาระยะยาว การเกบ็ ข้อมูลไว้ใช้ในภายหลงั สามารถทาไดโ้ ดยขอ้ มลู นั้นจาเปน็ ต้องไดร้ ับการประมวลและเปลีย่ นรปู โดย การเข้ารหัส ต้องใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ เขา้ ชว่ ย คอื การใหน้ กั เรียน ท่องซา้ หลาย ๆ ครั้ง หรอื การทาข้อมูลใหม้ คี วามหมายกบั ตนเอง โดย

เพ่อื ส่งเสริมให้ผเู้ รียนบันทึกสารสนเทศ ลงในหน่วยความจาาทง้ั 3 ระยะ หรือมกี ารประมวลสารสนเทศ กค็ อื การท่ีผู้เรียนเขา้ ใจใน สิ่งทส่ี อนและสามารถเช่ือมโยงและจดจาได้ และสามารถนาขอ้ มูลออกมาใชไ้ ด้ ความจาาในหนว่ ยความจาระยะยาว กใ็ หผ้ ูเ้ รยี นเขียน ประโยค โดยการนาคาศัพทท์ ี่เรยี น มาแต่งเปน็ ประโยคเกีย่ วขอ้ ง กับชวี ิตประจาาวนั ของตนเอง เพอ่ื ให้ผู้เรียนเขา้ รหสั คาศพั ท์นั้น โดย เชอ่ื มโยงกับประสบการณเ์ ดมิ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งและสามารถถอดรหสั จากประสบการณ์เดมิ ของตนเอง เพอ่ื ให้สามารถ คน้ คนื ข้อมลู สารสนเทศมาจากความจาระยะ1ย.ากวารไตดนื่ต้ วเัม(A่ือlตeอ้ rtง)การใช้งาน นอกจากนย้ี งั ใชพ้ นื้ ฐานจากหลกั การทางประสาท วิทยาศาสตรเ์ กี่ยวกับการ ใสใ่ จ ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน 2.การจดเัรยีง(Orient) 3.การใสใจ่ขน้ัสงู (Executive attention) การใส่ใจคือการเนน้ สารสนเทศโดยการใช้สอี กั ษร รวมทั้งใช้ตวั กระพริบ เพื่อคงสภาพการถกูกระต้นุ การใส่ใจ ให้เกิดความ สนใจอย่ทู ่ตี วั นวตั กรรมตลอด นักเรียนจะไดไ้ ม่หลุดความสนใจ สาหรบั การออกแบบคลังคาศัพทต์ ้น เพื่อกระตนุ้ การทางานของสมอง 2) การใสใ่ จของผเู้ รยี นทเ่ี รียนดว้ ยนวัตกรรมทางปัญญาที่สง่ เสรมิ การประมวลสารสนเทศที่ไดจ้ ากการวัดและการประเมินExecutive function โดยใช้ Stroop effect วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการเปรยี บเทยี บคาตอบของผเู้ รียนเก่ยี วกับสีที่ตรงกับความหมายของคาศพั ท์ (Congruency trial) ระหวา่ งก่อนและหลงั เรียน 3) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนของผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมลู โดยใชค้ ่าสถติ ิเชงิ บรรยาย ไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ยี ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานและร้อยละ 4) ความคดิ เหน็ ของผเู้ รยี นเกีย่ วกับนวตั กรรมทางปัญญาฯ วิเคราะหข์ ้อมูลโดยสรุปตีความและบรรยายเชิงวเิ คราะห์ ผลการวจิ ยั ชว่ ยให้จาาคาาศัพท์ได้ดีขึน้ และทกุ องค์ประกอบในนวัตกรรม สามารถทาใหป้ ระมวลสารสนเทศได้ดขี ้นึ ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ เนือ้ หาวิชาพร้อมกบั การพัฒนาการประมวลสารสนเทศทีเ่ นน้ ถึงกระบวนการทเ่ี กิดขนึ้ ภายในกระบวนการทางพุทธิปัญญา หรอื กระบวนการทางปัญญา (Cognitive process) โดยเฉพาะ อยา่ งยิง่ การประมวลสารสนเทศ และการใสใ่ จ ซ่งึ ขอ้ คน้ พบท่ี ได้รับรู้จะนาไปสู่

เฤษฎปี ระมวลสารสนเเศ (Information Processing) โรงเรยี นอราั ประเเศ แผนการจูั การเรยี นรูเ้ ี่ 2 กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั ษมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รหสั วชิ า ส 23101 ภาษเรยี นเี่ ชน้ั ประถมศกึ ษาปี เี่ 3 1/2564 หน่วยเี่ 12 ...... สาระภูมศิ าสตร ์ เรอื่ ง แผนเแี่ ละเษรอื่ งมอื เางภูมศิ าสตร ์ เวลา 2 ชว่ั โมง ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------- กระบวนการการจูั การเรยี นรูแ้ บบะปิ ปา (CIPPA MODEL) 1. สาระและมาตรีานการเรยี นรู ้ สาระท5ี่ ภูมิศาสตร์ มาตรฐานส5.3เขา้จใ ลกัษณะทางกายภาพของโลกและความสมัพนัธขอ์งสรรพสงิ่ซ่ึงมผีลตอ่กนัใชแ้ผนทแ่ีละเครอ่ืงมอืทางภูมิศาสตร์ ในการคน้หาวเิคราะหแ์ละสรปุขอ้มลู ตามกระบวนการทางภูมิศาสตรต์ลอดจนใชภู้มสิ ารสนเทศอยาง่มีประสทิธภิาพ 2. ตวั ชวี้ ูั ส5.3 ป.313 สารวจขอ้มลู ทางภูมิศาสตรใ์นโรงเรยีนและชมชุนโดยใชแ้ผนผงัแผนท่ีและรปูถา่ยเพอื่แสดงความสมัพนัธขอ์งตาแหนง่

3. จุูประสงษก์ ารเรยี นรู ้ 1. นกัเรยีนสามารถอธบิายความสมัพนัธขอ์งตาแหนง่ระยะทศิทางได้ 2. นกัเรยีนสมารถอธบิายความสมัพนัธขอ์งตาแหนง่ระยะทศิทางในโรงเรยีนและชมชุนโดยใชแ้ผนผงัแผนที่ และรปูถา่ยทสี่ารวจ 1. นกัเรยีนสามารถวาดแผนผงเัพอื่แสดงตาแหนง่ทต่ีงั้ของสถานทสี่าคญั ในบรเิวณโรงเรยีนและชมชุนได้ 4. สาระสาษาั ตาแหนง่ทตี่งั้ของสถานทตี่า่งๆจะมีความสมัพนัธก์นัควรวเิคราะหแ์ละสรปุขอ้มลู อยาง่เหมาะสม 5. ชนิ้ งาน/ภาระงาน รว่มกนัวาดภาพแผนผงัภายในโรงเรยีนทสี่ารวจมาพรอ้มนาเสนอ 6. สาระการเรยี นรู ้ ขอ้มลู ทางภูมิศาสตรใ์นชมชุน แผนท่ีแผนผงัและรปูถา่ยความสมัพนัธขอ์งตาแหนง่ระยะทศิทางตาแหนง่ทต่ีงั้ของสถานทส่ีาคญั ในบรเิวณ โรงเรยีนและชมชุน 7. สมรรถนะสาษาั วองผูเ้ รยี น 1. ความสามารถในการสอื่สาร 2. ความสารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกไ้ขปญั หา 4. ความสามารถในการใชท้กัษะชวตีิ 5. ความสามารถในการใชเ้ทคโนโลยี

8. ษุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงษ ์ 1. มุ่งมั่นในการทางาน 2. มีวนิยั 3. ใฝเร่ยีนรู้ 4. มจีติสาธารณะ 9. กจิ กรรมการเรยี นรู ้ วนั้ นาเวา้ สูบ่ เเรยี น วนั้ เ1ี่ เบเวนษวามรูเ้ ูมิ (การใสจใ่1ความจาประสาทสมัผสั) 1. ครเูสนอสงเิ่รา้ใหเ้กดิการกระตนุ้ความสนจใ เดก็โดยตงั้คาถามใชห้วัขอ้วา่การเดนิมาโรงเรยีนผา่นสถานทใ่ีดบา้ง ใหน้กัเรยีนบอกความสมัพนัธระ์หวา่งตาแหนง่ระยะทางและทศิทางของสถานทตี่า่งๆในโรงเรยีน วน้ั กจิ กรรมการเรยี นรู ้ วน้ั เ2ี่ การแสวงหาษวามรูใ้ หม่ (การรบัร1ู้การทาซ้า) 2. ใหน้กัเรยีนแบง่กลมุ่กลมุ่ละ5คน 6กลมุ่ 3. ครพู านกัเรยีนไปสารวจสถานทต่ีา่งๆภายในโรงเรยีนและใหน้กัเรยีนจดบนัทกึ วน้ั เ3ี่ การศกึ ษาเาษวามเวา้ ใจวอ้ มูล/ษวามรูใ้ หม่ และเชอื่ มโยงษวามรูใ้ หม่กบั ษวามรูเ้ ูมิ (การ เขา้รหสั) 4. ใหน้กัเรยีนรว่มกนัวาดภาพและแลกเปลยี่นความรโู้ดยใชข้อ้มลู จากการสารวจมาและความรเู้ดมิ

วนั้ สรุป วน้ั เ4ี่ การแลกเปลยี่ นษวามรูษ้ วามเวา้ ใจกบั กลุ่ม 5. ใหน้กัเรยีนออกมานาเสนอหนา้ชน้ัเรยีนเพอื่เปน็การ แลกเปลยี่นความรู้ วน้ั เ5ี่ การสรุปและจูั ระเบยี บษวามรู ้ (การเรยีกคนื) 6. ครตูงั้คาถามวา่หากนกัเรยีนตอ้งการเดนิทางจากหอ้งเรยีนไปยงัสถานทตี่า่งๆภายในโรงเรยีนนกัเรยีนจะตอ้งผา่นสถานทใ่ีดบา้งและเดนิทาง อยาง่ไรโดยครแูละนกัเรยีนรว่มกนัสรปุความรเู้รอื่งแผนที่

เฤษฎพี หุปัาาา (Theory of Multiple Intelligences) ศาสตราจารยฮโ์วารด์การด์เนอร(์Howard Gardner) นกัจติวทิยามหาวทิยาลยัฮาวารด์เปน็ผหู้นง่ึทพ่ียายามอธบิายใหเ้หน็ถงึความสามารถทหี่ลากหลายโดยคดิเปน็ “ ทฤษฎพีหปุญั ญา” (Theory of Multiple Intelligences)เสนอแนวคดิ วา่สตปิญั ญาของมนษุยม์หีลายดา้นทมี่ีความสาคญัเทาเ่ทยีมกนั ขนึ้อยกู่บัวา่ใครจะโดดเดน่ในดา้น ไหนบา้งแลว้แตล่ะดา้นผสมผสานกนั แสดงออกมาเปน็ความสามารถในเรอื่งใดเปน็ลกัษณะเฉพาะตวัของแตล่ะคนไป การด์เนอรไ์ดเ้สนอวา่ปญั ญาของมนษุยมอ์ียอู่ยาง่นอ้ย7 ดา้นคอืดา้นภาษาดา้นตรรกศาสตรแล์ะคณติศาสตรด์า้นมติ สิ มัพนัธด์า้นรา่งกายและการเคลอ่ืนไหวดา้นดนตรดีา้นมนษุย สมัพนัธแ์ละดา้นการเขา้ใจตนเองตอ่มาไดเ้พมิ่เตมิเขา้มาอกี1 ดา้นคอืดา้นธรรมชาตวิทิยาเพอื่ใหส้ามารถอธบิายไดค้รอบคลมุมากขนึ้ซ่ึงในปจัจบนัุมีปญั ญาอยอู่ยาง่นอ้ย8 ดา้นดงันี้ 3. ปญั ญาดา้นภาษา(Linguistic Intelligence) คอืความสามารถในการใชภ้าษารปูแบบตา่งๆตงั้แตภ่าษาพนื้เมอืงจนถงึภาษาอนื่ๆดว้ยสามารถรบัรเู้ขา้จใ ภาษาและสามารถ สอื่ภาษาใหผ้อู้นเื่ขา้จใ ไดต้ามทต่ีอ้งการผทู้มี่ีปญั ญาดา้นนโ้ีดดเดน่กม็กัเปน็ กวีนกัเขยีนนกัพดู นกัหนงัสอืพมิพ์ครทู นายความ หรอืนกัการเมอืง 2. ปญั ญาดา้นตรรกศาสตรแล์ะคณติศาสตร(์Logical-Mathematical Intelligence) คอืความสามารถในการคดิ แบบมเีหตแุละผลการคดิเชงินามธรรม การคดิ คาดการณ์ และการคดิ คานวณทางคณติศาสตรผ์ทู้มี่ีปญั ญาดา้นนโี้ดดเดน่กม็กัเปน็ นกับญัชนีกัสถติ นิ กัคณติศาสตรน์กัวจิยันกัวทิยาศาสตรน์กัเขยีนโปรแกรม หรอืวศิวกร 3. ปญั ญาดา้นมติ สิ มัพนัธ(์Visual-Spatial Intelligence) คอืความสามารถในการรบัรทู้างสายตาไดด้ีสามารถมองเหน็พนื้ทรี่ปูทรงระยะทางและตาแหนง่อยาง่สมัพนัธ์ เชอื่มโยงกนั แลว้ถา่ยทอดแสดงออกอยาง่กลมกลนืมีความไวตอ่การรบัรใู้นเรอื่งทศิทางสาหรบัผทู้ มี่ีปญั ญาดา้นนโี้ดดเดน่จะมทีง้ัสายวทิยแ์ละสายศลิป์โดยสายวทิยก์ม็กัเปน็ นกัประดษิฐ์ วศิวกรสว่นสายศลิป์กม็กัเปน็ศลิปนิ ในแขนงตา่งๆเชน่จตริ กรวาดรปู ระบายสเีขยีนการต์นู นกัปนั้ นกัออกแบบ ชา่งภาพหรอืสถาปนกิ เปน็ตน้ 4. ปญั ญาดา้นรา่งกายและการเคลอ่ืนไหว(Bodily Kinesthetic Intelligence) คอืความสามารถในการควบคุม และแสดงออกซ่ึงความคดิ ความรสู้ กึโดยใชอ้วยัวะสว่นตา่งๆ ของรา่งกายรวมถงึความสามารถในการใชมอ้ืประดษิฐค์วามคลอ่งแคลว่ความแขง็แรงความรวดเรว็ความยดืหยนุ่ความประณตีและความไวทางประสาทสมัผสัสาหรบัผทู้ ม่ีีปญั ญาดา้นน้ี โดดเดน่มักจะเปน็นกักฬีาหรอืไมก่ศ็ลิ ปนิ ในแขนงนกัแสดงนกัฟอ้นนกัเตน้นกับลัเลย่ห์รอืนกัแสดงกายกรรม

5. ปญั ญาดา้นดนตร(ีMusical Intelligence) คอืความสามารถในการซึม ซับ และเขา้ถงึสนุทรยะีทางดนตรทีงั้การไดย้นิ การรบัรู้การจดจาและการแตง่เพลง สามารถจดจาจงหัวะทานองและโครงสรา้งทางดนตรไีดด้ีและถา่ยทอดออกมาโดยการฮมเัพลงเคาะจงหัวะเลน่ดนตรแีละรอ้งเพลงสาหรบัผทู้ มี่ีปญั ญาดา้นนโ้ีดดเดน่มักจะ เปน็นกัดนตรนีกัประพนัธเพ์ลงหรอืนกัรอ้ง 6. ปญั ญาดา้นมนษุยสมัพนัธ(์Interpersonal Intelligence) คอืความสามารถในการเขา้จใ ผอู้นื่ทงั้ดา้นความรสู้กึนกึคดิ อารมณ์และเจตนาทซอี่่นเรนอ้ ยู่ ภายใน มีความไวในการสงเักตสหีนา้ทา่ทางนา้เสยีงสามารถตอบสนองไดอ้ยาง่เหมาะสม สรา้งมติ รภาพไดง้า่ยเจรจาตอ่รองลดความขดัแยง้สามารถจงจใู ผอู้นื่ไดด้เีปน็ ปญั ญาดา้นทจ่ีาเปน็ตอ้งมอียในู่ ทกุคน แตส่าหรบัผทู้ม่ีีปญั ญาดา้นนโี้ดดเดน่มักจะเปน็ครบูาอาจารยผ์ใหู้ ค้าปรกึษานกัการฑตู เซลแมน พนกังานขายตรงพนกังานตอ้นรบั ประชาสมัพนัธน์กัการเมอืงหรอืนกัธรุกจิ 7. ปญั ญาดา้นการเขา้จใ ตนเอง(Intrapersonal Intelligence) คอืความสามารถในการรจู้กัตระหนกัรใู้นตนเองสามารถเทา่ทนัตนเองควบคุมการแสดงออก อยาง่เหมาะสมตามกาลเทศะและสถานการณร์วู้าเ่มอื่ไหรค่วรเผชญิหนา้เมอื่ไหรค่วรหลกีเลยี่งเมอื่ไหรต่อ้งขอความชว่ยเหลอืมองภาพตนเองตาม ความเปน็จรงิรถู้งจึดอุอ่น หรอืขอ้บกพรอ่งของตนเองในขณะเดยีวกนักร็วู้า่ตนมจีดุแขง็หรอืความสามารถในเรอ่ืงใด มีความรเู้ทา่ทนัอารมณ์ความรสู้ กึความคดิ ความคาดหวงัความปรารถนาและตวัตนของตนเองอยาง่แทจ้รงิเปน็ปญัญาดา้นทจ่ีาเปน็ตอ้งมอียในู่ทกุคนเชน่กนัเพอื่ใหส้ามารถ ดารงชวีติอยาง่มีคณุคา่และมีความสขุสาหรบัผทู้ มี่ีปญั ญาดา้นนโี้ดดเดน่มักจะเปน็นกัคดิ นกัปรชัญาหรอืนกัวจิยั 8. ปญั ญาดา้นธรรมชาตวิทิยา(Naturalist Intelligence) คอืความสามารถในการรจู้กัและเขา้จใ ธรรมชาตอิยาง่ลกึซ้ึงเขา้ใจกฎเกณฑป์รากฏการณแ์ละการ รงสัรรคต์า่งๆของธรรมชาติมีความไวในการสงเักตเพอื่คาดการณค์วามเปน็ไปของธรรมชาติมีความสามารถในการจดจัาแนกแยกแยะประเภทของสงิ่มชีวีติ ทงั้พชืและสตัว์ สาหรบัผทู้ มี่ีปญั ญาดา้นนโี้ดดเดน่มักจะเปน็นกัธรณวีทิยานกัวทิยาศาสตรน์กัวจิยัหรอืนกัสารวจธรรมชาติ

ชอื่ งานวจิ ยั การศกึษาความสามารถทางพหปุญั ญาของเดก็ปฐมวยัทไี่ดร้บัการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญา เพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ ปัาหาวจิ ยั ตอ้งการพฒันาเดก็ปฐมวยัใหค้รบทว้นทกุดา้นทง้ัดา้นพฒันาการทางรา่งกายอารมณจ์ติจใ และสตปิญั ญา เฤษฎเี ใี่ ช้ ทฤษฎพีหปุญั ญา กระบวนการวจิ ยั 1.ผวจู้ ิยทัาความเขาเ้กย่ีวกบัการดาเนนิ การวจิยั 2.สงัเกตพฤตกิรรมของกลมุ่ตวัอยาง่เพอื่หาคะแนนพนื้ฐานของนกัเรยีนในแตล่ะดา้น 3.ดาเนนิ การทดลองโดยใชแ้ผนการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่โดยการ จดปัระสบการณต์ามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรมู้ี5ขนั้ตอน 1)การปฏบิตักิ ารเรยีนรอู้ยาง่มชีวีติชวีา(A=Activelearning) ขนั้นเ้ีดก็ลงมอืทากจิกรรมดว้ยตนเองเรยีน จากประสบการณต์รงดว้ยการออกมาเลา่นทิ านรอ้งเพลงตอบคาถาม และแสดงบทบาทสมมุติเชน่นทิ านเรอ่ืงม้านอ้ยรอ้ง เพลงโดยเดก็ๆจะเลยี่นแบบ และแสดงทา่ทางตามสตัวเ์ดก็จะไดค้น้พบความสนจใ ผาน่กจิกรรมทห่ีลากหลายผา่นสอื่การ เรยีนรตู้า่งๆไดท้ากจิกรรมศลิ ปะสรา้งสรรคด์ว้ย

2)การมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนรู้ในก ล่มยอ่ ย (C=cooperation learning) เด็กมี แลกเปลี่ยนความคดิ ในกล่มุ มกี ารวางแผน รว่ มกบั ผูอ้ ่ืน จากการเปรียบเทยี บ แยกประเภท จดั หมวดหมู่ บอกจพนวน เหตุผล ตอ้ งให้ทักษะ ในการคดิ คานวณ หาเหตผุ ล และแกป้ ัญหา ด้วย ตนเอง 3)ผเรู้ ยีนวเิคราะหก์จิกรรมการเรยีนรู้(Analysis) เปดิ โอกาสใหเ้ดก็วเิคราะหค์วามรสู้ กึประสบการณข์องตนเองขณะรวมทา กจิกรรมกบัผอู้นื่ตามขนั้ท1่ีและ2 รวมถงึการสรปุแกป้ญั หาตอนทา กจิกรรม

4)ผเรู้ ยีนสรปุกจิกรรมและการสรา้งองคค์วามรดู้ ว้ยตนเอง (Constructivism)เดก็สามารถสรปุสงิ่ทเ่ีรยีนรจู้ากเหตกุารที่ เกดิขนึ้เพอื่สรา้งองคค์วามรใู้หมข่องตนเอง 5)ผเรู้ ยีนสามารถนาสงิ่ทไี่ดเ้รยีนรไู้ปประยกุตใช์ไ้ดอ้ยาง่มี ความหมาย(Application)เดก็สามารถสงิ่ทไ่ีดเ้รยีนรไู้ป ประยกุตใช์แ้กป้ญั หาในชวีติประจาวนั โดยเชอื่มโยงความรู้ทกัษะใน สถานการณต์า่งๆ

วน้ั สรุป ความสามารถดา้นภาษาสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็มีความสามรถดา้นภาษาสงูขนึ้เพระเปน็กจิกรมทเ่ีปดิ โอกาส ใหเ้ดก็มีประสบการณต์รงทางภาษาดา้นการพดู การฟงั กรอนและการเขยีนโดยใหเ้ดก็ไดฝ้กฝึนการปฏสิมัพนัธด์า้นการสอื่สารโตต้อบกบัผอู้นื่ทงจั้ากการตอบคาถม และระหวา่งการ ทางานวมกบัเพอื่น ทาใหเ้ดก็กลา้แสดงความ คดิ เหน็ในการทากจิกรรมอยา่งอสิระเดก็มีความสนกุสนานกบักจิ กรรม ความสามารถดา้นตรรกะคณติศาสตร์สรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็มีความสามรถดา้นภาษาสงูขนึ้เพระเปน็กจิ กรมทเี่ปดิ โอกาสใหเ้ดก็มีประสบการณต์รงทางภาษาดา้นการพดู การฟงั กรอนและการเขยีนโดยใหเ้ดก็ไดฝ้กฝึนการปฏสิมัพนัธด์า้นการสอื่สารโตต้อบกบัผอู้นื่ทงจั้ากการตอบคาถม และระหวา่งการทางานวมกบัเพอื่น ทาใหเ้ดก็กลา้แสดงความ คดิ เหน็ในการทากจิกรรมอยา่งอสิระเดก็มีความสนกุสนานกบักจิ กรรม ความสามารถดา้นทางมติ ิสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมการตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่เดก็ปฐมวยัมีความสามารถดา้นมติ สิ งูขนึ้พราะเปน็กจิกรรมที่ มุ่งเนน้ใหเ้ดก็ปฐมวยัไดแ้สดงออกโดยการทางานศลิปะการวาดภาพ การประดษิฐจ์งทึาใหเ้ดก็มีความสามารถทางมติ สิ งูขน้ึ ความสามารถทางรา่งกายและการเคลอื่นไหวสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็ปฐมวยัมีความสามารดา้นรา่งกายและ การคลอื่นไหวสงูขนึ้เพราะการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนโดยใชน้ทิ นเปน็สอื่พฒันากลา้มเนอ้ืมดั ใหญโ่ดยเดก็แสดงออกโดยการเคลอื่นไหว ดา้นดนตรสีรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็ปฐมวยัมีความสามารถดา้นดนตรพีราะการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหุ ปญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่สง่สรมิการแสดงออกทางดนตรเีสยีงเพลงและคาคลอ้งจองซ่ึงเปน็กจิกรรมทเ่ีดก็ไดใ้ชเ้สยีงเพลงการรองเพลงดาคลอ้งจองเครอ่ืงดนตรแีละ ทาทา่ทางประกอบ ทาใหเ้ดก็เกดิการเรยีนรดู้ว้ยความสนกุสนานมากยงิ่ขน้ึ

ดา้นความเขา้จใ ระหวา่งบุคคลสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็ปฐมวยัมีความสามารถดา้นความเขา้ใจผอู้นื่ สงูขนึ้เพราะการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่เปดิ โกาสใหเ้ดก็แสดงความคดิเหน็ปฏบิตักิจิกรรมรว่มกบัผอู้นื่ไดเ้กดิความสนกุสนานเปน็ ผนู้าและผตู้ามทดี่เีดก็ไดร้จูกัแบง่ปนั และมีนา้จใ ตอ่เพอื่นซ่ึงทาใหเ้ดก็เกดิเรยีนรกู้ารปฏบิตัติอ่ผอู้นื่ไดเ้หมาะสมยงิ่ขน้ึ ดา้นความเขา้ใจตนเองสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็ปฐมวยัมีความสามรถดา้นความขา้ใจตนเองสงูขนึ้ เพราะการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่เปน็กจิกรรมทเ่ีปดิ โอกสใหเ้ดก็ปฐมวยัสรา้งผลงานดว้ยตนเองและมกีารนาเสนอผลงานหนา้ชน้ัเรยีน ทาใหเ้กดิความ ภูมิใจความเชอ่ืมั่นในตนเองรสู้ กึวา่ตนเองมีคณุคา่มากขนึ้ ดา้นธรรมชาตวิทิยาสรปุไดว้า่การจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่ทาใหเ้ดก็ปฐมวยัมีความสามารถดา้นรรมชาตแิละสงิ่แวดลอ้มสงูขนึ้ เพราะการจดักจิกรรมตามรปู แบบพหปุญั ญาเพอื่การเรยีนรโู้ดยใชน้ทิ านเปน็สอื่กาใหเ้ดก็ไดใ้ชส้งิ่ทมอ่ีียในู่ธรรมชาตไิดอ้ยาง่รปู้ระโยชนแ์ละมีคณุคา่สงูสดุรจู้กัปฏบิตัติอ่ธรรมชาติ ไดอ้ยาง่เหมาะสมจกัใชว้สัดเุหลอืใหเ้ปน็ประโยชนเ์พอื่รกัษาธรรมชาตแิละสงิ่แวดลอ้ม ผลของการเปรยีบเทยีบความสามารถทางพหปุญั าของเดก็หลงัการจดักจิกรรมพบวา่เดก็มีพฒั นาการทางพหปุญั ญาในเกอืบทกุดา้นอยในู่ระดบัสงู ยกเวน้ดา้นรา่งกายเเละการ การเคลอื่นไหวเเละดา้นธรรมชาตอิยในู่ระดบัปานกลางโดยสามารถอภิปรายผลเปน็รายดา้นไดด้งัตอ่ไปน้ี

เฤษฎพี หุปัาาา (Theory of Multiple Intelligences) โรงเรยี นอราั ประเเศ แผนการจูั การเรยี นรูเ้ ี่ 2 กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั ษมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รหสั วชิ า ส 23101 ภาษเรยี นเี่ ชนั้ ประถมศกึ ษาปี เี่ 6 1/2564 หน่วยเี่ 1 ...... สาระศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม เรอื่ ง พุเธสาวก ชาูก และพุเธศาสนิกนิกชนตวั อย่าง เวลา 3 ชว่ั โมง -------------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------- 1. สาระและมาตรีานการเรยี นรู ้ สาระท3ี่ ศาสนา ศลีธรรม จรยิธรรม มาตรฐานส3.3 ร้แูละเขา้จใ ประวตัคิวามสาคญั ศาสดาหลกัธรรมของพระพทุธศาสนาหรอืศาสนาทต่ีนนบัถอืและศาสนาอนื่มีศรทัธาท่ี ถกูตอ้งยดึมั่นและปฏบิตัติ ามหลกัธรรมเพอื่อยรวู่่มกนัอยาง่สนัตสิขุ 2. ตวั ชวี้ ูั ส1.1 ป.6/3 เหน็คณุคา่และประพฤตตินตามแบบอยา่งการดาเนนิชวีติ และขอ้คดิจากประวตัสิาวกชาดกเรอื่งเลา่และศาสนกิชนตวัอยาง่ ตามทกี่าหนด

4. สาระสาษาั ชาดกเปน็นทิ านทม่ีีคตสิอนจใ ชว่ยใหเ้กดิความสนกุสนานเพลดิเพลนิรวมทงั้มุ่งปลกูฝงัคณุธรรม สามารถนามาปรบัใชใ้นการดาเนนิชวีติได้ 5. ชนิ้ งาน/ภาระงาน การแสดงละครและวาดแผนผงัความคดิเกยี่วกบัเรอ่ืงทหีี ตโิกสลชาดก สพัพทาฐชิาดกและพระราธะ 6. สาระการเรยี นรู ้ -พระราธะ - ทหีี ตโิกสลชาดก - สพัพทาฐชิาดก 7. สมรรถนะสาษาั วองผูเ้ รยี น 7.1 ความสามารถในการคดิ 1) ทกัษะการวเิคราะห์ 2) ทกัษะการสรา้งความรู้ 7.2 ความสามารถในการใชท้กัษะชวตีิ 8.ษณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงษ ์ 1.ซอ่ืสตัยส์จุรติ 2. มวีนิยั 3.ใฝเร่ยีนรู้

9. กจิ กรรมการเรยี นรู ้ โูยใชแ้ บบการแสูงบเบาเสมมติ (Role playing) เวลา 3 ชว่ั โมง 1.วนั้ เตรยี มการ1ดา้นปฏสิมัพนัธต์อ่ผอู้นื่1ดา้นเขา้จใ ธรรมชาต1ิดา้นการมองเหน็-พนื้ท1่ีการเคลอื่นไหวทางรา่งกาย1ดา้นถอ้ยคา-ภาษา 1. ครบูอกความหมายและทมี่าของชาดก 2. ครกูาหนดมกีารจบกัลมุ่ผเู้รยีนตามความสะดวกและเหมาะสมกบัเนอ้ืหาและบทบาทในการแสดง 3.คณุครกูาหนดเรอื่งชาดกใหแ้ตล่ะกลมุ่และใหส้มาชกิในกลมเุ่ขยีนบทและเลอืกบทบาทกนัเอง 4จ. ดเัตรยีมพนื้ทแ่ีละอปกุรณใ์นการแสดงประดษิฐฉ์ากและเครอ่ืงแตง่กายจากวสัดทุหี่าไดง้า่ยและมอียแลู่ว้ตามความเหมาะสมและ จนติ นาการ30 5. ผเรู้ยีนซักซอ้ มการแสดงบทบาทสม มติโดยมีครคอู ่ยสงเักตพฤตกิรรมการทากจิกรรม 2.วนั้ แสูง1ดา้นดนตร1ีการเคลอื่นไหวทางรา่งกาย 6. ใหน้กัเรยีนแสดงละครชาดกทไี่ดร้บัมอบหมาย 7.นกัเรยีนอกีกลมุ่ทาหนา้ทเ่ีปน็ผชู้ม 8.ครทู าหนา้ทสี่งเักคแุละประเมินการแสดงออกของพฤตกิรรมนกัเรยีนกลมุ่ทที่าการแสดง

3.วนั้ สรุป/ปญั ญาดา้นปฏสิมัพนัธต์อ่ตนเอง/คา้นตรรกะ-คณติศาสตร์ 9. คณุครกูลา่วชมเชยผเรู้ยีนทแี่สดงและสอบถามถงึความรสู้กึและความคดิเหน็ในการแสดงบทบาทดงักลา่ว 10.นกัเรยีนรว่มกนัวเิคราะหก์จิกรรมทที่าโดยครตูงั้คาถาม ดงัน้ี 1.นกัเรยีนมีความพงึพอจใ ในผลงานหรอืไมอ่ยา่ง 2.ในกลมเุ่ดก็ทาอะไรบา้ง 3.ขณะทากจิกรรมเดก็มีปญั หาหรอือปสุรรคอะไรบา้งนกัเรยีนแกป้ญั หาอยาง่ไร 11. ครกูบันกัเรยีนรวมกนัสรปุขอ้คดิ และคณุธรรมทไี่ดจ้ากการแสดงละครชาดกและบอกแนวทางในการนาไปใชใ้นชวีติประจาวนั

เฤษฎษี อนสตรษั ตวิ สิ ต ์ (Constructivist Theory) ทฤษฎคอีนสตรคัตวิสิตใ์หค้วามสาคญั กบัตวัผเรู้ยีนหรอืนกัเรยีนมากกวา่ครหู รอืผสู้อนผเรู้ยีนจะเปน็ผทู้ม่ีีปฏสิมัพนัธ(์interact) กบั วตัถุ(object) หรอืเหตกุารณด์ว้ยตวัของเขา เองซ่ึงจะทาใหเ้กดิความเขา้ใจในวตัถหุรอืเหตกุารณน์นั้ซ่ึงกค็อืการสรา้ง(construct) การทาความเขา้ใจ(conceptualization) และการแกป้ญั หาตา่งๆดว้ยตวัของเขาเอง คอนสตรคัตวิสิต(์Constructivism)เปน็ปรชัญาของการเรยีนรทู้มี่รีากฐานมาจากปรชัญาและจตวิทิยาโดยมีแกน่ของทฤษฎกีค็อืเนน้การสรา้งความรดู้ ว้ยตนเองและอยาง่มีความหมายจาก ประสบการณ์ กลมุ่แนวคดิ คอนสตรคัตวิสิต(์Constructivism)เชอื่วา่การเรยีนรเู้ปน็กระบวนการสรา้งมากกวา่การรบัความรู้ดงันนั้เปา้หมายของการจดัการเรยีนการสอนจะสนบัสนนุการสรา้ง มากกวา่ความพยายามในการถา่ยทอดความรู้ดงันนั้กลมุ่แนวคดิ คอนสตรคัตวิสิตจ์ะมุ่งเนน้การสรา้งความรใู้หมอ่ยา่งเหมาะสมของแตล่ะบุคคลและเชอ่ืวา่สงิ่แวดลอ้มมีความสาคญั ในการสรา้ง ความหมายตามความเปน็จรงิ กลมุ่แนวคดิ คอนสตรคัตวิสิตป์รากฏแนวคดิ ทแ่ีตกตา่งกนัเกยี่วกบัการสรา้งความรู้หรอืการเรยีนรทู้งั้นเี้นอ่ืงมาจากแนวคดิ ทเ่ีปน็รากฐานสาคญั ซ่ึงปรากฏจาก รายงานของนกัจติวทิยาและนกัการศกึษาคอืJean Piaget นกัจติวทิยาพฒันาการชาวสวสิ และLev Vygotskyชาวรสัเซยีซ่ึงแบ่งเปน็ 2 กลมุ่คอื - กลมุ่แนวคดิ คอนสตรคัตวิสิตเช์งปิ ญั ญา(Cognitive constructivism) โดยมกีระบวนการการดดู ซึมเขา้สโู่ครงสรา้งทางปญั ญา (Assimilation)เปน็การตคีวาม หรอืรบัขอ้มลู จากสงิ่แวดลอ้มมาปรบัเขา้กบัโ ครงสรา้งทางปญั ญาและการปรบัโ ครงสรา้งทางปญั ญา (Accommodation)เปน็ความสามารถในการปรบัโ ครงสรา้งทางปญั ญาใหเ้ขา้กบัสงิ่แวดลอ้ม โดยการเชอ่ืมโยงระหวา่งความรเู้ดมิและสงิ่ทต่ีอ้ง เรยีนใหม่ - กลมุ่แนวคดิ คอนสตรคัตวิสิตเช์งสิ งัคม (Social constructivism) คอ่นขา้งมขีอ้จากดัมากกวา่แตว่ธิกีารและแนวคดิ ไดร้บัการยอมรบัมากเกยี่วกบั การพฒันาทางดา้นปญั ญาใน 3เรอ่ืงคอืกระบวนการภายใน (internalization) กค็อืการซึม ซับ (obsorption) หรอืการนาเอาความรู้ (knowledge) ทมี่อียในู่บรบิทของสงัคมนนั้ๆดว้ยการสงเักต(observe) ดว้ยตวัเองโซนพฒั นาการ(Zone of proximal development)จะสามารถเรยีนรดู้ว้ยตนเองไดโ้ดยไมต่อ้งไดร้บัการชวย่เหลอืและการชวย่เหลอื(Scaffolding)จะไมส่ามารถเรยีนรดู้ว้ย ตนเองได้

จากกลมุ่แนวคดิ ดงักลา่วสรปุไดว้า่ 3) ความรขู้องบุคคลใด คอืโครงสรา้งทางปญั ญาของบุคคลนน้ัทส่ีรา้งขนึ้จากประสบการณใ์นการคลคี่ลายสถานการณท์เ่ีปน็ปญั หาและสามารถนาไปใช้ เปน็ฐานในการแกป้ญั หาหรอือธบิายสถานการณอ์นื่ๆได้ 2)ผเรู้ ยีนเปน็ผสู้รา้งความรดู้ว้ยวธิกีารทตี่า่งๆกนั โดยอาศยัประสบการณแ์ละโครงสรา้งทางปญั ญาทมอี่ียเดู่มิ ความสนจใ และแรงจงูใจภายในตนเองเปน็ จดเุรมติ่น้ 3) ครมูหีนา้ทจ่ีดันวตักรรมการเรยีนรใหู้ผ้เรู้ยีนไดป้รบัขยายโครงสรา้งทางปญั ญาของผเรู้ยีนเอง กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ สี่ นบั สนุนการสอนใน CLEs (Constructivist Learning Environments) 1. รปู แบบจาลอง(modeling)เปน็กลยทุธก์ารสอนทนี่าใชไ้ดง้า่ยทส่ีดุมี2ชนดิคอื รปูแบบปฏบิตักิ ารทเี่หน็ได้และรปูแบบความคดิ ของกระบวนการทางความคดิ ทเ่ีหน็ไดร้ปูแบบ พฤตกิรรมใน CLEs แสดงใหเ้หน็ถงึวธิการปฏบิตักิจิกรรมทรี่ะบุโ ครงสรา้งกจิกรรมรปู แบบ ความคดิ การกลา่วออกมาอยาง่มเีหตผุล(สะทอ้นถงึการกระทา) ทผ่ีเรู้ยีนสามารใชใ้นขณะทม่ีสีว่น รว่ม ในกจิ กรรม

2. การฝกึสอน(coaching)เพอื่ทจ่ีะสรา้งความเชย่ีวชาญในกระบวนการเรมต่ิ น้ ในแตะ่ขนั้ของการกระทาทเี่ปน็ความสามารถของผเรู้ยีนจะมกีารปรบัปรงุดว้ยการฝกึสอนหรอืการโคช้ (coach) บทบาทของโคช้ มีความซับซอ้ นและไม่แนช่ดัโคช้ทดี่จีะกระตนุ้จงูใจผเรู้ยีนใหว้เิคราะหก์ระบวนการของผเรู้ยีนจดเัตรยีมการสะทอ้นผลและแนะนาใหป้ฏบิตัแิละวธิกีารเรยีนเกย่ีวกบัวธิ ี ปฏบิตัแิละกอ่ใหเ้กดิการไตรต่รองและกลา่วออกมาในสงิ่ทเ่ีรยีนบทบาทโคช้ มีดงัน้ี 3. ใหแ้รงจงูจใ ในทนัที 2. การสงเักตและการควบคุม ปฏบิตักิ ารผเรู้ยีน 3. กระตนุ้ใหเ้กดิการไตรต่รอง 4. กระตนุ้รปูแบบการทาความเขา้จใ ของผเรู้ยีน 3. การชวย่เหลอื(scaffolding) รปู แบบจาลองมุ่งเนน้การปฏบิตักิ ารของผเชู้ ย่วีชาญการฝกึสอนCLEsเชอื่วา่การชวย่เหลอืในการทผี่เรู้ยีนไมส่ามารถลงมอืกระทาภารกจิดว้ยตนเองเปน็ วธิกีารทจี่ะสนบัสนนุผเรู้ ยีนมากกวาจ่ะมุ่งเนน้ภารกจิในสงิ่แวดลอ้มการเรยีนรขู้องทงั้ผสู้อน และผเรู้ ยีน ในการใหก้ารสนบัสนนุทจ่ีาเปน็ไดแ้ก่ 3. การปรบัความยากของภารกจิ โดยการชวย่เหลอืทาใหภ้ารกจินนั้งา่ยขนึ้ 2. ปรบัโ ครงสรา้งภารกจิเพอื่ทจี่ะแทนทคี่วามรู้การออกแบบภารกจิใหม่ในวถิทีางทส่ีนบัสนนุผเรู้ยีนนน่ัคอืการแทนทใี่นภารกจิ ซ่ึงภารกจิจะยงคังถกู แทนทโี่ดยการเสนอแนะหรอื กาหนดการใชข้องเครอ่ืงมอืทางปญั ญาทชี่ว่ยผเรู้ยีนนาเสนอ 3.จดัเตรยีมทางเลอืกในการประเมิน การเรยีนรจู้ะดาเนนิ ไปพรอ้มกบัการประเมินผเรู้ยีนพฒันากลยทุธท์มี่ีประสบการณม์ามากสาหรบันยิามประสบการณท์ค่ีาดหวงัและศกึษาตามนน้ั จากการศกึษาการออกแบบ CLEs ขา้งตน้จะเหน็วา่แนวคดิ ทส่ีาคญั ไดแ้ก่ความคดิรวบยอดในองคป์ระกอบของCLEs และกลยทุธส์าหรบัสนบัสนนุการปฏบิตักิ ารของผเรู้ยีนใน CLEs โดยเนน้ท่ี จะจดแันวทางสาหรบัการออกแบบสงิ่แวดลอ้มทางการเรยีนรเพู้อ่ืทจี่ะสนบัสนนุการเรยีนรกู้ ารสรา้งการเรยีนรกู้ ารสรา้งความหมายในแตล่ะบุคคลและคน้หาความสมัพนัธแ์นวคดิ ใหมก่บัประสบการณ์ อยาง่ตงั้จใ

ชอื่ วจิ ยั การพฒันาชดุกจิกรรมการออกแบบทางศลิปะดว้ยสมดุรา่งภาพตามแนวคดิ ทฤษฎคอีนสตรคัตวิสิชมเีพอื่สงเ่สรมิความคดิ สรา้งสรรในนกัเรยีนชนั้มธัยมศกึษาปที่ี4 ปัาหาวจิ ยั ในศตวรรษท2่ี1 โลกมีความกา้วหนา้ทางเทคโนโลยอีสุาหกรรมเปน็อยาง่มากทาใหค้นเกดิการแขง่ขนักนั ทาใหค้วามคดิ สรา้งสรรค์รเริมทิ่าสงิ่ใหมๆ่ ไม่มีศกัยภาพมากผวจู้ิยเัรงเ่หน็วา่การ พฒันาดา้นความคดิ สรา้งสรรค์มีความจาเปน็ เฤษฎเี ใี่ ช้ ทฤษฎคอีนสตรคัตวิสิต(์Constructivist Theory) กระบวนการ 1.ศกึษางานวจิยัทเ่ีกยี่วขอ้ง 2.นาคาแนะนาทไ่ีดจ้ากผเชู้ ยวีชาญทท่ีาแบบสมัภาษณเ์กยี่วกบัการออกแบบวธิ กีารจดัการเรยีนการสอนศลิปะดว้ยสมุดรา่งภาพเพอื่ใหเ้กดิความคดิ สรา้งสรรค์ 3.สรา้งแผนเรอื่งชดุการออกแบบทางศลิปะกจิกรรมดว้ยสมดุรา่งภาพ 4.นาไปใชก้บักลมุ่ตวัอยาง่จดุมุ่งหมายคอืนกัเรยีนชนั้.4

กจิ กรรมการเรยี นรู ้ ชนั้ เ1ี่ ชน้ั การกาหนูปัาหาและสงิ่ เสี่ นใจ (ใชว้ ลาประมาณ 5 นาเ)ี 3. กรเปู ดิ สอื่วดีทีศันไ์หน้กัเรขีนด:ู Inspiration Sketch Bk (การอธบิาขคณุสมบตั แิละประโยชนข์องสมดุรา่งภาพ) : Myself and Me (การบนัทกึแรงบนัดาลจใ แนวความตดิ ขอ้สงสยัการตงั้คาถามลงในสมดุรา่งภาพเพอื่ขยายความและหาคาตอบ): Fashion Skcich Book Tour (การบอกลา่การทางานของนกัออกแบบแฟชนั่จากสมุครง่ภาพผา่นรอ่งรอขการหาแรงบนัดาลจใ ออกแบบ รา่งแบบ) เนน้ยา้ใหน้กัเรยีนรถู้งึคณุสมบตั ิประโขชและความสาคญั ของสมดุรา่งภาพ วน้ั เี่ 2 วนั้ สรา้ แรงบนั ูาลใจ (ใชว้ ลาประมาณ 10 นาเ)ี 3. ครสู นทนากบันกัเรยีนเกยี่วกบัเรอ่ืงสมุครง่ภาพจากทดี่สูอื่วดีทีศัน์นกัเรยีนคดิ วา่สมดุรา่งภาพคา่ออะไรมสีกับณะอยาง่ไรมีประโขชนแ์ละมีความสาคญัอยาง่ไรกบัศลิ ปะการ ออกแบบ และตวัของนกัเรยีนเอง 2. กรนูาเสนอเนอื้หาจากโปรแกรมนาเสนอ(Power Poin) วสัดอปุกรณข์นั้ตอนการปฏบิตังิานและตวอั ยาง่การสรา้งสรรคง์านหตันศลิปะสมดุรา่งภาพหรอืตวอั ยาง่ผลงาน ของศลิปนีเพอื่เปน็แรงบนัดาลใในสว่นของความคดิ จนิตนาการและการสรา้งสรรคผ์ลงานรวมถงึอธบิาขเรอื่งขนั้ตอนการออกแบบและความเกดิสรา้งสรรคว์า่มีความหมายและมี ประโยชนอ์ยาง่ไร วนึ้ เี่ 3 ชน้ั รา่ งลงสมุูรา่ งภาพ (ชว่ งลาประมาณ 10 นาเ)ี นกั เรยี นสรา้ งสรรษผ์ ลงานเป็ นบุษษล กจิกรรม : มาทาสมดุรา่งภาพกนัเถอะใหน้กัเรยีนวางแผนออกแบบการทาสมดุรา่งภาพของตนเองในชว่งนเี้ปดิ โอกาสใหน้กัเรยีนซักถามขอ้สงสยังทอ่ีาจเกดิขนึ้จกการปฏบิตั ิ กจิกรรม หรอืขอ้มลู เพมิ่เตมจิ ากใบความรหู้รอืการสาธติการปฏบิตักิจิกรรมจกกผสู้อนเพอื่คลคี่ลายกระบวนการคดิ ของนกัเรยีน

2. กรคอู ยสงเักตแนะนาชว่ยเหลอืนกัเรยีนในระหวา่งปฏบิตักิจิกรรม ชน้ัทช่ีนั้สรปุและประเมินผลใชว้ลาประมาณ10 นาที) คดั เลือกนักเรียนที่มผี ลงานตตี นนาสนอผลงานหน้าชนั้ เรียนเพอื่ เป็นแรงบันดาลใจ แกเ่ พือ่ นร่วมช้นั เรยี น 2. สงั่วสัดอุปุกรณข์องกจิกรรมครง้ัตอ่ไป 3. นาเสนอตวอั ยาง่ผลงานของกจิกรรมครงั้ตอ่ไปบางสว่น ผวจู้ ิยปัระเมินความคดิ สรา้งสรรคจ์ากผลงานศลิปะของนกัเรยีนใหน้กัเรยีนทาแบบทดสอบความพงึพอจใ ของนกัเรยีน นาผลการประเมินและผลความพงึพอใจของนกัเรยีนมาวเิคราะหแ์ละสรปเุปน็ผลการวจิยั สรุปผลการวจิ ยั พบวา่ชดุกจิกรรมมีประสทิธภิาพเนอ่ืงจากผวจู้ิยัดาเนนิตามขนั้ตอนอยาง่เปน็ระบบ ผวจู้ ิยแักไ้ขและปรบัปรงุชดุกจิกรรม ผลการประเมินความคดิ สรา้งสรรค์มีภาพรวมอยในู่ระดบัดมีากเพราะวา่วชิาศลิปะเปน็วชิาทใี่หอ้สิระทางความคดิ แกน่กัเรยีนโดยทาใหน้กัเรยีนมสีนุทรยีภาพ ซ่ึงเปน็พนื้ฐานใน การศกึษาตอ่และประกอบอาชพีได้ซ่ึงมีการสอดคลอ้งกบัทฤษฎคอีนสตรคัตวิสิซึม คอืการเรยีนรเปู้น็กระบวนการสรา้งมากกวา่การรบัรู้ทาใหน้กัเรยีนเกดิการเรยีนรอู้ยาง่มีความหมายทาให้ เดก็เกดิแรงจงูใจในการเรยีนและสามารถนาความคดิ สรา้งสรรคไ์ปประยกุตใ์นบทเรยีนอนื่ๆได้

เฤษฎษี อนสตรษั ตวิ สิ ต ์ (Constructivist Theory) โรงเรยี นอราั ประเเศ แผนการจูั การเรยี นรูเ้ ี่ 2 กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ งั ษมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม รหสั วชิ า ส 21101 ภาษเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปี เี่ 6 หน่ วยเี่ เี่ 1/2564 เวลา 2 สาระภูมศิ าสตร ์ 8 เรอื่ ง ษวามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ บั สงิ่ แวูลอ้ ม ชว่ั โมง ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------ 1. สาระและมาตรีานการเรยี นรู ้ สาระท5่ี ภูมิศาสตร์ มาตรฐานส5.2เขา้จใ ปฏสิมัพนัธระ์หวา่งมนษุยก์บัสงิ่แวดลอ้มทางกายภาพทก่ีอ่ใหเ้กดิการสรา้งสรรคว์ถิกีารดาเนนิชวีติ มจีติสานกึและมี สว่นรว่ม ในการจดัการทรพัยากรและสงิ่แวดลอ้มเพอื่การพฒันาทย่ีงยั่นื 2. ตวั ชวี้ ูั

3. จุูประสงษก์ ารเรยี นรู ้ 1. นกัเรยีนสามารถอธบิายแนวทางการจดัการทรพัยากรธรรมชาตแิละสง่ิแวดลอ้มในประเทศไทยอยาง่ยงยั่นืได้(K) 2. นกัเรยีนสามารถนาเสนอแนวทางในการจดัการทรพัยากรธรรมชาตแิละสงิ่แวดลอ้มและเสนอแนวทางในการจดัการทยี่งยั่นืในประเทศไทยได้ (P) 3. นกัเรยีนสามารถเหน็ประโยชนข์องทรพัยากรธรรมชาตแิละสงิ่แวดลอ้มรวมทงั้รคู้ณุคา่ของการรกัษาทรพัยากรและสงิ่แวดลอ้ม (A) 4. สาระสาษาั การดาเนนิชวีติประจาวนัเราควรมจีติสานกึและมสีว่นรว่ม ในการจดัการทรพัยากรและสงิ่แวดลอ้มเพอื่การพฒันาทย่ีงยั่นื 5. ชนิ้ งาน/ภาระงาน รว่มกนัสารวจขยะแลว้บนัทกึลงสมดุ พรอ้มสรปุขอ้มลู และทารายงานสรปุ 6. สาระการเรยี นรู ้ 3. ผลจากการรกัษาและการทาลายสงิ่แวดลอ้มในประเทศไทย 2. แนวทางการจดัการทรพัยากรและสงิ่แวดลอ้มทย่ีงั่ยนืโดยมจีติสานกึรคู้ณุคา่ 7. สมรรถนะสาษาั วองผูเ้ รยี น 1. ความสามารถในการสอื่สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกไ้ขปญั หา 4. ความสามารถในการใชท้กัษะชวตีิ 5. ความสามารถในการใชเ้ทคโนโลยี

8. ษณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงษ ์ 1. มุ่งมั่นในการทางาน 2. มีวนิยั 3. ใฝเร่ยีนรู้ 4. มจีติสาธารณะ 9. กจิ กรรมการเรยี นรู ้ โูยใชแ้ บบสบื เสาะหาษวามรู ้ 5 วนั้ ตอน (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) 1.การสรา้ งษวามสนใจ (Engagement) 1.ครเูปดิ สอื่วดิทีศัเรอื่งประเภทของขยะใหน้กัเรยีนดจู ากนน้ัใหน้กัเรยีนแยกประเภทขยะจากบตัรคาเชน่เศษอาหารกระป๋องโำ้ ฯลฯ 2.นกัเรยีนรว่มกนัอภิปรายเรอ่ืงปญั หาขยะภายในโรงเรยีน 2.การสารวจและษน้ หา (Exploration) 3.ใหเ้ดก็นกัเรยีนจบักลมุ่ตามความเหมาะสมแยกยาย้กนัไปตามจดุทก่ีาหนดรว่มกนัทากจิกรรม สารวจขยะประเภทตา่งๆภายในโรงเรยีน โดยจดบนัทกึลงสมดุวา่มขียะประเภทใดบา้งดงัน้ีขยะเปยีกขยะแหง้ขยะอนตัรายขยะรไีซเคลิ แตล่ะประเภทมจีานวนเทา่ใด 3.การอธบิ ายและลงวอ้ สรุป (Explanation) 4.เมอื่นกัเรยีนไดข้อ้มลู แลว้นามารว่มกนัอภิปรายและลงขอ้สรปุ 5.นาขอ้มลู มาทาเปน็แผนภูมิแทง่เพอื่สรปจุานวนปรมิาณขยะในแตล่ะพนื้ที่

4.การวยายษวามรู ้ (Elaboration) 6.นกัเรยีนนาเสนอขอ้มลู ทส่ีรปุมาขยายความรโู้ดยการวเิคราะหว์า่บรเิวณตา่งๆในโรงเรยีนมขียะประเภทใด มากนอ้ยเพยีงใด 7.ครตู งั้คาถามวา่ถา้หากโรงเรยีนเราแยกขยะแตล่ะประเภทแลว้จะเกดิผลดอียาง่ไร 5 การประเมนิ ผล (Evaluation) 8.มอบหมายงานใหน้กัเรยีนทารายงานสรปุเกยี่วกบัการแยกขยะในโรงเรยีน 9.นกัเรยีนและครรูว่มกนัสรปุและหาแนวทางวธิแยีกประเภทขยะในโรงเรยีน

จดัทาโดย รหสั004 นางสาวชลฤทยัจตริ พลูผล รหสั020 นางสาวปวรศิา มาหม่ัน รหสั022 นางสาวมินตรา แสนโ ม่ รหสั023 นายพลาชนิ จบจงัหรดี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook