44 การปฏิบตั ิ ลำดับ หัวขอ้ การประเมิน ปฏบิ ัติ ปฏบิ ัติ ไม่ หมาย ถูกต้อง ไม่ ปฏบิ ัติ เหตุ ครบถว้ น รปู ที่ 4 จาก http://www.medilife.co.th/bls-nhcp 5 ผูช้ ่วยเหลอื คนที่ 1 หยุดปม๊ั หัวใจไมเ่ กนิ 10 วนิ าที เพอ่ื ให้ AED วิเคราะห์ คลน่ื ไฟฟา้ หวั ใจ 6 คลืน่ ไฟฟ้าหวั ใจไม่มขี อ้ บ่งชี้ของการช็อคไฟฟ้า ทำการ CPR ต่อ 7 CPR จนครบ 5 รอบ แล้วสลบั คนปมั๊ หวั ใจกับชว่ ยหายใจ 8 ประเมนิ ROSC โดยการคลำชพี จรทีค่ อ (carotid pulse) 4. สรปุ ท้ายบท การช่วยฟ้นื คนื ชีพ เพ่อื ช่วยชีวติ ผู้ท่ีหมดสตแิ ละสงสัยวา่ หวั ใจหยุดเต้นโดยเร็วจะสามารถช่วย เพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การรอดชีวิต หากผู้ช่วยเหลือที่พบเจอ เหตุการณ์ดังกล่าวนอกโรงพยาบาล หรือบุคลากรทางสุขภาพที่พบเจอเหตุการณ์ท่ีต้องช่วยฟื้นคนื ชีพ ทงั้ ในหรือนอกโรงพยาบาล มีความรูค้ วามเข้าใจถึงลำดับขัน้ ตอนของการชว่ ยฟ้ืนคืนชีพอย่างถูกวิธี จะ สามารถใหก้ ารช่วยเหลอื ไดอ้ ย่างรวดเร็วและสามารถรักษาชีวติ ผทู้ มี่ ภี าวะหวั ใจหยุดเตน้ ได้ต่อไป
45 5. แบบทดสอบท้ายบท 1. หากท่านพบชายวัยผ้ใู หญ่ นอนหมดสตินอกโรงพยาบาล ท่านควรโทรไปหมายเลขใด 2. จงอธิบายหลกั ของห่วงโซช่ ่วยชวี ิต 3. การปัม๊ หวั ใจของผหู้ มดสติ ไม่รสู้ กึ ตวั ควรทำอย่างไร 4. ท่านพบบุคคลทตี่ ้องการการช่วยฟน้ื คืนชีพทา่ นจะทำอะไรเปน็ อันดับแรก 5. การกดนวดหวั ใจทด่ี ีควรทำอย่างไร เอกสารอา้ งองิ คณะกรรมการมาตรฐานการชว่ ยชีวิต. (2563). แนวทางปฏิบัตกิ ารช่วยชวี ติ สำหรับบคุ ลากรทาง การแพทย์ ในช่วงสถานการณ์ COVID-19. สบื คน้ ออนไลน์ เมือ่ วนั ที่ 20 กรกฎาคม 2563 จาก https://thaicpr.org/?mod=guideline American Heart Association. (2020). Highlights of the 2020 American Heart Association: Guidelines for CPR and ECC. Available online from https://cpr.heart.org/-/media/cpr-files/cpr-guidelines- files/highlights/hghlghts_2020_ecc_guidelines_english.pdf. November 22, 2020. Benditt, D.G., Chen, L. Y., & Shen, W.K. (2008). Management of syncope in adults: An update. Mayo Clinic Proceeding, 83(11), 1280-1293. doi: http://dx.doi.org/10.4065/83.11.1280 Merchant, R.M., Topjian, A.A., Panchai, A.R., Cheng, A., Berg, A.m., Lavonas, E.J., et al. (2020). Executive summary: 2020 American Heart Association guidelines for cardiopulmonary resuscitation and emergency cardiovascular care. Available online from https://www.ahajournals.org/doi/10.1161/CIR.0000000000000918. November 22, 2020. Moya, A., Sutton, R., Ammirati, F., Blance, JJ., Brignole, M., Dahm, J. B.,…Wieling, W. (2009). Guidelines for the diagnosis and management of syncope (version 2009). European Heart Journal, 30(21), 2631-2671. doi: 10.1093/eurheartj/ehp298 Panchai, A.R., Bartos, J.A., Cabanas, J.G., Drennan, I.R., Hirsch, K.G., Kudenchuk, P.J., et al. (2020). Adult basic and advanced life support. https://cpr.heart.org/- /media/cpr-files/cpr-guidelines files/highlights/hghlghts_2020_ecc_guidelines_english.pdf. November 22, 2020
46 แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 4 หวั ขอ้ เน้ือหาประจำบท 1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์โรค COVID19 ของประชาชน ความหมาย และ ประเภทของภาวะสุขภาพทีเ่ ปลย่ี นแปลง 2. การส่งเสริมและการป้องกนั โรคโรค COVID 19 3. ปฏบิ ตั ิการการจดั การกับโรค COVID19 ด้วยตนเอง และความรว่ มมือจากชุมชน 4. สรปุ ทา้ ยบท 5. แบบฝกึ หดั ท้ายบท วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม เม่ือศึกษาบทท่ี 1 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายสถานการณ์โรค COVID 19 ความหมาย และประเภทของภาวะสขุ ภาพท่ี เปลี่ยนแปลงได้ 2. อธบิ ายวิธีการส่งเสรมิ และการปอ้ งกนั โรคโรค COVID 19 ได้ 3. ระบุวิธีปฏิบัติการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการจัดการกับโรค COVID19 ด้วยตนเอง และ ความรว่ มมอื จากชมุ ชนได้ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. วธิ ีสอน 1. แบบบรรยาย 2. แบบอภิปราย 3. แบบสัมมนาการ 4. แบบค้นคว้าหาความร้เู พม่ิ เติม 2. กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. ผูส้ อนสอบถามถงึ พ้นื ฐานของผูเ้ รยี นกอ่ นเริม่ บรรยาย 2. ผู้สอนบรรยาย เรื่อง สถานการณ์โรค COVID 19 ความหมาย และประเภทของ ภาวะสุขภาพที่เปล่ยี นแปลง และวิธีการส่งเสริมและการป้องกันโรคโรค COVID 19 3. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มจัดสัมมนาการเรื่องการปฏิบัติการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการ จดั การกบั โรค COVID19 ดว้ ยตนเอง และความร่วมมือจากชมุ ชน 4. สรุปบทเรียนรว่ มกนั ระหวา่ งผู้เรยี นและผ้สู อน
47 สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารเน้ือหาประจำบทเรียน 2. กรณศี ึกษา 3. Power Point 4. เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ 5. ใบงานการจัดสัมมนาการเรื่องปฏิบัติการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการจัดการกับโรค COVID 19 ด้วยตนเอง และ ความร่วมมอื จากชมุ ชน 6. แบบฝึกหดั ประจำบทเรยี น การวดั และประเมินผล 1. สงั เกตจากการถามตอบในห้องเรียน 2. วดั เจตคตจิ ากการสงั เกตพฤติกรรมความกระตือรอื ร้นในการทำกิจกรรมและคณุ ภาพของ งานท่ีมอบหมาย
48 บทท่ี 4 รูเ้ ทา่ ทนั การดูแลโรค COVID 19 อาจารย์ ดร.วนั เพ็ญ แวววีรคุปต์ อาจารย์ภาศนิ ี สุขสถาพรเลิศ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เรียม นมรักษ์ ความรเู้ บ้อื งต้นเกีย่ วกบั โรคโควดิ 19 (COVID 19) เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 มีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่นในจีน การ ระบาดคร้งั แรกเกิดทต่ี ลาด South China Seafood ของเมืองอู่ฮ่ัน มณฑลหเู ป่ย์ ประเทศจีน โดยพบ ผู้ป่วยรายแรกในช่วงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562 จากนั้นแพร่ระบาดไปหลาย ๆ พื้นในประเทศจีน และประเทศอื่นๆ ในหลายสว่ นของโลก จนกระทงั่ เม่ือวนั ที่ 28 กุมภาพนั ธ์ 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น \"การระบาดใหญ่\" หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลก (กรมควบคุมโรค กระทรวง สาธารณสุข, 2563) ความหมาย เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดนิ หายใจท่สี ง่ ผลใหเ้ กิดโรคปอดอักเสบ เชอ้ื ท่ที ีเ่ ป็นสาเหตุของ การเกดิ โรค คอื เช้ือไวรสั โคโรนาสายพนั ธุ์ใหม่ 2019 ไวรัสโคโรนาเปน็ ไวรัสในวงศ์ใหญ่ทเี่ ปน็ สาเหตุของโรคทง้ั ในสัตวแ์ ละคน ในคนนน้ั ไวรสั โคโร นาไวรสั โคโรนามีมาแลว้ 6 สายพนั ธ์ุ ท่ที ำให้เกดิ โรคระบบทางเดนิ หายใจต้งั แต่โรคหวัดธรรมดาจนถึง โรคที่มีอาการรุนแรง สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดเป็นสายพันธุ์ที่ 7 องค์การ อนามัยโลก ประกาศชื่อที่เป็นทางการสำหรับใช้เรียกโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสาย พนั ธ์ุใหมว่ ่า \"โควิด-ไนนท์ นี \" (Covid-19) ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ภาพที่ 1) เป็นตระกูลของไวรัสที่ก่อให้อาการป่วยตั้งแต่ โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่มีความรุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS-CoV) และโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS-CoV) เป็นต้น ซึ่งเป็นสายพันธ์ุ ใหมท่ ีไ่ ม่เคยพบมากอ่ นในมนุษยก์ ่อให้เกดิ อาการปว่ ยระบบทางเดนิ หายใจในคน และสามารถแพร่เช้ือ จากคนสู่คนได้ โดยเชื้อไวรัสนี้พบครั้งแรกในการระบาดในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ในช่วงปลายปี 2019 (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2563)
49 คณุ สมบตั ิทางจุลชวี วิทยาไวรสั โคโรนาสายพนั ธ์ุใหม่ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอชนิดสายเดี่ยว ที่มีลำดับสารพันธุกรรมเหมือนเอ็ม อาร์เอ็นเอ (Positive-sense single-stranded RNA virus) รูปร่างกลมหรือมีหลายแบบขนาด 80-120nm diameter (ใหญ่ที่สุดของ RNA virus) มีเปลือกหุ้ม (Envelope) cและสามารถฆ่าได้ด้วย Alcohol หรือ สบู่/ผงซักฟอก ลักษณะสำคัญคือตดิ ต่อได้งา่ ยและพบไวรัสในกระแสเลือดได้นาน ภาพที่ 4.1 ไวรสั โคโรนาสายพนั ธ์ใุ หม่ 2019 สบื คน้ จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_km/handout001_03032020_2.pdf ระยะฟกั ตวั ระยะฟักตัว 2 - 14 วัน จะแพรไ่ ดเ้ มือ่ มอี าการหรอื อาการแสดงของโรค ระยะฟัก ตวั เฉลยี่ 5.2 วัน (95%CI = 4.1-7.0) (กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2563) การแพร่กระจายของเชอื้ โรคโควดิ 19 สามารถตดิ ต่อจากคนสู่คนได้ เม่ือ (1) สมั ผสั ใกลช้ ดิ ในระยะ 2 เมตร (2) ผ่าน “ละอองฝอย” ที่ผู้ป่วยไอหรือจามออกมา และ (3) ละอองฝอยเหล่านั้นสามารถตกลงบนปากหรือ จมกู ของผ้ทู ีอ่ ยู่ใกล้ชิด หรืออาจสูดหายใจเขา้ ไปในปอด การระบาดของโรคโควิด 19 มีลักษระเป็นแบบการแพร่จากคนสู่คน (Propagated) โดยที่ เชื้อไวรัสทอ่ี ยู่ในเย่ือบุจมูก (น้ำมูก) คอ (น้ำลาย) และทางเดินหายใจสว่ นล่าง (เสมหะ) ซ่ึงพอผู้ป่วยไอ หรอื จามเช้อื ไวรัสจะออกมากับละอองน้ำออก แลว้ แพร่เชอื้ ต่อไปยงั อีกคนหนึ่ง โดย “ทั่วไป” การแพร่ เช้อื มกั เปน็ 2 รปู แบบ ดังน้ี 1. การติดต่อผ่านละอองฝอย (droplet) เป็นละอองน้ำที่มีขนาด ‘ใหญ่’ ตั้งแต่ 5 ไมครอน ขึ้นไป ซึ่งก็คือละอองน้ำมูกน้ำลายจากการไอจามปกตินั่นเอง โดยละอองแบบนี้จะอยู่ในอากาศได้ เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง และฟุ้งออกไปได้ไกล 1-2 เมตรเท่านั้น ตัวอย่างเชื้อก่อโรคคือ ไวรัสและ แบคทเี รียในระบบทางเดนิ หายใจเกือบทั้งหมด เช่น ไข้หวดั ใหญ่ หัดเยอรมัน โรคคอตบี เปน็ ตน้ 2. การตดิ ตอ่ ผ่านอากาศ (airborne) เป็นละอองน้ำท่มี ขี นาด ‘เล็ก’ กว่า 5 ไมครอน ซงึ่ เกิด จากการระเหยของละอองฝอย (evaporated droplet) หมายถึงเชื้อยังมีชีวิตอยู่ในละอองฝอยท่ี
50 ระเหยแห้งไปแล้ว ทำให้สามารถล่องลอยในอากาศเป็นเวลานาน และฟุ้งออกไปได้ไกลจากผู้ป่วย ตวั อยา่ งเชอ้ื ก่อโรค เชน่ วณั โรค โรคหัด โรคสุกใส เป็นต้น โรคโควิด 19 ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ผ่านทางละอองเสมหะจาก การไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนการแพร่กระจายเชื้อผ่านทางการพื้น ผิวสัมผัสที่มีไวรัสแล้วมาสัมผัส ปาก จมูกและตา สามารถแพร่เชื้อผ่านทางทางอาหารและน้ำท่ี ปนเปื้อนเชื้อโรค (fecal-oral route) ได้ด้วย การที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สามารถจับ กับเซลล์ของลำไส้เล็กได้ด้วยตัวรับชนิดเดียวกัน จึงทำให้ผู้ป่วยบางรายมีอาการทางระบบทางเดิน อาหาร เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว ร่วมด้วย และมีงานวิจัยที่ตรวจพบเชื้อจากการป้ายทวารหนัก (anal swab) ของผู้ป่วย เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้จึงสามารถติดต่อกันผ่านการปนเปื้อนของอุจจาระ (fecal-oral) ได้ การทำลายเช้ือ ไวรัสไวรสั โคโรนาสายพันธุใ์ หม่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยน้ำยา Chlorhexidine แต่สามารถ ทำลายได้ด้วย 70-90% แอลกอฮอล์ 0.5% ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.01% โซเดียมไฮเปอร์คลอไรด์ 0.23-0.47% โปรวิดีน ความร้อน มากกว่า 56 องศา อย่างน้อย 20 นาที หรือ 65 องศา นาน 5 นาที แสง UV-C จากหลอดแสงจันทร์ หรือหลอดไฟไอปรอท ระยะ 3 เซนติเมตร นาน 15 นาที ดังภาพท่ี 2 ภาพท่ี 4.2 สรปุ การทำลายเชอ้ื สบื คน้ จาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_km/handout001_03032020_2.pdf
51 ไวรัสไวรสั โคโรนาสายพันธใุ์ หมอ่ ยูไ่ ด้นานแคไ่ หน จากการเก็บข้อมูลของ G ü n t e r K a m p f, D a n i e l To d t , S t e p h a n i e P fa e n d e r, E i k e S t e i n m a n n (2020) พบว่า เชื้อไวรัสสามารถอยู่ในพื้นผิวต่าง ๆ ได้เป็น ระยะเวลาที่แตกตา่ งกนั ดังน้ี 1. พนื้ ผิวโลหะ แกว้ ไม้ หรือพลาสติก ณ อณุ หภมู หิ อ้ ง ไวรัสอยไู่ ดน้ าน ประมาณ 4-5 วนั 2. อณุ หภมู ิ 4 องศาสเซลเซียส ไวรสั อยไู่ ดน้ าน ประมาณ 28 วัน แตถ่ ้าอณุ หภูมิ มากกว่า 30 องศา อายุของไวรสั จะส้นั ลง 3. ความชื้น ทีค่ วามชื้น มากกว่า 50% ไวรัสจะมชี ีวติ อยู่ได้ดีกวา่ ท่คี วามชื้น 30% จากความรนู้ ้ีไดข้ ้อค้นพบทส่ี ำคัญท่ีสดุ เกีย่ วกบั ไวรัสโคโรนาบนพนื้ ผิวต่างๆ คือ สามารถทำ ความสะอาดได้อยา่ งงา่ ยดายด้วยน้ำยาฆา่ เชอื้ ท่ีใช้สำหรบั งานบ้านท่วั ไป ประเภทของภาวะสขุ ภาพท่ีเปล่ยี นแปลง ปจั จบุ ันจะยังไมแ่ นช่ ดั วา่ ร่างกายของแตล่ ะคนจะตอบสนองต่อโรคโควดิ 19 อยา่ งไร จนกวา่ คนนัน้ จะติดเช้ือ ดังนนั้ จึงเป็นเร่ืองสำคัญท่ีทุกคนควรปฏิบัตติ ามข้อแนะนำด้านสุขภาพ เพ่ือให้ตนเอง ปลอดภยั จากโรคนี้ อาการทั่ว ๆ ไปของผู้ติดเชื้อ ได้แก่ อาการระบบทางเดินหายใจ มีไข้ ไอ หายใจถี่ หายใจ ลำบาก ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ปอดออักเสบ ไต วาย หรอื อาจเสียชีวติ ดงั แสดงในภาพท่ี 3 มีอาการคล้ายไข้หวัด อาการทางเดินหายใจ เช่น อาการไข้ (90%) มีอาการอ่อนเพลียและ ไอแห้ง (80%) และหายใจถี่ (20%) โดยหายใจลำบาก (15%) ในผปู้ ว่ ยบางรายอาจมีอาการรุนแรงทำ ให้เกดิ ภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ปอดออกั เสบ ไตวาย หรอื อาจเสียชีวิต แม้วา่ อาการหลายอย่าง จะคล้ายคลึง แต่เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสที่แตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถระบุโรคตาม อาการเพียงอย่างเดียว จึงต้องอาศยั การทดสอบทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารเพอ่ื ยืนยนั เชอ้ื โรคโควิด 19 ส่งผลกระทบทั้งปอดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยสาร \"ไซโตไคน์\" (cytokine) เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งมีหน้าที่ค้นหาสญั ญาณการติดเชือ้ ในผู้ป่วยโควิด 19 อาการรุนแรงบางคน ระบบนี้อาจถูกกระตุ้นมากผิดปกติ หากมีการหลั่งสารไซโตไคน์ออกมามาก เกินไป ก็จะทำให้มีปฏิกิริยารุนแรงเกินไปที่อาจสร้างความเสียหายต่อเซลล์สุขภาพดี โดยกรณีเช่นน้ี เรียกว่า \"พายุไซโตไคน์\"(cytokine storm) ซึ่งพบในผู้ป่วยอาการหนักส่วนใหญ่ สามารถทำให้ผู้ป่วย เกิดอาการชักหรือแม้แต่อาการโคม่าไมร่ ู้สึกตวั และมนั ยังทำให้เกิดปัญหาในสมองซ่งึ นำไปสู่โรคหลอด เลือดสมองได้ด้วย โดยระบบภูมิคุ้มกันที่มีการตอบสนองมากเกินไปอาจทำให้เลือดแข็งตัว ซึ่งทำให้
52 การสง่ เลอื ดไปเล้ียงสว่ นตา่ ง ๆ ของสมองหยุดลง ในผูป้ ว่ ยอาการรนุ แรงอาจแสดงอาการคล้ายกับโรค สมองอักเสบ โรคจติ และโรคสมองเส่อื ม สำหรับระยะเวลาการป่วยโดยเฉลี่ยของโรคโควิด 19 คือ 14 วัน แต่หลายคนอาจมีอาการ ป่วยนานกวา่ นน้ั โดยปัญหาการหายใจ และอาการออ่ นเพลียหลังตดิ เชอ้ื ไวรัสอาจอยเู่ ร้ือรังหลายเดือน สำหรับผู้ปว่ ยบางคน สำหรับผ้มู โี อกาสสูงสดุ ทจ่ี ะมีอาการรุนแรงคือ กลุม่ คนชรา และผมู้ โี รคประจำตวั อาการแสดงของโรค ผูต้ ิดเชอื้ จะมีอาการไข้ ไอ และออ่ นเพลยี อาการท่พี บนอ้ ยกว่าแต่อาจมีผลต่อผ้ปู ว่ ยบางราย คือ ปวดเมื่อย คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ท้องเสีย ลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น หรือผื่นตามผิวหนัง หรือสีผิวเปลี่ยนตามนิ้วมือนิ้วเท้า อาการเหล่านี้มักจะไม่รุนแรงนักและค่อยๆ เริ่มทีละน้อย บางราย ติดเช้ือแต่มอี าการไม่รุนแรง ทั้งนี้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของกรมควบคุมโรค พบว่า อาการและอาการแสดงสำคัญ ของผูป้ ว่ ยชาวไทย ไดแ้ ก่ ไข้ (83%) ไอ (70%) ปวดเมือ่ ยกลา้ มเนอ้ื (40%) และเจ็บคอ (40%) โรคโควิด 19 มีอัตราป่วยตาย (Case Fatality Rate) ประมาณ 2.0 - 3.0% (กรมควบคุม โรค กระทรวงสาธารณสุข, 2563) และองค์การอนามัยโลกได้เสนอว่าอัตราการเสียชีวิตอยู่ท่ีประมาณ 3% จากจำนวนผ้เู สยี ชวี ติ จากไวรัส ณ วนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563 ภาพที่ 4.3 อาการและการแสดงของโรค สบื ค้นจาก https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/g_km/handout001_03032020_2.pdf
53 การรกั ษา โรคโควิด 19 เปน็ การติดเช้ือไวรัส ซง่ึ ยังไม่มียาฆ่าเช้ือ การรกั ษาจึงเปน็ การรักษาตามอาการ คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคโควิด 19 จะมีอาการหลัก ๆ ได้แก่ ไอและเป็นไข้ แต่ก็อาจจะรู้สึกปว ดเมื่อย ร่างกาย เหนอ่ื ยล้า เจ็บคอ และก็ปวดหัว อาการเหล่านีอ้ าศยั การนอนพัก ทานนำ้ เยอะ ๆ และกินยาแก้ปวดเชน่ พาราเซตามอล คนท่ี มีอาการเพียงเล็กน้อยน่าจะกลับมาหายดีได้อยา่ งเร็ววนั ไข้ควรจะลดภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็อาจจะ ยังไอต่อ องค์การอนามัยโลกวิเคราะห์ข้อมูลผู้ติดเชื้อจากจีนและได้ผลสรุปว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ต้องใช้ เวลาราว 2 สัปดาหก์ วา่ คนไข้จะกลับมาหายดี ผู้ป่วยส่วนมาก (80%) หายป่วยได้โดยไม่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ประมาณ 1 ใน 5 ของผตู้ ดิ เชอ้ื โควดิ 19 มีอาการหนกั และหายใจลำบาก ผู้สงู อายแุ ละมโี รคประจำตัวเช่น ความดนั โลหติ สูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือมะเร็งมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยรุนแรงกว่า อย่างไรก็ตามทุกคน สามารถติดโรคโควิด 19 ได้และอาจป่วยรุนแรง คนทุกเพศทุกวัยที่มีอาการไข้ และ/หรือไอร่วมกับ อาการหายใจลำบาก/ติดขัด เจบ็ หนา้ อก เสียงหาย หรอื เคลือ่ นไหวไม่ได้ ควรปรกึ ษาแพทย์ทันที หาก เป็นไปได้ แนะนำใหโ้ ทรไปลว่ งหนา้ เพอ่ื สถานพยาบาลจะไดใ้ หค้ ำแนะนำ กลุม่ เสีย่ งต่อการสมั ผัส โรคโควิด 19 เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกคนมีโอกาสสัมผัสโรคได้ทั้งหมด ทั้งนี้สามารภ แบง่ ประเภคบุคคลที่เส่ยี งตอ่ การสมั ผสั เปน็ กลุม่ ๆ ได้ ดังนี้ 1. ผทู้ อี่ าศัยในประเทศหรอื เมืองทีม่ ีการระบาดของโรคอย่างตอ่ เนื่อง 2. ผูท้ ีเ่ ดินทางเข้า-ออกจาก หรือ แวะเปล่ยี นเครือ่ งบินในประเทศหรือเมืองท่ีมีการ 3. ระบาดของโรคอย่างต่อเน่อื ง 4. บคุ คลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 5. บุคคลที่ทำงานใหบ้ ริการ นักท่องเที่ยว 6. ผ้ทู ี่มีอายมุ ากกว่า 50 ปี และมีโรคประจำตัวเรอื้ รัง เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือด 7. และหวั ใจ เป็นตน้ การตรวจหาเช้ือไวรัสโคโรนาสายพนั ธุ์ใหม่ วิธีการตรวจสอบไวรัสสามารถตรวจพบได้โดยตรงโดยใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสแบบ ย้อนกลับ (RT-PCR) (จากเสมหะ สารคัดหลั่งจากหลอดลม น้ำล้างหลอดลม การเก็บสิ่งส่งตรวจป้าย โพรงจมกู ) สำหรบั ผ้ทู ี่สงสัยว่าเปน็ โรคปอดอักเสบและอยใู่ นพ้ืนท่เี สย่ี ง 14 วันกอ่ นการระบาดของโรค การตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรม ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิค Real-Time RT-PCR (rRT- PCR) ใช้เวลาตรวจวิเคราะห์และรู้ผลภายใน 3 ชั่วโมงหลังจาก หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารไดร้ ับตัวอย่าง หากผลการตรวจเป็นลบ สามารถรายงานผลได้ทนั ที อย่างไรก็ตามกรณี
54 ผลลบ อาจเกิดจากตัวอย่างท่ไี มเ่ หมาะสมหรือด้อยคุณภาพ ได้แก่ ตำแหน่งทเ่ี ก็บส่ิงส่งตรวจไม่สัมพันธ์ กับพยาธิสภาพของโรค หรือระยะเวลาที่เก็บห่างจากวันเร่ิมป่วยมากเกินไป เจ้าหน้าที่จึงควรทบทวน คำแนะนำการเก็บและนำสง่ สงิ่ สง่ ตรวจพร้อมกับเก็บตัวอย่างใหม่ส่งตรวจซ้ำ แต่หากผลการตรวจเป็น บวกจะดำเนินการตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยการตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ (Nucleotide sequencing ) ใช้เวลาในการตรวจวิเคราะห์ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้การสรุปผลการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยสงสัยติดเช้ือ nCoV 2019 มีความชัดเจนและเปน็ ประโยชน์ตอ่ การวางแผนรกั ษา การเก็บและนำส่งตัวอย่าง กรณีที่พบผู้มีอาการเข้าข่ายสงสัยในโรงพยาบาลของรัฐและ เอกชน ให้แจ้งกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 โดยเร็วที่สุด และปฏิบัติตามคำแนะนำการเกบ็ ตัวอย่างผู้ป่วยทีส่ งสัยติดเชือ้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อย่าง เคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้ตัวอย่างที่เหมาะสมสำหรับการตรวจวิเคราะห์ ที่ถูกต้อง แม่นยำ เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนโรค และการรักษา สามารถควบคุมป้องกันโรคได้อย่างทันที ติดตอ่ สง่ ตวั อย่างได้ที่ศนู ย์ประสานงานการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบตั ิการ (ศปส.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นนทบุรี ในเวลาราชการ โทร 0-2591-2153 และนอกเวลาราชการ โทร. 089-3184596 หรือ 081-7518634 ตลอด 24 ช่ัวโมง การสง่ เสรมิ และการปอ้ งกนั โรคโรค COVID 19 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก ส่งผลให้ประเทศไทยมีการระบาดของโรคในเกือบทุกจังหวัด และยังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง องคก์ ารอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้การระบาดของโรคไวรัสดังกล่าวเปน็ ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระหวา่ งประเทศ และรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการโรคติดต่อ แห่งชาติ ได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พระราชบญั ญัตโิ รคติดต่อ พ.ศ. 2558 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมอ่ื วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563 มกี ารกำหนดมาตรการเร่งดว่ นในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคดังกล่าว เพอื่ เป็นการป้องกันและลด ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานศึกษา ตลอดจน เพอื่ ปอ้ งกันซึ่งเป็นกลมุ่ เส่ียงท่งี า่ ยต่อการตดิ เชอ้ื การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การสร้างเสริมสุขภาพเป็นกระบวนการสร้างเสริมความสามารถของบุคคลและชุมชนในการ ดำเนินวิถีชีวิตที่มุ่งไปสู่การมีสุขภาวะ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเป็นกระบวนการของการ เพม่ิ สมรรถนะให้คนสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้เหมาะสม และพร้อมทจี่ ะปรับสงี่ แวดล้อม ใหเ้ ออ้ื ตอ่ การมสี ขุ ภาพดี ไม่เปน็ โรคติดต่อรา้ ยแรง โดยอาจจะเป็นคนทน่ี ำพาโรคไปยงั ผู้อ่ืนได้
55 แนวคิดของการสร้างเสริมสุขภาพเน้นที่การลดความเสี่ยง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของการ ป้องกันโรค ซึ่งถูกนำมาใช้กับการปกป้องสุขภาพตามแนวคิดของเพ็นเดอร์ และคณะ (Pander, Murdaugh, & Parsons, 2002) การป้องกนั สขุ ภาพเป็นกระบวนการท่ขี จัดหรือลดโอกาสเส่ียงต่อการ เข้าถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย ซึ่งความหมายเดียวกับการป้องกันโรค ที่เป็นการยับยั้ง พฒั นาการของโรครวมถงึ การประเมินและการรกั ษาเฉพาะเพ่ือจำกดั ความกา้ วหนา้ ของโรคทุกระยะ สรา้ งเสริมสขุ ภาพ หมายถึง กระบวนการปฏิบตั ิเพ่ือให้เกิดสุขภาพกายแข็งแรง เจริญเติบโต ปราศจากโรคภัยไขเ้ จ็บ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกตสิ ุข กลวิธีการสร้างเสริมสุขภาพยังคงเป็น 5 กลวิธีในการส่งเสริมสุขภาพจากกฎบัตรออตตาวา (Ottawa charter) แต่เป็นการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากในระดับบคุ คลสู่กลุ่มวัย โดยแนวทางจะเปน็ การเขา้ ถงึ และความเปน็ ธรรมของการได้รบั บริการ ประกอบดว้ ย 1. การกำหนดนโยบาย (Public policy) เป็นการกำหนดมาตรการเพื่อเอื้อหรือนำไปสู่การ ส่งเสริมให้ประชาชนสุขภาพดี สำหรับนโยบายการป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด 19 มีการ สง่ เสรมิ การสรา้ งส่ิงแวดล้อมให้เหมาะสมกับการแพร่กระจายของโรค ไดแ้ ก่ ในสถานการศึกษา ต้องมี การคัดกรองนักเรียนหรือนักศึกษาตั้งแต่ประตูทางเข้า โดยการใช้อุณหภูมิกาย ที่ต้องอยู่ในช่วงของ 35.0-8-37 องศาเซลเซียส และมีการลา้ งมือดว้ ยแอลกอฮอล์เจลทกุ คร้งั และทุกกิจกรรม มีการจัดโต๊ะ เรียนให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ต้องมีแผงกั้นเพื่อลดการติดเชื้อ มีการทำความสะอาดหอ้ งเรยี นทุก วัน เช็ดวัสดอุ ปุ กรณ์ ดว้ ยแอลกอฮอล์ ทกุ วัน 2. การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล เป็นการให้ข้อมูลสุขภาพและพัฒนาทักษะเพื่อให้บุคคล สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ชว่ งการระบาดของโรคโควิด 19 ภาครัฐมีการ รณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในทุก ๆ ช่องทาง ทั้งทางสิ่โทรทัศน์ เว็ปไซด์ แผ่นพับ โปสเตอร์ และ การบอกข่าวจากทีม อสม.เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการดูแลตนเองทั้งการป้องกันตนเอง ไม่ใหเ้ จบ็ ปว่ ย หรือหากเจบ็ ป่วยแล้วสามารถดแู ลตนเองได้ ไม่แพรก่ ระจายโรคสบู ุคคนอ่นื 3. มีการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ( Healthy environment) ในสถาน ประกอบการต่าง ๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ต้องมีมาตรการต้องใช้หน้ากากอนามัย และคัดกรองด้วย อณุ หภมู ิกาย 4. มีการสร้างเสริมพลังอำนาจ (Empowerment) ส่งเสริมให้บุคคลสามารถตัดสินใจและมี อำนาจในการควบคุมชีวิตตนเอง โดยใช้วิธีการที่ให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ภายในกลุ่ม เกิดการพฒั นาตนเองในการแกไ้ ขปญั หา 5. การปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการ การจัดหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการที่ส่งเสริมการดูแล สุขภาพของบุคคล เช่น ช่วงการระบาดของโรคโควดิ 19 ผู้ป่วยที่ไมจ่ ำเปน็ ไม่ตอ้ งมาโรงพยาบาล หาก มยี ารบั ประทานประจำทีมสขุ ภาพจะนำยาไปให้ท่บี ้าน หรอื มีการจดั สง่ ไปทางไปรษณีย์ เป็นตน้
56 การสร้างเสริมสุขภาพตามกลวิธีดังกล่าวข้างต้นถือเป็นแนวทางในการดำเนินงานขั้นพื้นฐาน ซึ่งต้องอาศัยในการชี้แนะสาธารณะ และการตลาดเชิงสังคมเพื่อสร้างการเปลีย่ นแปลงในระดับชุมชน และสังคม การชี้แนะสาธารณะเป็นการเพิ่มพูนอำนาจของประชาชน และกลุ่มคน เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ มีความรับผิดชอบต่อความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ โดยการมีส่วนร่วมด้านสังคมและนโยบาย (ลักขณา เติมศิริกุลชัย,2551) กลวิธีในการชี้แนะสาธารณะ แบ่งเป็น 3 วิธีการคือ การค้นหาปัญหา การกระตุ้นเร่งเร้า และการให้ข้อมูล การค้นหาปัญหาใช้กลวิธีทางการวิจัย รวบรวมข้อมูลจาก สาธารณชน แสดงให้เห็นประโยชนท์ ค่ี วรไดร้ บั การกระตนุ้ เร่งเร้าและใหข้ ้อมลู เป็นการสร้างการมีส่วน ร่วมของชุมชนเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณชน จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและการระดมกำลังเพื่อขอการ สนับสนุนจากสังคม (ลกั ษณา เติมศริ กิ ุลชยั ,2551) การปอ้ งกันโรคโควดิ 19 การปอ้ งกนั โรค (Prevention) เปน็ การควบคุมสาเหตแุ ละปัจจัยเส่ยี งของการเกดิ โรคช่วย ไมใ่ ห้คนสัมผสั เชือ้ / หากสัมผัสเช้ือกส็ ามารถต้านทานโรคได้ การป้องกันโรค หมายถึง การขจดั หรบั ยบั ย้งั พฒั นาการของโรครวมถึงการประเมนิ และการ รักษาเฉพาะ เพื่อจดั ความกา้ วหนา้ ของโรคในทุกระยะ การปอ้ งกนั โรคแบง่ เปน็ 3 ระยะ คือ 1. การป้องกันโรคระดับปฐมภูมิ (Primary Prevention) เป็นการส่งเสริมสุขภาพของบุคคล ให้แข็งแรงโดยทั่วไป เช่นกินอาหารที่มีประโยชน์ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางในการ รับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น และล้างมือบ่อย ๆ สำหรับกิจกรรมการดูแลของทีมสุขภาพและ อสม. จะเปน็ การคัดกรองการแพร่กระจายเช้ือ โดยคดั กรองจากการวัดอุณหภูมิ การซักประวัติในการ สัมผัสกับผู้ป่วย มีการจัดการขอบเขตในกับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อ มีการจัดประชุมที่ต้องเว้น ระยะห่าง และลดจำนวนคนลงให้เหมาะสม มีการประกาศในการใช้หน้ากากอนามัยในทุกที่ที่ต้องมี การประสานงานกนั ทางการแพทย์การป้องกันโรคระดับปฐมภูมิ สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายมี ภมู คิ ้มุ กันตอ่ เชือ้ ทเ่ี ปน็ สาเหตุของโรค ซงึ่ ขณะน้ี (ธันวาคม 2563) ประเทศไทยได้มกี ารพิจารณาในการ สัง่ ซอื้ วัคซนี ปอ้ งกันโรคโควดิ -19 เพอ่ื ชว่ ยปอ้ งกนั ปอ้ งกันโรคโดยการฉดี วัคซนี ให้แกป่ ระชาชน ระยะที่ 2 การป้องกันโรคระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention) เป็นการได้รับการ วินจิ ฉยั ในระยะแรกของโรคและได้รบั การรกั ษาทันทว่ งที เพอื่ ป้องกันความรุนแรงของผลกระทบท่ีอาจ เกิดขึ้น การวินิจฉัยโรคโควิด 19 ผู้ป่วยจะมีอาการไอ มีไข้ มีอาการปวดเนื้อปวดตัว ต้องได้รับการ รักษาโดยทันท่วงที และจะเข้าในหอ้ งแยกเพอ่ื ป้องกันการแพรก่ ระจายเช้ือ ระยะที่ 3 การป้องกันโรคระดับตติยภูมิ (Tertiary prevention) เน้นการที่ไม่เพียงแต่หยุด การดำเนินของโรคเท่านั้น แต่ต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยและป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพอย่าง
57 สมบรู ณ์ การเจบ็ ป่วยโรคโควดิ 19 จะมคี วามเสยี หายของอวยั วะระบบทางเดนิ หายใจ โดยเฉพาะปอด ที่เชื้อไวรัสอาจทำลายเน้ือปอด หรือในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนต้องรักษาโดยใช้ยา ปฏิชีวนะ และต้องมีการฟื้นฟูสมรรถภาพของปอด โดยการกระตุ้นการหายใจเพื่อให้ปอดขยาย และ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพือ่ สมการเสอ่ื มของอวัยวะ การพิจารณาเพื่อแบ่งระดับของกิจกรรมในการป้องกันโรคระดั บปฐมภูมิ ระดับทุติยภูมิ และระดับตติยภูมิ ถือหลักความสัมพันธ์กับปัญหาหรือความเจ็บป่วยที่เกิดข้ึน ตัวอย่างเช่น การให้คำแนะนำเรื่องเกี่ยวกับโรคโควิด-19 การป้องกันการเกิดโรค ได้แก่ การใส่ หน้ากากอนามัยตลอดในการออกนอกบ้าน การหลีกเล่ยี งไปสถานบริการท่ีมีบุคคลจำนวนมาก การใช้ เจลล้างมือในการล้างมือ การเว้นระยะห่างในการนั่งรอคอยในสถานบริการสุขภาพหรือที่ต่าง ๆ วัตถุประสงค์เพื่อให้บุคคลนั้นสามารถดูแลตนเอง ป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 เป็นการสร้าง สุขอนามัยที่ดี ป้องกันการแพร่กระจายของโรค แนะนำให้รู้จักอาการผิดปกติ ได้แก่ การมีไข้ต่ำถึงสูง มีอาการอ่อนเพลีย มีอาการปวดเมื่อยตามตัว มีอาการไอ มีน้ำมูกสีขาวใสถึงขาวขุ่น และเริ่มมีอาการ เหนื่อย ต้องรีบพาโรงพยาบาล และมีการกักตัวของสมาชิกในครอบครัวที่สัมผัสผู้ป่วย จากข้อมูล ข้างต้นแสดงให้เห็นวา่ การแบ่งระดับการป้องกันโรคขึน้ กับการเกิดของปัญหาหรือความเจ็บปว่ ย และ กลมุ่ เป้าหมายเป็นสำคญั กิจกรรมและแนวทางการให้บรกิ ารบคุ คล กลุ่ม และชมุ ชน ในการสง่ เสรมิ และปอ้ งกนั โรคโค วิด-19 มดี งั นี้ ลำดับ กจิ กรรม แนวทางการให้บริการ 1 การส่งเสริมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงที่ มีการประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อออนไลน์ต่าง มีการ อาจจะสมั ผสั กับโรคโควิด19 ประชาสัมพันธต์ ามสถานท่ีตา่ ง ๆ มีการส่งเสริมสุขภาพดี การใช้หน้ากากอนามัย การดูแล ตนเองใหห้ ลีกเลีย่ งกับการสัมผัสโรค มกี ารสง่ เสรมิ เรอื่ งเกย่ี วกับอาหารที่มปี ระโยชน์ การออก กำลังกาย การจัดการความเครียด การพักผ่อนท่ี เพยี งพอ 2 การเฝา้ ระวัง การติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นเป็นระบบถึงลักษณะการ เกิดและการกระจายของโรค รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มี อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ครอบคลุมท้ัง บคุ คล เวลา และสถานที่
58 ลำดับ กจิ กรรม แนวทางการให้บริการ 3. การค้นหาโรคและความเจบ็ ปว่ ย การรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อวิเคราะห์ภาวะ คุกคามสขุ ภาพ แหลง่ ที่เกดิ วิธกี ารควบคมุ 4 การคดั กรอง การแยกแยะคนที่เจ็บป่วยออกจากคนทั่วไป ไม่ได้มี วตั ถปุ ระสงค์เพือ่ การวนิ จิ ฉัย 5 การเข้าถึงกลมุ่ เป้าหมาย การให้บริการกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มท่ี สนใจ โดยการใหข้ ้อมลู ส่งเสรมิ การเข้าถึงบริการ 6 การคน้ หาผู้ปว่ ย การระบุปัจจัยเสี่ยงสำหรับบุคคลและครอบครัว และการ 7 การสง่ ต่อและการติดตาม เชอ่ื มโยงเข้ากับแหล่งทรัพยากรเพอ่ื ค้นหาการชว่ ยเหลอื การช่วยเหลือบุคคล ครอบครัว กลุ่ม องค์กร ในการเข้าถึง บรหิ ารทจี่ ำเปน็ ในการปอ้ งกนั โรคหรือการกลบั เป็นซำ้ จากการที่สุขภาพเป็นภาวะที่มีความสมดุลของทั้งทางร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณและสังคม ไม่ใชเ่ พยี ง การปราศจากโรคและความพิการเทา่ น้ัน แตร่ วมไปถึงความสามารถในการเลือกการปฏิบัติ ที่เหมาะสมกับภาวะสขุ ภาพของตนเอง การส่งเสริมสุขภาพเป็นกระบวนการสร้างเสริมความสามารถ ของบคุ คลและชมุ ชนในการดำเนนิ วถิ ีชีวิตทมี่ งุ่ ไปสูก่ ารมสี ขุ ภาวะ ภายใต้สถาวะแวดลอ้ มท่เี อื้ออำนวย การปรับสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีประกอบด้วย 5 กลวิธี คือ การปรับเปลี่ยน นโยบายสาธารณะ การสรา้ งส่งิ แวดล้อมท่สี นับสนนุ การดแู ลสขุ ภาพ การสร้างความเข้มแขง็ ของชุมชน การพัฒนาทักษะส่วนบคุ คลและการปรบั เปล่ยี นรปู แบบบริการ การป้องกันโรคเป็นกระบวนการที่ขจัดหรือลดโอกาสเสี่ยงต่อการเข้าถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุ ของการเจ็บปว่ ย แบ่งเปน็ 3 ระยะ คือ การป้องกนั โรคระดับปฐมภูมิ การลดโอกาสในการเข้าถึงปัจจัย เสี่ยงต่าง ๆ ของการเกิดโรค เช่น การรับประทานอาหารเหมาะสมตามวัย การได้รับภูมิคุ้มกันโรค การป้องกันโรคระดับทุติยภูมิ วินิจฉัยในระยะแรกของโรคเพื่อป้องกันความรุนแรงของผลกระทบที่ อาจเกิดขึ้น การป้องกนั โรคระดับตตยิ ภูมิ การหยุดการดำเนินของโรคและการฟน้ื ฟสู ภาพ การปฏบิ ัติการจดั การโรคโควดิ 19 ดว้ ยตนเอง แนวทางการปฏบิ ตั ดิ า้ นสุขวทิ ยาสว่ นบคุ คล ในสถานการณก์ ารระบาดของ โรคติดเชือ้ ไวรัสโค โรนา 2019 เพื่อป้องกนั และลดการแพรเ่ ชือ้ COVID-19 ด้วยหลักการ 3 ล. “ลด เลยี่ ง ดแู ล” 1. ลดการสัมผัส 1.1 ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ สว้ ม หรอื หลงั จากไอ จาม หรือหลังสัมผัสจุดเสีย่ งทมี่ ีผู้ใชง้ านร่วมกนั ในทีส่ าธารณะ เชน่ กลอน หรือลูกบิดประตู ราวจบั หรอื ราวบนั ได
59 1.2 ลดการปนเปื้อนและแพร่กระจายเชื้อโรค โดยเฉพาะเมื่อไอหรือจาม ควรใช้ผ้า หรือ กระดาษ ทิชชูปิดปาก จมูก แล้วน้าไปทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิด หากไม่มี ให้จามใส่ข้อศอก โดยยกแขน ข้างใดข้าง หนึ่งมา จับไหล่ตัวเองฝั่งตรงข้าม และยกมุมข้อศอกปิดปากและจมูกตนเองก่อน ไอ จาม ทกุ ครงั้ เมอ่ื เจ็บป่วยใหใ้ ช้ หน้ากากอนามยั 2. เลี่ยงจดุ เสยี่ ง 2.1 หลกี เลย่ี งการเขา้ ไปในพืน้ ที่ทีม่ ีคนหนาแน่น แออดั หรอื พ้ืนที่ปิด โดยเฉพาะผู้สงู อายุ เด็ก และสตรตี งั้ ครรภห์ ากจำเป็นใหใ้ ส่หน้ากากตามความเหมาะสม เชน่ หน้ากากผ้า 2.2 หลีกเลี่ยง หรืออยู่ห่างจากผู้ที่มีอาการไอ จาม และมีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อระบบ ทางเดิน หายใจ อย่างนอ้ ย 1 เมตร 2.3 หลีกเลีย่ งการใช้มือสมั ผสั ใบหน้า ตา ปาก จมกู โดยไม่จำเป็น 2.4 ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 70 ปี ผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดนั โลหิตสูง โรคปอด และเดก็ อายุต่ำกวา่ 5 ปี ให้เล่ยี งการออกนอกบา้ น ถ้ามีความจำเป็นให้ ออกนอกบ้านใหน้ อ้ ยที่สุด ในระยะเวลาส้ันท่ีสุด 3. ดูแลสขุ ภาพตนเองและสงั คม 3.1 ดูแลตวั เองด้วยการเลอื กทานอาหารที่รอ้ นหรือปรุงสุกใหมๆ่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและ พกั ผ่อนใหเ้ พียงพอ 3.2 หากเดนิ ทางกลบั จากประเทศหรอื พ้ืนท่ีที่มีการแพรร่ ะบาดของเชื้อไวรัสโควดิ -19 ควรกัก ตวั เองทบ่ี า้ น 14 วนั และปฏบิ ตั ิตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข 3.3 รกั ษาระยะหา่ งทางสังคม ดว้ ยการอย่ทู ่ีบา้ นหรือเลอื กทำงานที่บา้ น หากออกนอกบ้านให้ รกั ษาระยะหา่ งระหว่างบคุ คลไม่น้อยกว่า 1-2 เมตร ในทุกท่ีทุกเวลา วิธกี ารปฏิบัติสำหรบั กลมุ่ เสี่ยง 1. คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จากสถานการณ์การ แพรร่ ะบาดของ COVID-19 ทม่ี กี ารแพรร่ ะบาดในวงกวา้ ง ในปจั จุบนั ผู้สูงอายุเป็นประชาชนกลุ่มเส่ียง ตอ่ การเกดิ โรคท่มี ีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มวัยอ่ืน การอยรู่ วมกันในครอบครวั ทีม่ สี มาชิกในบ้านมาที่ มีประวัติเดินทางจากพื้นที่เสี่ยง อาจทำให้ผู้สูงอายุติดเชื้อได้ ดังนั้น ผู้สูงอายุและบุคคลในครอบครัว ควรมีการปฏิบัติตน เพอื่ การปอ้ งกนั การรับสัมผสั และแพร่กระจายเช้อื โรค คำแนะนำสำหรับผสู้ ูงอายุ มีดังน้ี 1.1 ล้างมืออย่างถูกวิธีด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ 70 % ทุกครั้งก่อน รับประทานอาหาร หลัง เข้าส้วม หรือเมื่อสัมผัสสิ่งของร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหนา้ ตา ปาก จมกู
60 1.2 ดูแลตัวเองด้วยการเลือกทานอาหารที่ร้อนหรือปรุงสุกใหม่ๆ ควรรับประทาน อาหารแยกกัน หรือหาก ทานอาหารร่วมกันให้ใช้ช้อนกลางส่วนตัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ พกั ผอ่ นใหเ้ พียงพอ 1.3 หากไอ จาม ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรอื กระดาษทิชชูปิดปากหรือใช้ข้อศอกปิดปากจมกู และทำความ สะอาดมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ทันที หรือให้สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงการ อยู่ใกล้ชิดผทู้ ีม่ ีอาการ หวดั มไี ข้ ไอ จาม มนี ้ำมูก 1.4 งดออกจากบ้านหรือเข้าไปในบรเิ วณที่มีคนแออัด ในช่วงที่มีการระบาดของโรค หากจำเปน็ ให้ใส่ หน้ากากอนามยั หรือหน้ากากผ้า ใช้เวลานอ้ ยท่สี ุด รกั ษาระยะห่างจากบุคคลอื่น 1 - 2 เมตร หลีกเลี่ยงการ สวมกอด หรือพูดคุยในระยะใกล้ชิดกับบุคคลอื่น และเปลี่ยนมาใช้การสื่อสาร ทางโทรศพั ท์ หรอื Social media 1.5 หากมโี รคประจำตวั ไดแ้ ก่ โรคหัวใจและหลอดเลอื ด โรคเบาหวาน โรคความดัน โลหติ สูง หรอื โรค ปอดอดุ ก้นั เร้ือรัง โรคมะเรง็ ควรจัดเตรียมยาสำรองสำหรบั รักษาโรคประจำตัวของ ผู้สูงอายไุ ว้ ภายใตด้ ุลยพนิ ิจ ของแพทย์หากถึงกำหนดตรวจตามนัด ให้ตดิ ต่อขอคำนำจากแพทย์ และ ใหญ้ าติไปรับยาแทน 1.6 ดูแลสภาพจิตใจของตนเอง ไม่ให้เครียดเกินไป หาวธิ ีผ่อนคลายความเครยี ด เชน่ การออกกำลัง กายที่เหมาะสมกับสุขภาพ (เช่น รำมวยจีน โยคะ) ฟังเพลง ร้องเพลงหรือเล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ทำสวน จัดห้อง ตกแต่งบ้าน เล่นกับสัตว์เลี้ยง สวดมนต์ นั่งสมาธิ การฝึกหายใจคลาย เครียด ทำบญุ ตกั บาตร เปน็ ต้น 2. คำแนะนำสำหรบั ผทู้ ี่อยรู่ ว่ มกบั ผู้สงู อายุ 2.1 หมั่นสังเกตตนเอง วา่ มอี าการไข้ หรอื อาการทางเดินหายใจหรือไม่ หากพบว่ามี อาการดงั กลา่ ว ควรงดการใกล้ชิดกับผู้สงู อายุ 2.2 หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผสู้ ูงอายโุ ดยไม่จำเป็น หาวิธกี ารสรา้ งความสัมพนั ธ์อันดี โดยรักษาระยะกับผู้สูงอายุ ผู้ท่ีทำหน้าทีด่ แู ลผู้สูงอายุ ตอ้ งสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาและล้างมือ ทกุ คร้ังกอ่ นใหก้ ารดูแล 3. คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย การปฏิบัติตนสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน โลหิตสงู โรคหลอดเลอื ดหัวใจและ สมอง โรคระบบทางเดินหายใจ ผู้ที่มโี รคประจำตวั เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง และโรคทางเดิน หายใจ หากมีการติดเชื้อโคโรนา ไวรัส 2019 จะมีความเส่ียงตอ่ การป่วยรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป เพื่อเป็นการ ป้องกันไม่ให้เกิดการตดิ เชื้อหรอื ปว่ ยรุนแรง จึงมีคำแนะนำดังนี้ 3.1 ให้อยู่ในที่พักอาศัย เว้นการคลุกคลีใกล้ชิดกับบุคคลที่ไม่ใช่ผู้ดูแล รักษา ระยะหา่ งระหวา่ งบคุ คล 1 - 2 เมตร
61 3.2 งดใช้ของหรือเคร่ืองใช้ส่วนตัวร่วมกบั ผอู้ ่ืน 3.3 หากตอ้ งออกนอกทพี่ ักอาศยั ไปในพน้ื ที่ที่มคี นแออดั หรือโดยสารรถสาธารณะ ให้สวมหนา้ กากผา้ หรือหนา้ กากอนามยั ตลอดเวลา 3.4 มหี มายเลขโทรศัพท์ติดต่อของสถานพยาบาลทรี่ ักษาประจำ เพ่ือปรกึ ษาปัญหา สุขภาพ 3.5 ตดิ ตอ่ สถานพยาบาลทรี่ ักษาประจำกอ่ นกำหนดนัด เพ่ือรบั ทราบข้อปฏิบตั ิ เชน่ ให้ญาติหรือผู้อน่ื ไปรบั ยาแทน ให้ไปรบั ยาใกล้บ้าน หรือให้ยา้ ยไปตรวจที่สถานพยาบาลอ่นื 3.6 รับประทานยาสม่ำเสมอ และหมนั่ ตรวจสุขภาพตนเอง เชน่ วัดความดันโลหิต หรือวดั ระดับน้ำตาล ในเลือดเองที่บ้าน 3.7 หากมีอาการป่วยฉุกเฉนิ ให้โทรเรียก 1669 4. คำแนะนำสำหรบั ญาตแิ ละผใู้ กล้ชดิ ผดู้ ูแล 4.1 สวมหน้ากากอนามยั ตลอดเวลาทีใ่ หก้ ารดูแล 4.2 ล้างมอื ก่อนและหลงั การใหก้ ารดูแล 4.3 หากมอี าการผิดปกติของระบบทางเดนิ หายใจ เช่น มนี ำ้ มูก ไอ เจบ็ คอ หรอื รู้สึก มไี ข้ ตอ้ งงด การ ใหก้ ารดูแล หรอื อยู่ใกลช้ ดิ ควรมอบหมายผู้อ่นื ทำหนา้ ท่ีแทน 4.4 ทำความสะอาดเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้ประจำร่วมกันในบ้าน เช่น เครือ่ งวัด ความดันโลหิต ดว้ ยแอลกอฮอล์ 5. คำแนะนำสำหรับกลุ่มเด็กเลก็ ทีม่ ีอายุต่ำกว่า 5 ปี โรคไวรัสโคโรนา่ COVID-19 มีอันตราย ต่อเด็กเช่นเดียวกบั โรคติดเชอ้ื ทางเดนิ หายใจทว่ั ไป เช่น ไขห้ วัดใหญ่ ไข้หวดั ธรรมดา คำแนะนำ 5.1 หา้ มพาเดก็ ออกไปทีส่ าธารณะ ใหเ้ ด็กเลน่ ในบา้ น 5.2 เวน้ ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ใกลช้ ิดคนอ่ืนใหน้ ้อยท่สี ุด 5.3 ผู้ใหญท่ ี่ดแู ลเด็กไมค่ วรออกไปนอกบ้าน ถา้ จำเปน็ ตอ้ งออกไปเม่อื กลบั มาถึงบ้าน ต้องอาบน้ำเปล่ียนเสอ้ื ผา้ กอ่ นมาเล่นกบั เดก็ 5.4 สอนเด็กล้างมือ ใส่หน้ากาก กินอาหารที่มีประโยชน์ สุกสะอาด และนอน พกั ผอ่ นทีเ่ พยี งพอ 5.5 หากเด็กติดเชื้อ COVID-19อาการของโรค เริ่มตั้งแต่มีอาการหวัดน้อยๆ จนถึง ปอดอักเสบหรือปอดบวม และหากมีโรคประจำตัว ก็จะมีอาการชัดเจนอย่างรวดเร็ว ถ้าเริ่มมีอาการ ตอ้ งรีบไปพบแพทย์ 6. การดแู ลหญงิ ตั้งครรภ์ หญงิ หลังคลอด กลุ่มท่ไี ม่ตดิ เชอื้ ใช้หลกั การปอ้ งกนั การแพร่ระบาด ของเชื้ออยา่ งเครง่ ครดั โดย 6.1 หลกี เลี่ยงการสมั ผสั หรืออย่ใู กลช้ ิดผู้ทม่ี ีอาการไอ เปน็ ไข้ ผูท้ ่ีเดนิ ทางมาจากพ้ืนที่เสยี่ ง
62 6.2 หลีกเลย่ี งการอยู่สถานท่ีทม่ี ีผคู้ นแออดั หรอื รวมกลมุ่ กันจำนวนมาก 6.3 หากตอ้ งอย่ใู นสถานท่ีสาธารณะขอให้อยหู่ า่ งจากบุคคลอ่ืนอยา่ งน้อย 1-2 เมตร 6.4 หลีกเลยี่ งการใช้มือสัมผสั บริเวณดวงตา ปาก และจมูก 6.5 รับประทานอาหารที่ปรงุ สุกใหมเ่ สมอ 6.6 แยกภาชนะรบั ประทานอาหารและงดใช้ของส่วนตวั รว่ มกบั ผู้อืน่ 6.7 ล้างมือด้วยสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที หากไม่มีสบู่ให้ใชเ้ จลแอลกอฮอล์ 70% ทุกครงั้ ที่มกี ารไอจาม สัมผัสสิง่ ของหรือบรเิ วณทส่ี มั ผสั ร่วมกบั ผอู้ ืน่ ก่อนรับประทานอาหาร และหลงั ออกจากห้องส้วม 6.8 ในขณะไม่ไดส้ วมหน้ากากอนามยั ถา้ มีอาการไอ จาม ให้ใช้ผ้าเชด็ หนา้ กระดาษ ทชิ ชูหรือไอใสข่ อ้ ศอกปดิ ปากทกุ คร้ัง 6.9 เฝ้าระวังอาการ โดยเฉพาะอาการไข้หรือทางเดินหายใจ หากมีอาการป่วย เล็กนอ้ ย ควรพักผ่อนอยทู่ บ่ี ้าน ถา้ มีอาการไข้ ไอ เจบ็ คอ หายใจเหนือ่ ย ควรรบี ไปพบแพทย์ 6.10 หากถึงกำหนดนัดฝากครรภ์ สามารถติดต่อขอคำแนะนำกบั แพทย์ท่ีฝากครรภ์ เพ่ือพิจารณาความจำเป็นในการไปตรวจตามนดั คำแนะนำสำหรบั ผโู้ ดยสาร รถโดยสารประจำทาง รถทัวร์ รถตู้ รถไฟ 1. หากมีอาการป่วย เช่น มีไข้ไอ จาม มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ ไม่ควรเดินทาง หรือหากมี โรค ประจําตวั ควรระมดั ระวงั เปน็ พเิ ศษ 2. จดั เตรยี มหนา้ กากผ้า และเจลแอลกอฮอล์ เพื่อใชร้ ะหว่างการเดินทาง 3. ระหวา่ งต่อแถวรอใช้บริการ หรือใช้บรกิ ารบนรถ ควรเว้นระยะหา่ งจากผู้อ่ืน อย่างนอ้ ย 1- 2 เมตร และปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างของผู้รับผิดชอบอาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารและ ผปู้ ระกอบการรถโดยสารสาธารณะ 4. หากเป็นไปได้ให้ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ หลังจากใช้บริการรถโดยสาร สาธารณะ ก่อนรับประทานอาหาร และหลังใช้ส้วม รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้มือสมั ผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไมจ่ ำเป็น 5. เมือ่ กลบั ถึงบ้านใหล้ ้างมือด้วยสบู่และน้ำ แลว้ อาบนำ้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนทำกจิ กรรมอ่ืนในบ้าน คำแนะนำสำหรับผอู้ ยอู่ าศัย 1. ปฏิบตั ิตนให้ถูกหลกั สขุ อนามัย ลา้ งมอื ด้วยสบู่และน้ำทุกคร้ังก่อนและหลังเข้า-ออกอาคาร ก่อน และหลังรับประทานอาหาร หลังการทำความสะอาดห้องพัก เก็บขนขยะหรือสิ่งสกปรก และ หลังการใช้ส้วม ไม่นำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ไอ มี นำ้ มูก หายใจเหนอ่ื ยหอบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
63 2. ใชท้ ิชชปู ดิ ปากทุกคร้ังท่ีมีอาการไอหรือจาม และทิ้งกระดาษทชิ ชูในถงุ ขยะทันที ล้างมือให้ สะอาด ด้วยสบู่และน้ำ 3. หมั่นทำความสะอาดสงิ่ ของที่ใช้รว่ มกันในห้องพัก เช่น รีโมท สวติ ไฟ ห้องนำ้ รวบรวมขยะ ใส่ถุง และผกู ปากถุงขยะทุกคร้งั ก่อนทิ้งลงถงั ขยะสว่ นกลาง 4. หลีกเลยี่ งการไปในพนื้ ที่แออดั หรอื ออกจากที่พกั อาศัยเท่าท่จี ำเปน็ 5. ควรรักษาระยะหา่ งระหว่างตนเองและผูอ้ น่ื อย่างนอ้ ย 1-2 เมตร เชน่ การรบั พัสดไุ ปรษณีย์ เอกสาร/จดหมาย แนวทางปฏิบตั สิ ำหรับบุคคลและชมุ ชน 1. รับผิดชอบต่อสุขภาพของคุณเองและร่วมรับผิดชอบต่อสุขภาพของผู้คนในละแวกบ้านคุ ด้วยความตระหนักรู้และมีระเบียบวินัย รักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing หรือการลด การพบปะกับผูค้ น) 2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแตะต้องพื้นผิวตา่ ง ๆ ในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ส่วนรวม หลีกเลี่ยง การชมุ นุม หลีกเลย่ี งการพบปะติดต่อผ้อู น่ื ล้างมือเป็นประจำ และสวมหน้ากากเมอ่ื ต้องอยู่ใกล้กับผู้ท่ี อาจตดิ เชื้อ 3. ป้องปากเมื่อไอ / จาม 4. วดั อณุ หภูมิหรอื คอยสังเกตอาการเริ่มแรกอืน่ ๆ ของการตดิ เชอ้ื (ไอ จาม น้ำมกู ไหล เจบ็ คอ) 5. แยกตัวเองออกจากผู้อื่นทันทีที่เริ่มมีอาการ หากอาการรุนแรงขึ้น โปรดหาวิธีที่ปลอดภัย ในการเดินทางไปยังสถานพยาบาลตามคำแนะนำของรัฐบาล หลีกเลี่ยงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โปรดสวมหนา้ กากอนามัย 6. ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ควรจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้สมาชิกในชุมชนของคุณ ด้วยวธิ ีท่ีไมจ่ ำเป็นตอ้ งมีการพบปะติดตอ่ เช่น ให้คนส่งของวางไว้ท่หี น้าประตู 7. ร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย / ชุมชนปลอดภัย พูดคุยเรื่องความปลอดภัยกับ ครอบครัวและเพื่อนฝูง พูดคุยเรื่องแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ติดตามว่าใครปฏิบัติตาม แนวทางปฏบิ ตั เิ พื่อความปลอดภยั แลว้ บา้ ง กำหนดนโยบายที่ใช้รว่ มกนั สรุปทา้ ยบท โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสพันธุ์ใหม่ สามารถแพร่ทางละอองจากระบบ ทางเดินหายใจของผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยไอ ผู้ป่วยโควิด 19 จำนวนมากมีอาการเพียงเลก็ น้อยโดยเฉพาะในระยะ เริ่มแรก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะติดเชื้อโควิด 19 จากผู้ป่วยที่ไอเล็กน้อยและไม่รู้สึกป่วยเลยเรา สามารถรบั เชื้อจากผู้ตดิ เชอ้ื โควดิ 19 คนอื่น โรคน้สี ามารถแพร่จากคนส่คู นผ่านทางละอองนำ้ มกู นำ้ ลายจาก จมูกหรอื ปากซึ่งออกมาเมอื่ ผ้ปู ว่ ยโรคโควิด 19 ไอ จามหรอื พดู ละออง คนจะรบั เช้อื โรคโควดิ 19 ไดจ้ ากการ หายใจเอาละอองเข้าไปจากผู้ป่วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะรักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร
64 ละอองเหล่านี้ยังตกลงสู่วัตถุและพื้นผิวต่างๆ เช่น โต๊ะ ลูกบิดประตู ราวจับ และเมื่อคนเอามือไปจับพื้นผิว เหล่านั้นแล้วมาจับตา จมูกหรือปาก ก็จะมีเชื้อโรค นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงตอ้ งล้างมือบอ่ ยๆด้วยน้ำและ สบู่ หรือใช้แอลกอฮอลเจลถมู ือ การรักษาสขุ อนามยั ของมอื และมารยาทในการไอ/จามเป็นส่ิงสำคญั ทค่ี วรทำ ตลอดเวลาและเป็นวธิ ที ด่ี ที ส่ี ุดที่จะปอ้ งกันตวั เอง สมั ผสั ใกลช้ ิดกบั ผ้ตู ดิ เชอ้ื โควดิ 19 คุณก็อาจจะตดิ เชอ้ื ได้ การสมั ผสั ใกลช้ ดิ ภายในระยะ 1 เมตรกับ ผปู้ ่วย ในกรณีเหลา่ นค้ี วรแยกตัวเอง การแยกตวั หมายถึงการแยกผ้ปู ว่ ยทีม่ ีอาการของโรคโควิด 19 และอาจ แพร่เชื้อได้ จึงทำเพื่อป้องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และต้องการแยกตัวเมื่อมีอาการไข้ เจ็บคอ หรอื อาการของโรคโควดิ 19 อน่ื ๆ ดว้ ยการอยบู่ า้ นและไมไ่ ปทำงาน โรงเรียน หรือที่สาธารณะ การกักตัว คือการจำกัดกิจกรรมต่างๆ หรือการแยกผู้ที่ไม่ป่วย แต่อาจมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกบั ผปู้ ่วยโควดิ 19 จุดประสงคค์ ือเพอื่ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในห้วงเวลาทคี่ นเริ่มมีอาการ การเวน้ ระยะ คือการอยู่ห่างกนั และกนั องคก์ ารอนามยั โลกแนะนำให้เวน้ ระยะอย่างนอ้ ย 1 เมตร จากผู้อื่น ส่วนนี้เป็นมาตรการทั่วไปที่ทุกคนควรทำถึงแม้ว่าจะแข็งแรงดีและไม่มีประวัติสัมผัสโรคโควิด 19 เลยก็ตาม แบบฝึกหัดท้ายบท 1. โรคโควิด 19 เป็นโรคท่ีติดเชือ้ อะไรและมรี ะยะเวลาในการแพร่รบาดนานเท่าไหร่ 2. โรคโควิด-19 ติดต่อกนั ได้อยา่ งไร 3. หากพบผูท้ ม่ี ีภาวะเสยี่ งต่อการติดเช้ือโควดิ จะมอี าการอย่างไร และบริหารจัดการอยา่ งไร 4. กิจกรรมการปอ้ งกันโรคโควดิ -19 แบบใดทด่ี ที ่ีสุดสำหรับการป้องกนั ของตนเอง 5. การเว้นระยะห่างทางสงั คม (Social Distancing) ควรทำอย่างไรบา้ ง เอกสารอา้ งองิ กระทรวงสาธารณสุข. (2563). แนวทางปฏบิ ตั ิด้านสาธารณสุขเพื่อการจัดการภาวะระบาดของโรค โควิด-19. นนทบุรี : กระทรวงสาธารณสขุ . กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข. (2563). โรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้น 30 พฤศจกิ ายน 2563 จากhttps://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/faq_more.php ขนิษฐา นนั ทบุตร .(2550). สุขภาพชมุ ชน: จากแนวคิดสปู่ ฏบิ ัติการ. นนทบุรี: โรงพิมพ์เดอื นตุลา. ขวัญเมอื ง แก้วดำเกิง และนฤมล ตรเี พชรศรีอไุ ร.(2554).ความฉลาดทางสุขภาพ.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์. นวธรรมดาการพิมพ์ (ประเทศไทย) จำกดั . ประเวศ วะสี.(2541).บนเส้นทางใหม่การส่งเสริมสุขภาพ อภิวัฒน์ชีวิตและสังคม (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรงุ เทพฯ: หมอชาวบ้าน.
65 มหาวิทยาลยั มหิดล. (2563). ความร้พู น้ื ฐาน COVID-19 การตดิ เช้อื การปว่ ย การดูแลรักษา การ ป้องกนั การแพร่เชือ้ และการตดิ เช้อื . กรงุ เทพมหานคร: มหาวทิ ยาลัยมหิดล. ลักขณา เติมศิริกุลชัย .(2551). การชี้แนะสาธารณะด้านสุขภาพ.เอกสารประกอบการสอนวิชาการ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในชุมชน. หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สาธารณสขุ ศาสตร์) สาขาวิชาเอกการพยาบาลสาธารณสุข. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยมหิดล. สํานกั งานคณะกรรมการสุขภาพแหง่ ชาติ. (2563). สูภ้ ยั โควิด19 เปลี่ยนวิกฤตเปน็ ความยงั่ ยืนของ ชุมชน. กรุงเทพมหานคร : สํานักงานคณะกรรมการสขุ ภาพแหง่ ชาติ.
66 ใบงานบทท่ี 4 รเู้ ท่าทนั การดูแลโรค COVID 19 การมอบหมายงาน การจดั สัมมนาการเรอื่ งการปฏิบัตกิ ารท่ีเหมาะสมเกยี่ วกับการจดั การกับโรค COVID19 ด้วยตนเอง และความร่วมมือจากชุมชน คำชี้แจง 1. ใหน้ กั ศึกษาบง่ กลุ่มออกเปน็ 5 กลุ่ม 2. ให้แตล่ ะกลุ่มศกึ ษาคน้ ควา้ สรปุ สาระสำคญั ขององค์ความรู้ และ จัดสัมมนาโดย แต่ละกลุ่ม รบั ผดิ ชอบหวั ขอ้ สมั มนา ดงั นี้ กลุม่ ท่ี 1 การปฏิบัตติ นเพ่ือป้องกนั โรคโควดิ 19 สำหรบั เด็กที่เรียนศนู ย์พัฒนาเด็กเลก็ กลุ่มท่ี 2 การปฏบิ ัติตนเพ่ือป้องกันโรคโควิด 19 สำหรบั นักเรยี นท่ีไปเรยี นในโรงเรยี น กลมุ่ ที่ 3 การปฏิบัติตนเพ่ือป้องกนั โรคโควิด 19 สำหรับผสู้ ูงอายุและครอบครวั กลุ่มท่ี 4 การปฏบิ ัตติ นเพื่อป้องกนั โรคโควดิ 19 สำหรับบุคคลท่ัวไปในชุมชน กลุ่มที่ 5 การปฏิบตั ิตนเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 สำหรบั ผู้ป่วยและครอบครวั ทีม่ ีผปู้ ว่ ย ท่แี พทย์อนุญาตใหก้ ลบั บ้าน หรือ ผูป้ ่วยท่ีมอี าการมามากแพทยใ์ หร้ ักษาตนเองที่บา้ น 3. ให้แตล่ ะกลุ่ม ใชเ้ วลา 45 นาที สำหรบั การเตรียมเนื้อหา และ สือ่ การนำเสนอ พร้อมการ คดั เลอื กตัวแทนมาพดู ในเวทีสัมมนา 4. จดั เวทสี มั มนา ใชเ้ วลา 1 ชวั่ โมง โดยกำหนดผนู้ ำสมั มนา และ ผู้นำเสนอแตล่ ะประเด็นท่ี กำหนด ใชเ้ วลานำเสนอประเด็นละ 10 นาที
67 แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 5 หวั ขอ้ เนอ้ื หาประจำบท 1. สถานการณ์การติดบหุ รี่ของประชากรไทย ความหมาย และอนั ตรายจากการสบู บุหรี่ 2. แนวทางการเลิกบุหร่ี 3. ปฏบิ ตั กิ ารทกั ษะการปฏเิ สธและการปอ้ งกนั การกลับมาสบู บหุ รซ่ี ้ำ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เม่อื ศึกษาบทท่ี 5 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 1. บอกสถานการณ์การติดบหุ รี่ของประชากรไทยได้ 2. อธบิ ายความหมาย และอนั ตรายจากการสูบบุหรี่ได้ 3. บอกแนวทางการเลิกบุหรี่ ได้ 4. ปฏิบตั กิ ารทกั ษะการปฏเิ สธและการป้องกันการกลับมาสูบบุหร่ีซ้ำ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. วธิ สี อน 1.1 ให้เน้อื หาอ่านลว่ งหนา้ (self-study) 1.2 มอบหมายงานให้นกั ศกึ ษาค้นคว้าหัวข้อเรอื่ งทจ่ี ะเรยี น 1.3 บรรยาย/อภิปรายโดยใช้โปรแกรม Microsoft Power Point 1.4 ใหน้ กั ศึกษานำเสนองานกลมุ่ และอภิปรายร่วมกันในห้องเรียน 1.5 ประเมินความร้หู ลังเรยี น 2. กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้สอนมีการทดสอบความรกู้ ่อนและหลงั การเรยี น 2.2 ผูส้ อนบรรยายเน้ือหา 2.3 ร่วมกนั อภิปรายระหว่างผูเ้ รยี นและผสู้ อน 2.4 ผเู้ รยี นวเิ คราะห์สถานการณท์ ก่ี ำหนดให้ 2.5 ผู้เรยี นทำแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 2.6 ประเมินความรู้ก่อนและหลังเรียน ก่อนเรียนมีการแจ้งนักศึกษาเพื่อประเมิน คะแนนสอบหลงั เรียนโดยใชแ้ บบทดสอบในโปรแกรม Quizizz
68 สือ่ การเรียนการสอน 1. เอกสาร หนังสอื และตำราทีเ่ กยี่ วขอ้ งเชน่ 1.1 เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสสี ันแห่งชีวิต 1.2 หนังสือเรื่อง คู่มือเลิกบุหรี่ ชีวิตปลอดบุหรี่ การเตรียมตัวและชีวิตใหม่ (จินตนา ยูนพิ นั ธ์แุ ละคณะ, 2558) 2. เว็บไซตต์ า่ ง ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น 2.1 กระทรวงสาธารณสุข URL:www.moph.go.th 2.2 โครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย Thai Library Integrated system (ThaiLIS) URL: http://tdc.thailis.or.th/tdc/basic.php 2.3 ฐานขอ้ มลู ของ CINAHL ของคณะพยาบาลศาสตร์ https://search.ebscohost.com 2.4 ฐานข้อมูลของสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม Springerlink (E-journals) (E-book) CRCnetBase 2.5 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ URL: http://www.anamai.moph.go.th/ main.php?filename=index2012_1 2.6 สำนักงานกองทนุ สนับสนุนการสร้างเสรมิ สุขภาพ http://www.thaihealth.or.th 2.7 ศูนย์วิจัยและจัดการความรเู้ พื่อการควบคมุ ยาสบู (ศจย.) http://www.trc.or.th 2.8 ศูนยบ์ รกิ ารเลกิ บุหร่ีทางโทรศัพท์แหง่ ชาติ (1600) http://www.thailandquitline.or.th 3. แบบฝึกหดั ท้ายบทเรยี น 4. สื่อการเรียนออนไลน์ได้แก่ Learning Management System (LMS), Application การวัดผลและการประเมินผล 1. ประเมินเนื้อหาการวิเคราะห์ประเดน็ จรยิ ธรรมจากรายงาน ตรวจสอบการส่งงานตามเวลา ท่กี ำหนด การไม่คัดลอกผลงานผอู้ ่ืน การอา้ งอิงเอกสารโดยใช้ แบบประเมินผลงาน/รายงาน 2. สังเกตการแสดงออกถึงการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยการ แสดงออกตอ่ อาจารย์และเพ่ือนร่วมชนั้ เรยี น 3. การทำแบบทดสอบ 4. ประเมินการวิเคราะห์จากการอภิปราย และมีส่วนร่วมในการอภิปรายกรณีศึกษาด้วยแบบ ประเมินการทำรายงานและการนำเสนอ
69 5. ประเมินการแสดงออกของการตระหนักถงึ ความรบั ผิดชอบในการเรียนรู้ตามประสบการณ์ การเรียนรู้และการมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่ม โดยใช้แบบประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความรับผิดชอบ 6. สังเกตและประเมินทักษะการสื่อสาร การนำเสนอและรายงานผลงานทางเทคโนโลยีที่ เก่ียวข้องโดย แบบประเมินการนำเสนอผลงาน/รายงาน
71 บทที่ 5 ลด ละ เลกิ บุหรี่ : How to กมลภู ถนอมสตั ย์ การสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในคนไทย (อายุ 15 ปีขึ้นไป) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2557 และ 2560 พบว่าคนไทยเกือบ 11 ล้านคน (ร้อยละ 19.9 และ19.1 ตามลำดับ) (National Statistical Office, 2018) จากสถานการณ์การสูบบุหรี่ดังกล่าวถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังไม่ เป็นไปตามตัวชี้วัดที่สำคัญของแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติที่กำหนดไว้ว่า จำนวนผู้สูบ บุหรี่จะน้อยกว่า 16.7% ในปี 2562 (Bureau of Tobacco Control Department of Disease Control, 2015) ดังนั้นการดำเนินงานควบคุมยาสูบให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ต้องมีจำนวนผู้เลิก บุหรี่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 50,000 คน จึงจะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้นการเลิกบุหรี่จึงเป็น ประเดน็ สำคัญทปี่ ระเทศไทยตอ้ งใหค้ วามสำคัญเปน็ อยา่ งย่ิง 1. สถานการณ์การตดิ บุหร่ขี องประชากรไทย ความหมาย และอนั ตรายจากการสูบบุหร่ี 1.1 สถานการณก์ ารตดิ บหุ รีข่ องประชากรไทย ประเทศไทยมีการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากรไทยทุก 3 ปี พบว่า ร้อยละของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ถึง 2560 มีอัตราลดลง แม้ว่า ประชากรเพศหญิงท่ีสูบบหรี่มสี ัดส่วนสูงขึน้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของมาตรการการควบคมุ ท่ี ได้ผลอย่างดีเช่น การให้ความรู้ซึ่งพบว่า ผู้มีความรู้มีอัตราการสูบที่ลดลง, มาตรการควบคุมการโมษณา ซึ่งพบว่าจากประชากรที่ถูกสำรวจส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90.62 ไม่เคยเห็นการโมษณาหรือป้ายที่ ส่งเสริม/กระตุ้นให้มีการสูบบุหรี่ตามที่ต่าง ๆ (Tobacco Control Research and Knowledge Management Center, 2020) ผลการสำรวจในปี พ.ศ.2560 พบว่า 10 จังหวัดที่มีอัตราการบริโภคยาสูบสูงสุด ได้แก่ 1) กระบี่, 2) นครศรีธรรมราช, 3) สตลู , 4) สกลนคร, 5) ระนอง, 6) สงขลา, 7) อดุ รธานี, 8) สรุ าษฎร์ธานี, 9) พัทลุง และ 10) ตรัง ตามลำดับ ทั้งนี้อัตราคนที่เคยพยายามจะเลกิ สบู บหุ รี่มีปรมิ าณเพ่ิมมากขึ้นจาก ปี พ.ศ. 2554 ร้อยละ 15.95 เป็นร้อยละ 33.75 ในปี พ.ศ. 2560 หรือ เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ทั้งน้ี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทยเทิดไท้องค์ราชัน โดยมีแนวคิดว่ากลไก ทำงานต้องมาจากระดับลา่ งสุด คือ อสม. ภายไต้การทำงานรว่ มกับ รพ.สต. สสอ. สสจ. และขยับขึ้นมา สูร่ ะดับเขตและระดบั ประเทศ โดยให้ อสม. 1 ลา้ นสหี่ มนื่ คนทวั่ ประเทศชักชวนคนเลิกบุหรี่ในอัตราส่วน อสม.1 คนชวนคนเลกิ บุหรป่ี ีละ 1 คนปี เป็นเวลา 3 ปีกจ็ ะได้คนเลิกบหุ ร่คี รบ 3 ลา้ นคน
72 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชญิ กับความท้าทายทัง้ การนำเขา้ บุหรีผ่ ิดกฎหมายถึงแม้จะ เสี่ยงต่อการเสียค่าปรับซึ่งในแตล่ ะปีมีมูลค่าหลายล้านบาท, มาตรการการชะลอการขึ้นภาษียาสูบ และ การแพร่กระจายผลิตภัณฑ์ยาสูบอิเล็กทรอนิกส์ ในช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้ สถานการณ์การบริโภคยาสูบของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง และป้องกันการแพร่กระจาย ผลิตภัณฑย์ าสูบอิเล็กทรอนิกส์ ภาพที่ 1.1 คาดการณ์แนวโนม้ อัตราการสูบบุร่ีปจั จุบนั ปี 2554-2568 ทม่ี า: ศนู ยว์ จิ ัยและจดั การความรเู้ พือ่ การควบคุมยาสูบ (2020) สำหรับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเยาวชนในประเทศไทย พ.ศ. 2562 จากการสำรวจ พฤตกิ รรมการสูบบุหรี่ของเยาวชนในประเทศไทย พ.ศ. 2562 พบวา่ ในระดับประเทศประเภทของบุหร่ีที่ สูบมี ผู้สูบบุหรี่นิยมสูบบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 18.11 จากอีก 3 ประเภท ได้แก่ บุหรี่ร้อยละ 55.12 ยาเส้น รอ้ ยละ 18.11 และบารากู่ ร้อยละ 8.66 ภาพที่ 1.2 ร้อยละของเยาวชนไทยจำแนกตามชนิดของบุหรีท่ ีส่ ูบ ทมี่ า: ศูนย์วิจยั และจดั การความรเู้ พ่อื การควบคุมยาสูบ (2020)
73 1.2 ความหมาย และอนั ตรายจากการสูบบุหรี่ 1.2.1 ความหมายของยาสูบ ยาสูบ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีส่วนประกอบของใบยาสูบหรือพืชตระกูลนิ โคเทียนาทาบากุ้ม (Nicotiana tabacum) รวมไปถึงสารสกัดหรอื สารสังเคราะห์จากพืชตระกูลนี้ ไม่ว่า จะใช้เสพโดยวิธีสูบ ดูด ดม อม เคี้ยว กิน เป้า หรือพ่นเช้าไปในปากหรือจมูก หรือโดยวิธีอื่นใดเพื่อให้ ไดผ้ ลเป็นเช่นเดยี วกัน ทั้งแบบใชไ้ ฟฟ้าหรอื ไมใ่ ช้ก็ตาม (World Health Organization, 2008) โรคเสพยาสูบ หมายถึง การเสพ \"ยาสูบ\" ไม่ว่าการเสพนั้นจะเป็นผลมาจากปัจจัย การเสพติดทางกาย จิตใจหรือทางด้านสังคมและพฤติกรรมแนวทางการบำบัดโรคเสพยาสูบ (สุทัศน์ รุง่ เรอื งหริ ญั ญา, บรรณาธิการ, 2555) 1.2.2 สารพษิ ในสบู บหุ รี่ บุหรี่ได้มาจากใบยาสูบ ชาวไร่เก็บใบจากต้นยาสูบเอามาทำให้แห้งหั่นให้เป็นฝอย จากนั้นนำมาเติมสารปรุงรสเพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสตามที่ต้องการแล้วมวนด้วยกระดาษเป็นรูปบหุ ร่ี ด้วยเครื่องจักรภายในโรงงาน การสูบบุหรี่เริ่มต้นด้วยการจุดบุหรี่ คือ จุดไฟเผาใบยาสูบให้ลุกไหม้เกิด เป็นควันผู้สูบสูดเอาควันบุหรี่เข้าไปภายในร่างกายเข้าสู่ปอด ควันบุหรี่เป็นกลุ่มสารพิษมากมายหลาย ชนิด ในบุหร่ี 1 มวน เมอ่ื เกดิ การเผาไหม้จะทำใหเ้ กิดสารเคมมี ากกวา่ 4,000 ชนดิ สารหลายร้อยชนิดมี ผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และมี 42 ชนิด ที่เป็นสารก่อมะเร็ง สารพิษที่สำ คัญใน ควนั บุหรนี่ อกจากสารก่อมะเร็ง ไดแ้ ก่ 1.2.2.1 นิโคติน (Nicotine) เป็นสารที่มีลักษณะคล้ายน้ำมันไม่มีสี เป็นสารท่ี ทำให้เกิดการเสพติด และทำให้เกิดโรคหัวใจ นิโคตินส่วนใหญ่จะไปจับอยู่ที่ปอด และบางส่วนถูกดูดซมึ เข้ากระแสเลือด 1.2.2.2 ทาร์ (Tar) ประกอบด้วยสารหลายชนิด เป็นละอองเหลวเหนียว สี นำ้ ตาลคล้ายน้ำมนั ดนิ ร้อยละ 50 ของทารจ์ ะจับอยูท่ ี่ปอด ทำใหเ้ ยือ่ บหุ ลอดลมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ตามปกติ 1.2.2.3 คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide) ซึ่งเป็นก๊าซชนิด เดยี วกับท่พี ่นออกจากท่อไอเสียรถยนต์ กา๊ ซนีจ้ ะขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดงทำให้ผู้ สูบบุหรีไ่ ด้รับออกซิเจนนอ้ ยลงไม่ตำ่ กว่ารอ้ ยละ 10-15 หัวใจต้องเตน้ เรว็ ข้นึ และทำงานมากขนึ้ 1.2.2.4 ไฮโดรเจนไดออกไซด์ (Hydrogen dioxide) เป็นก๊าซพิษที่ใช้ใน สงคราม ก่อใหเ้ กิดอาการไอ มีเสมหะ หลอดลมอกั เสบเรอื้ รัง 1.2.2.5 ไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen dioxide) เปน็ สาเหตุของโรคถุงลม ปอดโปง่ พอง เพราะไปทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลายและถุงลม 1.2.2.6 แอมโมเนีย (Ammonia) มีฤทธิ์ระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้แสบตา แสบ จมูก หลอดลมอักเสบ
74 1.2.2.7 ไซยาไนด์ (Cyanide) ซง่ึ ปกติเป็นยาเบอ่ื หนู กพ็ บในบุหรีด่ ้วยเชน่ กนั 1.2.3 อันตรายของบหุ ร่ีต่ออวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกาย “การสบู บหุ ร่เี ปน็ วธิ กี ารท่ที ำให้สมองไดร้ บั สารเสพติด (นิโคตนิ ) เร็วที่สดุ คือภายใน 7 วนิ าทีเทา่ นน้ั ซึ่งเร็วกว่าการฉีดเฮโรอนี เขา้ เส้นเลือด” การสบู บหุ ร่ี 1 ซอง จะทำให้ชีวิตของผู้สูบบุหร่ี สั้นลงประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที หรือ สูบบุหรี่ 1 มวน ทำให้ชีวิตสั้นลงไป 7 นาที นิโคตินนอกจากจะ เป็นสารพิษแล้วยงั เปน็ สารเสพติดอีกด้วย ทำให้ผู้สูบบุหร่ีติดใจอยากสูบต่อไปเร่ือย ๆ ไม่ยอมหยุดแม้ว่า ผู้สูบบุหรี่จะตอ้ งใชเ้ งนิ เป็นจำนวนมากเพื่อซอื้ บหุ รีใ่ นระยะแรก ๆ เขาเหลา่ น้จี ะรูส้ กึ พงึ พอใจและติดใจใน รสของบุหร่ี แตเ่ มื่อไดส้ ูบบุหร่ีติดต่อกันไปเปน็ ระยะเวลายาวนานบุหร่ีก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ของผสู้ ูบทำให้เกิดเปน็ โรคมากมายเชน่ 1.2.3.1 เสี่ยงตาบอดถาวร เม่ือเราสูบบุหรี่บ่อย ๆ สารพิษในบุหรี่จะทำให้เกิด ตาตอ้ กระจกได้ง่ายข้นึ โดยสงั เกตไดจ้ ากดวงตาที่ดูขุ่นมวั ข้ึนเร่อื ย ๆ ซ่งึ นัน่ เปน็ เพียงอาการเริ่มต้นเท่าน้ัน หากยงั คงสูบตอ่ ไปเรื่อย ๆ สารพษิ ในบุหรี่ จะทำใหห้ ลอดเลือดทีไ่ ปเลี้ยงจอเรตินาเกิดการตบี ตัน จนเป็น ผลให้ตาบอดถาวรในที่สุด 1.2.3.2 เสี่ยงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ผู้สูบบุหรี่นับว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะสูงมาก เพราะตามปกติร่างกายจะมีกระบวนการดูดซึมสารพิษหรือสาร แปลกปลอมเข้าสกู่ ระแสเลือด และขับถา่ ยออกทางปัสสาวะ ซ่ึงสารนโิ คตนิ และสารเสพติดอืน่ ๆ ในบุหรี่ นั้น มีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อมีการดูดซึมและขับออกทางปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะจึงสัมผัส กับสารเหล่านี้ตลอดเวลา เป็นผลให้เสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้นั่นเอง นอกจากนี้ผู้สูบบุหรี่เป็น เวลานานบางคน อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เนื่องจากกล้ามเนื้อซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมกระเพาะ ปัสสาวะถกู ทำลาย 1.2.3.3 เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคท่ี อันตรายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้สูงมาก เนื่องจากสารนิโคตินและสารเสพติดอื่น ๆ ในบุหรี่ จะทำให้ หลอดเลือดหัวใจหดตัวและตีบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ จึงทำให้หัวใจขาดเลือดจนเกิด ภาวะหวั ใจวายเฉยี บพลันได้ 1.2.3.4 เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการโรค ระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบ โรคมะเร็งช่องปากและมะเร็ง หลอดอาหาร รวมถึงการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพลอไร (Helicobacter pylori) เพราะ สารเคมีในบุหรี่ จะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารผลิตน้ำย่อยมากเกินความจำเป็น จนกัดกร่อนกระเพาะ อาหารทำให้เกิดแผล เมื่อกัดกร่อนนานขึ้นเรื่อย ๆ ก็ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร เสี่ยงเกิดภาวะ กระเพาะทะลุ หรือเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในอนาคต
75 1.2.3.5 เสี่ยงหลอดเลือดสมองตีบ หลอดเลือดสมองตีบ เป็นอีกโรคที่น่ากลัว เพราะอาจเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองแตกได้ ซึ่งก็จะทำให้เส่ียงต่อการเป็นอัมพฤต อัมพาตและอาจ เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้อีกเช่นกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่บ่อย ๆ และสูบเป็นประจำมักเสี่ยงต่อ ภาวะหลอดเลือดสมองตีบและแตกมากกว่าคนปกติสูงถึง 10 เท่า อีกทั้งยังอาจทำให้เซลลส์ มองฝ่อและ เสอ่ื มไดง้ า่ ยกวา่ ปกติ 1.2.3.6 เสี่ยงถุงลมโป่งพอง ถุงลมโป่งพอง เกิดจากการที่เนื้อปอดและถุงลม เล็ก ๆ ค่อยๆ เสื่อมสภาพลงจนโป่งพองในทีส่ ดุ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเปน็ เพราะการสูบบุหรีเ่ ปน็ เวลานาน โดยสารนิโคติน ไนโตรเจนไดออกไซด์ และสารเคมีอืน่ ๆ จะเข้าไปทำลายเซลล์เน้ือเย่ือของปอด และทำ ให้ถุงลมเล็ก ๆ ฉีกขาด ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบากและหายใจยากขึ้น บางคนอาจรู้สึกหายใจได้ไม่ เต็มปอดจนต้องหายใจถแ่ี ละเรว็ ข้นึ กวา่ ปกติ ซงึ่ กส็ รา้ งความทรมานให้ผู้ปว่ ยไดม้ ากทีเดียว 1.2.3.7 เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ บุหรี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้สูบเสื่อม สมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดเกิดการอุดตัน ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยง ประสาทที่ควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายได้น้อยลง และยังทำให้จำนวนอสุจิอ่อนแอและลด นอ้ ยลงดว้ ย ซึ่งเม่อื ขาดอสุจทิ ่แี ข็งแรงโอกาสท่ีคณุ จะเป็นหมันก็เพ่ิมสงู ข้นึ 1.2.3.8 เสี่ยงแท้งลูก สำหรับผู้หญิงที่สูบบุหรี่ นอกจากจะมีความเสี่ยงต่อการ เสียชีวิตสูงกว่าผู้ชายแล้ว หากสูบในช่วงตั้งครรภ์ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้อีกด้วย เนื่องจาก สารเคมีในบุหรี่จะทำให้รกเกาะต่ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน และอาจเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ตามมาได้ ดงั น้นั หากรู้ตวั ว่ากำลังต้ังครรภ์ ควรเลิกสบู บหุ ร่ที ันที และหลกี เลยี่ งการสดู ดมควันบุหร่ีดว้ ย 1.2.3.9 ส่งผลกระทบอื่น ๆ ต่อทางร่างกาย นอกจากโทษของบุหรี่ที่กล่าว มาแล้ว ผู้สูบบุหรี่อาจมีความผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ ฟันผุ ฟันดำ มีกลิ่นปาก ไอเรื้อรัง กล่นิ ตวั เหม็นมาก แก่เร็ว ผมหงอก และอาจมอี าการเหนื่อยงา่ ย หอบ เลบ็ เหลืองหรือมีอาการเบ่ืออาหาร รวมไปถึงทำใหเ้ กิดมะเรง็ ปอดซ่งึ มักเป็นสาเหตุของการเสียชวี ติ 1.2.4 โทษของบุหร่ีต่อคนรอบขา้ ง คนรอบขา้ งไม่ได้สูบบุหรี่ก็มสี ทิ ธิเป็นโรคท่ีเกดิ จากการสูบบหุ ร่ีได้เช่นกัน หากอยู่ ในสภาวะแวดลอ้ มทม่ี ีควนั บุหรีม่ าก ดงั น้ี 1.2.4.1 ควันบุหรี่มือสอง คือ ควันบุหรีท่ ี่ผู้สูบพ่นออกมาทางลมหายใจผสมกับ ควันจากปลายมวนบุหร่ีท่ีกำลังเผาไหมโ้ ดยไมผ่ ่านตวั กรองสารพิษใด ๆ ควนั ชนิดนปี้ ระกอบด้วยสารเคมี มากกว่า 7,000 ชนิด เป็นสารพิษนับร้อยชนิดและในจำนวนนี้ราว 70 ชนิดเป็นสารก่อมะเร็งที่สามารถ ปะปนอยูใ่ นอากาศได้นานถงึ 5 ชว่ั โมงโดยไม่มกี ลิน่ ให้รบั ร้ไู ดเ้ ลย สารพษิ ในควันบุหรี่เกดิ จากการเผาไหม้ ของสารเคมีที่มีอยู่ในใบยาสูบตามธรรมชาติ จากสารเคมีที่ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสในกระบวนการผลิต บุหรี่ และจากกระดาษทใี่ ช้มวนบุหร่ี การท่ีรบั สารพิษจากทผ่ี อู้ ื่นสูบบหุ รี่มคี วามเส่ยี งในการเกดิ โรคตา่ ง ๆ เทา่ กบั ผูส้ บู
76 1.2.4.2 ควนั บหุ ร่มี ือสาม คือ สารพิษจากควนั บหุ รีท่ ตี่ กคา้ งตามเส้นผม ผวิ หนัง เสื้อผ้า ตุ๊กตา พรม โซฟา ผ้าม่าน ที่นอน หรือช่องแอร์ เป็นต้น หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่าย ควันบุหรี่มือ สามคือสถานที่ทีม่ ีคนมาสูบบหุ รี่และทิ้งร่องรอยของสารพษิ ตกคา้ ง อนุภาคละอองไอสารเคมีที่เปน็ พษิ ท่ี ก่อให้เกิดมะเร็งไว้ให้เรา แม้ควันเหล่านั้นจะจางหายไปในอากาศแลว้ ก็ตาม 1.2.5 ความสัมพนั ธข์ องบหุ ร่กี ับ COVID-19 การสูบบุหรีธ่ รรมดาหรือบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อมีการพ่นควนั หรอื ละอองไอของบุหรี่ออกมา เท่ากับเป็นการแพร่เชื้อใส่กัน เพราะในควนั และละอองมีสารคัดหล่ัง เช่น น้ำลาย เสมหะ และแบคทีเรีย ปนอยู่ หากผสู้ บู บุหรค่ี นดังกลา่ วเป็นผู้ทีต่ ิดเช้ือ COVID 19 กจ็ ะสามารถแพร่เช้ือไปสู่ผอู้ ่ืนได้ ถ้ามีการสูด ดมควันบุหรี่ที่สูบโดยผู้ติดเชื้อ COVID 19 ก็มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งที่ผู้สูบพ่นออกมาเป็น ละอองฝอย และบหุ รีไ่ ฟฟา้ จะเส่ยี งมากกว่าบุหร่ีทวั่ ไป เพราะมีละอองน้ำมากกวา่ โดยบุหรีท่ วั่ ไปจะมสี าร คัดหลั่งปนออกมากับควัน ลอยอยู่บนอากาศไกล 1-2 เมตร แต่ถ้าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจะมีควันเยอะ ละออง ฝอยอนุภาคเลก็ ลอยอยบู่ นอากาศไกลเกิน 2 เมตร มขี อ้ มูลจาก Wuhan Center for Disease Control and Prevention (Wu & McGoogan, 2020) บอกว่า อากาศในอุณหภูมิที่ 25 องศาเซลเซียลจะทำให้ ไวรัสชนิดนี้มีชีวิตอยู่ได้นานถึง 2-3 นาทีโดยประมาณ และล่าสุดข้อมูลจากประเทศอังกฤษ (Liu et al., 2020) ได้บอกว่า จากการทดลองยิงเช้ือไวรัสโคโรน่าผ่านเครือ่ งพ่นไปสู่อากาศ ผลที่ได้คือ มันมีชีวิตอยู่ ได้นานถึง 3 หรือ 4 ชั่วโมง แต่ระยะเวลาการมีชีวิตของเชื้อไวรัสก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความช้ืน อณุ หภมู ิ และปัจจยั อน่ื ๆ ด้วย การศึกษาของสถาบันแหง่ ชาติวา่ ด้วยการติดยาเสพติดของสหรัฐอเมริกา (National Institute on Drug Abuse: NIDA) (Volkow, 2020) พบว่า COVID-19 คุกคามประชาชนโดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับผู้ที่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งพิษภัยจากการสูบในยามปกติจัดว่ารุนแรงต่อสุขภาพในระบบ ทางเดนิ หายใจอยแู่ ล้ว ด้วยเหตนุ ี้การลดปจั จัยเส่ยี งตอ่ สขุ ภาพจงึ เปน็ สง่ิ ท่ีสำคัญทส่ี ุดในชว่ งเวลาน้ี เพราะ มคี วามเชือ่ มโยงระหว่างผู้สูบบหุ รแ่ี ละบุหร่ีไฟฟ้ากับ COVID-19 ทโ่ี จมตรี ะบบทางเดนิ หายใจ และข้อมูล จากศูนย์ควบคุมโรคจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention: China CDC) พบ ข้อสังเกตว่า อัตราการตายของผู้ป่วย COVID-19 ในจีน อยู่ที่ 6.3% สำหรับผู้ที่มีโรคระบบหายใจเรือ้ รัง เมอื่ เทียบกบั 2.3% ของผู้ปว่ ย COVID-19 โดยรวม ซง่ึ ผสู้ บู บุหรีแ่ ละบหุ รไี่ ฟฟ้าอาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ ของปอดและลดความสามารถในการต่อสู้กับการติดเช้อื ทำใหเ้ พิ่มความเสีย่ งต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน รุนแรงจาก COVID-19 ท้ังน้มี ีงานวจิ ัยพบว่า ผปู้ ่วยท่ีเสียชวี ิตจาก COVID-19 ในจนี 1 ใน 4 หรอื 25.5% เป็นผู้สูบบุหรี่ นอกจากนั้นจากการศึกษาของวาร์ดาวาส (Vardavas & Nikitara, 2020) พบว่าคนที่สูบ บหุ รจ่ี ะมอี ตั ราการติดเชื้อสูงกว่าคนไม่สบู และพบวา่ มกี ารเกิดภาวะแทรกซ้อนรนุ แรงไดม้ ากกว่า ดังนั้นควรเลิกบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อป้องกันการเกิดโรคที่มีผลกระทบต่อระบบ ทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นอีกทางหนึง่ ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจาก COVID-19 ที่เป้นอันตราย
77 ถึงชีวิต โดยขอเชิญชวนประชาชนทุกท่าน ที่เป็นผู้สูบและผู้ที่ต้องการให้คนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด เลกิ บุหรแ่ี ละบหุ รไี่ ฟฟา้ 2. แนวทางการเลิกบหุ ร่ี 2.1 วธิ กี ารช่วยเลกิ บหุ ร่ดี ้วยตนเอง การช่วยเลิกบุหรี่ด้วยตนเองต้องมี “ใจ” ที่อยากจะเลิกจริง ๆ โดยต้องมี “3 ใจ” ที่มี ความสำคัญคือ ตั่งใจ มั่นใจ และกำลังใจ โดยมีเทคนิคที่เรียกว่า “4ล” (สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา, บรรณาธกิ าร, 2555) ประกอบด้วย ล 1 เลือกวัน: กำหนดวันเลิกเสพเป็นวันที่มีความสำคัญ ภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ หลงั จากทต่ี ดั สนิ ใจเลกิ เสพ ผู้ป่วยอาจเลอื กท่จี ะเลิกเสพในทนั ทีเลยก็ได้ หรอื อาจค่อยๆ ลดจนเลิก ล 2 ลัน่ วาจา: บอกคนในครอบครัว เพือ่ น และผรู้ ่วมงาน ถงึ ความต้ังใจในการเลิกเสพ และขอกำลังใจและการสนบั สนนุ จากทกุ คน ล 3 พร้อมลงมือ : วางแผนรับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการเลิกเสพ รวมทั้งพร้อม รับมอื อาการถอนนิโคตนี ล 4 ละอปุ กรณ์: กำจดั บุหรี่ ยาสูบทุกทกุ ชนิด รวมทง้ั หมากพลู และอปุ กรณ์ที่เกีย่ วข้อง ทั้งหมด พร้อมหลีกเลยี่ งสถานที่ ทีเ่ คยใช้เสพเปน็ ประจำ 2.2 บรกิ ารช่วยเลิกบุหรี่ ประเทศไทยไดม้ ีการจดั บริการเลิกบุหร่ีโดยไม่มคี า่ ใชจ้ ่ายโดยมี 2 บริการหลักดังน้ี 2.2.1 ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ (1600) การดำเนินงานของ 1600 สายปลอดบุหรี่ เป็นบริการที่ให้คำปรึกษาแบบเข้มข้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อการช่วยเลิกบุหรี่สำหรับ ประชาชนแบบเข้มข้นด้วยการหักดิบ โดยผู้เชี่ยวชาญท่ีมีประสบการณ์ในการชว่ ยเลิกบุหรี่ หลังจากการ ลงมือเลิกบุหรี่แล้วจะได้รับการติดตามเพื่อการป้องการกลับมาสูบซ้ำในวันที่ 7, 14, 30, 90, 180 และ 1 ปี 2.2.2 คลินิกฟ้าใส เป็นคลินิกให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่ติดบุหรี่ และอยากจะเลิกบุหรี่ อย่างเด็ดขาด ทั้งจากตนเองและเลิกบุหรี่ด้วยยาแผนปัจจุบัน ติดตามพร้อมกัน ภารกิจของคลินิกฟ้าใส คือ ตรวจรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากบุหรี่ และยังไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ และในผู้ป่วยที่ ป่วยแล้วและต้องการดูแลรักษาตนเอง เช่น โรคมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยหลอดลม ให้สามารถ ปฏบิ ตั ติ วั และดูแลตนเองได้อย่างถกู ตอ้ ง ซึง่ ช่วงเวลาทผ่ี ู้ป่วยและผ้ทู ยี่ งั ไมป่ ่วยมารบั การบำบดั รักษา เป็น ชว่ งที่ดใี นการแลกเปลย่ี นประสบการณร์ ะหว่างกัน โดยเฉพาะพิษภัยตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นจากบุหรี่
78 3. ปฏิบัตกิ ารทักษะการปฏเิ สธและการป้องกันการกลบั มาสบู บุหรีซ่ ้ำ 3.1 ทกั ษะการปฏิเสธ การสูบบุหรี่มีสาเหตุจากความอยากรู้อยากลอง ความสามารถในการปฏิเสธการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นพบว่า วยั รุ่นท่มี เี พือ่ นสนิทสบู บหุ รี่ การถกู เพอ่ื นชวนสูบบุหรจ่ี ึงเป็นปัจจัยเสี่ยงท่ี ทำให้วยั รนุ่ สูบบุหร่ี (กมลภู ถนอมสตั ย์ และรัชนี สรรเสรญิ , 2554) ดังนั้นการมที กั ษะในการปฏิเสธการ สูบบุหรี่เมื่อถูกชักชวนจึงมีความสำคัญเพื่อไม่ให้เสียเพื่อน (ฮูดา แวหะยี, บุญสิทธ์ิ ไชยชนะ, กรรณิกา เรืองเดช, 2556) 3.1.1 ปฏิเสธอย่างจริงจังทั้งท่าทางคำพูดและน้ำเสียง เพื่อแสดงความตั้งใจอย่าง ชัดเจน 3.1.2 ใช้ความรู้สึกเป็นข้ออ้างประกอบเหตุผล เพราะการใช้เหตุผลอย่างเดียวมักถูก โต้แย้งด้วยเหตผุ ลอื่น การอา้ งความรู้สึกจะทำใหโ้ ตแ้ ย้งได้ยากขึ้นเช่น ฉนั ไม่สบายใจเลยเพราะอาจทำให้ คนเข้าใจผดิ ได้ 3.1.3 การบอกปฏิเสธให้ชัดเจน เช่น ฉันไม่ไปด้วยหรอก ฉันขอไม่ไป ผมไม่ชอบ เป็น ตน้ 3.1.4 การขอความเห็นชอบและแสดงอาการขอบคุณ เม่อื ผ้ชู วนยอมรับและเป็นการ รกั ษานำ้ ใจของ ผ้ชู วน เช่น คณุ คงไม่ว่านะ คุณคงเขา้ ใจนะ ฯลฯ 3.1.5 เมื่อถูกเซ้าซี้หรือสบประมาท ไม่ควรหวั่นไหวไปกับคำพูดเหล่านั้น เพราะจะ ทำใหข้ าดสมาธิ ควรยนื ยนั การปฏิเสธและหาทางออกโดยเลือกวิธตี ่อไปน้ี 3.1.5.1 ปฏเิ สธซำ้ โดยไม่ตอ้ งใช้ขอ้ อา้ งพรอ้ มทงั้ บอกลาแล้วเดินจากไปทนั ที 3.1.5.2 การตอ่ รอง โดยการชักชวนให้ทำกจิ กรรมอนื่ ทดแทน เชน่ เรากลบั บา้ นกัน ดีกวา่ เด๋ยี ว พอ่ แม่จะเป็นหว่ ง เราไปเล่นกฬี ากนั ดีกวา่ ไปหอ้ งสมุดกันไหม พร้อมทัง้ บอกลาแล้วเดินจาก ไปทันที 3.1.5.3 การผัดผ่อน โดยการขอยืดระยะเวลาออกไป เพื่อให้ผู้ชวนเปลี่ยนความ ตั้งใจ เช่น เอาไว้วันหลังดีกว่า ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่ว่างไว้ให้มีเวลาว่างก่อนนะ เป็นต้น พรอ้ มท้งั บอกลาแลว้ เดนิ จากไปทันที 3.1.6 ออกจากสถานการณ์น้ัน 3.2 การป้องกันการกลับมาสบู บุหรีซ่ ้ำ เม่อื ลงมอื เลกิ บหุ รม่ี ักจะพบกบั อาการถอนนิโคติน อาการถอนนิโคตินที่พบบ่อย 7 อาการ ได้แก่ อาการอยากบุหร่ี อาการกระวนกระวาย อาการนอนไม่หลับ อาการหิวมาก อาการไม่มีสมาธิ
79 อาการอ่อนเพลีย และอาการปวดท้อง ท้องผูก ท้องอืด อาการถอนนิโคตินจะเป็นชั่วคราวและสูงสุด ประมาณ 72 ชว่ั โมง เท่าน้ัน แล้วจะค่อย ๆ หายไป เทคนคิ การตอ่ ส้กู บั อาการอยากบุหรี่ 5 เทคนคิ (5น) (กรองจิต วาทสี าธกกิจ, 2559) ไดแ้ ก่ น 1 เนิน่ นาน เลอื่ นเวลาทีจ่ ะสบู ออกไป เรอ่ื ย ๆ น 2 น่ิง หายใจลึก ๆ ยาว ๆ น 3 น้ำ จิบน้ำ ล้างหนา้ หรอื อาบนำ้ เมื่อมีอาการอยากบหุ รี่ น 4 โน้มน้าว หากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อเบีย่ งเบนความสนใจเช่น ออกกำลังกายหรือ หากิจกรรมยามวา่ ง นอกจากน้นั การรับประทานผลไมร้ สเปร้ียวเชน่ ใช้มะนาวหัน่ เปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ แลว้ ค่อย ๆ เค้ียว จะชว่ ยลดอาการอยากบหุ รี่ น 5 แนวแน่ อย่ากลับสูบอีก บอกกับตัวเองว่า “เราชนะมันแน่นอน” โดยคิดถึงผลดี ของการเลิกบุหรี่ เช่น สุขภาพ เงินที่มีเหลือใช้มากขึ้น นอกจากนั้นต้องมีการจัดการความเครียดท่ี เหมาะสม หลกี เลยี่ งสง่ิ กระต้นุ ท่ที ำให้เกิดความอยากสูบบุหร่ี สรปุ ท้ายบท บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อ นอกจากนั้นยังมี ผลกับคนอื่นทีอ่ ยูร่ องข้างอีกด้วย สถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทย ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยัง ไม่เป็นไปตามตัวชี้วัดที่สำคัญของแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติที่กำหนดไว้ ดังนั้นการ ดำเนินงานควบคุมยาสูบให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ต้องมีจำนวนผู้เลิกบุหรี่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 50,000 คน จงึ จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังน้ันการเลกิ บหุ ร่จี ึงเปน็ ประเดน็ สำคัญท่ีประเทศไทยต้อง ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การเลิกบุหรี่ต้องมีการเตรียมตัวในการเลิกที่สำคัญต้องมีความตั้งใจ ความ ตง้ั ใจ และกำลงั ใจในการเลิกบหุ ร่ี โดยต้องเลกิ ให้ถกู วิธตี ามขั้นตอน นอกจากน้ันการกำจัดสาเหตใุ หมีการ เสพยาสูบก็เป็นสิ่งสำคัญ โดนเฉพาะในวัยรุ่นมักจะถูกเพื่อนชักชวนให้สูบบุหรี่ ดังนั้น ทักษะการปฏิเสธ การสูบบุหรเี่ ม่อื ถูกชักชวนจงึ ควรบรรจุในบทเรียนของเด็กก่อนทจี่ ะเขา้ สูว่ ยั รุ่น แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 1. สถานการณก์ ารตดิ บหุ รี่ของประชากรไทยเป็นอยา่ งไร 2. จงอธิบายความหมายยาสูบ 3. ควนั บุหรีม่ ือสอง และควันบุหรีม่ ือสามคืออะไร จงอธิบายและยกตัวอย่าง 4. หากมีเพอ่ื นตอ้ งการเลกิ บหุ ร่ีทา่ นจะแนะนำอยา่ งไร 5. หากมเี พื่อนชวนสบู บุหร่ีท่านจะปฏิเสธอย่างไร
80 เอกสารอา้ งองิ กมลภู ถนอมสัตย์ และรัชนี สรรเสริญ. (2554). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ในระยะเริ่มต้นของ นักเรียนชายชั้นมัธยม ศึกษาตอนต้น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตราด. วารสารการ พยาบาลและการศกึ ษา, 4(3), 38-47. กรองจิต วาทีสาธกกิจ. (2559). 1 อสม.ช่วย 1 คนเลิกบหุ ร่ี. นนทบรุ ี: ฑีรกานต์ กราฟฟคิ . จินตนา ยูนิพันธุ์และคณะ. (2558). คู่มือเลิกบุหรี่ ชีวิตปลอดบุหรี่ การเตรียมตัวและชีวิตใหม่. กรุงเทพ: พรี-วัน. สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา. (บรรณาธิการ). (2555). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับการบำบัดโรคเสพยาสูบใน ประเทศไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2555) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข. นครปฐม: สินทวีกิจ. ฮูดา แวหะยี, บุญสิทธิ์ ไชยชนะ, กรรณิกา เรืองเดช. (2556). ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะ ชีวิตต่อการรับรู้ความสามารถ ของตนเองในการป้องกันการสูบบุหรี่ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา, วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 22(1), 85-97. Bureau of Tobacco Control Department of Disease Control. (2015). The Second National Strategic Plan for Tobacco Control. Retrieved from http://btc.ddc.moph.go.th/th/upload/datacenter/59-04-26-GYTS-Strategy(1).pdf. Retrieved 04.10.2016 http://btc.ddc.moph.go.th/th/upload/datacenter/59-04-26- GYTS-Strategy(1).pdf Liu, W., Zhang, Q., Chen, J., Xiang, R., Song, H., Shu, S., . . . You, L. (2020). Detection of Covid-19 in children in early January 2020 in Wuhan, China. New England Journal of Medicine, 382(14), 1370-1371. National Statistical Office. (2018). The smoking and drinking behaviour survey 2017. Bangkok: Text and Journal Publication. Tobacco Control Research and Knowledge Management Center. (2020). Tobacco Consumption Control Situation in Thailand, 2019 (2nd ed.). Bangkok: Sinthaveekit printing. Vardavas, C. I., & Nikitara, K. (2020). COVID-19 and smoking: A systematic review of the evidence. Tobacco Induced Diseases, 18. Volkow, N. D. (2020). Collision of the COVID-19 and addiction epidemics. Annals of Internal Medicine.
81 World Health Organization. (2008). WHO report on the global tobacco epidemic, 2008: the MPOWER package: World Health Organization. Wu, Z., & McGoogan, J. M. (2020). Characteristics of and important lessons from the coronavirus disease 2019 (COVID-19) outbreak in China: summary of a report of 72 314 cases from the Chinese Center for Disease Control and Prevention. Jama, 323(13), 1239-1242.
82 แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 6 ผู้สงู อายแุ ขง็ แรงสมวยั : การดแู ลเบอ้ื งตน้ หวั ขอ้ เนอ้ื หาประจำบท 1. ความหมายของผูส้ งู อายุและสงั คมผู้สูงอายุ 2. การเปล่ียนแปลงตามวยั ของผูส้ งู อายุดา้ นรา่ งกาย 3. การเปล่ยี นแปลงตามวัยของผ้สู ูงอายุดา้ นจิตใจ อารมณ์ และสังคม 4. ปฏิบัติการการดแู ลผ้สู งู อายทุ ม่ี ีความเสอ่ื มตามวัย 5. สรุปทา้ ยบท 6. แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท วตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม เมอื่ ศึกษาบทท่ี 6 จบแลว้ นักศกึ ษาสามารถ 1. มคี วามรูเ้ กยี่ วกับความหมายของผ้สู ูงอายุ 2. เข้าใจเกย่ี วกับปจั จยั ที่มีผลต่อกระบวนการเปล่ยี นแปลงของผ้สู ูงอายุ 3. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงตามวัยของผสู้ ูงอายุด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คมได้ 4. ปฏิบตั ิการการดแู ลผสู้ ูงอายทุ ่ีมคี วามเสื่อมตามวยั ได้ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. วธิ สี อน 1.1 การบรรยาย 1.2 การอภปิ ราย 1.3 การสาธติ และการสาธติ ยอ้ นกลับ 1.4 การค้นควา้ หาความรเู้ พ่ิมเติม 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 การประเมินความรู้เดิมของนักศึกษา 2.2 การบรรยาย ถามตอบปัญหาและอภิปรายรว่ มกนั ระหวา่ งอาจารย์และนักศึกษา 2.3 การแบง่ กลุม่ ศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ 2.4 การสาธิตและฝกึ ปฏบิ ัติการสาธติ ยอ้ นกลับ
83 2.5 การสรปุ บทเรยี นร่วมกนั ระหวา่ งอาจารย์และนกั ศกึ ษา ส่ือการเรยี นการสอน 1. สไลด์ประกอบการสอน (pptx) 2. วดิ ีโอ / YouTube 3. ตวั อยา่ งกรณศี กึ ษา 4. ห่นุ วสั ดุ ครุภณั ฑส์ ำหรบั การดูแลผู้สูงอายุ 5. เอกสาร หนงั สือ และตำราเกี่ยวกบั การดแู ลผสู้ ูงอายุ 6. แบบฝึกหัดประจำบทเรยี น การวัดผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินความรู้หลงั การเรียนเทยี บกบั ความรู้เดิมของนักศึกษาโดยการทดสอบความรู้แบบ ออนไลน์ 2. ประเมนิ การทำงานกลุ่มของนักศึกษา และผลที่ไดจ้ ากการทำงานรว่ มกนั 3. ประเมนิ ความสนใจในบทเรียน การมีสว่ นรว่ มในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมโดยการประเมินแบบ 360 องศา 3.2 การซักถาม การมีส่วนรว่ มในการอภปิ ราย และสาระในการอภปิ รายของนกั ศกึ ษา
84 บทท่ี 6 ผู้สูงอายแุ ข็งแรงสมวัย : การดแู ลเบอื้ งต้น นงนชุ เชาวน์ศิลป์ ในปัจจุบันผู้สูงอายุไทยมีประมาณ 5.6 ล้านคน หรือร้อยละ 9.3 ของประชากรทั้งหมด จากการ คาดหมายทางประชากรศาสตร์ การเพิ่มของผู้สูงอายุจะเร็วขึ้นและในปี 2563 หรืออีก 20 ปีข้างหน้าจะมี ประชากรผู้สูงอายุจำนวนประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรรวม อายุถือเป็นปัจจัยเสี่ยงใน ด้านการเกิดโรค ยิ่งมีอายุสูงขึ้นอัตราการเกิดโรคมากกว่าหนึ่งโรคจะสูงขึ้นตามลำดับโดยควบคู่ไปกับความเสื่อม ทางด้านร่างกายและจิตใจ และนำมาซึ่งปัญหาทางสุขภาพ และภาวะต้องพึ่งพาบุคคลอื่นหรือบุคคลใกล้ชิด จะ เห็นได้ว่า ผู้สูงอายุกำลังจะกลายเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ ประชากรกลุ่มนี้มีแบบแผนการดำเนินชีวิต แบบแผนการเจ็บป่วย ความต้องการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เศรษฐกิจ ที่แตกต่างจากประชากรวัย อื่น รวมทั้งจะเป็นผู้ใช้แหล่งประโยชน์ทางสุขภาพสูงกว่าประชากรวัยอื่น ๆ ดังนั้นจึงควรสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้ พัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองได้นานที่สุด การจัดระบบบริการทางสุขภาพให้สอดคล้องเหมาะสมกับ ปัญหาและความต้องการของผ้สู ูงอายุได้มากท่ีสดุ จึงเปน็ สิ่งจาเป็นท่ที ุกฝ่ายควรสนใจและให้ความรว่ มมือ ความหมายของผู้สูงอายแุ ละสงั คมผู้สงู อายุ องค์กรสหประชาชาติได้กำหนดว่าผู้สงู อายุคอื บุคคลท่ีมีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ในบางประเทศใช้เกณฑ์ ที่อาจแตกต่างกันบ้าง นอกจากน้ี วัยสูงอายุยังแบ่งออกเป็นช่วงวัยและแต่ละวัยก็จะมีความแตกต่างทั้งปัญหา ความต้องการรวมท้ังการเปล่ยี นแปลงทางด้านรา่ งกาย และจติ สังคมท่ีแตกต่างกนั ช่วงวยั ของผู้สูงอายุสามารถ แบง่ ได้ดังน้ี ผู้สูงอายุวยั ต้น (early old age) อายุระหวา่ ง 65-72 ปี ผูส้ งู อายวุ ัยกลาง (middle old age) อายุระหว่าง 75-84 ปี ผสู้ ูงอายุวยั ปลาย (late old age) มีอายุ 85 ปขี ึ้นไป สังคมผสู้ งู วัย ตามคำนยิ ามขององค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดไวว้ ่า ประเทศใดมปี ระชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สัดส่วนเกินร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จากผลการสำรวจจำนวนผู้สูงอายุไทยในปี 2557 พบว่า มีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะการพึ่งพิง และตามคำนิยามของ กระทรวงสาธารณสขุ ดังนี้ 1. ผู้สูงอายุที่พึ่งตนเองได้หรือติดสังคม หมายถึง ผู้สูงอายุที่ยังสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี ดำเนิน ชีวิตในสังคมไดอ้ ย่างอสิ ระ สามารถทำกจิ วัตรประจำวันพนื้ ฐาน และกิจวัตรประจำวนั ต่อเนื่องได้ นอกจากน้ียัง
85 รวมถึงผสู้ งู อายทุ ม่ี สี ุขภาพทวั่ ไปดี ไม่มโี รคเรอ้ื รัง หรือเปน็ เพยี งผูท้ ีม่ ีภาวะเสีย่ งต่อการเกดิ โรค หรอื เป็นผ้ทู ่ีมีโรค เรอื้ รงั 1-2 โรค ท่ียังควบคุมโรคได้ 2. ผู้สูงอายุพึ่งพิงปานกลางหรือกลุ่มติดบ้าน หมายถึง ผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง หรือ ตอ้ งการความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพียงบางสว่ น มีขอ้ จำกดั ในการดำเนนิ ชวี ิตในสงั คม และไม่สามารถออกไปทำ กิจกรรมนอกบ้านได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้รวมถึงผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้ มีภาวะแทรกซ้อน ทางดา้ นรา่ งกายหรอื ทางดา้ นจิตใจ จนส่งผลต่อการรูค้ ดิ การตัดสินใจ การปฏบิ ัติกิจวัตรประจำวนั พืน้ ฐาน 3. ผู้สูงอายุพึ่งพิงมากหรือกลุ่มติดเตียง หมายถึง ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการทำ กิจวตั รประจำวันได้ น่ัง/นอนอยู่บนเตยี งตลอดเวลา ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อนื่ ทั้งในเร่ืองการเคลื่อนย้าย และการปฏิบัติกจิ วัตรพื้นฐานประจำวนั อ่ืน ๆ มีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ มีการ เจ็บปว่ ยเรอ้ื รังมายาวนาน และมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคทีเ่ ป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงตามวัยของวยั สูงอายุในดา้ นร่างกาย 1. ระบบผิวหนัง (Integumentary System) การเปลี่ยนแปลงในระบบผิวหนังมีอิทธิพลมาจากพันธุกรรมภาวะสุขภาพ อาหาร กิจกรรมและ สิ่งทมี่ าสมั ผัสกับผิวหนัง การเปลย่ี นแปลงท่พี บคือ ผวิ หนงั บางลง ความเหนียวของผิวหนังเพิ่มข้นึ เซลล์ผิวหนัง มีจำนวนลดลง เซลล์ที่เหลือเจริญช้าลง อัตราการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เดิมลดลงถึงร้อยละ 50 (Touhy, & Jett,2010,69) ทำให้การหายของแผลช้าลงเส้นใยอิลาสตินลดลง แต่เส้นใยคอลลาเจนใหม่และ แข็งตัวมากขึ้น ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังไม่ดี น้ำและไขมันใต้ผิวหนังลดลง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวและมีรอย ย่นมากขึ้น สามารถมองเห็นปุ่มกระดูกได้ชัดขึ้นประกอบกับการไหลเวียนเลือดที่ผิวหนังลดลง ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงอายุจงึ มีโอกาสเกิดแผลกดทับได้ง่ายและทนต่อความหนาวเยน็ ไดน้ อ้ ยลง ตอ่ มเหง่ือมจี ำนวนและขนาดลดลง การทำงานลดลงทำให้ไม่สามารถขับเหงื่อได้ ดงั นั้นการระบาย ความร้อนโดยวิธีการระเหยจึงไม่ดี ทำให้การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเลวลง เกิดอาการลมแดด (heat stroke) ได้ง่ายในเวลาที่อุณหภูมิของอากาศสูงขึ้น ต่อมไขมันทำงานลดลง จึงทำให้ผิว หนังแห้ง คัน และแตก ง่าย เซลล์สร้างสี (melanocytes) มีจำนวนลดลง ทำงานลดลงและกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ทำให้สีผิวจางลง เฉพาะที่และในบางตำแหน่ง แต่อาจมีรงควัตถุ สีดำหรือสีน้ำตาลสะสมเป็นแห่งๆ ซึ่งมักพบบริเวณใบหน้า แขน และหลังมือ ที่เรียกว่า ตกกระ (lentigo senilis) จำนวน macrophage บริเวณผิวหนังลดลงถึงร้อยละ 70 เป็น เหตใุ ห้ภมู คิ ุ้มกนั ของผวิ หนังลดลง และถูกกระตุ้นจากสิ่งต่าง ๆ ไดง้ า่ ย จงึ เกิดการติดเช้ือ เปน็ เน้อื งอก และมะเร็ง ได้ (Fretwell,1993,135) การสัมผัสแสงแดดมาก ๆ มีผลทำใหผ้ ิว หนงั เสอ่ื มสภาพไดเ้ รว็ เพราะแสงแดดทำใหเ้ กดิ ความ ผิดปกตขิ องยีนส์ ทใี่ ช้ในการสรา้ งโปรตนี ทำให้เกดิ การเส่อื มสภาพของโปรตีน การเปลย่ี นแปลงนจี้ ะพบในคน ผิวขาวมากกว่าผิวดำ เพราะมีเมลานนิ นอ้ ยกวา่
86 ผมและขนมีจำนวนลดลง อัตราการเจริญเตบิ โตของผมและขนลดลงตามอายุ เมลานนิ ซึ่งผลติ จากเซลล์สร้างสขี องผมลดลง ทำให้ผมและขนทวั่ ไปสีจางลงกลายเป็นสเี ทาหรือขาว เส้นผมร่วงและแห้งง่าย เนอ่ื งจากการไหลเวียนเลอื ดบรเิ วณหนังศีรษะลดลง เส้นผมไดร้ ับอาหารไมเ่ พียงพอ นอกจากน้นั ยงั เกยี่ วข้องกบั ภาวะเครยี ดตามวัยดว้ ย ในระยะหมดระดู ขนบรเิ วณรักแร้และหวั เหนา่ ลดลง เล็บแข็งและหนาข้ึน อัตราการเจรญิ ของเล็บลดลง มมุ ทโี่ คนเล็บกวา้ งข้นึ สีเล็บเปน็ สีเหลืองมากข้ึน การรับความรู้สึกต่ออุณหภูมิ การสั่นเทือนและความเจ็บปวดที่ผิวหนังลดลง เนื่องจากการทำงาน ของตัวรับการกระตุ้นที่ผิวหนังและการไหลเวียนเลือดปลายทางเลวลง จึงทำให้ผู้สูงอายุเกิดแผลและอุบัติเหตุที่ ผวิ หนังไดง้ า่ ย ระบบประสาทและประสาทสัมผสั (nervous System and Special Sense) เซลล์สมองและเซลล์ประสาทมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ทำให้น้ำหนักและสมองลดลงร้อยละ 10 จาก อายุ 25 - 75 ป(ี Jones,1996,59 ในวไิ ลวรรณ ทองเจริญ) ขนาดสมองลดลง และมนี ำ้ หล่อเลี้ยงสมองเพิ่มขึน้ เซลล์ สมองและเซลล์ประสาทมีสารไลโปฟัสซิน (lipofuscin) และ senile plaques ของ amyloid มาสะสมมากข้ึน การเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ เหลา่ นจี้ ะเกิดขึน้ ช้า ๆ ทำให้สังเกตได้ยาก ประสทิ ธิภาพการทำงานของสมองและประสาท อัตโนมัติลดลง ความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท ( conduction Velo City) ลดลง โดยใช้เส้นใยประสาทยนต์ (motor nerves) จะลดลงร้อยละ 15 เมื่ออายุ 80-90 ปี ในผู้หญิงจะลดลงมากกว่าในผู้ชายเล็กน้อย แต่ใน เสน้ ประสาทสัมผัส (sensory nerves) จะลดลงร้อยละ 30 จากอายุ 20-35 ปี (Frewell, 1993, 128 ในวไิ ลวรรณ ทองเจริญ, 2554) เป็นเหตุให้ความไวและความรู้สึกตอบสนองต่อปฏิกิริยาต่าง ๆ ลดลง การเคลื่อนไหวและ ความคิดเชื่องช้า ตารางของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนไหวอาจทำงานไมส่ ัมพันธก์ ัน ดงั นี้ ผู้สูงอายุจึงสมควร หลีกเล่ยี งการขบั รถและงานท่ตี ้องใชค้ วามไว เพราะอาจทำใหเ้ กิดอันตรายและอบุ ัติเหตุไดง้ า่ ย ความจำเสื่อมโดยเฉพาะเรื่องเล่าใหม่ ๆ (recent Memory) เพราะความสามารถในการเก็บข้อมูล ลดลง แต่สามารถจำเรื่องราวเก่าๆในอดีต(remote Memory) ได้ดี ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆลดลง ต้องอาศัยเวลานานขึ้นและต้องเป็นเรื่องที่ผู้สูงอายุให้ความสนใจด้วย ความคิดเห็นคงที่ การวิเคราะห์ และการ คำนวณในด้านต่าง ๆ เส่ือมลง แตย่ ังสามารถทำงานที่เคยมปี ระสบการณ์มาแล้วได้ดแี ละประสบผลสำเร็จได้ ความ กระตอื รอื ร้นลดลง แบบแผนการนอนเปลี่ยนแปลง นอนไม่หลับลึก เวลานอนน้อยลง เวลาตื่นมากขึ้น จากการ บันทึกคลน่ื สมองเพื่อแสดงวงจรการนอนหลบั ในผ้สู งู อายเุ ปรยี บเทียบกบั วยั ผู้ใหญแ่ ละเด็กพบว่า การนอนหลับ ในผูส้ งู อายุอยู่ในระดับลึกเพียงระดับ 3 เท่าน้ัน ( วยั ผูใ้ หญ่และวัยเด็กสามารถหลับลึกถึงระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับ ของการนอนหลับ ที่ลึกท่ีสุด) และมีจำนวนครง้ั ของการตืน่ นอนบ่อยมาก เม่อื เทยี บกับวยั อนื่ ซงึ่ มผี ลทำให้เวลา นอนลดลงสาเหตุการนอนไม่หลับในผสู้ ูงอายุอาจเนื่องมาจากรา่ งกายขาดการออกกำลังกาย นอนกลางวันมาก เกนิ ไปและมคี วามวิตกกงั วลในเรอ่ื งต่าง ๆ สงู ขึ้น สารสื่อสัญญาณประสาท (neurotransmitters) ในผู้สูงอายุมีระดับเปลี่ยนแปลง จากการศึกษา พบว่า ระดับโมโนเอมีน ออกซิเดส (monoamine oxiddase -MAO)และซีโรโทนิน (serotonin) ในสมองไม่ เปลี่ยนแปลง แต่ละดับนอร์อีปิเนฟรีน (norepinephrine) ซึ่งเป็น active precursor ของอีปิเนฟรีน (epinephrine) ในก้านสมองมรี ะดบั ลดลง จงึ เปน็ เหตใุ หผ้ สู้ ูงอายุเกดิ อาการซมึ เศร้า (depression) ได้มากขึ้นและ
87 เป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายที่สำคัญที่สุด นอกจากนั้นการลดระดับ โดปามีน ( dopamine) และสารต้นตอของ อีปิเนฟรินตัสอื่น ๆ ในสมองส่วนกลางของผู้สูงอายุยังมีผลทำให้ผู้สูงอายุเกิดโรคพาร์กินสัน (Parkinson) เพิ่มข้ึน ตามอายดุ ้วย การไหลเวียนเลือดและการใช้ออกซิเจนของจากสมองลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจมีสาเหตุจากภาวะ หลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้นตามอายุ ทำให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลงหรือขาดเลือด จึงเกิดอาการหน้ามืด เปน็ ลมและเกดิ ภาวะเน้ือสมองตายได้ การมองเห็นลดลงลูกตามีขนาดเล็กลงและลึก พ่อไขมันของลูกตาลดลง หนังตามีความยืดหยุ่น ลดลง ทำให้หนงั ตาตก รูมา่ นตาเล็กลง ปฏิกิริยาตอบสนองของม่านตาต่อแสงลดลงทำให้การปรับตัวสำหรับการ มองเห็นในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ดีโดยเฉพาะในสถานที่มืดหรือในเวลากลางคืน ต้องอาศัยแสงสว่างช่วยมากกว่าคน ในวัยหนุ่มสาวจึงจะมองเห็นได้ดีขึ้น แก้วตาแข็ง ยืดหยุ่นลดลง และเริ่มขุ่นมัวมีสีเหลืองมากขึ้น ทำให้ ความสามารถในการมองเห็นและเทียบสีลดลง จึงแยกสีที่คล้ายกันได้ยาก โดยทั่วไปผู้สูงอายุจะสามารถแยกสี แดงสสี ้ม และสเี หลอื งได้ดีกว่าสีนำ้ เงนิ สีมว่ ง และสีเขยี วดงั น้นั การเลอื กใชส้ ที เี่ ห็นได้ชัดเจนตกแตง่ บา้ น จะช่วย ลดอันตรายเนื่องจากอุบัติเหตุภายในบ้านได้ การรับรู้ที่กระจกตาลดลง ทำให้เกิดแผลได้ง่าย บริเวณรอบ ๆ กระจกตาจะเหน็ เปน็ วงสีขาวหรอื สีเทา (arcus senilis) ทเ่ี กิดจากการสะสมของสารไลปดิ ( lipid) เม่ือมีอายุมาก ขึ้น ซึ่งทำให้มีผลต่อการมองเห็นยกเว้นในไลน์ที่มีการสะสมของไขมันมากเกินไป อาจทำให้เกิดตาพร่ามัวได้ เนื่องจากมีการหักเหของแสงผิดปกติการไหลเวียนเลือดที่จอตาลดลงทำให้เกิดการเสื่อมของจอตาได้ วุ้นในตา เสอื่ มสภาพอันเป็นรอยไปมา กลา้ มเน้อื ลูกตาเส่ือมหน้าท่ี สายตายาวขึน้ มองเห็นภาพใกล้ไม่ชัด ความสามารถใน การอ่านและลานสายตาลดลง ความไวในการมองตามภาพลดลง การผลิตน้ำตาน้อยลงจึงทำให้ตาแห้งและเกิด การระคายเคืองต่อเยื่อบุตาได้ง่าย ในผู้สูงอายุบางรายอาจพบมีน้ำตามากกว่าปกติเนื่องจากการเกิดการอุดตัน ของทอ่ นำ้ ตา การได้ยินลดลง หูตึง (Presbycusis) มากขึ้น พบได้ถึง 1 ใน 3 ของคนที่มีอายุ 65- 74 ปี (Touhy,&Jett,2010,79 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุเนื่องจากมีการ เสื่อมของ organ of Corti และ basilar membrane ซึ่งเป็นอวัยวะในหูชั้นในร่วมกับเส้นประสาทคู่ท่ี 8(auditory nerve) ซึง่ ทำหน้าที่เก่ยี วกับการได้ยนิ สญู เสยี หน้าที่ เยื่อแก้วหูและอวยั วะในหชู น้ั กลางแข็งตัวมาก ขน้ึ ทำใหม้ ีความบกพรอ่ งการได้ยนิ ระดบั เสยี งสูงมากกวา่ ระดับเสียงต่ำ ดว้ ยเหตนุ ้ี ผสู้ งู อายุบางคนจงึ กลายเป็น คนชอบแยกตัว ขี้สงสยั และหวาดระแวงในเร่ืองต่างๆ ดงั นั้น การส่ือสารกับผสู้ ูงอายจุ ึงไม่ควรตระกูลแต่ควรพูด ด้วยเสียงทุ้ม ในกรณีที่มีปัญหาการได้ยิน ควรแนะนำผู้สูงอายุให้ใชเ้ ครื่องช่วยฟังเพื่อเพิ่มความสามารถในการ ฟังที่หูผลิตลดลงแต่มีการสะสมของขี้หูในช่องหูมากขึ้น เสียงพูดของกล่องเสียง สายเสียงบางลงและมีการ เปล่ยี นแปลงในพงศธรเสียง หลอดเลือดท่ไี ปเลี้ยงหูชัน้ ในเกิดภาวะแขง็ ตัว ทำให้มเี ลอื ดไปเลยี้ งน้อยลงประกอบ กับระบบเวสติบูลาร์ทำงานลดลง มีการฝ่อลีบของคอเคลีย (cochled) ผู้สูงอายุจึงมักมีอาการเวียนศีรษะ ( vertigo) และเกิดอุบตั เิ หตุได้ การดมกลิน่ ของจมกู ไม่ดี เพราะวา่ มกี ารเสื่อมของเย่อื บโุ พรงจมูก ทำใหผ้ สู้ ูงอายไุ มร่ ับรูก้ ล่ินที่อาจ ก่อให้เกิดอันตรายเช่น กลิ่นก๊าซรั่วหรือกินไฟไหม้ การรับรสของลิ้นเสียไปเนื่องจากต่อมรับรสมีจำนวนลดลง
88 พบว่าประมาณ 2 ใน 3 ของต่อมรับรสจะตายเมื่ออายุ 70 ปี (Mammah, & Smith, 1981,28 ในวิวรรณ ทองเจริญ 2554) และส่วนที่เหลือจะฝ่อรีบลงจึงทำหน้าที่ได้น้อยลง การรับรสหวานจะสูญเสียก่อนรสเปรี้ยว รสขม และรสเค็ม จึงเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารรสจัดขึ้นหรือรับประทานอาหารไม่อร่อย และเกิด ภาวะเบือ่ อาหาร 2. ระบบกล้ามเน้ือและกระดกู (Musculoskeletal System) เมื่อเข้าสู่วัยหลัง 30 ปี จำนวนและขนาดเส้นใยของกล้ามเนื้อลดลง มีเนื้อเยื่อพังผืดไขมันและ คอลลาเจน เข้ามาแทนที่มากขึ้น มวลของกล้ามเนื้อลดลง มีการสะสมของสารไลโปฟสั ซิน มากขึ้น กาลังการหด ตัวของ กล้ามเนื้อลดลงประมาณร้อยละ 12-15 จากอายุ 30 ถึง 70 ปี (Fletcher, 1999, 98 ในวิไลวรรณ ทอง เจริญ, 2554) ระยะเวลาที่ใช้ในการหดตัวแต่ละครั้งจะนานขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ ช้าลง สาเหตุ อาจเกิดจากการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อลดลง ร่างกายขาดการออกกำลังกาย ขาดสารอาหาร และที่ สำคัญ คือ ประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ในกล้ามเนื้อ (myosin ATPase) ลดลง ปริมาณกลัยโคเจนและ โปรตีนทีj สะสมในกล้ามเนื้อลดลงตามจำนวนและขนาดของกล้ามเนื้อที่ลดลงเป็นเหตุให้ร่างกายของผู้สูงอายุ เกิดภาวะเสียดุล ไนโตรเจนได้ง่าย กล้ามเนื้ออาจมีอาการสั่น (tremor) เนื่องจากระบบการควบคุมจาก extrapyramidal system เสอ่ื มสภาพ เอ็นอาจแข็งตวั ทำให้รเี พล็กซล์ ดลงและกล้ามเนอ้ื อาจแข็งเกร็งได้ หลังอายุ 40 ปี อัตราการเสื่อมของกระดูกจะมากกว่าอัตราการสร้างทั้งในเพศหญิงและเพศชาย เซลล์ กระดูกลดลง แคลเซียมมีการสลายออกจากกระดูกมากขึ้น ทั้งนี้อาจเกิดจากการรักษาระดับแคลเซียมใน เลอื ดให้ คงที่ เนอื่ งจากแคลเซียมถูกดูดซึมจากลำไส้น้อยลง และมกี ารสูญเสียแคลเซียมมากขนทั้งทางลำไส้และ และทางไต เพราะขาดวิตามินดี (1, 25 dihydroxy vitamin D3) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดูดซึม แคลเซียมท่ี ล้าไส้และดูด กลับแคลเซียมที่ไต สำหรับในเพศหญิงสาเหตุทีสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนขึง ออกฤทธิ์กระตนุ การทำงานของ osteoblasts ลดลงหลังหมดประจำเดอื น ทำให้แคลเซยี มสลายจากกระดูกร้อย ละ 2-3 ต่อปี กระดูกของผู้สูงอายุจงเปราะและหักง่ายแม้ว่าจะไม่ได้รับอุบัติเหตุ แคลเซียมที่สลายออกจาก กระดานมกไปเกาะ บริเวณกระดูกอ่อนในอวัยวะต่างๆที่สำคัญคือ บริเวณกระดูกอ่อนชายโครง จึงเป็นเหตุให้ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลง การหายใจลาบากขน ตองอาศยการทา งานของกระบงลมมาก น นอกจากแคลเซียม อาจไปเกาะที่เนื้อเยื่ออื่น ๆ เช่น ผนังเหลอดเลือดทำให้ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดลดลง ความยาวของ กระดูกสันหลัง ลดลง เพราะหมอนรองกระดูกสูญเสียน้ำและบางลง กระดูกสันหลงผู้มากขึ้น ทำให้หลังค่อม (kyphosis) หรือ หลังเอียง (scoliosis) มากขึ้น กระดูกจึงเคลื่อนไปกดเส้นประสาท ความสูงจะลดลงประมาณ 1-3 นิ้ว (Meiner, 2006, 596 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) ความยาวของกระดูกยาวอาจใหญ่ขึ้น แต่ภายใน จะกลางมากขนึ้ รูปรา่ งของผสู้ ูงอายุจงึ ไมส่ มส่วน บริเวณข้อจะเกิดการเปลีย่ นแปลเท้งรูปรา่ งและสว่ นประกอบ ข้อใหญ่ขึ้น กระดูกอ่อนบริเวณข้อ ต่าง ๆ บางลงและเสื่อมมากขึ้นตามอายุ น้ำไขข้อลดลง เป็นเหตุให้กระดูกเคลื่อนที่มาสัมผัสกัน จึงได้ยินเสียง กรอบแก รบขณะเคลื่อนไหว เกิดการเสื่อมของข้อ การเคลื่อนไหวของข้อต่าง ๆ ไม่สะดวกเกิดการติดแข็ง ข้อ
89 อักเสบและ ตดิ เชอ่ื ไดง้ า่ ย ทำให้มอี าการปวดตามข้อ ขอ้ ทีพบว่ามีการเส่ือมไดบ้ ่อยคือข้อเข่าข้อสะโพก และข้อ กระดูกสนั หลงั 3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System) ในผู้สูงอายุ ลักษณะโครงสร้างและขนาดของหัวใจอาจไม่เปลี่ยนแปลง กล้ามเนื้อหัวใจฝ่อลีบมี เนอื้ เยือ่ พังผืดไขมัน และสารไลโปพสนมาสะสมภายในเซลล์มากขน้ึ สำหรบั ผูส้ งู อายุที่มขี องหวั ใจใหญ่ขึ้นมักเกิด จากพยาธิสภาพของโรคหัวใจ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ผนังของหัวใจห้องล่างซ้าย ( left ventricle) จะหนาข้นึ ประมาณร้อยละ 25 จากอายุ 30-80 ปี (Fret ell, 1993, 117) ลิ้นหัวใจแขง็ และหนาข้ึนมี แคลเซียมมาเกาะมากขึ้นทำให้การปิดเปิดของลิ้นหัวใจไม่ดี เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่วและตีบได้ พบภาวะเอม โบไล และธรอมโบสิสในผู้สงู อายุได้บ่อยขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของหวั ใจลดลง กำลงั การหดตัวลดลงระยะเวลาท่ี ใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการหลั่งแคลเซียมซึ่งจำเป็นในการหดตัวของ กล้ามเนอ จาก sarcoplasmic reticulum ชา้ ลง รวมกบั มีไขมันและเนื้อเย่ือพังผืดที่ S A node, A-V node และ bundle branches มากขึ้น จากสาเหตุดังกล่าวทำให้อตั ราการเตน้ ของหัวใจลดลงและกลา้ มเน้ือหัวใจมีความไว ต่อสง่ิ เร้า ลดลง ดงั นน้ั ในภาวะทีจ่ ำเป็นต้องมีการเพ่ิมอัตราการเต้นของหัวใจเช่น ภาวะเครยี ด อตั ราการเต้น ของหัวใจจะ ไม่สามารถเพิ่มได้มากเหมือนในวัยหนุ่มสาว และอัตราการเต้นของหัวใจที่เราขึ้นด้ายเหตุใดก็ตาม จะต้องอาศัย เวลานานมากขึ้นจึงจะกลับคืนสูระดับปกติ ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจในเวลา 1 นาทีลดลง ประมาณร้อยละ 40 จากอายุ 25 ถงึ 65 ปี คือ ลดลงประมาณร้อยละ 1 ตอ่ ปี (Eliopoulos, 2005 ; Jones, 1996 55-56 ในวิไล วรรณ ทองเจริญ, 2554 กาลงสารองของหาใจ (cardiac reserve) ลดลง จึงมักพบผู้สูงอายุ เกิดภาวะหัวใจวาย ได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีที่หัวใจต้องทำงานมากขึ้นหรือในภาวะฉุกเฉนิ เนื่องจากปริมาณเลือด ที่ออกจากห้าใจ ในเวลา 1 นาที่ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ตามความต้องการ กล้ามเนื้อหัวใจมีแคลเซียมมาเกาะมากขึ้น ทำให้ระบบ การสื่อนำคลื่นไฟฟ้าของหัวใจเปลี่ยนเเปลง PR interval, ORS complex และ QT interval tvaru เพิ่มขึ้นแต่ amplitude ของ QRS complex ลดลง และ QRS axis มี left shift (Fretwell, 1993, 117 ในวิไลวรรณ ทอง เจริญ , 2554) ดังนั้นผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือภาวะปิดกั้นคล่ืนไฟฟ้าของหัวใจอย่าง สมบรู ณไ์ ด้ หลอดเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมมากขึ้น ผนังหลอดเลือดฝอยหนาขึ้น ทำให้การ แลกเปลี่ยนอาหารและของเสียลดลง ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นน้อยลง เพราะมีเส้นใยคอลลาเจนมากขึ้น และมีการเช่ือมกันตามขวางของเส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้ด้วย เสน้ ใยอีลาสตินมีแคลเซียมมาเกาะมากข้ึนเรียกว่า elastocalcinosis ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ความเรว็ ของชพี จรลดลง อตั ราการเตน้ ของชีพจร ตาม อายุ รูภายในหลอดเลือดแคบเข้า ความต้านทานของหลอดเลือดปลายทางเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1 ต่อปี (Elopoulus, 2005, 54 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) ทำให้ความดันภายในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น เพื่อเพ่ิม ปริมาณเลือดให้เพียงพอกับการทำงานของร่างกาย ดังนั้น ระดับความดันชีสโตลิคและไดแอสโตลิคจึงเพิ่มขึ้น หลอดเลอื ด ฝอยไมส่ มบูรณและเปราะบาง ทำให้เกดิ รอยฟกชาได้งาย เลือดไปเลยงอวัยวะต่าง ๆ ลดลง พบมาก บริเวณสมอง ห้าใจ และไต ทำให้อวัยวะเหล่านทำงานลดลง จึงเกิดการเสื่อมและตายในทีสุด เนื่องจากการ
90 ตอบสนองของ baroreceptor (อยู่ที่ผนังของ carotid sinus และ aortic arch) ต่อการเปลี่ยนแปลงความดัน โลหติ ในผู้สงู อายุ ลดลงร่วมกับความยืดหยุนของผนังหลอดเลือดลดลง ทำให้ผู้สงู อายุส่วนมากเกิดภาวะความดัน โลหิตตา เมื่อ เปลี่ยนท่าทาง (postural hypotension)ได้ง่าย ดังนั้น การเปลี่ยนท่าทางต่าง ๆ ในผู้สูงอายุจึง ควรกระทาอย่างช้า ๆ การไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ (coronary vessel) ลดลง ทำให้หัวใจได้รับ ออกซเิ จนน้อยลงร่วมกับ ประสิทธิภาพการใช้ออกซีเจนของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง จึงเปน็ เหตุใหเ้ กดิ โรคกล้ามเน้ือ หัวใจขาดเลือดและตายได้ หลอดเลือดดาโป่งพองมากขึ้น ทำให้ปริมาณเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจลดลง และมี เลือดคงั่ ในหลอดเลือดดำมากขึ้น ปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกายคงที่ เม็ดเลือดแดงมีอายุคงที่ แต่การสร้างทดแทนเซลล์เก่าช้าลง เนื่องมาจากการขาดสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดงเช่น ธาตุเหล็ก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดง และระดับฮีโมโกลบินลดลง ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดภาวะโลหิตจางได้ง่าย จำนวนการกระจายของเม็ดเลือดขาวไม่ เปลยี่ นแปลง ความสามารถในการกลืนทำลายเช้ือโรค (phagocytosis) ปกติ จำนวนและโครงสร้างของเกล็ดเลือด คงที่ แต่ไฟบริโนเจนมีระดับสูงขึ้น ค่า ESR (erythrocyte sedimentation rate) สูงขึ้น อาจถึง 40 มิลลิเมตรต่อ ชั่วโมง (ค่าปกติในเพศชายประมาณ 5 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง และในเพศหญิงประมาณ 15 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง) สาเหตอุ าจเกดิ จากการเพิม่ ระดับของไฟบริโนเจนและการเปล่ียนแปลงของโปรตีนในพลาสมา ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทั้งระบบ CMI (cell mediated immunity) และระบบ HI (humoral immunity) ทำงานลดลงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และเมื่อติดเชื้อมักมีอาการที่รุนแรง จำนวน ของ T-lymphocytes ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เซลล์จำนวนมากอยู่ในระยะ immature เพราะขาดฮอร์โมนจาก ตอ่ มธยั มัส อัตราส่วน helper T cells ตอ่ suppressor T cells เพม่ิ ขึ้น (suppressor T cells มีจำนวนลดลง) ดังนั้นกลไกการตอบสนองของ T lymphocytes ต่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ (antigenic stimuli) จงึ ลดลง B-lymphocytes ทตี่ อ่ ม น้ำเหลอื งและมา้ มซ่งึ ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดีหรืออิมมูโนโกลบูลินมีจำนวน คงทแ่ี ต่ประสทิ ธิภาพการทำงานของแอนติบอดีเลวลง จงึ สามารถตอบสนองต่อแอนติเจนทมี่ ากระต้นได้น้อยลง ประสิทธิภาพการทำงานของแอนติบอดีเลวลง จึงสามารถตอบสนองต่อแอนติเจนที่มากระตุ้นได้น้อยลง นอกจากนั้นแอนติบอดีอาจทำงานผิดปกติ ไม่สามารถแยกเซลล์ปกติออกจากเซลล์ผิดปกติได้ ประกอบกับ จำนวน ของ suppressor T cells ลดลงจึงเกิดปฏิกิริยา การทำลายเซลลข์ องตัวเองที่เรียกว่า autoimmune reaction ได้ มากขนึ้ ตามอายุ 4. ระบบทางเดนิ หายใจ (Respiratory System) หลอดลมและปอดมีขนาดใหญ่ข้นึ ความยืดหยนุ ของเน้ือปอดลดลง เพราะมเี สน้ ใย อลี าสติน ลดลง ความแข็งแรงและกาลังการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจเข้าและหายใจออกลดลง การ เปลี่ยนแปลง ของกระดูกสันหลังและกระดูกซิโครงตามวัยทำให้ทรวงอกมีลักษณะผิดรูป ผนังทรวงอกแข็งแรงขึ้ น การ เคลื่อนไหวของกระดูกซี่โครงลดลง เพราะมีแคลเซียมมาเกาะที่กระดูกอ่อนชายโครงมากขึ้น รูปร่างทรวงอก เปลี่ยนเป็นรูปถัง (barrel shape) มากขึ้น เยือหุ้มปอดแห้งและทึบ กล้ามเนื้อหายใจทำงานลดลง จากสาเหตุ ตา่ ง ๆ ดังกลา่ วมีผลทำให้ความยอมตามของปอด (lung compliance) ลดลง ปอดยดื ขยายและหดตวั ได้น้อยลง
91 การระบายอากาศหายใจ (ventilation) ลดลง สามารถพบได้มากข้ึนในผู้สงู อายทุ ี่มีภาวะหลังค่อมหรือหลังเอียง เนื่องจากกระดูกสันหลังเสื่อม ปริมาตรและความจุของปอดเปลี่ยนแปลง ความจุส่วนเหลือใช้งานได้ (Functional Residual Capacity : FRC) เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และปริมาตรอากาศค้างภายในปอด (Residual Volume : RV) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 100 ความจุของการหายใจสูงสุด (Maximal Breathing Capacity : MBC) ลดลงร้อยละ 50ซึ่งใกล้เคียงกับการลดลงของปริมาตรอากาศหายใจออกเต็มที่ไน 1วินาที (Forced Expiratory Volume in 1 sec : FEV1) ถุงลมมีจำนวนลดลง ถุงลมที่เหลือจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ผนังถุงลมแตกง่ายเนื่องจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (collagen) ที่ห่อหุ้มถงุ ลมลดลง และมกี ารเช่ือมต่อกนั ตามขวาง (cross-linkage) มากขึน้ จงึ เกดิ โรคถงุ ลมโป่งพอง ได้ง่ายขึ้น การไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ถุงลมหรือการกำซาบเลือด (perfusion) ลดลง การซึมผ่านของ ก๊าซผ่านถุงลมและหลอดเลือดฝอย (diffusion) ลดลง เนื่องจากเนื้อที่ในการซึมผ่านลดลงร่วมกับผนังหลอดเลือด ฝอยหนาและแข็งตัวมากขึ้น อัตราส่วนระหว่างการระบายอากาศและการกำซาบเลือดไม่ได้สัดส่วนกัน (ventilation-perfusion mismatching) ดังนั้น เปอร์เซ็นต์อิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินจึงลดลงประมาณ ร้อยละ 5 และค่าความดันออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ลดลงร้อยละ 10-15 จากอายุ 20-80 ปี แต่ค่าความดัน คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดง (PaO2) ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะอัตราการซีมผ่านของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง กวา่ ออกซิเจนถึง 20 เทา่ และการระบายอากาศหายใจ ยงั เพยี งพอกบั ความต้องการของร่างกาย (Fretwell 1993, 123 ในวไิ ลวรรณ ทองเจรญิ , 2554) สำหรับทางเดินหายใจ การทำงานของเซลล์ขน (cilia)ตลอดทางเดินหายใจลดลง รีเฟล็กซ์และ ประสิทธิภาพการไอลดลง ทั้งนี้เนื่องจากมีการแข็งตัวของผนังทรวงอกและการทำงานของกล้ามเนื้อที่ ใช้ในการ หายใจออกลดลง ทำให้การกำจัดสิ่งแปลกปลอมภายในทางเดินหายใจไม่ดี ประกอบกับปริมาณ lg A ในสารคัด หลั่งและ alveolar macrophage ลดลง จึงเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย การทำงานของกล่อง เสียง (epiglottis) ลดลงเป็นเหตุใหเ้ กิดอาการสำลักและเกิดโรคปอดบวมได้งา่ ยขึ้น 5. ระบบทางเดินอาหาร (Digestive System) ฟันของผู้สูงอายุไม่แข็งแรง เคลือบฟันบางลงแตกง่าย ละมีสีคล้ำขึ้น เพราะมีการดูดซมสารที่มีสี เข้าไป สะสมมากขึ้น เหงือกที่หุ้มคอฟันรนลงไป ทำให้เห็นฟันยาวขน เซลล์สร้างฟันลดลงมีเนื้อเยื่อพังผิดเขา แทนทีม่ าก ขนึ้ ทำใหก้ ารสร้างฟนั ลดลงท้ังปริมาณและคุณภาพ ฟันผหุ รือหลดุ ร่างง่ายขึ้น ส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุ จึงตอ้ งใสฟ่ ันปลอม แต่ในรายท่ีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดจี ะไม่สามารถใส่ฟนั ปลอมได้ เป็นเหตุ ใหก้ ารเคียวอาหาร ไม่สะดวกต้อง รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ทำให้ขาด สารอาหารประเภท อื่นที่สำคัญต่อร่างกายได้ ต่อมน้ำลายเสื่อมหน้าที่ มีเนื้อเยื่อพังผืดและไขมันสะสมมากข้ึน การผลิตเอ็นซัยม์ไทยาลนิ (ptyalin) และน้ำลายลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 (Eliopoulos, 2005, 56 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) ทำให้การย่อยแป้งและน้ำตาลในปากลดลง ปากและลิ้นแห้ง (xerostomia) มีการติดเชื้อใน ปากมากขึ้น การรับรสของลิ้นเสียไป เกิดภาวะเบื่ออาหารมากขึ้น เซลล์บริเวณหลอดอาหารของผู้สูงอาย เปลี่ยนแปลง เซลลเ์ ยอื่ บชุ นิดแท่ง (columnar epithelium) ลดลง และมีเซลล์เยื่อบชุ นิดแบนเข้ามาแทนที่มาก
92 ขึ้น ซึ่งพบมากในส่วนล่างของหลอด อาหาร นอกจากนี้ ยังพบมีการยื่นโป่งพองของหลอดอาหารมากขึ้น การ เคลื่อนไหวของหลอดอาหารลดลง หลอดอาหารมีขนาดกว้างขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อของหลอดอาหารและคอ หอยอ่อนกำลัง ทำให้ระยะเวลาที่อาหารผา่ นหลอดอาหารช้าลง กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณปลายหลอดอาหารหย่อน ตัวและทำงานช้าลง เป็นเหตุให้อาหารในกระเพาะอาหารสามารถย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหารได้ง่าย ทำให้ เกดิ ความร้สู กึ แสบยอดอกพบมากถงึ รอ้ ยละ 65 ในผูส้ ูงอายุ (Forbes, & Fitzsimons, 1981, 31 ในวิไลวรรณ ทองเจรญิ , 2554) และบางครัง้ อาจเกิดการสำลักเข้าสหู่ ลอดลมทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารลดลง เนื่องจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อและทำงานของ กล้ามเนื้อ และการทำงานของกล้ามเนื้อในกระเพาะอาหารลดลง ร่วมกับมีความผิดปกติทางด้านจิตใจและความ วิตกกังวลใน ด้านต่าง ๆ สูงขึ้น อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้นเกิดความรู้สึกหิวน้อยลง เยื่อบุกระเพาะ อาหาร โดยเฉพาะอย่างย่ิงบริเวณแอนทรัม (antrum) และฟันดัส (fundus) บางลงและฝ่อลีบ (atrophic gastritis) พบได้มากกว่าร้อยละ 50 ในคนอายุตั้งแต่ 70 ปีข้ึนไป (Forbes, & Fitzsimons, 1981, 31) เป็นเหตุให้ การผลิตน้ำย่อยกรดเกลือ และเอ็นซัยม์เปปซิน (pepsin) ในกระเพาะอาหารลดลง 1 ใน 5 เมื่ออายุ 40-60 ปี (Fret vell 1993, 125 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) และผลเนื่องจากมีการลดระดับกรดเกลือในกระเพาะ อาหาร จะทำให้การดูดซึมธาตุแคลเซียมและธาตุเหล็กซึ่งดูดซึมได้ดีในสภาพความเป็นกรดลดลง ผู้สูงอายุจึงเกิด โรคกระดูกผุและโรคโลหิตจางไดง้ ่าย นอกจากน้นั การลดระดับของอินทริสิคแฟคเตอร์ ซ่งึ เป็นกลยั โคโปรตีนท่ีมีอยู่ ในนำ้ ยอ่ ยหล่ังจากบริเวณคอร์เดียและฟนั ดัสของกระเพาะอาหารจะเป็นเหตุให้การดูดชึมวิตามินบี 12 ท่ีลำไส้เล็ก ส่วนอเิ ลียมลดลง จึงเกิดโรคโลหติ จางชนิด pernicious anemia ในผูส้ ูงอายไุ ดม้ ากข้นึ การไหลเวียนเลือดตลอดทางเดินอาหารลดลงหลอดเลือดบางแห่งโป่งพอง ทำให้มีโอกาสเกิดการ ตกเลือด ในทางเดินอาหารได้ง่าย เยื้อบุทางเดินอาหารบางลงและเสื่อมหน้าที่เนื่องจากการแบ่งตัวของเซลล์ ลดลง ซ่งึ จะ พบมากบริเวณลาไส้เล็กส่วนต้น เป็นเหตใุ ห้การย่อยและการดดู ซึมสารอาหารต่างๆในลำไส้เล็กไม่ดี เกิดภาวะ ขาดสารอาหารได้ การเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ลดลง ประกอบกับกำลงการหดตัวของ กล้ามเนื้อ หน้าท้องลดลง ผู้สูงอายุชอบรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่ายไม่มีกาก ร่างกายเคลื่อนไหวและการ กระหายนำ้ นอ้ ยลง ส่วนของลำไส้ใหญ่เกิดการหย่อนตวั ของ mucosa และ submucosa ผ่านชนั กลา้ มเนื้อ ทำ ให้มีลักษณะเป็นกระพุ้ง เรียก ภาวะไดเวอร์ติคโู ลสิส (diverticulosis) พบได้ถึง 1 ใน 3 ของคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี (Fret vell, 1993, 124 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) จึงเป็นเหตุให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะท้องผูกมากข้ึน กล้ามเนื้อหูรูดชั้นนอกที่ทวารหนักหย่อนตัว ทำให้กลั้นอุจจาระไม่ได้ และถ่ายอุจจาระกระปริบกะปรอย ขนาด และน้ำหนักของตับลดลง เซลล์ตับมีจำนวนลดลงมีเนื้อเยื่อพังผืดเข้ามาแทนที่มากขึ้น เซลล์ตับที่เหลือมีขนาด ใหญ่ขึ้น การไหลเวียนเลือดที่ตบั ลดลง ปริมาณกลัยโคเจนซึง่ สะสมทีต่ ับลดลง ประสิทธิภาพการทำลายพิษของ ตับลดลง การผลิตเอ็นซยั ม์และโปรตีนที่ตับลดลง แต่ระดับเอสจีพีที เอสจีโอที บิลิรูบิน และแอลคาไลน์ฟอสฟา เตสคงท่ี ระดบั โปรตีนรวมและแอลบูมนิ ในเลือดลดลง แตร่ ะดบั โกลบลู ินเพิม่ ขนึ้ ทำใหส้ ่วนระหวา่ งแอลบูมินและ โกลบูลิน (albumin/globulin ratio) เปลี่ยนแปลง ปริมาณน้ำดีรวมลดลง ระดับโคเลสเตอรอลในน้ำดี และ ความหนืดของน้ำดีเพิ่มขึ้นตามอายุ มีผลทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) พบในผู้ชายร้อยละ 10 และพบในผ้หู ญงิ รอ้ ยละ 20 ระหว่างอายุ 55-65 ปี และจะพบได้สูงข้ึนร้อยละ 40 เมอ่ื อายุ 80 ปี (Fretwell,
93 1993, 126 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554 ) น้ำหนักและขนาดของตับอ่อนลดลง แต่มีไขมันมาสะสมมากข้ึน การผลิตเอ็นซัยย์เปลี่ยนแปลง โดยส่วนใหญ่จะลดลงทั้งปริมาณและความเข้มข้น ระดับอะมัยเลสลดลง แต่ยังมี ปริมาณเพียงพอสำหรับการย่อยสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ระดับไลเปสและทริปซินลดลงแต่ระดับไบคาร์บอเนต ยังคงท่ี จึงมีสว่ นชว่ ยให้ผู้สูงอายุเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารลดลง 6. ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพนั ธ์ุ (Genitourinary System) ขนาดของไตลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 5 ของขนาดเดิม น้ำหนักไตลดลงประมาณ ร้อยละ 30 และ หน่วยไตมีจำนวนลดลงร้อยละ 30-40 เมื่ออายุ 25-85 ปี (Fretwell, 1993, 119-120 ในวิไลวรรณ ทอง เจรญิ , 2554) หน่ายไตที่เหลอื มีขนาดใหญข่ ้ึน ผนังหลอดเลอื ดแดงที่ไปเล้ยี งไตแขง็ ตัว ทำให้การไหลเวียนเลือด ในไตลดลงประมาณร้อยละ 53 และอัตราการกรองของไตลดลงรัอยละ 50 จากอายุ 20 ถึง 90 ปี (Eliopoulos, 2005, 56 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) การทำงานของท่อไตลดลง ทำให้การดูดกลับขอสาร ต่าง ๆ น้อยลง ความสามารถในการทำให้ปัสสาวะเขม้ ขึน้ ลดลง เป็นเหตุให้ปสั สาวะเจอื จางมากขึ้น ร่างกายเกดิ การสูญเสียน้ำและอิเล็คโตรลัยท์ ทำให้ความถ่วงจำเพาะและออสโมลาลิตี้ของปัสสาวะลดลง ระดับพิกัดที่ไต (renal threshold) ตอ่ สารตา่ ง ๆ เปลี่ยนแปลง อาจเพมิ่ ข้ึนหรือลดลงข้ึนอยู่กับชนิดของสารนั้น ๆ เป็นเหตุให้ บางคร้งั สามารถตรวจพบโปรตนี และกลูโคสในปัสสาวะได้ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอ่อนกำลังลง กำลังบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้มีปัสสาวะ ค้างในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น ประกอบกับขนาดของกระเพาะปัสสาวะลดลงจาก 500 มิลลิลิตร เหลือเพียง 250 มลิ ลลิ ิตร (Jones, 1996, 59 ในวิไลวรรณ ทองเจรญิ , 2554) ดังนัน้ ผู้สูงอายุจึงถา่ ยปสั สาวะบ่อย ในเพศชาย ต่อมลูกหมากโต และผลิตสารคัดหลังได้น้อยลง พบได้ถึง 3 ใน 4 ของผู้สูงอายุที่มีอายุ มากกว่า 65 ปี (Eliopoulos, 2005, 57 ในวิไลวรรณ ทองเจริญ, 2554) ทำให้ถ่ายปัสสาวะลำบาก ต้องถ่าย บ่อยครั้ง ลูกอัณฑะเหี่ยวเล็กลง ผลิตเชื้ออสุจิได้น้อยลง ขนาดและรูปร่างของเชื้ออสุจิเปลี่ยนแปลงและมี ความสามารถในการผสมกับไข่ลดลง แต่ยังสามารถผสมกับไข่ได้ ความหนืดของน้ำเชื้อลดลง ไขมันบริเวณ ใต้หัว เหน่าและขนลดลง ในเพศหญงิ รงั ไขจ่ ะฝ่อเลก็ ลง ผวิ รงั ไขซ่ ีดขาวและย่นมากขึ้น ปกี มดลกู เหยี่ ว เยอื่ บุภายในปกี มดลูก แบนเรียบปราศจากขน มดลูกมีขนาดเล็กลง เยื่อบุภายในมดลูกบางลง มีเนื้อเยื่อพังผืดมากขึ้น แต่ยังสามารถ ตอบสนองต่อการกระตุ้นของฮอรโ์ มนไดด้ ี ปากมดลกู เห่ยี วและขนาดเล็กลง ไม่มเี มอื กหล่อลื่น ช่องคลอดแคบและ สัน้ ลง เย่ือบุช่องคลอดบางลงทำให้ผลิตสารหล่อลื่นไดน้ ้อยลง รอยยน่ และความยืดหยุ่นของช่องคลอดลดลง เป็น เหตุให้เกิดความรู้สึกเจ็บในระหว่างร่วมเพศ และความรู้สึกทางเพศลดลง ช่องคลอดสีขาวซีดเพราะมีเลือดมา เลี้ยงน้อยลง ภายในช่องคลอดมีสภาวะเป็นด่างมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอกเหี่ยวย่น เพราะไขมันใต้ผิวหนังลดลง กล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานหย่อนตัว ทำให้เกิดภาวะกระบังลม หยอ่ นและกลั้นปัสสาวะไม่ได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122